วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เคล็ดลับการเปิดรับพลัง "ต่างดาว" หรือเทพไตรภพในวันตรุษจีน!

อย่างแรก เริ่มต้นกันที่การแยกแยะพลังต่างดาวและพลังงานที่มาจากโลก (ไตรภพ) กันก่อนดีกว่า เพราะพลังงานในธรรมชาติมีมากมายทั้งที่มาจากในโลกเรานี้เอง และที่มาจากดาวอื่นๆ (นอกโลก) เราจำต้องเข้าใจให้ชัดว่าไม่เหมือนกัน และพลังของสิ่งที่อยู่ในโลกนี้ ไปสุดแค่ไหน? คือ มีลักษณะอย่างไร ไม่เกินอย่างไร เป็นต้น ซึ่งบางบทความก็ได้อธิบายไปบ้างแล้ว ซึ่งในช่วงวันพิเศษต่างๆ นั้น ผู้คนบนโลกจะทำพิธีไหว้เทพเจ้ากันมาก พลังจิตมวลรวมตรงนี้ มีไม่น้อยเลยทีเดียว อย่าสบประมาทความเชื่อของคนจำนวนมากๆ ไปละครับ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เป็นเลิศทางพลังจิต แต่ถ้ารวมกันมากๆ หลายๆ คน เป็นประเทศ หรือหลายประเทศเลย มันก็จะมีพลังจูนได้มากทีเดียว ซึ่งถ้าแรงมากๆ ก็จะจูนพลังต่างดาว จากนอกโลกมาได้เยอะทีเีดียวครับ ก็เทพเจ้าไม่ได้มีแต่ในดาวโลกนี่ครับ เทพในโลกนี้ก็มี, เทพในต่างดาวก็มีครับ พอพลังจิตมีแรงจูนมากๆ ก็จูนได้ไกลหรือกว้างขึ้นไงละครับ ทีนี้ เทพเจ้าของจีนหลายๆ องค์ ก็เชื่อมโยงกับโลกธาุตุอื่นๆ ที่ไม่ใช่โลกเราครับ เช่น สุขาวดีโลกธาตุ มีพระกวนอิมอยู่ด้วย พอคนไปไหว้มากๆ พลังจิตที่ใช้ในการจูนก็มีสูงมาก ทำให้เหนี่ยวนพลังลงมาได้นะครับ ทีนี้ เมื่อพลังได้รับการจูนลงมาแล้ว ใครจะเปิดรับได้มาก ได้น้อย ใครอะไร ได้พลังในโลก หรือพลังจากต่างดาว ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนแล้วละครับ นี่ไงครับ ผมจึงมาเขียนบทความเรื่องเคล็ดลับการเปิดรับพลังต่างดาว ในช่วงวันตรุษจีนนี้ หวังว่าคงจะพอเข้าใจกันนะครับ


อย่างที่สอง เข้าเรื่องเลยคือ "เคล็ดลับ" ในการเปิดรับพลังที่เราสนใจเป็นพิเศษครับ อย่าลืมว่า แม้คนจีนจะไหว้เทพเจ้าจีน แต่พลังงานที่จูนมาได้ ไม่จำเป็นต้องมาจากในโลกนี้เท่านั้นนะครับ ดังที่ยกตัวอย่างแล้วว่า "พลังของพระกวนอิมก็มาจากสุขาวดีโลกธาตุ" คือ โลกธาตุอื่นที่ไม่ใช่โลกของเรา เห็นไหม แม้จะเป็นเทพเจ้าจีนแต่ก็มีบางท่านที่มีพลังอยู่ดาวอื่น เป็นเทพต่างดาวไงครับ ทีนี้ เราจะเปิดรับอย่างไรละ จึงจะได้พลังงานที่เราสนใจจริงๆ เพราะวันตรุษจีนเป็นวันไหว้เทพเจ้ารวม อีกทั้งยังตรงกับวันพระของไทยด้วย ถ้าเราเปิดรับพลังงานไม่ตรงกับที่เราต้องการ อาจทำให้เราได้รับพลังงานที่เราไม่ต้องการได้ เช่น ถ้าเราต้องทำมาค้าขาย แต่ดันไปได้พลังงานพระถังซัมจั๋งเข้า เราอาจจะไม่อยากค้าขายหรือเอาเงินใครแล้วแบบว่าเหมือนพระไปเลย อะไร ประมาณนั้น เกิดขึ้นได้ครับ ทั้งพฤติกรรม, การคิด, การพูด และการกระทำ พลังงานเหล่านี้ มีแรงขับดันสูงทำให้เราไหลไปตามพลังงานเหล่านี้ได้ไม่ยากครับ ดังนั้น เราจึงควรมีเคล็ดลับในการเปิดรับพลังในวันตรุษจีนนี้ครับ โดยเริ่มจากเคล็ดลับอย่างแรก ให้เริ่มต้นที่ "ใจ" ของเราครับคือ ถ้าใจเราปรับจูนได้ตรง โอกาสได้รับพลังงานที่เราต้องการ อย่างแม่นยำก็มีสูงมากครับ เช่น พลังเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ที่จะลงมาในเวลาประมาณเที่ยงคืนของวันนี้ ถ้าเรานอนหลับอยู่ โอกาสเปิดรับก็จะยากหน่อยครับ แต่ถ้าเรากำลังไหว้พร้อมๆ กับท่านอื่นพอดี แหมมันก็มีโอกาสสูงใช่ไหมครับ เคล็ดลับต่อไปคือ "จังหวะเวลา" นั่นเอง คือ โลกของเราจะได้รับพลังงานจากที่ใดๆ ก็ตาม ส่งลงมาไม่เหมือนกันในแต่ละ่ช่วงเวลา ถ้าเราเปิดรับอยู่ ณ ช่วงเวลานั้นพอดี โอกาสจูนติดก็มีมากครับ แต่ถ้่าเราจูนไม่ติดตอนนั้น ก็อาจจูนได้ด้วยวิธีอื่นๆ ครับ ก็คือ เคล็ดลับต่อไป การจูนพลังงานทางอ้อม เราอาจไม่ได้จูนพลังงานนั้นโดยตรงตามเวลาที่ควรจะเ็ป็นแต่เราอาจจูนได้จากคนด้วยกัน เช่น  เราอาจจูนได้ภายหลังที่เราได้คุยกับใครบางคนที่ได้รับพลังเหล่านี้มาครับ หรือเราอาจได้พลังงานเหล่านั้นจากอาจารย์ที่ถ่ายทอดให้เรา ก็จูนผ่านทางบุคคลสู่บุคคลได้ครับ คือ "รับช่วงสืบทอด" อีกที ทว่า ในการรับช่วงสืบทอดนี้ จะกระทบต่อ "ตัวผู้ให้" บางอย่าง (บอกไม่ได้นะครับ) ทำให้หลายท่านไม่ค่อยถ่ายทอดให้จริงๆ หรือถ้าจะถ่ายทอดก็จะให้เมื่อใกล้จะตายแล้วเท่านั้น วิธีนี้ เลยยากสักนิด เมื่อเทียบกับการที่เราเปิดรับพลังงานเองโดยตรงนะครับ เอาละ เคล็ดลับมีเยอะแยะแต่ถ้าจะเม้าท์ให้หมด เกรงว่าจะยาวไป เอาแ่ค่พอเป็นน้ำจิ้มก็แล้วกัน


วันนี้เป็นคืนก่อนวันตรุษจีน เที่ยงคืนมีคนไหว้รับเทพเจ้าแห่งโชคลาภด้วยสิ เดี๋ยวผมไปดูเวลาในประเทศจีนก่อนว่าคนจีนจำนวนมาก เขาไหว้เวลาไหนกัน พลังงานเขาเยอะดี ก็คนจีนทั้งประเทศนี่ครับ ถ้ามันเป็นเวลาก่อนเรา ก็จะได้ไม่ต้องเปิดรับพลังตอนเที่ยงคืน จะได้เร็วกว่่าเที่ยงคืนได้ วันนี้ ไม่รบกวนเวลาทุกท่านแล้วนะครับ ขอเตรียมตัวไปทำกิจเปิดรับพลังเฮงๆ กับเขาหน่อย โชคดีปีใหม่จีน ราตรีสวัสดิ์ีครับ




วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

"โชคลาภ" จากหน้าที่ของมนุษย์ที่ไม่ใช่อาชีพ กำลังรอคุณอยู่ทุกวัน ง่ายยิ่งกว่าแทงหวย!

วันนี้ พี่ชายรักชาติไปซื้อของในตลาด เพื่อสนับสนุน SMEs รายเล็ก ก็ไปซื้อของตามตลาดนัดครับ แล้วก็มีคนมองพี่ชาย พร้อมกับพูดว่า "หน้าแปลกๆ ว่ะ" อ๊ะ จะให้พี่ชายหน้าไม่แปลกได้อย่างไร? ก็พี่ชายไม่ได้ทำศัลยกรรมนี่ จะได้หน้าโหล เหมืิอนๆ ใครเขา ดูแล้วไม่มีความแปลกใหม่อะไรแบบนั้น เดี๋ยวนี้พี่ชายอาบน้ำมากขึ้นแล้ว เพราะว่าแผ่นดินเริ่มแห้งแล้ง พี่ชายสงสารว่าแผ่นดินจะไม่่ค่อยมีน้ำ จึงยอมเสียค่าน้ำปะปาเพิ่ม อาบน้ำแล้วครับ เอาละ มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า วันนี้ มาเรื่อง "โชคลาภ" ที่หาได้ง่ายๆ ใกล้ตัวทุกวัน โดยไม่ต้องไปหาพระหรือหมอดูที่ไหน อ๊ะ มันเป็นอย่างไร ลองอ่านดูละกันครับ


อย่างแรก ผมอยากจะอธิบายคำสองคำนี้ก่อนครับ คือ คำว่า

๑. หน้าที่ของมนุษย์ คือ สิ่งที่ไม่จำเป็นต้องเป็นอาชีพ ไม่จำเป็นต้องนำมาซึ่งรายได้, เงินเดือน, ตำแหน่ง, ชื่อเสียง ฯลฯ อะไรใดๆ เลย แต่มันก็คือ "หน้าที่ของมนุษย์" ครับ ซึ่งผู้ที่ยังมีจิตใต้สำนึกแห่งความเป็นคนอยู่ (มนุษย์ผู้เป็นสัตว์อันประเสริฐ) จะสามารถรู้ได้เองทั้งสิ้น ไม่ต่างจากสัญชาติญาณการล่าหรือหนีของสัตว์เดรัจฉานเลย เช่น ถ้ามีคนได้รับความเดือดร้อนตรงหน้าเรา เราจะช่วยไหม? มนุษย์เขาจะช่วยเหลือกันครับ แต่ถ้าสูญเสียความเป็นมนุษย์แล้ว ก็จะไม่ทำหน้าที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันครับ ไม่สนใจ เพราุะถือว่าไม่ใช่หน้าที่ของเรา เรามีอาชีพอยู่ต้องรับผิดชอบหนักมากอยู่แล้ว อะไรแบบนั้น 

๒. อาชีพของคนปัจจุบัน คือ สิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของมนุษย์ปกติทั่วไป แต่ได้ถูกสร้างขึ้นโดย "สมมุติทางโลก" ให้เกิด ให้มีขึ้นมา เพื่อสนองตอบต่อการดำรงอยู่ของสังคมมนุษย์ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น และห่างไกลไปจากความเป็นมนุษย์ดั้งเดิมมากขึ้น หมายความว่าเดิมที่ยังมีความเป็นมนุษย์อยู่มากนั้น ไม่มีอาชีพอะไรหรอกครับ เช่น ชาวแอฟริกาที่ไม่มีอาชีพอะไร แต่ทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง (หน้าที่ของมนุษย์) จะต้องช่วยเหลือกันครับ แต่ภายหลังโลกสมมุติได้สร้างอาชีพขึ้นมา เพื่อให้คนได้ทำงานเพื่อแลกกับอามิสสินจ้าง (เดิมมนุษย์ทำงานโดยไม่หวังว่าจะได้แลกมาซึ่งอะไร นี่คือ มนุษย์แท้ๆ ครับ) ภายหลังก็ซับซ้อนขึ้น

โอเคนะครับ ว่่าสองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างชัดเจน ทว่า อย่าเพิ่งคิดว่าผมปฏิเสธโลกหรือต่อต้านสิ่งที่โลกปัจจุบันเป็นอยู่ละ ผมก็แค่เตือนให้ระลึกถึง "ความเป็นมนุษย์ดั้งเดิมที่เคยมี เคยเป็นกันมา" ก่อนที่จะมีสังคมที่ซับซ้อนและอาชีพ, ตำแหน่ง, หน้าที่, การงาน ฯลฯ ต่างๆ เพิ่มมาภายหลัง ก็เท่านั้นเอง เพื่อไม่ให้คุณๆ ที่เกิดมาไม่ทัน หลงลืมไปจนเตลิดเปิดเปิง หาจุดเริ่มต้นที่ถูกต้อง ไม่ได้ ก็ต้องมาทบทวนกันหน่อยก็เท่านั้นเอง อ้อ แล้วสัมมาอาชีวะนี่ ไม่จำเป็นต้องเป็นอาชีพนะครับ มันไม่ใช่เรื่องทางโลก มันเป็นมรรคทางธรรม มันคือ "หน้าที่ของความเป็นมนุษย์" ที่ผมกล่าวถึงนั่นแหละ มันไม่ใช่อาชีพทางโลกใดๆ เลย


อย่างที่สอง เคยได้ยินสุภาษิตไทยที่ว่า "ลาภสัตว์สองเท้า" ไหมครับ มันหมายความว่าอะไร? มันไม่ได้หมายความว่าใครจะได้แฟนนะครับ แ่ต่มันหมายถึง ถ้ามีสัตว์สองเท้า ซึ่งก็คือ คน ยากลำบากมาถึงเรา ก็ให้เราช่วยเหลือไว้ คนโบราณเขาเลี้ยงดูกันได้ เพราะเป็นระบบเจ้าขุนมูลนาย คือ เจ้านายที่มีเงินทองเยอะๆ พอเลี้ยงดูผู้คนได้นี่ เขาจะขุนคนเอาไว้ (ขุนแปลว่าเลี้ยง คำว่า พ่อขุน ก็เหมือนพ่อเลี้ยง ซึ่งออกจะคล้ายๆ เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ นิดๆ เหมือนกันครับ แต่คนละโทนกัน) เพราะคนเหล่านี้จะกลายมาเป็นบริวารบ่าวไพร่ แก่เราได้ ช่วยเหลือเกื้อหนุนให้เราเป็นใหญ่ได้ นั่นเอง นี่คือ "ภูมิปัญญาเกี่ยวกับเรื่องการปกครองของคนโบราณ" ครับ ใช้ได้ทุกระดับชนชั้น แต่ไม่มีปิดบัง สอนกันอยู่ พูดกันอยู่ ติดปากทั่วไป ที่ผมยกตัวอย่างสุภาษิตนี้มา ก็เืพื่อที่จะเม้าท์ถึงคำว่า "โชคลาภ" ไงละครับ จึงได้ยกสุภาษิต "ลาภสัตว์สองเ้ท้า" มาอธิบาย ผมอยากอธิบายคำว่า "โชคลาภ" จากหน้าที่ของมนุษย์ที่ไม่ได้มาจากอาชีพ เสียหน่อย คือ อย่างนี้ครับ แม้มนุษย์จะไม่มีอาชีพใดๆ เลยก็ตาม แต่เขาจะสามารถอยู่ได้ด้วย บุญบารมีเก่าของเขา, กิจของเขาที่ทำอยู่เสมอๆ, หน้าที่ของความเป็นมนุษย์ ฯลฯ ครับ โดยจะมีการจัดสรรบุญกรรมอย่่างพอควรแก่การดำรงอยู่อย่างมนุษย์โลก ให้แก่มนุษย์ทุกคน ที่แม้จะไม่มีอาชีพเลยก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าคนที่ยังไม่มีอาชีพ แต่ทำหน้าที่มนุษย์โลกได้ดี เขาจะอยู่บนโลกนี้ได้อย่างดี พอดี พอได้ครับ ไม่ใช่รวยมากมาย หรืออยากได้อะไรก็ได้นะครับ มันก็แค่เพื่อการพออยู่ไปบนโลกนี้แต่พอดีๆ เท่านั้นเอง หน้าที่ของแต่ละคนก็ผันแปรไปตาม "บุญกรรม" ของแต่ละคน นั่นแหละครับ เขาวางไว้ให้มาเคลียร์กัน เช่น บางทีให้เจ้ากรรมนายเวรเรามาเป็นขอทาน ก็ขอเงินเรา เราอาจไม่ได้ให้เงิน แต่ให้อาหารแทน อะไรแบบนั้น ทันใด วิบากกรรมบางอย่างของเราก็จะได้รับการเคลียร์บัญชีครับ เราไม่ต้องโดนแล้ว นี่เรียกว่า "โชคดี" ไงครับ โดยที่เราไม่รู้ตัวแต่ถ้าเราไม่ได้ทำ  เราก็อาจโชคร้าย ได้รับวิบากกรรมถึงตัว ก็ได้ หรือบางที เราไม่เจตนา ขับรถเร็วจนน้ำโคลนข้างถนนสาดโดนคนเดินเท้าเข้าถ้าเราทำหน้าที่ของมนุษย์ ลงไปรับผิดชอบดูแลเสีย ทุกอย่างจะจบด้วยดี เราอาจจะพ้นวิบากกรรมบางอย่างได้ แต่ถ้าเราไม่สนใจ เราอาจต้องรับวิบากที่รอเราอยู่ข้างหน้า ก็ได้ หรือยิ่งกว่านั้น ถ้าเราลงไปทะเลาะหาเรื่องกับเขาอีก เราอาจยิ่งโดนหนักไปใหญ่ เลยก็เป็นได้ ซึ่งระบบทั้งหมดนี้ มีการวางแผนไว้อย่างดีแล้ว โดยเราไม่ต้องไปหาหมอดูให้หมอดูคิดหาทางแก้ สะเดาะเคราะห์อะไรให้เราเลย ถ้าเราทำหน้าที่ของมนุษย์ได้ดี สมบูรณ์แล้ว ชีวิตของเราจะราบรื่น ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเราบกพร่องในหน้าที่เมื่อไร มันก็จะเปิดช่องโหว่ ให้วิบากกรรมเข้ามาถึงตัวเรา ทำให้เราเหมือนคนโชคร้ายอยู่บ่อยๆ ได้ครับ อันนี้ ก็ฝากไว้ให้พิจารณากัน


สุดท้าย พี่ชายอยากจะฝากไว้ว่าขอเพียงเรามีจิตสำนึกแห่งความเป็นมนุษย์เหลืออยู่ มันก็จะทำหน้าที่ของมันเองตามธรรมชาติ พี่ชายไม่ได้บอกให้ใครไปทำ หรือไปเป็นอย่างที่ตัวเองไม่ได้เป็นตามธรรมชาติหรอกนะ เพราะพี่ชายก็ไม่ได้เป็นอย่างที่พูด ๑๐๐% เหมือนกัน เป็นในแบบที่พี่ชายเป็นครับ เพราะการ "ทำให้เป็น" มันย่อมไม่ใช่ "เป็นตามธรรมชาติ" ใช่ไหมละครับ เอาละ ถ้าเมื่อไรที่เรามีความเ็ป็นมนุษย์ครบ ๑๐๐% มันก็เต็ม ๑๐๐% เองนั่นแหละ ตอนนี้ เป็น X-men กันไปก่อนก็แล้วกัน โฮ่ๆๆ เอาละ ดึกแล้ว เด็กๆ จะต้องรีบไปนอนนะ ราตรีสวัสดิ์จ๊ะ



วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สายโซ่บุญบารมีสู่พระนิตยโพธิสัตว์ ที่ท่านควรเชื่อมถึงให้ได้!

พี่ชายรักชาติมีเรื่องมาเม้าท์อีกแล้ว ก็คุณป้าข้างบ้านนี่สิ แกตีหมาแกใหญ่ พี่ชายสงสัยเลยถามว่า "ป้าตีมันทำไม ตีจริง ตีจัง" ป้าแกก็เลยตอบว่า "ป้าสงสาร กลัวมันออกไปนอกบ้าน ไปโดนเขาตี" อ้อ ป้าแกฉลาด กลัวหมาออกไปนอกบ้านแล้วจะถูกเขาตีเขา ก็เลยตีหมา ไม่ให้มันออกนอกบ้าน เรียกว่ากลยุทธ์ "ชิงลงมือก่อน" แหมป้า ทำไมไม่คิดบ้างละว่าเขาอาจจะไม่ได้ตีหมาป้าก็ได้ ถ้าเขาเบื่อหมาป้าขึ้นมาละ ป้าจะทำยังไง เอาละ เม้าท์ให้ฟังเล่นๆ ไม่ขำเท่าไร ถ้าใครยังไม่ถึงออกัสซั่มทางโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก พี่ชายแนะนำให้ไปต่อที่เว็บน้องเนยได้ค่ะ เอาละ มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า วันนี้เรื่องง่ายๆ แต่สำคัญ คือ เรื่องที่เรียกว่า "สายโซ่บุญบารมี" มันเกี่ยวข้องกับเรามากเลยทีเดียว ดังนี้ 


อย่างแรก อยากบอกว่าเพื่อไม่ให้ปวงสัตว์กลายเป็นพระปัจเจกฯ จึงมีการเชื่อมโยงบุญบารมีเข้ากับผู้นำกลุ่มที่จะนำพาปวงสัตว์ให้หลุดพ้นทุกข์ถึงนิพพานได้ ซึ่งผู้นำนั้นก็คือ พระนิตยโพธิสัตว์ ทั้งหลายนี่เอง ดังนั้น ชาวโลกจึงถูกโซ่แห่งบุญนี้ เชื่อมโยง ผูกใยกันไปมา เพื่อให้เป็นกลุ่มก้อน เป็นสัตว์สังคม ไม่ใช่ปัจเจกชน ไม่ว่าจะเป็นการผูกกันด้วยกรรม, บุญ หรือบารมี ก็ตาม เช่น สัตว์บางตัวทำบุญ สร้างความดี ไม่ไ่ด้เลย มาเกิดเป็นยุง มากัด แล้วถูกตบตาย กรรมนี้ก็จะผูกกันไว้ ก็จะได้เจอกันชาติต่อไป ถ้ายุงที่ถูกตบตาย เป็นเจ้ากรรมนายเวร แล้วก็อโหสิกรรมให้เขาได้ ก็ยังได้บุญบ้าง แ่ต่ถ้าไม่ยอมอโหสิกรรม ก็จะไม่ได้อะไรเลย เสียชาติเกิดไป ซึ่งปกติ การผูกโยงกันด้วยกรรมนี้ ผู้ที่ทำกรรมจะต้องเป็นผู้มีบุญบารมีมากกว่า ไม่ใช่ให้คนมีบุญบารมีน้อยอยู่แล้ว ไปก่อกรรมอีก อันจะส่งผลให้ไม่อาจฉุดตัวเองออกจากบ่วงกรรมนั้นได้ ดังนั้น ไม่แปลกครับ ถ้าบางครั้ง โลกกำหนดคนๆ หนึ่งมาให้ แล้วเขาอาจโกงกินชาติบ้านเมือง แล้วประชาชนกลับให้อภัยเขาได้ นี่ไง ธรรมชาติกำลังจัดสรร ผูกโยงสายโซ่แห่งบุญบารมีให้อยู่    


อย่างที่สอง สายโซ่แห่งบุญนี้ก็มีคำว่า "ระดับชั้น" ด้วยเช่น ลำดับที่ ๑  หมายถึงคนที่มีระดับรองลงไปจากผู้นำกลุ่มของตน ลำดับที่ ๒ ก็คือคนที่มีระดับรองลงไปจากลำดับที่ ๑ นั่นเอง ดังนั้น ถ้าเราไปเชื่อมโยงกับผู้นำกลุ่มได้ เราก็จะได้ลำดับที่ ๑ แต่ถ้าเราไปเชื่อมโยงกับคนที่มีลำดับที่ ๑ เราก็จะได้แค่ลำดับที่ ๒ ซึ่งบางครั้งเป็นเรื่องน่าเสียดายว่าอดีตชาติ เราอาจเคยสร้างบุญบารมีไว้กับท่านผู้นำคนนั้นมาก แต่พอมาชาตินี้ อาจตกระดับจากควรที่จะอยู่ลำดับที่ ๑ ก็กลายเป็นลำดับที่ ๒ ไป ถ้าเราผิดพลาด จำเขาในอดีตชาติไม่ไ่ด้ แล้วมัวไปเกาะเกี่ยวกับคนในลำดับล่างลงไปแทน อย่างนี้เรียกว่า เสียชาติเกิด เกิดมาแล้วไม่คุ้ม หรือขาดทุนนั่นเอง (ชาติที่แล้วทำไว้ได้ดีกว่านี้ ชาตินี้กลับแย่ลง) ดังนั้น พี่ชายแนะนำว่าเราควรฉลาด อย่าขาดทุนที่อุตส่าห์มาเกิดในชาตินี้ครับ ใครระลึกชาติได้ก็ทำต่อให้ดีกว่าชาติที่แล้ว ใครระลึกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ทำให้ดีขึ้น แต่อย่าคิดแคบๆ หรือจมปลักแค่สิ่งแคบๆ ที่อยู่รอบตัวเราเท่านั้น เพราะบางครั้ง โอกาสดีๆ ที่สายโซ่แห่งบุญบารมีจะส่งมาถึงเรานั้น อาจมีไม่มาก และชั่วไม่นานนัก ถ้ามันมาถึงคุณแล้วก็ทำสิ่งที่ควรทำซะ อย่างเช่น พี่ชายเองได้เคยไปที่วัดแห่งหนึ่งแล้วพบหลวงพี่คนหนึ่ง ยังหนุ่มอายุน้อยกว่าพี่ชายอีก ท่านบอกว่าไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้มาคุยกับพี่ชาย ซึ่งตอนนั้นพี่ชายกำลังดูพระธาตุเจดีย์อยู่คนเดียว หลวงพี่เล่าว่าไม่อยากสึก ไม่อยากมีครอบครัวแล้ว เอานิพพานดีกว่า ก็สนทนาธรรมกันนิดหน่อย ตอนนั้นพี่ชายยังเป็นวุ่นอ่ะ ยังไม่มีเส้น ยังไม่สวย ตอนนี้สวยแล้วเป็น "วุ้นเส้น" ละ อ่ะ ไม่ช่าย คือ ยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรนักก็พูดมั่วไปตามประสาไม่ได้ติดใจอะไรมากนัก พี่ชายก็เลยเอ้า สนับสนุนให้ท่านไปต่อ ถวายไตรจีวรไปชุดหนึ่งน่ะ ก็เล่าให้ฟังว่าถ้าเราทำอะไรได้ก็ทำเลย เราไม่รู้หรอกว่าอดีตชาติแต่ละคนเป็นมาอย่างไร นั่นไม่สำคัญ เท่าเราได้ทำแล้ว มาถึงตอนนี้ พี่ชายก็ไม่มีโอกาสได้ไปวัดนั้นละ เพราะไกลมากพอดู แต่ไม่เสียดาย เพราะได้ทำสิ่งที่ควรทำแล้ว เห็นมะ ง่ายๆ ไม่ต้องคิดมาก ถ้ามันเป็นสิ่งที่ดีก็ทำมันซะ จะเป็นใครก็ช่าง พระหนุ่มหรือ? ไม่มีธรรมหรือ? ช่างเถอะ ก็ใครจะไปรู้อนาคตหรืออดีตละ ไม่แน่ท่านอาจจะไปได้ไกลก็ไ้ด้ ใช่มั้ย


หลายคน มักถูกขัดขวางหรือถูกตัดทางต่อของสายโซ่และบุญบารมีด้วย "ความคิดดลใจ" บางอย่าง เช่น คิดว่าโอ้ย ไม่ต้องทำแล้วบุญฯ หรืออะไร นิพพานเลยดีกว่า เออ ถ้าได้อย่างนั้นก็ดี พี่ชายก็อนุโมทนาด้วย แต่บางที มันก็ไม่ได้หรอก มันแค่หลอกเราด้วยนิพพาน ทำให้เราไม่ได้ทำสิ่งที่ควรทำเท่านั้น กลายเป็นว่าเราไม่ได้สร้างอะไรดีๆ เป็นเครื่องต่อสายโซ่แห่งบุญบารมีกับท่านที่เราหวังมาไม่รู้กี่ชาติภพ แล้วสุดท้าย เราก็ไม่ได้นิพพาน พอไปโผล่บนสวรรค์เราก็น้อยใจว่าทำไม เรานั่งอยู่ท้ายๆๆ ของลำดับในวิมานนั้นๆ แล้วเราก็โดดลงมาจากที่นั่น  เพราะความอยากได้พัฒนาลำดับของตัวเองต่อไปเมื่อทราบวาระของเราแล้วว่า ยังไม่ได้นิพพานในยุคนี้ ไม่ใช่สาวกของพระสมณโคดม จะต้องไปนิพพานในยุคหน้า ของท่านนั้นท่านนี้ แต่พลาดท่า โดนดลจิตดลใจให้พลาดโอกาสดีๆ ที่จะได้ต่อสายโซ่บุญบารมีที่ดีๆ ตำแหน่งดีไป แล้วสุดท้าย ก็โดดสวรรค์ลงมาเกิดใหม่ เกิดเพื่อพัฒนาลำดับตัวเองให้ดีขึ้น แล้วก็ลืมทุกอย่าง แล้วก็เจอผู้มีบุญบารมีบนโลกอีก แล้วก็โดนดลใจให้เป๋็ไปคิดอย่างอื่นอีก เช่น โอ้ย ใครไม่รู้จัก จะให้ไปทำไม พ่อแม่ที่บ้านเราก็มี ทำไมไม่ให้ละ ว่าแล้วก็กตัญญูผิดเวลาขึ้นมาเฉยเลย อดอีกรอบ ชาตินั้นไม่ได้เจอกันอีก อ้าว ขึ้นสวรรค์มา ตกอันดับไปอีก โดดลงมาเกิดอีก วนๆ ซ้ำๆ อย่างนี้ ไม่รู้กี่รอบ กี่ชาติ ฮ่วย ขี้เกียจที่จะอธิบายละ ฮ่าๆๆ ไม่มีหน้ากระดาษพอจะเม้าท์ หลายชาติเหลือเกิน เอาเป็นว่าทำซะ ก่อนที่จะพลาดโอกาสที่จะไม่ได้ทำ เช่น เจอขอทาน เฮ้ย คิดมากว่ะ ทำดีไหมวะ? อะไรแบบนั้น ใจหนึ่งอยากให้ ใจหนึ่งมันอาจจะยิ่งให้ยิ่งทำร้ายไหม? พี่ชายก็เคยให้ เกรงว่าเงินจะไปส่งเสริมขบวนการค้ามนุษย์ พี่ชายเลยให้น้ำผลไม้, นม แบบว่าใครๆ ก็กินได้เลยน่ะ แค่นั้นจบ แต่ถ้าไม่มีของแบบนั้น ก็ไม่ค่อยกล้าให้เป็นเงินนัก เหมือนกัน แต่ถ้าได้ทำแล้ว ก็จบ สบาย คือ เราได้ทำแล้ว ไม่ต้องมาเสียดายโอกาสทีหลัง บางทีใครจะรู้ เขาอาจเป็นเจ้ากรรมนายเวรเรา พอเราให้เขาแล้ว เราอาจพ้นกรรมบางอย่างไปได้ ไม่้ต้องไปหาหมอดู สะเดาะ์เคราะห์ เสียเงินเสียทองอะไรมากมายเลยก็ได้ อันนี้ไม่ใช่เรื่องการต่อสายโซ่บุญบารมีนะ อันนี้ เม้าท์ให้ฟังกันเล่นๆ ไม่ต้องคิดมาก


เอาละ เม้าท์มายาวมากเลย เดี๋ยวเด็กๆ จะง่วงเกินไป กินนมแล้วนอนซะนะ นมสีขาวอมชมพูอ่ะ เย้ย ไม่เอาละ ไม่พูด นอนดีกว่า ราตรีสวัสดิ์




วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เตรียมรับมือ "ปีศาจโล่ห์มนุษย์" ที่คุณเองอาจถลำลึกตกเป็นเหยื่อ!

แหมเดี๋ยวนี้ไปไหนนะ พี่ชายรักชาติดังมากมีแต่คนทักว่า "นั่นๆ ดารา" แบบว่าหน้าพี่คงมีสง่าราศีขึ้นอ่ะ บางคนถึงขนาดทักผิดทักชื่อมาเลย เขาทักว่าอะไรรู้ไหม? ... "โดม ปกรลัม" อ๊ะ ม่ายช่ายดีกว่านั้นอ่ะ "ชาย ชาติโยดม" ก็ม่ายช่าย เจ๋งกว่านั้นอีก เขาทักว่าอย่างนี้ "เฮ้ๆๆ หวัดดีพี่สุเทพ สีไส" แหม ไม่ช่ายหน้าตาเหมือนหรอก แค่ตลกรับประทานน่ะครับ มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า วันนี้หัวข้อบทความเหมือนหนังผีสยองขวัญสักเล็กน้อย! แต่ว่าอาจจะเป็นความจริงก็ได้นะเอ้า ต้องลองอ่านดูเอาเป็นข้อมูลเบื้องต้น เพื่อไปใช้ในการพิจารณาก่อนนะครับ ดังนี้


อย่างแรก อยากจะเม้าท์ให้ฟังง่ายๆ สรุปสั้นๆ ครับว่าเจ้าปีศาจโล่ห์มนุษย์นั้นมีลักษณะอย่างไร? สรุปก็คือ มันจะใช้ "ปวงชน" เป็นโลห่กำบังกาย ปกป้องตัวเอง ไม่ให้โดนเล่นงาน เมื่อพระโพธิสัตว์จะปราบมัน ก็ำทำอะไรมันไม่ได้ เพราะจะโดนปวงชนแทนครับ ปวงชนทั้งหลายก็จะออกมาปกป้องมัน "ด้วยความลุ่มหลง" คือ ปกป้องในสิ่งที่ไม่ควรปกป้อง อะไรแบบนั้น เคยเห็นไหมละครับ? ผมว่าเยอะมาทีเดียวเชียว เอาง่ายๆ อย่างนี้ ถ้าเราคิดจะปกป้องอะไร ก็ควรคิดพิจารณาก่อนครับ ว่า ๑. สิ่งนั้นควรได้รับการปกป้องแล้วหรือ? ๒. เราปกป้องสิ่งนั้นได้มั้ย ๓. เราจะปกป้องสิ่งนั้นอย่างไร? ๔. เวลาไหนควรปกป้อง เวลาไหนที่ไม่ควรปกป้อง เอาละ ถ้าครบ ๔ ประการ การปกป้องของเราก็จะไม่ใช่ความหลง แต่เท่าที่เห็นตอนนี้ กำลังหลงกันครับ ยิ่งกว่านั้น บางคนเอาตัวเองเข้าปกป้องแทนคนอื่น ซึ่งคนอื่นนั้นอาจไม่เข้าข่ายว่าควรได้รับการปกป้อง หรือไม่ใช่เวลาที่จะมาปกป้อง หรือไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาปกป้องกันตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเจ้าปีศาจโล่ห์มนุษย์นี้ ได้ช่องขึ้นมา คนที่ชอบเอาตัวเองไปปกป้องคนอื่น ก็จะกลายเป็นเหยื่อของปีศาจตนนี้ได้ครับ ควรเข้าใจว่าสิ่งใดๆ ก็ตาม ล้วนมีกรรมของมันเองทั้งสิ้นทุกอย่าง ไม่ใช่เรื่องของเราจะไปแส่ เอาตัวเองเข้าขวางกฏแห่งกรรมครับ ถ้าเราช่วยแล้วนิดหน่อย ไม่ได้ผล (หยั่งเชิงดู) แสดงว่ากรรมหนัก เจ้ากรรมนายเวรมีแรงอาฆาตมาก ไม่ยอมปล่อยให้ง่ายๆ เราก็ควรหยุด อย่าดื้อรั้นปกป้อง อาจปล่อยให้เขาได้ชดใช้กรรมกันไปก่อนเล็กน้อย ให้เจ้ากรรมนายเวรระบายโทสะลง ความโมโหลดลง แล้วจึงค่อยเข้าไปช่วยลดหย่อนผ่อนโทษครับ แต่จะหักหาญเข้าขวางทันที ปกป้องเสียทันที ก่อนที่เจ้ากรรมนายเวรจะลงมือ แต่ยังไม่ได้ลงมือเลยนั้น เห็นว่าไม่สมควรเพราะผู้ปกป้องนั้น อาจโดนเองได้


อย่างที่สอง มาดูเจ้าปีศาจโลห์มนุษย์นี้บ้าง ว่ามันทำงานอย่างไร? ก็ง่ายๆ ตรงๆ ตามนั้น มันจะทำให้มนุษย์ทั้งหลาย (ปวงชน) ลุ่มหลงมัน แล้วยอมพลีกายถวายชีวิตปกป้องมันครับ มันจะทำเหมือนกันว่าคนที่ลงโทษมัน หรือตัดสินมัน เป็นตัวเลว ตัวร้าย ตัวชั่ว ตัวผิด ทั้งๆ ที่มันเองนั่นแหละทำผิดเอาไว้แท้ๆ ผู้คนทั้งหลายถ้าตกเป็นเหยื่อของเจ้าปีศาจตัวนี้แล้ว ก็จะยอมพลีกายถวายชีวิตให้มัน ยอมเอาตัวเองเข้าปกป้อง และยอมตายแทนเจ้าปีศาจตัวนี้ได้เลย ดูผิวเผินแล้ว เราก็นึกว่าเขาเป็นคนดีมากๆ ที่มีปวงชนรักใคร่มากมาย ยอมปกป้อง ยอมตายแทนเขา แต่ลึกๆ แล้วไม่ใช่ มีปีศาจโล่ห์มนุษย์เหล่านี้ คอยช่วยมันครับ ซึ่งเขาก็อาจเป็นคนที่มีทั้งด้านดีและไม่ดี อาจทำทั้งถูกและผิด แต่เมื่อทำผิดไปแล้ว ถึงวาระรับโทษ ก็ควรรับโทษบ้าง ไม่ควรเอาปวงชนมาเป็นโล่ห์มนุษย์ครับ เพราะถ้าทำเช่นนั้น เจ้าปีศาจโล่ห์มนุษย์ก็จะได้ช่อง แล้วแทรกแฝงเข้าร่างคนที่ก่อกรรมเช่นนั้น เวลาจะปราบก็ปราบได้ยาก เพราะจะกระทบปวงชนคนทั้งหลายเอาครับ เจ้าปีศาจโล่ห์มนุษย์นี้มันร้ายกาจอย่างนี้ ถ้าดีไม่ดี จะเอาประเทศชาติมาเป็นเครื่องกำบัง เป็นเกราะคุ้มกันตัว เรียกว่า "ถ้าเอ็งเล่นงานข้า ประเทศชาติก็จะโดนไปด้วย" อะไรแบบนั้น ปีศาจตนนี้ มีปวงชน, ประเทศชาติ เป็นเกราะคุ้มกันร่างกายทำให้พระโพธิสัตว์ไม่กล้าลงมือปราบในทันทีครับ เพราะจะส่งผลกระทบต่อผู้คนมากมายดังกล่าว นั่นเอง ซึ่งเจ้าปีศาจตนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล เขาก็คือ "ลูซิเฟอร์ฉบับสวมเกราะมนุษย์" นั่นเอง ซึ่งตอนแรกเลย ลูซิเฟอร์ต้องการชุดเกราะทิพย์ที่ดีกว่านี้นะครับ มันจะมีัทั้งชุดเกราะและหน้ากากให้ด้วย ครบชุดกันครับ มีหลายแบบให้เลือกใช้ เช่น ชุดเกราะสีแดงของพระสุริยเทพ ซึ่งเป็นเหตุให้เขาต้องสร้างกองทัพชุดแดงไงครับ อีกแบบคือ ชุดเกราะทอง คำ ซึ่งเจ๋งไปอีกขั้น ซึ่งบางทีเราจะเห็นเป็นกองทัพชุดเหลืองออกมาก่อน แต่ถ้าสองเกราะนี้ตกอยู่ในมือคนอื่น และลูซิเฟอร์ไม่อาจครองได้ เขาก็จะใช้ชุดเกราะสุดท้ายคือ "เกราะมนุษย์" ซึ่งใช้ปวงชนมาเป็นโลห์กำบังดังกล่าว เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาไม่ยอมใช้ชุดเกราะดำครับ (มีอีกชุดหนึ่งเ็ป็นเกราะดำ) ซึ่งเป็นของนักรบดำภาคมืด ซึ่งปกติผู้ที่ถือครองก็คือ "ซาตานมัจจุราชมาร" ครับ ซึ่งเป็นลูกน้องของเขาอีกที ชุดเกราะนี้ ป้องกันร่างกายได้ก็จริง แต่ยิ่งใช้มันก็ยิ่งสูบพลังชีพของคนไปครับ (อาถรรพ์มาก) และมีข้อเสียอีกหลายอย่าง ต่างไปจากชุดเกราะสีแดง และชุดเกราะทองคำ ซึ่งไม่มีปัญหาดังกล่าว แต่ชุดเกราะแดงเวลาใส่จะร้อนมากๆ ชุดเกราะสีทองไม่ร้อนแบบนั้น ใส่สบายกว่าเยอะ แต่จะให้เจ๋งสุดต้องนี่เลย "ชุดเกราะเพชรเจ็ดสี" ครับ ซึ่งบำเพ็ญได้ยากที่สุด เอาละ สรุปตุ๊บตั๊บตรงนี้ก่อนว่าเมื่อเขาไม่ได้เกราะดีๆ เขาก็เลยเอามวลชนผู้บริสุทธิ์มาเป็นเกราะป้องกันตัวนั่นเอง 


ต่อไป ก็จะัเริ่มต้น "สงครามศักดิสิทธิ์" กันแล้วครับ เป็นสงครามที่มีในพระคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์อีกหลายๆ เล่ม เป็นสงครามที่เกิดในอีกมิติซึ่งเรามองไม่เห็นครับ แต่ซ้อนอยู่กับมิติของเราด้วย ดังนั้น เราจึงได้รับผลกระทบด้วย แต่จะไม่ใช่สงครามแบบตรงไปตรงมาอย่างเปิดเผย จะเป็นสงครามเย็นครับ งานนี้ เหล่ามหาเทพร่วมด้วยมากมายทีเดียว แหมใครๆ ก็ไม่พลาดครับ ครั้งแรก ครั้งเดียว ที่รอกันมานาน สำหรับสงครามมหาเทพในตำนานนี้ ซึ่งมนุษย์ทั้งหลายก็ไม่พ้น จะถูกเชื่อมโยงเข้ากับมิติของพวกเขาด้วยครับ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของทั้งสามภพที่กลมกลืนสอดคล้องกัน ก็เลยต้องเชื่อมโยงเอามนุษย์ไปเข้าร่วมด้วยครับ จะได้มันส์กันละ ทั้งท่านที่ชอบเล่นเกมยิงๆ ฆ่าๆ กันทั้งหลาย คราวนี้ได้เปิดศึกจริงๆ กันเสียที แต่ไม่ใช่แบบทางสังขารนะครับ ทางจิตวิญญาณครับ เวลา "โดน" อาวุธเข้าไปที ไม่มีเลือดสาดกระจายให้เห็น มีแต่ "ดราม่า" และดราม่าได้อีก ก็เป็นเรื่องเชือดเฉือนหัวใจ ให้ต่อมน้ำตาแตกกันเป็นว่าเล่น (มันเป็นฟีลลิ่งครับ) เอาละ ถ้าท่านคุ้นชินกับหนังรักเกาหลีดี ท่านคงสอบผ่านได้ไม่ยากนะครับ คิดซะว่า "โลกคือละคร" ก็แล้วกัน นี่ก็ดึกมากแล้ว เม้าท์มายาว อย่างไรก็ขอให้รีบๆ เข้านอนละ จะได้ไม่เ็ป็นแพนด้า หลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์ครับ 




วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การเป็นลูกน้องคนอื่นให้มาก คือ พลังสั่งสมประสบการณ์การเป็นผู้นำที่ดี ???

มีคนสงสัยฝากคำถามมาถามพี่ชายรักชาติว่า ทำไมนะ เดี๋ยวนี้คนเราชอบไปปกป้องคนเลว คนทำความผิด ทำไม คนดีไม่รู้จักไปปกป้องบ้าง แหม คำถามนี้ ตอบไม่ยากเลยว่า ทำไม คนจึงชอบปกป้องคนเลว คนไม่ดี ก็เพราะว่า "คนดี ผีคุ้ม" ไงละ คน ก็เลยต้องคุ้ม คนเลว  เป็นขุนพลอยพยัคฆ์ หรือไม่ก็อยากเป็นคน ไม่อยากเป็นผี เลยไม่ไปปกป้องคนดีๆ ซะอย่างนั้น เีรียกว่าไม่อยากอายุสั้น กลายเ็ป็นผีเร็วก็เลยปกป้องคนเลวอ่ะ โฮ่ๆๆ เอาละ มาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่า วันนี้เป็นเรื่องของ "การเป็นลูกน้องคนอื่น" มันดีอย่างไร? และเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ล้วนบำเพ็ญมาทั้งสิ้น (หลายคนมักคิดว่าจะต้องเป็นหัวหน้า หรือผู้นำคนอื่นเสมอ จึงจะได้เป็นพระพุทธเจ้าละมัง) เพื่อแก้ทัศนคติของบางคนที่ไม่นิยมการเป็นลูกน้องใคร ทำอะำไรก็จะเอาแต่ตำแหน่งหัวหน้าคนอื่นอย่างเดียว ก็ลองดูรายละเอียดนี้ครับ


อย่างที่แรก พระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ท่านมีบริวารมาก มีพระโพธิสัตว์มาช่วยกิจมากได้นั้น เพราะบุญบารมีท่านทำไว้อย่างนั้นแต่หนหลัง ถามว่าทำอย่างไร? ตอบง่ายๆ ครับ อยากได้บริวารมากๆ ก็ต้องเริ่มจากเป็นบริวารคนอื่นๆ ให้มากก่อน ในพระไตรปิฎกกล่าวว่าพระศรีอาริยเมตตรัยนั้น ท่านสร้างบารมีร่วมกันมากับพระโพธิสัตว์ทั้งหลายมากมายเหลือเิกิน มากกว่าพระสมณโคดมเป็นร้อยๆ เท่าเลยมั้ง ผมจำตัวเลขที่แน่นอนไม่ได้ แต่สรุปคร่าวได้อย่างนี้ครับว่า พระพุทธเจ้าที่มีบริวาร มีพระโพธิสัตว์มาช่วยกิจมากๆ ก็ต้องสร้างบารมีด้วยการช่วยเหลือกิจผู้อื่นให้มากเหมือนกัน เหมือนชาวนานะครับ เราไปทำงานช่วยคนอื่นไว้มากเท่าไร เขาก็จะมาช่วยเรามากเท่านั้น เป็นการเอาแรงกันไงครับ มันไม่มีใครเป็นทาสใครไปตลอดเวลาหรอกครับ มีแต่เราและเขาที่ช่วยเหลือกันไปมา เรียกว่า "เอาแรงกัน" ก็เท่านั้น ดังนั้น ถ้าพระโพธิสัตว์องค์ไหน เกิดมาหลายชาติ ไม่ได้เป็นลูกน้องใครเลย ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้พระโพธิสัตว์ไปช่วยงานเป็นบริวารให้ครับ นี่ไม่ใช่คำประชดนะ แ่ต่เป็นไปตาม "กฏแห่งกรรม" ครับ ปัจจุบัน พวกเรามักถูกสอนว่าให้เป็น "ผู้นำ" บ้าง เป็นผู้บริหารบ้าง แต่ละคนแย่งกันที่จะเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้า แต่ไม่ค่อยมีใครอยากเป็นลูกน้องใคร อันที่จริงความเป็นผู้นำที่ดี ก็เกิดจากประสบการณ์การเป็นลูกน้องมามากนี่แหละครับ ยิ่งเป็นลูกน้องเขามาก ก็ยิ่งเข้าใจอะไรมาก เห็นตัวอย่างของผู้นำที่หลากหลาย เวลาเป็นผู้นำเองบ้าง ก็เลยเป็นได้ดี แต่ถ้าไม่เคยเป็นลูกน้องใครเลย ก็จะไม่มีตัวอย่างผู้นำให้เห็น เวลาเป็นผู้นำกับเขาบ้าง ก็เป็นได้ตามกรอบความคิดแคบๆ และประสบการณ์น้อยๆ ในตัวเองเท่านั้น อันนี้เกิดผลในชาตินั้นเลย ไม่ต้องรอผลชาติหน้าครับ นี่สรุปง่ายๆ สั้นว่า ถ้าอยากเป็นผู้นำที่ดี ก็ต้องเป็นผู้ตามที่ดีให้มากครับ


อย่างที่สอง จิตวิญญาณทั้งหลายทั้งปวงนั้น ล้วนมาจาก "พุทธะ" ทั้งนั้นครับ จะอธิบายอย่างไรดี ตัวตนหลากหลายมิติของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ มิได้เข้านิพพานพร้อมกันหมดนะครับ ตัวตนที่ทำหน้าที่เป็นพระพุทธเจ้าก็นำพาปวงสัตว์เข้านิพพานไป แต่ตัวตนอื่นๆ ที่ทำหน้าที่อื่นๆ ก็มีเหลืออยู่อีกมากมายครับ โดยเฉพาะตัวตนที่ตามมาช่วยกิจให้พระพุทธเจ้าองค์ต่อๆ ไป ในฐานะที่ตัวตนที่เป็นพระพุทธเจ้านั้น ได้รับการช่วยเหลือจากตัวตนที่เป็นพระโพธิสัตว์ (คนอื่นช่วยมาก่อน) ไงละครับ ดังนั้นท่านจึงต้องมีตัวตนที่เหลืออยู่ไปช่วยกิจของคนอื่นเขาบ้าง (พระพุทธเจ้าองค์ต่อๆ ไป) มนุษย์ทุกคนก็มาจากพุทธะครับ บางคนที่ดูไม่ได้เรื่องเลย อาจเพราะตัวตนที่เป็นพระพุทธเจ้าของเขา นิพพานไปตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์มากๆ แล้ว สมัยนั้นอาจไม่ค่อยมีอะไรแปลกเลย ท่านก็เลยดูไม่ค่อยได้เรื่อง เคยเห็นชาวนาโง่ๆ ไม่ได้เก่งอะไรเลย โดนใครเขาหลอกง่ายๆ ไหมครับ? นั่นแหละ ตัวตนที่เหลืออยู่ของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ แบบดึกดำบรรพ์มากๆ ทำให้ตัวตนเหล่านี้ ดูไม่ทันสมัย ไม่พัฒนาก็เท่านั้นเอง ตัวตนที่เหลืออยู่เหล่านี้ ไม่ได้มาทำหน้าที่เป็นพระำุพุทธเจ้าแห่งยุคนี้หรือยุคต่อๆ ไปอีกแล้วครับเพราะมีตัวตนที่ทำหน้าที่เป็นพระพุทธเจ้าทำหน้าที่นั้นไปแล้ว นิพพานไปแล้ว จบกิจแห่งการเป็นพระพุทธเจ้าไปแล้ว ตัวตนที่เหลือๆ อยู่ในมิติอื่นๆ จึงต้องมาทำหน้าที่อื่นๆ ต่อไปครับ โดยเฉพาะกิจช่วยเหลือพระโพธิสัตว์องค์ต่อๆ ไป นั่นเอง ดังนั้น ถ้าท่านอยากได้ธรรมะแบบง่ายๆ พื้นๆ บ้านๆ โคตรง่ายเลย ก็หาเอาจากคนรอบข้าง คนที่โง่ๆ หรือคนขอทานยังได้เลยครับ มันซ้อนอยู่ในอีกมิติหนึ่ง ที่ตัวตนที่นิพพานแล้วของเขา (ที่เคยเป็นพระพุทธเจ้า) สามารถเชื่อมโยงธรรมให้แก่ท่านได้ ฟังแล้วก็มึนๆ งงๆ เนอะ เอาเป็นว่าคนทุกคนมาจากพุทธะ ถ้าคุณอยากได้ธรรมะจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ที่นิพพานไปแล้ว ก็ให้ลองดูจากตัวตนคนธรรมดาที่ยังมีชีวิตอยู่นี่ละ เชื่อมโยงทะลุมิติไปถึงตัวตนที่นิพพานแล้วของเขาให้ได้ อย่าไปติดอยู่กับตัวตนที่ท่านเห็น



ดังนั้น หากท่านต้องไปเป็นลูกน้องของเจ้านายที่ไม่ไ่ด้เรื่อง ดูห่วยแตก ก็อย่าเพิ่งมองเป็นอคติครับ ให้มองทะลุมิติไปให้ถึงตัวตนที่ได้นิพพานแล้วของเขาให้ได้ (ตัวตนแห่งพุทธะ) คุณก็จะเห็นแนวคิดในการเป็นผู้นำ ผู้ปกครอง ในแบบของเขาที่ซ้อนอยู่อีกมิติหนึ่ง ที่เหมาะกับยุคสมัยโบราณมากๆ แบบหนึ่ง แต่ก็ยังใช้การได้ดีกับคนกลุ่มหนึ่ง ที่อาจตกค้างตามเข้ามา เป็นบริวารในชาตินี้ ซึ่งยังไม่ไ่ด้นิพพานเช่นกันครับ ด้วยเหตุนี้ผมจึงบอกว่าการเป็นลูกน้องคนอื่น ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป ตรงกันข้าม มันคือหนทางในการเป็นผู้นำที่ดีครับ เพียงแต่คุณต้องไม่หลงไปกับตัวตนแห่งความเป็นลูกน้องหรือขี้ข้ามากจนเกินไป คุณต้องเข้าใจตัวเองให้ชัดว่าคุณเป็นลูกน้องเืพื่อให้ความเป็นผู้นำของคุณได้รับการเติมเต็มอย่างที่สุด และสมบูรณ์มากขึ้น ก็เท่านั้นเอง เอาละ เม้าท์มายาวทีเดียว เริ่มมึนๆ นิดหน่อยแล้ว เห็นทีว่าควรจะต้องจบลงเสียก่อนนะบัดนี้ พบกันใหม่ฉบับหน้าก็แล้วกันครับ ราตรีสวัสดิ์



วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ยุคแห่งอมนุษย์ครองเมือง ภูติ ผี ปีศาจ เรืองอำนาจ!

อ๊ะ อย่าเพิ่งตกใจคิดว่ากำลังเล่นเกมคอมพิเตอร์อะไรอยู่นะครับ ด้วยเรื่องที่จะเ้ม้าท์ต่อไปนี้ มันคือเรื่องจริงแต่เราไม่คาดคิด ยังไงละ? ก็มีในไตรปิฎกไง มีในศาสนาต่างๆ และอะไรๆ อีกมากมายครับ ที่พูดให้เราเข้าใจแบบอ้อมๆ บ้าง ตรงๆ แต่บางส่วนบ้าง แต่เราก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจมันจริงๆ ยังมองไม่เห็นภาพที่แท้จริงของมันนัก ดังนั้น ในวันนี้ เราจะมาคุยกันเรื่องนี้ให้ตาสว่างกันไปเลย จะได้มองเห็นโลกอย่างที่มันเป็นจริงๆ เสียทีว่ามันเปลี่ยนแปลงไปมากแล้วอย่างไร ไม่ใช่หลงแต่ภาพเปลือกนอกที่ดูสวยงาม เป็นเปลือกอำพรางตาเราอยู่นะครับ ใช่แล้ว ผมเม้าท์ไม่ผิดหรอก อมนุษย์ครองเมืองจริงๆ ไม่เหลือมนุษย์อยู่หรอก ที่เราเห็นๆ กันนั้น ร่างสังขารเป็นคนครับ รวมทั้งเราด้วยนะ ฮ่าๆๆ แต่ข้างในตัวเรานี้ มีอะไรที่ไม่ใช่มนุษย์อยู่ด้วยแหละครับ อั๊ยย่ะ อย่าเพิ่งตกใจไป เป็นเรื่องปกติ ธรรมดามาก เฉยๆ ไว้ แล้วมานั่งศึกษาให้เข้าใจกันดีกว่าครับ ว่าแท้แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเมืองมนุษย์ของเรา


อย่างแรกที่ผมอยากจะบอกท่านก่อนคือ กึ่งกลางพุทธกาลแรกนั้น ยังมี "พุทธบริษัทสี่" อยู่ เพื่อดูแลพระพุทธศาสนา ซึ่งพุทธบริษัทสี่นั้น ก็คือ "มนุษย์ทั้งหมด" นะครับ แต่หลังกึ่งกลางพุทธกาลไปแล้ว พุทธบริษัทสี่ ก็หมดลง เหลือแต่ ยักษ์, มาร, เทพ, พรหม มาดูแลพระพุทธศาสนา ซึ่งเขาเหล่านี้ล้วนเป็น "อมนุษย์" ครับ ไม่ใช่มนุษย์นะครับ ก็เลยได้อาญาสิทธิ์ อาญาธรรม จากพระพุทธเจ้าเต็มเปี่ยม มีอำนาจในเมืองมนุษย์เต็มที่ครับ พูดง่ายๆ ภูติ ผี ปีศาจ ครองเมือง ครองโลกกันละทีนี้ ไม่เรียกว่า "ยุคมืด" ก็ไม่รู้จะเรียกอย่างไร? แม้แต่มนุษย์ปกติ ก็เหมือนกัน เกิดมาแล้วไม่รอด ตายไปกลายเป็นหนึ่งในสี่เหล่าอมนุษย์นี้ก็มีไม่น้อย ดังนั้น เราจึงไม่ค่อยเห็นมนุษย์ปกติ มีอำนาจมาก หรือได้ครองอำนาจกันอีกต่อไป พวกที่ได้เป็นใหญ่นี้ ล้วนต้องเป็น "อมนุษย์" ทั้งนั้นครับเรียกว่า X-men ก็ได้ ง่ายดี ทันสมัยดี เห็นภาพชัดดี เอาละ  ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นแบบนี้นะ ใครที่ยอมโง่ ถูกเขาหลอก ทั้งๆ ที่ตัวเองก็อยู่ในฐานะที่ดีกว่า สามารถครอบครองสิ่งต่างๆ ได้อย่างไม่มีความผิด ก็จะกลายเป็น "บริวารของพระศรีอาร์ฯ" ครับ เรียกว่า ต้องกรรมมีความโง่ถูกเขาหลอกแล้วหลอกเล่ามาก่อน ค่อยสบายทีหลังครับ แต่บริวารของพระสมณโคดมนี่ มีแต่พวกฉลาดๆ หลอกลวงคนอื่นเขาเก่ง ก็ได้เสวยสุขไป อะไรๆ ในโลกก็เอาไปหมดครับ สุดท้าย ไม่ต่างอะไรกับเจ้าชายสิทธัตถะ ที่เสวยผลบุญอยู่ในฮาเร็ม มีปราสาทสามฤดูให้เริงรมย์ จนไม่เหลือบุญแล้ว ต้องเสวยกรรม ทนทุกขกริยา ๖ ปี ภายหลังครับ มันเหมือนกันแหละแบบนี้เลย ใครจะเอานิพพานในยุคของพระพุทธเจ้าสมณโคดม ก็ต้องมีรูปแบบการเสวยกรรมเหมือนๆ กันไปแบบนี้ ฉลาดก่อน สุขก่อน แล้วเจอทุกข์ภายหลัง จนยอมแล้วจ้า นั่นแหละ จากนั้น เหล่าอมนุษย์ก็จะเร่มาหาร่างสังขารคน เพื่อที่จะได้ใช้ไปสู่ความหลุดพ้น เพราะอะไร? เพราะไม่เหลือบุญแม้แต่จะได้ผุดได้เกิดเป็นคนอีกแล้ว ตามสโลแกน "ชาตินี้ ชาติสุดท้ายแล้วโยม" (ที่จะได้เกิดเป็นผู้เป็นคนกะเขา) นี่ละ ยุค "อมนุษย์ครองเมือง" ที่ผมพูดถึง


อย่างที่สอง เมื่อสัตว์สี่เหล่าเปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ใช่มนุษย์ ไม่พุทธบริษัทสี่เหมือนเดิมอีกแล้ว แต่กลายเป็น ยักษ์, มาร, เทพ, พรหม แทน วิถีทางเข้าสู่ธรรม มันก็เลยเปลี่ยนไปครับ อย่างแรกต้องเข้าใจว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ ไม่มีร่างสังขาร ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องหลากหลายมิติไงครับ จะยึดมั่นถือมั่นแต่มิติของโลกมนุษย์อย่างเดียวเหมือนก่อนไม่ได้อีกแล้ว เอาละ ทีนี้ ทั้งสี่เหล่านี้ ไม่ไ่ด้มาแบบพร้อมกันทั้งหมดนะครับ คือ มาแบบยังไม่พร้อมครับ อย่างไร? ก็คืออย่างนี้ครับ พวกยักษ์ก็จะมาจากยักษ์มิจฉาทิฐิ หรือ "อสูรร้าย" นั่นเองครับ, พวกมารก็จะมาจากมารร้าย นั่นแหละ ใช่เลย, พวกเทพ ก็จะมาจากพวกปีศาจ ต้องผ่านการชำระล้างก่อน, พวกพรหมก็มาจากภาคมืดเหมือนกัน ทั้งหมดนั้นจึงต้องผ่านกระบวนการของ "จักรวาล" ก่อน นั่นคือ กระบวนการชำระล้างจิตวิญญาณ จึงจะพร้อมรับธรรมได้นะครับ ไม่เช่นนั้นก็จะนำพาพระพุทธศาสนาไปผิดทิศผิดทางอย่างที่เห็นกันอยู่ คือ เขาจะมาแบบผิดๆ ไปก่อน ทำงานมั่วๆ ตามความคิดของเขาไปก่อน เมื่อทำมากพอแล้ว ก็จะถูกชำระล้างอีกทีครับ ดังนั้น จะผิดมาก่อนแล้วค่อยมาถูกทีหลังครับ เช่น บางคนมาหลงตัวเอง ยกตัวเองเป็นอรหันต์ รับเงินทองมาสร้างวัดก่อนเลย ผิดทางไปก่อน แล้วพอหมดบุญ กรรมเข้าตัว มาสำนึกผิดได้ คิดได้ ได้สติ ก็เข้าทางทีหลัง ทีนี้ก็จะไม่มีใครมาสนใจแล้วครับ เพราะเขาคิดว่าหลอกลวงไงครับ (ตอนหลอกดันชอบ ดันหลง แต่พอบรรลุจริง ไม่มีใครสนใจ หุๆๆ) ซึ่งทั้งหมดนี้ เขาจะทำผ่านสังขารมนุษย์นะครับ หมายความว่า เขาจะใช้ร่างมนุษย์ ประสานงานกัน ในการทำกิจกรรมต่างๆ ครับ อย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ ยุคนี้ ไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง ๑๐๐% กันหรอก มีอะไรๆ แฝงเข้ามาเยอะแยะ แต่จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ก็เท่านั้นเอง ผมถึงเรียกว่าพวก X-men ไงครับ


เอาละ เม้าท์มามากแล้วอย่าเพิ่งหลอกกันก่อนละ เพราะพี่ชายไม่ได้มาหลอกผีใคร มันเป็นเรื่องจริงมานานแล้ว และอยู่กับตัวเราด้วย รอบตัวเราก็มีด้วย ผู้คนทั้งหลายก็มีด้วย มีกันทั้งนั้นเลย น้อยแล้วละที่จะเป็นมนุษย์ปกติกัน คนที่เป็นมนุษย์ปกติได้ ก็จะไม่เก่งอะไรเลย ล้าหลัง ใช้อินเตอร์เน็ตไม่เป็น อยู่เขา, อยู่ป่า, อยู่ถ้ำ, อยู่เกาะร้าง ไป ซึ่งมันหาไม่ไ่ด้ในประเทศไทยแล้วละ ขนาดชนเผ่าผีตองเหลืองยังไม่มีเหลือเลย หมดแล้ว "มนุษย์แท้ๆ" น่ะครับ โลกมนุษย์ถูกยึดครองไปตั้งนานแล้วรวมทั้งเราๆ ท่านๆ ด้วยนะ โดนยึดครองกันอยู่แบบไม่ค่อยจะรู้ตัว แบบแนบเนียน และค่อยๆ กลืนกินและกลมกลืนมายาวนาน ก็อย่าตกใจไป อย่ากลัวผีเลย เรานี่แหละ "ตัวประชุมผี" เลยละ ฮ่าๆๆๆ โอ้ย ไม่ต้องคิดมาก เป็นอยู่แล้ว เป็นกันมานานแล้ว ก็ปรับตัวอยู่กันต่อไป ไม่ใช่เรื่องถูกหรือผิด, ดีหรือชั่ว อะำไร ทำหน้าที่ของเราให้ดีก็แล้วกัน เอาละ ดึกแล้ว เด็กๆ ก็นอนซะนะ จะได้ตื่นเช้าๆ ราตรีสวัสดิ์ครับ




วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วิถีทางแห่งการบรรลุธรรมก็ง่่ายๆ "บริโภคนิยม" นี่แหละ!

พี่ชายไปอ่านเจอกระทู้หนึ่งเขาพูดถึง "หลวงปู่ .." ซึ่งอายุน้อยมากแต่คนเชื่อว่าเป็นหลวงปู่มาเกิด เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้มีบุญบารมี คนเชื่อว่าท่านเข้านิโรธสมาบัติและจะนิพพานในชาตินี้ แล้วก็มีภาพตอนไปนอนกับผู้หญิงมาโชว์ อืม เป็นสิ่งศักดิสิทธิ์สูงส่งของพวกชาวบ้านเขา เป็นเทพเจ้าของชาวบ้านเขาน่ะครับ อย่าไปลบหลู่เชียว เพราะขนาดตอไม้, จอมปลวก, ก้อนอึแมว ฯลฯ ชาวบ้านไทยๆ เราก็ไหว้ขอหวยมานักหนาแล้ว นี่ออกจะดีเริ่ดกว่าเยอะ เพราะกราบปางเสพเมถุน ก็ัยังดีกว่ากราบก้อนอึแมว ใ่ช่ไหมละครับ? น่าชื่นชมในภูมิปัญญาของชาวไทยแลนด์โอนลี่จริงๆ เอาละ มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า เรื่องของการเข้านิพพานด้วย "บริโภคนิยม" เป็นไปได้อย่างไร? บ้าหรือ ก็ดูเอาครับ


อย่างแรกที่อยากจะอธิบายก่อนคือ ชาติข้างหน้า, เวลาข้างหน้า หรือว่าอนาคตนั้ัน ไม่มีสั้น ไม่มียาว สั้นก็ได้ ยาวก็ได้ ทุกอย่างไม่มีกำหนด แล้วแต่เราจะไปกำหนดมันเองแหละครับ สัจธรรมนั้นอยู่เหนือกาล แต่ที่เรามีกาล, มีวาระ, มีอนาคต, มีชาติข้างหน้า ก็ด้วยเราเองนี่แหละ ไปก่อเหตุปัจจัยเอง ก่อเหตุปัจจัยอย่างไรก็ส่งผลอย่างนั้น ก่อเหตุปัจจัยให้ไปยาว ก็ไปยาว ก่อเหตุปัจจัยให้ไปสั้นก็ไปสั้น ดังนั้น คนเราทุกคน จะนิพพานเร็วหรือช้า, สั้นหรือยาว ก็ขึ้นกับเราก่อเหตุปัจจัยเองแหละครับ แล้วก่อเหตุปัจจัยอย่างไรหรือ? ง่ายๆ ครับ ถ้าเราเสวยผลกรรมให้หมดได้เร็วทั้งวิบากกรรมดีและวิบากกรรมชั่ว เราก็นิพพานเร็วครับเช่น เกิดมาเป็นพระ ยังไม่ไ่ด้อรหันต์ แต่มีคนมายกย่องว่าอรหันต์แล้ว บวกกับทุกอย่างก็แวดล้อมอย่างนั้น เลยหลงว่าตัวเองอรหันต์ พอประกาศตัวออกไปว่าตนได้อรหันต์ เงินทองก็ไหลมาเทมา ตามระเบียบว่าด้วยความเป็นอรหันต์แห่งไทยแลนด์โอนลี่ เข้าสู่กระบวนการเสวยผลบุญให้หมดๆ ไปอย่างรวดเร็วราวไฟใหม้เผาผลาญคลังบุญ หรือเหมือนพม่าเผาเมืองอโยธยาอย่างนั้น (หรือคนไทยเผากันเองก็ไม่รู้นะ) เลยต้องมารับเงินจากผีพม่าที่มาเกิดเป็นคนไทย รวมเงินกันได้แล้วก็ไปสร้างวัด ใช้หนี้สงฆ์ บริโภคผลบุญร่วมกันจนหมดแล้ว ก็ไม่ได้ผุดได้เกิด เพราะเริ่มต้นก็มาจาก "อรหันต์ปลอม" เสียแล้ว และมักจบลงด้วย "ข่าวใหญ่" พระดังมั่วสีกาบ้าง, มั่วยาบ้าบ้าง, มั่วอะไรต่อมิอะไรบ้าง ก็อีหรอบเดิม และเดิมๆ เหมือนที่ชาวไทยเรา ไทยแลนด์โอนลี่ ยังนิยมหนังน้ำเน่า เมียหลวง, เมียน้อยตีกันแย่งผัวเหมือนเดิม คลาสสิคจริงๆ หลังจากหมดบุญแล้ว เสวยผลบุญจนเกลี้ยงแล้วทีนี้ก็มีแต่วิบากกรรมเข้าตัวเต็มๆ พระบางรูปก็เข้าซังเต บางรูปก็แค่สึกก็จบแล้ว แต่จบแบบดังออกข่าวหน้าหนึ่งหน่อย ก็เท่านั้นเอง ก็เลยไม่ไ่ด้ผุดได้เกิด ด้วยไม่เหลือบุญจะได้เกิดเป็นคนอีกแล้ว กลายเป็นผีในภพมืด เร่ร่อนแฝงร่างมนุษย์ไปจนกว่าจะหลุดพ้นนิพพานกับเขา นี่เรียกว่าแบบเร่งรัดนั่นเอง


อย่างที่สอง หลังจากที่เราทราบแล้วว่าวาระนิพพานนั้น ช้าเร็ว ก็ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับเราเท่านั้นที่ก่อเหตุปัจจัยส่งผลไปเอง สัจธรรมนั้นเหนือกาลเวลา ไม่อาจกำหนดวาระที่แน่นอนให้ยึดมั่นได้ ดังนั้น คนที่เสวยผลบุญช้าหรือน้อย ก็หมดช้า ยังไปข้างหน้าอีกยาว ยังไม่นิพพานเร็วในยุคนี้ คนไหนที่เสวยผลบุญมาก ก็หมดบุญเร็ว ที่เหลือก็ต้องรับแต่กรรม จนทุกข์แล้วทุกข์อีก เห็นโลงศพจนหลั่งน้ำตา ก็เกิดความอยา่กหลุดพ้น มีจิตตรงนิพพานได้ เห็นไหม? มันก็ต่างกันแบบนี้ ไม่มีใครถูกหรือผิด ผมจึงบอกว่า "บริโภคนิยม" นี่แหละ คือ วิถีแห่งการบรรลุธรรม แต่ไม่ใช่ด้วยตัวมันเองหรอก มันเป็นแค่ "ทางส่งไป" ก็เหมือนเวลาที่ทหารไม่กล้ากระโดดหอคอย แล้วต้องมีคน "คอยถีบส่ง" นั่นแหละ ก็ไม่ต่างกัน เพราะบอกให้ไปดีๆ ไม่มีใครอยากจะไป เล่นตัวมาก เรื่องเยอะ เลยต้องถีบส่งแบบนี้ คือ ให้เป็นเหยื่อของบริโภคนิยมไปซะ จนไม่เหลือบุญแล้ว หมดตัวแล้ว มีแต่กรรมรุมๆ ให้ต้องทุกข์แล้วทุกข์อีก จนเข็ดหลาบแล้ว จิตตรงนิพพานเอง แล้วมันก็เข้าทางเอง ถึงจะทันนิพพานใน ๕,๐๐๐ ปีนี้ จึงไม่แปลกถ้าเห็นชาวพุทธในประเทศไทยที่หลง "พระอรหันต์เทียม" ที่อดีตชาติอาจเคยเป็นนายกองทัพพม่ามาทำศึกแล้วตายลงในแผ่นดินนี้ ก็เลยยกย่องนายทัพของตัวเองอย่างนั้น ให้เป็นอรหันต์แบบแต่งตั้งกันเอง แล้วก็สวาปาม เสวยบุญเกินตัว ตามแบบบริโภคนิยม สร้างวัดใช้หนี้สงฆ์ (ผลกรรมที่เคยเผาวัดไทย) หมดหนี้กรรมกันแล้ว หมดบุญแล้ว หมดตัวแล้ว ก็รอลงภพมืดอย่างเดียว ไม่แปลกอีกเช่นกัน ถ้าเราได้เห็น "ข่าวพระดังทำศาสนาเสียๆ หายๆ" ปรากฏเรื่อยๆ ไม่ขาดระยะ (ถ้าสื่อไม่ถูกปิดกั้นนะ) เกิดแล้วก็เกิดอีกซ้ำๆ เหมือนหนังน้ำเน่าหลังข่าว ที่คนก็นิยมแล้วนิยมอีก ไม่มีจบสิ้น นั่นแหละ พอกัน เป็นยุคสมัยของเขาครับ เป็นของร่วมกันมา นี่จึงสรุปง่ายๆ สั้นๆ ว่า "บริโภคนิยม" นี่แหละ ธรรมชาติเขาจัดสรรมาให้แล้วว่าจะเป็นตัว "ถีบส่ง" ให้สัตว์ดื้อด้านสอนยาก "ลงนิพพานไปซะ" ก็หลังกึ่งกลางพุทธกาลนี่คุณอย่าลืมว่า "พุทธบริษัทสี่" หมดสิ้นแล้ว ก็มีแต่ยักษ์, มาร, เทพ, พรหม สี่เหล่าใหญ่ มาดูแลพระพุทธศาสนากัน


และด้วยเป็น ยักษ์, มาร, เทพ, พรหม ไม่ใช่พุทธบริษัทสี่ ก็เลยว่ายาก สอนยาก ดื้อด้าน ไม่รู้จะใช้วิธีไหนสอนดี พระพุทธเจ้าก็ปรินิพพานไปแล้ว ไม่มีขันธ์ห้าใช้โปรดสัตว์ให้ละพยศ ความดื้อด้าน และสักกายทิฐิได้ ก็เอาไงละ "ถีบส่งด้วยบริโภคนิยม" นี่แหละ เหมาะสมที่สุดแล้ว ก็แดกๆๆ กันไปเถอะนะ ใครอยากแดกอะไรก็แดกกันไป จะโกงกินบ้านเมือง แบ่งกันแดก ทั้งพรรคพวก, เครือข่าย, ญาติโกโหติกา ทั้งหลาย ยังไำง ก็ทำไป เดี๋ยวเข้าทางนิพพานเอง ไปรอในภพมืดหลังที่เสวยผลบุญจนหมดแล้ว มีแต่ความทุกข์หม่นหมองมืดมนบ้างแล้ว เดี๋ยวก็จะมีสติ คิดขึ้นได้เองบ้างละนะ เพราะนรกก็ไม่รับ สามภพนี้ไม่มีที่ให้พวกเขาแล้ว เขาก็ต้องหลุดออกนอกระบบสามภพ แม้แต่นรกก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะลง ไม่ได้ผุดได้เกิดกันเลย รอแต่นิพพานอย่างเดียว เขาบีบให้ตรงต่อนิพพานอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีทางรอดทางอื่นแล้ว นั่นแหละ ใครที่ชอบบริโภคนิยมก็คงจะได้สมใจกันเสียที เอ้า เม้าท์เรื่องเครียดมากไป เดี๋ยวเด็กๆ จะรับไม่ไ่ด้เอา ไม่ต้องคิดมากนะ ก็แค่นิทานเท่านั้น ก็ต้องมีนิทานแบบตื่นเต้น ระทึกขวัญกันบ้าง เอาละ วันนี้ ก็ขอจบลงแต่เพียงเท่านี้ ไว้พบกันใหม่บทความหน้า กินนมซะ แล้วราตรีสวัสดิ์ครับ