วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556

พบแล้วความลับจักรวาล! : ทำไมต้องมีมาร-ซาตานด้วยนะ?

หายไปนาน ไม่มีอะไรมาก แค่ไปแอบซุ่มทำเพจในเฟซบุ๊คกะเขามั่ง ขอบอกว่าเพิ่งทำเป็นครั้งแรกอ่า อิอิ เขิลจัง เป็นครั้งแรกก็เจอเป็นร้อยคนเลย บ้า ตัวเอง ไม่ใช่อย่างนั้นนะ คิดไปไกลโน่น เค้าหมายถึง คนดูเข้ามาอ่านวันหนึ่งเป็นร้อย ไม่เยอะเมื่อเทียบกับคนเก่าๆ ในเฟซบุ้ค แต่ก็เยอะกว่าทุกๆ ช่องทางในเน็ตที่พี่ชายเคยทำมาอ่ะครับ ถ้าอยากดูลองเข้าไปได้ที่ https://www.facebook.com/pages/Freewill/574875512567854  เอาละ กลับมาก็เอ๋อแดก พี่ชายเม้าท์เรื่องอะไรดีละเนี่ย อ่อ พอดีมีข้อมูลแว้บผ่านมา เป็นปริศนาของจักรวาลที่ไขไม่ออกมานับนานแล้ว เราจะได้มาไขร่วมกันซะทีนะ ปริศนานั้นก็คือ "ทำไม คนเราต้องมีสองมืองับ?" ตอบได้มั้ยเอ่อ เอาละ ขี้เกียจรอ ตอบเองเลยก็แล้วกัน "มือหนึ่งจะได้ไว้ใช้ชักว่าว อีกมือหนึ่งจะได้ใช้ตกเบ็ดไงคร่ะ" อิ_อิ" เย้ย มะช่าย ปริศนานั้นที่ไหนกันเล่า ปริศนานี้ตะหากว่าทำไม โลกนี้ต้องมีอะไรแปลกๆ อย่างมารและซาตานด้วย เพราะเป็นอะไรที่เราไม่ชอบเมื่อรู้มากๆ แล้ว แต่ถ้ายังไม่รู้ก็จะหลงชอบมากเลย สรุปเลยละกัน เอาเป็นว่าไม่ว่าจะชอบมากๆ หรือไม่ชอบเลย ก็ไม่ช่ายทั้งนั้นแหละ แต่มันจะเป็นยังไงนั้น อย่าช้าเลย เรามาติดตามกันในบทความวันนี้กันดีกว่า  


อย่่างแรกเลย พี่ชายอยากบอกว่า เราอยู่ร่วมกันกับทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มานานแล้ว และเราที่อยู่ด้วยความไม่รู้ ก็ตกเป็นเหยื่อของภาคมารและซาตาน ทำให้หลงทิศผิดทางไปก็มาก ส่วนคนที่รู้แล้วก็มักได้รู้ผ่านทาง "ศาสนธรรม" เช่น ในศาสนาพุทธกล่าวถึงมารในทางลบ ทำให้เมื่อเรารับรู้ เราก็จะมีทัศนคติเชิงลบกับมารได้ ส่วนในศาสนาคริสต์ไม่กล่าวถึงมาร แต่จะกล่าวถึงซาตานแทน ซึ่งเมื่อเราได้รับรู้แล้วก็มักมีทัศนคติเชิงลบกับซาตานเช่นกัน เอาละ พี่ชายอยากจะบอกว่า "ทุกอย่างในจักรวาลนี้ ไม่มีอะไรที่ผิดหรอก เพราะถ้าผิด มันคงไม่ถูกสร้างขึ้นมา และก็ไม่มีอะไรที่ถูกด้วย เพราะถ้าถูก เราคงไม่ต้องมาทำอะไรกันใหม่เยอะแยะมากมายอย่างนี้ ใช่ไหมละครับ?" ทีนี้ คำถามคือ "แล้วทำไม จักรวาลหรือธรรมชาติต้องสร้างให้โลกนี้ มีสิ่งที่น่ากลัวอย่างมารและซาตานด้วยละ?" นี่แหละ ที่เราจะต้องค้นหาคำตอบซึ่งเป็นความลับของจักรวาลเอง แท้แล้วมันก็ไม่ใช่ความลับอะไร เพราะมันเปิดเผยให้เราเรียนรู้ได้ตลอดเวลา แต่เพราะเราไม่เข้าใจ ไม่แจ่มแจ้งซะที เราก็เลยเรียกมันว่า "ความลับของจักรวาล" เท่่านั้นเอง โอเค งั้นเราก็มาช่วยกันค้นหาคำตอบพร้อมๆ กันเลยดีกว่าว่าทำไมนะ โลกนี้้ต้องมีมารและซาตานขึ้นมาด้วย? พี่ชายจะเฉลยให้ฟังแล้วนะ


คำตอบ ก็คือ เพราะพระเจ้าสร้างทุกสิ่งให้สมบูรณ์ที่สุดมาแล้ว และสิ่งที่สมบูรณ์เหล่านั้น ไม่ได้สมบูรณ์ได้ด้วยตัวมันเองโดดๆ แ่ต่มันจะสมบูรณ์ได้เมื่อมีสิ่งอื่นๆ ในจักรวาลนี้ ประกอบด้วยกัน เช่น ผู้ชาย ก็สมบูรณ์แล้วในความเ็ป็นผู้ชาย แต่มันจะต้องมีผู้หญิงด้วยประกอบกัน จึงจะเป็นชาย-หญิงที่สมบูรณ์ เติมเต็ม และส่งเสริมกันและกันได้ ดังนี้ ในการสร้างมนุษย์บนโลกขึ้นมา แม้ัจักรวาลจะเริ่มต้นสร้างเรามาจากแสงสว่าง ทว่า "เงามืด" (ที่เรียกว่าซาตาน) ก็ถูกสร้างคู่กันขึ้นมาด้วย และเงามืดนี้จะตามเราไปเหมือนเงาตามตัว ทุกหนทุกแห่ง เพื่อดูเราว่าเราทำผิดอะไร แล้วจ้องเล่นงานเรา แท้แล้วจักรวาลไม่ได้สร้างให้เงามาเล่นงานเรา แต่เพื่อทดสอบเราต่างหาก แ่ละเมื่อใดที่เราไม่ผ่านการทดสอบ เงามืดนั้นก็จะมีโอกาส "ได้เข้าสอบแบบเราบ้าง" และถ้าเขาทำได้ดีกว่าเรา มันก็จะเกิดการสลับที่กันทันที คือ เราจะต้องไปอยู่ในตำแหน่ง "เงามืด" แล้วเขาก็จะมาอยู่ตำแหน่ง "แสงสว่าง" บ้าง ก็เท่านั้นเอง เพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีกว่า ยิ่งๆ ขึ้นไป จักรวาลจึงได้สร้างเรามาแบบมี "คู่" อย่างนี้ ดังนั้น มารจึงเก่งในการจับผิดคนอื่น วันๆ มารจะไม่ทำอะไร นอกจากจับผิดคนอื่น แล้วก็กลั่นแกล้งเราสารพัดก็เพื่อให้เราได้รับแบบทดสอบนี่เอง ถ้าเราผ่าน เราก็จะยกระดับตัวเราเองขึ้นไปได้ แต่ถ้าเราไม่่ผ่านในที่สุด "มารและเงามืด" ก็จะได้โอกาสเข้าสอบแทนเราบ้าง และถ้ามารหรือเงามืด ทำได้ดีกว่าเรา จักรวาลก็จะเลือกเขาไปแทน โอเคมั้ยครับ? ถ้าทุกอย่างมันดี สมบูรณ์ได้ในชาติเีดียว เราก็คงไม่ต้องเกิดซ้ำๆ หลายชาติ หลายภพ นี่เพราะไม่สมบูรณ์ ผิดพลาดมากมาย ทำให้ต้องทำใหม่ ในชาติภพใหม่ซ้ำๆ หลายครั้ง ดังนั้น กว่าจะมีพระพุทธเจ้าในโลกนี้ได้ ท่านต้องบำเพ็ญบารมีชาติแล้วชาิติเล่า จริงไหมครับ? แล้วก็ไม่แน่ว่า สิ่งที่เราเห็นในศาสนาว่าถูกต้อง ดีแล้ว มันจะดีที่สุดจริงๆ ถ้าเราทำมันได้ดีกว่านั้น "จักรวาลก็เลือกเราครับ"


เอาละ ทีนี้ พอเข้าใจแล้วใช่ไหมละครับว่าทำไม โลกนี้ต้องมีมารหรือซาตาน พี่ชายเคยเห็นคนที่เคยเล่นบทบาทมารมาหลายชาติภพ แต่พอมาถึงชาตินี้ เขาได้มีโอกาสเลืิอกบทบาทใหม่ๆ บ้าง เขาสับสนหาคำตอบไม่เจอว่าชีวิตเขา้ต้องการอะไร? เกิดมาเพื่ออะำไร? เขาได้แต่ทดลองไปช้าๆ นั่นแหละ โอกาสที่เขาจะได้ "เลือกใหม่" มาถึงแล้ว ในขณะที่ใครบางคนที่เคยเิล่นบทบาทเป็นเทพบ้าง ภาีคสว่างบ้าง มาตลอด ชาตินี้ เขากำลังได้รับแบบทดสอบใหม่ที่เขาเลือกทางเดินเอง กลายเป็นภาคมืดบ้าง, ซาตานบ้าง, มารบ้างอย่างนี้ก็มีครับ เอาละ คนที่ไม่เคยผ่าน ย่อมไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร? ใช่ไหมครับ? ดังนั้น โอกาสก็มาถึงแล้ว ให้เราทั้งหลายได้ทดลองในสิ่งต่างๆ อย่างครบถ้วน ถ้าไม่เคยก็ลองดูครับ แล้วจะชอบของแปลก เย้ย มะช่าย อิอิ แล้วจะได้รู้เองอ่าคร้าบบบ โอเค วันนี้ เม้าท์พอหอมปาก หอมคอ หอมกะดอ เอ้ย ไม่ช่าย เลยเถิดไปโน่น จบๆ ดีกว่า เดี๋ยวนอกเรื่องฉุดไม่อยู่ สำหรับบทความวันนี้ ก็ขอจบลงเท่านี้ครับ พบกันใหม่บทความหน้า สวัสดีครับ




วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

จิตพ่อ วิญญาณแม่?

อั๊ยย๊ะ หายหน้ากันไปนานทีเดียว คิดถึงเค้าบ้างอ่ะป่าวตัวเอง ก็ไม่มีไรหรอกนะ เขาทำงานคนเดียวมากไปไม่ได้จะกลายเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าผิดเวลาเอาได้ เลยเข้ามาทำงานได้ไม่มากแล้ว อิอิ เอาละ เขามีเรื่องมาเม้าท์ให้ตัวเองฟังละ คือ เค้าสงสัยว่าทำไมคนที่กินเหล้าจึงไม่เลิกกินเหล้่าอ่า สุดท้ายก็รู้เหตุผลคือ เขากินเหล้ามามากแล้ว เรียกว่าลงทุนไปเยอะ ถ้าหยุดกลางคันก็จะขาดทุนน่ะสิ อิอิ เอาละ มาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่า วันนี้ เป็นเรื่องของจิตและวิญญาณของเราว่ามีต้นกำเนิดมาจากไหน? ที่พี่ชายเรียกง่ายๆ ว่า "จิตพ่อ วิญญาณแม่" นี่ละ ง่ายดี ทีนี้ พ่อแม่นี้ไม่ใช่พ่อแม่ที่ให้กำเนิดสังขารนะครับ พ่อแม่ที่ให้กำเนิดสังขารก็คือ พ่อแม่ที่มีสังขารบนโลก อันนี้ ก็คู่หนึ่ง แต่พ่อแม่ที่ให้กำเนิดจิตและวิญญาณแ่ก่เราคืออีกคู่หนึ่งอ่ะ ซึ่งจะได้เม้าท์ต่อไป


อย่างที่ได้อธิบายไปแล้วถึง "จิตจักรวาล" ซึ่งเป็นธรรมฝ่ายหยาง ที่พี่ชายมักเรียกว่า "พระบิดาจักรวาล" ผู้เกิดพร้อมจักรวาล แล้วอยู่ที่ใดก็ได้ในจักรวาลนี้ ไม่ได้อยู่ประจำดาวดวงใดดวงหนึ่งนะครับ อย่างพระศิวะก็มาจาก "พรหมโลกธาตุ" คือมีวิมานประจำครับ แต่พระบิดามีจักรวาลเป็นวิมานอ่ะ คนละองค์กันน้า อย่าจำสับสน สับสนแล้วจะหาอีกองค์ไม่เจอ แบบว่าถูกซ่อนแอบเอาอีกองค์มาแทนที่ ไม่ดีเด้อจะบอกให้ เอาละ ต่อเลย จิตเราทั้งหลายก็มาจากจิตจักรวาลหรือพระบิดาจักรวาลนี่เอง ดังนั้น จิตของเราทุกคนหรือแม้แต่อมนุษย์จึงไม่แตกต่างกันเลย เหมือนกันเลย คือ มีลักษณะบริสุทธิ์ ประภัสสร นี่เอง ทว่า อะไรละที่เราต่างกัน ก็คือ ขันธ์ห้าแหละ เช่น วิญญาณของเราไง สังขารของเราไง เห็นมั้ยว่าต่างกัน ทีนี้ วิญญาณของเรามาจากไหน? คำตอบคือ วิญญาณมาจากธรรมฝ่ายหยิน (ฝ่ายวัฏฏะ) หรือมาจากองค์ธรรมมารดา นั่นเอง ซึ่งท่านเหล่านี้จะกำเนิดพร้อมๆ กับดวงดาว เช่น พระแม่แห่งดวงดาว ตามคติของเต๋าน่ะครับ แต่ละดวงดาวจะมีจิตวิญญาณที่เกิดพร้อมกับดวงดาวดูแลอยู่ เช่น โลกเราก็มีพระแม่ไกอาไงครับ ซึ่งคนละองค์กับพระแม่ธรณีนะครับ เพราะพระแม่ธรณีดูแลแค่ธาตุดินเท่านั้นแต่พระแม่ไกอาดูแลทุกอย่าง ทุกธาตุครับ ถ้าเข้าใจผิดนะ เราจะเชื่อมต่อกับพระแม่ไกอาองค์จริงไม่ได้ ได้แต่แม่ธรณีไง


เอาละ ทีนี้ เวลาเราไปเกิดที่ดาวดวงไหนก็ตาม เราไม่ได้เอาขันธ์ห้าไปด้วยนะครับ มีกฏของจักรวาลอยู่ว่าเราจะไม่เอาอะไรไป และจะไม่ทิ้งสิ่งใดไว้ในดาวที่เราไปเยือน ดังนั้น ขันธ์ห้าที่ไม่ใช่ของเรา แต่เราแค่ยืมธาตุในดาวดวงนั้นมาปรุงใช้ชั่วคราว เราก็เอาไปไม่ไ่ด้ เราจะไปได้แค่ "จิต" ครับ เพราะจิตเป็น "สากลจักรวาล" ไง พี่ชายบอกแล้วว่าจิตนั้นสากล ไปไหนก็ได้ในจักรวาลนี้ แต่การที่เราจะไปเกิดในดาวดวงไหน เราก็ต้องทำพาสปอร์ตกะวีซ่าก่อนใช่มั้ยล่า อิอิ อ่ะล้อเล่น ก็คือ เราต้องประสานกับวิญญาณห่อหุ้มจิตอีกที เรียกว่า "ปฏิสนธิ" ไง เพื่อให้เราปรับตัวเข้ากับดาวนั้นๆ ได้ ดังนั้น "วิญญาณศักดิสิทธิ์" จึงมาจาก "องค์ธรรมมารดา" ประจำดาวดวงนั้นๆ เป็นผู้ให้กำเนิดตั้งต้น เมื่อเรามีแต่จิตไปสู่ดาวดวงใด เราก็จะปฏิสนธิเข้ากับวิญญาณที่มาจากพระแม่ประจำดาวดวงนั้น เราก็จะปรับตัวเข้ากับดาวดวงนั้นได้ ทีนี้ ถ้าเราหาพ่อไม่เจอ เราจะวนอยู่แ่ต่เรื่องของวิญญาณและขันธ์ เราจะมัวทำขันธปรินิพพานกัน เพราะคิดว่าขันธ์คือตัวไปเกิด เมื่อดับขันธ์ซะแล้ว ก็จะทำให้นิพพานได้ "ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดครับ" เพราะขันธ์นี้ ไม่ได้ไปเกิดอยู่แล้วแต่แรก วิญญาณขันธ์เอย, สังขารขันธ์เอย เรา้ยังต้องปล่อยไว้ในดาวดวงนั้นๆ แล้วเราจะเคลื่อนไปแต่จิตเท่านั้น เรียกว่า "จุติจิต" จ้า นี่คือ การเดินทางแบบสากลจักรวาล แบบจิตจักรวาลหรือพระบิดาจักรวาลเลย ไปถึงดาวดวงนั้นๆ แล้วค่อยหาแม่ แล้วแม่ก็จะให้กำเนิดเรา ให้ตัวตนภาควิญญาณแก่เรา ภาคสังขารแก่เราก็ว่ากันไป ตรงนี้ พอเ้ข้าใจนะ เพราะถ้าเข้าใจผิดละก็ ไม่ได้นิพพานกัน


เอาละ หยิบมาเม้าท์เล่นๆ เพราะเห็นว่าไม่มีเรื่องไรจะเม้าท์ ฮ่าๆๆ เลยช่วยงานจักรวาลเคลียร์จิตวิญญาณตกค้างบนโลกเล็กน้อย แบบว่าที่เขาไปไหนต่อไม่ได้แล้วก็ต้องจบ ต้องจอด ต้องนิพพานไปซะน่ะครับ ที่ยังไปต่อได้ ก็ยังไม่รีบนิพพานกัน เอาละ เม้าท์เล่นๆ ไม่ได้ซีเรียสไร เห็นหายไปนาน เลยกลับมาเริ่มต้นที่รากฐานกันหน่อยเท่านั้นเอง อย่าลืมว่าพุทธกาลแต่ละสมัยมีอายุพันๆ ปีกันทั้งนั้น กว่าจะเคลียร์กิจหมด ดังนั้น เ็ป็นไปไม่ได้หรอกที่เราอายุ ๑๐๐ ปี จะมาทำกิจหมด จบกิจแล้ว นิพพานได้ง่ายๆ น่ะ มันต้องสัก ๕,๐๐๐ ปี ว่างั้นไหมละ ดังนั้น พุทธศาสนานี้ เขาจึงให้มีอายุ ๕,๐๐๐ ปีไงละ เพราะอะำไร? เพราะงานมันยังไม่เสร็จ กิจมันยังไม่จบไงล่า โอเค? ง่ายๆ นะ ดังนั้น ความเชื่อที่ว่าทุกอย่างจบ เสร็จแล้วบริบูรณ์ นิพพานกันแล้วแต่ครั้งพุทธกาลนั้น จึงเป็นความเชื่อที่เข้าใจผิดอย่างมาก เอาละ พี่ชายมาช่วยเขาทำงานต่อไป นิดหนึ่ง อธิบายเรื่องจริมจิต ต่อจากขันธปรินิพพาน ที่หลายคนคิดผิดไปว่าขันธปรินิพพานคือ "นิพพาน" จบ พ้นวัฏฏะเลย นั่นไม่จริงอ่ะครับ ก็ต่างมิติฝากข้อความมาให้ช่วยแจ้งข่าวสารแก่ชาวโลกหน่อย เท่านี้ สำหรับบทความนี้ ก็ขอจบลงเท่านี้ละกัน เบาๆ สบายๆ ครับ สวัสดี



วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

จิตจักรวาล!!!

โอ่ลั้ลลาจ๊ะเอ๋ตัวเอ้งเป็นยังไงกันบ้างเอ่ย พัฒนากันไปถึงไหนแล้ว ไม่ต้องรีบนะจ๊ะ รอโลกแตกก่อนก็ได้ฮ่ะ เดี๋ยวจะได้กลับไปเป็นเศษฝุ่นจักรวาลใหม่นะคระ อิๆๆ ล้อเล่นน่ะ เออนี่มีอะไรจะมาถาม ถามว่า "คุณชอบของแปลกมั้ย?" คนส่วนใหญ่ก็จะส่ายหน้าตอบว่า "ไม่อ่า" ใครน้าจะไปชอบของแปลก ที่แท้ก็ชอบ "แฟนที่มีอะไรๆ เหมือนๆ กัน" อิๆๆ ขำๆ พอประมาณ เอาละ เรามาเข้าเรื่องของเราวันนี้ดีกว่า วันนี้เรื่อง "จิตจักรวาล" ว้าว พี่ชายอยากเขียนเรื่องนี้มานานละ แต่เขียนไม่ได้ฮ่ะ เพราะไม่มีปัญญาจะเขียน เหอๆๆ มันสูงเกินไปคร่า แต่วันนี้ โชคดีมากกก ถึงมากที่สุด เขียนได้แล้วจ้า สิบอกไห่เด้อ มาเว้ากันเลยดีกว่า


จิตดั้งเดิมของปวงสัตว์ในโลก กำเนิดมาจาก "พุทธะ" นะจ๊ะเด็กๆ แต่ถามว่าแล้วจิตพุทธะละ กำเนิดมาจากอะไร? คำตอบก็คือ "จิตจักรวาลนี่แหละจ้า" แล้วจิตจักรวาลละหะ กำเนิดมาจากอะไร? "ไปถามพ่องมรึงสิคร่ะ ห่าเอ้ย ใครจะรู้ฟร่ะ อิๆๆ" ขอโทษค่ะ สันดานเดิมมันออก อิๆ คือ ไม่รู้อ่าค่ะ พี่ชายรู้แค่นี้ก็เม้าท์แค่นี้ก่อนนะคะ ไว้ถามคนที่รู้มากกว่าพี่ชายเองละกาน สรุปแว่ เอ้ยว่า จิตจักรวาลให้กำเนิดจิตพุทธะ แล้วจิตพุทธะก็ให้กำเนิดจิตปวงสัตว์ในโลกของเรานะคะ ง่ายๆ นะ เอาละ ทำไมเราต้องมารู้จัก "จิตจักวาล" กันด้วย? คำตอบง่ายๆ ค่ะ เพื่อให้เราเข้าใจตัวเราเอง ที่มาของเราเอง และเข้าใจอะไรที่พุทธะไม่เข้าใจ อ่ะค่ะ เช่น พุทธะทั้งหลายไม่เข้าใจมารนะคะ ไม่ถูกกับมาร พระพุทธะที่สุขาวดีก็เคยปราบมารแบบว่าฆ่าตายเลยค่ะ อันนี้ธรรมดามากนะคะ ดังนั้น พุทธะจึงไม่เข้าใจมาร แต่จิตจักรวาลสร้างทุกสรรพสัตว์ในโลกนี้มานะคะ จึงเข้าใจมารค่ะ เอาง่ายๆ โลกเราเรียกว่า "ตรีสหัสโลกธาตุนะจ๊ะ" เพราะมี ๓ ภพ ในภพสวรรค์นั้นมีเทพสองแบบ ในทางพุทธเขาแบ่งออกเป็นฝ่ายเทพและฝ่ายมาร (มิจฉาทิฏฐิและสัมมาทิฏฐิ) แต่ในคริสตศาสนาและศาสนากรีก (Wicca) หรือศาสนาที่เก่าแก่กว่านี้ เขาไม่แบ่งแยกอย่างนั้น เขามองว่าเทพคือตัวแทนของธรรมชาติบางสิ่งที่มีหน้าที่ของเขาต้องทำ, หรือเทวทูตก็มีนิสัยต่างกันได้ บางองค์อาจดูเหมือนเกเร (มาร) ดังนั้น คริสเตียนจึงไม่เื่ชื่อเทวทูตมากเกินไป แต่รับฟังได้ค่ะ สิ่งที่คริสเตียนเชื่อคือ "พระเจ้า" ไงคะ และเทวทูตก็เป็นแค่ส่วนประกอบหนึ่งค่ะ อีกนัยหนึ่งคือ ถ้าเราไม่เข้าใจว่าทำไม ธรรมชาติจึงสรรสร้าง "มาร" หรือ เทวทูตที่มีนิสัยเกเรขึ้นมา จะอวดตัวเองว่าเรารู้ทุกสิ่งหรือรู้แจ้งโลกแล้ว ไม่ได้นะคะ จะกลายเป็น "มายาโมหะ" คือ พวกลวงโลกเอาน่ะคะ แล้วสอนคนผิดๆ ให้แบ่งแยกปวงสัตว์ออกเป็นเทพเป็นมาร คนดี คนชั่ว การแบ่งแยกแบบนี้ ทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่มนุษย์ ทำให้เิกิดกลียุคและสงครามตามมาค่ะ ใครถูกมองหาว่าเป็นมาร ก็ถูกฆ่าค่ะ นั่นไม่ใช่คำสอนที่เข้าถึงสัจธรรมหรือรู้แจ้งโลกค่ะ


โอเค เรามากล่าวถึง "จิตจักรวาล" กันให้มากขึ้นอีกนะคะ จิตจักรวาลนี้ เป็นเพียง "จิตดั้งเดิม" ต้นธาตุต้นธรรม ก่อนที่จะให้กำเนิดพุทธะนะคะ ดังนั้น จึงยังไม่มี "รูปนาม" ใดๆ มาก่อนไม่มีกายทิพย์นะคะ ไม่มีแม้ แต่เพศนะคะ คือ ไม่ได้แบ่งแยกชายหรือหญิงอะไรเลย ไม่มีแม้แต่คำว่า "มหาบุรุษเพศ" ครับ เพราะมหาบุรุษเพศเป็นเพศของพุทธะค่ะ แต่จิตจักรวาลนี้ ไม่มีเพศ เกิดก่อนจะมีมหาบุรุษเพศครับ ดังนั้น จึงไม่ใช่ทั้งชายและหญิงค่ะ อิๆๆ เอาละ ต่อไป เราจำต้องเข้าใจจิตจักรวาล ก็เพื่อที่เราจะเข้าใจจิตเราเอง ที่มาของจิตเราเอง โลกของเรา และเราจะได้ไม่หลงทางนะคะ เช่น ไม่หลงไปว่า "นิพพานดีกว่าอนิพพาน" การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ก็ไม่ได้ดีหรือชั่วไปกว่าการนิพพานหรอกนะคะ มันเท่ากันค่ะ คือ เป็นธรรมะ ธรรมชาติเหมือนกัน เพียงแต่ธรรมฝ่ายหนึ่งคือ ธรรมชาติฝ่ายเวียนว่ายตายเกิดแต่ธรรมชาติอีกฝ่ายคือธรรมชาติฝ่ายหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนะครับโอเคนะฮะ ทีนี้ โลกมนุษย์นี้ ถูกสร้างมาให้มี ๓ ภพ (พูดซ้ำเดิมอีกแระ แต่ต้องพูดครับ เพราะคนไม่ค่อยเข้าใจกันเยอะค่ะ) และเรามีสวรรค์ที่ถูกสร้างให้แบ่งแยกชั้นและภพภูมิกันอย่างชัดเจน เราเลยไม่เข้าใจกันและเข้ากันไม่ได้ค่ะ เทพกับมารเจอกันต้องฆ่ากัน ตีกันทุกทีแหละครับ ดังนั้น จึงมีภพมนุษย์ให้ทุกคนมาเกิดรวมกัน เรียนรู้ร่วมกัน อยู่ร่วมกันให้ได้ครับ ไม่ใ่ช่ยึดติดการแบ่งแยกเทพและมารต่อไปนะคะ อย่างนั้น ยังหลงภพ ติดอยู่กับการดำรงอยู่แบบสวรรค์ค่ะ มาเกิดบนโลก เป็นมนุษย์โลกแล้ว ก็ให้มันคุ้มค่าเกิด อย่าเสียชาติเกิดที่อุตส่าห์ยอมสละความสุขในสวรรค์ลงมาเกิดกันนะคะ ดังนั้น ต้องเรียนรู้และเข้าใจกันอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่างหลากหลายให้ได้ค่ะ พอเ้ข้าใจนะครับ อิๆๆ


อ้าวละ ยังมีเรื่องราวของจิตจักรวาลอีกมากมาย ที่พี่ชายจะถ่ายทอดสด ต่อไปในบทความฉบับหน้านะคะ วันนี้ เอาแค่นี้ก่อน ก่อนที่น้องๆ หนูๆ จะสับสนทางเพศไปมากกว่านี้นะครับ อิๆ ขำๆ คร้า อย่าคิดมาก เอาเป็นว่าพี่ชายสำเร็จวิชาสุดยอดแล้ว หลังจากเก็บตัวมานาน จึงมีข้อมูลระดับจิตจักรวาลมาเมา้ท์ให้ฟังได้นะคะ เอาไว้รออ่านเรื่องราวที่เข้มข้นและตื่นเต้นมากขึ้นเืรื่อยๆ ในบทความหน้านะครับ บะบายค่ะ




วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

มนุษย์ทองคำ "ร่างวัชระ" ผู้พลิกวิกฤติเศรษฐกิจโลก!

ว้าว วันนี้มีเรื่องสุดพิเศษที่ไม่ควรพลาด น่าอ่านอย่างยิ่ง แต่ว่านะขอเม้าท์หน่อยหนึ่ง เดี๋ยวนี้ใึครอยากสวยนะ ต้องเริ่มจากชื่ออ่า ก็ง่ายๆ ไปตั้งชื่อเล่น "น้องญาญ่า" นะ ส่วนชื่อเต็ม ชื่อจริงก็ "ยาฆ่าย่า" คร่ะ อิๆๆ เอาละ มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า พี่ชายไปอ่านข่าวมา มันตื่นเต้นมาก เรื่องเศรษฐกิจโลกที่กำลังแย่มั๊กๆ และพลอยทำให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกได้เชียวนะ แต่อย่าเพิ่งเบื่อหน่ายหรือไม่สนใจอ่านไปซะก่อนละ เพราะว่าเราต้องสู้ ต้องอยู่กับโลกนี้ อย่างที่มันเป็นนะครับ โอเค ไม่ให้มากความ เรื่องของเราวันนี้ คือ เรื่องของ "มนุษย์ทองคำ" ว้าว ท่าจะแพงเนอะ อิๆๆ แน่นอนละ มันเป็นยังไง ลองดูจิ


อย่างแรก เพื่อให้เข้าใจเศรษฐกิจโลกง่ายๆ พี่ชายขอสรุปเลยว่า ปกติ "เงินตราของแต่ละประเทศ" ต้องมี "สินทรัพย์ที่มั่นคงเป็นเครื่องหนุนหลัง" เช่น ถ้าพี่ชายเป็นเจ้าของประเทศๆ หนึ่ง จะพิมพ์แบงค์มาใช้สักหนึ่งล้านล้านบาท เงินนี่มันแค่กระดาษใช่ไหม? มันไม่มีค่าในตัวเอง ก็ถ้าพี่ชายอยากพิมพ์ก็พิมพ์ อย่างนี้ ก็ไม่ต้องทำอะไร วันๆ นั่งพิมพ์เงินมาซื้อนั่นซื้อนี่ตามใจอย่างนี้เป็นไงครับ? โลกคงล่มสลายเนอะ เพราะคนอื่นเขาทำงานกัน พี่ชายไม่ทำงาน ไม่เกิดผลผลิตอะไรออกมา เอา แต่นั่งพิมพ์แบ้งค์ เหมือนหลอกลวงให้คนอื่นทำงาน ตัวเองไม่ทำงาน ใช่ไหม? ทีนี้ ถ้าพี่ชายบอกว่า "เงินของพี่ชายเอามาแลกทองคำได้" เช่น เงินสองหมื่นบาท แลกทองคำหนัก ๑ บาทได้ อย่างนี้ ก็โอเคนะครับ ถ้าพี่ชายพิมพ์แบ้งค์สัก ๑ ล้านล้านบาท แล้วพี่ชายมีทองคำที่มีค่าเท่ากับเงิน เป็นไงครับ เงินของพี่ชายก็มีค่า ใครเอาเงินของพี่ชายไปใช้ ก็เอามาแลกทองคำพี่ชายได้ เป็นอันว่าประเทศของพี่ชาย ก็จะพิมพ์แบ้งค์ได้แล้ว ไม่มีปัญหาต่อเศรษฐกิจโลกใช่ป๊ะ? โอเค? ง่ายๆ นะ นั่นคือ เราจะพิมพ์แบ้งค์เล่นๆ ไม่ได้ ต้องมี "สิ่งมีค่า" มาค้ำประกันเงินของเราว่ามันมีค่าจริงๆ นั่นเอง ดังนั้น ทุกประเทศทั่วโลกจึงหาสิ่งมีค่ามาเป็น "สินทรัพย์ค้ำประกันเงินตราของตนเอง" เช่น ทองคำหรือสิ่งอื่นๆ เช่น ธนบัตรรัฐบาล, ตราสารต่างๆ ฯลฯ ว่ากันไปซึ่งสิ่งที่จะนำ มาใช้ค้ำประกันว่าเงินเรามีค่าจริงๆ ก็ควรเป็นสิ่งที่มี "ค่ามั่นคง" คือ มีค่าค่อนข้างคงที่ ไม่ใช่เหมือนหุ้น เดี๋ยวราคาขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้ ไม่ได้ละ เพราะเราพิมพ์แบ้งค์ออกไปจำนวนหนึ่ง แล้วสินทรัพย์ของเรามันเท่าเดิมแต่มีค่าขึ้นๆ ลงๆ อย่างนั้นไม่ได้ ดังนั้น "ทองคำ" จึงเป็นสิ่งที่นิยมนำมาใช้ "ค้ำประกันมูลค่าเงินตรา" มากที่สุด แต่ยกเว้น "ประเทศอเมริกา" ประเทศเดียวครับ ที่ไม่มีระบบการค้ำประกันค่าเงินตราด้วยทองคำ นั่นหมายความว่าอเมริกาจะพิมพ์แบ้งค์ออกมาเท่าไรก็ได้โดยไม่้ต้องสนใจว่าจะมีค่าในตัวมันเองหรือไม่? ทีนี้ มันเหมือนคนที่หลอกให้ชาวโลกทำงานให้ ส่วนตัวเองไม่ทำงาน พิมพ์แบ้งค์จ้างคนอื่นทำแทนบ้าง ซื้อสารพัดอย่างบ้าง ฯลฯ สุดท้าย เศรษฐกิจโลกก็จะพังไงละครับ ทีนี้ ถ้่าจีนซึ่งเป็นประเทศเจ้าหนี้ของอเมริกา ถือเงินตราของอเมริกาไว้มากที่สุด ไปทวงหนี้เข้า เขาก็ไม่มีทองคำมาจ่ายละ เขาก็เอา "ลูกกระสุนจ่ายแทน" หรือก็คือ "เปิดฉากทำสงคราม" นั่นเอง


และสิ่งนั้น ใกล้จะเริ่มต้นทุกทีแล้ว ถ้าใครได้ติดตามข่าวนะครับ ทีนี้ ก็เลยเกิดคำถามขึ้นว่าแล้วเราจะแก้วิกฤติการเงินโลกนี้ได้อย่างไรดีละ นี่เลยครับ "มนุษย์ทองคำร่างวัชระ" ที่พี่ชายกำลังแนะนำ ความหมายคือ "แรงงาน" ไงครับ เราเอามนุษย์มาพัฒนาแรงงานให้มีค่า เขาก็จะกลายเป็น "มนุษย์ทองคำร่างวัชระ" แล้วเอาพวกเขามาขึ้นทะเบียนมาเป็น "สินทรัพย์ของรัฐบาล" เช่น ถ้าเศรษฐกิจแย่คนตกงาน ๑ ล้านคน ก็เอาคน ๑ ล้านคนมาขึ้นทะเบียนเป็น "สินทรัพย์ของรัฐบาล" แล้วใช้มูลค่าของแรงงาน "มาตรฐาน" เอามาตีเป็นค่าเงิน แล้วพิมพ์แบ้งค์มาใช้ มาแ้ก้ปัญหาเศรษฐกิจได้อีก มันก็จะกลายเป็นว่า "ยิ่งเศรษฐกิจแย่ คนยิ่งตกงาน" รัฐบาลยิ่งมี "มนุษย์ทองคำเพิ่ม" รัฐบาลยิ่งพิมพ์แบ้งค์ออกมาแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจได้มากขึ้นไปอีก แต่ถ้าเศรษฐกิจดี คนตก งานน้อย มนุษย์ทองคำก็น้อยลง รัฐบาลก็ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องพิมพ์แบ้งค์มาใช้แก้วิกฤติเศรษฐกิจมากละ "โอเคมั้ยล่ะ" อิๆๆๆ ทีนี้ ถ้าเราจะให้มนุษย์ทองคำมีมูลค่ามากๆ เราก็ต้อง "พัฒนาฝีมือแรงงาน" ให้เขามีมูลค่าแรงงานมากขึ้น เช่น ถ้าเขาเล่นการเมืองได้ ค่าตัวเขาก็สูง อย่างต่ำเดือนละ ๑ แสนบาท อะไรแบบนี้ แต่ถ้าให้ไปทำงานก่อสร้าง ค่าตัวก็ต่ำ คือ วันละ ๓๐๐ บาท เห็นไหม? ตรงนี้รัฐบาลพัฒนาได้ จะให้มีมูลค่าเพิ่มมากหรือน้อยก็ได้ ขึ้นกับการพัฒนาแรงงานตรงนี้ ทีนี้ ก็ยืดหยุ่นสิครับ ถ้ามีแรงงานตกงานน้อยขึ้นมาละ แล้วต้องพิมพ์แบ้งค์มาใ้่ช้แก้วิกฤติเศรษฐกิจมาก ซึ่งคำนวณแล้วไม่ได้ตามเป้าที่ต้่องการ เราก็แค่ "พัฒนาแรงงานให้มีมูลค่าเพิ่้ม" เข้าไปสิ มันก็จะได้มูลค่าในสินทรัพย์ของรัฐบาลเพิ่มทันที "โดยจำนวนแรงงานเท่าเดิม" เจ๋งมั้ยละ อย่างนี้ มันก็ยังดีเสียกว่าการ "ไม่เอาอะไรมาหนุนค่าเงินเลย" ก็ถ้าเจ้าหนี้มาทวงหนี้รัฐบาลๆ ก็แค่เจรจาจ่ายหนี้เป็น "แรงงาน" เท่านั้น ถ้ายังตกลงกันไม่ได้ ก็ต้องทำสงครามละ เอาลูกกระสุนไปแทน ฮ่าๆๆ เอ้า ยังไงก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลยละนะเจ้าหนี้จ๋า ดังนั้น มันคือทางออกหนึ่งของวิกฤติเศรษฐกิจโลกนะ แก้ด้วยวิธีนี้ไม่กระทบระบบเศรษฐกิจ 


โอ้ย พิมพ์มาเยอะ ใครที่เรียนเศรษฐศาสตร์มา คงเข้าใจได้ไม่ยากละ แต่ถ้าใครไม่ได้เรียน ก็พอเข้าใจบ้างนิดหน่อยนะ จะอธิบายให้มากไปกว่านี้จะยิ่งเยิ่นเย้อ เลยเอาง่ายๆ แค่หลักการง่ายๆ พอ เพราะในความจริงมีรายละเอียดมากกว่านี้เยอะมากเลย เอาเป็นว่าได้หลักการแล้วก็นำไปใส่รายละเอียดในทางปฏิบัติกันเองละกัน ยังดีกว่า "หน้ามืดหาทางแก้ไม่ได้ก็ฟาดงวงฟาดงา ทำสงครามกันเลย" จริงมั้ยละท่าน อิๆ โอเค บทความวันนี้ยาวหน่อย เดี๋ยวจะเครียดไป ขอจบก่อนละกัน




วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เข้าสู่วิถีแห่ง "พระผู้ไถ่" อย่างเรียบง่ายได้ด้วยตัวคุณเอง

ฮาโหลฮ่า วันนี้มีคำถามอีกแล้วที่หลายคนชอบสงสัยและอยากรู้อยากเห็น อะไรๆ ในตัวพี่ชายกันบ่อยมาก คำถามมีอยู่ว่า "ว่างๆ พี่ชายชอบทำอะไรคะ?" พี่ชายขอตอบว่า "พี่ชายไม่ว่างเลย เพราะต้องทำกิจของเทพอย่างขยันขันแข็งตลอดเวลา" แล้วถ้าถามพี่ชายต่อว่า "แล้วพี่ชายทำกิจอะไรคะ?" พี่ชายก็ต้องตอบว่า "บรรทมศิลป์อ่า" มันเป็นกิจเทพๆ มากเรย เอาละรู้จักกับกิจกรรมยามว่างของเทวทูตสุดลั้ลลากันไปแล้ว ทีนี้มาเข้าเรื่องของเราดีกว่านะ วันนี้ เป็นเรื่องของการไถ่ ไถ่อะไร ยังไง? เหมือนในเพลง "ไถ่เธอคืนมา" อ่ะป่าว อ้าว อย่าสงสัยให้มากเลย พี่ชายเตรียมคำตอบไว้ให้แล้ว เชิญอ่านได้เลย


อย่างแรกที่จะทำให้เราเข้าใจการไถ่ได้ จะเริ่มต้นจาก "ตัวตนหลากมิติ" ของเราเอง ที่ไม่ถูกจำกัดเพียงแต่ "ตัวตนเชิงสังขาร" นี้เท่านั้น เพราะถ้าเรายังติดอยู่กับตัวตนเชิงสังขาร เราจะไม่มีวันเข้าใจถึงตัวตนอื่นที่อยู่ในมิติอื่นๆ ของเราได้เลยและเราก็จะไม่เข้าใจการไถ่ เอาละ เพื่อให้ง่ายที่สุด พี่ชายยกตัวอย่างก็แล้วกัน พระถังซัมจั๋งไปเจอซุนหงอคง แล้วได้ช่วยปล่อยเขาออกมาจากที่ถูกกักขังไว้ ณ ภูเขาแห่งหนึ่ง น่านละ มันก็คือ "การไถ่" อย่างหนึ่ง แต่ทีนี้ พี่ชายจะกล่าวถึงการไถ่ "ตัวตนต่างมิติ" มาจาก "ภาคมืด" จะได้ชัดเจนกันไปเลย คือ ภาคมืดจะจับเอาจิตวิญญาณของปวงสัตว์ไปพันธนาการไว้ ทำให้ไม่มีอิสระ สมมุติคนๆ หนึ่งมีจิตวิญญาณ ๒ ตัวตนแรกๆ ก็อยู่อย่างเป็นตัวเอง มีธรรมชาติดีอยู่ ต่อมาอยากได้เงินเดือน เลยไปขอเป็นลูกน้องใครบางคน ในที่สุด สูญเสียธรรมชาติแห่งจิตที่อิสระเสรี และกลายเป็นเหมือนสัตว์ป่าที่ถูกเลี้ยงให้เชื่องจนเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านไป ต่อมาก็สูญเสียความสามารถในการ "หากินได้ด้วยตนเอง" ไปในที่สุด ซึ่งพี่ชายเคยเจอนะครับ ญาติพี่ชายเองเมื่อก่อนเป็นหญิงบ้านนอกหากินก็เก่ง จับปลา, หาผัก อยู่อย่างอิสระเสรี แต่ตอนนี้ เธอภูมิใจกับการเป็นแม่บ้านมาก เพราะได้เงินเดือน ทว่า ธรรมชาติเดิมของเธอก็ค่อยหายไปละ อย่างนี้ บางทีจิตวิญญาณของคนเราอาจไม่ได้เสียไปหมดทั้งตัวนะ ถ้ามี ๒ จิตวิญญาณ อาจเสียไปสัก ๑ จิตวิญญาณ แล้วก็รับ "ตัวตนแห่งความเป็นทาสชั้นดี" เข้ามาแทน เลยเปลี่ยนไปเป็นคน ละคนเลย พอนึกภาพออกเนอะ ทีนี้ พอเสียไปแล้ว มันก็ต้องมีการไถ่เอาิจิตวิญญาณเหล่านั้นคืนมาไง ซึ่งมันมีหลายวิธีครับ เช่น ไปแย่งชิงมาเลยด้วยฤทธิ์, การมีกามแล้วคนที่พันธนาการตัวตนต่างมิติของเราไว้ เขาปล่อยให้เราขณะมีกามกัน, การทำงานรับใช้จนไถ่หนี้ได้หมดก็จะได้ตัวตนต่างมิติคืนมา, การแลกเปลี่ยนเอาตัวตนต่างมิติของเราคืนโดยแลกกับสิ่งอื่น, การเรียกคืนโดยขานนามดั้งเดิมของเขา ฯลฯ


ดังนั้น เพื่อให้เกิดการไถ่ อันเป็นกิจของพระเจ้า หรือกิจที่เราทำให้แก่พระเจ้า ไม่ได้ทำให้แก่เจ้านายคนไหนในโลกนี้ เราจึงต้องยอมเป็นลูกน้องคนอื่นบ้างในบางครั้งครับ แต่อย่ายอมเขาเพราะอยากได้สิ่งที่เขาหลอกล่อให้แก่เรา เช่น ลาภสักการะ, เงินทอง, ตำแหน่ง, อำนาจ ฯลฯ นะครับ เราต้องระลึกชัดเจนว่าเราทำกิจการไถ่เพื่อพระเจ้า เรามีพระเจ้าเป็นเจ้านายของเรา แต่เราต้องทำงานเป็นลูกน้องของเขาเืพื่อจะได้ "ไถ่เอาตัวตนต่างมิติ" ของเราคืนมา นั่นเอง ดังนั้น พี่ชายจึงไม่ได้แนะนำให้ต่อต้านระบบการจ้างงานใดๆ ไม่ต้องไปล้มล้างระบบเขานะครับ และเราก็ไม่ได้บอกให้หลงใหลได้ปลื้มอะไรกับระบบเหล่านี้ แต่ให้เรา "ทำกิจการไถ่ อันเป็นกิจเพื่อพระเจ้า" ของเราไป โดยเราจะต้องปรับตัวเข้ากับระบบพวกนี้ หรือบางครั้งก็อาจต้องอยู่ในระบบพวกนี้บ้างบางครั้งครับ ซึ่งมันจะไม่ใช่ตลอดไป เช่น พี่ชายก็ต้องทำงานเป็นลูกน้องหรือพนักงานบริษัท ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่พี่ชายชอบนักหรอกที่จะต้องมีเจ้านายที่ไม่ใช่พระเจ้าน่ะ พี่ชายทำงานอยู่ ๒ ปี กว่าๆ ก็หมดละ คือ หมดวาระไถ่เอาตัวตนต่างมิติกลับคืนมา ทำให้พี่ชายได้โอกาสบวช มีตัวตนตัวใหม่เกิดขึ้น จากพนักงานบริษัทก็กลายเป็นพระไป นี่ไง พี่ชายไถ่เอาตัวตนตัวนั้นมาเลยได้เป็นพระเลย แล้วพี่ชายก็ทำกิจต่อไป จนในที่สุดก็คลี่คลายได้ ต่อมาพี่ชายก็เลยสึก แล้วมาทำหน้าที่แบบฆราวาสต่อไป พอเห็นภาพของ "การไถ่" นะครับ ว่าเราจะต้องทำอย่างไร การไถ่ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนไถ่ตัวตนต่างมิติได้โดยไม่ต้องทำงานรับใช้ใครก็มี เช่น คนที่มีพลังจิตดึงดูดเอาตัวตนต่างมิติมาได้มากๆ เขาก็จะไม่ต้องทำงานรับใช้ใคร แค่ "นั่งนึก นั่งคิดฝันไปวันๆ" พลังจิตก็จะดึงดูดเอาตัวตนต่างมิติมาสู่เขา ทำให้เขาเกิดความคิดสับสนเยอะแยะทันที เหมือนมีคนเป็นสิบๆ คนมารุมๆๆ บอกให้ทำอย่างนั้น ไปทางนี้ ฯลฯ อะไรเยอะไปหมด นั่นแหละ เขาใช้พลังจิตดึงเอาตัวตนต่างมิติของเขากลับคืนมา มันก็คือ "การไถ่" แต่ไม่ต้องใช้วิธีการทำงานรับใช้ นั่นเอง เขาเลยสบายตัว ไม่ต้องทำงานทางโลก แต่ทำกิจเพื่อพระเจ้าคือ "การไถ่" แบบนี้ไปเรื่อยๆ ไงครับ


เอาละ เม้า่ท์ให้ฟังง่ายๆ สบายๆ นะ อย่าคิดมาก สรุปคือ การทำงานในระบบที่ต้องอยู่ใต้เจ้านายใดๆ ก็คือ "กิจการไถ่" อย่างหนึ่ง ที่เราจะทำให้แก่พระเจ้า โดยไม่ต้องทำลายหรือต่อต้านระบบทางโลกอะไร และจะไม่หลงระบบทางโลกหรือสิ่งหลอกล่อใดๆ ของเจ้านายคนนั้น เพราะเราจะมี "พระเจ้าเป็นนายของเรา" เพียงหนึ่งเดียวไงครับ เช่นนี้ เราก็จะไม่ทำลายหรือต่อต้านระบบทางโลกให้วุ่นวาย แต่จะทำหน้าที่ของเรา ทำกิจของเรา ทำงานของเรา ด้วยใจที่ผ่องใส เพื่อพระเจ้าแต่ไม่หลงโลก ไม่หลงสิ่งหลอกล่อใดๆ สำหรับบทความวันนี้ ขอจบเท่านี้ก่อน พบกันใหม่บทความหน้า สวัสดีครับ



วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

อย่าเสียของทิพย์ไป เพื่อแลกกับ "หัวโขน" มันไม่คุ้มกัน!

คนมักสงสัยว่าทำไม พี่ชายไม่มีแฟนเสียที ก็ต้องบอกไว้เลยนะครับว่า ไม่ใช่พี่ชายรักใครไม่เป็น แต่เพราะ "รักของพี่ชาย มัน ใหญ่มว๊ากกก" พี่ชาย "ไม่อยากให้ใครเจ็บอ่า" สงสาร เลยต้องอยู่แบบโสดต่อไปอ่ะครับ มีเรื่องด่วนอันหนึ่ง "เบื้องบน" ฝากมาให้ช่วยคนเบื้องล่างหน่อยอ่ะคับ คือเรื่องการเสียของทิพย์ของผู้บำเพ็ญบารมีซึ่งลงมาเกิดจากเบื้องบนกันเยอะเชียวละ แต่เมื่อบำเพ็ญบารมีจนเกิดบารมี ได้ของทิพย์วิเศษแล้วก็จะเสียให้แก่ "ภาคมืด" ไป ซึ่งมันไม่ดีอ่า ถ้าจะฝากไว้กับภาคสว่างก็จะเป็นพลังช่วยให้ภาคสว่างทำกิจได้ดีครับแต่นี่เสียให้ภาคมืดไป เลยเป็นเหตุให้พี่ชายต้องมาโพสกระทู้นี้ เพื่อเตือนเราไว้ครับ


ของทิพย์วิเศษนั้น จะเกิดขึ้นในผู้ำบำเพ็ญบารมีได้มากมายครับ ไม่ใช่ว่าจะต้องมีพระเอกคนเดียวในโลก แต่มันเป็นเรื่องสากลที่ใครสร้างบารมีก็จะได้ของทิพย์ได้ครับ เหมือนในหนังจักรๆ วงศ์ๆ อ่ะละ มันมีกันได้ทั้งนั้น แต่เขามักไม่รู้ตัวว่ามี ว่าได้ เหมือนคนที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองก็มีอะไรดีๆ ในตัวเหมือนกันนะ น่านละ พอรู้ก็อาจเสียมันไปแล้วอ่าครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ เด็กทุกคนมีพลังพรหมจรรย์ครับ เมื่อเป็นวัยรุ่นแล้ว พลังพรหมจรรย์นี้จะหลอมรวมเป็น "ดวงแก้วมณีใส" ทำให้เรามักเห็นเด็กวัยรุ่นมาพร้อม "ความใสปิ๊ง" ใช่ไหม ทีนี้ บางคนเข้าตาแมวมอง เขาก็จับไปเป็นดารา สุดท้าย ก็เสียความใสแห่งวัยรุ่นนั้นไป (เสียดวงแก้วมณีไป) แต่ได้ "ตัวตนแห่งความเป็นดารา" มาแทน เช่น ได้เกิดเป็น "นัท เดอะสตาร์", "แนน ก่อนบ่าย" ฯลฯ อะไรแบบนั้น ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เราจะไม่รู้เลยว่าเราสูญเสียอะไรไป เรารู้แต่ว่าเราได้มาจากการได้เป็นดารา หรือไ้ด้เป็นอะไรสักอย่างเยอะมากๆ เอาง่ายๆ เลยนะ คนที่อยากได้ปัญญาสว่างไสว จบปริญญาตรีดีๆ บางคนไม่มีบุญ แต่ได้พลังจาก "พระสุริยเทพภาคมืด" ทำให้สว่างไสวมีปัญญา สุดท้าย ก็ต้อง "จ่าย" ให้พระสุริยเทพภาคมืดเป็นอะไรก็แล้วแต่อ่า ฟังดูเข้าใจยากเนอะ สรุปง่ายๆ ว่า "เราสูญเสียธรรมชาติเดิมของเรา" เพราะเราอยากได้อะไรสักอย่างจากสังคมอ่า โอเค? พอเข้าใจเนอะ ง่ายๆ นะ


ถ้าเราไม่อยากสูญเสีย "ธรรมชาติเดิมแท้ของเรา" ไป เราก็อยากแลก อย่าไปอยากได้อะไรจากใครที่เขายื่นให้ "โดยที่ไม่ใช่บุญบารมีของเรา" เช่น เราไปสมัครงาน เขาบอกว่า "อายุไม่ถึงนะ ตำแหน่งนี้น่ะ" ก็อย่าไปอยากได้ครับ ถ้าเราอยากได้ ภาคมืดก็จะให้เรา พร้อมกับแลกเอา "ของทิพย์" หรือบางอย่างจากเราไป เราจะสูญเสียธรรมชาติเดิมแท้ของเราครับ เช่น พอได้ตำแหน่งก่อนอายุ เราต้องทำตัวเหมือนว่าเป็นผู้ใหญ่ ทั้งๆ ที่อายุเรายังไม่ถึง ธรรมชาติแห่งวัยของเราก็เสียไปละ เราต้องรับเอา "หัวโขนแห่งความเป็นผู้ใหญ่" มาสวมแทน นี่พอจะเห็นภาพชัดละนะ ทีนี้ หลายคนอาจสงสัยว่าแล้วทำอย่างไร ถ้าเราจะอยู่บนโลกนี้แล้วไม่มีหัวโขน ไม่มีตำแหน่งทางโลกอ่า? คำตอบคือ ก็จงเชื่อในบุญกรรมครับ คนเราทุกคนมีบุญมีกรรมของตัวกันทั้งนั้น เราไม่ได้อยู่เฉยๆ นี่ เราทำอะไรดีๆ ได้มากมาย ทำไปเลยครับ อยากทำอะไรก็ทำไปที่มันดีๆ แต่ไม่ต้องรอตำแหน่งทางโลกก่อนแล้วค่อยทำ และไม่จำเป็นต้องหวังตำแหน่งทางโลกเลย เช่นนี้ เราจะไม่ต้องแลกไงครับ เราก็จะไม่เสียธรรมชาติเดิมแท้ของเรา แต่จะทำงานได้อย่างอิสระเสรีตามที่ใจเราต้องการไงละ ซึ่งมันดีกว่ายังไง? คำตอบชัดๆ ก็คือ "เราจะไม่ต้องไปสู่ภพมืด" ครับ คือ คนที่เป็นหนี้ภาคมืด เมื่อตายลงจะไปสู่ภพมืดนะครับ ไม่ได้นิพพาน ไม่ได้สวรรค์อะไร ถ้าเราไม่คิดไปภพมืด เราอยากไปสวรรค์หรือนิพพานอะไรก็ช่าง มันต้องพ้นภพมืดให้ได้ก่อนครับ นั่นคือ เราต้องรอดจากเงื้อมมือของภาคมืดไงละครับ


ทีนี้ ถ้าเราไม่แลก เราไม่มีตำแหน่งทางโลก เราก็ใช้ "ของทิพย์" หรือ ธรรมชาติเดิมแท้ของเราที่เรามี พัฒนาขึ้นมาแล้วใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่น ถ้าเรามีดวงแก้วมณีทิพย์ มันใช้ส่องดูอนาคตได้นิดหน่อย แล้วก็ยังใ้ช้ดึงพลังเข้ามาได้ แผ่พลังออกได้ ให้พลังใจคนอื่นได้ รับพลังใจจากคนอื่นได้ ปกป้องคุ้มครองภัยต่างๆ ได้ เห็นมั้ยละ ถ้าเรารู้จักใช้มันก็จะใช้ประโยชน์พลิกแพลงได้มากมายเลย แต่ถ้าเราเอาไปแลกกับภาคมืด เราจะเสียดวงแก้วมณีทิพย์ไปแล้วเราอาจจะได้ "องค์ฤษีภาคมืด" มาแทนทำให้เรามีตัวตนสถานภาพทางโลกเป็น "อาจารย์ดูดวง" ได้ เราอาจดูดวงแม่นมาก เพราะพลังของฤษีภาคมืดนั้น ทว่า ที่ไหนได้ เราสูญเสีย "ดวงแก้วมณีทิพย์" ไปแล้ว เราไม่สามารถใช้ดวงแก้วดึงพลังเข้ามาเก็บไว้ แผ่พลังให้คนอื่นมีกำลังใจได้ เราไม่อาจใช้มันปกป้องภัยที่เข้ามาสู่ตัวเราได้ ฯลฯ เห็นไหม? ความสามารถของเราก็จะกลายเป็น "ตัวตนเฉพาะ" คือ "ตัวหมอดู-ครูฤษี" ไป แทนที่เราจะใช้ดวงแก้วมณีทิพย์ พลิกแพลงได้หลายอย่าง ซึ่งจุดนี้ คนที่บำเพ็ญบารมีได้ของทิพย์ใหม่ๆ ยังใช้ไม่เป็น ก็จะไม่รู้ค่าของของทิพย์ของตน หรือไม่รู้ค่า "ธรรมชาติที่ตนเองเป็นอยู่" นั่นเอง ดังนั้น พวกเขาจึงเีสียของทิพย์ไปกับการแลกด้วย "หัวโขน" ได้ง่ายๆ โดยไม่ทันรู้ตัวเลย


เอาละ เม้าท์ให้ฟังกันเล่นๆ อย่าคิดมากไป สรุปง่ายๆ "ธรรมชาติที่เราเป็นนั่นแหละ มันดีแล้ว" อย่าเสียมันไป เพื่อแลกกับอะไรที่สังคมหยิบยื่นให้เราเลย เพราะสุดท้ายแล้วเราต้องมี "ตัวตนหัวโขน" ในแบบนั้น ตามที่สังคมหยิบยื่นให้เราเช่น ถ้าเขาให้เราสวมหัวโขน "พระอรหันต์" นะ เราจะไปอาบน้ำลงในอ่างจากุสซี่ก็ไม่ได้อ่ะ อิๆๆ อย่าว่ากันละ คือ เทวทูตคาสโนว่าก็มีหัวใจ หุๆๆ ถ้าเรามั่นใจ เชื่อมั่นว่าสิ่งต่างๆ ล้วนได้รับการจัดสรรมาดีแล้ว เราจะยอมรับทุกอย่าง อย่างที่มันเป็นอยู่ได้ เราจะไม่ดิ้นรนไป "เพื่อแลกมา" ให้ได้อะไร เราก็จะไม่เสียธรรมชาติเิดิมแท้ของเราไปครับ เอาละ สำหรับวันนี้ ขอจบเท่านี้ก่อน สวัสดีครับ




วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

พลังภาคพื้นดิน (พลังฟ้า-ดิน) พลังงานใหม่ ถึงคราวเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้ว!

พี่ชายมีข่าวดีมาบอก ตอนนี้ พี่ชายเปลี่ยนพลังงานใหม่ แต่ไม่ใช่พลังเทพซูสนะ เทพซูสคือ "องค์ธรรมบิดา" ของพี่ชาย เพราะพี่ชายจะรับพลังของ "เทพกัลกี" ซึ่งเป็นพลังของพระนารายณ์ปางที่ ๑๐ เหตุด้วยพลังของเทพซูส เป็นพลังที่สูงเกินเอื้อมของมนุษย์ยุคนี้มากเกินไป ก็เลยไม่สามารถเอื้อมลงมาเกี่ยวข้่องกับคนระดับล่างได้เลยครับ ท่านก็เลยมาทำหน้าที่แค่ "ปีเดียว" หน้าที่หนึ่งของท่านคือ "สืบเชื้อสาย" ที่โลกมนุษย์ครับ ก็คือ ให้กำเนิด "กัลกี" เพื่อทำหน้าที่แทนท่านต่อไป ทีนี้ เทพกัลกีจะประจำอยู่ไม่เปลี่ยนแล้วครับ พี่ชายจะได้ไม่้ต้องปรับเปลี่ยนพลังงานทุกปี เพราะเทพกัลกี จะดูแลโลกยาวไปเลยครับ ไม่ต้องเปลี่ยนตามปีเหมือนเทพนักษัตร เอาละ เม้าท์มายาว เข้าเรื่องในวันนี้เลยดีกว่า คือ เรื่องการปรับเปลี่ยนพลังภาคพื้นดินครับ ดังนี้ 


พี่ชายได้เกริ่นบอกไปบทความก่อนๆ แล้วว่า ในปีนี้ จะมีการปรับพลังฟ้าดิน คือ พลังฟ้า มีการเปลี่ยนแปลง เช่น ตำแหน่งเทพต่างๆ และพลังดินจะมีการเปลี่ยนแปลงด้วย คือ เทพที่เฝ้าสถานที่ต่างๆ ภาคพื้นดิน และกระทบต่อมนุษย์โดยตรงนะครับ สรุปง่ายๆ เลยก็คือ เทพที่รู้มากๆ เขาจะไม่อยากอยู่ประจำภาคพื้นดิน แต่จะเลือกอยู่บนสวรรค์ดีกว่า เพราะมีโอกาสได้สร้างความดีได้มากกว่า ไม่ต้องเฝ้าประจำอยู่แต่ในที่ใดที่หนึ่งบนภาคพื้นดิน ขอเน้นนะครับ เทพที่ประจำภาคพื้นดินนี้ เขาไปไหนไม่ได้นะ ต้องเฝ้าอยู่อย่างนั้น ไม่ใช่อยากทำอะไรตามใจ อยากไปไหน ก็ไป เหมือนมนุษย์เรานี้นะครับ คือ มนุษย์เรานี้ มีบ้านอยู่ แต่ถ้าอยากออกจากบ้านไปไหน ก็ไปได้ แต่เทพที่เฝ้าอยู่ในบริเวณนั้น ไปไหนไม่ได้เลย ไปเที่ยวไม่ได้เลย นะครับ เขาต้องเฝ้าอยู่อย่่างนั้น เป็น "พันๆ ปีทิพย์" ดังนั้น ถ้าใครฉลาดก็อย่าเป็นแค่เทพเฝ้าสถานที่ภาคพื้นดินครับ แต่จงเป็นเทพสวรรค์ ไปไหนมาไหนได้ เที่ยวไปตามที่ต่างๆ บนสวรรค์ครับ ไม่ต้องนั่งเฝ้าอะไร แถมเวลาสร้างบารมี ทำได้กว้างกว่าเทพที่ประจำภาคพื้นดินอีกครับ อ้อ แล้วอย่าเพิ่งไปคิดว่าตัวเองจะนิพพานง่ายๆ นะครับ ของแบบนี้ "มันคิดเอาตามใจอยากของเราไม่ได้" ไม่ใช่อยากจะได้ ก็จะได้ตามใจตัวเอง ทุกอย่างมันจะมีวาระของมันครับ เทพสวรรค์เขาจะมี "บัญชีรายชื่อ" ผู้ที่จะเข้านิพพานในแต่ละรุ่น แต่ละชาติ แต่ละสมัยครับ "มันโกงกันไม่ได้" ดังนั้น ต่อให้เราอยากเข้านิพพานเร็วๆ แต่มันลัดคิวเขา มันก็ไม่ได้ครับ จะได้ก็แค่ "นิพพานลวงโลก" อย่างที่เห็นเป็นข่าวฉาวโฉ่กันอยู่เท่านั้นเองครับ ดังนั้น หากใครถึงวาระนิพพานแล้ว ก็แล้วไป ไปดีซะ แต่เรายังไม่ถึงวาระนิพพาน เราย่อมต้องมีสวรรค์ที่เราปรารถนาเป็นที่ไป ใช่ไหมครับ


การปรับเปลี่ยนพลังงานที่เรียกว่า "ฟ้าดินปรับพลัง" คือ ทั้งภาคฟ้าก็มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งเทพและดาว (เทพประจำดาว-ดาวประจำดวงมนุษย์) ที่เรียกว่า "ดาวเคลื่อนดาราคล้อย" แล้วยังมีการปรับเปลี่ยนพลังภาคพื้นดินอีก ซึ่งในที่นี้ ผมจะขอเล่าเรื่องการปรับเปลี่ยนพลังภาคพื้นดินก่อนนะครับ สรุปง่ายๆ คือ พลังงานเก่าจะไ้ด้รับการเคลียร์ออกไป พลังงานใหม่จะเข้ามาแทนที่ครับ เช่น เทพประจำสถานที่หรือเฝ้าสถานที่ต่างๆ จะถูกเคลียร์ออก บางองค์ "ตายตกนรก" ไปเลย ก็มี บางคนสร้างความดี เลื่อนชั้นขึ้นสวรรค์ ก็มีครับ ดังนั้น คุณจะเห็นบนโลกมีการปรับเปลี่ยนอะไรมากมาย เช่น การขายที่, ซื้อที่ ให้คนใหม่ๆ เข้ามาอยู่แทน นั่นคือ ผลจากพลังงานปรับเปลี่ยนครับ ถ้าเราไม่อยากเสียที่ หรือขายที่ เราจะต้อง "ปรับพลังงาน" ครับ คือ เคลียร์พลังงานเก่าที่ประจำอยู่ ณ ที่นั้น แล้วรับพลังงานใหม่เข้ามาอยู่แทน เราก็จะได้ประสานกับพลังงานใหม่ แล้วอยู่ในที่เดิมได้ต่อไป ถ้าไม่ทำเช่นนี้ ก็จะมีคนใหม่ๆ ที่มีพลังงานใหม่ประสานอยู่ เข้ามาแย่ง หรืออยู่แทนเราได้ครับ กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นทั่วทั้งโลกเลยนะครับ ตอนแรก อาจจะใช้สงครามเข้ายึด เพื่อเปลี่ยนแปลง แต่ตอนหลังจะใช้เศรษฐกิจแทนนะครับเพราะสงสารคนที่จะต้องเจอสงคราม จะไม่มีการยึดพื้นที่ด้วยการทำสงครามละ แต่จะยึดด้วยเศรษฐกิจแทน คือ การซื้อขายที่ นั่นเอง


สิ่งหนึ่งที่ควรเข้าใจคือ "จะมีมนุษย์ที่ยึดมั่นสถานที่" ที่ตายแล้วกลายเป็น "ผีเฝ้าแผ่นดิน" นะึครับ เช่น ผีเฝ้าวัด, ผีเฝ้าอาคารต่างๆ พวกนี้ก็จะมาจาก "มนุษย์ที่ยึดมั่นสถานที่" ครับ โดยเฉพาะคนที่มีอำนาจในที่นั้นๆ ผีเจ้าที่เดิมจะอยากออกไปจึงหาคนมาแทนที่ ก็จะครอบงำให้คนที่ได้ครอบครอง เกิดความหวงแหนและยึดมั่นสถานที่นั้นๆ ครับ ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยน "ยกชุด" คำว่ายกชุด คือ "ผีตัวหัวหน้าและผีบริวาร" ครับ นั่นคือ จะมีผู้นำที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตายลงกลายเป็น "ผีหัวหน้าเฝ้าแผ่นดิน" แล้วก็มีผีบริวารตนอื่นๆ เข้ามายึดครองสถานที่ต่างๆ กัน แทนที่ผีกลุ่มเดิม ถ้าเราไปศรัทธาผู้นำคนนั้น เราก็จะต้องเป็นเช่นนั้น คือ ตายแล้วเป็นผีเฝ้าแผ่นดิน ส่วนใดส่วนหนึ่ง ตามแต่ว่าคนๆ นั้นได้ยึดมั่นสถานที่ใดไว้ แต่ถ้าเราศรัทธา "เทพเบื้องบน" เช่น พระเจ้า ก็ดี, เทพฮินดู ก็ดี, เทพศาสนาใดๆ ก็ดี ฯลฯ เราก็จะรอดนะ ท่านเหล่านี้จะช่วยนำทางเรา ดึงเราขึ้นสวรรค์จริงๆ เราก็จะไม่ต้องเป็นผีเฝ้าแผ่นดิน นี่คือ การปรับเปลี่ยนพลังภาคพื้นดินครับ กลุ่มพลังงานเก่าจะออกไปจากสถานที่เดิม แล้วกลุ่มพลังงานกลุ่มใหม่ จะเข้าไปยึดครองแทนที่ ซึ่งเราจะเห็นได้ด้วยตาคือ การเปลี่ยนมือของเจ้าของที่ดิน ซึ่งจะเกิดขึ้นมากมายเลย นั่นเอง การจะรอดได้คืิอ ๑. ศรัทธาต่อสิ่งศักดิสิทธิ์บนสวรรค์ อย่าหลงศรัทธามนุษย์ด้วยกันมากไป เพราะเราไม่รู้ว่าเขาตายแล้วจะไปไหน เราศรัทธาเขามากก็ตามเขาไปครับ ๒. อย่าสร้างหรือยึดมั่นสิ่งก่อสร้าง, อาคาร, สถานที่ใดๆ บนโลก เพราะถ้าจิตยึดก็จะติดอยู่กับที่นั่น อย่าแม้เอาชื่อเราไปใส่ ๓. บำเพ็ญบารมีให้ได้ตำแหน่งบนสวรรค์ เช่น บำเพ็ญบารมีเป็นเทวทูต บนโลกมนุษย์ครับ ซึ่งมันไม่ใช่จะทำแต่บุญเยอะๆ นะครับ แบบนั้นได้แต่บุญ มันไม่ได้ตำแหน่งเทพ 


เอาละ ไม่เล่ามากไป แค่เม้าท์พอเป็นน้ำจิ้มเท่านั้น เพราะต้องระวังผลจากพลังงานภายในด้วยครับ ช่วงนี้พี่ชายต้องฝึกควบคุมพลังภายใน สรุปง่ายๆ คือ อย่ายึดโลก, พื้นดิน, สถานที่ใดๆ แล้วให้บำเพ็ญให้ได้ตำแหน่งเทพสวรรค์ เพราะำพลังฟ้าปรับเปลี่ยนเมื่อไร ตำแหน่งเทพบนสวรรค์ก็ว่าง รอให้คนใหม่เข้าไปแทนที่ครับ อย่ายึดภาคพื้นดิน จะได้ไปรับตำแหน่งภาคพื้่นฟ้านะครับ ซึ่งทำให้ชาตินี้เราจะต้องอยู่เหมือนคนไม่มีที่ดินก็ได้ เช่น พี่ชายก็มีบ้านอยู่บนที่ดินคนอื่น ที่เขาให้เราอยู่มานาน พ่อแม่ก็ขายที่หมดละ พี่ชายก็ไม่ได้กังวลอะไรหรืออยากได้ที่คืนเลย เพราะเข้าใจดีไงครับ แต่ก็ไม่ถึงกับมีที่ดินไม่ได้เลยนะครับ ถ้าจะมีที่ดิน เราก็ต้องหา "เทพประจำ" มาแทนตัวเรา คือ พลังงานใหม่ที่เราช่วยเขา เคลียร์เขาดีแล้ว เรานำพาเขามาประจำที่นั่นแทนเราได้จ๊ะ เอาละ วันนี้ ขอจบลงเท่านี้ก่อน ง่ายๆ ดีแต่ทำจริง ทำได้ยาก สวัสดี!



วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ช่วงเวลาแห่งการ "เปิดเผยตัวตน" และการ "จัดเรียงตัวใหม่"

พี่ชายหายไปนานเลย เพราะบำเพ็ญไม่ผ่านซะทีอ่า ฮือๆๆ ใครก็ได้ช่วยที โจทย์ของพี่ชายคือเปลี่ยนจากพลังสุริยเทพ เป็นพลังของเทพซูส พี่ชายติดพลังของพระสุริยเทพเพราะทำงานแบบนี้มานานแล้ว ก็เลยเปลี่ยนพลังงานได้ยาก ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ติดๆ ดับๆ กลับมาวนติดพลังเดิมๆ บ่อยๆ คือ พี่ชายต้องเลิกขยายความ เลิกสนใจว่าใครจะเข้าใจหรือไม่? แล้วคุยแบบเม้าท์ๆ ไปเลย เ้ข้าใจก็ช่าง ไม่เข้าใจก็ช่าง แบบว่า "ภาษาเทพอ่า" เทพด้วยกันก็จะเข้าใจกันเองอ่า แต่ภาษาที่พระสุริยเทพใช้ เขาเพื่อสื่อสารให้คนรากหญ้าเข้าใจ มันต่างกัน เอาละ บ่นมายาว เดี๋ยวเขาจะเบื่อ มาเข้าเรื่องของเราวันนี้ดีกว่า คือ เรื่องของการเปิดเผยตัวตนของคนแต่ละคน และการจัดเรียงตัวใหม่ ซึ่งมันจะเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้นะครับ ปีนี้ จะเกิดมากเลย ดังต่อไปนี้



การเปิดเผยตัวตน (Self exposure)

แล้วช่วงเวลาแห่งการเปิดเผยตัวตน ก็เริ่มต้นขึ้น และจะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ อ้อ อย่าเพิ่งคิดว่าคุณต้องไปออกรายการทีวีที่ไหนละ มันไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นเพียงการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง ที่ซ่อนอยู่ภายในตัวคุณเองออกมาเท่านั้น ไม่จำเป็นต้อง "นำเสนอ" ต่อสาธารณชนหรือสิ่งใด อย่างหนึ่งที่คุณควรตระหนักคือ คุณไม่ได้อยู่อย่างบริสุทธิ์หรืออิสระบนโลกนี้ คุณคือ "ส่วนผสม" (Mixer) ของน้ำอัดลม, น้ำแข็ง, โซดา และ "เหล้า" ประมาณนั้น อันนี้แค่อุปมานะครับ ดังนั้น คุณจึงไม่ได้เห็น "ตัวตนที่แท้จริง" ของคุณเองบ่อยนัก เพราะมันถูกผสมและห่อหุ้มด้วยสิ่งอื่นเสมอ สิ่งนั้น ไม่ใช่โซดาหรือเป๊บซี่ แต่มันคือ พลังที่มาจากต่างมิติ ครอบคลุมตัวคุณเอาไว้ใน "ชั้นเปลือกนอก" และเมื่อใดที่พลังงานนี้ ถูกเปลี่ยน เปลือกนอกของคุณจะเปลี่ยนไปด้วย คนที่อยู่รอบตัวคุณจะมองเห็นคุณโดยเปลือกนอกที่ต่างกันออกไปด้วยเช่น ถ้าคุณมีเปลือกนอกเป็น "เด็ก" แต่ตัวตนที่แท้จริงของคุณคือ "พระ" ก็จะทำให้คนอื่นเห็นคุณเป็นแค่เด็กอมมือ ไม่ได้นับถือคุณเป็นพระจริงๆ แต่ถ้าอีกคนหนึ่งมีเปลือกนอกเป็น "พระ" แต่ตัวตนของเขาจริงๆ กลับเป็น "มาร" อันนี้ คนทั่วไปก็จะเห็นเปลือกนอกเขาเป็นพระ นับถือเขาไปหมด ทั้งที่ตัวตนจริงเขาคือมาร คำถามคือ แล้วทำไมต้องทำเช่นนี้ คำตอบคือ นี่คือ วิธีการขับเคลื่อนให้มารทำความดี ก็เลยเอาพลังพระ มาคลุมตัวตนของมารไว้เสียเลย ในขณะที่บางคนมีใจเป็นพระแล้วแต่คนภายนอกเห็นเป็นเด็ก ก็มีเหตุผลเหมือนกัน ซึ่งเมื่อถึงวาระหนึ่งแล้ว เปลือกนอกก็จะถูกเปิดเผยออก เพื่อให้เห็น "ตัวตนภายใน" ที่แท้จริง


การจัดเรียงตัวใหม่ (Re arrangement)
หลังจากการเปิดเผยตัวตน ให้แก่มนุษย์ทั้งหลายแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ "การจัดเรียงตัวใหม่" ทั้งสถานภาพ, บทบาท, หน้าที่ของคนแต่ละคนจะได้รับการจัดเรียงใหม่ตามความเหมาะสม ถามว่าทำไม ต้องทำให้มันยุ่งยากด้วยละ?  คำตอบคือ บางคนก็มีพลังงานเก่าเคยเป็นทหารฆ่าคนมา ถ้าไม่มีพลังอื่นครอบคลุมไว้ เขาย่อมไปเป็นทหารฆ่าคนได้ใช่ไหม? ดังนั้น เราจึงคลอบคลุมเขาไว้ด้วยพลังงานพระ ให้เขาได้สงบอยู่ก่อน แต่เมื่อถึงวาระแล้ว พลังงานครอบคลุมนั้นจะได้รับการปลดปล่อยออก เขาก็จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา จากพระก็อาจกลายเป็นทหารไปได้ (แปลกดีมั้ยครับ) แล้วผลที่ตามมาก็คือการจัดเรียงตัวใหม่ สถานภาพใหม่ รวมทั้งบทบาทหน้าที่ใหม่ของแต่ละคนไงละครับ ซึ่งมันจะลงตัวมากขึ้น มันจะเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นในแบบที่เราเป็น อย่างที่เราเป็นอย่างแท้จริง ไม่ต้องอึดอัดทนเป็นคนอื่นอีกต่อไป (อย่างพี่ชายก็มีเปลือกนอกเป็นผีสาวอ่ะ อั๊ยย๊ะ บ้าจริง ก็ต้องอดทนเป็นนางเอื้อย รอว่าเมื่อไรเจ้าของพลังงานนี้่จะมาเอาของเขาคืนไป แล้วเราจะได้เป็นตัวเราที่แท้จริงซะที เพราะจริงๆ แล้วเรามันก็เป็นพวกบ้าสงคราม ฮ่าๆๆๆ) ผลในระดับวงกว้างหรือในระดับโลกก็คือ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ เหมือนระลอกคลื่นเล็กๆ ที่แผ่วงกว้าง ในที่สุดก็กลายเป็น "ซึนามิทางการเมือง" อ่ะ เพราะมันจะกระทบต่อตำแหน่งหน้าที่การงานหมดเลย พี่ชายเรียกช่วงเวลานี้ว่า "ดาวเคลื่อนดาราคล้อย" หรือ "ช่วงเปลี่ยนฟ้า" ก็แล้วกัน ซึ่งไม่นานก็จะตามมาด้วยการปะทะกันของ "พลังฟ้าดิน" คือพลังภาคฟ้าจากเทพซูส และพลังภาคดินจากเทพฮาเดส จะปะทะกันมาก ทำให้คนระดับบนและคนระดับล่างเกิดการขัดแย้งหรือเป็นสงครามกลางเมือง หรือการก่อการปฏิวัติของชนชั้นล่างได้ อะไรประมาณนั้น แต่ว่าตราบเท่าที่มีเทพซูสอยู่ คนระดับบนก็ไม่ต้องกลัว มันแค่เปลี่ยนบางจุดเท่านั้น ไม่ใช่การเปลี่ยนทั้งระบบสักหน่อย เอาไว้ตอนพระสุริยเทพมา อันนั้น ระวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงระบบหรือระบอบการปกครองละ!


เอาละ เรื่องมันยาว ขี้เกียจอธิบายมาก ใครได้ก็ได้เลยนะ ต่อไปนี้จะไม่เน้นขยายความให้เข้าใจละ ใครเข้าใจก็ไม่ว่า ไม่เข้าใจก็ไม่สนละ สรุปง่ายๆ คือ ๑. เปิดเผยตัวตน ๒. จัดเรียงตัวใหม่ ๓. ปรับพลังฟ้าดิน โอเคนะ ถ้าเป็นไปตามนี้ ระบบหรือระบอบการปกครองจะคงเดิมไม่มีการกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ จะเปลี่ยนเฉพาะ "ตัวบุคคลเท่านั้น" แต่ถ้าปีนี้ทำกิจนี้ไม่สำเร็จ ปีหน้า "พระสุริยเทพ" จะมา ทำหน้าที่ต่อ ถึงเวลานั้น จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ หรือการเปลี่ยนระบอบการปกครองได้เลยนะเออ ดังนั้น บอกแล้วก็ทำให้ได้ละ จะได้ไม่ต้องมาบ่นว่ากันทีหลังว่าพี่ชายไม่บอกนะ สิบอกไห่ สวัสดี!



วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

2556 ปีแห่งการสิ้นโลกเก่า เ้ข้าสู่ "ยุคโลกใหม่"

โอ้ ห่างหายกันไปนานเลยทีเดียว หลังจากที่พี่ชายปรับเปลี่ยนพลังจากพลังของพระสุริยเทพ ไปสู่พลังของเทพซูส การทำงานที่เดิมจะต้องทำงานทุกวันเหมือนพระอาทิตย์ขึ้นทุกวัน ก็เปลี่ยนเป็น "ตามแต่วาระ" ไป พี่ชายจำเป็นต้องปรับพลังอย่างนี้ครับ เพราะเวลาทำงานจะมีพลังธาตุไฟแผ่ออกมามาก และทำให้เกิดความร้อนมากๆ จนตอนนี้ ร้อนสุดๆ จนหมาที่บ้านตายไปตัวหนึ่ง และหมาของคุณป้าข้างบ้านก็ตายไปอีกตัวหนึ่งครับ ทว่า พี่ชายก็ยังคุมพลังธาตุไฟได้ไม่ดี ๑๐๐% หรอกนะ จึงต้องใช้พลังจิตอย่างระวังมากขึ้น และห่างหายไปจากการโพสกระทู้นานทีเดียว อย่างที่เห็นกันนี่แหละครับ เอาละ มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า วันนี้ มีเรื่องสำคัญมาเม้า้ท์กันเล่นๆ (ต้องเม้าท์อ่ะครับ ถ้าพูดจริงจัง หรือมาแจ้งข่าวอะไรแบบนั้นไม่ได้ มันจะร้อนขึ้นมาทันที เลยอ่ะครับ) ก็อ่านกันเล่นๆ นะ อย่าคิดมา "เดี๋ยวจะร้อนไปใหญ่" 555 เอาละ ว่าไปนั่น ไม่มีอะไรหรอก คิดว่าเ็ป็นนิทานสนุกก็แล้วกัน ดังนี้ฯ


เทพีไกอา จะึคลอดโลกใหม่แล้ว

หลังจากที่ตั้งครรภ์มานาน เป็นเหตุให้โลกแปรปรวน จนใครหลายคนคิดว่าโลกจะแตกหรือเปล่า? โอ้ย ไม่หรอกครับ เหมือนคนท้องโย้อ่ะ ไม่เห็นจะท้องแตกอะไรเลย โลกแค่ท้อง ถึงเวลาก็คลอดได้เอง ไม่แตกอะไรซะหน่อย และปีนี้แหละ ที่เทพีไกอาได้คลอด "โลกใบใหม่" ให้แก่มวลมนุษย์แล้ว มันจะเป็นโลกที่เปลี่ยนไปจากยุคเก่าก่อน หรือโลกใบเก่าก่อนอย่างสิ้่นเชิง ซึ่งโลกใหม่นี้ จะมีการเปลี่ยนแปลง เช่น

๑. ไร้พรรคพวกขั้วข้าง มีแต่คำว่า "เพื่อนมนุษย์" ไม่แบ่งแยก แม้แต่ประเทศ, เชื้อชาติ, ศาสนา, สีผิว ฯลฯ เพราะต่างเป็นบุตรของพระเจ้าและเชื้อสายของไกอากันทั้งนั้น ดังนั้น โลกจึงมีสันติภาพ ด้วยเหตุนี้

๒. ปรับตัวเข้าหาโลก ไม่ใช่ปรับโลกไปตามใจตน คือ การที่เราหยุดที่จะปรับเปลี่ยนโลกตามใจเรา แต่เราหันกลับมาปรับตัวเราเองไปตามที่โลกเป็น ลดการทำลายธรรมชาติ หันหน้ามาช่วยกันอนุรักษ์ธรรมชาติ

๓. เห็นคุณค่าของความแตกต่างหลากหลาย ว่าเป็นประโยชน์เกื้อกูลกัน ไม่ใช่สิ่งที่ใช้ในการหักล้างทำลายกัน ความแตกต่างของอะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่เพื่อทำลายกัน แต่เพื่อเสริมเติมเต็มส่วนขาดให้แก่กัน

อันนี้ เป็นหลักการง่ายๆ พื้นฐานสามประการ ที่จะนำทางเราให้เข้าสู่ "โลกใบใหม่" นะครับ ส่วนรายละเอียดจะยังไม่กล่าวถึงให้มากไปกว่านี้ (เดี๋ยวจะยาวเกินไป) ไว้ใครได้พบธรรมของเทพีไกอา ก็จะทราบเอง 

เทพซูส จะจัดระบบบุญให้ใหม่

เนื่องจากก่อนหน้านี้เป็นช่วงเวลาแห่งการ "เปิดเสรี" ค่อนข้างมาก ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวาย และ "ไร้ระบบ" ของการเสวยบุญกรรม เช่น บางคนใช้ฤทธิ์เดชของซาตานจนเสวยผลบุญมากไป ทำให้ไม่เหลือบุญไว้ใช้ในชาติหน้า แล้วต้องกลายเป็น "ภาคมืด" ไม่ไ่ด้ผุดได้เกิดอยู่ยาวนานเลย ตายไปก็เป็นผีเฝ้าเมืองบ้าง, ผีเฝ้าอะไรต่อมิอะไร บ้าง ไม่ได้เป็นเทพหรอกนะ ด้วยเหตุนี้ "ระบบการเสวยบุญ" จึงยุ่งและจำต้องมีการ "จัดระบบใหม่" ให้ท่านที่ควรได้รับบุญ ได้เสวยผลบุญ ก็ได้รับไปตามควร ส่วนท่านที่เสวยบุญมากล้นแล้วล้นอีก สวาปามจนพุงกางใกล้แตกก็ควรจะหยุดได้เสียที ดังนั้น เทพซูสจึงมาช่วยเคลียร์เรื่องนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ "เกิดโอกา่สทอง โอกาสใหม่ๆ" ให้กับท่านที่ไม่เคยได้รับด้วย คือ คนที่ทำความดีมามาก และไม่เคยได้รับผลกรรมดีก็จะได้รับตามควร ซึ่งหลักการคือ "เสวยบุญบนสวรรค์" ส่วนโลกมนุษย์นั้นไม่ใช่ที่เสพสุขลุ่มหลง แต่จะได้รับตามควรแก่การดำรงอยู่เท่านั้น คนที่เสวยผลบุญบนโลกมากไป ก็มีโอกาสสูงที่จะพลาดได้ขึ้นสวรรค์ ดังนั้น หากใครทำความดีแล้วไม่ได้ดีเท่าคนอื่นบนโลก ก็อย่าเสียใจไป เพราะท่านจะได้รับ "บนสวรรค์" อย่างไรละครับ อนึ่ง เทพซูสเป็นเจ้าสวรรค์ ย่อมทำหน้าที่ดูแลสวรรค์และชาวสวรรค์ทั้งหมด ดูแลการขึ้นสวรรค์ของมนุษย์ ว่าจะมีใครได้ขึ้นสวรรค์บ้าง ก็อยู่ที่เทพซูสนี่ละ ซึ่งทีมงานของเทพซูสนั้น จะประสานพลังมายังร่างมนุษย์ เพื่อนำพาผู้คนใำห้ทำสิ่งที่ควร ละเว้นสิ่งที่ไม่ควรทั้งหลาย เพื่อจะให้ได้ถึงสวรรค์ กัน ทีมงานของท่านนี้เรียกว่า "เทวทูต" นั่นเอง (เอาแค่สวรรค์ให้ได้จริงก่อนเหอะนะ นิพพานนี่มันยังยากอยู่ แต่ปรารถนานิพพาน นั้นได้)

เทพฮาเดส จะมาทำกิจพิพากษา

อันนี้ เป็นสิ่งที่ปรากฏในพระคัมภีร์ของหลายๆ ศาสนา และคำทำนายต่างๆ ด้วย ในมุมมองของ "พุทธ" การพิพากษาก็คือ "การเคลียร์กรรมที่คั่งค้างกัน" นั่นเอง เื่นื่องจาก บางครั้ง ระบบกรรมถูกรบกวนจนทำให้ปั่นป่วนยุ่งเหยิง จะต้องมีการเคลียร์บัญชีให้เรียบร้อย จะได้ไม่วุ่นวาย และสามภพดำเนินไปได้อย่างปกติสุข ดังนั้น เมื่อมนุษย์ "โกงกรรม" กันมานานๆ เข้า ก็ต้องมีการ "เคลียร์กรรม" หรือ "พิพากษา" กันบ้างเป็นครั้งคราวไป แต่คราวนี้ ค่อนข้างเป็นงานใหญ่สักหน่อย เพราะมันคั่งค้างมานานเหลือเกินเลยทีเีดียว เรียกว่า เป็นงานที่หมักหมมไว้จนกองพะเนินเลยละ สุดท้าย เลยลำบากให้เทพฮาเดสมาพิพากษาไงละ อ้อ อย่าลืมนะครับว่าเราไม่ได้สอนให้คุณเป็นคนที่ชอบตัดสินใคร หรือไปพิพากษาใคร เพราะหน้าที่แห่งการพิพากษานั้น "พระเจ้าได้เลือกแล้วว่าจะให้เทพองค์ใดทำ" ซึ่งผมก็แจ้งแก่คุณแล้วว่าคือเทพฮาเดส นั่นเอง ไม่ใช่ใครก็ทำได้ และไม่ใช่กิจของมนุษย์ ดังนั้น ไม่ใช่หน้าที่เราครับ  ที่จะไปพิพากษาใครว่า "ใครผิด ใครถูกหรือ ใครดี ใครชั่ว" เราไม่รู้ได้หรอกครับ อย่าเลย จะหลอกตัวเองเสียเปล่าๆ เช่น พอไปเห็นทีวีออกข่าวคนนั้นคนนี้ ทำเลว หรือทำดี เข้า เราก็มักไปตัดสินเขาว่าคนนั้นดี คนนี้เลว ซึ่งส่วนใหญ่ มันไม่จริงหรอกครับ สิ่งที่ออกทีวีมันแค่ "ด้านหนึ่งของชีวิต" ซึ่งมักเป็นด้าน "มายาภาพ" เสียมาก ก็อย่าำำไปด่้วนสรุปตัดสินใคร ยกให้เ็ป็นหน้าที่ของเทพที่พระเจ้าเลือกแล้วดีกว่าครับ ซึ่งในปีนี้ เทพฮาเดสจะทำหน้าที่ประสานพลังผ่านร่างของมนุษย์ที่ท่านเลือกอีกที คนไหนท่านเลือก คนนั้นก็พิพากษาได้


เอาละ สรุปสุดท้ายละ ก็ไม่มีอะไรมาก แค่ปรับอะไรนิดหน่อยให้มันเข้าที่เข้าทาง ไปสู่ "จุดสมดุลใหม่" ทำให้เกิดโลกใบใหม่ ที่มีอะไรๆ บางอย่างเปลี่ยนไปบ้างจากเดิม ก็ไม่มากหรอกครับ เข้าทำนอง เพิ่มส่วนขาด ตัดส่วนเกิน อะไรแบบนั้น เท่านั้นเอง เพราะก่อนหน้านี้ เราก็ทำกันมาเยอะแล้ว ปีนี้ มันก็เหมือนการ "จบงานสุดท้าย" ของโลก ก็เท่านั้นเอง อะไรที่ขึ้นเค้าโครงไว้แล้ว ก็ใส่รายละเอียดจนเข้าที่ลงตัว ก็แค่นั้น ดังนั้น ถ้าเทียบกับปีที่แล้ว ก็ไม่ได้แตกต่างมากไป จนเหมือนเป็นของใหม่อะไรขนาดนั้น แต่ถ้าเปรียบเทียบกับเมื่อ ๑๐๐ ปีที่แล้วละก็ ต่างกันลิบลับแน่นอน ดังนั้น ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกังวลว่าจะมีอะไรมาทำให้โลกเปลี่ยนไปมากมาย เช่น อุกาบาตอะไร หรือภัยพิบัติอะไร มันอาจมีได้ก็ไม่มากไปหรอกครับ มันเป็นงานละเอียดแล้ว แค่เก็บงานส่วนรายละเอียดที่ทำมายาวนาน ก็เท่านั้นเอง มันจะเข้าสู่ความลงตัวใน "จุดดุลยภาพใหม่" ก็เท่านั้นเอง คือ มันจะเริ่มคงที่ละ ลงตัวละ เข้าที่เข้าทางละ ก็แค่นั้นละ ไม่ต้องคิดมากอ่ะครับ เอาละ เม้าท์พอหอมปากหอมคอพอ อย่าให้ถึงกับมีไฟลุกพรึ้บพรั้บขึ้นมา เดี๋ยวโลกมันจะร้อนมากไปกว่านี้ เหอะๆๆ สำหรับบทความนี้ ขอลาไปก่อน สวัสดีครับ



วันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2556

พลังจิตเรียกเงินทอง

หลายคนคงเคยได้อ่านหนังสือดังที่ชื่อว่า "พ่อรวยสอนลูก" มาเยอะละ วันนี้ พี่ชายอยากแนะนำ "เืพื่อนรักของเงินทอง" ในแบบฉบับของพี่ชายแนะนำเพื่อนๆ กันบ้าง ดูสิว่าจะแตกต่างจากฉบับพ่อรวยสอนลูกยังไง รับรองว่า "แตกต่างกันแน่" เพราะมันจะเปิดประตูสู่มิติใหม่ ให้เราทุกคน เกี่ยวกับเงินทอง อย่าช้าเลย เข้าเรื่อง อ่านกันเลยดีกว่า


อย่างแีรก พี่ชายขอบอกเป็นการเบื้องต้นก่อนว่า พลังจิตเรียกเงินทองนี้ ไม่ใช่การได้เงินทองมาจากการทำงานแลกเงินนะครับ และเราจะไม่แนะนำให้ทำเช่นนั้น ในที่นี้ เราแนะนำให้ "ท่านทำกิจต่างๆ โดยไม่ได้หวังผลตอบแทน" กิจที่เกื้อกูลแก่มวลชน ทำเลยครับ อย่ามัวรอให้คนมาให้ผลตอบแทนหรือจ้างเราก่อน "เราต้องเป็นเจ้าของกิจการ" นั้นๆ ด้วยตัวเราเอง มิใช่ รอให้ "เจ้านายมาสั่งใช้ มาจ้างเราทำ" นะครับ จึงต้องมี "พลังจิตเรียกเงินทอง" ด้วยไงครับ เพราะถ้าเราทำกิจโดยไม่มีเงินทองเลย ในยุคปัจจุบัน "มันไม่เข้ากับสมมุติทางโลก" และอาจก่อปัญหาต่อระบบสมมุติทางโลกตามมาได้ พี่ชายไม่แนะนำให้ก่อเรื่องเช่นนั้น ดังนั้น เมื่อเราทำกิจโดยไม่หวังผลตอบแทนแล้ว เราจึงต้องมีพลังจิตเรียกเงินทองด้วย ไม่ว่าเงินทองนั้นจะมาทางไหนก็ตาม ขอให้มาโดยชอบก็พอ เช่น มาด้วยการให้ เป็นต้น ก็เป็นไปได้ครับ อันนี้ พี่ชายได้ไปอ่านบทความแปลจากต่างประเทศที่มีผู้สื่อสารต่างมิติ เขาได้แนะนำให้ไว้ เขาบอกประมาณว่า ให้เรามีทัศนคติเชิงบวกกับเงินแล้วใช้วิธีอะไรอย่างหนึ่งง่ายๆ เงินก็จะเข้ามาได้ครับ ใช่ครับ เรื่องการมีทัศนคติเชิงบวกกับเงิน เป็นสิ่งที่ดี และเขายังแนะนำอีกว่าให้นึกว่าเงินเหมือนคนมีชีวิตจิตใจ แต่เราต้องไม่อยากได้อะไีรจากเงินก่อน นี่ก็ตรงกันเลยครับ ทว่า สิ่งที่พี่ชายจะบอกต่อไปก็จะต่อเืนื่องจากเขานี่ละ  ต่างกันนิดหน่อย พี่ชายจะเขียนเสริมเขาอีกนิดเท่านั้น และพี่ชายก็ได้รับข้อมูลมาไม่นานนี้เอง จึงยังไม่ได้ทดลองฝึกด้วยตนเองมาก แต่ว่ามีบางครั้งที่เงินเข้ามาโดยไม่ได้อยู่ในรูปของการจ้างหรือแลกเปลี่ยน ปัจจุบัน พี่ชายก็ไ้ด้เงินมาด้วยวิธีอย่างนั้น สุจริตโดยชอบ แต่ไม่ได้มาจากการจ้างหรือแลกเปลี่ยนครับ เอาละ เราควรปลดปล่อยตัวเองออกจากวังวนของการจ้างงานและการแลกเปลี่ยน มาเป็นเจ้าของกิจการ ซึ่งไม่หวังผลประโยชน์แอบแฝงเข้าตัวเอง แต่หวังผลประโยชน์ที่เป็น "สากลแก่ทุกสรรพสิ่ง" และเราจะมาฝึกใช้พลังจิตเรียกเงินทองกันละ


อย่างที่สอง พี่ชายขออธิบายวิธีกาีรใช้พลังจิตดึุงเงินทองเข้ามาให้นะ อย่างแรก เราจะไม่สร้างกำแพงทัศนคติเชิงลบกั้นไม่ให้เงินทองนั้นมาสู่ตัวเรา ซึ่งบางคนอาจจะมีครับ เช่น กลัวว่าเงินทองจะนำไปสู่ปัญหา ซึ่งเงินทองไม่ใช่ตัวปัญหา "ปัญหาอยู่ที่ตัวคนใช้เงินทอง" ต่างหาก ทีนี้ พอเราปลดกำแพงทัศนคติเชิงลบออกไปแล้ว เราจะใช้่ทัศนคติเชิงบวกแทน เพื่อเปิดทางให้เงินเข้ามาได้ แต่นี่คือ "การเปิดประตูรับเงินทอง" เท่านั้นเองครับ ยังไม่ใช่ "พลังดึงดูดเงินทอง" ซึ่งเดี๋ยวพี่ชายจะแนะนำให้ฟังต่อไป แต่จะขออธิบาย "เทคนิกในการเปิดประตูทัศนคติเชิงบวกที่มีต่อเงินทอง" ให้ ง่ายๆ ครับ ได้ทุกอย่าง อะไรก็ได้ ที่ทำให้เรามีทัศนคติที่ดีต่อเงินทอง ใช้ได้หมดครับ เช่น ไปเอาต้นไม้ที่มีชื่อว่า "ต้นเงิน ต้นทอง" มาปลูก ก็ได้, เอาสิ่งมงคลที่เรียกเงินทอง มาเก็บไว้ก็ได้ ทุกอย่างนะครับ ได้หมด ไม่ต้องไปแสวงหาหรือใช้เงินซื้อมาก็ได้ครับ ของขลังเรียกทรัพย์ที่ต้องใช้เงินบูชาแพงๆ ไม่จำเ็ป็นสำหรับ "นักพลังจิต" อย่างพวกเรานะครับ เพราะเราจะใช้พลังจิตของเราโดยตรง ส่วนของต่างๆ ที่ประกอบเข้ามานั้น "เป็นองค์ประกอบเล็กน้อยก็เท่านั้น" ใช้ได้หมดครับ ทุกอย่างนะครับ ทีนี้ พอมีอะไรมาสะิกิดให้เรามีทัศนคติเชิงบวกกับเงินทองแล้ว เหมือนประกายไฟถูกจุดมาแล้วเราก็จะเริ่มใช้พลังดึงดูดเงินทองให้เข้ามาละแต่พี่ชายขอให้ระวังนิดหนึ่งว่า "เราจะไม่เห็นเงินเป็นพระเจ้า" นะครับ วิธีการง่ายๆ คือ เราจะมองเขาเหมือน "เืพื่อนรัก" นะครับ เราคือตัวแทนของแสงสว่างที่จะนำทางเพื่อนรักของเราคนนี้ ไปสู่กิจกรรมเพื่อปวงชนอย่างที่เราได้ทำมามากแล้ว เราอยากแนะนำและนำทางให้ "เงินทอง" เพื่อนรักของเราสองคนนี้ ได้มีความสุขแบบ "ไร้จำกัด" เมื่อทำกิจกรรมเืพื่อ "มหาชน" อย่างเราครับ ดังนั้น เราจะต้องเป็น "ผู้นำให้เงินทอง" คือ เราจะต้องคิดและทำสิ่งดีๆ ก่อน "โดยไม่มีเงินทองมาร่วมก่อน" ครับ เราทำก่อนเพราะเราคือ "ผู้นำ" ไงละ ทำๆๆ ไปอย่างนั้นละ โดยไม่มีเงินทอง แล้วทำให้มีความสุขนะ แบบว่าลั้ลลา แฮปปี้มากๆ เลยอ่ะ ก็เพราะว่า "เพื่อนที่ชื่อว่าเงิน" เขาชอบอะไรที่มีความสุข แฮปปี้มากๆ น่ะครับ ไม่ชอบอะไรที่ทุกข์หม่นหมอง ส่วน "เพื่อนที่ชื่อว่าทอง" เขาก็ชอบอะไรที่มีคุณประโยชน์ เป็นคุณ เป็นประโยชน์ ดังนั้น ถ้าเราทำสิ่งที่มีคุณประโยชน์และมีความสุขด้วย "เพื่อนสองคนที่ชื่อเงินและทอง" ก็จะอยากมาอยู่กับเราครับ "โดยไม่ต้องผ่านการแลกเปลี่ยนหรือการจ้าง" เลย โอเคนะ สำคัญมากๆ คือ เราต้องไม่ขออะไรจากเงินทอง ถ้าเราทำเช่นนั้น เงินทองจะไม่ใช่เพื่อนของเราอีกต่อไป เขาจะแปลงร่างเป็น "พระเจ้าของเรา" ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดีครับ เพราะเราจะกลายเป็น "ทาสของเงินทอง" และเข้าสู่ความมืดมิดไป อย่าืลืมว่า "เราคือผู้นำ เราคือเจ้าของกิจการ ที่ทำเพื่อสากลประโยชน์" เราทำกิจต่างๆ โดยไม่มีเงินทองมาร่วมก่อน แต่ทำให้เกิดประโยชน์และมีความสุขกับเราเอง นั่นแหละ จะเป็นพลังดึงดูดให้เพื่อนที่ชื่อว่า "เงินและทอง" มาสู่เรา และเราจะนำทางเพื่อนรักสองคนนี้ ไปยังทางสว่าง เพราะเราคือ "ตัวแทนของแสงสว่าง" นะครับ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราอยากได้บ้าน เราก็มักคิดว่าบ้านราคาเท่าไร จะต้องเอาเงินมาเท่าไร? แบบนี้ เราจะกลายเป็นทาสของเงิน เราจะไม่ทำ เราจะเปลี่ยนเป็น "สร้างบ้าน" ที่ไม่ใช้เงินเลย เอาแบบง่ายๆ ที่เราทำได้ เช่น บ้านดินก็ได้ครับ ง่ายๆ แล้วทำให้เกิืดประโยชน์แก่มวลชน ทำอย่างมีความสุข แล้วเงินทองเขาก็จะมาหาเราเอง เหมือนเพื่อนคนหนึ่งที่อยากเข้าใกล้เรา เพราะเขาชอบ "คนที่มีความสุขและมีคุณประโยชน์" นะครับ โอเคนะครับ


เอาละ บทความง่ายๆ ทำง่ายๆ สรุปคือ "เราต้องทำสิ่งดีๆ ก่อนโดยที่ไม่มีเงิน" และ "ทำด้วยความสุขลั้ลลา" แล้วเงินทองต่างๆ ก็จะตามมาหาเราเอง เราไม่ต้องไปหาเงินทอง เราคือ ผู้นำ ที่เงินทองจะตามเรามา เราจะไม่เป็นผู้ตามหาเงินทอง เราจะไม่เป็นทาสของเงินทอง นะครับ เงินทองจะเข้ามาหาเราโดยที่ไม่่ผ่านการแลกเปลี่ยนและการจ้างงาน เพราะ "เงินทองไม่ใช่พระเจ้า" แต่เป็น "เพื่อนรักของเรา" ที่เราจะนำทางเขาสู่แสงสว่าง นั่นเองครับ เอาละ หลักการง่ายๆ ลองไปใช้กันดูละ เพราะพี่ชายยังใช้ได้ไม่เต็มที่แต่ก็เห็นผลแล้ว คือ เงินทองค่อยๆ เข้ามาเองโดยไม่ผ่านการจ้างงานและการแลกเปลี่ยนครับ ถ้าพี่ชายฝึกเก่งๆ กว่านี้ อาจจะเข้ามาได้มากกว่านี้ครับ แล้วจะเอามาเม้าท์ให้ัฟังกันใหม่ สำหรับบทความฉบับนี้ ต้องขอลาไปก่อนครับ สวัสดี



วันพุธที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2556

พลังแห่งความเป็นกลางและพลังสายฟ้าแห่งเทพซูส

ช่วงนี้ บางคนอาจจะกำลังลุ้นใจตุ้มๆ ต่อมๆ กับสงครามที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่? ระหว่างเกาหลีเหนือและอื่น ทำเอาเว็บหลายเว็บที่พี่ชายเข้าไป ดูเงียบเหงาชอบกล เหมือนเงียบรอฟังสถานการณ์ ไม่กล้าพูดอะไรกันมากนัก แต่ที่แน่ๆ ทำเอาทองขึ้นราคามาอีก หลังจากที่เพิ่งราคาตกไปไม่นาน (แหม ช่างเหมาะเจาะจริงๆ ตกก่อนแล้วช้อนซื้อก็จะได้ขายราคาแพงต่อไป) ไม่ว่ากันหรอกนะ ทุกคนก็มีเหตุผลของตัวเอง และตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต่างกัน จึงต้องมีบทบาทที่จะเล่นต่างกันไป ก็เท่านั้นเอง ส่วนเราเป็นตัวเล็กตัวน้อย ก็มีบทบาทต่างไปอีกแบบ เอาละ มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า วันนี้เป็นเรื่องของเทพซูส ดังนี้


อย่างแรก พี่ชายขอปูพื้นก่อนนิดหนึ่งคือ ที่้ต้องมาพูดถึงพลังของเทพซูสเพราะอย่างที่บอกแล้วว่าปีนี้ เป็นปีของไกอา ซึ่งจะมีอำนาจและมีบทบาททางโลกมาก แล้วยังมีเทพองค์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เ้ข้ามามีส่วนในการดำเนินการด้วย ที่สำคัญก็ำได้แก่ เทพซูส, เทพฮาเดส ดังที่เคยได้เม้าท์ไว้บ้างแล้ว ทีนี้ ก็เลยจะมาดูเรื่องของเทพซูสกันบ้าง แต่หากจะเม้าท์คงเม้าท์ไม่หมด เลยเจาะเอาแต่เรื่อง "พลังของเทพซูส" ละกัน เพราะอะไร? เพราะพลังงานเป็นเอกลักษณะเฉพาะตัวของเทพแต่ ละองค์ ที่ถ้าเราฝึกจิตสัมผัส มีพื้นฐานมาทาง "อรูปฌาน" ดีแล้ว เราก็จะสัมผัสรับรู้ถึงพลังของเทพต่างๆ และการทำงานของเทพต่างๆ ได้ ดังนั้น เราจึงมาศึกษาพลังงานของเทพซูสกัน นั่นเอง และเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ ให้เราลองนึกถึง "ท้องฟ้าและสายฟ้า" เป็นหลัก ก็จะสัมผัสพลังของเทพซูสได้ไม่ยากครับ กล่าวคือ พลังงานของเทพซูสจะมีลักษณะคล้ายท้องฟ้าและสายฟ้า ที่คล้ายท้องฟ้าคือ มีความเป็น กลางต่อทุกสิ่ง ไม่แบ่งแยกพรรคพวก ฝั่งฝ่าย มีความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย เรียกว่า "ยุติธรรม" นั่นเอง (ตรงนี้เหมือนน้องชายคือเทพฮาเดส ก็รักความยุติธรรม เหมือนกัน แต่เทพฮาเดสจะติดชอบพิพากษาและลงโทษคนครับ ส่วนเทพซูสไม่ได้ใช้วิธีแบบนั้น) และมีความใจกว้างเหมือนท้องฟ้า โอบอุ้มทุกสรรพสิ่งได้หมด ทว่า ท่านจะไม่ค่อยติดดินเท่าไรนัก เพราะเป็นท้องฟ้าอยู่สูง จนคนต้องเอื้อม แต่ถ้าคนไหนเคยเกิดเป็นนกมาก่อนในอดีตชาติ ก็จะมีบุญสัมพันธ์กับเทพซูศได้ง่ายๆ ก็เพราะ "นกคู่กับฟ้า" ไงละครับ ต่อไปคือ พลังสายฟ้า ซึ่งเป็นพลังของไฟฟ้าขั้วบวกและลบ มีสองขั้ว หากปะทะกันเมื่อไรก็จะเกิดประกายไฟ กลายเป็นฟ้าผ่า นั่นเอง อนึ่ง ไฟฟ้าขั้วบวกและลบนี้ ไม่ไ่ด้มาจากท้อง ฟ้าโดยตรง แต่มาจากสิ่งอื่นๆ เพียงแต่ท้องฟ้าเป็นทางผ่านเท่านั้น จึงอุปมาเหมือนสายทองแดงนำไฟฟ้า คือ นอกจากจะเป็นกลางแล้ว ยังไม่เฉื่อยชาหรือมีสภาพเหมือนยางที่ไม่นำไฟฟ้า (ยางจะเป็นกลางแต่ไม่นำไฟฟ้า) เพราะมีทั้งความเป็นกลาง, และความนำไฟฟ้า หรือนำทั้งขั้วบวกและลบ ให้ผ่านไป มีทั้งมาและไปอย่างสมดุล เมื่อใดที่เกิดการลัดเส้นทางก็จะช็อตเท่านั้นเอง ถ้าไม่เกิดการลัดวงจรพลังขั้วบวกและลบไม่ปะทะกัน ก็ไม่เกิดไฟฟ้าช็อตหรือฟ้าผ่าขึ้น พอนึกออกนะ


อย่างที่สอง พี่ชายจะเม้าท์ถึงการบำเพ็ญบารมีอย่างไร? ฝึกจิตยังไงจึงได้ผลแบบเทพซูสนี้ ก็ง่ายๆ ครับ ถ้าใครเคยบำเพ็ญบารมีมาทางพระสุริยเทพแล้ว ก็จะคล้ายกันเลย ต่างกันนิดเดียวเท่านั้น กล่าวคือ ถ้าเราบำเพ็ญแบบพระสุริยเทพ เราก็จะต้องเริ่มต้นจาก "ความรัก" มี ดวงใจทิพย์เก็บพลังรักไว้ แล้วแทนที่เราจะรักเหมือนปุถุชน หวังครองคู่กับคนที่เรารัก เราก็สละไปแล้วแผ่พลังแห่งรักจากดวงใจทิพย์ไปทั่ว ก็จะกลายเป็นดวงอาทิตย์ นั่นเอง ทีนี้ แบบของเทพซูสก็จะยากขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง สูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง กล่าวคือ เริ่มจากความรักที่รักได้ยาก เช่น ความรักที่ผิดประเพณีหรือไม่มีความเป็นไปได้ จนกระทั่งข้ามเส้นนั้นไปให้ได้ ก็จะรักได้หมดทุกอย่างอะไรแบบนั้น ใจจะกว้าง เปิดกว้างไปเลย แล้วให้เท่าๆ กัน อย่างยุติธรรมเป็นธรรมต่อทุกสิ่ง ส่วนพลังนั้นจะไม่ใช่พลังธาตุไฟแบบพระสุริยเทพ แต่จะเป็นพลังที่เป็นกลาง, ใส, บริสุทธิ์ คือ "รักด้วยใจใสบริสุทธิ์" นั่นเอง ไม่หวังอะไรตอบแทน และไม่คิดไขว่คว้ามาครองคู่ แต่ทำไปด้วยจิตใจที่ใสซื่อบริสุทธิ์ กว้างและเป็นกลาง ก็จะสำเร็จ "ดวงใจแห่งเทพซูส" ซึ่งมีลักษณะธรรมเป็นดั่งท้องฟ้า นั่นเอง ดังนั้น การบำเพ็ญแบบเทพซูส จึงต้องมีทั้งพลังสายร้อนและเย็น ดำเนินไปจนถึงภาวะเป็นกลางให้ได้ (จุดนี้ จึงยากและซับซ้อนกว่าการบำเพ็ญแบบสุริยเทพ) ความใสและความเป็นกลางก็ทำได้ยากกว่่า "ธาตุไฟ" (ธาตุไฟจะร้อนและสว่าง) เมื่อสำเร็จแล้วจะต่างจากพระสุริยเทพ เช่น ไม่รีบร้อนแสดงธรรม, ไม่จำเป็นต้องสว่างทุกวัน (ไม่ต้องแสดงธรรมทุกวัน ไม่ต้องเหมือนพระอาทิตย์ขึ้นทุกวัน) แต่จะรู้วาระโอกาสที่เหมาะสม รอเวลานั้นแล้วสามารถแสดงธรรมได้ฉับพลันดุจสายฟ้าฟาด ผู้ที่ได้รับธรรมก็จะได้ธรรมอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าธรรมจากพระสุริยเทพ บางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องอธิบาย ไม่ต้องขยายความ ไม่ต้องทำให้กระจ่าง ไม่้ต้องทำให้แจ้ง ก็ได้ ปล่อยไว้จนกว่าจะถึงวาระอันควร เมื่อถึงวาระนั้นแล้ว ก็ใช้สายฟ้า (วัชระ) ให้ธรรมทันที


เอาละ เม้าท์ให้ฟังเล่นๆ เพลินๆ เพราะมีคนทักท้วงพี่ชายมา ให้เม้าท์เรื่องของเทพซูสบ้าง จะฝึกแบบเทพซูสทำอย่างไร? ก็เลยเม้าท์ไปตามคำเรียกร้อง เอาแต่พอหอมปากหอมคอ หอมมากกว่านี้ไม่ได้อ่ะ เพราะมันเสียว ... อ๊ะ มะช่าย ล้อเล่นนะตัวเอง อ้อ บางคนอาจสงสัยว่าพลังสายฟ้าของเทพซูสมาได้ยังไง? ก็คือ ไม่ต้องสร้างเองนะครับ มันมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ประจุบวกลบ และความมีขั้วมีข้างน่ะ เพียงแต่เราทำตัวเป็น "ผู้นำ-ตัวนำไฟฟ้า" เท่านั้น พลังงานขั้วบวกและลบนั้นก็จะไหลผ่านมาเอง ดังนั้น แม้เราจะเป็นกลาง ต่อต้องไม่เหนื่อยหน่ายหรือเฉื่อยชาต่อการมีขั้วมีข้างของผู้คนนะ (ไม่งั้นจะกลายเป็นยางหรือพลาสติกที่ไม่นำไฟฟ้า) อยู่ท่ามกลางพวกเขา ยอมให้พลังของพวกเขาไหลเข้ามาแล้วไหลออกไป เช่น รับฟังเขาทั้งสองข้าง และไม่เก็บมายึด ไม่ปฏิเสธ ไม่เบื่อหน่าย แต่ถ่ายเทไปต่อไป มันก็จะกลายเป็นพลังไฟฟ้าเองแหละ ไม่เชื่อต้องลองทำดูเองละ เวลามีเพื่อนทะเลาะแบ่งเป็นสองพวก เราไม่เืบื่อเข้าไปเป็นตัวกลาง ตัวนำ ความทางหนึ่งไปสู่ทางหนึ่ง ใจเป็นกลางๆ ใสๆ ซื่อๆ ไม่เข้าข้างใคร แค่นั้นละ เดี๋ยวไฟฟ้าก็จะไหลไปเอง ถ้าไม่ช็อตซะก่อน ก็จะกลายเป็นประโยชน์ Ok ถึงเวลาพักละ วันนี้ มาบ่ายไปเร็ว ไม่กวนเวลาใครๆ ละ สวัสดีครับ



วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

ชาวเขา ชาวเล ชาวป่า ชาวแอฟริกา กับเชื้อสายไกอาที่เข้มข้น

มีเรื่องเม้าท์นิดหนึ่งละตัวเอง คือว่า เขาอาจจะไม่ได้โพสกระทู้ทุกวันเหมือนก่อนแล้วนะ เพราะเขาเปลี่ยนพลังงานนิดหน่อย แต่ว่าก็จะทำหน้าที่อยู่เรื่อยๆ น่ะแหละ ดังนั้น วันไหนที่ไม่มีกระทู้ใหม่ไม่ต้องตกใจ ยังไงก็จะมีกระทู้ใหม่ๆ มาเรื่อยๆ แม้จะไม่ทุกวันนะจ๊ะ อ้อ มีเรื่องเม้าท์อีกเรื่องหนึ่ง มีคนในกูเกิลเขาอยากคุยกะพี่ชาย ก็เลยเขียนมาว่าแชทกันหน่อยไหม (ภาษาอังกฤษนะ) อะไรแบบนั้น พี่ชายก็เลยเขียนไปว่า "อ้าว แล้วแชทอย่างไรละ ฉันแชทไม่เป็น" เขาก็เงียบไปเลย โธ่ .. แค่คำถามง่ายๆ ตอบไม่ได้ซะละ แล้วยังจะมาแชทกะพี่ชายอีก โฮ่ๆๆ เอาละ เข้าเรื่องของเราดีกว่า วันนี้ ขอเน้นเรื่องของพลังไกอาต่อนะ ก็ปีนี้เป็นปีของไกอา คนที่ไม่เข้าใจจะซวยและแย่เอาได้ คิดว่า โลกจะแตก หรือภัยพิบัติจะมาเยือนอะไรแบบนั้น แต่ว่า มันไม่ใช่อย่างนี้เลย มันเป็นแค่ "การทดสอบของไกอา" เท่านั้น อย่างที่พี่ชายบอกอย่างไรละ ว่าเราจะต้องสอบให้ผ่านด้วยการปรับตัวเข้ากับสิ่งที่แปรปรวนให้ได้ ก็แค่นั้นเอง อย่างพี่ชายนะ ก็อยู่กะอุณหภูมิกลางวันใกล้่ ๔๐ C. เข้าไปแล้ว ไม่มีแอร์หรอกนะ แต่ก็อยู่ได้ละ ดังนั้น บทความวันนี้ เราจึงมาคุยเรื่องนี้ต่อกัน เพราะสำคัญมาก เป็นเรื่องวิธีการที่เทพีไกอาใช้เพื่อพัฒนาลูกๆ ของตน เพื่อให้พวกเขาเติบโตมากขึ้น ดังต่อไปนี้ 



อย่างแรก พี่ชายขอปูพื้นนิดหนึ่งว่าพลังงานต่างดาว จะมาจากนอกโลก และเราจะต้องผ่านการเปิดจักระที่เจ็ด เืพื่อเปิดรับนะครับ ที่เขาเรียกว่่า "พลังจักรวาล" น่ะแหละ แต่สำหรับพลังไกอาแล้ว จะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะอะไร? ก็เพราะไม่ใช่พลังต่างดาวน่ะสิ โฮ่ๆๆ อ้าว แล้วมันอยู่ไหนละ? จะไปขุดเจาะหรือดูดขึ้นมาใช้ได้อย่างไร? โอ้ย อีหร่า บ่แม่นหยั๋งดอก ง่ายๆ จั๊งซี่ เดี๋ยวข่อยสิบอกไห่แน่ 555 ก็คือ มันไม่ต้องทำอะไรอย่างนั้นเลยสักนิดเดียว มันง่ายมั๊กๆๆ อ้าว ไหงง่ายซะขนาดละฮา คิงบ่ฮู้จั๊กแน่ อ้อ ที่ง่ายก็เพราะว่า ร่างกายของเราได้รับการผลิตมาจากโลกอยู่แล้ว นั่นเอง และในทุกอณูและ DNA ของเรา มันก็ถูกประจุไปด้วยพลังของไกอาอยู่แล้ว มันมีอยู่แล้วอ่ะ เพียงแต่รอให้เราปลุกมันขึ้นมาใช้ เท่านั้นเอง ทีนี้ คำถามคือ "แล้วจะปลุกพลังยังไงละ" โอ้ย อีหร่า ถามเง่าๆ เน้่อ มันบ่แม่นต้องทำจั๊งได๋เล้ย คือ มันไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะโลกหรือเทพีไกอาทำอยู่แล้ว ด้วยการที่มีความแปรปรวนของโลกนี่แหละ มันคือ การปลุกพลังของเราอยู่แล้ว เช่น เวลาที่อากาศร้อนมากๆ มันก็กำลังจะปลุกพลังชนิดหนึ่ง แต่เวลาที่มันหนาวมากๆ มันก็กำลังปลุกพลังอีกชนิดหนึ่ง ทีนี้ พอเราร้อนมาก เราก็หนีหลบเข้า่ห้องแอร์ แหม มันก็จบเห่สิเออ ไม่ทันได้รับการปลุกพลังกันเลย ทำตัวเป็นมนุษย์ต่างดาวไปได้ ที่อ่อนแอปรับตัวเข้ากับโลกได้ยาก พอร้อนหน่อยก็หนีเข้าห้องแล้ปไปซะนั่น พอหนาวหน่อยก็มุดเข้าไปหน้าเตาผิง เอาละ เมื่อใดที่เราลดการพึ่งพาเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ได้ เมื่อนั้นละ เราก็จะเข้าสู่ "โปรแกรมฟิตเนส" ที่ออกแบบโดยเทพีไกอาทันที โลกทั้งใบก็จะกลายเป็นฟิตเนสสุดหรู ที่หะรูหะรามั๊ก ทุกอย่างกลายเป็นอุปกรณ์ฟิตเนสที่ทันสมัยที่สุดในโลก ถ้านึกภาพไม่ออก ก็ลองนึกถึงการดำรงชีพตามธรรมชาติของชาวป่า, ชาวเขา, ชาวเล, ชาวแอฟริกา ฯลฯ ก็แล้วกัน นั่นแหละ วิถีที่จะทำให้ได้รับพลังจากไกอา (ซึ่งมีอยู่แล้ว แค่ปลุกมันขึ้นมาใช้ ก็เท่านั้นเอง) 



อย่างที่สอง พี่ชายอยากจะเ่ม้าท์ลึกๆ เนื้อๆ เน้นๆ ไปอีกหน่อยหนึ่งว่า ดั้งเดิมแล้ว สิ่งมีชีวิตบนโลกก็ล้วนเป็นผู้ที่มีเชื้อสายไกอาเข้มข้นทั้งนั้นแหละ แต่หลังๆ จะมี "เชื้อสายต่างดาว" เข้ามาปะปนและผสมอยู่ด้วย ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ และพันธุกรรมใหม่ๆ ขึ้น พวกที่ได้รับการผสมพันธุ์จากต่างดาว คือ มีเชื้อสายลูกผสมต่างดาว พวกแรกๆ ก็มีสัตว์เดรัจฉานก่อน เป็นการทดลองก่อนที่จะทำกับมนุษย์น่ะ ผลที่ได้คือ บางส่วนปรับตัวไม่ได้ แล้วสูญพันธุ์ไปเลย ส่วนพวกที่รอดก็จะเ็ป็นสัตว์ที่มีเชื้อสายไกอาเข้มข้น หรือเป็นเชื้อสายตรง เป็นพันธุ์พื้นบ้านน่ะแหละ เช่น ชาวเขา, ชาวเล, ชาวป่า, ชาวแอฟริกา ฯลฯ เป็นต้น ทีนี้ อย่าเพิ่งไปดูถูกพวกเขาเชียวละ เพราะพวกเขาคือ "อันดับหนึ่งในการปรับตัวเพื่ออยู่รอดบนโลกนี้" และถ้าเรามีเชื้อสายไกอาไม่เข้มข้นเท่าพวกเขา ไม่แน่ เราอาจจะไม่รอดก็ได้นะเอ้า สิบอกไห่ ดังนั้น พี่ชาย ก็เลยต้องปรับพลังงานนิดหน่อย หลังจากที่รับพลังต่างดาวไปมาก ทีนี้ ก็ปรับมารับพลังงานจากโลกแทน หุๆๆ เพื่อความอยู่รอดน่ะตัวเอ้ง ถึงไม่ค่อยได้เขียนบทความต่างดาวมากอย่างไรละ (และผู้อ่่านก็ควรรับพลังไกอาด้วยนะ เพื่อความอยู่รอดน่ะ) ทีนี้ เทพีไกอามีหลากหลายวิธีที่จะช่วยให้เชื้อสายของเธอ ได้อยู่รอดบนโลกใบนี้ร่วมกันโดยไม่ทำร้ายเธอ ไม่ทำร้ายโลก โอเค เช่น การที่เทพีไกอาให้วิธีการดำรงชีพแบบต่างๆ ของคนถ้ำ, คนป่า, คนเขา ฯลฯ หรือแม้แต่ประเพณีที่มีการลุยไฟของคนโบราณเพื่อพิสูจน์ความเป็นชาย อะไรแบบนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของการสอนของเธอนะ เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งไปดูถูกสิ่งที่เขาทำกันละ เช่น เห็นชนเผ่าตองเหลือง ไม่นุ่งเสื้อผ้า ย้ายที่อยู่ไปมา เมื่อใบตองเหลือง อะไรแบบนี้ นั่นแหละ คือ วิถีแห่งการปลุกพลังไกอา และดำรงอยู่ในโลกนี้ได้โดยไม่ทำลายโลก ที่พวกเขาหลายคน ก็ไม่อาจจะทำได้อย่างเขานะ จะบอกให้ (แต่ปัจจุบัน ไม่มีเหลือแล้ว)


เอาละ เม้าท์ยาวอีกละ เพราะมีคนถามพี่ชายมาว่า "จะัปลุกพลังเหล่านี้ได้อย่างไร?" ก็เลยตอบให้ ง่ายๆ สรุปสั้นๆ นะ "พึ่งพาเครื่องอำนวยความสะดวกให้น้อยที่สุด แล้วพลังดั้งเดิม พลังไกอาในตัวของเจ้า ก็จะตื่นขึ้นมาทำงาน ทำงานแทนเครื่องอำนวยความสะดวกเหล่านั้น" โอเค? ง่ายดีมะ แต่เวลาอธิบายนี่ อาจจะต้องยาวหน่อย เพราะคนยุคนี้ เข้าใจอะไรสั้นๆ ได้ยาก เลยต้องลากเท้าความกันมาแต่ปางก่อน รอคอยเะอมาหาแสนนานนน ทรมานวิญญาณ ฮื้อหือ หนักหนาาา อ๊ะ มะช่ายละ นั่นมันเพลง "แต่ปางก่อน" ตะหากเล่า เอาละ เห็นทีว่าต้องหาท่อนจบซะที เดี๋ยวจะจบไม่ลง โฮ่ๆๆ เม้าท์มันเกินไป ราตรีสวัสดิ์จ้า...



วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

ลูกครึ่งต่างดาว คือ คุณหรือเปล่า?

ช่วงนี้ กำลังเข้าสู่ความร้อนตับแตก ตับๆๆๆๆ ในขณะที่บางประเทศกลับหนาวเข้ากระดูกดำ โอ้วว อย่าเพิ่งตกใจไป นั่นคือ การทดสอบจากโลกของเรานั่นเอง ว่าเราจะปรับตัวเข้ากับธรรมชาติของโลกนี้ได้มากเพียงใด เหล่ามนุษย์ต่างดาวทั้งหลายอย่าได้แตกตื่นไปนะ โลกยังไม่แตกดอก ยังไม่ต้องรีบหาจานบินกลับดาวแม่ ยังต้องอยู่สู้กันต่อไปครับ เอาละ มาเข้าเรื่องของเราเลย วันนี้ เรื่องของลูกครึ่งต่างดาว หรือภาษาฝรั่งเรียกว่า "อินดิโก้" เป็นอย่างไร เราลองมาดูกันนะครับ


อย่างแรกพี่ชายขอปูพื้นหน่อยหนึ่งว่าตอนนี้พลังต่างดาวมาสู่โลกมาก  และมาพร้อมกับ "มนุษย์ต่างดาว" ด้วย โดยเฉพาะมนุษย์ต่างดาวร่างโปร่งแสง แทนที่จะมาทั้งร่างเนื้อๆ เพราะอะไร? เพราัะมันไม่เวิร์กอ่ะ มนุษย์ต่างดาวกลุ่มแรกๆ ที่มาด้วยร่างเนื้อๆ ปรับตัวเข้ากับโลกได้ยากมาก และอ่อนแอจนตายไปเยอะแยะเชียว ดังนั้น การแพร่พันธุกรรมที่ใช้ "มนุษย์ต่างดาวร่างโปร่งแสง" จึงเป็นทางเลือกใหม่ โดยมนุษย์ต่างดาวร่างโปร่งแสงนี้ จะมาเกิดในท้องมนุษย์โลกเพื่อรับพลังจากดีเอ็นเอของมนุษย์โลกบางส่วน ก็จะสามารถปรับตัวเข้ากับโลกได้ดี หรือไม่ก็ประสานมาในร่างของมนุษย์โลกที่โตเต็มวัยแล้วก็ได้ แต่ไม่มาก เพราะวิธีนี้ยากกว่าวิธีแรกมาก ดังนั้น มนุษย์ต่างดาวร่างโปร่ง แสงจึงแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือ ๑. กลุ่มที่เกิดผ่านท้องมนุษย์ พวกนี้จะอัจฉริยะตั้งแต่เด็ก อายุพวกเขาในปัจจุบัน ก็ไม่เกิน ๓๐ ปี คือ เริ่มมาได้ไม่เกิน ๓๐ ปี มากน้อยกว่านี้หน่อยได้บ้าง ๒. กลุ่มที่เกิดโดยการประสานร่างมนุษย์ ที่เรียกว่า "การกำเนิดใหม่" ซึ่งจะยากกว่าแบบแรก แต่เกิดได้ในคนทุกช่วงอายุ ผลคือ ทำให้ได้พันธุกรรมใหม่ที่มีทั้งพลังของมนุษย์ต่างดาวและพลังของดาวโลก ทำให้มนุษย์ต่างดาวไม่ต้องอยู่ในสภาพอ่อนแอเิกินไป จริงๆ เขาไม่ใช่พวกอ่อนแอนะ เพียงแต่ว่าเขาปรับตัวเข้ากับโลกไม่ค่อยได้ มันต่างกันมาก มันเลยทำให้เขาดูมีความอ่อนแอ อะไรแบบนั้น และหลังจากนี้ไป มันก็จะดีขึ้น เพราะการผสมพันธุ์ข้ามดวงดาว จะทำให้ได้พันธุกรรมใหม่ที่ดีกว่า ทั้งความทนต่อสภาพของโลก (พันธุกรรมจากโลก) และความสามารถพิเศษ (มาจากพันธุกรรมต่างดาว) ซึ่งพี่ชายของเรียกสิ่งนี้ว่า "ลูกครึ่งต่างดาว" หรือที่ภาษาฝรั่งเรียกว่า "อินดิโก้" (Indigo) ส่วนพวกมนุษย์ต่างดาวเต็มตัว ๑๐๐% จะไม่ค่อยมีละ จะค่อยๆ ตายไปในปีนี้ เพราะทนไม่ไหวต่อสภาพของโลก ร้อนบ้าง หนาวบ้าง ฯลฯ แปรปรวนสุดๆ (ใช่ม๊ะ)


อย่างที่สอง เรามาสำรวจกันดีกว่าว่าเรา "ใช่ม๊ะ" เป็นพันธุกรรมผสม จากมนุษย์โลกกี่เปอร์เซ็นต์ และจากมนุษย์ต่างดาวกี่เปอร์เซ็นต์ เราลองมาดูง่ายๆ นะ โดยเราจะลองเทียบกับข้อมูลพื้นฐาน ดังต่อไปนี้

๑. ลักษณะมนุษย์โลก จะมีลักษณะ บ้านๆ พื้นๆ เหมือนคนป่าเถื่อน ล้าหลัง คนป่า คนอาฟริกา ฯลฯ แต่จะอดทนมาก ปรับตัวเข้ากับสภาพในโลกนี้ได้ดีมาก อึดทนทายาท ยากตายชะมัด ปรับตัวเข้ากับโลกได้แม้ ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน ไม่มีพลังพิเศษอะไรนอกจากนี้ และชอบการเปิดกว้างรู้จักกันไปทั้งโลกไม่ชอบแบ่งแยกเป็น "โลกส่วนตัว" คือ ไม่มีโลกส่วนตัว ไม่มีวงการอะไรซ้อนอยู่ในโลกของเรา เปิดกว้างครับ  

๒. ลักษณะมนุษย์ต่างดาว จะมีลักษณะ หรูหรา มีระดับ สูงส่ง ไม่ว่าจะสูงส่งทางโลกหรือสูงส่งทางธรรม ก็ตาม เป็นได้ทั้งนั้น แต่จะอ่อนแอ ปรับตัวเข้ากับสภาพความเปลี่ยนแปลงของโลกได้ยาก ร้อนหน่อย ก็แย่ หนาวหน่อยก็แย่ อะไรแบบนั้น ต้องอยู่ในห้องปรับสภาพอากาศที่ทำให้เย็นหรืออุ่นได้ตามต้องการ มีโลกส่วนตัวและยังมีสังคมที่อยู่ในวงการเดียวกัน มีความสามารถพิเศษที่แตกต่างจากคนบ้านๆ ทั่วไป

๓. ลักษณะมนุษย์ต่างดาวมืด จะมีลักษณะคล้ายมนุษย์ต่างดาวสว่าง แต่จะไม่คิดกลับดาวแม่ แต่จะหาทางอยู่กินในโลกนี้ให้ได้ จะแก่งแย่งแข่งขันกันมาก จนเครียด จนมืดดำ เพราะกลับดาวแม่ไม่ได้แล้ว ต้อง หาทางอยู่ในโลกนี้ให้ได้อย่างเดียว ซึ่งพวกมนุษย์ต่างดาวภาคสว่าง ชอบคิดถึงดาวแม่และหาทางกลับดาวแม่ประจำ (เพราะปรับตัวไม่ได้ และยังมีทางกลับดาวแม่ได้ นั่นเอง) และมักหาทางใช้มนุษย์โลกเป็นบริวาร เหมือนกันมนุษย์โลกที่เลี้ยงสัตว์ไว้ใช้งานอย่างนั้น ไม่ต่างกัน

เอาละ ค่อนข้างแตกต่างกันชัดเจนนะครับระหว่างพลังของมนุษย์โลกกับพลังของมนุษย์ต่างดาว คิดว่าท่านน่าจะพอแยกแยะได้ชัดเจนละ ทีนี้ ก็ลองสำรวจตัวเองดูนะว่า คุณมีพลังโลกและต่างดาว ในสัดส่วนเท่าไร อ้อแล้วยังมีอีกพวกหนึ่งคือ "มนุษย์โลกฝันค้าง" คือพวกมนุษย์โลกที่ได้รับข้อมูลเรื่องมนุษย์ต่างดาว แล้วอยากเป็นมนุษย์ต่างดาวบ้าง ก็พยายามศึกษาหาความรู้ ว่าที่นั่นมีมนุษย์ต่างดาว เขาตรงนี้ก็ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้ ฯลฯ แต่พวกเขาก็ยังไม่พบสักที เพราะว่าไม่ใช่มนุษย์ต่างดาว เลยเป็นพวกฝันค้าง ไม่มีพลังพิเศษอะไรจริงๆ มีบางพวกก็ถูกมนุษย์ต่างดาวมืดครอบงำ หลอกใช้งานเสียเลยก็มี 


เอาละ เม้าท์พอหอมปากหอมคอ อย่างหนึ่งอยากจะบอกว่า ปีนี้ พลังของไกอาจะมากเป็นพิเศษ และมีการทดสอบจากไกอามากยิ่งขึ้นด้วย ดังนั้น โลกดูจะแปรปรวนมากสักหน่อย แต่ไม่ใช่ภัยพิบัติ มนุษย์โลกที่แท้จริงจะปรับตัวอยู่รอดได้ แต่มนุษย์่ต่างดาวที่ไม่มีพันธุกรรมของมนุษย์โลกเลย จะถูกเก็บ แล้วเราก็จะหา "มนุษย์ต่างดาวตัวเป็นๆ" ที่มีร่างเนื้อแทบไม่ได้อีกแล้ว สรุป ก็คือ เป็นลูกครึ่งอ่ะ ดีแล้ว จะทำให้มีความสามารถปรับตัวเข้ากับโลกนี้ได้ดีด้วย แล้วก็พลังของต่างดาวจะอยู่ชั้นนอกนะ แบบนั้น จะเป็นเหมือน "ชุดคลอธหมู่ดาว" นั่นเอง ต่างกันไปในแต่ละดาว คล้ายๆ เรื่องเซนต์เซย่าน่ะแหละ แต่ว่าเซ้นต์ีนี่ก็ต้องมีระดับนะ เหมือนนักบุญหรือผู้ที่ผ่านการทดสอบแล้วระดับหนึ่ง เอาละ เม้าท์มากพอควรละ จะได้ไปนอนฝันดีกันทุกคน ราตรีสวัสดิ์



วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2556

อิทธิฤทธิ์สาธารณะ ที่คุณอาจจะกลายเป็นเหยื่อ!

อ๊ะ พี่ชายไม่ชอบเลยอ่ะ คนชอบมาตัดสินพี่ชายที่หน้าตา ทำไมอ่ะ ถึงไม่ดูที่จิตใจพี่ชายละ ว่าพี่ชายมีจิตใจอย่างไร ทำไมดูแต่หน้าตา คิดดูนะ มาหาว่าพี่ชาย "เป็นคนน่ารัก คนดี" โธ่ มันไม่ช่ายอ่ะ พี่ชายออกจะร้าย และแรงส์ ออกจะตายไป มาว่าเค้าอย่างนี้ได้อย่างไร บอกแล้วไงว่า "อย่ามาตัดสินคนที่หน้าตา" เอาละ บ่นให้ฟังพอทำเนา เรามาเข้าเรื่องของเราดีกว่า วันนี้เป็นเรื่องของ "อิทธิฤทธิ์" โอ้วว ท่าทางน่าจะสนุก อย่างน้อยๆ ก็หนังไซไฟเรื่องหนึ่ง เอาเลย ติดตามชมกันเลย 


อย่างแรก พี่ชายอยากจะปูพื้นก่อนเหมือนเดิมนะ คือเรื่องมันมีมาอย่างนี้ ก่อนหน้านี้ พลังในโลกเขาจะเก็บไว้อย่างดี นึกออกเนอะ ไม่ใช่พลังไร้ระบบ ไปมาได้หมดเสรีนะ อย่างนั้น โลกป่วนอยู่ไม่ไหวละ พลังงานในโลกมีมากมายเยอะแยะ มันจะถูกพลังควบคุมเก็บไว้ กักไว้ ในส่วนต่างๆ ของโลก และจะถูกปลดปล่อยออกมา "ตามวาระอันควร" เช่น ถ้ามีพลังมังกรดุร้ายบนโลก แล้วถูกกักไว้ที่หนึ่ง พอถึงวาระจะมีผู้มีบุญบารมีมาโปรด เขาก็จะได้รับการปลดปล่อย พลังงานนั้นก็จะออกมาได้ ครับ โอเค? เข้าใจไม่ยากนะ ขอไม่อธิบายอะไรมากเกินไป แต่ถ้าใครเคยอ่านเรื่องการปลดปล่อยพลังงานในโลก มาบ้าง ไม่ยากแน่นอนละครับ เอาละ ทีนี้ พอมาถึงกึ่งกลางพุทธกาลเนี่ย มันจะมี "คนมีบารมี" มาเกิดเพื่อบำเพ็ญบารมีกันเพี้ยบๆๆๆ เลย ทีนี้ ท่านที่ดูแลโลกอยู่ เขาก็เห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะ ปลดปล่อยพลังที่โปรดได้ยาก ชำระได้ยาก ออกมาก็แล้วกัน เป็นโจทย์ให้ผู้บำเพ็ญบารมี ฝึกจิต ฝึกฤทธิ์ ฝึกตน ก็ว่ากันไป ได้ทำหน้าที่ของตนและพลังงานเหล่านั้นจะได้รับการเคลียร์ซะที ผลก็คือ "พลังงานพิเศษถูกปลดปล่อยออกมามาก" บนโลก จนกลายเป็นสภาวะที่พี่ชายขอใช้คำเรียกว่า "อิทธิฤทธิ์สาธารณะ" ไม่ใช่ "อภิญญาสาธารณะ" นะ ยังไม่นับเป็นอภิญญา เพราะจะเป็นอภิญญาได้ต้องได้ความรู้ทางพุทธระดับหนึ่งแล้ว ที่เขาเรียกว่า่ "ความรู้ยิ่ง" นี่แหละ ถึงจะเรียกว่าอภิญญา ดังนั้น อิทธิฤทธิ์เหล่านี้ จึงเป็นได้ทั้งสิ่งที่เรียกว่า "อวิชชา" ก็ได้, "อภิญญา" ก็ได้ ในท้ายที่สุด ของผลการบำเพ็ญบารมีหรือฝึกฝนตนนั้นๆ ทีนี้ พอเห็นภาพชัดเจนขึ้นแล้วเนอะ และถ้าใครบางคนมีประสบการณ์บ้างแล้ว เช่น สงสัยว่าทำไมนะ มันจึงมีพลังอะไรมากมาย วนเวียน ปั่นป่วนในโลกนี้ และเราก็รับมันได้ง่ายมากขึ้น ไม่ต้องไปบุกป่าฝ่าดง เข้าหา เข้าถ้ำอะไร อ้าว มันก็เข้ามาถึงตัวเราเองได้เลย ก็นี่แหละ ที่พี่ชายบอกว่า "ธรรมชาติของโลกเขาปลดปล่อยพลังงานเหล่านี้มา" ซึ่งมันเคยถูกกักเก็บไว้มาก่อนละครับ มันเป็นของที่จะปล่อยเสรีมากไม่ได้ ของมันแรงอ่ะ 555 ว่าไปนั่น 


อย่างที่สอง พี่ชายอยากจะลงลึกไปว่า แล้วพอพลังงานเหล่านี้ ได้รับการปลดปล่อยออกมาแล้ว เย้ๆ พวกเราก็จะได้รับพลังงาน แล้วกลายเป็นมนุษย์ที่มีพลังพิเศษหรือเปล่า? ป่าว ยังไม่ใช่อย่างนั้นทันทีหรอก คือ เรายังไม่แน่เลยว่าเราจะใช้พลังนั้นได้ไหม? สอบผ่านไหม? ฝึกตนได้ดีคุมพลังมันได้หรือเปล่า? ยังน่ะ ต้องผ่านการทดสอบให้ได้ก่อน ทีนี้ ถ้าสอบตกละ มันจะเกิดอะไรขึ้น เอาละ ไม่ยาก มันก็จะควบคุมเราไง แทนที่เราจะควบคุมมัน ใช้่พลังเหล่านั้นได้ แต่พลังงานเหล่านี้มันกลับมาควบคุมเราเองซะอย่างนั้น ซวยละสิ ทีนี้ก็ตัวใครตัวมันละ ถ้าได้คนช่วยเหลือ ก็ดีไป ถ้าไม่มีใครช่วยได้เลย บางคนถูกพลังงานนั้นครอบงำจนต้องมีจุดจบที่น่าอนาถมากทีเดียวเชียวละ ดังนั้น พี่ชายก็เลยบอกว่า "มันเป็นอิทธิฤทธิ์สาธารณะก็จริง" แต่ๆๆๆ ระวังนะ เีราจะเป็น "เหยื่อ" ของมันด้วยละ เอาละ มาย้อนดูคำว่า "สาธารณะ" นิดนะ คือ พลังงานเหล่านี้ มันจะไม่อยู่ในระบบอัตตานะ แต่มันจะเป็นระบบ "สาธารณะ" อันนี้เป็น "ข้อตกลงใหม่" ที่เบื้องบนท่านให้เป็นกฏกติกากันไว้ก่อนที่จะทำการปลดปล่อยพลังงานเหล่านั้นออกมา ท่านว่า ถ้าใครทำดี ได้ดี ได้พลังงานดีไป แต่ยึดไม่ได้ ได้แล้วเสียไปก็ได้ มันไม่เหมือนอภิญญาที่เราปฏิบัติได้แล้ว มันเป็นของเราจริงๆ ใครก็เอาไปไม่ได้ โน่ๆๆๆ ยูฟังไอให้ดีละ มันเป็นพลังงานสาธารณะนะ จะบอกให้ Yes! No! Ok! Thank you .... 555 เข้าใจนะ ดังนั้น พลังงานที่อยู่ในตัวพี่ชายนี้ มันพร้อมที่จะออกไปสู่คนอื่นได้ทุกเมื่อ พี่ชายอาจจะเสียมันไปได้ทุกเมื่อ เช่นกัน พี่ชายก็สามารถรับพลังงานใหม่ๆ ได้ทุกเมื่อ อ่า พอเข้าใจภาพนะครับ พวกเราที่เข้ามาอ่านบทความของพี่ชายนี้ ถ้าใครโชคดีและทำดีมาเหมาะควรแล้ว ก็จะได้รับพลังพิเศษได้เลย พี่ชายเป็นเหมือนดาวเทียมเชื่อมสัญญาณพลังงานต่างๆ เป็นโอเปอร์เรเตอร์สุดหล่อ ฮ่าๆๆ คอยดูแลชุมสายพลังงานต่างๆ เหมือนกันครับ ซึ่งก็มีใครอีกหลายคนนะ ที่ทำหน้าที่แบบพี่ชายอย่างนี้ ไม่ต้องแปลกใจ แต่พี่ชายจะมีลักษณะพิเศษอีกข้อคือ พี่ชายจะอธิบายให้คนเข้าใจได้ง่ายและมาก เพราะเป็นการอธิบายแบบพื้นๆ ไม่ต้องแปลกใจ พี่ชายก็เคยโง่โคตรๆ มาก่อน ฮ่าๆๆ เข้าใจดีว่ามันเป็นอย่างไร จึงทำได้ครับ


เอาละ เม้าท์ยาวเดี๋ยวจบไม่ลง เอาง่ายๆ สรุปนะว่า พลังงานพิเศษนี่ ไม่ต้องไปหาซื้อที่ไหน เดินทางขึ้นเขา เข้าถ้ำให้ลำบากอะไร เราอยู่ตรงไหนในโลกก็ช่าง "เท่าเทียมกันหมดทุกคนนะเด็กๆ" ดีไหมจ๊ะ ที่เบื้องบนกำหนดกติกาในเกมให้เราอย่างนี้ โฮ่ๆๆ ยิ้มหน่อยจ๊ะ เด็กๆ ที่น่ารักและมีพลังพร้อมจะเรียนรู้ทั้งหลาย เพราะเธอจะได้รับการดูแลที่เท่ากันแน่นอน ไม่มีลำเอียงจ๊ะ พลังงานทุกอย่างเป็นสาธารณะ ใครที่ทำได้ดี ก็จะได้ไป ใครที่ทำแย่ ก็จะเสียมันไปได้ ไม่ยากเลยครับ เอ้า ง่วงซะแล้ว นิทานอาหรับราตรีจบ ก็นอนซะนะ ราตรีสวัสดิ์ครับ ...



วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

พลังปราณพิษ ที่อาจแพร่สู่คุณโดยไม่รู้ตัว!

เดี๋ยวนี้คนชอบอ่านธรรมะกันเองเยอะเนอะ เมื่อก่อนพี่ชายเคยเข้าสอบ จะมีคนพวกหนึ่งชอบพูดว่าฉันทำข้อสอบได้ ยังงั้นยังงี้ เยอะเลย พอผลออกมา คะแนนพี่ชายก็อยู่ต้นๆ มักจะที่หนึ่งอ่ะ ส่วนเจ้าพวกที่พูดแบบนี้ พี่ชายเห็นมันหายไปไหนหมดเลย แป่ววว เหมือนกัน คนที่ไปอ่านธรรมะเอง คิดว่าตัวเองทำได้ เข้าใจถูกหมดแล้ว มันก็มีเยอะ แต่ขอโทษนะ ถ้าให้มันทำข้อสอบละ "ร่วงละนาว" สอบตกไม่รู้ตัว แต่มันไม่มีใครมาสอบละ มันก็เลย "หลงตัวเอง" ไงเล่า เอาละ วันนี้ จะมาเ้ม้าท์กันเรื่องนี้แหละ คือ "พลังปราณพิษ" ที่เกี่ยวกับการอ่านธรรมมากเกินไปด้วย อ๊ะ เป็นไปได้ยังไง เดี๋ยวพี่ชายจะอธิบายดังต่อไปนี้


อย่างแรก พี่ชายขอปูพื้นฐานนิดหนึ่งเรื่อง "ปราณพิษ" มันก็ืคือ พลังปราณชนิดหนึ่งที่มีลักษณะไม่ต่างจากพิษ คือ ใครได้รับไปแล้วจะส่งผลร้ายต่อร่างกายหรือจิตใจได้ แต่จะต่างจากพลังอื่นๆ ทำให้ความคิด, จิตใจ, ความเข้าใจ ผิดไป และยังเกิดอาการทุรนทุรายเวลาที่มีใครมาจี้โดนจุดเข้า เช่น อ่านธรรมะมาเข้าใจผิดแล้วกลายเป็นปัญหาไป พอมีคนมาบอกจุดที่ผิด เขาก็จะมีอาการทุรนทุราย ทำท่าต่อต้านหรือปะทะกับเราได้ เหมือนคนที่มีอาการพิษกำเริบทุรนทุรายอย่างนั้น ซึ่งปกติ มันไม่ไ่ด้จะโดนกันง่ายๆ หรือบ่อยๆ แต่ยุคนี้ โดนบ่อยครับ อ๊ะ แล้วมันเพราะอะไร? สาเหตุมาจาก "พญานาค" ซึ่งเคยดูแลพระพุทธศาสนาอยู่ ถูกเหล่ามารครอบงำให้เป็นพวก พญามารแปลงกายเป็นพระพุทธเจ้าเหมือนเป๊ะขนาดพระอุปคุตยังดูไม่ออกเลยแล้วพญานาค มีหรือจะดูออก ก่อนหน้านี้พญามารไม่ได้ลงมือแต่เมื่อถึงวาระกึ่งกลางพุทธกาล พระพุทธเจ้าเคยตรัสบอกให้พระพุทธศาสนาแก่ยักษ์, มาร, เทพ, พรหม ทั้งสี่เหล่าก็ลงมาแย่งกันครับ พรหมแย่งเอาพิธีกรรมและการทำสมาธิต่างๆ ไป (รวมทั้งพิธีบวชพระด้วย), มารแย่งเอาคัมภีร์ไตรปิฎกไป, ยักษ์แย่งเอาคาถาฤทธิ์เดชและถาวรวัตถุต่างๆ เช่น วัด ไป (เป็นผีเสื้อวัด หรือยักษ์เฝ้าวัด นั่นเอง) สี่เหล่านี้ ไม่เข้ากันครับ เพราะคนละเหล่ากัน เลยแย่งสมบัติกันยุ่ง อิรุงตุงนังกันไปหมด แล้วพญานาคที่ดูแลพระพุทธศาสนาไม่รู้ เห็นพญามารแปลงกายมา คิดว่าเป็นพระพุทธเจ้า ก็เชื่อฟังไปหมด แล้วทำงานให้แก่พญามารแปลงนั้น พญามารได้ครองคัมภีร์แล้ว ใครอ่านคัมภีร์ธรรมโดยไม่ยอมจำนนต่อมาีรๆ ก็จะสั่งให้พญานาคไปพ่้นพิษใส่ โดยใส่ร้ายต่างๆ นานาว่าเป็นพวกทำลายพระพุทธศาสนาบ้าง ฯลฯ เช่น คนที่มีธรรมจริง เห็นคนหลงยึดติดตำรา พอบอกว่าอย่าไปยึดติดตำรามาก เท่านั้น มารก็แผลงฤทธิ์เลย ให้พญานาคพ่นพิษอีก ทีนี้ก็เลยต้องเปิดศึกสงครามน้ำลายกัน นี่เรื่องมันเป็นมาอย่างนี้ ฟังเป็นนิทานก็พอนะ อย่าคิดมาก


อย่างที่สอง ที่พี่ชายอยากจะลงลึกสักนิดคือ ธรรมะนั้นไม่ใช่ของเรา เป็นของพระพุทธเจ้า อุปมาดั่ง "โอสถรักษาโรค" ของแพทย์ ซึ่งเขาจะรู้ดีว่าคนไข้คนไหนควรได้รับยาอย่างไร เมื่อเราไปพบแพทย์ๆ ก็จะสั่งยาให้เรา โดยผ่านการตรวจวินิจฉัยโรคโดยละเอียดก่อน จึงจะให้ยาตามที่ควรแก่เราได้ แต่เมื่อเราไม่ทำตามระบบนี้่ แพทย์ตายลงทิ้งยารักษาโรคไว้ให้เรามากมาย มีคนไปรวบรวมเก็บไว้เต็มตู้ เราก็ไปกินยาเอง โดยมั่วๆ หยิบมากินเองมั่วๆ ไม่มีแพทย์วินิจฉัยสั่งยาให้เราเลย เราก็จะได้รับพิษจากยานั้นได้ ไม่ต่างอะไรกับการที่เราหยิบธรรมะมาอ่านมั่วๆ เองโดยไม่ผ่านการวินิจฉัยจากพระพุทธเจ้า เจ้าของธรรมะว่าเราควรได้รับธรรมอะไร ดั้งเดิมตอนที่ท่านยังอยู่ เราอยากได้ธรรม เราก็ไปหาท่าน ฟังธรรมจากท่านโดยตรง ท่านไม่เคยมีบอกว่า เอ้า เธอมาจดจำไว้นะ แล้วไปบอกต่อๆ กันไป ธรรมะของเราเป็นอย่างนี้ๆ จึงถูกต้องนะ ไม่มีเลย เพราะอะไร? เพราะธรรมนั้นเหมือนโอสถที่ต้องได้รับการสั่้งจากแพทย์ๆ จะวินิจฉัยคนไข้ก่อนว่าควรได้รับยาอะไร จึงให้ได้ ดังนั้น จึงต้่องผ่านการวินิจฉัยจากพระพุทธเจ้าก่อนที่เราจะรับไปได้ ไม่เช่นนั้นก็กลายเป็น "พิษธรรมะ" อย่างที่ได้อธิบายไปแล้วนั้นแล ทีนี้ คำถามจึงเกิดขึ้นว่าแล้วทำไมบางคนอ่านธรรมะได้มากมาย ไม่เป็นอะไรเลย คำตอบคือ ถ้าเขายังมีบุญ มีพลังคุ้มกันดีอยู่ ก็ยังไม่ถึงวาระที่เขาจะได้รับพิษธรรมะ แต่เมื่อใดที่เขาหมดบุญ หมดฤทธิ์แล้วก็จะได้รับพิษธรรมะได้ คำถารมต่อไปก็คือ แล้วจะทำอย่างไร ถ้าเราได้รับพิษธรรมะ คำตอบคือ หาทางแก้ ๑. ใช้พลังธาตุไฟขับพิษออก หรือพลังอะไรก็ได้ที่ขับพิษออกได้ ๒. ใช้ "บาตรทิพย์" ดูดเอาพิษธรรมะออก ก็จะสลายพิษให้หมดไปได้ ซึ่งบาตรทิพย์จะอยู่กับคนที่มีพลังในลักษณะ "สุญตา" คือ สลายพลังอื่นๆ เข้าสู่ความว่างสูญได้ อันเป็นบาตรทิพย์ของพระพุทธเจ้าที่ได้รับการถ่ายทอดต่อๆ กันมา เช่น ท่านตั๊กม้อ, ท่านหุยเคอ ฯลฯ ก็ไ้ด้รับสืบทอดบาตรนี้ หรือทางที่ดีที่สุด คือ จะอ่านธรรมะของใครขอเจ้าของธรรมะเขาก่อนหรือยัง? ถ้าเขาให้แล้วก็อ่านได้ ถ้าเขายังไม่ได้บอกให้เราเลย เราไปได้มาจากไหนไม่รู้ ควรระวังด้วย เพราะเจ้าของธรรมะยังไม่ได้บอกเราเลยว่ามันเป็นอย่างไร?


เอาละ วันนี้ พี่ชายมีธุระอีกละ ฮ่าๆๆ สนุกกับเว็บใหม่ มีเรื่องให้หายเงียบไปวันๆ ก็เท่านั้น เลยเห็นควรต้องจบง่ายๆ ไปก่อน อย่าลืมละ สรุปง่ายๆ นะ สนใจธรรมะ ให้รับจากเจ้าของเขาโดยตรง ถ้าเขายังไม่ไ่ด้ให้ อย่าไปเอาเลย ถ้าเขาให้แล้ว ก็ไม่เป็นไร ส่วนธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ควรรับจากท่านโดยตรงครับ แม้ท่านจะไม่มีขันธ์ห้าแล้ว ไม่ได้แปลว่าท่านตายหายสูญ ท่่านยังโปรดสัตว์ได้อยู่นะครับ ใครเจอเองก็รู้เอง เพราะท่านไม่มีรูปนามอะไรแล้ว ระวังดีๆ ละ จะเจอมารแปลงเอาด้วย วันนี้ พี่ชายขอจบแค่นี้ก่อนละกัน ราตรีสวัสดิ์ครับ