วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มหัศจรรย์พลัง "พิณทิพย์" ที่ทรงอานุภาพสะท้านจักรวาล?

โอ้ย เดี๋ยวนี้ เปิดทีวีไปช่องไหน เป็นอันว่าต้องได้ยินหรือได้เห็นเวทีการประกวดร้องเพลง เต็มไปหมด แต่ละคนก็เพียรพยายาม ทำกันดี ไม่ใช่น้อยๆ เมื่อก่อนไม่่ค่อยเห็น ไม่ค่อยมีมากแบบนี้ แปลกดีเนอะ มันเป็นกระแส คลื่นมาจากไหน ที่ทำให้คนมากมายแห่กันเข้ามาสู่วงการหรือเวทีอะไรแบบนี้่ แถวบ้านผมเป็นบ้านนอก เมื่อก่อนก็เป็นชาวบ้านธรรมดากัน เดี๋ยวตกดึกกลางค่ำกลางคืน แทบทุกคืนเป็นต้องได้ยินเสียงชาวบ้านร้องเพลง เที่ยงคืนก็ยังไม่เลิกครับ แบบว่ามีงานอะำไรก็แล้วแต่ เป็นอันว่าจะต้องมีนักร้อง, วงดนตรี, คาราโอเกะ ไปทุกที่สิน่า ไม่ว่าจะเป็นงานมงคลหรืออวมงคล จะเกิด, จะแต่ง, จะตายก็ช่าง ขาดเพลง ขาดดนตรีประกอบกันไม่ได้เลยสิน่า! น่าแปลกดีไหมละครับ?


ประวัติความเป็นมาของพิณทิพย์ เริ่มต้นขึ้น เมื่อครั้งพระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญทุกขกริยาเป็นเวลาถึง ๖ ปี เมื่อหมดวาระกรรมแล้ว พระอินทร์จึงได้แปลงกายเป็น "สิงขรเทพบุตร" แล้วมาดีดพิณให้ฟัง ส่งผลให้พระพุทธองค์ทรงได้สติ หลุดจาก "สันดอนแห่งฤษี" เกิดปัญญาแจ้งในฉับพลันนั้นเอง ลองคิดดูนะครับ พระพุทธองค์ทรงตั้งสัจจะว่าจะไม่ยอมลุกไปไหน จนกว่าจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเ้จ้า ถึงขนาดมีพญามารเข้ามาท่านก็ไม่ยอมลุก แล้วคนที่นั่งเข้าฌานนานๆ ถึง ๖ ปีนี่ ไม่ใช่จะออกจากฌานกันได้ง่ายๆ ถ้าติดสุข ติดสงบ ติดฌาน ก็เรียกว่า "ติดอย่างยิ่งยวดถึง ๖ ปี" ทีเดียว หากเปรียบฌานเหมือนหินที่กดทับหญ้า หินนั้นคงพอกพูนเป็นก้อนใหญ่มหึมา ไม่ใช่น้อย ทว่า เมื่อได้ยินเสียงพิณทิพย์นี้เข้า สันดอนแห่งฤษีนั้น ก็สลายสิ้นไป นั่นแสดงถึงว่าพลังของพิณทิพย์ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน แม้บางท่านจะพยายามโต้แย้งว่าไม่ใช่พลังอะไรหรอก ก็เพราะพระพุทธองค์ทรงพิจารณา เสียงพิณที่หย่อน, ตึง และปานกลาง ก็เท่านั้นเอง ทว่า อย่าเพิ่งคิดแค่นั้น มันไม่ใช่ว่าคุณก็ทำได้ง่ายๆ ไม่เชื่อเอาธรรมะของพระุพุทธเจ้าไปสอนคนที่เป็นฤษีหรือที่นั่งเข้าฌานนานๆ ดูสิ แล้วคุณจะเข้าใจคำว่า "สันดอนฤษี" ที่แก้ได้ยากนี้ ว่ามันไม่ใช่แ่ต่แค่ "เนื้อหา" อย่างเดียว แต่มันมีทั้งพลังสลายสันดอนฤษีนั้นได้ด้วยเป็นพลังคลื่นสั่นสะเทือนเหมือนพลังคลื่นที่ใช้ทำให้ของแข็งแตกสลาย นั่นเอง ลองคิดแล้วกันครับว่า ตั้ง ๖ ปีที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญทุกขกริยามา แค่ได้รับฟังพลังพิณเพียงทีเดียว ท่่านก็บรรลุธรรมทันที นั่นแสดงว่าพิณทิพย์นี้ ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน ไม่ต่างจากตอนที่ขงเบ้งดีดพิณรักษาเมืองโดยไม่มีทหารเลย 


เอาละ มาดูคุณสมบัติพิเศษของพิณทิพย์นี้กันดีกว่า สรุปให้สั้นๆ ง่ายๆ  ก็คือ "พลังคลื่นสั่นสะเทือน" นั่นเอง เช่น การที่เราพูดเบาๆ เรียบๆ แต่ว่าทรงพลังมากกว่าการพูดแรงๆ หรือกระทบแรงๆ ด้วยวาจา ก็เป็นข้อหนึ่งของพิณทิพย์, การที่ทำสิ่งเล็กๆ แต่มีผลขยายวงกว้าง ราวกับว่าเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวฉะนั้น ก็เป็นลักษณะหนึ่งของพิณทิพย์ นี่คือ คุณสมบัติอันหาไม่ได้ในของทิพย์ชนิดอื่น ลองคิดดูสิครับว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าท่านพูดอะไร สั้นๆ เรียบๆ นิ่งๆ เบาๆ สบายๆ แต่มีผลที่สะท้านสะเทือนต่อเนื่องไปจนถึงระดับบน หรือแผ่ขยายไปในวงกว้างได้ มันย่อมไม่ธรรมดาเลยใช่ไหมละครับ เหมือนถ้าเราต้องการทำให้คนทั่วโลกตระหนัก หรือหวั่นไหวต่อการสื่อสารของเรา แทนที่เราจะซื้อสื่อมากมาย โหมทำโฆษณาประชาสัมพันธ์เข้าไป เราก็ใช้สื่อแค่เล็กๆ เช่น สื่ออิืนเตอร์เน็ต ก็ได้ ทว่า กลับกลายเป็นพลังคลื่นที่มีพลังมหาศาล มีอานุภาพ "สะเทือนถึงดวงดาว" นี่แหละ คุณสมบัติพิเศษของพิณทิพย์ละ ไม่ใช่ธรรมดาเลยทีเดียว ซึ่งการจะได้ครอบครองสิ่งนี้ บางท่านก็ต้องฝึกดีดพิณหรือเครื่องดนตรีอื่นๆ ที่สร้างพลังเสียงได้จริงๆ ร่วมด้วยก็มี เรียกว่า ขณะบำเพ็ญบารมีนั้น จำต้องมีพื้นฐานที่มาจากเรื่อง "คลื่นเสียง" หรือ "พลังเสียง" จะร้องเพลงมาก่อนก็ได้ หรือจะเล่นดนตรีก็ดี หรือไม่เช่นนั้นก็ใช้พลังคลื่นเสียงรักษาโรคให้คนเลยก็ยิ่งดีใหญ่ อันนี้ เป็นเพียงการปูพื้นฐานการบำเพ็ญบารมี เท่านั้นครับ แต่ก้าวต่อไปที่จะก้าวให้ถึงขั้นได้ครอง "พิณทิพย์" นั้น ยังมีอีกมาก หลายขั้นครับ (ลองสังเกตุดูว่าในประเทศของท่าน มีใครที่เข้าข่ายสร้างบารมีมาแบบนี้บ้างไหม? ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตามนะครับ)


เอาละ สุดท้าย ไม่มีอะไรมาก ที่พูดนี้ไม่ได้ให้ท่านเกิดกิเลสอยากได้ หรือยึดติดบ้าพลัง บ้าของทิพย์ หรือบ้าอยากได้พิณทิพย์อะไร ก็แค่เม้าท์ให้ฟังสนุกๆ เป็นเหมือนนิทานพื้นบ้านไทยอีกเรื่องหนึ่งก็แล้วกัน ไม่ต้องคิดมาก เขียนเอาไว้ให้ลองสังเกตุกันเล่นๆ ว่าทำไมคนบางคน  ทำอะไรเล็กๆ เบาๆ แต่ทำไม ถึงเกิดอานุภาพมหาศาล หรือส่งผลไปถึงวงกว้างได้ แต่ทำไม คนบางคนทำบ้าง กลับไม่ไ่ด้ผล ทั้งที่บางทีก็มีเนื้อหาในการสื่อสารไม่ต่างกันนัก สำหรับบทความนี้ ขอจบลงเพียงเท่านี้ พบกับเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นได้ใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ



วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

12/12/12 ของคุณคืออะไร?

ธรรมดาของตัวเลข เป็นเพียงเครื่องบอกจำนวน แต่มันไม่ได้ระบุว่าเป็นจำนวนของอะไร นั่นหมายความว่าคุณสามารถที่จะให้ตัวเลขนั้นหมายถึงอะไรก็ได้ครับ นั่นแหละ ที่มาของคำถามของผมที่ถามคุณว่า 12/12/12 ของคุณคืออะไีร? เหมือนกับตัวเลข 36-24-36 อย่างนี้ คุณคิดถึงอะไร? คุณอาจจะคิดถึงปุ๋ย พรทิพย์ (อดีตนางงานจักรวาลที่มีเชื้อชาติไทย) แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น 6-12-24 ละ ก็ปุ๋ยอีกเหมือนกัน แต่เป็น "ปุ๋ย เคมี" นะจ๊ะ ไม่ใช่ปุ๋ย พรทิพย์ เห็นไหมละครับ ตัวเลขมันไม่ได้ระบุอะไรแน่ชัดในตัวมันเองหรอกครับ มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะเอาไปใช้หมายถึงอะไรต่างหาก ใช่ไหมละ (คุณว่าไหม) แหม... มันช่างง่ายเสียนี่กระไร แค่เรื่องตัวเลขใช้นับอะไรก็ได้นี่ เด็กประถมก็เข้าใจ คุณว่าไหมละครับ เอาละ นอกเรื่องไปมาก เข้าสู่เนื้อหาของเราดีกว่าครับ


สำหรับผมแล้ว 12/12/12 หมายถึง ผักหวาน/เว็บไซต์/มะลิ ครับ มิใช่ด้วยเพราะคิดเอาเองแบบนักปราชญ์นะครับ แต่เพราะมันคือความจริงที่ผมทำได้สำเร็จแล้วคือผมปลูกผักหวานได้ครบ ๑๒ ต้น, มะลิ ๑๒ ต้น  และเว็บไซต์อีก ๑๒ เว็บ ครับ สำหรับผมแล้วผักหวานหมายถึง อาหารหรือความอุดมสมบูรณ์ที่แตกต่างจากอาหารทั่วไปเพราะผักหวานเป็นผักที่คงทนมาก ถ้าคุณไปเก็บผักหวานในป่าแต่เช้า กลับจากภูเขามาที่บ้านตอนเย็น ผักหวานก็ไม่เหี่ยวเลยครับ มันแข็งแรงคงทนมาก ทั้งยังรสชาติอร่อยจนได้รับคำชมจาก ร.๒ ในกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานด้วยครับ เรียกได้ว่า "ผักหวาน เป็นสิ่งแทน ความอุดมสมบูรณ์ที่ยั่งยืนและสูงส่ง" ส่วนมะลินะหรือครับ ง่ายมาก มันก็คือดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม ไม่ใช่ดอกไม้ที่สวยงามจนน่าหลงไหล และนำไปใช้เป็นเครื่องหมายบอกรักแบบกุหลาบ แต่มันถูกนำไปใช้ร้อยมาลัย เพื่อบูชาสิ่งศักดิิสิทธิ์ เหนือกว่าดอกดาวเรืองที่คนระดับล่างๆ ก็เอามาร้อยแล้วคล้องคอพวกนักการเมืองก็ได้ มะลิสูงส่งกว่าเพราะเหมาะในการให้สิ่งที่ควรแก่การบูชาในระดับสูงมากกว่าดาวเรืองครับสรุปแล้ว "มะลิเป็นสิ่งแทนความ มีเกียรติยศสูงสมสมควรได้รับการสรรเสริญบูชา" ส่วนสุดท้าย คือ เว็บ ไซต์ของผมที่บรรจุความรู้และปัญญาเอาไว้มากมายไม่ต้องอธิบายให้มากความ สรุปเลยว่า "เว็บไซต์ เป็นสิ่งแทนภูมิปัญญา, ธรรมะ และความรู้ด้านต่างๆ" ทำให้สูตร 12/12/12 ของผมจึุงหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ที่ยั่งยืน/เกียรติภูมิสูงส่ง/ภูมิปัญญา อย่างไรละครับ 


เอาละ อย่าเพิ่งเบือนหน้าหนีหรืออิจฉากันไปก่อน เวลาที่ใครพูดเรื่องอะไรดีๆ ให้เราได้ฟังก็ให้มี "มุทิตาจิต" นะครับ จิตจะผ่องใสพ้นบ่วงมารได้ เม้าท์อวดเรื่องของตัวเองมามาก ไม่ใช่เพราะอยากอวดตัวนะครับ เพราะมันก็แค่ เว็บไซต์เล็กๆ กะต้นไม้ต้นเล็กๆ ไม่กี่ต้นเท่านั้นอะครับ ฮ่าๆๆ แต่สำหรับผม ผมมองเห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และกว้างไกลกว่าสิ่งที่เห็นเพียงเปลือกนอกนั้น เพราะอะไร? เพราะเรายังต้องเจอ "บ่วงของตัวเลข" กันอีกมากครับ สิ้นวันที่ 12/12/12 ไปหมาดๆ ยังไม่ทันไร อย่างที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามคำทำนาย ก็มีคนรีบออกมาบอกว่ามันได้เลื่อนไปวันที่ 11/12/13 ไปเสียแล้ว น่านอย่างไรละครับ วันนั้นผ่านไป เราผ่านมาได้ แต่สิ่งที่ยังไม่หมดไปคือ "ภาพหลอนของเลขพยากรณ์" ครับ เรายังต้องอยู่กับมัน และไม่รู้ว่ามันจะแปลงกายมาอยู่ในสัดส่วนไหนอีกเรื่อยๆ ละครับ เอาละ หลักง่ายๆ ก็ได้บอกคุณไปแล้ว แล้วแต่ว่าคุณจะมองเห็น "ตัวเลขมีประจุบวกหรือประจุลบ" ถ้าเป็นบวกมันก็เข้าข่ายกำไรอ่ะนะ แต่ถ้าเป็นลบก็อาจหมายถึงขาดทุนหรือเป็นหนี้ นี่ก็แล้วแต่คุณจะมองกันเองก็แล้วกัน ผมไม่ได้ต้องการอวดโชว์อะไรที่ผมมีหรอกนะครับ เพราะมันเป็นแค่สิ่งเล็กน้อย แต่ผมจำเป็นต้องเอามาเม้าท์ให้ฟังเพื่อเป็นเครื่องยืนยันและพิสูจน์ว่า "ผมไม่ใช่คนที่ดีแต่พูดหรือเป็นแค่ปรัชญาลอยลม" ผมเป็นนักปฏิบัติที่ทำได้จริง และทำ ได้สำเร็จแล้วด้วย แม้ว่าวันนี้มันจะเป็นเพียง "การเริ่มต้นของสิ่งเล็กๆ" ก็ตามที และผมเชื่อว่ามันน่าจะเป็นตัวอย่างให้ท่านทั้งหลาย ได้นำไปใช้ในการมองโลก มองคน มองตัวเลข และนำพาชีวิตไปสู่ภาคปฏิบัติ ทำให้มันกลายเป็นความจริง ไม่ใช่เพียงแต่ปรัชญาหรือความฝันอีกต่อไป ซึ่งมันไม่ได้ยากเกินไปครับ เริ่มต้นจากอะไรที่ง่ายๆ และเล็กๆ ก่อน ที่คุณสามารถทำได้ อย่าเพิ่งไปคิดว่าจะต้องเป็นนายกหรือท่านประธานาธิบดีอะไรกัน ไร้สาระครับ อะไรก็ได้ รอบตัวคุณที่คุณสามารถทำได้ ลองทำให้เกิดขึ้นเป็นผลลัพธ์เชิงประจักษ์ให้เห็นจริงสิครับ มันไม่ต้องบังคับหรือกำหนดหรอกครับว่าจะเป็นอะไร ได้ทุกอย่าง ขอแค่เพียง "คุณมีรากเหง้าของแนวคิด, มุมมอง ในการทำงานนั้นๆ อย่างถูกต้องตรงทาง" ก่อนเป็นเบื้องต้น เท่านั้นก็พอแล้วละครับ ^_^


เอาละ สำหรับบทความฉบับนี้ ไม่มีอะไรที่พิเศษหรือพิศดารมากมาย เป็นเรื่องพื้นๆ ของคนบ้านๆ ธรรมดาๆ ไม่ใช่เรื่องพลังพิเศษ และทุกคนก็สามารถทำไ้ด้ หรือเป็นได้ครับ แต่ผมอยากให้ท่าน "ใช้ใจมอง" ดูให้ดี แล้วคุณจะเห็น "ความงดงามที่เรียบง่าย" ที่ซ่อนอยู่เบื้องลึกของการดำเนินชีวิตอันแสนธรรมดา และ "คมธรรมล้ำลึก" ที่แฝงอยู่ในคนธรรมดาๆ ทั้งหลาย สุดท้าย ผมขอจบลงเพียงเท่านี้ สวัสดีครับ ...




วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มหัศจรรย์แห่งพลัง "ดวงแก้วมณีหัวใจสุญตา" สามารถทำอะไรได้บ้าง?

จิงเกิ้ลเบลๆ จิงเกิลออนเดอะเวย์ ... โฮ่ โฮ้ โฮ โฮ โห่ ... เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ในวันที่ ๑๒/๑๒/๑๒ ที่ผ่านมา สำหรับแถวบ้านผม ฝนตกหลงฤดูครับ ทำเอางง ตกลงจะเข้าหน้าหนาวหรือยัง หรือว่ายังไม่สิ้นหน้าฝนกันแน่ แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรมากนักหรอกครับ แค่อากาศแปรปรวน ไม่ใช่ภัยพิบัติอะไรสักหน่อย ชีวิตเราก็ยังดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งและยังพัฒนามากขึ้นไปเรื่อยๆ ใช่ไหมครับ เอาละ ไม่อยากนอกเรื่องมากไป ให้เสียเวลา เรามาเข้าเรื่องของเราดีกว่า สำหรับวันนี้ เป็นเรื่องต่อจากบทความก่อนๆ ที่กล่าวถึง "ของทิพย์วิเศษทั้ง ๕ แห่งภัทรกัปนี้" เรามาพูดเรื่องของทิพย์วิเศษอย่างที่สอง กันเลยดีกว่าครับ


เรื่องของดวงแก้วมณี "หัวใจสุญตา" นี้ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้ที่หลงเรื่องสุญตา และผู้ที่ไม่เคยรู้จักเรื่องสุญตาเลย ได้มีจิตตรงธรรมได้ ทว่า มันไม่ใช่สิ่งที่เป็นแค่ปรัชญาหรอกนะครับ เพราะอะไรที่มันทำ ได้แค่ปรัชญา มันก็จะไม่มีทางออกมาสู่โลกของความจริงได้เลย แต่สิ่งนี้ มันคือ ความจริง มีอยู่จริงครับ และถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น สืบกันมาเรื่อยๆ เพื่อการสืบทอดสายธรรม อยากจะกล่าวสรุปให้ฟังง่ายๆ คือ คนกลุ่มหนึ่งที่หลงทางไปสองฝั่ง ทั้งซ้ายจัดและขวาจัด คือ คนกลุ่มหนึ่งก็ยึดมั่นถือมัน มีอะไรๆ เยอะเกินไป เต็มไปหมด เช่น รู้มาก รู้เยอะ แต่ไม่หลุดพ้นเหนือความรู้, ตัวรู้, ธาตุรู้ ไปได้ กับอีกพวกหนึ่งคือ พวกที่ยึดสุญตาแบบว่าไม่เอาอะไรเลยหรือปฏิเสธไปหมดทุกอย่าง มองว่ามันไม่เที่ยง, มันไม่ใช่นิพพาน อะไรแบบนั้น อันนี้ ก็เป็นพวกสุดโต่งไม่ต่างกันเพียงแต่้สุดโต่งไปคนละทางก็เท่านั้นเอง ทีนี้ กลุ่มแรกคือพวกที่มีอะไรๆ เยอะนั้น เมื่อเจอดวงแก้วมณี "หัวใจสุญตา" เข้า พวกนี้ก็จะสิ้นสลายหมดเลยครับ เหมือนเจอกับสิ่งตรงข้าม หักล้างกัน อะไรเช่นนั้น พวกเขาที่เคยมีเยอะ มีมาก ก็จะปลงตกได้ เมื่อไม่เหลืออะไรเลยครับ แต่ก็ใช่ว่าจะบรรลุธรรมในทันทีนะครับ แค่โดนล้างเครื่องก่อน ก็เท่านั้นเอง ต่อไป ถ้าได้รับธรรมจริง ตรงธรรมแล้ว ก็จะบรรลุธรรมได้ ทีนี้ อีกพวกหนึ่งบ้าง พวกที่ปฏิเสธ ไม่เอาอะไรเลย ยึดความว่างเอาเป็นสรณะ คิดว่าเป็นนิพพาน พวกนี้ ก็มีพลังสลายธาตุอื่นๆ ได้ครับ ด้วยอำนาจจิตที่วนอยู่กับสุญตานั้่นเอง พอมาเจอดวงแก้วมณี "หัวใจสุญตา" เข้า พวกนี้ก็จะเหมือนได้เกิดใหม่ครับ กลับคืนสู่ "ความมีแบบสมมุติ" อีกครั้ง ก็จะเริ่มเข้าใจถึง "สมมุติ" ที่จำเป็นต้องมี ได้ต่อไป


ผมไม่อยากจะบอกมาก แต่ก็ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เรามีวาสนาต่อกัน ก็บอกให้นิดส์นึงก็ได้นะครับว่า บางคนเนี่ย ไปฝึกอะไรมามากมายเลย มีอะไรในตัวเยอะแยะมันเยอะจัดพอไปเจอดวงแก้วมณี "หัวใจสุญตา" เข้า ไม่เหลืออะไรเลย ส่งผลให้ชีวิตเปลี่ยนแปลง จากที่เคยมีมาก ก็กลายเป็น "สิ้นเนื้อประดาตัว" ได้เฉยเลยครับ นี่ไม่ได้ล้อเล่นนะครับ มีคนโดนเข้าไปแล้ว แล้วมาร้องขอความช่วยเหลือผ่านบางเว็บ ผมก็รู้แล้วว่าคนๆ นี้โดนเข้าให้แล้ว แต่เฉยๆ อยู่ก่อนครับ เพราะเขาไม่ได้มีความศรัทธาต่อเรา เขายึดมั่นศรัทธาในคนอื่น เราจะไปแย่งชิงเขามาจากคนอื่น ก็ไม่ได้ ปล่อยไปตามธรรมชาติครับ จนเมื่อเขามีจิตตรงต่อเราแล้ว เราถึงพูดกับเขาตรงๆ ได้ครับ ยกตัวอย่างอีกก็ได้ อย่างพระบางรูปนี่ มีฤทธิ์มาก ทำเครื่องรางของขลัง คุณไสย์ได้สารพัด ลองได้มาเจอดวงแก้วมณี "หัวใจสุญตา" เข้าไปนะครับ มันจะไม่เหลืออะไรเลย หมดตัวได้ง่ายๆ เลยครับ แล้วจากที่เคยหลงตัวเองว่ามีอะไรมาก มีคุณวิเศษเยอะ มีธรรมมาก (ทั้งที่ไม่ใช่ธรรมแท้จริง) มันก็จะค่อยๆ มีสติ ปลงตก คิดได้ อย่างไรละครับ นั่นแหละ ของมันไม่ใช่ธรรมดา ถึงเรียกได้ว่าเป็น "สุดยอด ๑ ใน ๕ ของภัทรกัป" นี้ เชียวละครับ เรียกว่าอย่าดูถูกไปเชียว "ของมันแรงส์" นะ จะบอกให้ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เืตือน


เอาละ สรุปสุดท้ายนี้ ดวงแก้วมณีหัวใจสุญตา มันไม่ใช่ของคนหนึ่งคนใดตลอดไป แต่มันจะโยกย้ายถ่ายเทไปได้ตามวาระเหมาะสม อันควรครับ เช่น เมื่อคนบางคนมีบุญเข้ามามากๆ ถึงตัว เขาก็อาจจะได้สิ่งนี้ไปครองชั่วระยะหนึ่ง จากนั้น พอหมดบุญแล้ว มันก็อาจจรจากไปสู่คนอื่น ไปหาเจ้าของใหม่ได้ครับ มันก็ย้ายไปเรื่อยๆ เพื่อทำกิจของมันก็เท่านั้นเอง อ้อ ลืมบอกไปว่าสิ่งนี้ ไม่ได้มีแต่ด้านร้ายนะครับ หากใช้ในด้านดีก็ได้อย่างที่บอกว่ามันใช้แก้ทางคนที่สุดโต่งไปทั้งสองฝั่ง  อย่างคนที่สุดโต่งไปทางสุญตาเกินไป มันก็ช่วยให้เกิดใหม่ เหมือนมีชีวิตใหม่ ธาตุในร่างกายที่เคยอ่อนแอ ทำให้เจ็บป่วยง่าย ไม่สบายได้บ่้อยๆ มันก็ทำให้เหมือนได้ธาตุชุดใหม่มา ทำให้เหมือนเกิดใหม่ และมีร่างกายแข็งแรงขึ้นได้ครับ เจ้าสิ่งนี้ มันมีอำนาจเหนือธาตุทั้งสี่ ใช้คุมธาตุทั้งสี่โดยตรง จะให้ธาตุอ่อนแอจนสลายไปก็ได้ หรือจะให้ธาตุแข็งแรงขึ้นเหมือนเกิดใหม่อีกครั้ง ก็ได้เช่นกัน เอาละ เม้าท์เป็นนิทานอาหรับราตรีให้ฟังก่อนนอนอีกเช่นเคย สำหรับวันนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ!



วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มหัศจรรย์แห่ง "หม้อยาทิพย์" ที่แม้แต่ผู้มีฤทธิ์ยังต้องแย่งชิงกัน?

ในที่สุด "วันนี้ที่รอคอย" ก็ผ่านไปแล้วนะครับ สำหรับบางคนก็ผ่านไปพร้อมกับความคิดที่ว่า "ฮ่าๆๆ เป็นไงละไอ้พวกบ้าคำทำนาย หน้าแตกเลยสิมรึง" บางคนก็ผ่านไปพร้อมความคิดที่ว่า "นี่ไงละ ผลงานของเราผู้ใช้พลังจิตปกป้องโลกเอาไว้ เลยทำให้คำทำนายไม่เป็นจริง" แต่บางคนก็ผ่านไปพร้อมกับความคิดว่า "กูไม่สนอะไรทั้งนั้นโว้ย เรื่องตัวกูของกู ยุ่งพออยู่แล้ว ยังเสือกมีเวลาว่างไปคิดฟุ้งซ่านอีก" บ้างก็ผ่านไปพร้อมกับความคิดที่ว่า "อารายกันเหยอ? ไม่เห็นรู้เรื่องอะไรกะเขาเยย" (พูดไปพร้อมน้ำลายยืดไป) สำหรับผมก็ผ่านไปด้วยดีครับ พร้อมได้บล็อกใหม่เพิ่มมาอีกรวมเป็น ๑๒ บล็อก ครับ (แหม ช่างสอดคล้องกับเลข ๑๒/๑๒/๑๒ ซะจริงๆ) แล้วท่านละผ่านมาได้อย่างไรกันบ้าง ก็โพสให้กันอ่านบ้างก็ได้นะครับ เอาละ เล่นมาเยอะวันนี้ เข้าเรื่องดีกว่า 


อ่า อย่างแรกก็อย่าเพิ่งคิดว่าผมกำลังโฆษณาขายเครื่องรางของขลังอยู่ละ เพราะมันไม่้มีความจำเป็นต้องทำอย่างนั้น ผมเขียนเอาไว้ก็เพื่อให้เป็น "มรดกโลก" ก็เท่านั้นเองให้ได้ศึกษาร่วมกันทั้งโลกต่อไปครับ  กล่าวคือ เรื่อง "พลังหม้อยาทิพย์" นี้ บางท่านเห็นว่าเป็นแค่หม้อยาที่ใช้รักษาโรคทางทิพย์เฉยๆ เลยคิดว่าไม่ได้มีอะไรพิเศษ สู้มีดหมอคงไม่ได้ อ๋า อย่าเพิ่งคิดอย่างนั้นครับ ไม่เช่นนั้น มันคงไม่ใช่ "สุดยอด" ของ "ของวิเศษแห่งภัทรกัป" นี้ ที่ต้องถูกนำมาใช้ในกิจพิเศษช่วงกึ่งกลางพุทธกาลเป็นแน่แท้ จะอธิบายอย่างไรดีละ? เพราะว่ามันไม่อาจยึดมั่นได้ว่าจะต้องใช้อย่างไร หรือเอาไปทำอะไร อย่างเช่น คุณมีมีดเล่มหนึ่ง คุณเอาไปหั่นผัก ก็ได้, เหลาดินสอ ก็ได้, ฆ่าคน ก็ได้ ฯลฯ ใช่ไหมละครับ เช่นกันครับ ของวิเศษ ก็เหมือนกัน เอาไปใช้ทำอะไรๆ ได้มากมายเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของสิ่งนั้นๆ ครับ อย่างเช่น นำไปใช้รักษาโรคทางทิพย์ให้แก่คน โดยเฉพาะพวกที่โดนปราณพิษ แล้วแก้ไม่หาย รักษาที่ไหนไม่หาย เป็นต้น ทว่า มันไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะครับ เพราะมันสามารถนำมาใ้ช้ในทาง "ปราบ" ได้ด้วย เช่น ในคนที่มีพลังปราณพิษมาก มันสามารถดูดพลังปราณพิษของคนเหล่านั้นไปแล้วสลายจนหมดสิ้นได้ ทำให้คนเหล่านั้น ที่เคยเก่งกาจ มีฤทธิ์จนคนอื่นๆ ไม่กล้าหือ ก็จะไม่อาจดำรงคงสภาพเดิมได้ บางคนจากเดิมก็เคยทำผิด แ่ต่ไม่ได้รับโทษมานาน พอเจอแบบนี้ไปเข้า ฤทธิ์เสื่อมไปครับ มันก็เลยโดนจับ โดนเล่นงาน โดนวิบากกรรมถึงตัวไปในที่สุดได้ นั่นเอง เห็นไหมละครับ ของบางอย่าง มันดูเปลือกนอกเหมือนว่าไม่มีอะไรพิเศษนัก ไม่ได้มีฤทธิ์เดชอะไรมาก ทว่า อย่าประมาทไปเชียวละ


เอาละ เพื่อให้คุณเห็นภาพ ผมจะเล่าเรื่องตามตำนานให้ฟังก็แล้วกัน "หม้อยาทิพย์" ซึ่งเกิดจากผลแห่งการโปรดสัตว์ด้วย "บาตร" ของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ยังไม่นิพพาน ยังไม่หมดวาระหน้าที่ ยังต้องทำหน้าที่ของมันต่อไปจนกว่าจะสิ้นอายุพุทธกาล เมื่อครั้ง พระพุทธองค์ทรงได้รับมานั้น "มันเป็นของทิพย์ที่เกิดจากกระเพาะพญานาคตนหนึ่งที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว" ด้วยพญานาคเป็นสัตว์ทิพย์ที่มีพิษร้าย มากกว่าพิษสัตว์ใดๆ ทั้งมวล ดุจบรรพบุรุษของงูพิษทั้งหลาย ดังนั้น หม้อยาทิพย์นี้ จึงมีอานุภาพไม่ธรรมดา และได้สืบทอดต่อๆ กันมาจน ถึงมือของท่าน "ตั๊กม้อ" แล้วได้สืบทอดต่อเนื่องกันไปอีก หลายรุ่นจนถึงรุ่นของท่านเว่ยหลาง ที่ได้รับบาตรนี้แทนเครื่องหมายบ่งบอกถึงการสืบทอดสายธรรมเซนของท่านตั๊กม้อ จากนั้น ท่านไม่อาจหาคนที่สืบทอดสายเซนได้อีกจึงไม่ได้ยกให้ผู้ใดสืบทอดต่อ ในช่วงเวลานั้นมีพระอยู่สองรูป คือ ๑. หลวงจีนฟาไห่ ผู้มีอภิญญามาก แต่ไม่ได้บรรลุธรรมอะไรเลย และคิดว่าตนจะต้องปราบมาร ๒. หลวงจีนนิรนาม ซึ่งภายหลังได้บรรลุธรรม เพราะปล่อยวางเรื่องการถือครองบาตรไป ทั้งสองรูปได้แย่งชิงบาตรกัน แต่แล้วบาตรก็ตกไปอยู่ในมือของหลวงจีนฟาไห่ (ด้วยการใช้ฤทธิ์มากกว่าแย่งชิงมา) หลวงจีนฟาไห่หลงตัวเองคิดว่าตนคือ ผู้สืบทอดธรรมสายเซนแล้ว (แท้แล้วไม่ใช่ เพราะผู้ที่ได้สืบทอดสายธรรมนี้ จะต้องได้รับบาตรจากท่านเว่ยหลางเอง ไม่ใช่ไปใช้ฤทธิ์แย่งชิงของเขามา) จนเมื่อ "นางปีศาจงูขาว" หรือ "พญานาคขาว" แปลงกายเป็นหญิงงามและได้รับคำแนะนำจากเจ้าแม่กวนอิมว่าเมื่อใดที่นางมีความรักแท้ จึงจะบำเพ็ญสำเร็จได้กลายเป็นคน ได้มาพบเจอกับหลวงจีนฟาไห่ๆ จึงตามปราบ ในท้ายที่สุด หลวงจีนจึงสำนึุกตนได้ว่าตนไม่ใช่ผู้มีธรรมเลย หลังจากที่ปราบนางงูขาวไปได้ ทั้งๆ ที่นางงูขาวนั้นได้กลับกลายเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์แล้ว นั่นเอง


เอาละ นั่นเป็นเพียงนิทานหรือตำนาน ก็เท่านั้นเอง ผมเล่าให้ฟังกันก่อนนอน เหมือนเทพนิยายอาหรับราตรี ก็แล้วกัน ไม่ต้องคิดมาก 555 เอาละ สำหรับบทความฉบับนี้ขอจบลงก่อน ไว้พบกันฉบับหน้าครับ ...  



วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555

บำเพ็ญบารมีอย่างไร จึงจะได้ "ของทิพย์วิเศษทั้งห้า" มาช่วยกู้วิกฤติโลก?

วันนี้ ไม่่ค่อยเวลาเล่นมุขนะครับ เอาเป็นว่าเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน ...


๑) การบำเพ็ญ "หัวใจสุญตา"

จะบำเพ็ญบารมีหนักทาง "เนกขัมบารมี และ ศีล" จะดำรงพรหมจรรย์ หรือถือบวช (บวชพราหมณ์ห่มขาวก็ได้ครับ หรือไม่ได้บวชแ่ต่ปฏิบัติก็ได้เช่นกัน) จากนั้น จะบำเพ็ญฤทธิ์หนักทางด้่่าน "ธาตุ" และ "มโนมยิทธิ" ใช้ใจทำงานเยอะ ใช่พลังใจเยอะครับ ดังนั้น จึงเ็ป็นคนที่ใช้สมองหรือเหตุผลไม่มากเท่ากับการใช้จิตใจหรืออารมณ์ จึงเป็นคนที่มีพลังใจหรืออารมณ์เด่นชัด เช่น ถ้าได้ฤทธิ์ธาตุน้ำ ใจและอารมณ์ก็จะอ่อนไหวลื่นไหลเหมือนน้ำได้ ซึ่งเขาจะฝึกฤทธิ์ทางสายธาตุไปเรื่อยๆ ครับ จนถึงธาตุตัวที่ ๕ ก็จะครบองค์ห้าธาตุต้น ทะลุไปอีกนิดก็ถึงแก่นธาตุ แก่นธรรมแล้ว บางคนชอบศึกษาเรื่องหิน, สสารวัตถุ, มวลสาร, ปรอท, เล่นแร่แปรธาตุ, เหล็กไหล ฯลฯ จนถึงที่สุดของสายธรรมเขาก็จะอยู่เหนือ "ธาตุทั้งห้า" ไม่ตกอยู่ใ้ต้อำนาจของพระแม่ธรณี, พระแม่คงคา ฯลฯ แ่ต่จะตรงต่อ "โลกหนึ่งเดียว" ที่ไม่แบ่งแยกอีกต่อไปครับ

๒) การบำเพ็ญ "เกราะเพชร"

จะบำเพ็ญหนักทาง "ธรรมวินัย" มีธรรมวินัยครองอยู่ ดังพระภิกษุครองผ้าจีวรฉะนั้น และด้วย "พลังแห่งธรรมวินัย" นี้เอง จึงกลายเป็นเกราะหุ้มกาย ปกป้องคุ้มครองตนได้ เป็นที่พึ่งได้แท้จริง อนึ่ง หากเน้นหนักไปทางศีล จะไม่ได้เกราะัเพชร จะได้อย่างมากเพียงเกราะทองคำ แต่ถ้ามีธรรม (ปัญญา) ร่วมด้วยอย่างสมดุล จึงจะถึงขั้นเกราะเพชรเจ็ดสีได้ ในบางตำราจะเรียกว่า "ผนึกประสาน" อะไรสักอย่าง ไม่ได้เรียกว่าเกราะเพชรโดยตรง ผู้สวมเกราะนี้ จะมีลักษณะเหมือนคนหลายๆ คน เป็นเหมือนคนหลานบุคลิก แ่ต่ไม่ได้บ้า และไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด เพียงแต่อำนาจของเกราะทิพย์ทำให้พลังที่แตกต่างกันนั้น เด่นชัดจนเหมือนกับว่าเป็นคนละคนกัน ทำให้ดูเหมือนเป็นหลายคนได้ นั่นเอง

๓) การบำเพ็ญ "หม้อยาทิพย์"

จะบำเพ็ญหนักไปทาง "วิริยะ และ ขันติ" เพราะต้องอดทนเกลือกกลั้วอยู่กับสิ่งที่ไม่ดี หรือสิ่งที่เป็นพิษภัย จนมีพลัง, บารมีแก่กล้าพอที่จะทำให้สิ่งที่เป็นพิษภัยนั้น สลายไปได้ เมื่อถึงจุดนั้น ก็จะสำเร็จหม้อยาทิพย์ อันสามารถรักษาอาการปราณพิษ หรือพลังพิษ ที่เกิดจากการฝึกจิตที่ผิดวิธีได้ การบำเพ็ญแบบนี้ ไม่เหมาะที่จะดำรงอยู่อย่างคนที่ใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่แปดเปื้อนอะไรเลย เพราะการทำเช่นนั้นจะทำให้ไม่มีความก้าวหน้าในการบำเพ็ญบารมีเลยแม้แต่น้อย เขาจะต้องกล้าหาญที่จะยอมรับพิษ หรือสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายได้ ต้องสามารถผ่านด่านพิษและสิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้นได้ด้วย ก็จะสำเร็จผลเป็น "หม้อยาทิพย์" มีลักษณะเหมือน "บาตรพระ" นี่เอง (แต่เป็นของทิพย์มองไม่เห็นครับ)

๔) การบำเพ็ญ "กระจกทิพย์"

จะบำเพ็ญบารมีหนักไปทางศีลและสัจบารมี ผู้ที่บำเพ็ญจะต้องไม่ใช้ธรรมะของตัวเอง ไม่ใช่ความคิดเห็นของตัวเอง แต่จะต้องทราบด้วยปัญญญาได้ว่าอะไรที่เป็นธรรมจริงหรือไม่จริง และมีจิตน้อมตรงต่อธรรมของพระสุริยเทพ (หรือพระอาทิตย์ยูไล) แต่ด้วยเห็นว่าธรรมของพระอาทิตย์ยูไลมีความร้อนแรง ปวงสัตว์ได้รับแล้วจะเกิดผลเสีย ถ้าไม่พร้อมที่จะรับ ดังนั้น จึงใช้กระจกทิพย์รับพลังธรรมของพระอาทิตย์ยูไล แล้วสะท้อนแสงเข้าสู่โลก, ส่องสว่างให้ปวงสัตว์ (ดั่งเช่น ดวงจันทร์ที่สะท้อนแสงอาทิตย์ฉะนั้น) ในการบำเพ็ญบารมีนี้ หากมัวหลงแต่ "ตำรา และไม่เห็น ผู้มีธรรม" ไม่ทราบว่าพลังธรรมของพระอาทิตย์ยูไล เป็นเช่นใดแล้ว ก็จะกลายเป็น "หลงกลมาร" เพราะมารนั้นเป็นผู้ร่วมทำการสังคายนาทุกครั้ง (เข้าแทรกการสังคายนา) ดังนั้น ธรรมที่อยู่ในตำรา แม้ว่าใช้ได้ก็ต้องใช้อย่างระวัง ทว่า แสงธรรมของพระยูไล ไม่เคยดับ ยังคงส่องมาสู่ปวงสัตว์เสมอ สิ่งนี้ จึงยังคงใช้ได้อยู่เสมอ 

๕) การบำเพ็ญ "พิณทิพย์" 

จะบำเพ็ญบารมีหนักไปทาง "ปัญญา" และ "ศีล" และมักชอบอยู่กับคลื่นเสียง หรือสิ่งที่มีพลังคลื่น เช่น คนที่ทำสมาธิด้วยคลื่นเสียงหรือคนที่รักษาโรคคนด้วยพลังคลื่นเสียง เมื่อเขาได้สำเร็จแล้ว จึงเป็นผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ดุดัน ไม่ก้าวร้าวรุนแรงแต่มีพลังสั่นสะเทือนไปถึง "ก้นบึ้งของหัวใจ" ได้เลยทีเดียว ด้วยเหตุว่าปวงสัตว์นั้นมีความถือตัวถือตนมาก เป็นดั่งตะกอน ตะกรัน นอนก้นอยู่ สะสมทับถมอยู่นาน จะใช้ไม้แข็งดุดัน บางครั้งก็ทำไม่ได้ย่อมจะกลายเป็นการก่อกรรม ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันได้ จึงต้องใช้วิธีที่นุ่มนวล อ่อนเบา แต่มีพลังสะเทือนถึง "ก้นบึ้งในจิตใจ" คนได้ จึงจะช่วยทลายสักกายทิฐิคนได้


เอาละ การบำเพ็ญบารมีเพื่อกอบกู้โลกของเรา โดยเกี่ยวข้องกับของทิพย์วิเศษทั้ง ๕ ชนิด ก็ได้เม้าท์กันไปบ้างแล้ว พอประมาณนะครับ ผมเองไม่ได้ทราบข้อมูลละเีอียดมากนัก แต่เชื่อว่่าท่านใดที่กำลังอยู่ใน "วาระการบำเพ็ญ" หรือถูกจับจองตัวให้บำเพ็ญไว้แล้ว คงจะทราบดีว่าที่ผมกล่าวมาันั้น สอดคล้องกับที่ท่านพบเจอ ค้นพบด้วยตัวเองหรือไม่อย่างไร ของผมมีข้อมูลไม่มาก แต่ผมเชื่อว่าของท่าน จะได้ค้นพบมากกว่าผมเป็นแน่ เพราะ้ท่านบำเพ็ญบารมีแบบนั้นโดยตรงนั่นเอง เอาละ สำหรับบทความฉบับนี้่ ผมขอจบก่อน ราตรีสวัสดิ์ครับ เจ้านาย!    



วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เคยติดพัวพันกับอะไรไหม? ระวังว่า "บางส่วนของคุณ" จะถูกกักอยู่ใ่นสิ่งนั้น

วันนี้ มีเีื่รื่องเม้าท์เล็กๆ เกี่ยวกับ "พฤติกรรมการติดเกม" มาให้ฟังกันครับ เพราะมันน่าสงสัยว่าทำไม เด็กมันถึงได้ติดกันงอมแงมขนาดนั้น เพราะมันมียาเสพติดอะไรหรือไง? อ๋า ไม่ใช่หรอกครับ เรื่องราวอันนี้ มันช่างซับซ้อน พิศวงงงงวย ช่วยด้วยพระเจ้าจอร์จ อ่ะจ้าก ไปใหญ่แล้ว สรุป มันยุ่งยากและลึกลับน่าดูครับ ว่าแล้วก็เชิญทัศนาดีกว่าครับ


เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและเข้าใจได้ยากมากนะึครับ แต่เอาเป็นว่าผมจะพยายามอธิบายให้ง่ายที่สุดเลย อย่างแรกผมขอใช้ทับศัพท์เต๋าคำว่า "พั่ว" ที่มีคนไทยพยายามแปลว่าิวิญญาณ แต่ผมยังไม่แน่ใจในคำแปลว่าใช้ได้ดีแค่ไหน ก็ขอใช้ทับศัพท์ไปก่อนก็แล้วกัน กล่าวคือ ในตัวคนเรานี้ มีองค์ประกอบอะไรหลายอย่างใช่ไหมครับ? ส่วนของพลังในกาย ก็มีทั้งที่มีรูปและไร้รูปร่างที่แน่นอนชัดเจน (แต่ไม่ได้แปลว่าไม่มีอะไรนะครับ) ทีนี้ ถ้า "พั่ว" ของเราไม่ได้อยู่ในร่าง มันไปพัวพันอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากหรือถูกกักขังไว้ในบางสิ่ง มันจะทำให้ร่างกายและจิตใจของเราพัวพันกับสิ่งนั้นได้ครับ ยกตัวอย่างเช่น เว็บไซต์หรือเกมออนไลน์บางอย่าง เด็กที่เข้าไปเล่นจะเสีย "พั่ว" ให้กับเว็บเหล่านี้ ซึ่งมันไม่ได้เสียกันทันทีหรอกครับ แรกๆ ก็โอเค รอจนกว่าจะพลาดจึงเสียพั่วครับเช่น เล่นเกมพลาด, เสีย, แพ้ ฯลฯ บ่อยๆ เข้าใจอยากจะได้ อยากจะชนะ มันก็เกิดการ "แลก" คือ บางอย่างที่เรามองไม่เห็นและประจำอยู่ในนั้น จ้องรอจังหวะนี้ พอเราแพ้ เราอยากได้ชัยชนะ เขาก็จะแลกกับเรา ให้ชัยชนะเรา แต่เราต้องเสียพั่วให้เขาครับ พอเสียพั่วให้ไปแล้ว ทีนี้ จิตใจและร่างกายจะพัวพันกับสิ่งนั้น เว็บนั้น เกมนั้นจนถอนตัวไม่ขึ้น ออกมาไม่ได้ เด็กบางคนเล่นเกมแบบไม่กิน ไม่นอนเลยก็มีครับ (อันนี้ จริงไหม คงไม่ต้องพูดมากละครับ เห็นๆ อยู่) เด็กที่เสียพั่วไปให้กับเกมหรือเว็บนั้นๆ ไปแล้ว ก็จะมีอาการ "ติด" เกมหรือติดเว็บนั้นๆ ได้ครับ (ซึ่งไม่ได้มีทุกเกมหรือทุกเว็บนะครับ) พวกเขาก็จะต้องเข้าเว็บประจำ หรือเล่นเกมเสมอ ราวกับว่าขาดไม่ได้เชียวละครับ


ทีนี้ ถ้าท่านศึกษาและเข้าใจเรื่องนี้ ท่านก็จะช่วยเด็กที่ิติดเกมได้ใช่ไหม ดีกว่ามานั่งอวดตัวว่าเป็นนักปราชญ์ฉลาดไปหมด แล้วไปว่าคนอื่นว่าทำไมเขาติดเกม โดยที่ไม่เข้าใจเรื่องลึกซึ้งเช่นนี้ พอเขาจะเล่าให้ฟังว่ามันมีเรื่องกายทิพย์หลายกาย, วิญญาณหลายตัวตน, เรื่องหุนและพั่ว ฯลฯ ก็ปิดใจ กั้นตัวเอง ด้วยการตัดสั้นๆ ว่า "อย่าไปคิด ไปคิดว่ามี มันก็มี" อะไรแบบนั้น คิดว่าไม่คิด มันก็จบ แล้วมันจบจริงไหม? ก็ดูเด็กที่ติดเกมอยู่ ทำอย่างไรให้เขาหายได้ละ นี่ละ? ผมจึงอยากให้ใครบางคนลองเปิดใจก่อน ไม่ได้ให้ท่านมาเชื่อหรอกนะ เอาไปเป็นข้อมูลดิบ, สมมุติฐาน แล้วก็เข้าสู่กระบวนการแบบวิทยาศาสตร์ เพื่อค้นหาคำตอบ ผมพูดตรงๆ นะ ผมเองผ่านประสบการณ์นี้มาแล้ว ผมเสียพั่วให้เว็บไซต์เว็บหนึ่ง "พั่ว" หนึ่งผมอยู่ในนั้น ผมก็ต้องหาวิธีที่จะได้พั่วกลับคืนมา ถึงออกจากเว็บนั้นได้ ไม่เช่นนั้น ก็จะวนเวียนไปทำกิจให้เขาฟรีๆ ตลอดชีวิต คือ ถ้าคุณเ้ข้าใจจริงๆ ว่าคนเรามีทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ คุณไม่ไปปฏิเสธมัน คุณยอมรับมันได้ มันก็จะมาสู่คุณตามเดิมได้ (แต่้ต้องมีวิธีเอามานะครับ เพราะคนที่ได้พั่วเราไปแล้ว จิตใต้สำนึกลึกๆ เขาจะให้เราคืนได้ยาก) เช่น คุณเป็นคนขี้โมโห คุณปฏิเสธมัน "พั่ว" ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความโมโห มันก็ไปด้วย ทีนี้ คุณเสียพั่วแล้ว คุณก็จะวนเวียนไปหามัน ไม่ต่างอะไรกับเวลาที่คุณมีความรักใครสักคน พั่วของคุณ ก็ไปอยู่กับคนๆ นั้น ทำให้คุณอยากไปหาเขาตลอดเวลา เพราะพั่วของคุณอยู่กับเขา นั่นเอง อย่างไรละครับ


เอาละ ขี้เกียจพูดมาก ภาษาก็เป็นภาษาีจีนอีกด้วย ยากที่จะเข้าใจและยากที่จะยอมรับครับ แต่ขอให้ดู "ชีวิตจริง" เอาก็แล้วกันว่ามันมีอะไรแบบที่ผมอธิบายนี้บ้างไหม? อย่าเพิ่งไปด่าคนที่เขาติดพัวพันอะไรมาก เช่น ติดเกม, ติดเว็บ, ติดผู้หญิง ฯลฯ แต่ให้ดูด้วยว่าเขาได้เป็นอย่างที่ผมอธิบายไหม? จะได้ช่วยเขา เมื่อเขาได้พั่วกลับคืนมาแล้ว มันก็ไม่มีปัญหาแล้วครับ เขาก็จะไม่ติดเกม, ติดเว็บนั้นๆ อีกครับ สำหรับบทความวันนี้ ขอจบเพียงเท่านี้ก่อน ราตรีสวัสดิครับ ...   



วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สงครามศักดิสิทธิ์ที่ "ลูซิเฟอร์" อาจต้องถูกสังเวย และจะกระทบต่อเราอย่างไร?

อ่ะ วันนี้ไม่ค่อยมีเวลาเล่นสด ซิงกิงค์โชว์ เต้นกังนัมสไตล์ออกแขก เอาเป็นว่าเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาท่านทั้งหลายที่รอคอยอ่านอยู่ ก็ขอเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันครับ วันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ "สงครามศักดิ์สิทธิ์" ตรงๆ เลย แต่อาจแตกต่างจากที่อื่นที่ท่านทราบมาก็ได้นะครับ เชิญท่านทั้งหลายลองอ่านดู แล้วใช้วิจารณญาณของท่านเองครับ 


ผมได้เคยเม้าท์เกี่ยวกับเรื่องสงครามเย็นในบล็อกอื่นๆ ไว้บ้างแล้ว แ่ต่ไม่ได้ลงบล็อกนี้โดยตรงเพราะเกรงว่าจะไม่ถูกจริต กับบางท่านที่อาจจะไม่นิยมสนใจเรื่องการเมือง น่าปวดหัว และอาจทำให้เครียด เพราะบล็อกนี้มันเน้นสบายๆ ไม่เครียด อ่านเหมือนนิทานอะไรประมาณนั้นอ่ะ เอาเป็นว่าบล็อกนี้ ผมก็จะขอเล่าเรื่อง "สงครามศักดิ์สิทธิ์" อันเป็นสงครามในตำนานนะครับ จุดมุ่งหมายก็เพื่อ "เคลียร์จิตวิญญาณมืด" ครับ ซึ่งจิตวิญญาณมืดนี้มีมากมายก่ายกองเป็นล้านๆ ดวงเลย เวลาที่จะเคลียร์ในเวลาที่ถูกกำหนดไว้ มันเลยต้องใช้สงครามนะครับ ทำให้พวกเขาตายในสงครามเพื่อบูชาพระเ้จ้า แล้วจึงได้อาศัยบุญบารมีที่ทำให้พระเจ้านั้น เพื่อกลับคืนสู่สวรรค์ได้ครับ ทว่า "ลูซิเฟอร์" ไม่ยอมที่จะทำสงครามเพื่อพระเจ้าหรอกครับ ถ้าเขาจะทำก็เพื่อตัวเองและให้คนทั้งหลายทำเพื่อเขาด้วยไม่ใช่เพื่อพระเจ้า ดังนั้น เลยเป็นปัญหา ก็ถ้าจิตวิญญาณมืดทั้งหลายตายในสงครามศักดิ์สิทธิ์ ไปพร้อมกับเชื่อว่าลูซิเฟอร์คือพระเจ้าละก็ พวกเขาจะตกนรกทั้งหมดครับ ไม่ได้กลับคืนสู่สวรรค์เลย ในขณะที่ "มัจจุราชมาร" ซึ่งเ็ป็นภาคมืดที่ตรงข้าม กับลูซิเฟอร์ พร้อมตายเพื่อพระเจ้า พวกเขาเลยครอบงำให้คนในศาสนาบางศาสนา หรือบางลัทธิ ทำสงครามให้ตายในสงครามไปเลย เพื่อบูชาพระเจ้าครับ (ที่คุณเห็นว่ามีผู้ก่อการร้ายแบบยอมพลีชีพ นั่นหละ) อันนี้ ก็ไม่ใช่อีกเหมือนกันเพราะในความเป็นจริงพระเจ้าไม่ได้ต้องการ ให้มนุษย์ตายจริงๆ หรอกครับ แหม กว่าจะสร้างมนุษย์ได้ก็ยาก กว่าที่จิตวิญญาณจะได้กลับจากเบื้องล่างมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ยากนี่ครับ ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหน อยากให้มนุษย์ตายหรอกครับ (นอกจากจะถึงเวลา) แต่ที่ท่านต้องการคือ "การตายใน" โดยที่ร่างสังขารยังปกติครับ ตายแต่เพียง "จิตวิญญาณมืด" ที่แทรกอยู่ ที่ครอบงำร่างสังขารอยู่เท่านั้น แล้วก็จะได้ "กำเนิดใหม่" ในร่างสังขารนั้นๆ กลายเป็นคนใหม่ที่สว่างมากขึ้น ก็เท่านั้นเอง ดังนั้นแล้ว "สงครามศักดิ์สิทธิ์" จึงมีแน่นอน และมีเพื่อเหตุผลดังกล่าว มันจึงไม่มีความจำเป็นจะต้องรบกันจริงๆ ให้คนตายเลย แต่มันจะเป็นการรบการอ้อมๆ ทำให้คนตายจากภายใน ครับ


ทีนี้ ในสงครามศักดิ์สิทธิ์นั้น เป้าหมายก็เพื่อให้ "จิตวิญญาณมืด" ได้ตายแล้วเกิดใหม่ เพื่อกลับคืนสู่สวรรค์ดังเดิมครับ มันจึงรวมเอาลูซิเฟอร์ เข้าไปด้วย ถ้าเขาตายแล้วเกิดใหม่ เขาก็จะหลุดพ้นจากความมืดไปได้ครับ แต่ว่า ผมคิดว่ายังไม่ถึงเวลาหรอก ต่อให้เขาตายแล้วเกิดใหม่ ก็จะมี "จิตวิญญาณอื่น" ที่มาทำหน้าที่แทนเขา กลายเป็น "ลูซิเฟอร์" ตัวต่อไป หมายความว่าไง มันก็คือ "ตำแหน่งๆ หนึ่งละครับ" มันคือ ตำแหน่งทางธรรม เป็นเป็นธรรมภาคมืด เท่านั้นเอง มีไว้เพื่ออะไร? ก็เพื่อยืดอายุพระพุทธศาสนาที่แท้จริงแล้ว หมดสิ้นไปนานแต่เราก็หาสารพัดวิธียืดอายุต่อไปครับ และพลังของลูซิเฟอร์นี่ละ ที่จะฝืนกฏแห่งกรรม, ฝืนธรรมชาติ ยืดอายุขัยศาสนาได้ (แต่จะไม่ตรงทาง ไม่ถูกต้องนะครับ ดังนั้น จึงต้องมี "พระบุตร" นำทางปวงสัตว์ให้ตรงทางถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เช่น ถึงพระเจ้า หรือพระพุทธเจ้า ก็ตามที) นั่นคือ หน้าที่ของลูซิเฟอร์ครับ (แต่เขามักทำตามใจตัวเอง ทำนอกหน้าที่ไปเรื่อยแหละครับ เลยต้องมีพระบุตรลงมาเกิดเป็นมนุษย์ไง) ทั้งนี้ จะให้พระบุตรกระทำการยืดอายุขัยพระพุทธศาสนาเอง ก็ไม่ได้ เพราะเป็นการฝืนกฏแห่งกรรม, ฝืนธรรมชาติ จะส่งผลให้พระบุตรนั้น ตกสวรรค์ และมืดลงดังเช่นลูซิเฟอร์ เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว โลกก็จะไร้ซึ่งแสงสว่างนำทางปวงสัตว์ๆ ก็จะหลงทาง เพราะผู้นำก็หลงเองเสียแล้ว ดังนั้น พระบุตรจึงต้องทำหน้าที่อย่างหนึ่ง จะทำหน้าที่ยืดอายุให้พระพุทธศาสนาโดยตรงไม่ได้ครับ (ให้ลูซิเฟอร์ทำไป ก็แล้วกัน)


สุดท้ายนี้ เรื่อง "สงครามศักดิ์สิทธิ์" ที่ผมเม้าท์ให้ฟังนี้ อาจแตกต่างไปจากเนื้อหาของบางศาสนาหรือบางลัทธิไปบ้าง แต่ผมคิดว่ามันไม่ได้ต่างกันจริงๆ หรอก มันต่างกันแค่ "ความเข้าใจหรือมุมมองของคน" ที่ได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ก็เท่านั้น เพราะเมื่อใดที่พวกเขารู้แจ้งเห็นจริง ในเรื่องนี้แล้ว ผมเชื่อว่าพวกเขาก็จะรู้ได้ว่า "มันไม่ต่างกันเลย" ครับ เอาละ สำหรับบทความฉบับนี้ขอจบลงเท่านี้ก่อน ราตรีสวัสดิ์ครับ ...