วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

"บารมีพิเศษ" อันเป็นอาญาสิทธิ์ อาญาธรรม เฉพาะของเรา เป็นไฉน?

เมื่อวานพี่ชายไปตลาดขากลับขี่จักรยานมามีคนขี่จักรยานตามพี่ชาย มาอ่ะ คนแปลกหน้าด้วย น่ากลัวอ่ะป่าว? ไม่หรอก เขาแค่ถามเส้นทางน่ะครับ คือ เขามาจากอีสานแล้วไม่รู้เส้นทาง มาขี่จักรยานเล่น เจอพี่ชายพอดี เลยขี่จักรยานคุยกัน ไม่รู้จักกันมาก่อนหรอก เขามาทำเขื่อนกั้นน้ำน่ะครับ พี่ชายก็เคยช่วยคนกั้นน้ำเหมือนกัน แปลกดีเนอะมาเจอกันได้ เลยเก็บมาเม้าท์ให้ฟังเล่นๆ ว่าถ้ามีคนแปลกหน้ามาเจอพี่ชายๆ ก็คุยด้วยปกติน่ะแหละ มาตามธรรมชาติ ก็คุยตามธรรมชาติ มาตามเน็ต ก็ต้องคุยตามเน็ตครับ หุๆๆ เอาละ เข้าเรื่องเราัวันนี้ดีกว่า เรื่องคือ บารมีพิเศษที่มีเฉพาะ ไม่เหมือนใคร มันเป็นอย่างไร ลองอ่านดูครับ


อย่่างแรก พี่ชายขอปูพื้นฐานจากคำว่า "บารมีพิเศษ" ก่อนนะครับ มันก็คือ บารมีเฉพาะที่ดีที่คนอื่นเขาไม่ค่อยมีกันนั่นเอง โอเคมั้ย ง่ายดี ก็ยกตัวอย่างเช่น บารมีที่โปรดสัตว์นรกได้ จะมีแต่ตัวตนในรูปกายแบบ "พระกษิติครรภ์" เท่านั้นครับ ถ้าเราอยากจะมีบารมีแบบนั้น ได้บารมีแบบนั้น เราก็ต้องลงไปเกิดเพื่อบำเพ็ญบารมีตามพระกษิติครรภ์องค์ต้นแบบ เราก็จะได้ตัวตนในรูปแบบนั้นได้ สัก ๑ ตัวตน ในภพสวรรค์ก็ได้ครับ ไว้เชื่อมโยงประสานงานกับตัวตนอื่นๆ ของเราต่อไป แต่ถ้าเราไม่เคยบำเพ็ญบารมีแบบนี้ ไม่มีตัวตนในรูปแบบนี้เลย เราก็จะไม่มีบารมีเฉพาะที่จะลงไปโปรดหรือช่วยเหลือสัตว์นรกได้ครับ เมื่อเรามาเกิดบนโลก เราจะช่วยคนป่วยที่นอนรับการทรมานอยู่ ไม่ได้ครับ ด้วยเราไม่มีบารมีแบบนั้นไงครับ (คนป่วยที่นอนให้เขาทรมานอยู่ ก็มีบางตัวตนที่เสวยกรรมอยู่ในนรกครับ) นั่นคือ เราก็ไม่อาจจะเป็นหมอได้ไงละ ดังนั้น ถ้าเราสร้างบารมีเอาไว้หลายๆ แบบ มันจะช่วยเสริมตัวตนที่เป็นเครือข่ายทั้งหมดของเราได้ครับ (เรามีหลายตัวตน ให้หลายมิติที่เชื่อมโยงกัน เรียกว่า เครือข่ายตัวตนหลากมิติครับ) บางตัวตนของเราก็อาจมีปัญญามาก หยั่งรู้ดินฟ้าไปหมด เหมือนกับมีสัพพัญญูญาณก็มีได้ครับ ถ้าเราเคยบำเพ็ญบารมีไว้นะครับ หรือบางตัวตนของเราก็อาจจะมีบารมีเฉพาะแบบแปลกๆ เช่น มีหลายชีวิต ตายแล้วเกิดใหม่ได้อีก อะไรแบบนั้น แปลกดี แต่ก็มีครับ เพราะบารมีนั้น สร้างกันได้หลายรูป หลายลักษณ์ สุดคาดหยั่งครับ ใครที่ทำได้เป็นคนแรก ก็จะกลายเ็ป็น "องค์ปฐมต้นแบบ" ให้คนอื่นทำตามได้ครับ เหมือนองค์ปฐมต้นแบบของพระโพธิสัตว์แบบต่างๆ เช่น พระกษิติครรภ์, พระมัญชุศรี เป็นต้น 


อย่างที่สอง คือ แล้วทำอย่างไรเราจึงจะมีบารมีเฉพาะแบบต่างๆ กับเขามั่งละ ก็ไม่ยากครับ เราก็ทำิสิครับ ทำให้สำเร็จ บำเพ็ญบารมีให้ได้ ในชาติใดชาติหนึ่ง ก็จะมีบารมีและตัวตนในภาคนั้นๆ ของเราเก็บไ้ว้ในธนาคาร เอ้ย ไม่ช่าย ในมิติใดมิติหนึ่งครับเช่น ถ้าเราอยากมีปัญญามากๆ แบบเหมือนมีสัพพัญูญาณเลย หรือหยั่งรู้ฟ้าดินได้เลย ก็ต้องทำครับ ในชาติไหนก็ได้ ทำซะให้สำเร็จ มันก็ได้เองแหละครับ พอชาติต่อไปเราก็ไปทำบารมีอย่างอื่น แบบอื่นอีก ก็จะได้บารมีแบบอื่นที่ต่างออกไปอีกครับ เห็นไหม ก็แค่นั้นเอง พูดไม่ยาก แต่ทำจริง ยากโคตรๆ เลยครับ ฮ่าๆๆ ทว่า ก็ไม่เกินความพยายามและความตั้งใจจริง ใช่มั้ย ละครับ อย่าไปหลงกับ "อาชีพ" มากเกินไป เพราะอาชีพมันไม่ได้ทำ ให้เราได้บารมีเฉพาะใหม่ๆ หรอกนะครับ มันปลายหางแถวแล้ว คนอื่นที่เขาเคยสร้างบารมีแบบนั้นมาแล้ว เช่น เคยเกิดเป็นหมอมาแล้ว เขาไม่ต้องมาเป็นหมออีกแล้ว เขาก็ทำอย่างอื่นต่อไปเลย เรียนรู้เรื่องอื่นไปเลยครับ เราก็ไม่ต้องวนรอบกลับไปทำอย่างเดิมซ้ำๆ อีก เราก็จะได้ทำเรื่องอื่นๆ ทำให้ชาตินี้ของเรา ไม่เสียชาติเกิดไงครับ อย่างเช่น การบำเพ็ญบารมีโปรดจิตวิญญาณมืด อันนี้ ของใหม่และยาก มากๆ ครับ ขอบอก หรือการโปรดปีศาจให้กลายเป็นเทพ ก็ไม่ใช่ของง่ายๆ นะ บางท่านเคยทำได้แล้ว ก็มาโปรดปีศาจให้ได้เป็นมนุษย์ไปอีก เรียกว่าพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นไปเลย เจ๋งมั้ยละ เดี๋ยวนี้ พี่ชายเห็นคนบำเพ็ญบารมีแข่งกันเอาๆ เยอะแยะ ส่วนใหญ่จะสร้างวัดแข่งกันนะ ก็เป็นบารมีพื้นฐานมากๆ เลย บางคนสร้างวัด, สร้างเขื่อน, สร้างสะพาน , สร้างถนนหนทาง โอ้ย ทำมาหมดแล้ว เรียกว่า ของพื้นๆ เป็นบารมีที่เรียกว่า "ผู้สร้าง" นั่นเอง ถ้ายกตัวอย่างเป็นตัวตนก็คือ "องค์พรหม", "องค์อิศวร" หรือ "องค์วิษณุเทพ" อะไรแบบนั้น ก็ทำกันไปครับ ส่วนท่านไหนได้อะไรไปไกลแล้ว ก็หาอะไรใหม่ๆ ทดลองทำดู อะไรที่ทำไม่ได้ ไม่เคยทำ ก็ลองทำให้มันได้ซะ สิ่งดีๆ อ่ะนะ ทำได้แล้วก็จะได้เป็นบารมีเฉพาะเก็บไว้ได้ ไม่เสียหลาย ไม่บูดเน่า ไม่ต้องแช่เย็นครับ


อย่างหนึ่งที่อยากจะบอกไว้ก่อนคือ "ไม่มีบารมี อย่าไปทำครับ" เพราะมันจะ "ตาย" ได้เด้อ สิบอกให้ เช่น เราไม่มีบารมีไปห้ามเขารบกัน เราก็ฝืนไปทำมันยิงเราสวนกลับใส้แตกตายได้ครับ นี่เพราะเราไม่มีบารมี ถ้าเราอยากได้บารมีแบบนั้นจริงๆ ตายแล้วก็ไปเกิดใหม่ ทำใหม่ เอาจนกว่าจะได้บารมีนั้นครับ แต่ถ้าไม่ได้ ก็ซวยไปเสียไปชาติหนึ่ง อ่ะนะ อย่างการเขียนตำรา ก็ดี, เรียบเรียงคัมภีัร์ ก็ีดี, หรือแม้แต่วิทยานิพนธ์ก็ดี มันก็ต้องอาศัยบารมีเก่าครับ (ยกเว้นว่าไม่ใช้บารมีทำ แต่ยืมพลังภาคมืดทำ ก็ได้เช่นกัน แต่จะกลายเป็นภาคมืดไปครับ) อันไหนที่เราไม่มีบารมีจะไปทำ ก็ไม่อาจทำได้ครับ ดังนั้น เราจึงควรทำอะไรที่เราไม่เคยทำ แล้วทำให้มันได้ครับ จะได้กลายเ็ป็นบารมีใหม่ๆ สะสมไว้อย่างไรละครับ เอาละ เม้าท์มายาวพอควรละ วันนี้วันหยุด เด็กๆ จะได้พักผ่อนนอนดูหนังกันบ้าง ไม่เ้ม้าท์ยาวละ ลาไปก่อน ราตรีสวัสดิ์ครับ



วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ซาตานครอบงำโลกและบงการมนุษย์อย่างไร? ตอน Invisible hand

เมื่อเช้าพี่ชายไปแย่งเด็กประถมกินข้าว เพราะราคาข้าวราดแกงในนั้นถูกดี ราดหนึ่งอย่าง ๑๐ บาทเอง ในขณะที่ข้างนอก ๒๕ ถึง ๓๐ บาทไปแล้ว เม้าท์ให้ฟังเล่นๆ หัดเป็นผู้บริโภคที่ฉลาดไว้ จะได้เท่าทันกับยุคสมัยของบริโภคนิยม, วัตถุนิยม และทุนนิยมครับ เอาละ มาเข้าเื้นื้อหาของเราวันนี้ดีกว่าต่อจากเมื่อวานอีกหน่อย หลายคนอา่จเริ่มเบื่อละ  แต่อยากขอให้ศึกษาต่อไปอีกนิดครับ เพราะมันสำคัญจริงๆ พี่ชายจึงเลือกเอามาเตือนกันไว้ครับ เรื่อง "มือที่มองไม่เห็น" (ฝรั่งเขาใช้คำว่า Invisible Hand เป็นคำศัพท์ที่มีในตำราฝรั่งด้วยนะ) ดังต่อไปนี้่ครับ


อย่างแรก พี่ชายอยากจะปูพื้นฐานด้วยการอธิบายความหมายของคำว่า Invisible hand หมายถึง มือที่มองไม่เห็น ซึ่งสามารถควบคุมหรือบงการผู้คนต่างๆ ได้ ซึ่งมีสองลักษณะ คือ ๑. Light Invisible Hand ๒. Dark Invisible Hand ซึ่งในบทความนี้จะเน้นรายละเอียดในส่วน Dark Invisible Hand เป็นหลัก ส่วน Light Invisible Hand นั้น จะหมายถึง "พรหมลิขิต" ก็ได้ อันนี้ อธิบายแค่ง่ายๆ เป็นพื้นฐานนะ ของจริงจะซับซ้อนกว่านี้ ให้เราลองนึกถึงภาพง่ายๆ อย่่างนี้ คนบางคนที่มีชีวิตเป็นไปตามพรหมลิขิตหรือวิบากกรรม ก็แล้วแต่ (ใช้ได้หมด ตามศาสนาของท่านที่ท่านนับถือนะครับ) ก็จะมีชีวิตที่เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาวางแผนชีวิตให้ดำเนินไปตามแผนการนั้นๆ ทางคริสตร์เขาจะมีคำเรียกว่า "พระเจ้ามีแผนการของพระองค์" ที่จะให้มนุษย์ทุกคน รวมทั้งเราด้วย ดำเนินไปอย่างไร เมื่อเราเชื่อในพระเจ้า ไว้วางใจในพระองค์ เราก็จะเชื่อในแผนการของพระองค์ด้วย แล้วเราก็จะสบายใจ พร้อมรับกับทุกอย่างในชีวิตของเราได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ประมาณนั้น ทีนี้ มันมี "วิถีนอกรีต" อยู่อีก ที่แตกต่างไปจากนี้คือ ไม่ยอมให้ใครมาวางแผนชีวิตให้เราแม้แต่พระเจ้าอะไรแบบนี้ คืออยากจะวางแผนชีวิตของตัวเอง ทำตามใจตัวเอง อย่างที่ตัวเองต้องการ (ก็เหมือนคนเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่ตั้งน่ะแหละ) คนกลุ่มนี้ถ้าหลุดออกจากระบบซึ่งสิ่งศักดิสิทธิ์ในศาสนาของเขาดูแลอยู่ ไปแล้ว ก็อาจจะถูกภาคมืดดึงไปได้ ภาคมืดจะเข้ามาทำหน้าที่แทนภาคสว่างทันที มือที่มองไม่เห็น ก็จะเปลี่ยนไป กลายเป็น "มือจากภาคมืด" แทนที่จะเป็น "หัตถ์ของพระเจ้า" อะไรประมาณนั้น พอนึกภาพออกนะครับ ซึ่งปกติแล้ว คนเรามีสิทธิ์เลือกทางเดินชีวิตตัวเองได้อยู่แล้วทุกครั้งที่มีทางเลือกครับแต่เราไม่อาจเลือกผลที่จะตามมาได้ เมื่อเลือกทางแล้วอย่างไร ก็จะต้องยอมรับผลของมันอย่างนั้น ดังนั้น บางคนจึงไม่ค่อยสนใจหนทาง แต่สนใจ "ผลสุดท้ายของมัน" มากกว่า คือ เล็งให้ชัดก่อนว่าผลสุดท้ายจะออกมาอย่างไร เป็นสำคัญ อะไรแบบนั้น แต่ด้วยวิธีนี้ก็เสี่ยงมากนะครับ เพราะถ้าเราเอา "ใจเรา" เป็นที่ตั้ง แล้วใจเราฝึกมาไม่ดี นำทางเราผิดๆ เราก็กลายเป็นคน "เอาแต่ใจตัวเอง เป็นที่ัตั้ง" ไปได้ แล้วในที่สุด มันจะนำเราไปสู่ "เงื้อมมือที่มองไม่เห็นของภาคมืด" ครับ ทั้งนี้ พี่ชายจะขยายเนื้อหาในส่วน "มือที่มองไม่เห็น-ส่วนภาคมืด" ต่อไป


สำหรับคนที่ถูกซาตานครอบงำนั้น พวกเขาจะได้, จะมี, จะเป็นตามใจที่พวกเขาต้องการ แต่นั่นจะทำให้คลังบุญของเขาถูกเผาผลาญจนสิ้น  เมื่อซาตานมาร่วมเสวยผลบุญกับร่างมนุษย์ ร่างใดหมดแล้ว ซาตานก็จะจรจากไป จะทอดทิ้งร่างนั้นอย่างไม่ไยดี แล้วปล่อยใ้ห้ร่างสังขารที่ไม่เหลือบุญแล้ว ต้องรอรับกรรมอย่างเดียว ทำให้ร่างสังขารนั้นๆ ต้องทุกข์ทรมานกับวิบากกรรมที่ถาโถมเข้ามา และทำให้เกิดความทุกข์ที่นำพาชีวิตของคนๆ นั้นให้มืดมนลงอย่่างยิ่งยวด จนกระทั่งไม่อาจเป็นภาคสว่างได้อีกต่อไป แม้ว่าช่วงแรกของชีวิตพวกเขาจะดูดี ได้ตามใจต้องการก็ตาม แต่เมื่อใดที่พวกเขาหมดพลังบุญแล้ว พวกเขาก็จะสิ้นสภาพ ต้องมีชีวิตอยู่อย่างน่าเอน็จอนาถ หาความสุขแทบไม่ได้เลย

ซาตานจะมีวิธี "หลอกล่อ-ดลจิตดลใจ" เราสารพัดครับ ถ้าเขาหลอกล่อไม่เก่ง เขาคงไม่สามารถหลอกล่อแม้แต่เทพภาคสว่าง ให้ตกลงมาสู่ภาคมืดได้ (เช่น หลอกให้อดัมทำผิดกฏสวรรค์ เป็นต้น) ทว่า คนในยุคนี้้ ขาดความเชื่อในเรื่องเหล่านี้ไปมากแล้ว พวกเขาเชื่อแต่สิ่งที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า, วัตถุมีค่าวัดได้, การพิสูจน์ที่เห็นได้ชัด ฯลฯ เป็นต้น ดังนั้น ภาคมืดจึงใช้สิ่งเหล่านี้ในการหลอกล่อพวกเราอยู่ทุกวัน เอาง่ายๆ เลยครับ แค่เราเดินออกไปนอกบ้าน จะเห็นร้านค้าโชว์ของล่อตาล่อใจให้เราอยากได้อยู่ตลอดเวลา มีเพื่อนๆ หรือสังคมที่มีวัตถุต่างๆ มาแสดงโชว์ อวดกันอยู่เสมอๆ รวมทั้งสื่อต่างๆ ที่ล้วนเต็มไปด้วยการหลอกล่อให้เรา อยากได้, อยากมี, อยากเป็น ในสิ่งที่ไม่ใช่บุญของเรา อันเราควรจะเสวยได้ เมื่อเราหลง พลาดท่า ภาคมืดก็จะดึงเราเข้าไปสู่วังวนของการเสวยผลบุญเกินความพอดี ได้ในที่สุด

อนึ่ง "มือที่มองไม่เห็น" นี้ สามารถบงการและดลจิตดลใจคนได้ แม้ว่าคนเหล่านั้นจะไม่ได้ถูกสั่งจากมนุษย์คนไหนเลยเช่น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้มนุษย์คนไหนสั่งให้ "หน้าม้า" เข้ามาเอออวยกับเราอย่างผิดปกติ แต่เมื่อใดที่มือที่มองไม่เห็นนี้ ลงมือแล้ว ก็จะมีหน้าม้าที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองถูกมือที่มองไม่เห็น บงการอยู่ มาเอออวย ใครบางคนมาก "ผิดปกติ" เช่น ปกติแล้ว ไม่ทำพฤติกรรมแบบนี้ ทำพฤติกรรมอย่างอื่น หรือทำพฤติกรรมเหล่านี้กับคนบางคนโดยไร้เหตุผล ไม่รู้ตัว เวลาทำกับบางคน จะทำด้วยอคติมากๆ แต่พอทำกับ "ใครบางคน" ที่ภาคมืด บงการไว้ให้เอออวย ก็จะหลงเผลอ เอออวยไปไม่รู้ตัวได้ เคยเห็นคนที่มีความรู้สึกร่วมกันโดยไร้เหตุผลไหม? แบบคล้ายๆ จิตวิทยาหมู่น่ะ แต่ไม่มีมนุษย์คนไหนทำนะ จับผิดคนไม่ได้สักคน ไม่มีคนๆ ไหนทำผิดเลย คือ ไม่มีคนๆ ไหนทำจิตวิทยาหมู่ แต่มันก็เกิดขึ้นได้เฉยเลย โดยมี "มือที่มองไม่เห็น" นี่ละ กระทำให้ เคยไหมครับ กำลังจะเล่นตลก ยังไม่ทันปล่อยมุกเลย เฮ้ย คนขำกันเต็มไปหมด? หรือดาราดัง ยังไม่ทันทำอะไรเลย โผล่มา คนกรี๊ดกันสนั่น (งงว่ะ อะไรวะ ตูยังไม่ ทันทำอะไรเลย ออกอาการกันเพี้ยบแล้ว) นั่นละ "มือที่มองไม่เห็น" เขากำลังจะปั้นคุณ ทำให้คุณเป็นคนเด่นดังในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง

ทางหนึ่งที่จะหลุดพ้นจากเงื้อมมือของซาตานได้ คือ การยอมพลีชีพ ซึ่งการยอมพลีีชีพนี้ สามารถพลีชีพให้แก่พระเจ้า ก็ได้, พระบุตร ก็ได้ เช่น ถ้าพระบุตรที่ถูกส่งลงไปยังโลก กำลังยากลำบากและต้องฝ่าฟันอุปสรรคบางอย่างอยู่ เช่น เรียนไม่จบเพราะลูซิเฟอร์เล่นงาน บีบให้มีการยอมแลก ถ้ายอมแลก ซาตานก็จะให้จบ แล้วอาจารย์ท่านหนึ่ง มีจิตที่ต้องการช่วยให้จบ แต่อาจารย์ได้เป็นอาจารย์ก็เพราะอำนาจของลูซิเฟอร์ อาจารย์ท่านนั้นก็จะต้องตาย ไม่ได้ป่วยตาย แต่จะตายโหง เช่น ถูกฆ่า หรือประสบอุบัติเหตุ เป็นการพลีชีพแด่พระบุตร จึงจะได้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของลูซิเฟอร์ แบบนี้ มีอยู่เ่ช่นกัน อีกวิธีที่ดีกว่าคือ การชำระล้างจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ และการกำเนิดใหม่ แบบนี้่จะไม่้ต้องพลีชีพ และสามารถหลุดพ้นจากเงื้อมมือของลูซิเฟอร์ได้เ่ช่นกัน


สุดท้ายนี้ ไม่มีอะไรมากครับ อย่าซีเรียสและไม่ต้องตกใจ โดยเฉพาะเราๆ ท่านๆ ที่ใช้เน็ตอยู่นี้ เน็ตคือมิติหนึ่งของภาคมืดครับ เขาทำไว้ให้ภาคมืดก่อนโดยเฉพาะ แต่ภายหลังภาคสว่างพยายามเข้ามาจัดการให้เข้าที่เข้าทางทีหลัง (ดังนั้นคุณจึงเห็นอะไรไม่ดีในเน็ตยังเยอะอยู่) ดังนั้น เราทุกคนก็มีบางส่วนอยู่ในภาคมืดกันอยู่แล้วครับ ไม่ต้องตกใจไป เราสามารถชำระล้าง และกำเนิดใหม่ได้ครับ มีทางแก้ มีทางออกอยู่ บอกให้รู้ไว้จะได้ไม่หลงเพลิน เอาละ เม้าท์มายาว เดี๋ยวเด็กๆ จะเครียดเอา เพราะไม่ชอบอะไรขมๆ งั้นลาเลยละกัน ราตรีสวัสดิ์ครับ




วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ซาตานครอบงำโลกและบงการมนุษย์อย่างไร? ตอน Mass domination

โอ้ย วันนี้หนืด เอ้ย เน็ตฯ พี่ชายอืดมาก กลายสภาพเป็นหอยทากไปแล้ว พอเอียงหูฟังดู มันร้องดัง "คล้ากกกก คล้ากกก" นึกว่ามันกำลังไถนาบนภูเขาหินปูนอยู่อ่ะ เออนี่ ตอนเจอเื่พื่อนเก่านะ ให้ทักมันว่า "เอ็งมัน ว้อน บิน มากๆ เลยว่ะ" เพื่อนจะสงสัยถามว่า "เฮ้ย กูหล่อขึ้นเหมือน วอน บิน เลยหรือว่ะ?" ก็ค่อยบอกมันว่า "เปล่า เหมือนไอ้ตัวที่ตะกายถังขยะหากินอ่ะ นั่นแหละ Want bin" ฮ่าๆๆ เป็นมุขนะครับ เอาไว้เล่นกับคนกันเอง ถ้าไม่กันเอง เดี๋ยวโดนชกสลบเอา ไม่รู้ด้วยอ่า เอาละ มาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่่า วันนี้ เป็นซี่รี่ย์ตอนที่สาม ภาคต่อจากเมื่อวานเรื่องตัวแทนซาตาน วันนี้่ก็ต่อเรื่องการครอบงำมวชน เลยก็แล้วกัน ซึ่งมันมักจะมาควบคู่กันด้วยครับ ดังรายละเอียดต่อไปนี้


อย่างแรก พี่ชายอยากปูพื้นให้น้องๆ ก่อนเรื่อง การครอบงำมวลชนของภาคมืดครับ ซึ่งภาคมืดนั้นอาจใช้องค์กรต่างๆ ได้ทุกองค์กร หลังได้ครอบครององค์กรเหล่านั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นองค์กรลับหรือเปิดเผย องค์กรการเมือง หรือองค์กรธุรกิจ ได้หมดครับ เมื่อพวกเขาครอบครองได้แล้ว เขาก็จะขยายอิทธิพล โดยการครอบงำคนจำนวนมากๆ ที่พี่ชายอยากเรียกว่าเป็นการทำ Mass domination หรือการครอบงำมวลชนให้ตกอยู่ภายใต้การบงการของพวกเขา ซึ่งพวกเขามีเทคนิคหลายประการเชียวครับ ทั้งซับซ้อนและแนบเนียนมาก ไม่อาจจะเม้า์ท์ได้หมด พี่ชายเลยขอยกตัวอย่างแค่บางเรื่อง ให้สังเกตุดู ดังนี้ครับ

๑. เทคนิคแห่ตามๆ กัน คือ การใช้ "หน้าม้า" หรือคนของพวกเขาเอง เป็นตัวล่อ ดึงดูดคนอื่นๆ ให้รู้สึกคล้อยตาม หรือเชื่อได้ง่ายๆ เ่ช่น การเอาคนจำนวนมากๆ มาเออออ คล้อยตามๆ กัน คนที่เข้าไปไม่มีพวก ก็จะคล้อยตามคนส่วนใหญ่ได้ง่ายๆ เช่น การทำโพล ทำให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่เลือกใคร คนส่วนน้อยที่อีเดียด ก็จะไม่มีความเป็นตัวของตัวเองก็จะเลือกตามคนส่วนใหญ่ ตามโพล ตามกระแส แห่ตามกันครับ

๒. ทำเรื่องเล็กเป็นเรืื่องใหญ่ คือ การทำให้เรื่องเล็กกลายเ็ป็นเรื่องที่สำคัญจนเกินเหตุ เพื่อบิดเบือนหรือเบี่ยงเบน เรื่องใหญ่ หรือเรื่องที่สำคัญกว่าเอาไว้ เบี่ยงเบนให้คนสนใจเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง แทนที่จะไปสนใจเรื่องสำคัญที่มีสาระแก่นสารมากกว่า เช่น ข่าวหมาในอเมริกานอนหนาวข้างถนน อะไรแบบนั้น เมื่อก่อนข่าวงี่เง่าแบบนี้ ออกมาจากอเมริกาเยอะมากหรือแม้แต่ปัจจุบันก็ยังมีอยู่ ซึ่งมันไม่ควรเป็นข่าวเลย

๓. สื่อสารแต่เรื่องโง่ๆ คือ การสื่อสารที่ครอบงำคนให้อยู่แต่เรื่องโง่ๆ ที่ไม่ทำให้มีปัญญา หรือฉลาดเท่าทันอะไรเลย แม้แต่น้อย เพื่อจะได้ครอบงำ, บงการ, ควบคุมมวลชนได้ง่ายๆ หรือสื่อสารให้เห็นแต่ด้านใดด้านหนึ่งอย่างเดียว เช่น ด้านที่ตัวเองดี หรือด้านที่ศัตรูทางการเมืองของตัวเองไม่ดี เป็นต้น เช่น ข่าว ปธน. เต้นกังนัมสไตล์ เป็นต้น แทนที่จะสื่อสารล้วงลึกว่า ปธน. ทำอะำไรที่แก้ไขปัญหาประเทศบ้าง?

๔. ยิ่งรู้ยิ่งเป็นขี้ข้าชั้นดี คืิอ การอัดข้อมูลมากๆ ให้ดูเยอะมากๆ แล้วทำให้คนที่ไม่รู้ เหมือนคนโง่ จนต้องรีบตามข่าวสารให้ทัน ให้รู้ไม่ต่างจากคนอื่น ทว่า ยิ่งรับข้อมูล ยิ่งเสพข่าวสาร ยิ่งกลายเป็นขี้ข้าชั้นดี เช่น สื่อต่างๆ ในอเมริกา ล้วนเป็นไปแบบนี้ คนอเมริกานั้นล้วนรู้อะไรเยอะมากๆ แต่จะรู้แต่เฉพาะ "สิ่งที่ขี้ข้าชั้นดีควรจะต้องรู้" เท่านั้นเอง

๕. การทำลายแสงสว่าง คือ ใครก็ตามที่ให้ปัญญาแก่มวลชน ทำให้คนมีปัญญาเท่าทันผู้มีอำนาจ, นักการเมือง ฯลฯ มากขึ้น คนๆ นั้นจะถูกกระทำ โดนเล่นงาน ไม่ต่างจากยุคลัทธิล่าแม่มด เรืองอำนาจ คือ จะถูกเล่นงานสารพัดวิธี เหมือนที่พระเยซูก็โดนใส่ร้ายและต้องทัณฑ์ขึ้นไม้่กางเขนฉะนั้น สิ่งนี้ยังมีอยู่ และคนส่วนใหญ่ก็ตกเป็นเหยื่อด้วย

๖. การหยั่งเชิงความงี่เง่า คือ ก่อนที่พวกเขาจะบงการให้คนหันซ้าย หันขวา หรือทำอะไรก็ตาม เขาจะมีการหยั่งเชิงดูความโง่ก่อน ถ้าคนส่วนใหญ่มีความโง่มากพอแล้ว เขาก็ลงมือได้ไม่ยาก เช่น ปั้นเรื่องว่าดารานำเรื่องคนเหล็ก เป็นฮีโร่ พอคนเชื่อจริงๆ ก็ปั้นให้เป็น สส. ไปได้ จากนั้นก็จะปั้นดาราคนอื่นได้อีก ถ้าไม่ถูกเปิดโปงหรือเล่นงานไปก่อน

๗. ตัวแพร่โรคงี่เง่า คือ มนุษย์คนหนึ่งที่เป็นร่างของภาคมืด ระดับตัวพญา จะเข้ามาจูนกับคนจำนวนมากๆ ทำให้คนจำนวนมากๆ เปิดใจรับ พอใจ หรือนิยมในตัวเขา พอคนเปิดใจรับเท่านั้นเอง ผีมืด หรือบริวารซาตานที่เป็นภาึคมืด ก็จะแทรกเข้าร่างของคนเหล่านั้นทันที เช่น ให้ฝรั่งคนดังมาไทย คนไทยคนไหนชอบเขา จะถูกภาคมืดแทรกทันที

เอาละ พี่ชายขอยกตัวอย่างเท่านี้ก่อน เพราะเทคนิคของภาคมืด นั้น มากมายเหลือเกินจะนับ และคนส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ "โดนของ" เขาไปแล้ว ไม่ต่ำกว่า ๑๐ ครั้งต่อวัน ผ่านสื่อต่างๆ ครับ การโดนของบ่อยๆ เช่นนี้ สุดท้าย ก็เสี่ยงที่จะไม่รอดครับ โดยเฉพาะคนไทย เป็นโรคที่รักษาไม่หายขาดอย่างหนึ่งคือ "โรคแ่ห่ตามๆ กัน" ลองก็ได้ครับ เอาคนเยอะๆ ไปไหว้อะไรสักอย่างแบบมั่วๆ เช่น ไหว้ก้อนหินประหลาดๆ แล้วพอมีคนหน้าใหม่เดินเข้ามา โอกาสตกเป็นเหยื่อสูงมากครับ ถ้าครั้งแรกยังไม่โดน ก็มีนัดต่อไป เช่น เอาไปออกข่าวก่อน พอเป็นข่าวแล้วทีนี้ เชื่อเลย ไม่คิดอะไรกันละ แห่ตามๆ กันไปแบบงี่เง่า ไร้สมอง จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องสมองครับ มันเป็นไปด้วยอำนาจของจิตมืดแค่นั้น มันมืดมน มืดมิด ไม่มีความสว่างแห่งปัญญา เลยเป็นไปเช่นนั้นครับ


อย่างที่สอง พี่ชายจะเม้าท์ต่อว่า หลังจากพวกเขาได้ครอบงำมวลชนแล้ว เขาจะทำอย่างไรต่อไป? เยอะแยะครับ เช่น ทำให้คนส่วนใหญ่ไปเลือกตั้งเอา "ตัวแทน-ร่างซาตาน" ขึ้นไปเป็น ส.ส. ก็ดี, เป็นนายก ก็ดี เป็นต้น ทีนี้ละ อำนาจทางโลกก็ตกแก่ภาคมืดต่อไป อย่างไรละครับ บางครั้งก็จูนคนจำนวนมากออกไปประท้วง ก็มีครับ เพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม เพื่อแย่งชิงอำนาจกันอย่างไรละครับ ดังนั้น ระบบคนส่วนใหญ่และพวกมากลากไปนี้ จึงมีความเสี่ยงต่อการเปิดช่องให้พวกภาคมืดใช้เทคนิคนี้ ในการ "สร้างความชอบธรรม" ให้กับตัวเองในการครองอำนาจทางโลกครับ เพราะพวกเขามีบริวารภาคมืดอยู่มาก เพียงแทรกเข้าร่างคนจำนวนมากๆ เท่านั้น ก็จะเปลี่ยนให้โลกมนุษย์กลายเป็นโลกของภาคมืด ไปได้เลยครับ ด้วยเทคนิคที่เรียกว่า Mass domination นี้เอง ซึ่งซาตานทำเช่นนี้กับหลายประเทศทั่วโลกมานานแล้ว โดยเฉพาะประเทศที่มีความเจริญทางวัตถุมากๆ นะครับ ส่วนประเทศที่ล้าหลังด้อยพัฒนา ก็ยังไม่ค่อยถูกครอบงำมากนัก ซึ่งบางครั้งเทคนิคในการครอบงำมวลชน (Mass domination) นี้ มักใช้คู่กับการทำ Satan agency ครับ เช่น ถ้าต้องการปั้นใครสักคนให้มีอำนาจในตำแหน่งทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่ง เขาก็จะทำให้เกิดการครอบงำมวลชนควบคู่ไปด้วยครับ แล้วลองสังเกตุดูนะครับ อย่างในกรณีการเลือกตั้งต่างๆ มันจะมีอะไรที่ "งี่เง่า" ออกมาเยอะ เช่น คนหนึ่งบอกว่าจะให้รถเมล์ฟรี, อีกคนว่าจะให้ฟรีทุกสาย, อีกคนก็ว่าจะให้ฟรีพร้อมปรับอากาศ อะไรแบบนี้ พี่ชายว่ามันงี่เง่ามากเลย เอาเด็กประถมมาคิด มันก็คิดไำด้ พี่ชายแอบเห็นครับ เด็กอนุบาลเถียงกัน คนหนึ่งว่า ฉันขึ้นรถเมล์ฟรี อีกคนว่า ฉันฟรีทุกวันอ่ะ อีกคนก็ว่า ฉันฟรีพร้อมปรับอากาศด้วย ห่วยว่ะ ฮ่าๆๆ เอาชนะกันด้วยสมองแค่เนี้ย? ยังกะเด็กอนุบาลอ่ะ พูดตรงๆ นะ ไม่ต้องมีผู้ว่าฯ หรอก ให้ข้าราชการที่เขาทำงานอยู่เขาึคิด เขาก็คิดได้ครับ เขาขาดแค่ "แรงสนับสนุนทางการเมือง" เท่านั้น คือ เขาต้องการผู้ว่าที่จริงใจต่อทุกคนจริงๆ ที่จะยอมเสียสละตัวเองไปเสี่ยง เอาหน้าไปรับแทน หรือยอมออกตัวไปร้องขอให้ได้อะไรๆ มาอย่างที่คนกรุงเทพต้องการ (ยกตัวอย่างกรณีเลือกตั้งผู้ว่า กทม. นะ) เพราะว่าคนกรุงฯ รู้อยู่แล้วครับว่าพวกเขานั้น ต้องการอะไร, ข้าราชการประจำ รู้อยู่แล้วครับว่าเขาต้องทำอะไรบ้าง ที่เหลือก็แค่ รอให้ผู้ว่าฯ เดินหน้า เปิดทาง ทางการเมือง ทำให้เรื่องต่างๆ ได้รับการอนุมัติตามเวลาอันควร ตามลำดับสำคัญก่อนหลังจนนำไปสู่การปฏิบัติอย่างมีระบบ, ระเบียบ ฯลฯ ก็จะทำให้งานต่างๆ ซึ่ง กทม. ต้องแบกรับอยู่ เป็นประจำอยู่แล้วนั้น ได้รับการดูแลจัดการอย่างมีระบบ ระเบียบ ตรงนี้สำคัญมากกว่าจะมาอวดเบ่งกันครับว่า "ใครให้โปรโมชั้่นเยอะกว่า" เพราะอะไร? เพราะกรุงเทพฯ ไม่ใช่ของซื้อของขายที่จะตัดสินใจกันเพียงเพราะโปรโมชั้นหรอกนะครับ กรุงเทพฯ นี้ เป็นเมืองใหญ่ มีงานเยอะต้องทำหนักทุกวัน เพราะมันมีอะไรเยอะมาก ดังนั้น ต้องการคนที่ทำงานอย่างเข้าใจในระบบ และระเบียบครับ เมื่อเข้าใจแล้วก็รู้หน้าที่ตัวเองว่าจะต้องไปเดินหน้า, นำทาง และเปิดทาง ทางการเมือง เพื่อให้งานต่างๆ ลุล่วงไปตามเวลาอย่างเหมาะสม คนทำงานก็จะได้ทำงานได้สะดวก รวดเร็ว และงานไม่มากล้นเกินมือจนทำไม่ได้ดี มากเกินไปครับ เอาละ นี่แค่ยกตัวอย่างนะครับ อย่าคิดมาก


เอาละ เม้าท์มายาวเยอะเลยวันนี้ เดี๋ยวจะเครียดกันไปเสียก่อน เพราะคนอ่านไม่ชอบเรื่องการเมือง พี่ชายรู้อ่ะ ฮ่าๆๆ อย่าคิดมากครับ มองดูโลกให้ดีๆ การเมืองก็เป็น "ดินแดนมหัศจรรย์ สำหรับอลิซ" ได้ แล้วเราก็จะไม่ต้องเบื่อหน่าย แถมสนุกกับทุกสิ่งอีกด้วย โอเค วันนี้ เห็นทีว่าจะต้องพักผ่อนซะหน่อยเพราะงัดข้อกับเน็ตมานาน ราตรีสวัสดิ์ครับ




วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ซาตานครอบงำโลกและบงการมนุษย์อย่างไร? ตอน Satan agency

วันนี้ พี่ชายไม่เล่นมุขละเพราะเรื่องยาวน่าติดตามมากครับนั่นคือ เรื่องของซาตานตอนที่สอง ต่อจากบทความเมื่อวานที่พี่ชายได้แนะนำให้รู้จักซาตานตัวพญาทั้ง ๕ มาแล้ว ในบทความนี้จะเม้าท์ต่อว่า ซาตานเลือกและสร้างตัวแทนของตนเองในภาคมนุษย์ได้อย่างไร ดังนี้ครับ


อย่างแรกพี่ชายขอปูพื้นคำว่า "Satan agency" ก่อนว่าคืออะไร ในที่นี้  ก็คือมนุษย์เรานี่แหละครับแ่ต่เป็นมนุษย์ที่เป็นร่างให้ซาตานใช้นั่นเอง ในที่นี้ ไม่ใช่จิตวิญญาณมืด, ผีมืดหรือปีศาจระดับบริวารนะครับแต่เป็นระดับตัวพญา เป็นตัวหัวหน้าที่มีบริวารครับ ซึ่งควรเข้าใจให้ชัดเจนว่าร่างสังขารมนุษย์ที่ซาตานใช้ กับจิตวิญญาณซาตาน นั้น เป็นคนละส่วนกัน จิตวิญญาณซาตานสามารถใช้ร่างสังขารใครก็ได้ที่อยู่ในกลุ่มภาคมืดครับ ไม่ว่าจะเป็นสังขารที่ซาตานระดับแกนนำใช้ หรือสังขารที่จิตวิญญาณมืดระดับบริวารใช้ ก็ตาม บางครั้งซาตานก็ใช้ร่างของคนระดับต่ำ เป็นบางครั้งครับ ด้วยเหตุผลจำเป็นบางอย่างแต่เขาไม่ใช้ไปตลอดหรอกครับ บางร่างจึงเป็นเพียง "ร่างผ่านของซาตาน" เท่านั้น ไม่ใช่ร่างประจำของซาตาน เมื่อซาตานผ่านร่าง ใช้ร่างแล้วจรออกไปแล้ว พวกจิตวิญญาณมืดก็จะอยู่ประจำแทนเรียกว่าเป็นร่างประจำของผีมืดระดับบริวารก็แล้วกัน ส่วนร่างสังขารที่ซาตานใช้ประจำนั้น มักจะเป็นร่างสังขารของคนที่อำนาจมากๆ มีตำแหน่งสูงๆ ซาตานจะใช้ร่างสังขารนั้นไปเรื่อยๆ จนกว่าร่างสังขารนั้นจะไปต่อไม่ได้ด้วยเผาผลาญคลังบุญของตัวเองจนหมดสิ้น นั่นเอง ร่างสังขารนั้นเจ๊งจนไม่อาจที่จะใช้ได้อีกต่อไปแล้ว ร่างนั้นก็จะถูกทอดทิ้งให้ต้องรับผลกระทบด้านลบด้านต่างๆ เพียงลำพัง เคยเห็นไหมครับ คนที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่มากๆ แต่พอหมดพลังบุญแล้วตกต่ำอย่างยิ่งมีชีิวิตแสนมืดมน นั่นแหละ ร่างตัวแทนซาตานที่เรียกว่า Satan agency ซึ่งคนแต่ละคนอาจได้เป็น Satan agency ในระยะเวลายาวนานไม่เท่ากัน บางคนนั้นอาจมีพลังบุญหนุนมาก จึงได้เป็น Satan agency นานหน่อย แต่บางคนก็มีพลังบุญน้อย พอหมดพลังบุญ ซาตานก็ทอดทิ้งร่างนั้นจากไป


อย่างที่สอง ซาตานจะครอบงำร่างมนุษย์จนใช้เป็น Satan agency ได้อย่่างไร? ก็มีหลายขั้นตอนครับ อย่างแรก ซาตานจะหลอกล่อให้คนๆ นั้นอยากได้ อยากมี อยากเป็น อะไรบางอย่าง ณ ปัจจุบัน โดยไม่ต้องรอในอนาึคต พวกเขาจะยึดติดปัจจุบัน และให้คนได้ดังที่ต้องการในปัจจุบันเลย ในที่สุด คนๆ นั้น ก็จะเข้าสู่กระบวนการ "แลกเปลี่ยน" กล่าวคือ ซาตานจะให้ในสิ่งที่คนๆ นั้นต้องการ ส่วนซาตานก็จะเอาจิตวิญญาณในร่างสังขารนั้นไปทีละ ๑ ดวง เมื่อเอาไปแล้ว ๑ ดวง ซาตานก็จะแทรกเข้ามาในร่างนั้นได้ ยิ่งไม่เหลือจิตวิญญาณของมนุษย์ดั้งเดิมเลย ก็ยิ่งครอบงำร่างสังขารนั้นได้มากขึ้น บางคนแลกจนไม่เหลือจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์เลย กลายเป็นร่างเปล่าๆ ที่ซาตานใช้ได้เต็มที่ เมื่อซาตานจรออกจากร่าง ก็จะมีบริวารรองๆ ลงไปเข้ามาประจำต่อแทน เป็นต้น ทีนี้ เมื่อซาตานมองเห็นร่างมนุษย์ที่ตนเองต้องการแล้ว ก็จะทำการจับจองด้วยการ "ตีตรา" ซึ่งจะทำให้มีสัญลักษณ์บางอย่างติดตัวตนๆ นั้น ให้เป็นที่สังเกตุว่าแตกต่างจากคนทั่วไป แล้วซาตานก็จะปั้นให้คนๆ นั้นได้ตามที่เขาต้องการ ซึ่งคนที่ถูกปั้นนี้ ดูออกไม่ยากเลย เช่น ซาตานจะเอาพรรคพวกบริวารเข้ามาห้อมล้อม เข้ามาเอออวย เข้ามายกย่องแบบไม่มีเหตุผล เรียกว่าดันกันเต็มที่เพื่อให้เด่นดัง, ได้อำนาจ, เป็นที่ยอมรับ ฯลฯ จนคนๆ นั้นได้ดังที่ตนเองต้องการ ไม่ว่าจะิอยู่ในวงการใดๆ ก็ตาม มีทุกวงการครับ เช่น วงการกีฬา, วงการราชการ, วงการการเมือง, วงการเอกชน, วงการบันเทิง, วงการนักปฏิบัติธรรม ฯลฯ เป็นไปได้ทั้งหมดทั้งสิ้น เมื่อปั้นจนได้ดังที่ต้องการแล้วคนที่ถูกปั้นก็จะมี "ตัวตน" ซึ่งประกอบด้วยรูปนามใหม่ เช่น ได้นามใหม่ (เช่น สมณศักดิ์ เป็นต้น) รูปนามนี้ จะปรากฏให้เห็นเ่ด่นดังในระดับ "สาธารณะ" หรือเป็น "บุคคลสาธารณะ" ในแบบของซาตาน นั่นเอง จากนั้น คนๆ นั้นจะได้อะไรมากมาย อย่างที่ใจเขาอยากจะได้ ในขณะเดียวกันยิ่งได้เขายิ่งทุกข์หรือยิ่งมีแต่ความวุ่นวายเข้ามาในชีวิตมากขึ้น เรียกว่า ชีวิตเริ่มมืดมนลงเรื่อยๆ จนเมื่อเขาเสวยผลบุญจนหมดแล้ว ความสว่างไสวของชีวิตก็ดับลง ความมืดมิดเข้ามาแทนที่ จนในที่สุด เขาก็กลายเป็น "ภาคมืด" มีชีวิตที่รุ่งโรจน์ทางโลกแต่มืดมนในทางธรรมอย่างยิ่ง และสูญเสียจิตวิญญาณในที่สุด


สุดท้ายนี้ พี่ชายอยากจะบอกว่ากระบวนการทำงานของซาตานนี้ มันสำเร็จได้แนบเนียนแบบตาเนื้อเรามองไม่เห็น แต่จะอยู่ในชีวิตจริงเรานี่แหละครับ เช่น บางครั้ง เราอยากได้ปริญญาใช่ไหม? ซาตานก็จะให้แต่จะให้เราแลกครับ ด้วยอะไรสักอย่าง โดยที่เราไม่รู้เลย เราก็แค่มีใจอยากได้ๆ ไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งเราก็ได้ดังใจหวัง ก็เท่านั้น แต่ในชีวิตจริงของเราจะมีอะไรบางอย่างที่เราต้องสูญเสียไปครับ เอาง่ายๆ เลย พี่ชายเองเพิ่งรู้ตัวว่าชาตินี้ พี่ชายไม่ได้มีบุญที่จะได้ปริญญาตรีครับ ก็ ได้มาด้วยการแลกโดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน พี่ชายสูญเสียบางอย่างไป ที่เราก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเราหรือไม่? พี่ชายสูญเสียอาจารย์ท่านหนึ่งที่พยายามช่วยพี่ชายให้สอบผ่านวิชาที่ยากๆ ให้ได้ครับ ซึ่งแต่ก่อนพี่ชายเก่งมากๆ เรื่องคำณวน แต่ไม่ทราบว่าอะไรเล่นงานพี่ชายให้ป่วนไปหมด เคยใช้สูตรยากๆ พลิกแพลงได้ แต่ทำไม ตอนนั้น มึนไปหมด ไม่รู้ ก็เลยสอบตกซ้ำๆ เหมือนธรรมชาิติบอกพี่ชายว่าไม่ควรจะได้รับปริญญา แล้วพี่ชายก็จะเอาให้ได้ จะต้องสำเร็จให้ได้ มันก็ได้ครับ แต่อาจารย์ที่ช่วยเหลือพี่ชาย เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุครับ ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเกี่ยวกับพี่ชายเลย พี่ชายเพิ่งมาเข้าใจและคิดได้ตอนนี้เองว่าอาจเป็นเพราะจิตใจของอาจารย์อยากให้เราสอบผ่านให้ได้จริงๆ มันเลยกลายเป็นการแลกด้วยชีวิต ต่อไปนี้ พี่ชายไม่เอาอีกแล้วครับ ไม่คุ้มค่าเลย บางคนอาจบอกว่าพี่ชายโง่ หรือคิดมากไปเองก็ได้นะ ไม่ว่ากัน ก็ลองดูต่อไปแล้วกันครับ แต่สำหรับพี่ชาย พอแล้วครับ อะไรที่บุญมีให้เราได้ เราพอใจอย่างนั้น อะไรที่ไม่ได้มาด้วยบุญ ก็ไม่ต้องเสียความพยายามไปหล่อเลี้ยงความอยากได้ของเรา เพื่อให้เราได้มันมาครับ 


เอาละ เม้าท์มายาวเลย เรื่องราวของซาตานและภาคมืด ยังมีให้ตามกันต่อไปในนิทานอาหรับราตรีตามแบบฉบับของพี่ชายเอง ติดตามกันได้ในซี่รี่ย์ต่อๆ ไปครับ สำหรับวันนี้ พี่ชายขอพักก่อน ราตรีสวัสดิ์ครับ



   

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ซาตานครอบงำโลกและบงการมนุษย์อย่างไร? ตอน The 5 big boss

อั๊ยย่ะ วันนี้พี่ชายจะเล่นมุขแต่ดันเล่นไม่ได้ หายไปเฉยเลย เอาละ เข้าเรื่องเราดีกว่า วันนี้เป็นเรื่องของซาตานอ่ะ แต่ว่ามันเยอะมากเลย ตัวเอง เราเลยแบ่งเป็นซี่รี่ย์อ่ะ เหมือนหนังรักเกาหลีไง ตัวเองจะได้อ่านง่ายๆ สบายๆ นะ เริ่มต้นจาก "บิ้กบอส" ก่อน วันนี้พี่ชายจะแนะนำให้ตัวเองรู้จักเป็นเบื้องต้น ก่อนที่จะเข้าเรื่องสนุกๆ ยิ่งขึ้นต่อไป ดังนี้


อย่างแรก พี่ชายจะขอปูพื้นฐานก่อนคือ คำว่า "ซาตาน" ในที่นี้ พี่ชายใช้หมายถึง "ภาคมืดระดับแกนนำ" นะครับ ไม่ว่าเขาจะมีร่างทิพย์แบบใด เพราะไม่ว่าจะเป็นเทพ, มารหรือพรหม ก็ล้วนหลงไปอยู่กับภาคมืดได้ครับ ดังนั้น "ซาตาน" จึงมีได้ทั้งที่มีร่างเป็นเทพ, ยักษ์, อสูร, มาร, พรหม ฯลฯ ไม่จำกัดครับ ขึ้นอยู่กับว่าเขาสังกัดภาคมืดหรือภาคสว่างก็เท่านั้น เอาละ ทีนี้ พี่ชายจะขยายความขึ้นไปอีกว่า "ซาตาน" ตัวพ่อ ตัวแม่ ซึ่งอยู่ในระดับที่พี่ชายเรียกว่า Boss นั้น ก็จำแนกได้ไม่ยากครับ มีด้วยกัน ๕ บอสสำคัญ ไม่ต่างจากภาคสว่าง คานอำนาจกัน ดังนี้

๑. ซาตานผู้สร้าง ก็คือ ซาตานที่มาจากเทวดากลุ่มที่เคยทำหน้าที่ในการสร้างและมีฤทธิ์เดชในการสร้างสิ่งต่างๆ เช่น พระิวิษณุเทพ ถ้าไปอยู่ภาคมืด จะกลายเป็น "วิษณุซาตาน" ซึ่งมีกายทิพย์ไม่ต่างจากเดิม

๒. ซาตานผู้รักษา ก็คือ ซาตานที่มาจากเทวดากลุ่มที่เคยทำหน้าที่ในการรักษาและมีฤทธิ์เดชในการรักษาสิ่งต่างๆ เช่น พระินารายณ์ ถ้าไปอยู่ภาคมืด ก็คือ "ลูซิเฟอร์" ที่เรารู้จักกัน ซึ่งมีกายทิพย์ไม่ต่างจากเดิม

๓. ซาตานผู้ืทำลาย ก็คือ ซาตานที่มาจากเทวดากลุ่มที่เคยทำหน้าที่ทำลายและมีฤทธิ์เดชในการทำลายสิ่งต่างๆ เช่น พระิศิวะและอสูร ถ้าไปอยู่ภาคมืด ก็คือ "ศิวะซาตาน" ซึ่งมีกายทิพย์ไม่ต่างจากเดิม

๔. ซาตานผู้ปราบ ก็คือ ซาตานที่มาจากเทวดากลุ่มที่เคยทำหน้าที่ในปราบและมีฤทธิ์เดชในการปราบสิ่งต่างๆ เช่น พระิโพธิสัตว์ภาคปราบ ถ้าไปอยู่ภาคมืด ก็คือ "โพธิสัตว์ซาตาน" ซึ่งจะมีกายทิพย์เช่นเดิม

๕. ซาตานผู้โปรด ก็คือ ซาตานที่มาจากเทวดากลุ่มที่เคยทำหน้าที่โปรดและมีฤทธิ์เดชในการโปรดสัตว์ต่างๆ เช่น พระิโพธิสัตว์ภาคโปรดถ้าไปอยู่ภาคมืดคือ "โพธิสัตว์ซาตาน" ซึ่งจะมีกายทิพย์เช่นเดิม

โปรดสังเกตุครับว่า ไม่ว่าซาตานเหล่านี้ จะมาจากเทวดากลุ่มไหน จะยังคงมีกายทิพย์เหมือนเดิม เพียงแต่ "รัศมีกายทิพย์หม่นหมองลง" ก็เท่านั้นเอง ซึ่งสังเกตุได้ยากมากครับ ถึงขั้น ไม่รู้เลย ยากเกินไปครับที่มนุษย์อย่างเราๆ ท่านๆ ต่อให้มีตาทิพย์ก็ตาม ที่จะไปรู้หรือแยกแยะได้จากการเห็นเพียงกายทิพย์ ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเราทำสมาธิือยู่ จู่ๆ ก็มีเทพปรากฏในนิมิต ไม่ใช่นิมิตหลอกนะ ของจริง ตัวจริง เสียงจริง พูดสื่อสารและทำอะไรได้หมดเลย อย่างนี้ เราจะรู้ไหมครับว่าเขาเป็นเทวดาภาคสว่างหรือภาคมืด? คำตอบคือ "ไม่รู้เลย" ครับ มีเรื่องหนึ่งพี่ชายได้ไปอ่านเจอมาเรื่องหลวงพ่อฤษีลิงดำหรือไร ไม่แน่ใจ ถ้าผิดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย คือ ท่านไปเห็น "จิตวิญญาณพระ" ครับ มาหาท่านเยอะแยะ แต่ตอนแรกท่านเห็นมาองค์หนึ่งก่อน ผิวพรรณผ่องใส แบบเทวดาอ่ะนะ งดงามเชียวละ แต่ต่อมาก็มาเพียบเลย ทีนี้ ดูไม่ดีเหมือนองค์แรกๆ ต่อมา ท่านถึงได้รู้ว่าพระเหล่านี้ ไม่ได้อยู่ในหมวดหมู่ของพระพุทธเจ้า เป็นพระที่ทำไม่ดี ออกนอกทางไปครับ นั่นละ ก็ถ้าเทวดาเขาไม่บอกหลวงพ่อๆ ก็ไม่ทราบตรงนี้ นี่ขนาดหลวงพ่อนะ ท่านยังไม่ทราบ แล้วเราจะไปทราบได้อย่างไร มีแต่โดนหลอกเท่านั้น


อย่างที่สอง พี่ชายจะเม้า้ท์ให้ลึกซึ้งขึ้นไปอีกว่าซาตานทั้ง ๕ กลุ่มนั้น เขาทำอะไรกับโลกนี้ ครอบงำมนุษย์นี้อย่างไร ก็ไม่ยากครับ หลักการคือ เขาจะหา "ตัวแทนหรือร่างแทนตัว" เขาครับ พี่ชายขอเรียกว่าเป็น Satan agency ก็แล้วกัน เช่น นายก, ผู้นำประเทศ, เจ้าของกิจการ, ผู้นำองค์กรต่างๆ, ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ฯลฯ เขากวาดเรียบวุฒิหมดครับ ไม่เหลือหรอ เพราะ The 5 big boss เขาจะแย่งร่างสังขารของมนุษย์ที่เจ๋งๆ กันครับ พี่ชายก็โดนแย่งเหมือนกัน บางทีพวกสร้างก็ดึงไป บางทีพวกผู้รักษาก็ดึงไป บางทีพวกผู้ทำลายก็ดึงไป เอ้่า เอากันสิ พี่ชายก็เป๋และหลงเหมือนกันแหละ ฮ่าๆๆ ใครจะไปรู้หมดละครับ มันก็พลาดกันได้ แต่ว่าพี่ชายก็โชคดี พอหลุดออกมาได้ เหมือนลูกปลาน้อย เซียวฮื้อยี้ หลุดจากตาข่ายร่างแหอย่างนั้น ทำตัวเล็กๆ (อัตตา) ไว้ ก็หลุดออกมาได้เอง ทีนี้ พอเขาได้ร่างตัวแทนของเขาแล้ว เขาก็จะเอา "บริวารภาคมืด" ที่เคยอยู่ในภพมืดออกมา แทรกในร่างของคนที่เป็นบริวารคนนี้อีกทีจนกว่าจะครอบงำได้หมดทั้งองค์กร เรียบวุฒิไม่เหลือเลย บางคนนะ ตอนเข้าองค์กรแรกๆ เช่น หน่วยราชการ, บริษัทเอกชน ก็เป็นภาคสว่างอ่ะแหละ แต่พอพวกเขาบีบมากขึ้นๆ สุดท้ายก็ต้องเสียจิตวิญญาณ ร่างสังขารตกแก่ภาคมืดไปครับ ยกตัวอย่างเช่น เขาบีบให้ตำรวจเข้าร่วมกลุ่มโกงกินด้วย แบ่งกันกินอย่างดี แรกๆ เราก็อาจจะยังไม่มืด ยังเป็นแค่ยักษ์อสูรภาคสว่างอยู่ ยังมีจิตใจสว่างเห็นโทษอยู่ แต่เลิกไม่ได้ เพราะจิตวิญญาณเป็นยักษ์อสูร อะไรแบบนั้น ก็ทำไปเรื่อยๆ จนเราเริ่มไม่ไหวแล้ว อยากเลิก แต่เลิกไม่ได้ สุดท้าย ก็หมดบุญ คราวนี้เอง เราจะตกสู่ภาคมืดครับ คนเราจะทำดีหรือชั่วก็ได้ ถ้ายังมีบุญบารมีค้ำให้ทำได้อยู่ เหมือนเสือมีบุญเกิดมาฆ่ากวางกินได้ แต่ถ้าหมดบุญค้ำตรงนี้ เราต้องเลิกครับ ถ้าเราไม่เลิก เราก็จะได้รับการต่ออายุโดยภาคมืด เช่น เราถูกกลั่นแกล้งให้ออกจากราชการด้วยเพราะกินไม่เก่ง เข้าร่วมกลุ่มเขาไม่ได้ ถ้าเรายอมออกเราจะไม่ตกเป็นภาคมืด แต่ถ้าเราไม่ยอมออก ก็ต้องเป็นภาคมืดในที่สุด นั่นเองครับ 


เอาละ นิทานอาหรับราตรีเรื่องเกี่ยวกับซาตานยังมีอีกมากมายในเราๆ ท่านๆ ได้ติดตามชมในตอนต่อไป เป็นซี่รี่ย์ๆ เลยครับ เอาเป็นว่าวันนี้ เราเริ่มจากง่ายๆ ตอนที่หนึ่ง ปูพื้นฐานกันไปก่อน แล้วค่อยยากขึ้นไปเรื่อยๆ ก็แล้วกันนะเด็กๆ สรุปเคล็ดลับสำคัญง่ายๆ พี่ชายจะให้ไว้ เราจะได้ไม่ตกไปสู่ภาคมืด ก็คือ เราทุกคนมีบุญบารมีระดับหนึ่งที่จะทำ ได้ทั้งบุญและกรรมครับ การทำความดี ก็ช่าง, ความชั่ว ก็ช่าง ไม่ได้ทำให้เราเป็นภาคสว่างหรือภาคมืดนะครับ อันนี้ต้องเข้าใจให้ชัดเจน แต่การทำอะไร "เกินกำลัง" ต่างหาก ที่ทำให้เรากลายเป็นภาคมืดได้ เช่น ถ้าเราไปก่อความไม่สงบ เราถูกยิงตาย เราไม่เป็นภาคมืดครับแต่ถ้าเราไม่ยอมตาย ไม่ยอมโดนจับ แล้วเราได้พลังจากภาคมืดมา เราก็จะไม่ตาย ไม่โดนจับ แต่เราจะกลายเป็นภาคมืด ก็เท่านั้นเอง หรืออีกกรณีหนึ่งคือ ถ้าเราทำความดีเกินไป เกินกำลัง เกินตัว พลังภาคมืดก็จะเข้ามาเสริมให้เราได้ดังใจเราต้องการ แม้เป็นการทำความดี ก็เข้าภาคมืดได้ครับ ดังนั้น ทำอะไร ไม่ควรเกินความพอดี เกินธรรมชาตินะครับ ได้ทั้งนั้นแหละ ทำดี ทำชั่ว ไปสวรรค์ ไปนรก ก็ยังอยู่ในระบบสามภพ มีรายชื่อในบัญชีได้เกิดเป็นมนุษย์ได้อีกครับ แต่ถ้าเกินพอดี ก็เข้าสู่ภาคมืดได้ กลายเป็นไม่ได้ผุดได้เกิดได้นะเอ้า เดี๋ยวจะหาว่าพี่ชายไม่เตือน รักนะ จึงบอกให้ จุ๊บๆ อั๊ยย่ะ ฮ่าๆๆ เอาละ เม้าท์มายาวไปละ เดี๋ยวเด็กๆ จะง่วงนอนกัน กินนมนอนซะนะ ราตรีสวัสดิ์คร้าบบบ ...




วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เคล็ดลับสัมผัส "ดินแดนมหัศจรรย์" ได้โดยไม่ต้อง "เปิดตาทิพย์" !

มีเรื่องเม้าวันนี้คุณแม่แสนฉลาดไปซื้อนมมาขวดเบ่อเริ่ม ถามว่าเอามาทำไม แม่บอกว่า "ต้นไม้เฉา รดแล้วจะฟื้น" ผมก็ว่า "บ้าอ่ะสิ ใครเขาทำกัน" แม่บอกว่า "เขาทำกันทั้งนั้นแหละ นี่แม่ทำตามเขาละ" ผมคิดในใจ แม่เรานี่ไม่รู้อะไรเลย ใครเขาเอาน้ำนมรดต้นไม้กัน ทำไมไม่เอาขนมปังทาเนย, ราดแยม ฯลฯ ให้มันกินด้วยอ่ะ ถึงจะครบรสนะคุณแม่! เอาละ พี่ชายออกจะมีอายุแล้วแต่ไปไหนคนชอบทักเหมือนเด็ก อาจเพราะพี่ชาย "น่าดูเอ็น" เอ้ย พูดผิด "เอ็นน่าดู" เย้ย ไม่ช่าย น่าเอ็นดูกระมัง คราวไปเที่ยวเกาะกระดานมีผู้หญิงคนหนึ่งถูกล้อ เพราะหน้า อกเธอพิเศษมากๆ สงสัยละสิว่าคงสะละบึ้มฮึ้มแน่ๆ ป่าวหรอก เธอก็ปรับตัวได้ดี เข้ากับเกาะกระดาน มีหน้าอกไซส์พิเศษแบบ "ไข่ดาว" เท่านั้นเอง อ้าว แล้วไหนบอกว่าเํธอมีหน้าอกไซส์พิเศษไง ไหงเป็นไข่ดาวไปได้ อ้อ ไม่เคยได้ยินหรือไง "พิเศษ ไข่ดาวด้วย" อ๊ะ เพื่อนเลยว่าอย่าดูถูกผู้หญิงไป "ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะยันฮี" นะจะบอกให้ เอาละ พอขำๆ นะ วกเข้าเรื่องของเราวันนี้ดีกว่า เรื่อง "อลิซ ในแดนมหัศจรรย์" แบบฉบับของพี่ชาย รักชาติ เลยละ อั๊ยย่ะ แล้วมันเหมือนหรือต่่างกับของฝรั่งเขาอย่างไร? เอ้า ก็ลองอ่านดูเลยละกัน!


อย่างแรก พี่ชายอยากปูพื้นฐานก่อนว่า คนเราทุกคนมีอวัยวะรับสัมผัสหลายอย่าง ในการรับรู้สิ่งต่างๆ อย่างบางคน ตาบอดยังใช้ชีวิตร่วมกับคนในโลกแห่งแสงสว่างได้เลย นั่นแสดงถึง ความสามารถในการรับรู้ของคนเราที่มีมากกว่า "ดวงตา" ไงครับ และอีกประการหนึ่งคือ โลกที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ด้วยตาเนื้อของเรา เป็นโลกแห่งวัตถุสสารที่เรามองเห็นได้เมื่อมีแสงสว่าง ทว่า มันมีหลากหลายมิติมากกว่าที่เราเห็นด้วยตาเนื้อ ด้วยแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ครับ เช่น โลกในมิติทิพย์ที่ซ้อนอยู่ เชื่อมโยงอยู่กับโลกของเรา ทว่า เราไม่อาจมองเห็นมันได้ด้วยตาเนื้อปกติ หลายคนพยายามเปิดตาทิพย์ บ้างอยากได้ตาทิพย์ เพื่อที่จะได้เห็นโลกทิพย์ที่แท้จริง เห็นสวรรค์นรกจริงๆ ว่าเป็นอย่างไร  ทว่า พี่ชายกำลังจะบอกว่า เราไม่มีความจำเป็นต้องเปิดตาทิพย์เพื่อให้ได้เห็นโลกในมิติทิพย์หรอก หากเราเลื่อนระัดับไปอยู่ในมิติที่สูงขึ้น จนถึงขั้นไม่มีมิติ คือ ภาวะหนึ่งเดียวกันของทั้งหมด ได้แล้ว เราก็จะรู้สึกสัมผัสได้ถึงมิิติอื่นๆ ได้ราวกับว่ามันเ็ป็นชีวิตปกติของเรานี่เอง เพราะอะำไร? เพราะว่าแท้จริงแล้ว มันไม่มีการแบ่งแยกมิติอะไรหรอก ทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว นั่นเอง แต่ที่เราเข้าใจว่ามันมีมิติต่างๆ ก็เพราะความเข้าใจของเราที่คับแคบและรับรู้ได้เท่านั้น เช่น มนุษย์ปกติจะรับรู้ได้สามมิติ เขาจึงอยู่ในระดับมิติที่สามเท่านั้น ไม่อาจเข้าถึงโลกในมิติที่สูงขึ้นกว่ามิติที่สามได้ มีมนุษย์บางคนพยายามเปิดตาทิพย์ เขาเห็นโลกทิพย์ได้ ก็จริง แต่หลายคนก็ยังไม่ผ่านการเลื่อนระดับไปสู่มิติที่สูงขึ้นได้ เช่น บ้างเห็นสวรรค์แล้วเอาภาพที่เห็นนั้นมาสร้างวัด จำลองเป็นเจดีย์ ฯลฯ เพราะพวกเขายังยึดติดอยู่กับการมีวัตถุสสารที่มองเห็นได้ สัมผัสจับต้องได้ แบบมิติที่สามอยู่ นั่นเอง ทีนี้ ถ้าเราสามารถเลื่อนระดับไปสู่มิติที่สูงขึ้นได้แล้ว เราจะรับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในระดับมิติที่สูงขึ้นได้เอง โดยไม่ต้องมีตาทิพย์ ไม่ต่างอะไรกับคนตาบอดที่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับโลกที่สว่างไสวของคนตาดีได้นั่นเอง


อย่างที่สอง พี่ชายอยากแนะนำเคล็ดลับในการสัมผัสรับรู้ถึงโลกในมิติที่สูงขึ้นซึ่งซ้อนทับและเชื่อมโยงอยู่กับโลกของเรานี่แหละ ไม่้ต้องไปหาที่ไหน เมื่อเราผ่านด่านที่ขวางกั้นการรับรู้และเข้าใจในมิติที่สูงขึ้นได้ เราจะมีชีวิตไม่ต่างจาก "อลิซในแดนมหัศจรรย์" ชีวิตของเราจะเหมือนมหัศจรรย์และเต็มไปด้วยการผจญภัยที่แสนสนุกสนาน ไม่ต่างจากอลิซเลย เพราะเวลานี้ โลกของเรากำลังปรับตัวครั้งใหญ่ มีอะไรต่อมิอะไร มาเยือนเต็มไปหมด ในมิติที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเนื้อนั้น มันยิ่งกว่านิทานผจญภัยเรื่องใดๆ จะอธิบายได้เลย ซึ่งเคล็ดลับที่สำคัญที่จะทำให้เรารับรู้ได้ึถึงมิติอัศจรรย์ที่สูงขึ้นเหล่านั้น มีดังนี้

๑. การก้าวข้ามกำแพงแห่งกาลเวลา คือ การที่เราพ้นแล้วจากภาวะเก่าๆ ที่เึคยถูกกักขังด้วยกำแพงแ่ห่งกาลเวลา เช่น การที่เรายึดสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบันมากเกินไปจนไม่เห็นความเป็นหนึ่งเดียวกันที่ปรากฏอยู่ อันเป็นสิ่งที่มาจากอดีต ก็ดี, อนาคต ก็ดี เมื่อเราก้าวข้ามกำแพงนี้ไปได้ เราก็จะเห็นอดีตและอนาคตที่ปรากฏอยู่ ณ ปัจจุบัน

๒. การก้าวข้ามกำแพงแห่งความจริง คือ การที่เราพ้นแล้วจากภาวะเก่าๆ ที่เึคยถูกกักขังด้วยกำแพงแ่ห่งความจริง เช่น การที่เรายึดสิ่งที่เราคิดว่าเป็นความจริงมากเกินไปจนไม่เห็นความเป็นจริงที่นอกเหนือจาก "ความจริงในโลกทัศน์เดิมของเรา" เมื่อเราก้าวข้ามกำแพงนี้ไปได้ เราก็จะเห็น "ความจริงที่เราไม่เคยเห็น" จาก "ความไม่จริงอื่นๆ"

๓. การก้าวข้ามกำแพงแห่งเหตุผล คือ การที่เราพ้นแล้วจากภาวะเก่าๆ ที่เึคยถูกกักขังด้วยกำแพงแ่ห่งเหตุผล เช่น การที่เรายึดสิ่งที่มีเหตุผล เป็นตรรกะน่าเชื่อถือมากเกินไป จนไม่เห็นโลกในมิติอื่นๆ ที่นอกเหนือจากมิติแห่งเหตุผล เมื่อเราก้าวข้ามกำแพงนี้ไปได้ เราก็จะเห็นโลกในมิติอื่นๆ ที่นอกเหนือจากโลกในมิติแห่งเหตุผลเดิมๆ นั้น

๔. การก้าวข้ามกำแพงแห่งความถูกผิด คือ การที่เราพ้นแล้วจากภาวะเก่าๆ ที่เึคยถูกกักขังด้วยกำแพงแ่ห่งความถูกผิด เช่น การที่เรายึดสิ่งที่เป็นความถูกและผิดในความคิด, ความเชื่อของเรา มากเกินไปจนไม่เห็นโลกในมิติอื่นๆ ที่ปรากฏอยู่ เช่น โลกแห่งความจริงในความเท็จ และโลกแห่งความเท็จในความจริง เมื่อเราก้าวข้ามกำแพงนี้ไปได้ เราก็จะเห็นโลกในมิติที่กว้างขึ้นกว่าเดิม จนเราเลิกขังตัวเองในกำแพงนี้

๕. การก้าวข้ามกำแพงแห่งความดีชั่ว คือ การที่เราพ้นแล้วจากภาวะเก่าๆ ที่เึคยถูกกักขังด้วยกำแพงแ่ห่งดีชั่ว เช่น การที่เรายึดสิ่งที่เราคิดหรือเชื่อว่าเป็นความดีหรือชั่ว มากจนเกินไป จนไม่เห็นโลกในมิติที่อยู่นอกเหนือจากกำแพงแห่งความดี-ชั่วเดิม ของเรานั้น เมื่อเราก้าวข้ามกำแพงนี้ไปได้ เราก็จะเห็นโลกที่กว้างกว่าโลกแห่งความดี-ชั่วเดิมนั้น

๖. การก้าวข้ามกำแพงแห่งความรู้ คือ การที่เราพ้นแล้วจากภาวะเก่าๆ ที่เึคยถูกกักขังด้วยกำแพงแ่ห่งความรู้ เช่น การที่เรายึดสิ่งที่เราได้รับรู้มา หรือมาจากความรู้ของเรามากเกินไป จนไม่เห็นโลกในมิติที่กว้างกว่านี้ กว่าิสิ่งที่เรารู้อยู่นี้ได้ เมื่อเราก้าวข้ามกำแพงนี้ไปได้ เราก็จะเห็นโลกในมิติอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือความรู้เก่าก่อนที่เราเคยมี เคยรับรู้มา 

๗. การก้าวข้ามกำแพงแ่ห่งความเชื่อ คือ การที่เราพ้นแล้วจากภาวะเก่าๆ ที่เึคยถูกกักขังด้วยกำแพงแ่ห่งความเชื่อ เช่น การที่เรายึดสิ่งที่เราเชื่อมากเกินไป จนไม่เห็นโลกในมิติที่อยู่นอกเหนือจากความเชื่อของเรา เมื่อเราก้าวข้ามกำแพงแห่งความเชื่อนี้ไปได้ เราก็จะเห็นโลกในมิติอื่นๆ ที่กว้างกว่าโลกในมิติแห่งความเชื่อของเราแต่เดิมนั้น 

๘. การก้าวข้ามกำแพงแ่ห่งตัวตน คือ การที่เราพ้นแล้วจากภาวะเก่าๆ ที่เึคยถูกกักขังด้วยกำแพงแ่ห่งตัวตน เช่น การที่เรายึดสิ่งที่เรายึดเป็นตัวตนของตนมากเกินไป จนไม่เห็นโลกที่อยู่นอกเหนือจากกำแพงแห่งตัวตนที่เราสร้างขึ้นมาเองนั้น เมื่อเราก้าวข้ามกำแพงนี้ไปได้ เราก็จะเห็นโลกในมิติอื่นๆ ที่กว้างกว่าโลกในมิติแห่งตัวตนของเรานั้น


เอาละ วันนี้ พี่ชายเม้าท์ยาวมากเลย เดี๋ยวเด็กๆ จะเครียดไปเสียก่อน เอาเป็นว่าพี่ชายจะสรุปง่ายๆ เลยนะ "โลกนี้มีอะไรที่เราไม่รู้ คาดไม่ึถึงอีกมาก" เราจะเห็นหรือเข้าใจโลก จนนำไปสู่การหลุดพ้นโลก ได้จริง เราจำต้องหลุดพ้นจาก "กำแพงต่างๆ ที่เราสร้างขึ้นมากักขังตัวเอง" ให้ได้ก่อน เราก็จะเห็นโลกที่กว้างขึ้น และกว้างขึ้นได้ครับ เอาละ คืนนี้ พี่ชายขอจบลงง่ายๆ แค่นี้ก่อนนะ เด็กๆ จะได้รีบนอน ราตรีสวัสดิ์จ๊ะ




วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง, การแลกภูติคุ้มครอง, คู่แฝดต่างมิติ และตัวตนภาคมืดที่กลับคืนมา!

บทความในวันนี้เป็นเรื่อง "ตัวตนที่แท้จริง" ที่ถูกปิดบังอำพรางไว้ด้วย "พลังบางอย่าง" ซึ่งมักอยู่ในรูป "ภูติคุ้มครอง" ครับ สรุปง่ายๆ คือ คนเรามักมีเปลือกนอกที่ไม่ใช่ตัวตนแท้ของเรา อำพรางไว้ ทำให้คนไม่รู้ ไม่เข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงของเรา ว่าเราเป็นคนอย่างไรกันแน่ อย่างง่ายๆ เลย เราทุกคนที่ใช้เน็ตสื่อสารกันเนี่ย ไม่ได้เห็นหรือเข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงของกันหรอกครับมันมี "ตัวตนในมิติของอินเตอร์เน็ต" ซึ่งปิดบังอำพรางเราไว้ทุกคนอยู่ บางคนดูใจร้าย ดุมาก ในเน็ตนะครับแต่นั่นไม่ใช่ตัวจริงของเขาหรอกครับ บางคนดูดี น่ารักมาก แต่ก็ไม่ใช่ตัวตนที่แท้ของเขาอีกเช่นกัน เอาละมันเป็นยังไง วันนี้เรามาเรียนรู้พร้อมกันไปเลยดีกว่า แล้วเราจะเข้าใจ "คน" ได้ดียิ่งขึ้น ดังต่อไปนี้ครับ


อย่างแรก พี่ชายอยากปูพื้นฐานที่ง่ายที่สุด ง่ายๆ ครับ ลองมองย้อนกลับมาดูตัวเราเองว่าเราที่มีตัวตนอยู่ในเน็ตนั้น เหมือนตัวเราจริงๆ หรือเปล่า? อย่างพี่ชายตัวจริง ก็เป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยคุยกับใครและอยู่บ้านวันๆ ไม่ออกไปไหน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร บุญไม่ค่อยทำ กรรมก็ไม่ค่อยสร้าง เหมือนคนไม่เอาไหนครับ แต่ในเน็ตพี่ชายก็แปลงร่างเป็นฮีโร่สายพันธุ์ใหม่ ซึ่งมันจำเป็นที่พี่ชายต้องมีเปลือกนอกอย่างนี้ เพื่อทำให้งานของพี่ชายไปถึงยังผู้รับสาร์นได้ครับ นี่คือ ตัวอย่างง่ายที่สุด พอเข้าใจใช่ไหมครับ ที่นี้ เราทุกคนก็มี "ตัวตน" หลายๆ ตัวตน ทั้งตัวตนที่เป็นเราจริงๆ และตัวตนที่เป็นอะไรสักอย่าง อยู่ในมิติไหนสักอย่าง เช่น ตัวตนที่อยู่ในที่ทำงาน, ตัวตนที่อยู่กับเพื่อน, ตัวตนที่อยู่ในเน็ต ฯลฯ มันไม่เหมือนกัน ใช่ไหมเอ่ย? เอาละ เริ่มเก็ทแล้วใช่ม๊ะละ คำถามคือ แล้วอย่่างนี้ "ตัวตนที่แท้จริงของเรา" จะได้รับการเปิดเผยต่อบุคคลอื่่นตอนไหนเอ่ย? มันก็จะต้องผ่านกระบวนการที่พี่ชายขอเรียกชื่อว่าเป็น "การแลกเปลี่ยนพลังภูติ" ก็แล้วกัน ภูตินั้นจะเป็นตัวตนที่อยู่ชั้นเปลือกนอกสุดของเรา ซึ่งไม่ใช่ตัวตนที่แท้ของเรานะ เขาจะทำหน้าที่ต่างๆ ในมิติต่างๆ ร่วมกับเรา อย่างที่ได้ยกตัวอย่างไปน่ะละ ทีนี้ ภูติเหล่านี้ ไม่ใช่ตัวตนของเรา จะถูกแลกเปลี่ยน จัดไปให้ "เจ้าของเดิม" ตามหลัก "วัวใครเข้าคอกคนนั้น" นะครับ ส่วนเราก็จะได้ "ภูติ" ของเราคืน ซึ่งเขามักจะมาในรูป "เงาในอดีตชาติ" ของเราที่ตกค้างอยู่บนโลกมนุษย์ครับ เมื่อถึงเวลานั้น คนอื่นจึงจะสัมผัสได้ถึง "ตัวตนที่แท้จริงของเรา" ว่าเราคือใครครับ (จะได้รู้ว่าไผ๋เป็นไผ๋เสียที 555) อย่างพี่ชายนี่ มีภูติสาวสวยเยอะแยะ รอบตัวเต็มไปหมดเลยอ่ะ ทำให้พี่ชายเหมือนผู้หญิงไปเลยคือไม่ได้ทำงานเหมือนผู้ชาย แต่ต้องอยู่กับบ้าน ทำกับข้าวให้พ่อแม่กินอ่า ไม่ชอบเลย แต่เื่มื่อยังไม่ถึงเวลา ก็ต้องยอมรับวิบากกรรมนี้ไปก่อนครับ แต่ว่าพี่ชายว่ามันไม่ใช่พี่ชายนะ มันไม่ใช่ตัวตน มันไม่ใช่ฟีลลิ่งอ่า หุๆๆๆ (อันนี้ ล้อเล่นขำๆ)


อย่างที่สอง เรื่องการแลกเปลี่ยนภูติจะทำให้เราได้พบกับ "คู่แฝดต่างมิติของเรา" กล่าวคือ ภูติที่จะมาหาเรานั้น จะอยู่กับคู่แฝดต่างมิติของเรา ก็ได้ครับ หรืออาจอยู่กับคนอื่นที่เคยเกี่ยวข้องกับเราในอดีตชาติก็ได้ ในกรณีที่ภูติมากับคู่แฝดต่า่งมิติของเรา อันนี้ น่าสนใจครับ ด้วยมันจะมีการปรับฐาน เปลี่ยนบทบาทกันเล็กน้อย เพื่อให้คู่แฝดต่างมิติ ได้ลงตัวในหน้าที่ของตนที่แตกต่างกัน ไม่แย่งงานกัน มีจุดยืนและกิจที่ต่างกันไปครับ เรียกว่า "การจัดสรรใหม่" ซึ่งมันจะเป็นไปตามความเหมาะสม ณ เวลาปัจจุบันครับ เช่น สมมุติตอนแรกเราถูกวางตัวให้มาเกิดเป็นพระ แต่คู่แฝดต่างมิติของเราถูกวางตัวให้มาเกิดเป็นนักธุรกิจ พอเจอกันปั๊บ มันอาจเปลี่ยนบทบาทกันเลยก็ได้ หรือคงเดิมก็ได้ครับ ขึ้นอยู่กับ "การบำเพ็ญบารมีของแต่ละคนนั้นๆ" ว่าต่างทำอะไรมากันครับ เช่น พี่ชายเคยทำหน้าที่เชื่อมต่อกับ "พระสุริยเทพ" วันหนึ่งถ้าพี่ชายได้พบกับคู่แฝดต่างมิติ เราอาจแลกให้บทบาทนี้แก่เขาไปแทน พี่ชายก็จะไปทำหน้าที่อื่นต่อไป เป็นต้น ซึ่งพี่ชายจะมีการถ่ายทอดภูติที่เป็นตัวเชื่อมต่อกับพระสุริยเทพให้แก่เขา และเขาก็จะต้องถ่ายทอดภูติที่อยู่กับเขา ให้พี่ชายแทนครับ การแลกเปลี่ยนภูติก็จะสำเร็จโดยดี แต่ถ้าไม่ได้แลกเปลี่ยนกัน บางคนเสียก็มี, ได้ก็มี เช่น คนหนึ่งบำเพ็ญมาดีมาก เขาอาจได้สิ่งดีไป อีกคนบำเพ็ญบารมีมาน้อยไป ก็อาจเป็นผู้สูญเสียแทน นี่เรียกว่ามีฝ่ายได้ ฝ่ายเสีย ไม่ใช่การแลกเปลี่ยน ซึ่งเกิดขึ้นได้เช่นกัน อีกกรณีหนึ่งคือ การแลกเปลี่ยนหรือการได้เสีย กับคนที่ไม่ใช่คู่แฝดต่างมิติของเรา เพื่อให้เรากลับคืนสู่ความเป็นตัวตนที่แท้จริงในอดีตชาติของเรา ซึ่งจะนำไปสู่ "การเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง" ที่เคยเป็นในอดีตอย่างไรละครับ เช่น ภูติที่มาจากพระเจ้าตากสิน อาจจะอยู่กับคนทรงคนหนึ่ง แล้วรอเวลาที่ตัวตนที่แท้จริงที่มาเกิดเป็นคน จะไปสู่คนทรงคนนี้ แล้วภูตินั้นๆ ก็จะไปกับตัวตนที่แท้จริงของเขา จะละจากคนทรงคนนั้นไปครับ (คนทรง แค่ทรงไว้ชั่วคราว ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงครับ) เมื่อนั้น คนๆ นั้นก็จะมีบุคลิกลักษณะ, ความคิด ฯลฯ ที่คล้ายกับตันตนของตนเองในอดีตชาติ คือ พระเจ้าตากสิน นั่นเอง อ๊ะ พอนึกภาพออกหรือยัง? ดังนั้น ถ้ายังไม่ถึงเวลานั้น ก็จะยังไม่มีใครรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของแต่ละท่าน บุคคลสำคัญแต่ละท่านที่ลงมาเกิดนะครับ ต้องรอให้ถึงเวลานั้น จึงจะเกิดการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงครับ


เมื่อวาระอันเหมาะสมมาถึง "ทั้งสองจะรวมกันเป็นหนึ่ง" (เรากับตัวตนในอดีตที่เป็นเงาของเราเอง) เมื่อนั้น การตาย จากไป การกำเนิดใหม่จะมาแทนที่ แล้วเราจะได้รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเราเองในอดีตว่าเราคือใคร และเคยทำอะไรมาบนโลกนี้บ้าง เพื่อที่จะกอรปกิจตามหน้าที่ของเราที่คั่งค้างให้สำเร็จลุล่วงต่อไป เพื่อปลดปล่อยให้จิตวิญญาณที่ติดค้างในภารกิจต่างๆ, พันธสัญญาต่างๆ ได้หมดสิ้นบ่วงภาระนั้น จะมีชีวิตใหม่ที่สว่างไสวขึ้น และพร้อมตรงสู่ความหลุดพ้นในท้ายที่สุด เอาละ พี่ชายเม้าท์มายาวเลย ท่่าจะง่วงกันละ ขอจบก่อน ราตรีสวัสดิ์