วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พระเจ้าผู้สร้างโลก ไม่ได้มีเพียงองค์เดียว?

ในบางโลกธาตุ จะมี "พระเจ้า" ผู้สร้างโลกธาตุนั้นๆ ปกติ มักจะอยู่ในโลกธาตุนั้นๆ ด้วยเช่น สุขาวดีโลกธาตุตามตำราของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ก็ได้กล่าวถึง "พระอามิตาภะ" ที่เป็นผู้สร้างสุขาวดีโลกธาตุและได้ดำรงอยู่ในสุขาวดีเช่นนั้นไม่มีที่สิ้นสุด โดยส่วนใหญ่แล้วโลกธาตุอื่นๆ มักเป็นเช่นนั้น ยกเว้น "โลกธาตุของเรา" หรือที่มีชื่อเรียกในพระไตรปิฎกอย่างเป็นทางการว่า "ตรีสหัสโลกธาตุ" เนื่องเพราะมีถึงสามภพประกอบกัน แตกต่างจากโลกธาตุอื่นๆ ที่ปกติมักจะมีภพเดียว คือ ภพสวรรค์ นอกจากนั้น โลกธาตุของเรายังถูกสร้างด้วยหลายท่านมากมาย หลายไม้ หลายมือ หลายยุค หลายสมัยจนกลายเป็นตำนานและศาสนาที่แตกต่างกันมากมาย เพราะด้วยศรัทธาในพระเจ้าผู้สร้างโลกต่างองค์กันนั่นเอง และด้วยเหตุนี้ โลกจึงต้องมี "ยุคสมัย" อันเป็นผลมาจาก "พระเจ้าผู้สร้างโลก" ต่างองค์ผลัดเปลี่ยนเวรกันมาดูแลในแต่ละปีนั่นเอง และส่งผลให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "วัฏจักร" ซึ่งโดยปกติจะมี ๑๒ ปีต่อหนึ่งรอบวัฏจักร นอกจากนี้ ในช่วงเวลาหนึ่งปี ก็ยังมีเทพที่ดูแลย่อยๆ ลงไปอีก ทำให้โลกมี ๓ ถึง ๔ ฤดู (แตกต่างกันไปตามแต่ ละท้องถิ่นด้วย) ในแต่ละฤดูก็ยังมีความแตกต่างกันเป็นรายเดืิอนและรายวันด้วย เอาละ ก่อนที่จะซับซ้อนจนเกินไปกว่านี้ ผมขอเม้าท์เพียงแค่ "วัฏจักรรายปี" ก่อนก็แล้วกัน สรุปตุ๊บตั๊บตรงนี้ก่อนง่ายๆ นะครับว่าโลกถูกสร้างด้วยพระเจ้าหลายองค์, หลายไม้, หลายมือ, หลายยุค 


คราวนี้ก็มาถึง "การเล่าเรื่องราว" กันบ้าง ซึ่งเมื่อความจริงเป็นดังเช่นที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว ขั้นต่อไปคือ การเล่าเรื่องราวและถ่ายทอดไปสู่คนรุ่นต่อๆ ไป ซึ่งอย่างหนึ่งที่ผมอยากจะบอกแก่ท่านก่อนเลยก็คือ "ยุคสมัยของงานศิลปะ" เช่น ในโลกของเรานี้ มีบางช่วงจะเป็นยุคของงานภาพวาดเหมือนจริง แล้วหลังจากนั้นจึงเป็นยุคของงานศิลปะแนวอื่นๆ เกิดขึ้นมา เช่นเดียวกันกับ "งานเขียนและวรรณกรรม" ก็มียุคสมัยเหมือนกัน กล่าวคือ งานเขียนหรือวรรณกรรมต่างๆ จะนับได้ตั้งแต่ยุค "ไร้ตัวอักษร" แ่ต่ใช้การบอกเล่าต่อๆ กันมาแทน ดังนั้น ในยุคนั้น สิ่งที่ถูกถ่ายทอดปากต่อปากมาถึงวันนี้ได้ "ย่อมต้องเลือกแล้วว่าสำคัญที่สุดจริงๆ" เพราะมันไม่อาจจะจดจำอะไรได้มาก เพื่อเล่า่ต่อให้ลูกหลานได้หมด จริงไหมครับ ดังนั้น ผู้สืบทอดทั้งหลายก็ต้องเลือกแต่ที่จำเป็น, สำคัญ, น่าติดตาม หรือน่าสนใจจริงๆ เท่านั้น และคงเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากเรื่องของ "พระเจ้าและเทพเจ้า" นี่ผมนับเป็น "ยุคเริ่มต้น" ก็แล้วกัน ยุคต่อมา เริ่มมีการบันทึกแต่ในแบบของ "รูปภาพ" ยังไม่มีตัวอักษรอยู่ดี ดังนั้น เราจะเห็น "หลักฐานต่างๆ ปรากฏอยู่ได้" เช่น ภาพแกะสลัก, รูปแกะสลักต่างๆ ฯลฯ เพื่อบันทึกเรื่องราวที่สำคัญและจำเป็นเพื่อถ่ายทอดให้แก่คนรุ่นหลัง และยุคนี้เองก็ได้มีเรื่องราวของ "ผู้มีอำนาจที่สั่งให้บันทึกสิ่งต่างๆ เหล่านั้น" ซึ่งก็คือ "วรรณกษัตริย์" นั่นเอง ดังนั้น เรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดสืบๆ กันมาในยุคนี้จึงเป็นเรื่อง "กษัตริย์และเทพเจ้า" ซึ่งจะออกมาในแนวๆ ที่สรรเสริญกษัตริย์องค์นั้นๆ ว่าเป็น "สมมุติเทพ" นั่นเอง ซึ่งก็อาศัยสิ่งที่มีอยู่หรือสืบทอดมาแต่ก่อน แต่เสริมความเชื่อเรื่องสมมุิติเทพเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง นี่ผมเรียกว่าเป็นวรรณกรรม "ยุคสมมุติเทพ" ต่อมา ก็ถึงยุคที่เริ่มมี "ตัวอักษร" ใช้่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ผู้มีอำนาจหรือกษัตริย์แต่ฝ่ายเดียวสั่งให้แกะสลักหรือบันทึกเรื่องราวเป็นรูปภาพเท่านั้น แต่ยังมี "วรรณพราหมณ์, พวกนักบวช, นักปราชญ์ หรือกลุ่มชนชั้นที่รู้อักษร" ก็สามารถใช้อักษรเหล่านั้นในการถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ได้เช่นกัน ไม่ต้องลงทุนลงแรงถึงขนาดจ้างช่างแกะรูปสลัก อะไรขนาดนั้น อีกก็ได้ วรรณกรรมที่ถูกถ่ายทอดผ่านตัวอักษรในยุคนี้ จึงไม่จำเป็นต้องสรรเสริญกษัตริย์อย่างเดียวอีกต่อไป ดังนั้น เราจึงได้เรื่องราวที่มากขึ้นในยุคนี้ (เพราะการจดจำบันทึกด้วยตัวอักษรทำให้ง่ายขึ้น) ดังนั้น ยุคนี้จึงเป็น "ยุคเฟื่องฟูของปรัชญา" ที่ทำให้เกิด "นักปราชญ์" ขึ้นมามากมาย ผมขอเรียกยุคนี้ว่า "ยุคปราชญ์" ก็แล้วกัน 


ต่อมา ก็เริ่มมีเรื่องการใช้กระดาษซึ่งง่ายต่อการบันทึกตัวอักษรต่างๆ มากขึ้นไปอีก ดังนั้น จึงทำให้นักปราชญ์และกวีมากมายสามารถใช้่สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ในการถ่ายทอดเรื่องราว, ความคิดของตนได้มากยิ่งขึ้น จนเกิดการ "ปฏิืวัติวรรณกรรม" ขึ้น กล่าวคือ ตั้งแต่ "สองยุค" ที่ผ่านมานั้น ยังไม่เข้าสู่ยุคที่กวีจินตนาการได้อย่างเสรีอย่างแท้จริง เพราะปัจจัยต่างๆ ก็ไม่เอื้ออำนวยทำให้จะต้องยึดถือแต่ "ความถูกต้องตามความเชื่อเก่า" จะไม่มีใครกล้าิจินตนาการอะไร ที่ไม่จริง หรือไม่ใช่ความเชื่อตามหลักศาสนาได้ เพราะต้องคัดเลือกจดจำหรือถ่ายทอดแต่สิ่งที่สำคัญจริงๆ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป มีกระดาษจดบันทึกได้อย่างง่ายดาย ก็เลยทำให้เกิด "ยุคจินตนาการเสรี" ขึ้น เช่น คุณสามารถจินตนาการเขียนอะไรที่อาจจะไม่มีอยู่จริงเลย ก็ได้ ขึ้นมา ถ้าเรื่องราวของคุณได้รับความนิยม มันก็จะได้รับการถ่ายทอดต่อๆ ไปเอง ซึ่งสิ่งนี้ "เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้" หลังการปฏิวัติระบบการบันทึกของมนุษย์ ดังนั้น ถ้าคุณย้อนไปสู่เรื่องราวที่เก่าแก่และถูกถ่ายทอดมาในสองยุคก่อนหน้านี้ "จะไม่มีงานใดที่ออกมาจากจินตนาการเสรีหรือลอยๆ เลย" การที่กวีจินตนาการอะไรออกมาได้เองนั้น เพิ่งเริ่มเมื่อย้อนกลับไปสองยุค ก็เท่านั้นเอง (ยุคปราชญ์ นักปราชญ์ใส่ความคิดของตนเพิ่มเข้าไปหรือแต่งขึ้นใหม่ได้ เช่น นิทานอีสป และยุคจินตนาการเสรี) หรือถ้าจะให้กล่าวชัดๆ ขึ้นอีกก็คือ "เรื่องราวที่เก่ามากๆ" ไม่ได้มาจากจินตนาการแต่มันมาจาก "ความเชื่อหรือความจริง" ที่สำคัญยิ่งยวดจนทำให้้ต้องสืบทอดกันต่อมารุ่นสืบรุ่น ดังนั้น เรื่องราวของเทพเจ้าและพระเจ้าในหลักฐานต่างๆ ที่เก่าแก่มากๆ จึงไม่ใช่เรื่องราวที่มาจากจินตนาการเสรีได้เลยครับ และอีกประการหนึ่ง คนสมัยโบราณก็ยังจินตนาการอะไรเสรีมากๆ ไม่เป็นหรอกครับ ถามว่าเพราะอะไร? เพราะระบอบการปกครองที่หล่อหลอมพวกเขามานั้น ไม่มีระบอบที่เปิดกว้างเสรีให้คิดอะไรก็ได้ตามจินตนาการแบบยุคนี้น่ะสิครับ เราเพิ่งมีระบอบประชาธิปไตยที่เปิดกว้างอย่างเสรีให้คนคิดได้ตามใจ ตามจินตนาการเมื่อไม่นานมานี้เอง (ตามอายุของโลกนะครับ)    


เอาละ สุดท้ายคงต้องสรุปตุ๊บตั๊บว่า เรื่องราวเก่าแก่มากๆ บนโลก ซึ่งเกี่ยวข้องกับพระเจ้าและเทพเจ้านั้น "ไม่มีความเป็นไปได้เลยว่าจะมาจากจินตนาการเสรี" ครับ ด้วยไม่มีเหตุปัจจัยอะไรเอื้อและเกื้อหนุนให้มีได้ เกิดได้ ดังที่กล่าวมาข้างต้น ส่วนเรื่องราวที่ไม่เก่าขนาดนั้น เกิดภายหลัง ถูกเขียนหรือสร้างขึ้นมาภายหลัง จึงเริ่มมีการจินตนาการได้อย่างเสรีครับ ดังนั้น เรื่องราวของพระเจ้าและเทพเจ้าที่เก่าแก่เหล่านี้ จึงมาจาก "ความเื่ชื่อว่ามันเป็นความจริง" ทั้งสิ้นนะครับ แต่มันจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่? อันนี้ ก็ต้องรอให้ "คนรุ่นหลังอย่างเรา" ค้นคว้า, พิสูจน์กันดูเอง ก็แล้วกันละครับ สำหรับวันนี้ เรื่องราวของพระเจ้าและเทพเจ้าทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการสร้างโลก ขอยุติเท่านี้ สวัสดีครับ 



วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พลังของ "แบทแมน" ผีดูดเลือด, เวตาล, ปีศาจค้างคาว ที่ไม่ใช่ภาคมืด เป็นอย่างไร?

แอ่น แอน แอ้นนน อัศวินรัตติกาลมาแย้วววว แว้ว แว้ว แว้ว แว้ววว อ่า ข้าก็คือ "แบทแมน" นั่นเอง โฮ่ๆๆ จิงเกิ้ล จิงเกิ้ลเบล จิงเกิ้ลออนเดอะเวย์ ♫♪..♪♫ ♫♪ •*¨*•♫♪ ♪♫ เฮ้ย คนละเรื่องกันแล้ว กำลังจะแปลงร่างเป็นอัศวินรัตติกาล "แบทแมน" อยู่ กลายเป็นตาเฒ่าซานต้าไปได้ยังไงกัน กลับมาๆ เรื่องของเรา คือ เรื่องของแบทแมน หรือก็ึคือ กลุ่มพลังคลาสสิคที่ไม่ใช่พลังมืด แต่หากินเวลากลางคืนนะครับ อันนี้ ก็มีอยู่ในหลากหลายความเชื่อทั่วทุกมุมโลกเลยทีเดียว อย่าช้าเลย มาๆ นั่งวงก๊ง เอ้ย ไม่ใช่วงเหล้า! มาฟังรายละเอียดกันเลยดีกว่าคร้าบบ


อย่างแรก ผมขอแยกแยะระหว่างพลังมืดและพลังคลาสสิคที่หากินในโลกมืดก่อนว่า ๒ อย่างนี้ ไม่เหมือนกันนะครับ เอาง่ายๆ อย่างนี้ กลุ่มพลังคลาสสิคที่หากินในโลกมืด ก็คือ สัตว์ที่หากินกลางคืน เ็ป็นต้น นี่เขาไม่ได้เป็นพวกมืด แต่เขาหากินกลางคืน เท่านั้นเอง ส่วนกลุ่มพลังมืดนี้ แท้แล้วมาจากเทพนะครับ เทพภาพสว่างมาก่อน แล้วมามืดเอาทีหลัง หรือกล่าวง่ายๆ ก็คือ ยังมีพลังคลาสสิคกลุ่มหนึ่งที่ธรรมชาตินี้ สร้างสรรค์มาให้หากินกลางคืน "เป็นปกติ" ของเขาครับ ส่วนพลังอีกกลุ่มที่เป็นพลังเทพภาคสว่างแต่กลายสภาพเป็น "กลุ่มพลังมืด" ก็ยังต้องมาหากินกลางคืนร่วมกับกลุ่มพลังคลาสสิคที่หากินกลางคืนด้วย อันนี้ คนละอย่างกันครับ เอาง่ายๆ อย่างคนบางคน มีกรรม ถูกจับไปขายในนครโสเภณี อย่างนี้ นับว่าเป็น "กลุ่มพลังคลาสสิคที่หากินในเวลากลางคืน" ครับ เหมือนค้างคาว, นกฮูก อะไรอย่างนั้น แต่กลุ่มคนที่แท้แล้วธรรมชาติเขาไม่ได้จัดสรรให้ไปหากินกลางคืน แต่ต้องแอบไปทำเช่นนั้น ก็อีกอย่างหนึ่ง เช่น กลุ่มคนที่ต้องแอบคบหากันโดยผิดประเวณี ไม่อาจเปิดเผยในเวลากลางวันได้ จำต้องกระทำกิจกลางคืน อันนี้ ก็คือ "กลุ่มพลังภาคมืด" นะครับ พอจะแยกแยะออกได้นะครับ


ต่อไป ผมจะขอแนะนำว่า "พลังคลาสสิคที่หากินกลางคืน" ก็มีอยู่เช่น พลังของนกฮูกที่มักอยู่กับทนายความที่หากินโดยการจับคนทำผิด ที่ไม่ต่างจากหนู, พลังของค้างคาวที่มักหากินในเวลากลางคืนเหมือนผู้บำเพ็ญธรรมแต่มีวิถีกรรมต้องหากินกลางคืน เป็นต้น ซึ่งพลังงานในกลุ่มนี้สามารถเื่ชื่อมโยงมาสู่เราได้ครับ ส่งผลให้เราต้องมีวิถีชีวิตแบบกลางคืนได้ เช่น ต้องทำงาน, หรือกินข้าวหลังสามทุ่ม ก็ยังไม่ได้หลับนอน แบบนี้ ก็ทำให้เราสามารถเข้าสู่มิติกลางคืนได้โดยไม่ใช่ภาคมืดครับ หรือบางครั้งเราอาจถูกลากจูงเข้าภาคมืดด้วยวิธีอื่นๆ ที่ไม่ใช่การเชื่อมโยงพลังงานกับกลุ่มสัตว์ที่หากินกลางคืน เช่น การกินอะไรบางอย่างเข้าไปที่มาจากกลุ่มพลังมืด เพื่อให้มีบางส่วนเป็นภาคมืด อันนี้ ผมยังศึกษาไม่ละเอียดพอ ยังไม่กล้าเม้าท์มากครับ ไว้ให้มีเรื่องราวที่ชัดเจนกว่านี้จะได้เม้าท์ครับ ที่เขาเรียกกันว่า "ผลปีศาจ" ในการ์ตูนน่ะครับ คือ มันน่่าจะเป็นของภาคมืดที่เมื่อคนปกติกินเข้าไปแล้วจะทำให้กลายเป็นพวกภาคมืดได้ ถามว่ามันมาได้ไง? ก็ไม่ค่อยอยากบอกเลยครับ เอาเป็นว่าบางทีเราเอา "ผลไม้ไปไหว้เจ้า" แล้วบังเอิญเจ้าองค์นั้นไม่ใช่เทพภาคสว่าง แต่เป็น "ภาคมืด" เข้า เขาก็สามารถเอา "ผลปีศาจ" มาเชื่อมโยงทางพลังงาน (อยู่ในมิติทิพย์ มองไม่เห็นนะครับ) กับผลไม้ที่เราเอาไปไหว้นั้น แล้วพอเราลา เอามากิน มันก็จะได้พลังของ "ผลปีศาจ" ไปได้เหมือนกัน สุดท้าย เราก็จะกลายเป็นพวกเดียวกับเขาไป คือ "ภาคมืด" ครับ อันนี้ เตือนให้ระวัง ไม่ได้บอกให้ทำนะ!


ในประเทศไทยก็มีเรื่องของ "เวตาล" อยู่บ้างเหมือนกัน, ในจีนเขาก็มีเรื่อง "ปีศาจค้างคาว" ที่บำเพ็ญธรรมสำเร็จเป็นเซียน, ส่วนพวกฝรั่งก็มีเรื่อง "ผีดูดเลือด" และ "แบทแมน" อะไรแบบนั้น ล้วนมีลักษณะไปในทางเดียวกัน คือ "ค้างคาวผี" ของไทยก็มองในมุมกรรมที่ทำให้ไปเกิดเป็นเวตาลว่ามาจากนักปราชญ์ที่หวงวิชา ก็จะไปเกิดเป็นเวตาลและถ้ามีคนจะเอาเวตาลไปใช้ก็จะ้ต้อง "มีนิสัยหวงวิชา" จะได้เข้ากันได้ เช่น ถ้าเวตาลเล่านิทานแล้วถามคำถามอะไร ก็ต้องไม่ตอบ ถ้าไปเผลอตอบเข้า เวตาลจะหนีไปได้ (อ๊ะ ถึงว่าทำไมไม่ค่อยมีคนโต้ตอบกระทู้ผมเลยอ่า? นิทานก็จบไปไม่รู้กี่เรื่องไม่ค่อยตอบกันซักที ฮ่าๆๆ) ส่วนของคนจีนกล่าวในด้านดีว่าถ้าบำเพ็ญธรรมสำเร็จเซียนแล้วก็จะได้เป็นมนุษย์ครับ แ่ต่ของฝรั่งออกมาในสองแบบ แบบแง่ลบก็คือ ผีดูดเลือด (สงสัยพวกทนายคงเรียกเงินพวกที่ทำความผิด ต้องคดีไปเยอะเชียว เลยถูกแอ๊บด่าว่าเป็นผีดูดเลือด) แบบแง่บวกก็มีคือ แบทแมน หรืออุปมาถึง "ทนายความผู้ผดุงความยุติธรรม" อะไรแบบนั้นมั้ง 


เอาละ สรุปตุ๊บตั๊บว่า ก็มีพลังคลาสสิคที่ไม่ใช่พลังมืด แต่สามารถเข้าสู่โลกมืดได้อยู่ (จริงๆ มันก็คือโลกด้านมืด ไม่ใช่ของภาคมืดมาก่อนเลย) ถ้าคุณจำเป็นที่จะต้องเข้าสู่โลกด้านมืด ก็เป็นทางเชื่อมโยงได้ ทางหนึ่งครับ แต่ถ้าคุณไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเข้าสู่ด้านมืดก็ไม่ต้องเื่ืชื่อมโยงพลังกับกลุ่มนี้ก็ได้ครับ แต่ผมก็มองว่าสัตว์ในโลกนั้นถูกแบ่งเป็นสัตว์ที่หากินกลางวัน และสัตว์ที่หากินกลางคืน โดยปกติก็ไม่แปลกอะไร มนุษย์ปกติเป็นสัตว์ที่หากินกลางวัน แต่ก็ไม่ผิดถ้าจะมีหากินกลางคืนบ้าง ซึ่งนับเป็นส่วนน้อยของมนุษย์ครับ เอาละ นิทานอาหรับราตรี เด็ดสะระตี่ มะนีเด้ง คืนนี้ จบก่อน แล้วค่อยมาเม้าท์มันๆ กันใหม่ รีบๆ กินนมแล้วนอนซะ หน้าจะได้ไม่เหี่ยว ราตรีสวัสดิ์ครับ! 


วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มหัศจรรย์พลัง "คฑาทิพย์วิเศษ" ทำให้เงินไหลมาเทมาได้ โดยไม่ต้องทำงาน!

อย่างแรก ผมอยากแก้ไขทัศนคติที่ผิด อันเกิดจากความเข้าใจในทางโลก เกี่ยวกับเรื่องการทำงานและรายได้ ด้วยคำอธิบายในทางธรรมเสียก่อนนะครับ กล่าวคือ แต่ละสิ่งมันไม่ใช่เหตุผลของกันและกัน มันแค่ปรุงประกอบร่วมกันเหมือนผสมอยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน แต่ไม่ใช่เหตุหรือผลของกันและกันเท่านั้นเอง เพราะเหตุทั้งหมดก็คือ "กรรม" และผลทั้งหมด ก็คือ "สิ่งที่คุณต้องรับและได้ปรากฏแล้ว ณ ปัจจุบัน" นั่นเอง หมายความว่าอย่างไร? (งงไหมเนี่ย?) อย่างนี้นะ 


๑. รายได้ ไม่จำเป็นต้องมาจากการทำงานหรือเหตุผลอะไรในทางโลกเลย ถ้าคุณมี "บุญกรรม" ที่จะต้องรับมันซะอย่าง คุณก็หนีรายได้นั้นไม่พ้นครับ ไม่ได้มีเหตุผลว่าคุณทำงานดี, เก่ง, ทุ่มเท ฯลฯ แล้วจะต้องได้รายได้มากกว่าคนขี้เกียจ ไม่เอาไหน งี่เง่า แต่เป็นลูกเจ้าของอะไรแบบนั้น ไม่เกี่ยวกันนะครับ หรือคนอยู่เฉยๆ ก็มีรายได้ ได้ครับ

๒. หน้าที่ ไม่จำเป็นต้องนำไปสู่รายได้เลยแม้แต่น้อย เช่น หน้าที่ของคนที่้ต้องทำให้ประเทศไทยเขียวชอุ่ม เขาก็ทำของเขาไปสิครับ ไม่มีรายได้จากการทำหน้าที่นั้นหรอกครับ คนละเรื่องกัน เขาทำหน้าที่ ทำกิจของเขา ทำไป เรื่องรายได้มันคนละเรื่องกันครับ ไม่ต้องมีก็ได้ครับ

๓. อาชีพ คือ คำกว้างๆ ที่ผสมผสานเอาทั้ง "หน้าที่, อำนาจ, รายได้, ความรับผิดชอบ, บทบาท" ฯลฯ ผสมผสานปรุงแต่งรวมกันไว้ แต่มันไม่ใช่เหตุผลของกันและกันเลย ทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันนี้ มันเป็น "ผลจากกรรม" ทั้งสิ้นครับ ส่วนเหตุทั้งหมดมาจากกรรมนั่นเอง


โอเค? ทีนี้เข้าใจไหมครับว่าสามอย่างนี้มันคนละเรื่องกัน ไม่เกี่ยวกัน ไม่ใช่เหตุผลของกันและกัน แต่มันถูกเอาไปผสมผสานปรุงแต่งร่วมกันอย่างไร? เอาละ เช่นนั้น คุณก็ควรจะเข้าใจต่อไปว่า "เราสามารถมีรายได้โดยไม่ต้องทำงาน ก็ได้" และ "เราสามารถทำงานโดยไม่ต้องมีรายได้ ก็ได้" คนละอย่างกันนะครับ เช่น ถ้าคุณรู้ตัวแล้วว่าคุณเกิดมาบนโลกนี้ เพื่อทำให้โลกนี้ "สะอาด" วันๆ คุณเก็บขยะไปขาย โอ้ย ได้เงินนิดเดียว ไม่รวยขึ้นมาหรอก ทำๆ ไปงั้นแหละ เหมือนชาวนาที่ปลูกข้าวให้คนกิน ทำอย่างไร้ มันก็ไม่รวยขึ้นมาได้เลย นั่นละ ทำไป ทำซะ มันหน้าที่ของคุณ คุณก็ทำมันไปซะ ไม่ต้องบ่น ไม่ต้องเอาเราไปเปรียบเทียบกับใคร คนอื่นเขาจะมีรายได้มากน้อยอะไร มันก็เรื่องบุญกรรมของเขา ไม่ใ่ช่เรื่องของเรา คนไหนมีบุญจะได้เงิน ได้รวย มันก็ถูกหวยเองได้แหละน่า หรือถ้าจะให้คุณเห็นภาพก็คือ "เทพคนละองค์ที่ดูแลเรื่องนี้ แยกกันเลยครับ" เช่น เทพที่ดูแลคนทำนา ก็คือ แม่พระโพสพ เขาก็ดูแลแต่การทำนาให้ได้ผลเยอะๆ แ่ต่เขาไม่ได้ดูแลในเรื่องจะขายให้ได้เงินเท่าไรหรอกครับ ส่วนเทพที่ดูแลเรื่องว่าใครจะได้เงินมากหรือน้อย ก็เป็นเทพอีกองค์ องค์นี้ก็ไม่ได้มาดูหรอกครับว่าใครทำงานหนักหรือทุ่มเทกว่าใคร ท่านเปิดบัญชีบุญกรรม แล้วเช็คดูว่าใครมีบุญจะได้เงิน เอ้า เอาเงินไป มันก็แค่นั้นเอง ดังนั้น อย่าเอาสิ่งที่ปรากฏเห็นในทางโลก มาตัดสินอะไรในทางธรรม เลยนะครับ


ทีนี้ ผมก็จะขอเ้ข้าเรื่องของเราเสียที (ลากมาซะยาวเลย) คือเรื่องของทิพย์ิวิเศษที่ทำหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับ "เงิน" ซึ่งก็คืออะไรไม่รู้ละ แต่ผมขออนุญาติตั้งนามเรียกไว้ก่อนว่า "คฑาโภคทรัพย์" ก็แล้วกัน มันจะเหมือนคฑาที่คุณเห็นคนจีนเขาเชื่อกันนั่นแหละ ที่เป็นคฑาพาดไหล่ของพระโพธิสัตว์องค์อ้วนๆ น่ะ ผมก็ไปเอาเรื่องความเชื่อของเขามาดู มาเรียนรู้ และขยายความอีกที ก็เท่านั้นเอง เอาละ เรื่องของเรื่องก็คือ ใครที่มีคฑาทิพย์อันนี้ ไม่ต้องทำงานอะไรหรอก มีหน้าที่แค่ จัดสรรให้เงินหมุนไปอย่างไร ก็เท่านั้นเอง ให้เงินไหลไปไหนมาก ไหลไปไหนน้อย เข้าที่ไหน ออกจากไหน อะไรแบบนั้นน่ะครับ ทีนี้ จะมีอานุภาพที่มากน้อยเพียงไรก็ขึ้นอยู่กับบารมีน่ะครับแต่ละอันมีอานุภาพไม่เท่ากัน  บางอันก็อาจจะดูแลได้แค่บ้านของตัวเอง บริษัทของตัวเอง เมืองของตัวเอง หรือบางอันอาจดูแลการไหลเวียนของเงินได้ทั่วโลกเลยครับ ซึ่งการบำเพ็ญบารมีนี้มีพื้นฐานคล้ายคลึงกับการบำเพ็ญ "คฑาทิพย์" ชนิดอื่นๆ เหมือนกัน (คฑาทิพย์มีหลายแบบ เช่น แบบด้ามยาวปักลงดินเพื่อปักหลักก่อตั้งอะไรสักอย่าง, แบบด้ามสั้นใช้ถือส่องแสงนำให้ปวงสัตว์เดินตามมา และแบบพาดไหล่ที่ผมกำลังกล่าวถึงนี้) แต่การจะบำเพ็ญให้ได้คฑาทิพย์แบบไหนนั้นต่างกันเล็กน้อยในรายละเอียด  ซึ่งเอาไว้บทความหน้า ผมค่อยเม้าท์ต่อดีกว่าครับ เพราะวันนี้ผมเม้าท์มาซะยาวมากแล้ว เดี๋ยวเด็กๆ ฟังนิทานแล้วไม่ยอมหลับนอน ตื่นสาย เจ้านายจะด่าเอา โทษผมไม่ได้นะเออ สำหรับวันนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ ...



วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ยุค "พันมือ" กับบารมีในการถือครองของทิพย์วิเศษพันชนิด!

อ๊ะ วันนี้ ไม่มีมุขจะเล่นอีกตามเคย บวกกับหัวข้อก็ยากน่าดู ผมเองยังงงเลย แต่จะพยายามค่อยๆ ถ่ายทอดทีละน้อยเป็นลำดับไป เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจนะครับ ซึ่งหัวข้อของเราในวันนี้ ก็คือ เรื่องยุคพันมือกับบารมีการถือครองของทิพย์ต่างๆ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


อย่างแรก ผมอยากอธิบายคำว่า "บารมีในการถือครองหรือใช้สิ่งของ" ก่อนนะึีครับ อย่างแรกอยากให้ท่านทราบว่า "ของทุกอย่างบนโลกนั้น ศักดิสิทธิ์" เพราะทุกชิ้น, ทุกชนิด "มีพระผู้สร้าง" สร้างมันขึ้นมา และท่านเหล่านั้นก็ยังดูแลอยู่ครับเช่น ช้อนซ่อม, ปากกาหรือแม้แต่ไม้แคะหู ฯลฯ ทุกอย่างมีความศักดิสิทธิ์เพราะมีผู้สร้างและผู้สร้างก็เ็ป็นพระผู้สร้างอยู่ในอีกมิติหนึ่งคอยดูแลสิ่งนั้นๆ อยู่ จวบจนกว่าจะถึงกาลสิ้นลงของสิ่งนั้นๆ ผ่านการส่งทอดมอบสิ่งนั้นๆ ให้แก่ "ผู้รักษา" หรือ "ผู้รับมอบแล้วนำไปใช้" นั่นเอง (คนที่ไม่ได้คิดหรือสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา แต่ได้รับสิ่งนั้นเพื่อนำไปใช้ทำกิจ) ทั้งนี้ "ผู้รับสืบทอดเพื่อนำไปใช้" จำต้องมี "พลังเกี่ยวพันกับสิ่งนั้น" อย่างใดอย่างหนึ่งก่อน เช่น ๑. มีกรรมต้องรับไปใช้ ๒. มีบุญจึงได้รับไปใช้ ๓. มีบารมี สามารถใช้สิ่งนั้นได้ ซึ่งในสองข้อแรกนั้นจะไม่ถาวรจะเป็นแค่ระยะบุญหรือกรรมสนองผลเท่านั้น    ซึ่งปกติจะไม่นานเลย ไม่มากพอที่จะเป็นอาชีพทั้งชีวิตได้เช่น บางคนต้องทำงานใช้เครื่องไถนาสัก ๒ ปี แล้วกลายเป็นแรงงานไปใช้เกรียงแทน อันนี้ ก็เป็นไปตามผลบุญหรือกรรมนั่นเอง แต่ถ้าผู้ใดได้ถือครองด้วยบารมีแล้ว สามารถถือครองได้ยาวนานทีเดียว บางท่านก็ชั่วชีวิตเลย เช่น บางท่านทำงานโดยใช้ปากกาได้ทั้งชีวิต (เซ็นต์อย่างเดียว)   ในประเทศญี่่ปุ่นพุทธศาสนานิกายชินโต เชื่อว่าทุกสิ่งล้วนมีวิญญาณ ก็มาจากไตรปิฎกแหละครับ เพราะมี "สังขาร" (ธรรมจากการปรุงแต่ง) จึงมี "วิญญาณ" และสมมุติใดๆ ในโลกนี้เกือบทั้งหมดก็มี "สังขาร" ทั้งนั้นแหละ (ยกเว้นก็แต่นิพพาน, จิตประภัสสร* และอวิชชา เท่านั้นเอง) ดังนั้น ทุกสิ่งจึงมีวิญญาณไงครับ แต่ว่ามันไม่ได้มี ในแบบที่เราเข้าใจในทางโลกๆ นะครับ ไม่ใช่มีวิญญาณไปสิง หรือไปครองแล้วก็กลายเป็นผีขึ้นมา อะไรแบบนั้น สรุป ก็คือ "สองมิติเชื่อมโยงกัน" ถ้าคุณถือครองวัตถุสิ่งของใดก็ตาม อีกมิติหนึ่ง ก็ต้องมีพลังรองรับไม่ว่าจะเป็นพลังงานเชื่อมโยงในรูป กรรม, บุญ หรือบารมี ก็ตาม เอาละ ถ้าคุณมีบารมีถือครองมันได้ ก็ไม่มีปัญหา แต่ที่ผมต้องการเน้นก็คือ ถ้าคุณไม่มีบุญหรือบารมีจะถือครองมันละ? ที่คุณถือครองมันอยู่ ไม่ใช่ด้วยพลังแห่งกรรมดอกหรือ? เช่น การถือครองเงิน ของคนจำนวนมากในโลกนี้ ก็ถือครองด้วยกรรมทั้งสิ้น (ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงให้ศีลไว้เพื่อให้ภิกษุละเว้นจากการถือครองเงินเสีย เพราะไม่มีบาีรมีจะได้) 


ต่อมาขออธิบายคำว่า "ยุคพันมือ" อีกนิดหนึ่ง มันก็คือ การที่บำเพ็ญบารมีมากพอจนถึงโพธิสัตว์ มีบารมีมาก มีกรเป็นพันกร ในแต่ละหนึ่งกรจะมีบารมีถือครองอาวุธทิพย์หนึ่งอย่างรวมแล้วทั้งสิ้น ๑,๐๐๐ อย่างพอดี พอเข้าใจเรื่องพลังงานเชื่อมโยงสองมิติออกนะครับ ถ้าคุณถือปากกาเป็นเครื่องมือ ๑ ชิ้น คุณก็ต้องมี "ของทิพย์" ในกรทิพย์ ๑ กร จึงจะใช้ปากกานั้นได้ด้วย "บารมี" เซ็นต์อนุมัติอะไรให้ใคร ก็ไม่ต้องกังวลมากครับ "เพราะมีบารมีพอรองรับผลมันได้" แต่คนส่วนใหญ่ในโลกยุคนี้ "ถือครองโดยไม่มีบารมีพอ" พวกเขาถือครองได้ด้วยพลังแห่ง "บุญหรือกรรม" ต่างหาก โดยช่วงแรกพวกเขามักถือครองด้วยพลังแห่งบุญก่อน พอสิ้นพลังบุญไปแล้ว ด้วยใจที่ยึดติด, ใจอยากได้ อยากถือครองต่อไป ก็จะต้องถือครองด้วย "พลังแห่งกรรม" นั่นเอง และจุดเปลี่ยนนี่แหละ ที่ "พลังภาึคมืด-พลังซาตาน" เข้ามาสนองให้ ด้วยการแลกเปลี่ยน หลายคนจึงได้อะไรมากมายมาโดยง่ายกว่าที่มันควรจะเป็น และต้องสูญเสียอะไรบางอย่างไปในภายหลังโดยไม่รู้ว่านี่คือการแลกเปลี่ยน ทว่า คุณลองดูโลกในยุคนี้สิ จะให้เรากลับไปอยู่แบบมนุษย์ถ้ำหรือ? เป็นฤษีหรือ? คงไม่ได้ใช่ไหมละครับ เมื่อเราก้าวมาถึงขนาดนี้แล้ว เราก็ต้องก้่าวหน้าต่อไป ให้ถึง "แสงสว่าง" ให้ได้ กล่าวคือ เราก็ควรไปให้ถึงจุดที่เราจะถือครองสิ่งต่างๆ ได้ด้วยบารมี และชีวิตเราทุกวันนี้ เราต้องใช้ "ของใช้" กี่อย่างละครับ? ลองนับดูเล่นๆ ง่ายๆ ก็ได้นะครับ เช่น เครื่องแต่งหน้า ๑๐ ชิ้น, เครื่องชำระล้างร่างกาย ๑๐ ชิ้น, เครื่องแต่งกาย ๑๐ ชิ้น, เครื่องมือสื่อสารฯ ๑๐ ชิ้น, เครื่องมือทำครัว ๑๐ ชิ้น ฯลฯ โอ้ย ผมว่ามันน่าจะถึง ๑,๐๐๐ ชิ้น ได้ในที่สุดนะ ดังนั้น ผมจึงบอกว่าเราจึงต้องบำเพ็ญ "พันกร" ไงละครับ ในเมื่อเราต้องบำเพ็ญพันกรพร้อมๆ กัน มันก็ทำให้โลกต้องเข้าสู่ยุคพันมืออย่างไรละครับ ไม่เช่นนั้น จะต้องมีการทำลายล้างกันขนาดใหญ่ เพื่อให้สิ่งที่ไม่ควรมี, ไม่ควรได้, ไม่ควรเกิด ต้องสิ้นสุดลงไป และเราก็จะปรับเข้าสู่ยุคฤษี อยู่แบบนั้น มีของใช้นิดๆ หน่อยๆ อยู่แบบสมถะก็พอแล้ว อะไรอย่างนั้น ซึ่งผมคิดว่า ท่านทั้งหลายคงไม่ต้องการแน่ๆ


เอาละ หัวข้อนี้ "ยากส์" ครับ มันยากและอาจทำให้มึนได้ ถ้าพูดต่อไป  ฮ่าๆๆ เอาเป็นว่าทีละน้อย วันละนิด ค่อยๆ เป็นค่อยไป ก็แล้วกัน แบ่งไว้วันหลังบ้าง จะได้มีเรื่องไว้เม้าท์กันต่อ สำหรับบทความฉบับนี้ ผมขอจบเพียงเท่านี้ก่อน ไว้พบกันใหม่ในบทความหน้า ราตรีสวัสดิ์ครับ 


* หมายเหตุ ในปฏิจสมุปบาทนั้น ไม่มีปรากฏก็เีพียง "นิพพาน" ส่วน "จิตประภัสสร" นั้น ย่อมหมายรวมเป็นส่วนหนึ่งของ "อวิชชา" ด้วย นั่นคือ ต่อให้จิตนั้นบริสุทธิ์ แต่ก็เต็มไปด้วยความไม่รู้อยู่ดี เหมือนคนที่ใสซื่อ, โง่ และยังไม่รู้แจ้ง นั่นเอง 



วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พลังคลาสสิคของไกอา ที่จะช่วยให้คุณพ้นจากการถูกพลังมืดครอบงำ

อย่างแรก อยากให้คุณตรวจเช็คก่อนนะครับ ว่าคุณถูกพลังมืดครอบงำมากน้อยแค่ไหนแล้ว ผมก็เลยลองยกตัวอย่างขึ้นมา ๑๐ ข้อครับ ให้คุณลองสำรวจตัวคุณเองดูว่าคุณมี ๑๐ ข้อเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน ถ้ามีมาก แสดงว่าคุณอยู่ในภพมืดมาก นั่นเอง ลองสำรวจดูได้เลยครับ


๑. คุณเป็นทาสของเวลา ต้องทำอะไรตามเวลาหรือเวลามีผลต่อชีวิตของคุณอย่างยิ่ง เช่น เวลานัด, วัน-เวลา พิเศษ คุณหวั่นไหวกับเวลาและตัวเลขบ่งบอกเวลาเหล่านั้นมากจนสูญเสียความเป็นตัวเอง

๒. ชีวิตกลางแจ้งของคุณลดลง (Outdoor living) คุณเริ่มถูกผนังและกำแพงที่สร้างโดยมนุษย์ แยกคุณจากท้องฟ้า, ผืนดิน, ผืนน้ำ ฯลฯ จนพลังธรรมชาติไม่อาจเชื่อมโยงถึงพลังชีวิตของคุณได้เท่าเดิมอีกแล้ว

๓. ชีวิตกลางคืนของคุณเพิ่มขึ้น เช่น คุณมีกิจกรรม, งาน, หรือการใช้ชีวิตหลัง ๓ ทุ่มขึ้นไป คุณก็ยังไม่นอน ยิ่งคุณมีชีวิตกลางคืนยาวนานมากเท่าไร คุณก็ถูกพลังมืดดูดกลืนเข้ามา ยิ่งมากเท่านั้นด้วยเช่นกัน

๔. คุณมีเจ้านายเหนือหัว ซึ่งไม่เคยทำให้คุณมีปัญญาทางธรรมสูงขึ้น ตรงข้าม มีแต่จะทำให้คุณโง่ลง และยอมเป็นข้าทาสชั้นดี ยอมจำนนต่อคุณอย่างง่ายดายต่อไป เพื่อเงินเดือน คุณต้องยอมเขามากขึ้น 

๕. คุณอยากได้อะไร ก็ได้เลยในชาตินี้ แต่เสียที มันมักตามมาด้วยสิ่งที่ทำให้คุณวุ่นวายในชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่า "ยิ่งได้ กลับยิ่งทุกข์" บางครั้ง คุณอาจจะได้เป็นเจ้าคนนายคน เหนือคนอื่น ด้วยซ้ำไป?

๖. คุณถูกพันธนาการด้วยสิ่งต่างๆ มากมาย เรียกว่า ถ้าจะให้คุณตัดใจไปบวชพราหมณ์ปฏิบัติธรรมสัก ๑ เดือนละก็ เป็นไปไม่ได้แน่ สิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนนามธรรม มองไม่เห็น แต่มีอยู่ มีอิทธิพลต่อชีวิตจริงๆ

๗. คุณไม่มีอิสระที่จะคิด, พูด หรือทำได้อย่างสัตว์โลกตัวหนึ่ง บางทีก็ต้องรอให้ใครสักคนหรือสักกลุ่มหนึ่งตัดสิน, คัดกรอง, อนุญาติ ฯลฯ ก่อนคุณจึงจะสามารถคิด, พูด หรือทำในสิ่งที่เป็นตัวของคุณเองได้

๘. คุณเริ่มติดความสมบูรณ์แบบโดยไม่รู้ตัว เช่น เสื้อผ้าที่คุณใส่ ถ้ามีผงฝุ่นติดหรือยับบ้างก็มองว่าไม่เรียบร้อย คุณไม่ได้มองว่ารอยฝุ่นหรือรอยยับคือ "รอยยิ้มน้อยๆ ของโลก" ที่บ่งบอกว่าคุณยังอยู่บนโลกนี้

๙. คุณเริ่มมีตัวตน ปรากฏในมิติที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ เช่น โลกออนไลน์ และคุณต้องเสียเวลาหล่อเลี้ยงมัน หรือเหมือนว่าต้องทำให้มันมีชีวิตดำรงอยู่จริงๆ มีสังคมออนไลน์ เข้ามาแทนที่ตัวตนจริงๆ ของคุณเอง?

๑๐. คุณมักต้องแลกหรือสูญเสียบางสิ่งไป เพื่อได้สิ่งที่คุณต้องการมา เช่น เมื่อคุณได้งานที่คุณต้องการ คุณอาจจะต้องย้ายที่อยู่และจากไปจากครอบครัวของคุณ จนไม่อาจดูแลพ่อแม่ของคุณได้ดังเดิมอีก


เอาละ อันนี้เป็น ๑๐ ข้อ ให้ลองตรวจเช็คกันเล่นๆ ก่อนครับว่าคุณอยู่ในกลุ่มที่ถูก "พลังมืดครอบงำ" มากน้อยแค่ไหน แต่ก็อย่าเพิ่งตกใจไปละ ถ้าคุณมีครบทั้ง ๑๐ ข้อเลย ไม่แปลกหรอกครับ คนยุคปัจจุบันก็มีกันเยอะครับ (ดีใจไหมครับ คุณมีเพื่อนมากเลย ที่จะไปอยู่ในภพมืดกับคุณและไม่ได้ผุดไ้ด้เกิด?) คุณสามารถเอาตัวออกจากมิติมืดนี้ได้ครับ แต่ผมไม่ได้ให้คุณมีทัศนคติเชิงลบกับมิติมืดนี้หรอกนะครับ มันก็คือธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งที่อยู่ในโลกนี้มานานแล้ว และหลายคนก็ยังอยู่กับภพมืดนี้ต่อไป ผมเพียงแค่บอกคุณ เผื่อว่าคุณพร้อมที่จะออกมาข้างนอกภพมืดบ้าง ได้เห็นแสงสว่างบ้าง แล้วจะเข้าๆ ออกๆ ภพมืดบ้าง, สว่างบ้าง ก็ค่อยว่ากันไปอีกที ถ้ามีปัญญาแจ้งดีแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวครับ เข้าๆ ออกๆ ก็ได้ เหมือนผมนี่ไง เวลาทำงานเว็บก็อยู่ในภพมืดแหละครับ (เลยได้เจอคุณผู้อ่านไงละ) แต่ผมไม่ไ่ด้ยกเวลาทั้งชีวิตให้กับหน้าจอคอมฯ นี่สักหน่อย ผมมีเวลาส่วนตัวไปทำอะไรกลางแจ้ง เป็นกิจกรรมกลางแจ้งทุกวันแหละครับ (แต่ว่านะ ตั้งแต่ได้คอมฯ และเน็ตฯ เข้าบ้านมานี่ ผมต้องเสียช่วงเวลาตอนเช้า ที่เมื่อก่อนเคยได้ขี่จักรยานกลางแจ้ง ผ่านแสงอาทิตย์และแม่น้ำที่สงบเย็น ไปแล้วละ) ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าเรามีปัญญาำพอเอาตัวรอดได้, มีบารมีพอจะไม่ถูกภพมืดกลืนกิน การเข้าๆ ออกๆ ภพมืดก็เพื่อฉุดช่วยเพื่อนของเราไงละครับ แต่ว่าถ้าคุณยังไม่กล้าแกร่งพอ จะเลือกอยู่แต่ชีวิตในภพสว่าง ก็ได้ครับ ปลอดภัยดี อย่างชาวนาที่ไม่หลงไปเดินประท้วง นั่นไงครับ (ชาวนาที่ชอบประท้วง, เรียกร้อง ฯลฯ ก็มีบางส่วนในภพมืดเช่นกัน)


เอาละ เกือบลืมเรื่อง "พลังคลาสสิคของไกอา" ไม่ยากครับเหมือนกับชีวิตดั้งเิดิมของบรรพบุรุษเรานี่หละครับ มีชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มีชีวิตกลางแจ้ง เรียบๆ ง่ายๆ เหมือนคนโง่ เลอะเทอะเปื้อนน้ำ, เปื้อนดิน, เปื้อนลม, เปื้อนแสงแดด (จนผิวคล้ำ) บ้าง ก็นี่หละ เหล่าชาวโลกที่แท้จริง ที่ได้รับพลังของไกอาเขาหละครับ ไม่ก็ดูแบบเจงกิสข่าน ที่มีชีวิตอยู่กลางทุ่งหญ้าหรือทะเลทราย ที่มีแต่ผืนฟ้ากับผืนดิน (พลังฟ้าดิน) อยู่ตลอดเวลา นั่นก็ได้ เป็นตัวอย่างคลาสสิคมากเลยละครับ อย่าลืมครับว่า "โลกก็คือโลก" มันไม่ใช่สวรรค์ นี่คือโลก มันไม่ได้เต็มไปด้วยความสมบูรณ์แบบเหมือน "ดาวพ่้อ" ที่คุณเคยดำรงอยู่ ก่อนที่จะจากมา ดังนั้น มันจะไม่สมบูรณ์แบบไปบ้าง โก๊ะๆ กังๆ ไปบ้าง มันก็คือ "ธรรมดาของโลก" ไงครับ คุณรับได้ไหมละ เมื่อต้องมาอยู่ในโลกเช่นนี้แล้ว มันก็แค่นั้นแหละ แต่ถ้าคุณไม่ชิน "ภาคมืด" ก็จะสร้างระบบเตรียมไว้ให้ท่าน ซึ่งจะจำลองแบบสวรรค์, ดาวพ่อที่ึคุณเคยอยู่ ไว้รอรับคุณให้ เมื่อคุณถูกต้อนเข้าไป โอเค มันยอดเยี่ยม และดูดีกว่าเหล่าชาวโลกธรรมดาๆ ทั่วไปมาก แต่คุณอย่าลืมว่า เขาให้เราจากดาวพ่อ จากสวรรค์มาเกิด เพื่อเรียนรู้อีกสิ่งที่ต่างไปจากที่ๆ เราจากมา นั่นก็คือ "โลกมนุษย์" ซึ่งมันมีอะไร ไม่ได้สวยหรูดูเพอร์เฟคอย่างสวรรค์หรือดาวพ่อของเรานัก เช่น คุณอาจตกใจถ้าเห็น "สัตว์กินสัตว์" และคุณก็ระลึกได้ว่าที่ดาวพ่อ, สวรรค์ที่คุณอยู่ ไม่มีการฆ่าสัตว์กินกัน แล้วคุณก็เลยมาสร้างลัทธิกินผัก, นิกายมังสะวิรัตขึ้นมา เป็นต้น แต่ชาวโลกคนธรรมดาทั่วไป ยากจน ปรับตัวเข้ากับโลก ไม่มีอะไรกิน ไปขุดแมลงกินบ้าง, จับปลามาทำปลาร้าบ้าง โอ้ย นั่นก็คือ "ชาวโลก" ไงครับ ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาว ไม่ใช่เทพสวรรค์มาจุติ เอาละ กั้๊กไว้บ้าง เดี๋ยวไม่มีจะเล่า จะเม้าท์เป็นนิทานอาหรับราตรีในคืนต่อไป สำหรับวันนี้ ขอจบลงเท่านี้ก่อน พบกันใหม่ ราตรีสวัสดิ์และ "สุขสันต์วันคริสตมาส" ครับ 




วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

"สื่ออินเตอร์เน็ต" คือ เครื่องมือที่เราจะใช้ทำสงครามเย็น!

ผมเคยได้ยินคนด่ารัฐบาลว่า "อีโง่เอ้ย เอ็งมัวให้ต่างชาติทำอะไรก็ได้ แต่มาควบคุมจำกัดแต่คนไทย แล้วอย่างนี้ คนไทยจะไปแข่งขันอะไรกะเขาได้วะ ค่าแรงในประเทศก็ขึ้นเอาๆ ทีเวลาโรงงานญี่ปุ่นน้ำท่วม แม่งก็ให้มันลดภาษีไปแปดปี มีอย่างที่ไหน ตอนสื่อไทยไปสัมภาษณ์โอบาม่า ถูกควบคุมทุกอย่าง แต่สื่อฝรั่งถามได้หมด โหย ยิ่งกว่าสองมาตรฐานว่ะ เพราะมันเล่นเอามาตรฐานดีๆ ไปให้ฝรั่ง แล้วเอามาตรฐานแย่ๆ มาลงคนไทย บลาๆๆๆ" ด่ากันขรมเลย โอ้ย อย่าคิดมากครับ มีคนด่าบ้าง รักบ้าง ชมบ้าง ชังบ้าง เป็นธรรมดา มาเรื่องของเราดีกว่าครับ นั่นคือ เรื่องสื่ออินเตอร์เน็ตที่เราจะใช้เป็นเครื่องมือสู้ในสงครามเย็นกับอริราชศัตรูคับ (ถ้าคนไทยถูกจำกัดไม่้ให้ใช้ ในขณะที่ต่างชาติใช้สื่อสารพัดเ่ล่นงานเราเอาๆ ผมว่า "จบเห่" คงสิ้นชาติแน่แล้วครับ) มะ มาเม้าท์กันเรื่องนี้เลยละกัน กำลังฮอตนะผมว่าอ่า เชิญทัศนาครับ


เอาละ อ่านบทความนี้คงต้องทำใจหน่อย สำหรับท่านที่อ่อนไหว มีเยื่อบุทางอารมณ์อ่อนบาง เพราะมันเหมาะสำหรับ "เมล็ดพันธุ์ต่างดาวที่แ่ข็งแกร่งและพร้อมทำหน้าที่แล้วครับ" สำหรับเด็กอ่อนๆ เบบี๋ทั้งหลาย ยังไม่อาจฟังได้ อาจระคายหูเอา จำต้องกินนม, ฟังนิทาน แล้วเข้านอนไปนะครับ แต่ถ้าใครพร้อมแล้วที่จะลุกขึ้นมาทำหน้าที่อันควรทำ ไม่ใช่มัวทำอะไรอยู่ไม่รู้ ประโยชน์เล็กน้อย ทั้งๆ ที่โลกกำลังอยู่ในสงครามเย็นแท้ๆ เรากลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย หรือปล่อยให้เขามากลืนชาติเราไปทีละน้อยเฉยเลยอะไรแบบนั้น เอาละ ถ้าคุณพร้อมเราก็ไปด้วยกันครับ นั่นคือ "หยิบอาวุธขึ้นมาสู้สิครับ" อาวุธที่เราพอจะมีได้ประจำมือ ไม่ใช่พระแสงดาบอะไรกัน มันก็คือ "อินเตอร์เน็ต" นี่หละครับ เพราะอะไร? เพราะในสงครามเย็นนั้น เครื่องมือที่ทรงอานุภาพสูงสุดอย่างหนึ่งก็คือ "เครื่องมือสื่อสาร" นั่นไงละครับ และเครื่องมือสื่อสารที่ไปได้วงกว้างที่สุดในตอนนี้ ก็คือ "อินเตอร์เน็ต" อย่างไรละครับ โอเค? เข้าใจแล้วสินะครับ อย่างที่ผมทำมาตลอดเวลานั้น ก็คือ การสร้าง "ขุมปัญญา" อันเป็นรากเหง้าที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาคนครับ เืมื่อเราพัฒนาคนได้มากแล้ว เขาก็จะกลายเป็น "กองทัพอัศวินแห่งแสงสว่าง" อย่างไรละครับ และตอนนี้ ก็ถึงเวลาที่เราจะเอาจริงกันเสียที คือ การใช้สื่ออินเตอร์เน็ตนี่แหละ ทำสงครามเย็นมันซะเลย มาถึงตอนนี้ บางคนคงคิดว่าผมบ้าสงคราม ไม่ก็บ้าเกม หรือบ้าหนัง อ้าว ถ้าประเทศของเราไม่มีวิกฤติจริงๆ คุณอาจคิดถูกก็ได้ แต่ถ้ามันไม่ใช่อย่างที่คุณเห็นละ? ถ้าขณะนี้ มันกำลังมีสงครามเย็นที่พร้อมจะกลืนเงียบประเทศของเราอยู่ และเราอาจกลายเป็นเหยื่อของสงครามเย็นไปได้ เมื่อคุณมารู้ตัวทีหลังว่าถูกกลืนไปแล้ว สิ้นชาติแล้ว คุณจะต้องเป็น "ผู้พ่ายแพ้สงคราม" ไปแล้ว คุณจะรู้สึกตัวทีหลังครับว่า คุณต้องพบกับความอัปยศและต้องรับความยากลำบากมากน้อยเพียงไร


เพราะฉะนั้น เราต้องลุกขึ้นสู้ได้แล้วครับ (บางคนก็เริ่มสงสัยอีก ไอ้ห่า กรูจะเอาอินเตอร์เน็ตไปสู้อะไรกับพวกมันวะ? มันบุกประเทศเราที มันยกโขยงทั้งดารานักร้องมาเป็นกองทัพ แถมหนังทำเงินของมัน ลงทุนทีเป็นพันล้านอ่า?) อย่ากลัว คุณต้องเข้าใจกฏที่สำคัญที่สุดของการสื่อสารอย่างหนึ่งครับ ก็คือ "Butterfly effect" ครับ หรือมันก็คือ การใช้ "พิณทิพย์" สร้างแรงสั่นสะเทือนจากจุดเล็กๆ ให้ขยายวงไปทั่วได้ ไม่ต่างอะไรกับ "ขงเบ้งสยบกองทัพด้วยเสียงพิณ" นั่นเอง ใช่แล้ว เราจะใช้วิธีนี้ ต่อสู้กับสงครามเย็นครับ นั่นแหละ ผมจึงแนะนำคุณเสมอว่าพลังงานอะไรต่อมิอะไร มีผลอย่างไร ใช้ได้อย่างไร ไงละครับ ผมไม่ได้บอกคุณเลยว่า "เราต้องจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเท่าไร จึงจะพอทำสงครามเย็นในครั้งนี้" ไม่มีครับ พวกเรามือเปล่ามาก่อน ไม่เอาเงินของชาติครับ ถามว่าแล้วเราจะใช้สื่ออินเตอร์เน็ตนี้อย่่างไร? เขียนด่าพวกอริราชศัตรูไปเลยดีไหม? ไม่หรอกครับ มันไม่ได้ประโยชน์อะไร การด่าแบบนั้น มันก็แค่พวกที่อยู่ข้างสนามคอยส่งเสียงร้องปาวๆ โห่ไล่คนที่อยู่ในสนามเท่านั้นเอง ที่ผมต้องการคือ ไม่ใช่แค่เชียร์หรอกครับ แต่คุณจะเป็น "ฮีโร่ในสนามนี้ด้วย" ต้องลงสู้กับอริราชศัตรูในศึกนี้เต็มตัวเลยครับ (ซึ่งถ้าคุณได้อ่านบทความวิเคราะห์การเืืมืองโลกที่ผมเคยลงบ้างแล้ว ก็จะประติดประต่อเรื่องราวความเป็นมาได้ไม่ยาก) 


อย่าเพิ่งซีเรียสไปนะครับ มันไม่ไ่ด้ร้ายแรงขนาดนั้น เพราะในสงครามเย็นนี้ เราไม่ไ่ด้เข่นฆ่ากันครับ เป้าหมายของเรา คือ การครอบครองใจผู้ชมต่างหาก ดังนั้น บางครั้งผมจึงเรียกมันว่า "สงครามมหาเทพ" ไงละครับ สำหรับในมิติทิพย์แล้ว พวกเขาจะมีการ "ตาย" มากมายเลยครับ เป็นการตายเพื่อ "กำเนิดใหม่" ครั้งใหญ่มากๆ ครั้งหนึ่งของโลกเลย แปลกไหม? ใช้สื่อหรือรับสื่อจนตายนี่นะ? ไม่แปลกหรอกครับ ดูที่เกาหลีสิครับ หนุ่มเกาหลีคนหนึ่งเล่นเกมจนตาย ตายทั้งร่างสังขารไปเลยครับ (อั๊ยย่ะ) ทีนี้ เราไม่เอายังงั้น เราจะต้อง "แตกใน" เอ้ย "ตายใน" ผมอยากจะบอกคุณว่าหลายครั้งทีเดียวที่ผมทำเว็บนั้น ผมรู้สึกไม่ต่างจากตายเลย มันทำงานเยอะมากๆ จนเบรอ, จนเหมือนหมดพลัง, ไม่เหลือแม้กระทั่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ แล้วก็หมด จบ ตายในไปเลยครับ นั่นแหละ เป้าหมายของเรา ยิ่งเราทำเป้าแตกใน เอ้ย ตายใน ได้มากเท่าไร พลังงานใหม่จะยิ่งจูนเข้ามาประเทศเรามากขึ้นเท่านั้น จน ถึงที่สุดคือ ประเทศเราจะมีพลังงานใหม่มาขับเคลื่อนให้เจริญไปข้างหน้าได้ นั่นเอง เอาละสำหรับนิทานอาหรับราตรีวันนี้ออกแนวสงครามไปนิด อาจกระทบกระเทือนต่อเยื่อบุอารมณ์ของเบบี๋ทั้งหลายไปบ้าง ต้องขออภัยไว้ ณ ทีนี้ ไว้พบกันใหม่บทความหน้า ราตรีสวัสดิ์ครับ ...



วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เมล็ดพันธุ์แห่งดวงดาว (Star seed) ที่ตกสู่โลก จะดำเินินไปอย่างไร?

อ๊า ดีใจจังเลย วันนี้ นึกมุขออกแล้ว และไม่ลืมด้วย เอาละน้า เล่นเลย คือ อย่างนี้ ป้าข้างบ้านแกแก่แล้ว อยู่คนเดียวเปลี่ยวใจ มีหมาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน วันหนึ่งๆ ก็เรียกหมาหลายรอบ เรียกไปอย่างนั้นแหละ แกมีหมาสองตัว สมมุติว่าชื่อ สุดยอด กับ เริ่ดค่ะ ก็แล้วกัน พอเห็นเจ้าสุดยอด แต่ไม่เห็นเจ้าเริ่ดค่ะ ก็จะถามเจ้าสุดยอดว่า "เจ้าเริ่ดค่ะ ไปไหน" อ้าว ยัยป้าประหลาด ไปถามหมามันอย่างนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ? แล้วมันจะตอบป้าได้ไหม? มันก็เงียบทุกทีอะ่ค่ะ วันหลังนะ ป้าต้องถามเจ้าตัวมันเอง ถ้าอยากรู้ว่าเจ้าเริ่ดค่ะไปไหน ก็รอให้มันมาก่อนแล้วถามว่า "เจ้าเริ่ดค่ะ ไปไหน?" ถึงจะได้คำตอบ อ่ะป่าวอะคะ? เอาละ ขำมั้ยอ่า? มุขนี้ ให้เวลาหัวเราะงอหายครึ่งชั่วโมง แล้วมาอ่านบทความกันต่อนะครับ เรื่อง "การเดินทางของเมล็ดพันธุ์ดวงดาวบนโลกมนุษย์" มีดังนี้



บทความที่ผ่านมาได้กล่าวถึง การเกิดขึ้นของเหล่าเมล็ดพันธุ์ดวงดาวแล้วว่ามาจากการผสมพันธุ์กันของดาวอื่นๆ กับดาวโลก ทีนี้เราก็จะมาถึงช่วงเวลาที่พระเอกกะนางเอกของเรา เกิดแล้ว ถูกใส่ความว่าเป็นท่อนไม้ หรือถูกเอาไปทิ้งที่ไหน อ่ะ ม่ายช่าย ไม่ใช่ละครจักรๆ วงศ์ๆ นี่มันเป็นหนังไซไฟฯ ตะหาก เอาละ เมื่อเมล็ดพันธุ์แห่งดวงดาว ไม่ได้กลับสู่ "ดาวพ่อ" และตกค้างอยู่บนดาวแม่ คือ ดาวโลกไกอา นี้ เขาจะต้องพัฒนาตัวเองเพื่อวิวัฒนาการกลับไปสู่ "ต้นเดิม" ให้ได้ก่อนครับ จึงจะกลับสู่ "ดาวพ่อ" ได้ ซึ่งในกระบวนการนี้ ผมได้บอกแล้วว่ามีภาคมืดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คือ พวกเขาได้จำลอง "ดาวพ่อของเทียม" ไว้บนโลก เหมือนระบบอะไรต่อมิอะไรนั่นแหละ ให้เหล่าเมล็ดพันธุ์แห่งดวงดาวได้เข้าไปเรียนรู้เพื่อแสวงหา "ดาวพ่อของจริง" ต่อไป ทีนี้ จึงเกิดการ "ต้อนเข้าสู่ระบบมืด" อย่างไรละครับ มีเมล็ดพันธุ์ดวงดาวอยู่มากมายที่ถูกต้อนเข้าสู่ "ระบบมืด" ซึ่งเป็นระบบที่ภาคมืดได้สร้างขึ้น เช่น ระบบทุนนิยม เ็ป็นต้น เมื่อเหล่าเมล็ดพันธุ์ดวงดาวถูกต้อนเข้าไปแล้ว ก็จะถูกพัฒนาในแบบของภาคมืดไปก่อน ยังไม่ใช่แบบดาวพ่อที่แท้จริง ซึ่งมันก็ช่วยเป็นพื้นฐานในการพัฒนาจิตวิญญาณเพื่อการยกระดับของพวกเขาได้ครับ โดยเฉพาะกลุ่มที่เพิ่งเข้ามาถึงโลกแรกๆ ก็จะถูกต้อนเข้าไปเรียนรู้ในระบบมืดก่อนเลย สังเกตุดูนะครับ พวกนี้ก็จะมีอะไรที่พิเศษๆ มากกว่าคนทั่วไป ติดตัวมา แล้วกลายเป็นสิ่งที่ดึงให้ภาคมืด มาเอาตัวไปเข้าสู่ระบบมืดครับเช่น รูปร่างหน้าตาดีผิดจากปุถุชนคนทั่วไปเขา หรืออัจฉริยะมาแต่เกิดเลย อะไรประมาณนั้นครับ



ทีนี้ เมื่อเมล็ดพันธุ์แห่งดวงดาวเหล่านั้น บ่มเพาะตัวเองจนถึงกาลอันควรแล้ว ก็จะได้รับการพัฒนาในแบบ "ดาวพ่อ" นะครับ ซึ่งจะคนละแบบกับของ "ภาคมืด" ครับ เช่น กระบวนการปลดปล่อย, ชำระล้าง และการสร้างใหม่ เพื่อให้พวกเขาได้รับการชำระล้างตัวเองให้พ้นไปจากพลังภาคมืด และได้กำเนิดใหม่ตามแบบที่ถูกต้อง ตั้งแต่ดั้งเดิมที่พวกเขาเคยเป็นมา ทีนี้พวกเขาก็จะกลับคืนสู่ "ต้นเดิม" ที่เขาเคยเป็น เช่น เมล็ดพันธุ์ดวงดาวที่มาจาก "ต้นกวนอิม" ก็จะกลับไปเหมือนกับพระกวนอิม, เมล็ดพันธุ์ดวงดาวที่มาจาก "ต้นศรีอาร์ฯ" ก็จะกลับไปเหมือนกับพระศรีอาร์ฯ พอเข้าใจนะครับ ไม่ยากแล้ว เห็นภาพแบบนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการปลูกพืช ซึ่งระหว่างทางมีการแปลงสายพันธุ์หรือกลายพันธุ์ไปบ้าง เพราะสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป นั่นเอง แ่ต่ก็จะได้รับการปรับปรุงพันธุ์ให้กลับไปดีเหมือนต้นเดิมใหม่ ในท้ายที่สุด นั่นเอง คนไำหนที่วนเวียนอยู่นานแล้วบนโลกนี้ ก็ใกล้ที่จะถึงฝั่งได้ไปสู่ "ต้นเดิม" แต่เมล็ดพันธุ์ไหนที่เพิ่งมายังโลกใหม่ๆ ก็จะยังห่างไกลและต้องพัฒนาตัวเอง วิวัฒนาการตัวเอง ผ่าน "ร่างสังขาร" อีกมาก หลายๆ ร่างสังขารทีเดียว เพราะอย่างที่บอกแล้วว่า "มนุษย์โลกนั้นมีอายุขัยสั้น" ดังนั้น แค่ ๑ ร่างสังขารจึงไม่พอแก่การเรียนรู้ของเหล่าเมล็ดพันธุ์ดวงดาวเหล่านั้น พวกเขาจึงต้องเรียนรู้ผ่านหลายสังขารมาก นั่นเอง อนึ่ง ในกระบวนการเรียนรู้นี้ ไม่เพียงแต่ "ระบบมืด" ที่มีอยู่เท่านั้น ยังมี "ระบบไกอา" ด้วย ยกตัวอย่างชัดๆ ไปเลยก็ได้ เช่น การเรียนปริญญาตรี (เรียนในห้อง เ้น้นเล็คเชอร์เป็นหลัก) นี่ชัดเลย ก็คือ "ระบบมืด" ส่วนการเรียนรู้แบบนอกห้องเรียน ไปกรีดยางกับพ่อ นี่ ก็คือ "ระบบไกอา" นั่นเอง ส่วนการเรียนรู้เรื่องการกำเนิดใหม่นี่ ของ "ดาวพ่อ" นะครับ (พอจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนไหมครับ?)


เอาละ ฟังนิทานอาหรับราตรีวันละนิด จิตแจ่มใส ฟังไปวันละน้อยก็พอ มากเกินไปเดี๋ยวหมด ไม่มีเล่าต่อ ฮ่าๆๆ ต้องกั๊กไว้เล่าคืนต่อไปให้น้องๆ หนูๆ ได้ฟังกันต่อไป สำหรับเรื่องราวในวันนี้ ขอจบเพียงเท่านี้ นอนหลับฝันดี ฝันเห็นตัวเลขตรงๆ ไม่ต้องตี ราตรีสวัสดิ์ครับ ^_^"