วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556

สิ้นยุคภัยพิบัติ สู่ยุคแห่งการพิพากษา!

มีเรื่องเม้าท์อีกแระ อาจารย์ของพี่ชายมาเยี่ยมเมื่อวาน มาจากแดนไกล แล้วได้ปรับพลังช่วยทำให้พี่ชายที่กำลังจะฝึกพิณมารฟ้าแล้ว ได้กลับปกติ เพราะพลังภายในอาจารย์เป็นพลังธาตุไฟ (สว่าง) ขับไล่พลังภาคมารได้ ส่วนพี่ชายเมื่อได้พลังจากอาจารย์บางส่วนแล้ว พลังเก้ามัจจุราชบางส่วนของพี่ชายก็ส่งทอดต่อให้อาจารย์ ช่วยเอาไปเคลียร์ต่อละ เป็นอันว่าพี่ชายรอดตัวไป มาเข้าเรื่องของเราดีกว่านะ วันนี้ เรื่องยุคสมัยที่เปลี่ยนไป รู้ให้ทัน จะได้ทันสมัยไง ดังต่อไปนี้


อย่างแรกพี่ชายอยากจะบอกว่าโลกไม่เที่ยงมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา อันนี้ ใครๆ ก็รู้เนอะ อ้าวแล้วเม้าท์ทำไม อ้อ ก็จะบอกต่อว่าที่นี้ การเปลี่ยนแปลงของโลกนี่ ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงไปไร้ระบบระเบียบ ถ้าเป็นอย่างนั้น โลกคงยุ่งเหยิง แย่มากๆ เลยครับ อยู่กันไม่ไหว ดังนั้น สวรรค์จึงมีหน้าที่ดูแลกระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลกครับ เทพภาคสว่างจึงมีหน้าที่ดูแล "ระบบกรรม" เพื่อให้ปวงสัตว์ได้ชำระกรรมอย่างมีระบบระเบียบ อันนี้ หลายท่านคงเข้าใจเนอะว่่า ทำไม จึงมีสิ่งที่เรียกว่า "บัญชีกรรม" และ "ชะตาลิขิต" ซึ่งพระพรหมท่านก็เอามาจากกรรมต่างๆ ประมวลภาพอนาคต ท่านเห็นแล้วท่านก็บอก เลยไปเรียกกันว่า "พรหมลิขิต" อะไรแบบนั้น บ้างก็เรียกว่า "โชคชะตา" ก็ว่ากันไป (พระพรหมไม่ได้ลิขิตหรอก แต่ท่านมีญาณหยั่งอนาคตได้ เลยประมวลมาให้คนได้รู้กัน เราก็เรียกเป็นคำเท่ห์ๆ เท่านั้นเอง) ซึ่งระบบกรรมนี้ จะมีท่านที่ดูแลอยู่และช่วยปรับเปลี่ยนให้ได้ตามความเหมาะสมนะครับ ที่มีบางคนบอกว่า "กรรมเปลี่ยนแปลงได้" น่ะแหละ บางคนก็ไปใช้ฤทธิ์สะเดาะเคราะห์ แก้กรรมกัน ถ้าทำไม่ถูกทางก็กลายเป็นวิชานอกรีตไป  แต่มันก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ น่ะละ อย่าไปยึดว่ากรรมมันจะมีอย่างนั้นไปตลอด ทีนี้ สวรรค์ก็จะมี "ทีมงาน" ที่จะขับเึคลื่อนระบบการชำระกรรมนี้ มากมายเลยครับ ก็ทำไงได้ละ เทพไม่มีงานทำ น่าเบื่อ ก็เลยอาสามาช่วยกันดูแลระบบกรรม เมื่อเทพอาสากันมากๆ ก็ต้องจัดเวรอ่ะครับ เรียกว่่า ผลัดกันมาดูแลโลก ดูแลระบบกรรมก็แล้วกัน ที่เรารู้จักกันดี เช่น เทพนักษัตรทั้ง ๑๒, เทพจักราศีทั้ง ๑๒ ไงละครับ ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อชะตาชีวิตเรามากเลยละ ทีนี้ พอเข้าใจนะครับว่าสิ่งเหล่านี้ มันมีอยู่จริง และทำไม เหตุผลใด มันจึงต้องมีระบบการทำงานเช่นนี้


อย่างที่สอง พี่ชายจะเม้าท์เฉพาะเจาะจงไปอีกว่า ปีที่แล้ว เป็นปีของดาวมฤตยูมาดูแลโลก จึงเป็นเรื่องของ "การชำระกรรมผ่านภัยพิบัติ" ครับ กระแสเรื่องภัยพิบัติจึงแรงมาก คำว่าภัยพิบัตินั้นหมายถึง ภัยทางธรรมชาติใดๆ ที่ทำให้คนตายพร้อมกันเยอะๆ หรือเกิดความเสียหายมาก นั่นเอง เอาง่ายๆ งี้ละ แต่ว่าปีนี้ เปลี่ยนไปแล้วครับ เป็นปีที่เทพีไกอาและเทพซูสมาดูแลโลก โดยเทพซูสจะมีน้องชายคือ "เทพฮาเดส" มาช่วยงานด้วย ทั้งสองนี้จะเล่นเกมกันคือ ถ้าคนตายจะไปไหน เขาแข่งกันอย่างนั้น ซึ่งก็ดีครับ แข่งกันทำงาน เพราะถ้าคนตาย ตายแล้วไม่ได้ไปนรกหรือสวรรค์ เขาก็จะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนนะครับ เวลาจะหาท้องพ่อแม่เกิด จะยากเหลือเกิน หรือถ้าได้ ก็จะมีปัญหาที่มากมายตามมาครับ เช่น พ่อแม่ไม่พร้อม อยากทำแท้ง อะไรแบบนั้น ทีนี้ เทพซูสจะคุมสวรรค์ จะส่ง "ฑูตสวรรค์" มารับวิญญาณคนตายไปสู่สวรรค์ครับ (เวลาคนตายแล้วขึ้นสวรรค์นะ มักป่วยตายแบบไม่ค่อยทรมานนะ ไปสบายๆ ครับ) ส่วนเทพฮาเดสก็จะส่ง "ยมฑูต" มารับเอาดวงวิญญาณคนตายไปนรก (สังเกตุคนตายจะตายทรมาน หรือตายแบบน่ากลัว เช่น ตายโหง, โดนฆ่าตาย ฯลฯ) แต่อย่าไปยึดนะครับ ก็ทำนายไม่ได้ง่ายๆ หรอกว่าใครตายแล้วไปไหน? แต่จะมี "มนุษย์ร่างสื่อ" ที่จะมีพลังเชื่อมโยงกับทูตสวรรค์หรือยมทูตครับ มนุษย์บางคนมีทั้งสองอย่างเลยก็มี บางคนไม่มีเลย บางคนมีแค่อย่่างใดอย่างหนึ่ง ก็ถ้าเรารู้นะครับว่าเขามีเราสังเกตุเขาดูครับ บางทีเขาจะเข้าไปเี่กี่ยวกับ "คนที่ใกล้จะตาย" ก่อนระยะหนึ่ง เช่น ปี, หรือเดือน ไม่นานเท่าไร คนนั้นก็จะหมดอายุขัยครับ (ทูตฯ จะเข้าไปถึงเขาก่อนเพื่อเตือนให้ทำสิ่งที่ดี ก่อนจะตาย อะไรประมาณนั้น) พี่ชายเรียกง่ายๆ ว่า "ร่างสื่อของผู้พิพากษา" ครับ อย่างเดียวกันนั่นแหละ คือ เขาจะเหมือนยมทูต, ท่านเปาฯ หรือผู้พิพากษาอะไรแบบนั้น ในด้านความคิดหรือจิตใจบางส่วนนะครับ ต้องสังเกตุจริงๆ สังเกตุอะไรหลายๆ อย่างร่วมด้วยถึงจะทราบครับ สรุปว่า ปีที่แล้วคนเจอภัยพิบัติมาก แต่ปีนี้ คนจะตายแบบตัวใครตัวมัน เป็นรายตัวไป ไม่ใช่การตายหมู่ (แต่ก็มีได้ครับ ไม่ใช่ ๑๐๐%) ก็ยังมีเวลาก่อนจะตายและมีคนเตือนครับ ไม่ใช่ตายปัจจุบันทันด่วน


เอาละ เม้าท์เรื่อง "สิ้นยุคภัยพิบัติ" จะได้ปรับตัวเข้ากับยุคสมัยได้ทัน ด้านร้ายก็อย่างที่บอกว่า "มรณทูต" ทั้งสองคือ ยมทูตและเทวทูตจะแข่งกันแย่งตัวคนตายไปสู่ภพของตน ก็เท่านั้นเอง แต่ด้านดีก็มีอีกเยอะครับ โฮ่ๆๆ ที่สำคัญคือ เป็นไปเพื่อสิ่งที่มนุษย์คนจะเป็น ควรจะทำ ไม่ใช่เป็นไปเืพื่อให้มนุษย์หลงโลกหรอก (เพราะพระบิดาคือ เทพซูสคอยดูแลไง) แต่เทพีไกอาก็ยังคงเ็ป็นใหญ่กว่าอยู่ดี และคอยดูแลโลกอย่างดีที่สุด (พระมารดาใจดี ตามใจลูก ว่างั้นเหอะ) เอาละ วันนี้ เอาแ่ค่พอหอมปากหอมคอ แค่พอเข้าใจยุคสมัยใหม่นะ ราตรีสวัสดิ์



วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2556

เจาะขุมพลังทั้งสี่ สู่โลกกลียุค

เมื่อเช้านี้ พี่ชายขี่จักรยานไปตลาดมา แล้วมันดราม่ามากๆ เลยอ่ะ เรื่องอะไรรู้ไหม? คืออย่างนี้ พี่ชายไปกินข้าวราคาถูก เป็นครั้งที่สามละ แล้วแม่ค้าเลยถามพี่ชาย กลายเป็นว่า "พี่ชายเ็ป็นหลานเขาอ่ะ?" แปลกดี พี่ชายก็ไม่รู้มาก่อนเลย อ้าวอยู่ดีๆ ผมมากินข้าวร้านป้าตัวเองหรือนี่? ป้าก็เลยไม่คิดตังค์ กลายเป็นกินฟรีไป โธ่ ไม่เห็นเหมือนในหนังเลยอ่ะป้า มันต้องได้แต่งงานกับลูกป้าที่ว่าสุดยอดเลย ไม่่ช่ายหรอ? ฮ่าๆๆ ล้อเล่นอ่ะครับ เดี๋ยวจะดราม่ามากไป ทำเอาใครๆ ก็อยากจะมาเป็นแม่้ค้าขายข้าวแกงดักรอให้พี่ชายไปกินอ่ะ เอ้า มาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่า วันนี้ เป็นเรื่องของขุมพลังทั้งสี่ชนิด ที่จะมีอิทธิพลมากในยุคนี้ ซึ่งผมอาจได้เม้าท์ไปบ้างเล็กน้อยแล้ว ดังต่อไปนี้ครับ


อย่างแรก พี่ชายอยากปูพื้นฐานนิดหนึ่งก่อนว่า ยามนี้โลกอยู่ในยุคมืด ยังไม่ใช่ยุคสว่าง เหมือนเวลากลางคืน ไม่ใช่เวลากลางวัน ซึ่งเป็นสิ่งธรรมดาของยุคพระพุทธเจ้าสมณโคดมนะครับ เขาเลยเขียนไว้ในพระไตรปิฎกว่า "กลียุค" แต่พี่ชายไม่อยากให้ใช้คำนี้เพราะคำว่า "กลียุค" นั้น หมายถึง ยุคที่พระแม่กาลีเป็นใหญ่ ลงมาขับเคลื่อนโลก มันคนละอย่างกันครับ ในยุคมืด ที่พี่ชายกำลังเ้ม้าท์ให้ฟังนี้ พระแม่กาลี ไม่ได้มาเป็นใหญ่แต่จะเป็น "เทพพระจันทร์" เหมือนดวงจันทร์ส่องสว่างในเวลากลางคืน พอนึกภาพออกนะครับ ก็เมื่อผ่านยุคนี้ไปแล้ว พระพุทธศาสนาสิ้นลงแล้ว ก็จะเข้าสู่ "กลียุค" สมบูรณ์แท้จริง อุปมาเหมือนวันที่พระจันทร์อับแสง ท้องฟ้าไม่มีแสงสว่างส่องนำทาง ประมาณนั้น นี่ก็คือ จุดต่างนะครับ (ยุคนี้ ยังมีแสงจันทร์ส่องอยู่แต่หมดยุคนี้เข้ากลียุค ก็จะเหมือนมืดสนิท ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์ มีแต่แสงจากดาวและมนุษย์ต่างดาว) เอาละ ทีนี้ เทพพระจันทร์ผู้เป็นอธิบดีของโลกในยุคนี้ ท่านก็จะพบเจอกับ "กลุ่มพลังงานสี่กลุ่ม" ที่สำคัญและต้องมาเกี่ยวข้องกับเทพพระจันทร์นั้น ที่พี่ชายเรียกว่า "ขุมพลังทั้งสี่" ดังต่อไปนี้

๑. ขุมพลังเทพนักษัตรรัตติกาล หรือเทพนักษัตรที่บำเพ็ญบารมีมาจากสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืน เช่น หนู, นกฮูก, ค้างคาว เป็นต้น

๒. ขุมพลังเทพหมู่ดาวต่างๆ ที่สำคัญก็คือ หมู่ดาวจักราศีทั้ง ๑๒ ราศี ซึ่งจะหมุนเวียนกัน ผลัดกันมีอำนาจ กลุ่มนี้ ก็คือ "พลังจากต่างดาว"

๓. ขุมพลังเทพสัมพันธ์ คือ เทพที่เกี่ยวข้องกับเทพพระจันทร์ ซึ่งไม่เข้ากลุ่มอื่น เช่น เทพอสูรราหู ซึ่งมีฐานะเป็นพี่ของเทพพระจันทร์

๔. ขุมพลังมืด คือ เทพที่ออกนอกรีตแล้วเข้าสู่ภาคมืด ก็จะกลายเป็นขุมพลังให้กับกลุ่มนี้ครับ ซึ่งพวกเขาจะไม่ทำตามบัญชาสวรรค์ใดๆ

เอาละ โลกของเราจะถูกขับเคลื่อนไปด้วย "ขุมพลังทั้งสี่" นี้ มากเป็นพิเศษนะครับ แต่ใช่ว่าจะมีแต่ขุมพลังนี้ ยังมีขุมพลังอื่นๆ อีกมากมายนะครับ เพียงแต่ว่าพลังทั้งสี่ ค่อนข้างมีบทบาทมาก ก็เท่านั้นเอง จึงได้นำมาศึกษาและเม้าท์ให้กันฟังในบทความนี้ อย่างไรละครับ 


อย่างที่สอง คือ เทพพระจันทร์จะเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนพลังทั้งสี่ชนิดนี้ ซึ่งขุมพลังหลายชนิด ก็ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเทพพระจันทร์โดยตรงนะัครับ จำต้องใ้ช้กลยุทธ์เพื่อควบคุมทางอ้อมเอาครับ สรุปง่ายๆ คือ มีเพียงขุมพลัง ๒ กลุ่มเท่านั้นที่จัดอยู่ในข่ายเป็น "บริวารของเทพพระจันทร์" โดยตรง ได้แก่ ๑. เทพจักราศีทั้ง ๑๒ ราศี และ ๒. เทพนักษัตรรัตติกาล ทว่า ก็ไม่ใช่ว่าทั้งหมดหรอกนะครับ ที่เป็นบริวารของเทพพระจันทร์ เฉพาะบางส่วนเท่านั้น ถึงอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดต้องพึ่งพาแสงสว่างของพระจันทร์ทั้งสิ้น ส่วนเทพส่วนอื่นๆ ก็จะมีบทบาทน้อยลงไปครับ เช่น พระสุริยเทพก็จะลดบทบาทตัวเองไปอยู่ทางธรรมแทน เราจึงไม่ค่อยเห็นบทบาทของพระสุริยเทพมากนักในทางโลก (แต่ก็มีเหมือนกันที่เป็นพลังหมุนเวียนรายปีก็จะมีบทบาทมากขึ้นครับ ) หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ สั้นๆ คือ เทพพระจันทร์จะมีหน้าที่ปกครองเทพต่างดาว (หมู่ดาวต่างๆ) และเทพนักษัตรที่หากินในเวลากลางคืนในช่วงยุคพุทธกาลของพระสมณโคดม ก็แค่นี้แหละ ซึ่งพวกนี้มีอำนาจ, มีพลัง, มีบทบาทมากเลยทีเดียว เช่น ในอเมริกาก็มีองค์กรที่บูชา "นกฮูก" ด้วยครับ (สัตว์หากินกลางคืน), การบูชาเทพภาคมืด (ซาตาน), ความเชื่อเรื่อง "มนุษย์ต่างดาว" ที่เริ่มจากอเมริกา เห็นไหมครับว่า คนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ มักมีบทบาทและเป็นตัวขับเคลื่อนโลกอย่างยิ่งทั้งนั้น ถ้าเราไม่มีพลังเหล่านี้มาเกี่ยวข้องเลย หรือไม่ได้ใช้ขุมพลังทั้งสี่นี้เลย เราก็อาจจะต้องลดบทบาทตัวเองลงไป แล้วอยู่ในทางธรรมเงียบๆ แทน ไม่ค่อยได้ออกมาเคลื่อนไหวหรือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโลกมากนัก ดังนั้น ถ้าหากเราต้องการมีบทบาทมากขึ้น ก็ไม่ยากครับ เพียงแค่ใช้พลังของขุมพลังทั้งสี่ นี้ก็จะส่งผลให้เรามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงโลกในยุคนี้ได้แล้ว ทั้งนี้ พี่ชายอยากแทรกเรื่องเล่านิดหนึ่ง ถือว่าเป็นนิทานก็แล้วกันนะครับว่า ครั้งหนึ่ง เทพพระจันทร์ใช้ "พิณทิพย์" ควบคุมเหล่า "หมู่ดาวจักราศี" พลังของพิณเป็นพลังเย็น และคลื่นเสียงพิณ ส่งผลต่อความคิดหรือจิตใจของพวกเขาได้ ไม่ต่างอะไรกับการใช้ "ยาสั่ง" เลยละ ดังนั้น แม้เทพพระจันทร์จะเป็นเพียงสตรีเพศ แต่ก็สามารถคุมผู้ชายได้อย่างไรละครับ อนึ่ง เทพพระจันทร์เมื่อมีพลังไม่มาก จะใ้ช้ "กระจกทิพย์" ซึ่งจะส่องสะท้อนแสงจากพระสุริยเทพ ปกป้องคุ้มครองสิ่งต่างๆ ทั้งยังให้แสงสว่างชี้นำทางแก่ปวงสัตว์ได้ (พลังกระจกนี้ สะท้อนสิ่งที่ไม่ดีให้กระเด็นออกไปได้ครับ) แต่ถ้ามีพลังมากขึ้น ก็จะใช้ "พิณทิพย์" 


เอาละ เม้าท์จนเพลิน อย่าคิดมากละ ฟังเป็นนิทานอาหรับราตรีก่อนนอนนะ พี่ชายว่ามันแปลกดีอ่ะ ที่มีผู้หญิงอยู่ท่ามกลางผู้ชายที่ดุร้าย แวดล้อมไปด้วยพวกมีพลังพิเศษแต่ก็สามารถควบคุมพวกเขาได้ด้วยพลังพิเศษที่ไม่ต้องต่อสู้ เช่น กระจกทิพย์ และ พิณทิพย์ มันคงเท่ห์ดีไหม ถ้ามีใครเก่งกว่าผู้ชายได้ด้วยการไม่ใช้การต่อสู้ หรือทำสงคราม แค่ดีดพิณเท่านั้น ผู้ชายที่ดุร้าย ห้อมล้อมอยู่ ก็ต้องยอมจำนน โฮ่ๆๆ ก็น่าสนุกดีนะ เอาละ วันนี้พอแค่นี้ก่อน ไปพักกันดีกว่านะ ราตรีสวัสดิ์จ้า



วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2556

เคล็ดลับการเคลียร์พลังงานเพื่อบ้านของท่านเป็นสถานที่ศักดิสิทธิ์

โอ้ย ช่วงนี้พี่ชายกำลังทดลองฝึก "พิณมารฟ้า" อยู่ แล้วมันเป็นอะไรที่แบบว่าโหดเหี้ยมมากๆ เลยอ่ะ ถ้าจิตใจมีความเป็นมนุษย์ มันก็จะเกิดการลังเลว่าจะทำดีไม่ทำดี มันจะกระทบใครบ้างเนี่ย สุดท้าย สารต่างมิติก็บอกว่า "ถ้าเํธอจะฝึกก็ต้องมีใจน้ำแข็ง" เลือดเย็นอำมหิตไร้ความรู้สึกใดๆ ก่อน ไม่เช่นนั้น เวลาจะใช้พิณมารฟ้า ก็จะเกิดความลังเล จนพลังไม่ถึงขั้น ไม่อาจใช้ได้อย่างทรงอานุภาพได้ ทำอย่างไรดีละ ถ้าพี่ชายไม่ฝึกนะ มันก็จะไปอยู่กะคนอื่นแหละ แล้วถ้าตกอยู่ในมือคนอื่น ก็จะร้ายแรงกว่าที่ึคิด จนไม่อาจควบคุมได้เลย เอ้า ลองก็ลองนะ มาถึงขั้นนี้แล้วนี่ โอเค นอกเรื่องเล็กน้อย มาเข้าเรื่องของเราวันนี้ดีกว่า คือ เรื่องของการเคลียร์พลังงานที่ยึดโยงอยู่ในสถานที่ที่เราอยู่อาศัยครับ ให้เป็นพลังงานใหม่ พลังงานที่ดี และทำให้ศักดิสิทธิ์ได้ ดังต่อไปนี้


อย่างแรก พี่ชายอยากปูพื้นฐานให้เข้าใจก่อนเรื่อง "พลังงานที่ยึดโยงกับสถานที่ภาคพื้นดิน" เรียกง่ายๆ คือ พลังคุ้มครองผืนดินแต่ละส่วนนี่เอง ซึ่งปกติแล้วจะเป็นพลังงานของพระภูมิ นั่นคือ พลังงานที่ได้รับการเคลียร์แล้วจากระบบของสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง ทว่า อย่าคิดว่าทุกอย่างสมบูรณ์แบบครับ บนภาคพื้นโลกนี้ ไม่ได้มีพระภูมิทุกที่ มีเพียงน้อยนะครับที่จะมีพระภูมิ นอกจากนั้น ก็จะพลังงานอื่นๆ ยึดโยง ยึดครองอยู่ เช่น พลังงานของเทวดาชั้นที่หนึ่งอย่างอื่นๆ เช่น พลังของรุกขเทวดาที่อารักษ์ป่า ก็จะไม่ยอมให้มนุษย์เข้าไปบุกรุกทำลายอะไรเลยครับ ก็จะไปทำอะไรแถวนั้นไม่ได้ นอกจากนี้ หลายพื้นที่บนโลกก็ไม่ได้มีแต่พลังภาคสว่างหรือเทพเทวดาที่สวรรค์ส่งลงมาดูแลหรอกนะครับ แต่จะเป็นพลังงานของ "เทพนอกรีต" ก็มีมากมาย เทพนอกรีตเหล่านี้ไม่ได้ขึ้นตรงต่อสวรรค์ แต่เป็นตัวของตัวเองก็มี ขึ้นกับภาคมืดก็มี พอมายึดครองสถานที่, ขอบเขตที่ดินบริเวณใดของโลกได้ ก็จะตั้งตัวขึ้นมาเป็น "เจ้า" ในที่แห่งนั้น คนไทยรู้จักดีครับในนาม "เจ้าที่" นั่นเอง ซึ่งเจ้าที่นี้ ไม่ใ่ช่ของดี มักนำสิ่งไม่ดีมาให้ ถ้าเราเคลียร์เจ้าที่ออกได้ จะเปิดทางให้ "พระภูมิ" มาอยู่แทน อะไรๆ ก็จะดีขึ้นครับ ทีนี้ สังเกตุง่ายครับว่าที่ไหนมีเจ้าที่ หรือเจ้าที่แรงๆ ก็ดูว่าคนที่อาศัยอยู่ร่วมกันนั้น มีความกลมกลืนกันดีไหม? หรือทะเลาะกันรุนแรงตลอด ถ้าอยู่กันไม่ดี ก็เจ้าที่แรง ถ้าอยู่กันสงบดี ก็พระภูมิดีนะครับ นอกจากนี้ยังสังเกตุได้จากสัตว์เลี้ยงด้วย เ่ช่น สุนัข ถ้ามันดุมากๆ ก็เจ้าที่แรงครับ แต่ถ้ามันมีความเชื่องกับคนไปหมด แหม แบบว่าเวลคัมทุกคน ยินดีต้อนรับ เชิญเข้ามาเลยครับ ก็น่าจะเป็นพลังของพระภูมิดูแลอยู่ครับ ปกติผืนที่หรือที่ดินที่ได้มาใหม่ หรือเปลี่ยนแปลงรูปแปลง เช่น ซื้อหลายๆ แปลงมาต่อกัน หรือแบ่งส่วนแปลงใหญ่แล้วไปซื้อมา มักมี "เจ้าที่ใหม่" ติดมาด้วยครับ กล่าวคือ เจ้าที่เนี่ย ไม่ได้มีอยู่ตอนแรก แต่อาศัยการเปลี่ยนของรูปแปลงที่ดิน ก็เข้ามายึดครอง แสดงความเ็ป็นเจ้าของ ดังนั้น ถ้าไปซื้อที่ดินมาใหม่ๆ ยังไม่มีคนรุ่นไหนอยู่มาก่อนเลย ก็จะเจอกับเจ้าที่ทุกรายไปครับ สังเกตุว่าบ้านใหม่ที่ซื้อบนที่ดินใหม่ เช่น บ้านจัดสรรนี่ อยู่กันไม่ค่อยสงบนักนะ บางบ้าน ทะเลาะกับคนข้างบ้านรุนแรงมากๆ ก็มี นี่ละ ผลมาจากเจ้าที่แรง ต้องเคลียร์พลังงานให้เรียบร้อยก่อนครับ ทีนี้ บางท่านก็ถามว่า แล้วไปให้คนขึ้นพระภูมิให้แล้วนี่ โอเคไหม? นี่ก็ต้องดูครับว่าเขาทำได้สำเร็จไหม? เพราะบางที เอาพระภูมิมา ทำพิธีก็แล้ว แต่พระภูมิจริงๆ ยังมาไม่ได้ เพราะยังมีเจ้าที่ยึดครองอยู่ก็มี


อย่างที่สอง พี่ชายจะเม้าท์ว่า แล้วทำอย่างไร เราจะจะเคลียร์พลังงานในบริเวณที่เราอาศัยอยู่ เพื่อเปิดทางให้พระภูมิมาดูแล และทำให้บ้านของเรามีความสงบสุข อยู่ดี มีสุขได้ละ คำตอบก็คือ ไม่ใช่เพียงแค่ได้พระภูมิ หรือทำพิธีแล้วจะสำเร็จ แ่ต่คนในบ้านต้องเพียรสร้างบุญบารมี จนกว่าจะปลดปล่อยวิญญาณเจ้าที่ให้หลุดพ้นไปได้ จึงจะเปิดทางให้พระภูมิเข้ามาได้ พลังงานที่ไม่ดี ก็จะถูกชำระล้างออกไป แล้วเปิดรับพลังงานที่ดี พลังงานใหม่ๆ ซึ่งเป็นภาคสว่างเข้ามาได้ นั่นเอง แล้วจึงจะอยู่บ้านกันอย่่างสงบดี มีสุขครับ ซึ่งบางทีก็ต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเลยทีเดียวกว่าจะเคลียร์ได้ และผู้สร้างบ้านนั้น ก็ต้องตายเพื่อเป็นพระภูมิดูแลบริเวณนั้นแทน จึงจะเคลียร์เอาเจ้าที่ออกไปได้น่่ะครับ ดังนั้น ที่ๆ มีคนอยู่มานานแล้ว เป็นมรดกตกทอดให้ลูกหลาน และมีคนรุ่นก่อนๆ ที่ตายจากไปแล้วนั้น จะมีทั้ง "พระภูมิ" และ "ผีบ้านผีเรือน" ดีครับ จึงจะอยู่ดีมีสุข ดีกว่าบ้านใหม่ที่ไม่มีพลังดีๆ เหล่านี้ (แต่มีพลังเจ้าที่แรงๆ มาอยู่แทนอ่ะ) บ้านเก่าที่เคยมีปู่ย่าตายาย ตายไปแล้วนั้น เป็นพลังที่ดีครับ อยู่แล้วท่านจะดูแลลูกหลาน ให้มีความสงบสุข ร่มเย็น อยู่กันได้นาน แต่งงานกันได้ยืด แต่บ้านใหม่ กว่าจะลงตัวได้ก็นาน อย่างที่บอกน่ะแหละ ต้องรอให้คนในบ้านรุ่นใดรุ่นหนึ่งตายก่อน จึงจะมีพลังที่ดีมาปกปักษ์รักษา อีกทั้งบ้านนี่ก็มีพลังคุ้มครองเหมือนกัน คือ พลังจากผีบ้าน ผีเรือน นั่นเอง ซึ่งเราจะต้องไม่ทำอะไรบ้านใหม่ เช่น ห้ามต่อเติมบ้านใดๆ เลย ถ้าเสียก็ซ่อมได้เท่านั้น (รักษาของเก่าให้เหมือน เิดิมทุกอย่างแต่อย่าทำใหม่ ดัดแปลงหรือเสริมต่อ) เพราะมันจะส่งผลให้พลังงานเดิมไม่อาจดำรงอยู่ได้ เหมือน "ผู้สร้าง" ตัวใหม่มาแทนที่แล้ว (คือ เราที่ไปต่อเติมไงครับ) ผีบ้านผีเรือนเก่าต้องจากไป ผู้สร้างที่ต่อเติมบ้าน ต้องตายไปเป็นผีบ้านผีเรือนแทน หรือไม่เช่นนั้น ก็ต้องละจากบ้านไป เพื่อให้คนอื่นมาเป็นผีบ้านผีเรือนแทนตนครับ อย่างไรก็ดี ยังมีวิธีอีกวิธีที่ไม่ต้องตายแล้วไปเป็นพลังงานคุ้มครอง นั่นคือ ใ้่ช้บารมีบำเพ็ญเอาครับ ถ้าเรามีบารมีมาก จะมีเทพสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง เข้ามาช่วยดูแลเราได้ เราก็ไม่ต้องตายแล้วไปเป็นผีดูแลสถานที่นั้นๆ เอง


เอาละ พี่ชายเม้าท์มายาวทีเดียว มีธุระจะไปป่วนเว็บคนอื่นต่อ เย้ย มะช่าย จะไปทำความดีอ่ะนะ หุๆๆ ไม่รบกวนเวลานอนหลับพักผ่อนใครละ ไว้พบกันบทความต่อไป วันละเล็กละน้อยนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ



วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556

พลังแห่งการต่อสู้ หรือจะสู้พลังแห่งความเป็นผู้นำ?

แปลกจัง เดี๋ยวนี้เวลาชอบกินน้ำผลไม้แบบไหน พอจะเริ่มกินมากขึ้น ก็มีอันเป็นไป ต้องหมดจากร้านทุกทีสิน่า (อย่างอื่นก็ไม่หมดแฮะ แต่ของที่เราชอบกิน หมดทุกทีเลย) ทำไมฮิตกินตามพี่ชาย กันแบบนี้ละเนี่ย พี่ชายเลยหากินลำบาก เพราะเดี๋ยวนี้ เลือดมนุษย์ที่ปลอดภัยมันไม่ค่อยจะมี เอ้ย! ม่ายช่าย ล้อเล่น พี่ชายไม่ใช่แบทแมน ซะหน่อยอ่า เอ้า วันนี้ ต่อจากบทความที่แล้วอีกนิดหนึ่ง เป็นเรื่องของพลังงานที่มีหลายระดับและหลายชนิด ซึ่งเราเลือกฝึกได้ครับ แต่ละชนิดก็ส่งผลให้เรามีตัวตน มีบทบาท ในสังคม ที่แตกต่างกันด้วย ดังรายละเอียดนี้


อย่างแีรก พี่ชายอยากจะบอกว่า พลังพิเศษในคนเรามีหลายแบบ (อีกเช่นเคย) เช่น พลังที่ใช้ในการต่อสู้, พลังที่ทำให้คนหลงไหล, พลังที่ทำให้คนคล้อยตาม, พลังที่ทำให้มีปัญญา ฯลฯ เห็นไหมครับ ว่ามันมีมากมายหลายหลากจริงๆ คนที่ไม่เข้าใจตรงนี้ ก็จะคิดแต่ว่าจอมยุทธ์ จะต้องสู้เก่งๆ หรือเก่งแต่สู้เท่านั้น จริงๆ แล้วไม่ใช่ครับ บางคนมีพลังสูงมาก แต่เป็นพลังจิตคนละแบบกับพลังด้านการต่อสู้ แม้เขาไม่ได้สู้กับใคร เขาก็อาจชนะเสียก่อนต่อสู้แล้วครับ เช่น พลังที่ทำให้ทหารเก่งๆ ยอมรับ เชื่อถือศรัทธา จนถึงขั้นยอมพลีชีพให้เราได้เลยทีเดียว ก็มีนะครับ และในประเทศไทยก็มีคนใช้พลังอย่างนั้นอยู่ ไม่ใช่พี่ชายนะครับ แหม เดี๋ยวมีคนแอบมาใส่ร้ายพี่ชายอีก เพราะไม่มีทหารคนใดในประเทศเราตอนนี้ เขาจะมาตายแทนพี่ชายหรอกครับ ฮ่าๆๆ นั่นละ พี่ชายเ่ล่าให้ฟังเฉยๆ เพราะทหารที่โดนพลังนี้เข้าไปแล้ว เขาย่อมไม่ รู้ตัวหรอกครับ พลังบางอย่างแปลกยิ่งกว่านี้อีก เช่น พลังที่ทำให้คนโง่ลง ก็มีครับ, ทำให้คนลุ่มหลง ก็มีครับ, ทำให้คนขาดสติ ลืมตัว ก็มีครับ โอ้ย เยอะแยะไปหมด อย่าคิด อย่าด่วนสรุปครับว่า สิ่งที่เราเห็นนั้นต้องมาจากเหตุนั้นเหตุนี้ เสมอไป เช่น เห็นคนโมโหดุร้าย ก็อย่ารีบไปสรุปว่า "เขาเลว" บางที เขาอาจโดนพลังคุณไสย์ครอบงำ ให้เป็นเช่นนั้น เพื่อใช้งานให้ไปก่อความไม่สงบ ไปพลีชีพเพื่อใครก็ไม่รู้ ก็ได้นะครับ แม้แต่คนที่รักหรือศรัทธากันดีๆ เช่น รักคุณ XXX มาก เห็นกันแล้วกรี้ดเลย ก็ไม่แน่ครับ โดนเหมือนกันครับ เ็ป็นพลังจิตครอบงำให้ลุ่มหลงครับ มียิ่งกว่านี้ พลังบางอย่าง ไม่ทำอะไรใครเลย แต่มันจะดูดเงินทองเข้ามาครับ เรียกว่า นอนเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร ดูดเงินทองเอามาสู่ตัวได้ ฮ่าๆๆ ระวังเสียเงินทองไปไม่รู้ตัวละ (พวกพลังที่มาจากกฏแห่งแรงดึงดูดไงครับ) หรือบางพวกนอนคิดเอา แล้วก็ได้ตามใจคิดก็มีครับ โอ๊ะ พลังอะไร แปลกจริงๆ แต่มันก็มีนะครับ อย่าประมาทไปละ


อย่างที่สอง พี่ชายจะเริ่มอธิบายอะไรที่ยากและลึกซึ้งขึ้นแล้วนะครับ คือ พลังงานชั้นต่ำมันจะหยาบจนเห็นได้ชัด จับได้ชัด เช่น ถ้าเราใช้พลังชกคนตายได้ พี่ชายรับรองครับว่า เราโดนจับเข้าคุกแน่นอน โธ่ ก็มันมีหลักฐาน เห็นออกชัดอย่างนั้น หยาบออกอย่างนั้นว่าเราชกคนตายไงเล่า ทว่า ถ้าเราใช้พลังงานชั้นสูงละ ผลต่างกันเยอะครับ ด้วยพลังงานชั้นสูงนั้น มันจะละเอียดและจับได้ยาก มีเหมือนไม่มีไงครับ เช่น ใช้จิตสังหาร สั่งให้ตายไปเลย ฮ่าๆๆ เป็นไงละ แล้วใครมันจะมาจับเราได้ละครับ เล่นแบบนี้ ดังนั้น พี่ชายแนะนำให้ใช้ "พลังจิตชั้นสูงครับ" เพราะจะได้ไม่มีหลักฐานให้ใครจับเราได้ โฮ่ๆๆ แหม แต่พี่ชายไม่ได้ให้ไปทำสิ่งผิดกฏหมายนะ ให้ทำแต่สิ่งดีๆ เท่านั้นจ๊ะ โอ้ย อย่าคิดมาก เดี๋ยวหาว่าพี่ชายยุยงให้ทำสิ่งเลวอีก มันเ็ป็นแค่การเม้าท์ให้ฟังเท่านั้น ว่าของแบบนี้ มันมีอยู่จริงและคนบางคน อาจใช้อยู่ และทำอยู่ก็มี ซึ่งอาจไม่ใช่ใครที่อ่านบทความนี้ หรือไม่ใช่พี่ชายก็ได้ แ่ต่หากเราเผลอไปโดนเข้า จะได้รู้ตัวทั่วพร้อม เท่าทัน หลบหรือหาทางออกได้ไงครับ เพราะคนที่มีพลังจิตชั้นสูง เวลาลงมือแล้วจับไ่ม่ได้เลยว่ามีการลงมือแล้วอ่ะ แนบเนียนมากนะจะบอกให้ ยิ่งบางอย่างไม่ได้ฆ่าให้ตายแต่หลอกใช้เป็นเครื่องมือซะ โอ้ย สะใจยิ่งกว่าฆ่าให้ตายซะอีกอ่ะ  อย่าไปทำนะเด็กๆ มันไม่ดี รู้อ่ะป่าวละ ฮ่าๆๆ เอาละ ถ้าเด็กๆ มัวหลงที่พลังงานเด่นชัด อย่างพลังต่อสู้นี่ เด็กๆ จะไม่พัฒนา แต่ถ้าใครสนใจพลังงานที่มองเห็นได้ยาก จับได้ยากและเวลาลงมือแนบเนียนมากจนไม่อาจจับได้เลยละก็ แสดงว่าเริ่มใช้พลังงานระดับสูงแล้ว ลองคิดดูสิ ระหว่างเราฆ่าศัตรูให้ตายไป ๑ กับการที่เราหลอกใช้ศัตรูให้ทำงานให้เราได้ อย่างไหนที่เราจะได้ประโยชน์มากกว่ากันละ นี่แหละเหตุผลที่ว่าทำไม ทหารที่เก่งต่อสู้ จึงเป็นเพียงคนต่ำต้อย แต่ทำไม ผู้นำที่ได้ครองอำนาจ จึงไม่เก่งการต่อสู้อะไร ก็ยังได้มีอำนาจมากกว่าทหารละ


เอาละ เม้าท์มาจนดึก พี่ชายมาช้าหน่อย เริ่มจะง่วงนอนละ ไม่รบกวนเวลามากไป เพราะจะได้ไปป่วนเว็บคนอื่นเขาต่อ อ๊ะ ม่ายช่าย ล้อเล่นอ่ะ ขำๆ จะได้ไปทำธุระดีๆ เท่ห์ๆ ต่อไงละครับ ไปก่อนละ ราตรีสวัสดิ์




วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2556

จัดระบบพลังงานในร่างกายให้เข้าที่ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคุณ

วันนี้เนื้อหาค่อนข้างเยอะ พี่ชายเลยไม่เล่นมุขละ เดี๋ยวรายการไทยแลนด์คอมมาดี้ เขาจะไม่มีมุขไปเล่น เพราะไปแย่งเขาเล่นหมดอ่ะ ก็มาเข้าเรื่องของเราเลยละกัน คือ เรื่องของการจัดระบบพลังงานของร่างกาย เพื่อให้คุณภาพชีวิตของเราดีขึ้นแบบองค์รวมนะครับ แต่จะไม่ลงรายละเอียดมากครับ จะกล่าวสรุปคร่าวๆ สั้นๆ พอเห็นภาพครับ ที่เหลือสามารถติดตามรายละเอียดได้ตามร้านขายยาทั่วไป เย้ย มะช่าย ตามแหล่งเรียนรู้ทั่วไปครับ เอาเป็นว่าเม้าท์ให้เห็นภาพรวมง่ายๆ ก็แล้วกัน จะได้ไปหาทางต่อยอดกันได้ต่อไป ดังรายละเอียดต่อไปนี้


อย่างแรก พี่ชายอยากปูพื้นก่อนว่าในร่างกายของเรามีพลังงานหลายชนิด ถ้าไม่มีพลังงานเราก็จะไม่มีชีวิตไม่ีมีแรงขยับเขยื้อนหรือทำอะไรได้นะครับ ทว่า พลังงานหลายชนิดที่อยู่ในร่างกายมีชนิดที่สำคัญๆ ที่เราควรรู้จักและทำความเข้าใจ เพื่อใช้พลังงานให้เป็นประโยชน์สูงสุด หรือก้าวไปสู่การจัดระบบพลังงานในร่างกายเราได้อย่างเหมาะสม ซึ่งพลังงานหลักๆ นั้น จำแนกได้ตามแหล่งกักเก็บพลังงาน ที่มีอยู่ทั้งสิ้น ๗ แห่ง เรียกว่า จักระ ๗ นั้นเอง อนึ่ง เวลาเราเรียก "จักระ" เราจะเรียกในฐานะที่เป็นระบบพลัง มีการขับเคลื่อนและหมุนเหมือนจักรวาล แต่มันไม่ได้มีแต่ระบบหมุนนะครับ ณ จักระแต่ละจักระ ก็มีระบบ "กักเก็บ" พลังงานได้ด้วย อุปมาเหมือนเป็นเหมือนแอ่งน้ำใหญ่ๆ อะไรประมาณนั้น นอกจากนี้ แต่ละแอ่งทั้ง ๗ แอ่้งนี้ มีความเหมาะสมในการกักเก็บพลังงานที่แตกต่างกันไป บางแอ่ง ไม่เหมาะสมที่จะเป็นแหล่งกักเก็บพลังงานครับ มีเพียงบางแอ่งเท่านั้นที่สามารถเก็บสะสมพลังงานได้ดี และได้มากขึ้นเรื่อยๆ ทว่า อย่างไรก็ตามทั้ง ๗ แอ่งนี้ก็เป็นบ่อเกิดของพลังงานต่างๆ อันแตกต่างกันไปอีกด้วยสำหรับแหล่งกักเก็บพลังงานนี้ ขอสรุปเลยนะครับว่ามีแหล่งที่เหมาะสมอยู่ ๓ แห่งที่ดีที่สุดคือจักระที่สองนะครับ บริเวณท้องน้อยครับ อีกสองแหล่งรองลงไปได้แก่ ใต้ลิ้นปี่และหน้าอก สองแหล่งนี้สามารถกักเก็บพลังงานได้จำกัด ดังนั้น ผู้ฝึกจึงมักเก็บพลังงานไว้ที่ท้องน้อยเ้ป็นสำคัญ ส่วนแหล่งอื่นๆ จะไม่ค่อยนิยมไว้กักเก็บพลังงานมากนักครับ อย่างไรก็ตาม แหล่งอื่นๆ จะมีพลังงานอยู่เหมือนกัน แม้จะไม่มากเท่ากับพลังจากจักระที่สองนี้ และเราจะใช้พลังงานในการทำกิจต่างๆ มากจากพลังงานจากจักระที่สองนี้เป็นสำคัญนะครับ การดึงเอาพลังงานจากจักระอื่นๆ ออกมาใ่ช้ อาจทำให้มีพลังเพิ่มขึ้น เช่น เมื่อตกใจเพราะไฟใหม้ ทว่า นั่นคือ พลังงานที่ไว้ใช้ยามฉุกเฉินจริงๆ ครับไม่ควรนำมาใช้บ่อยเกินไป นอกจากนี้ ยังมีพลังงานบางชนิดที่ควรปล่อยไว้เฉยๆ เพื่อรักษาดุลยภาพในร่างกายเท่านั้น ดังนั้น เราจะนับพลังงานจักรที่ ๒ นี้ เรียกว่า "พลังงานหลักในร่างกายที่จะใช้ในการทำกิจต่างๆ" ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้หรือทำงานในชีวิตปกติครับ ส่วนพลังงานอีกแหล่งหนึ่งซึ่งนำเข้ามาจากภายนอก ก็คือ พลังงานที่มาจากจักระที่ ๗ (พลังจักรวาล) พลังงานส่วนนี้ ดึงเข้ามาเพิ่มได้เรื่อยๆ ครับ ทว่า จะเป็นพลังเกี่ยวเนื่องกับ "ปัญญา" ไม่เน้นพลังที่ใช้่ในการทำกิจ หรือทำงานของร่างกายครับ ดังนั้น เราจะมาดูพลังงานสองแหล่งที่สำคัญนี้จากจักระที่ ๒ และ ๗ มากขึ้น ต่อไปครับ 


เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ ผมขอเรียกพลังจากจักระที่ ๒ ว่าพลังภายในตัวเราเอง และพลังจากจักระที่ ๗ ว่าพลังจากภายนอกหรือพลังจักรวาล ซึ่งเราจะใช้พลังจากจักระที่ ๒ นี้ในด้านบู๊โดยตรง และใช้พลังจากจักระที่ ๗ ในด้านบุ๋นนะครับ ส่วนพลังงานอื่นๆ เ่ช่น พลังงานจากจักระที่ ๑ นี้ เราจะไม่ดึงออกมาใช้นะครับ แต่เราจะเก็บไว้เพื่อรักษาสมดุลภายในที่เกี่ยวข้องกับร่างกายในด้่านอื่นๆ หรือใช้ตามหน้าที่ ก็แล้วกัน ทีนี้เราก็มีการใช้่พลังงานที่มีระบบแล้ว อย่างแรกที่เราควรเข้าใจคือ พลังงานในจักระที่ ๒ (บู๊) นี้ มาจากการเผาผลาญอาหารในร่างกาย ดังนั้น เราจึงสามารถกินอาหารเพื่อเพิ่มพลังงานนี้ได้เรื่อยๆ นะครับ ซึ่งเวลาร่าง กายเราจะเผาผลาญอาหารที่กินเข้าไป ทำให้เกิดพลังงานนั้น จะผ่านการหายใจครับ อากาศที่เราหายใจเข้าไปช่วยให้เกิดการเผาผลาญที่ดี ดังนั้น การฝึกพลังในจักระนี้ จะเกี่ยวข้องกับการหายใจโดยตรง ซึ่งผมได้แนะนำการฝึกหายใจบางแบบไปแล้ว ต่อไปจะเป็นการหายใจที่เกี่ยวข้องกับพลังส่วนนี้ คือ เราจะหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ แล้วรวมสมาธิที่ท้องน้อยครับ เวลาหายใจออกเราจะใช้เพื่อ "ปลดปล่อยพลังส่วนที่เกิน" เช่น เวลาเราใ้ช้พลังไปแล้ว อาจจะมีพลังบางส่วนที่ปลดปล่อยออกไปไม่หมด เราจะระบายออกมาพร้อมการหายใจออกเท่านั้นเอง เอาละ หลักการง่ายๆ แค่นี้เอง คือ รวมสมาธิที่ท้องน้อย ก็แค่นั้น ง่ายนะ ต่อไป คือเรื่องจักระที่ ๗ บ้าง ซึ่งจักระนี้ มีพลังงานที่เกี่ยวข้องมาจากธรรมชาติทั่วจักรวาล จึงมักเรียกว่า "พลังจักรวาล" เวลาเราฝึก ก็จะเปิดจักระที่ ๗ นี้ เพื่อเปิดรับพลังจักรวาลครับ ซึ่งส่วนใหญ่จะมาในรูปพลังบุ๋น ทำให้เรามีปัญญานะครับ ข้อควรระวังเกี่ยวกับพลังนี้คือ จะมีพลังงานที่มากมายในจักรวาลเข้ามาเยอะ เหมือนคลื่นแทรกนะครับ ดังนั้น หากเรายังไม่ชำนาญเราก็จะถูกรบกวนด้วยพลังแทรกหรือคลื่นแทรกเหล่านี้ได้ หลักการที่ดีคือ เราจะเลือกเปิดรับพลังงานเฉพาะที่เราคุ้นเคยหรือเหมาะสมกับเราครับแทนที่จะเปิดกว้างรับพลังทุกอย่างจนทำให้สับสนไปหมดเคล็ดลับง่ายๆ ในกรณีนี้คือการใช้จิตเหนี่ยวนำ หรือการจูนคลื่นพลังงานให้ตรงอย่างหนึ่งอย่างใดครับ เช่น การที่เรามีศรัทธาต่อพระยูไล เราสามารถเปิดรับพลังของพระยูไลที่ประทับอยู่ในจักรวาลนี้ได้ ผ่านจักระนี้ แต่เพียงอย่างเดียว ก็จะช่วยให้เราไม่ถูกพลังแทรกหรือคลื่นแทรกมากเกินไป ก็จะรับพลังที่บริสุทธิ์ได้ดีครับ 


เอาละ พี่ชายเม้า์ท์มายาวพอควรทีเดียว แบบสรุปรวบลัดนะครับ ไม่ขยายรายละเอียดมากไปกว่านี้ ยิ่งขยายจะยิ่งงง และไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไรครับ เอาเป็นแนวทางเบื้องต้นไปก็แล้วกัน ที่สำคัญคือ ควรมีผู้ใหญ่หรือครูบาอาจารย์ดูแลครับ ไม่ควรฝึกตามลำพัง เพราะท่านจะได้ช่วยเหลือเราได้ เมื่อเราก้าวพลาดไป สำหรับวันนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ



วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2556

มหัศจรรย์พลัง "มงกุฏพระพุทธเ้จ้า"!

มีเรื่องน่าโมโหชะมัดเลยอ่ะพี่ชายถูกคนตามจับผิดน่ะ คิดดูนะ แค่โพส กระทู้เขาก็หาว่าเราผิดแล้ว ทีคนอื่นเขาก็โพสกระทู้กันได้ทั้งบ้านทั้งเมือง ไม่เห็นจะมีความผิดอะไร ทีพี่ชายเขียนมั่ง กลายเป็นความผิด ทั้งๆ ที่คนเราย่อมมีความคิดเ็ห็นเป็นของตัวเอง แตกต่างกันได้แท้ๆ แต่ของคนอื่นละ ทำไมไม่เห็นใครไปจับผิด ทีของพี่ชายบ้างกลับโดนจับผิดอ่ะ โดยเฉพาะพวกกระทู้ธรรมะอะไรเนี่ย? โดนประจำเลย พี่ชายอยากจะรู้ว่าพี่ชายผิดตรงไหนอ่า? แล้วในที่สุด พี่ชายก็ยอมรับความจริง ความผิดทั้งหมดมาจากพี่ชายเองหละ ผิดที่สุดในโลกเลย เพราะอะไรรู้ไหม? ทำไมพี่ชายถึงคิดได้อย่างนั้น พี่ชายจะเล่าให้ฟัง ตอนที่พี่ชายยังเด็กอ่ะ พี่ชายก็แก้ผ้าอาบน้ำโชว์หนอนน้อย ไม่เห็นจะมีความผิดอะไรเลย แต่ตอนนี้หนอนน้อยก็เติบโตกลายเป็นบิ้กโค้กไปแล้ว ถ้าพี่ชายทำเหมือนตอนเป็นเด็กอีก พี่ชายก็จะมีความผิด และโดนตำรวจจับแน่นอน ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้พี่ชายทราบซึ้งในรสพระธรรมความจริงที่ว่า "เพราะบิ้กโค้กพี่ชายจึงมีความผิด" นั่นแหละ พี่ชายจึงต้องยอมรับว่า "พี่ชายผิดที่สุดในโลกเลย" ผิดกว่าสีเหลืองที่ยึดสนามบิน ผิดกว่าเสื้อแดงที่เผาห้าง ผิดกว่าทักษิณ ผิดกว่าใครๆ ทั้งหมด เพราะ "บิ้กโค้ก" นี่เอง เอาละ พี่ชายไม่ถือสา ใครจะว่าเรา จับผิดเรา พี่ชายยอมรับความผิดแล้ว Ok กลับมาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่านะ วันนี้เป็นเรื่องของ "มงกุฏพระพุทธเจ้า" ซึ่งเป็นของทิพย์อย่างหนึ่งนะครับ ซึ่งสิ่งนี้ จะมีพลังพิเศษอย่างไร ทำอะไรได้บ้าง เรามาติดตามกันเลยครับ


อย่างแรก พี่ชายอยากจะปูพื้นฐานก่อนนิดหนึ่งครับ กล่าวคือ มงกุฏพระพุทธเจ้านี้ เป็นของทิพย์ชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะเหมือนมงกุฏคือใช้ประดับศีรษะนี่แหละ เพียงแต่จะมีรูปร่างเหมือนดอกบัวโดยแต่ละกลีบของดอกบัวจะมี "รูปพระพุทธเจ้า" นั่นเอง ถ้าใครนึกภาพไม่ออกละก็ ให้นึกถึงมงกุฏที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์สวมอยู่นะครับ ครั้งหนึ่งตอนที่สามเณรรูปหนึ่งไปเที่ยวสวรรค์ เขาไปแวะวิมานเก่าของพี่ชาย แล้ว ไปเจอมงกุฏแบบนี้เข้า เขาบอกว่ามันมีตั้งสามชั้นแน่ะ คือ เหมือนบัวที่บานมีกลีบซ้อนกันสามชั้นน่ะครับ อันนี้ จะแตกต่างจากที่เราเห็นในรูปทั่วๆ ไปที่จะวาดไว้มีชั้นเดียวนะครับ เอาละ ของแบบนี้ ปกติจะมีได้ในพระโพธิสัตว์นะครับ แต่ละองค์ก็มีด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่แตกต่างกันไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง ของพระโพธิสัตว์องค์อื่นๆ มักมีลักษณะเป็นเหมือนพระเกี้ยว (ประดับจุกผม) และจะมีกลีบบัวกลีบเดียว ซึ่งจะมีรูปพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น มีแต่ของพระกษิติครรภ์ที่เว่อร์ไปหน่อยที่จะมีกลีบดอกบัวโดยรอบเลยครับ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ล้วนมาจากการบำเพ็ญบารมี นั่นเอง โดยขึ้นอยู่กับ "ความศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นสำคัญ" ถ้าพระโพธิสัตว์องค์ไหน มีความศรัทธาแน่วแน่ถึงขั้นตรงต่อพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งได้จริงๆ ผ่านด่านมารแปลงได้จริงๆ (มารจะแปลงร่างเป็นพระพุทธเจ้ามาทดสอบเราก่อนครับ ถ้าเราผ่านด่านนี้ได้ จึงจะได้รับมงกุฏพระำุพุทธเจ้า ๑ องค์ แสดงถึงจิตที่ศรัทธาตรงต่อพระพุทธเจ้าพระองค์ันั้นๆ) แต่ถ้าเราหลงมารแปลงอยู่ เราไม่รู้ว่านั่นคือมารแปลงร่างเป็นพระพุทธเจ้า เราก็จะยังไม่ผ่านการทดสอบ เราก็จะยังไม่ได้รับตรงนี้นะครับ เห็นไหมครับว่าของแบบนี้ ไม่ไ่ด้มาได้โดยง่ายๆ เลยละ ทว่า ท่านที่เคยได้แล้ว หรือได้มาแล้วครั้ง ๑ ก็ง่ายที่จะได้ครั้งต่อๆ ไป บางท่านก็เลยได้ซะโอเว่อร์เลย 555 ล้อเล่นขำๆ นะครับ ในขณะที่บางองค์ก็ไม่ได้เลยก็มีครับ เพราะท่านอาจไม่ได้มีจิตที่ศรัทธาตรงต่อพระพุทธเจ้าขนาดนั้น หรือบำเพ็ญบารมียังไม่ผ่าน


อย่างที่สอง เราจะมาดูกันว่ามงกุฏพระพุทธเจ้านั้น ใช้ทำอะไรได้บ้าง? คำตอบคือ ไม่ได้ใช้่ประดับบารมีดูให้สวยงามอะไรแค่นั้นนะครับ ของทิพย์ทุกอย่างมีพลังพิเศษเฉพาะตัวของมันทั้งนั้นครับ แตกต่างกันไป ไม่เหมือนกัน โดยมงกุฏพระพุทธเจ้านี้ จะทำหน้าที่เหมือน "จานดาว เทียม" รับสัญญาณช่อง "พระพุทธเจ้า" โดยตรง สามารถรับธรรมจากพระพุทธเจ้าได้โดยตรงผ่านของทิพย์ชนิดนี้ครับ เพื่อแค่จิตแน่วแน่ไปถึงท่านๆ ก็จะส่งธรรมสื่อมาถึงเราได้ทันทีครับ เหมือนเครื่องมือรับสื่อของเราในยุคปัจจุบันนี้ นั่นเอง ซึ่งเวลาเราฝึก เราอาจจะเริ่มฝึกโดยใช้การเปิดจักระที่ ๗ ก่อนก็ได้ครับ ตรงนี้เราจะนึกถึงดอกบัวพันกลีบหมุน อยู่บนศีรษะก็ได้ครับ แล้วค่อยๆ พัฒนาไปสู่การเปิดรับสัญญาณธรรม โดยตรงจากพระพุทธเจ้า จนมีจิตศรัทธา บำเพ็ญเพียรผ่านด่านแล้วก็จะได้รับมงกุฏพระพุทธเจ้าโดยสมบูรณ์ แต่ถ้าเราไม่ไ่ด้ฝึกเปิดจักระนั้นก็ได้ครับ (การฝึกเปิดจักระ ถ้าทำได้ถูกต้อง สำเร็จ ก็ดีไป แต่ถ้าทำผิดก็อาจเกิดโทษภัยได้เหมือนกันควรระวังด้วยครับ) โดยการที่เราเริ่มต้นจากความศรัทธาที่ถูกต้องตรงทางแน่วแน่ เป็นกำลังสำคัญ จากนั้นจึงบำเพ็ญเพียร ให้ผ่านด่านการทดสอบให้ได้ เราก็จะแยกแยะระหว่างมารแปลงกับพระพุทธเจ้าได้ ในที่สุด เมื่อเราแยกแยะได้แล้ว เราจะไม่หลงมารแปลงเราจะสามารถรับสัญญาณธรรมจากพระพุทธเจ้าได้โดยไม่ต้องกังวลแล้วครับ ข้อดีของการใช้วิธีนี้คือ เราไม่จำเป็นต้องมีธรรมผ่านตำราใดๆ เพราะการใช้่ธรรมะผ่านตำราใดๆ ไม่ใช่วิถีของพระพุทธศาสนา หรือพระพุทธเจ้าองค์ใดๆ เลยครับ เป็น "วิถีของพระมัญชุศรี" ก็เท่านั้นเอง เป็นแนวทางการบำเพ็ญธรรมของพระโพธิสัตว์องค์นี้ ก็เท่านั้น ส่วนองค์อื่นๆ หรือแม้แต่พระพุทธเจ้า ล้วนไม่จำเ็ป็นต้องหลงตำราอะไรครับ ท่านจะใช้วิธีการอื่นๆ เ่ช่น พระกวนอิมใช้การเพ่งเสียง (วิถีกวนอิม) ท่านก็จะเปิดหูทิพย์แล้วได้ยินพระธรรมจากพระพุทธองค์ทรงโปรดโดยตรงครับ ส่วนท่านที่ใช้มงกุฏพระพุทธเจ้านี้ ไม่จำเป็นที่จะต้องเปิดหูทิพย์ตาทิพย์เลย มันเด็ดสุดยอดมากกว่านั้นครับ เพราะพลังธรรมของพระพุทธเจ้าจะส่งผ่านมาทางมงกุฏได้โดยตรง แล้วเราก็ถ่ายทอดต่อไปได้เลย เหมือนดูทีวีถ่ายทอดสด ผ่านดาวเทียมอะไร ทำนองนั้นอ่ะ และที่สำคัญไม่ใช่ "การเข้าทรงพระพุทธเจ้า" นะครับ ก็อย่าไปใส่ร้ายใครว่าอย่างนั้น "กรรมมันจะเข้าตัวเอาไม่รู้ด้วยนะ" หุๆๆ อ้อแล้วข้อดีของมงกุฏพระพุทธเจ้านี่อาจเหนือกว่าของทิพย์อื่นๆ ก็ได้ ไม่รู้นะเพราะเป็นขุมปัญญาญาณของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่เราอยากจะทราบอะไร ก็ถามเอาได้เลยอ่ะ ทำให้รู้ถึงของทิพย์อื่นๆ ด้วยไงละ


เอาละ วันนี้ พี่ชายเม้าท์มายาวพอควร นึกถึงประวัติของพระถังซัมจั๋ง ซึ่งท่านคือ ภาคอวตารหนึ่งของพระกษิติครรภ์ ที่พยายามไปอัญเชิญพระคัมภีร์มาจากแดนไกล แล้วบังเอิญโดนลมพายุพัด คัมภีร์ตกน้ำจนหมึกละลายอ่ะ อ่านไม่ออก แล้วท่านก็เลยต้องแปลมันทั้งยังงั้นอ่ะละ แปลจนตาบอดเลยนะ จริงๆ แล้วพี่ชายคิดว่าธรรมชาติกำลังจะบอกแก่พระถังซัมจั๋งว่า อย่ายึดติดตำราเลย นั่นมันเป็นวิถีของพระมัญชุศรีเขา ไม่ใช่วิถีของท่าน ท่านสามารถรับชมการถ่ายทอดสด การแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าผ่านจานดาวเทียม เอ้ย ไม่ใช่ ผ่านวิถีของท่านเองคือ "มงกุฏพระพุทธเจ้า" ได้ ก็เท่านั้นเอง จบแค่นี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ



วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2556

พลังคลื่นเสียงเงียบสะท้านโลกันต์!

วันนี้ จิตใจผ่องใสมากจริงๆ ถึงมากที่สุด แต่ไม่รู้จะเล่นมุขอะไรละ 555 เอาเป็นว่าเข้าเรื่องของเราวันนี้เลยนะ เป็นเรื่องของพลังคลื่นเงียบ อ๊ะ ยังไง? คลื่นเีสียงอะไรถึงได้เงียบ? ไม่ได้ยินแล้วจะเป็นเสียงได้ยังไง? เอ้า ไม่รู้สิ มันลึกลับอ่ะ ถ้าอยากรู้ ก็คงต้องอ่านดูแล้วแล้วสินะครับ 


อย่างแรกพี่ชายอยากจะขอปูพื้นฐานก่อนว่า "คลื่นเสียง" ก็ไม่ต่างจากคลื่นแสงตรงที่มีทั้งที่สังขารมนุษย์รับรู้ได้และไม่ได้ครับเช่น คลื่นแสง UV มนุษย์ก็มองไม่เห็น ใช่ไหมครับ? เช่นกัน คลื่นเสียงก็มีทั้งที่หูของมนุษย์ได้ยินและไม่ได้ยิน อนึ่ง แม้คลื่นเสียงที่หูของมนุษย์ได้ยิน จะมีผลกระทบต่อจิตใจขับดันให้คนเกิดพฤติกรรมต่างๆ ได้ก็จริง ทว่าคลื่นเสียงที่หูของมนุษย์ไม่ได้ยินนั้น "กลับมีพลังเหนือกว่า" ซึ่งพี่ชายจะขอเรียกคลื่นเสียงที่หูของมนุษย์ไม่ได้ยินเหล่านี้ว่า "คลื่นเสียงเงียบ" นะครับ ซึ่งคลื่นเสียงทั้งหมดไม่ว่าหูมนุษย์จะได้ยินหรือไม่ได้ยินก็ตาม ล้วนมีต้นกำเนิดมาจาก "การสั่นสะเทือน" แล้วการสั่นสะเทือนนี้เอง ก็มีเหตุมาจาก "การกระทบกระทั่ง" (ภาวะทุกขัง) นั่นเองครับ ดังนั้น ทุกอย่างในโลกซึ่งเดิมก็ล้วน อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา อยู่แล้ว ย่อมไม่พ้นไปเสียจากการกระทบกระทั่งกันได้ เช่นนี้ ทุกอย่างในโลกจึงล้วนเป็น "ต้นกำเนิดเสียง" ทั้งสิ้นครับ ไม่ว่าจะเป็นเสียงจากใบไม้ไหว, สายน้ำหลั่งริน, ลมผ่านภูผา, ดอกหญ้าไหวเอน ฯลฯ หรือแม้กระทั่งคลื่นเสียงที่มาจากการกระทบกระทั่งกันของพลังจิตในมนุษย์แต่ละคน และเพื่อให้เห็นภาพโลกแห่งคลื่นเสียงนี้ง่ายๆ พี่ชายอยากให้เราลองนึกถึงว่าเรากำลังอยู่ท่ามกลางวงโอเปร่าอยู่นะครับ โดยทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้คือ "เครื่องดนตรี" ที่กำลังบรรเลงประสานเสียงกันอยู่ รวมทั้งเราเองก็คือ "เครื่องดนตรีชิ้นหนึ่ง" ซึ่งบรรเลงประสานอยู่้ด้วยตลอดเวลา ทีนี้  เครื่องดนตรีแต่ละชิ้นมีท่วงทำนอง หนักเบา, ค่อยดัง, สูงต่ำ, โดดเด่นไม่เท่ากันครับ เราเองก็อาจกลายเป็นเพียงเครื่องดนตรีชิ้นเล็กๆ ที่ไม่ค่อยได้มีผลกับการบรรเลงของวงดนตรีนี้ทั้งวงมากนักเลยหรือบางคนอาจเ็ป็นเหมือนเครื่องดนตรีชิ้นสำคัญมาก และมีผลต่อการบรรเลงในวงดนตรีนี้มาก เอาละ ทีนี้ คำถามก็คือ "แล้วทำอย่างไรเราจึงจะมีสิทธิ์มีเสียง มีพาวเวอร์ในวงดนตรีนี้ได้มากขึ้นละ?" หรือ "จำเป็นไหมที่เราจะต้องเด่นดังที่สุดอยู่ตลอดเวลา?" คำตอบคือ เราไม่จำเป็นที่จะต้องโดดเด่นตลอดเวลาก็ได้ เพราะวงดนตรีนั้น "มีจังหวะของมัน" มันย่อมมีขึ้นมีลง เราเหมือนเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่งย่อมมีขึ้นมีลง เฉกเช่นกันครับ


อย่างที่สอง พี่ชายจะกล่าวถึง "เคล็ดลับในการทำให้พลังของเรา ซึ่งเป็นเหมือนเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่ง" ส่งผล หรือมีอิทธิพลต่อทั้งวงได้มากขึ้น เรียกว่าเราจะได้มีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น นั่นเอง ตามจังหวะโอกาสที่ควร ที่พร้อม ที่เหมาะสม นะครับ เมื่อจังหวะโอกาสนั้นมาถึงแล้ว มันก็เป็นทีของเราที่จะเล่นดนตรีของเรา ให้ได้ดีที่สุด ดังที่สุดและโดดเด่นที่สุดครับ คำถามคือ "แล้วทำยังไงเล่า?" อย่างนี้ครับ ถ้าคุณจะเป็นนักดนตรีที่ดีได้ อย่างแรก คุณต้องเริ่มจากการฟังให้เป็นก่อน ฟังให้ออกว่าเขาเล่นดนตรีบทไหน? เพลงอะไรกันอยู่? คุณจึงจะร่วมบรรเลงกับเขาได้ ใช่ไหมครับ? ดังนั้น เคล็ดลับแรกของพี่ชายคือ "การเงียบเพื่อฟังเสียงทุกสรรพสิ่ง" ครับ (นั่นคือ วิถีกวนอิืม การเพ่งเสียงสรรพสัตว์ นั่นเอง) ซึ่งเราจะฟังทุกคลื่นเสียงนะครับ ไม่ว่าจะได้ยินหรือไม่ได้ยิน ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตอยู่ก็ตาม เมื่อเราเงียบ เราปิดปาก เราสงบปากสงบคำแล้ว เราจะ "เปิดใจ" ของเราครับ ย้ำนะครับว่าเราจะใช้ใจในการฟัง ไม่ใช้หูในการฟังนะครับ เมื่อเราปิดปากแล้วเปิดใจฟัง เราก็จะค่อยๆ จับเสียงอะไรก็ได้ที่ใจเราสัมผัสได้ง่ายที่สุดก่อน แล้วค่อยๆ พัฒนาไปจนได้ยินเสียงมากมายที่ละเอียดยิ่งๆ ขึ้นไปครับ เอาละ ทีนี้ เราก็จะเริ่ม "ฟังออกแล้วว่าโลกกำลังบรรเลงเพลงอะไร" เราจะเข้ามาดู "ตัวโน้ตเพลงของเรา" บ้าง ว่าเราได้รับ "บทเพลง" อะไร และเราจะต้องเล่นเพลงในบทบาทอย่างไร? เราเห็นความไม่เที่ยง ขึ้นๆ ลงๆ คือ "จังหวะของโลกจังหวะของชีวิต" ชัดเจนแล้วเราปรับตัวเข้ากับจังหวะเหล่านั้นได้แล้ว เรากำลังจะประสานเสียงเครื่องดนตรีของเรา เข้ากับเสียงดนตรีของโลกครับ เมื่อเราเล่นไม่เป็น มันไม่มีอะไรผิดเลยครับ ก็แค่กลายเป็น "เสียงประกอบเล็กๆ" ก็เท่าันั้นเอง แต่เมื่อใดเราเิริ่มเล่นเป็นแล้ว เราก็จะกลายเป็น "เครื่องดนตรีชิ้นสำคัญไปได้ในที่สุดครับ


เอาละ นี่คือ เคล็ดวิชาพิณเก้าอิมเชียวนะ ซึ่งการฝึกใช้พิณให้เกิดผลนั้น นับเป็นขั้นพื้นฐานของวิชานี้ แต่เมื่อใดที่เราได้เคล็ดวิชาของท่านต๊กโกวฉิวไป่ (ฝึกถึงขั้นไร้กระบี่) เราจะสามารถใ่ช้พลังเสียงนี้่ได้โดยไม่้ต้องมีเครื่องมือ หรือเครื่องดนตรีใดๆ แม้แต่พิณก็ไม่มี แม้แต่เน็ต ก็ไม่ต้องใช้ การสื่อสาร การพูดใดๆ ก็ไม่ต้องมีครับ "มันคือเสียงเงียบที่ทรงพลังอันสมบูรณ์" และจะมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อโลกนี้ทั้งโลกเลยละครับ โฺ่ฮ่ๆๆ โอเว่อร์เกินไปป่าวเนี่ย? ฮ่าๆๆ ไม่รู้สินะ ของอย่างนี้ มันต้องทดลองก่อนถึงจะทราบผลการทดลองได้ เอาละ พี่ชายเม้าท์มาจนดึกพอควรแล้ว เห็นทีจะต้องไปพักก่อน มีธุระต้องทำด้วย ราตรีสวัสดิ์ครับ