วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2556

ด่านสำคัญที่คุณต้องผ่านก่อนระเบิดพลังพิเศษออกมาใช้ เป็นอย่างไร?

มีเรื่องเม้าท์ด้วยละ พอดีพี่ชายไปอ่านเจอคนที่มาทางพราหมณ์แล้วก็เคร่งเกินไป ไม่ค่อยยอมปรับหรือยืดหยุ่นแนวทางการปฏิบัตินัก ก็เลยกำลังกลายเป็นเรื่องใหม่ที่สนใจอยู่ตอนนี้ ซึ่งพี่ชายเองก็เคยปฏิับัติในสายพราหมณ์มาเหมือนกัน คือ สายพราหมณ์ที่สืบมาจากอินเดีย โดยคนไืทยนะครับ พี่ชายจึงได้ฝึกบูชาไฟ ตามขั้นตอนแบบอินเดีย แล้วก็ ได้แอบฝึกเป็นโยคีชีเปลือยด้วยแต่ถ้าพี่ชายฝึกแบบไม่รู้จักปรับเข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เป็นไทยเลย ป่านนี้พี่ชายคงถูกตำรวจจับในข้อหา "โชว์บิ้กโค้ก" ไปแล้ว ฮ่าๆๆ เพราะตำรวจหรือใครๆ ก็ชอบจับบิ้กโค้กกันทั้งนั้น ไม่เชื่อลองโชว์บิ้กโค้กให้ตำรวจดูสิ ตำรวจต้องจับแน่ๆ เลยอ่ะ หุๆ เอาละ มาเข้าเรื่องของเราดีกว่าครับ บทความวันนี้เรื่อง "ด่านสำคัญ" ก่อนที่เราจะระเบิดพลังพิเศษออกมาใช้ ซึ่งทุกท่านก่อนที่จะดึงพลังพิเศษออกมาใช้ได้ ต้องผ่านด่านนี้ทุกคนครับ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 


อย่างแรก พี่ชายอยากจะปูพื้นฐานก่อนเรื่อง "ด่านที่สำคัญ" ซึ่งพี่ชายไม่รู้จะใช้ศัพท์เรียกว่าอะไรดี มันเหมือน "สภาวะที่ไม่ดีบางอย่าง" ซึ่งจะเกิดขึ้นก่อนพลังพิเศษจะถูกปลุก ตื่นขึ้น แล้วทำงานครับ ตัวอย่างเช่น บางคนได้รับอุบัติเหตุรุนแรงก่อน, กระทบกระเทือนจิตใจรุนแรงก่อน, ป่วยหนักก่อน, เจ็บปวดบางส่วนผิดปกติก่อน ฯลฯ หรืออาจเ็ป็น อะไรก็ได้ ซึ่งเราไม่อาจคาดคิดได้ครับ ทั้งหมดนั้นเป็นผลมาจากพลังพิเศษที่อยู่ในตัวเรา ซึ่งมันถูก "ปิดผนึกไว้นาน" ซ่อนอยู่ลึก มันกำลังตื่นขึ้น ถูกปลุกให้ออกมาน่ะครับ ช่วงที่มันกำลังจะออกมานั้นเอง มันก็จะเกิดเหตุกับเราได้ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้จะสอดคล้องกับพลังพิเศษที่เกิดขึ้นนั้นๆ ด้วย เช่น บางคนหลังประสบอุบัติเหตุ กลายเป็นคนที่มีพลังจิตในการหยั่งรู้ภัยก่อนล่วงหน้า, บางคนหลังป่วยหนัก กลายเป็นคนที่มีพลังฟื้นฟู-รักษาโรค, บางคนหลังปวดไมเกรน กลายเป็นคนมีปัญญาญาณมากพิเศษ, บางคนหลังปวดตาอย่างหนัก กลายเป็นคนมีตาทิพย์ได้, บางคนหลังเจ็บปวดใจเพราะความรัก กลายเป็นคนมีพลังใจเข้มแข็งพิเศษ ฯลฯ น่านละ คือ "ด่านสำคัญ" ที่พี่ชายกำลังบอกว่ามันคือสิ่งที่เราจะต้องผ่านมันไปให้ได้ แล้วพลังพิเศษที่ถูกปิดผนึกไว้ในตัวเรา มันก็จะถูกปลุก ถูกกระตุ้น ดึงออกมาใช้ได้ในที่สุดครับ ยังมีบางท่านที่ผ่านเหตุการณ์เหล่านี้แล้ว "บรรลุธรรม" ก็มีครับ เอาเป็นว่าอาจมีพลังพิเศษอะไรบางอย่างก็แล้วกัน ไม่ว่าจะเป็นทางบู๊หรือบุ๋นนะครับ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เป็นแบบนี้แล้ว จะได้รับพลังพิเศษนะครับ มันจะต้องเข้าทางของมันด้วย เพราะบางคนผ่านสิ่งเหล่านี้มาโดยไม่ได้รับอะไรเลยก็มีครับ เราไม่อาจสรุปได้ทั้งหมด เอาเป็นว่าถ้าใครกำลังเป็นอยู่ เช่น บางคนก็เหมือนบ้าๆ เหมือนเพี้ยนๆ เรียกว่าใกล้จะถูกจับเข้าโรงพยาบาลบ้าแล้ว ก็อย่าเพิ่งตกใจ อาจผ่านด่านได้แล้วได้พลังพิเศษได้ครับ พี่ชายเขียนไว้เพื่อบอกกับคนที่กำลังจะผ่านด่านเหล่านี้อยู่ ให้่มีกำลังใจไปต่อให้ผ่านด่านให้ได้ แล้วจะหายจากอาการเหล่านี้ 


อย่างที่สอง จะเริ่มเข้าสู่ระดับ advance แล้วนะครับ ในระดับนี้ บางคนอาจผ่านมาได้ด้วยตัวเองไม่ต้องมีใครช่วย แต่ถ้าบางคนได้รับการช่วยจากผู้ที่มีความรู้ มีความชำนาญ ก็จะดีไม่น้อยนะครับ เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงจากปัญหาการหลงทางผิดไปได้ ยกตัวอย่างเช่น พี่ชายได้เคยคุยกับคนๆ หนึ่ง เขาเล่าว่าเขาไปเรียน "มูลกัจจายน์" มา (เป็นการเรียนภาษาบาลีสัณสกฤติอะไรประมาณนั้น) แล้วเขาไม่สำเร็จ ทำท่าว่าจะบ้าไปสองปี แล้วจึงเลิกเรียนไปครับ เขาเลยเรียนไม่สำเร็จ แต่ก็ไม่บ้า หยุดกระบวนการไปได้ก่อน (ถ้าเขาผ่านด่านบ้าได้ ไม่แน่นะว่าเขาอาจกลายเป็นอัจฉริยะไปเลยก็ได้) ดังนั้น การได้ัรับการช่วยเหลือให้ผ่านด่านไปได้ จึงดีกว่าการหยุดแล้วจบลงกลางคันเพราะการหยุดแล้วจบลงกลางคันนั้น เราไม่เสี่ยง ไม่เป็นอะไรไปกว่านั้นก็จริง แต่เราก็จะไม่ไ่ด้อะไรจากสิ่งที่เราต้องทนทรมานผ่านมานั้นเลยครับ เรียกว่า เราโดนทดสอบด้วยอะไรที่ยากแก่การอดทนแล้วก็หยุดกลางคัน โดยไม่้ได้อะไร สอบไม่ผ่านนั่นเอง อีกประการหนึ่ง หลายคนที่มีอาการบ้า มักได้รับการรักษาจากโรงพยาบาลบ้า แต่พี่ชายพบว่าอัตราการหายจริงๆ นั้น น้อยมากเหลือเกิน จนพี่ชายไม่แน่ใจว่า วิธีการรักษาของแพทย์แผนปัจจุบัน (เช่น ใช้ยาควบคุมสารในสมอง) จะำทำให้คนไข้หายได้จริงๆ หรือไม่? ถ้าคนไข้่ไม่หาย หมอจะรับผิดชอบอะไรบ้าง? หรือกล่าวเพียงว่า "เป็นธรรมดา คนบ้าก็ไม่หายง่ายๆ อย่างนี้แหละ" เพราะแท้จริงแล้ว การรักษาของหมอแผนปัจจุบัน คือ การใช้ยาเพื่อควบคุมระบบการทำงานของสมอง แต่ไม่เคยสนใจเลยว่่า "จิตใจของคนไข้" ได้รับอะไรมาบ้าง มีอะไรอยู่เป็นปมในใจบ้าง ซึ่งหมอจะส่งไปให้ฝ่าย "จิตวิทยา" ดูแลอีกทีครับ ทว่าฝ่ายจิตวิทยาส่วนใหญ่จะจบมาทางจิตวิทยา ซึ่งไม่ได้เีรียนแพทย์มา ถ้าใช้จิตวิทยากับคนปกติ ก็ทำ ได้ครับ แต่พอนำมาใช้รักษาคนไข้ มันเลยกลายเป็นการเรียนรู้ร่วมกันไป ไม่ใช่การรักษาเสียนั่น แต่ว่่า ในโรงพยาบาลที่มีวิทยาการสูงๆ จะเริ่มสนใจการแพทย์ที่กว้างขึ้น มากกว่าแค่การแพทย์แผนตะวันตก ที่เขาเรียกว่า "การแพทย์ทางเลือก" นะครับ คนไหนที่ยึดแต่การแพทย์แผนตะวันตก แสดงว่าเรียนมาแคบครับ คนไหนใจกว้าง เข้าใจหลักการแพทย์ได้หลากหลาย แสดงว่าเรียนมาเริ่มสูงแล้วครับ ฮ่าๆๆ มันก็เป็นอย่างนี้จริงๆ ไม่เชื่อลองไปคุยกับศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ดูก็ ได้ ส่วนคนบางคนที่ทำตัวเหมือนเป็นผู้รู้มาก แต่ดันยึดการแพทย์แบบแขนงเดียวไปไล่ด่าคนนั้นคนนี้ว่าบ้าก็ช่างเขาเถอะึครับ ปล่อยให้โลกแคบต่อไป ถ้าใครมาหาพี่ชายๆ ก็บอกว่าไม่ใช่หมอ รักษาไม่ได้ แต่จะเป็นเพื่อนเขาครับ เราคือเพื่อนมนุษย์ ไม่ต่างกัน คุณจะบ้าหรือไม่ ก็ไม่ต่างจากใครทุกคนบนโลกนี้ เรามาเรียนรู้เพื่อการพัฒนาไปพร้อมๆ กันครับ และพี่ชายเชื่อว่า "มันไม่ใช่ความบ้า" มันเป็นเพียงด่านสำคัญที่จะต้องผ่านไปให้ได้ อย่าจมปลักอยู่กับมันตลอดไป แล้วคุณจะได้พบกับโลกใบใหม่ ที่รอคุณอยู่ คุณคือผู้มีพลังพิเศษที่จะใช้สร้างสรรค์ให้โลกนี้น่าอยู่ต่อไป นี่ไม่ใช่คำปลอบใจ แต่เป็นความจริงที่เกิดขึ้นครับ


เอาละ พี่ชายมีธุระไปจีบสาวๆ เอ้ย ไม่ช่าย มีธุระไปเม้าืท์่ต่อเว็บอื่นๆ เลยไม่กวนเวลาผู้อ่านมากแล้ว สรุปสั้นๆ คือ "ถ้าพบเจอด่านสำคัญก็พยายามผ่านมันไปให้่ได้" แล้ว "พลังพิเศษในตัวคุณ มันจะตื่นขึ้นมาทำงานเอง" นะครับ สำหรับวันนี้ ขอจบเพียงเท่านี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ



วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2556

เคล็ดลับการฝึกลมปราณแบบ "ไม่หายใจ" จากพระธิเบต

ปกติ พี่ชายไม่่ค่อยเขียนเรื่องวิธีฝึกพลังจิตอะไรมากนัก เพราะไม่ค่อยดี ถ้าใครมาอ่านแล้วไปฝึกเอง ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมา ไม่มีึครูดูแล ก็จะมีปัญหา ลำบาก หาทางแก้ไม่ได้ครับ ก็เลยไม่ค่อยบอกวิธีมากนัก ทั้งที่พี่ชายก็เคยใช้หลายวิธีครับ แต่อย่าไปยึดตัววิธีเลยครับ เน้นเป้าหมายดีกว่าเพราะว่านะ "จิตตรงเป้าหมาย อะไรก็เป็นมรรค" ครับ เคยอ่านมาเรื่องของ "ปรศุราม" ที่เขา้ต้องเลือกระหว่าง "ผล" กับ "มรรค" น่ะครับ สุดท้าย ปรศุรามเลือก "มรรค" เขาเลยมีมรรควิธีในการฝึกจิตมากมาย แต่เขาก็ไม่บรรลุธรรมครับ เพราะเขาไม่ได้เลือกผลอย่างไรละครับ นี่พี่ชายจึงบอกว่าอย่าไปยึดมรรควิธีอะไรมาก ทำๆ แค่พอเป็นพิธี หรือทำปูพื้นฐานไปก็พอ แล้วทำจิตให้ตรงลัด ตัดทางอ้อม ตรงผล บรรลุธรรม ไปเลย ไม่อย่างนั้น จะเหมือนปรศุราม ที่มีมรรคมากมาย แต่ไม่ได้ผลที่จะบรรลุธรรมอะไรเลย เอาละ มาเข้าบทความของเราวันนี้กัน เป็นเรื่องของ "มรรควิธีลับของพระธิเบต" ที่พี่ชายได้มาจากอาจารย์ และนำมาฝึกต่อ จนได้แบบของตัวเองอีกอย่างหนึ่งต่างไปจากเดิม ดังต่อไปนี้


อย่างแรก ผมต้องขอปูพื้นก่อนว่า เรื่องนี้ผมได้มาจากอาจารย์ ซึ่งสอนให้ผมอีกทีท่านได้ไปเรียนรู้มาจากทางธิเบตแล้วจึงได้ถ่ายทอดใ้ห้ผม ท่านบอกว่าเป็นเคล็ดวิชา ท่านพูดเพียงว่า "ลองกลั้นหายใจสิ" เท่านี้ แหละครับ เพราะฉะนั้น ส่วนที่เป็นเคล็ดลับที่ผมได้จากอาจารย์ ซึ่งได้มาจากสายธิเบตอีกที ก็มีเพียงเท่านั้นเอง แต่สิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ เกิดจากการปฏิบัติของผมเอง ซึ่งถ้าท่านไหนไม่แน่ใจ ไม่เชื่อมั่น ก็ไม่ต้องทำตามนะครับ เอาแ่ค่เคล็ดวิชา "ลองกลั้นหายใจดูสิ" ไปคิดเอง ก็แล้วกัน ส่วนผมจะขออนุญาติอธิบายต่อไปถึงการฝึกของผม โดยผมได้ทดลองกลั้นหายใจดู แล้วรู้สึกถึงการเคลื่อนไหลของปราณภายใน ค่อนข้างชัดมากทีเดียว แต่ไม่ได้เคลื่อนไหลตามลมหายใจ ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้ผ่านรูจมูก แต่มันผ่้าน "ทุกรูขุมขน" นะครับ ผมฝึกแ่ค่สั้นๆ ไม่ได้ฝึกแบบทรมานตัวเอง ไม่ได้ทำทุกขกริยาครับ เพราะการทำแบบนั้น ไม่เกิดประโยชน์อะไร ผมเลยกลั้นหายใจเพียงสั้นๆ ไม่ให้มันเป็นอันตรายครับ จากนั้น ผมก็สังเกตุพบการเึคลื่อนของปราณผ่านรูขุมขน  จากนั้น ผมก็สงสัยอีกว่า ถ้าเราจะฝึกมากๆ ให้มากขึ้นจะทำอย่างไร? ก็ทำให้เกิดประกายความคิดขึ้นมาว่า ก็ฝึกระหว่างหายใจสิ คือ เวลาเราหายใจเราก็กลั้นหายใจไป สลับกันอย่างเป็นจังหวะ และอ่อนโยน ไม่ทำทุกขกริยา ทำให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเมื่อเราหายใจเข้าสุดๆ แล้ว ให้เรากลั้นหายใจชั่วครู่ เท่าที่เราพอไหว อย่าฝืน อย่าทำให้ทรมาน สำคัญมากครับ เพราะถ้าฝืนมากเกินไป พลังจิตจะดำได้ ทำแบบผ่อนคลาย สบายๆ เหมือนเรากำลังทำสปาให้ตัวเราเองเลยนะ พอกลั้นหายใจเราก็นึกเหมือนเราหายใจออกตามปกติ แต่ทีนี้ เราจะไม่ออกจากรูจมูก ให้เรานึกว่าออกทางรูขุมขนแทนครับ แผ่ซ่านไป ทั่วทุกรูขุมขนทั่วร่าง แล้วค่อยหายใจออกจริงๆ ทำหลายๆ ครั้ง มันจะรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง โล่งสบาย ภายในครับ จากนั้น ให้หายใจออกสุดๆ แล้วกลั้นหายใจไว้บ้าง ระลึกเหมือนว่าเรากำลังหายใจเข้าตามปกติ แ่ต่ไม่ได้เข้าทางรูจมูก ให้เข้าทางรูขุมขนทั่วร่าง แผ่ซ่านไป เราจะรู้สึกแช่มชื่น จากภายในเหมือนมีพลังธรรมชาติ ไหลเข้ามาครับ เอาละ ทำซ้ำๆ จนรู้สึกดีนะครับ แต่ให้เลือกทำในที่ๆ อากาศดีครับ


อย่างที่สอง ผมจะเริ่มเข้าสู่ระดับสูงขึ้นแล้วนะครับ หลังจากที่คุณได้ทดลองทำแล้ว รู้สึกดี ไปได้ ใช้ได้ คุณก็จะค่อยๆ พัฒนาต่อไปในขั้นสูง ซึ่งในขั้นสูงนี้ เราจะใช้ "จิตนำกาย" และใช้กายให้น้อยที่สุด ใช้กายให้ปกติที่สุด จนเหมือนว่ากายนี้มิได้ฝึก ไม่ได้ทำ ไม่ได้ยึดถือสิ่งที่ฝึกอยู่เลยครับ เอ๊ะ มันเป็นยังไง? ก็อย่างนี้่ครับ ตอนเราฝึกหายใจโดยไม่หายใจไปนั้น เรารู้สึกได้ถึงการเคลื่อนที่ของลมปราณผ่านทุกรูขุมขน ทั้งเข้าและออกใช่ไหมครับ ทีนี้ เราจะหายใจตามปกติ แต่เราจะใช้จิตนี่แหละ นำทางให้ลมปราณเคลื่อนแบบนั้น โดยไม่ต้องกลั้นหายใจเลย คือ หายใจปกติเลย แต่ทำให้รู้สึกเหมือนเราฝึกตอนนั้นละ เอาละ ง่ายดีไหม? ดังนั้น จิตของเราจะไม่รวมที่จมูกนะครับ เราจะรวมที่กลางกาย ที่หัวใจครับ เหมือนมีพระอาทิตย์อยู่ที่ดวงใจ หัวใจของเรา แล้วแผ่รัศมีสว่างออกทั่วทุกรูขุมขน เมื่อเราหายใจออก และพลังธรรมชาติของโลกไหลเข้ามาเมื่อเราหายใจเข้า รวมที่หน้าอก แค่นั้นเอง เอาละ ทีนี้ เมื่อเราฝึกจนชำนาญแล้ว เราก็จะไม่กำหนดสัญญาในใจเรา ให้จดจำหรือระลึกอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปเองตามธรรมชาติ แต่ให้มันเกิดขึ้นเองครับ เช่น เมื่อเราหายใจเข้า เราสัมผัสได้ถึงพลังธรรมชาติรอบตัวไหลเข้ามาที่หัวใจเรา เมื่อเราหายใจออกเราสัมผัสได้ถึงพลังแสงสว่างของเราที่แผ่ไปรอบตัวสู่ธรรมชาติ เราก็จะเหมือนมี "หัวใจดวงเดียวกับโลกหรือจักรวาล" ไงครับ แต่ถ้าเราแย่ เราหมดพลังมากๆ เราก็ใช้่วิธีปั้มพลังเข้าหัวใจเรา โดยกลับไปใช้วิธีที่เราทำได้ดีในขั้นต้นๆ ก็ได้ครับ และ้ถ้าเรารู้สึกอึกอัด พลังแปรปรวน หรือพลังงานไม่ดีอยู่ในตัวเรามาก เราก็ใช้วิธีหายใจออกเพื่อชำระล้างพลังภายในของเราให้สว่างไสวได้ครับ เท่านี้ เราก็จะใช้การหายใจที่ปกติได้ ซึ่งจะแตกต่างจากอานาปานสตินิดหน่อย ตรงที่ว่า อานาปานสตินั้น จิตจะรวมที่ปลายจมูก บางครั้ง เราฝึกจนชำนาญมากๆ จนเรารู้สึกเหมือนไปยืนอยู่ปลายจมูก มีลมพายุพัดโหมเข้ามา แทบตกใจแย่เลยครับ จริงๆ เราจิตเราไปรวม ไปรับรู้ตรงปลายจมูกนั้น เท่านั้นเอง ก็เลยตกใจเหมือนพายุพัดเข้าสู่ตัวเรา หรือบางคนก็รู้สึกถึง "ลมหายใจดับ" ที่เกิดจากการเข้าสมาธิลึก ทำให้ลมหายใจหยุดไปชั่วขณะ แล้วตกใจ นึกว่าจะขาดอากาศหายใจตาย เป็นไปได้เหมือนกันครับ แบบนี้ พี่ชายผ่านมาหมดแล้ว แหะๆๆๆ เลยไม่สนุกละ เปลี่ยนมาเล่นอีกแบบดูมั่ง ซึ่งไม่มีอะไรผิดหรอกครับ แค่เรามีเป้าหมายฝึกพละห้า แล้วมันได้ โดยไม่ทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพของเราตอนฝึก ก็โอเคละ


เอาละ วันนี้ พี่ชายมีเรื่องต้องไปลุย เอ้ย ไม่ช่าย ไปช่วยคนอื่นทางเว็บนิดหน่อย ติดตามสถานการณ์ทั่วไปจะได้ทันเหตุการณ์กะเขามั่งก็เลยมาเร็ว เคลมเร็ว กลับเร็ว จบเร็วอ่ะ พบกันใหม่ฉบับหน้าราตรีสวัสดิ์ครับ




วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

ใช้พลัง "จิตสังหรณ์" และลางสังหรณ์อย่างชาญฉลาดได้อย่างไร?

แปลกดีช่วงนี้ หายจากหนาวมาร้อนไม่ทันไร จู่ๆ ฝนก็เทลงมาซะเฉยเลย พอฝนตกลงมา อุตุนิยมวิทยาก็พยากรณ์ว่า "ฝนจะตกจ้า" ตามเคย ก่อนหน้านี้ ไม่ได้พยากรณ์อย่างนี้ เห็นแล้งกันจัด เตรียมขอฝนหลวง ทำฝนเทียมกันวุ่นไปหมด โฮ่ๆๆ ตลกดี อย่าซีเรียสครับ ล้อกันเล่นเล็กน้อยเท่านั้น พอเป็นกระษัย เอาละ มาเข้าเรื่องของเราในวันนี้กัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับ "จิตสังหรณ์" และความเชื่อของคนไทยโบราณที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับจิตสังหรณ์เหล่านี้ ดูว่าจะเชื่อถือได้แค่ไหนนะครับ พี่ชายก็เลยเอ้า ไม่รู้จะเม้าืท์อะไรดี เอาเรื่องนี้ละ มาเม้า์ท์แล้วกัน


อย่างแรก พี่ชายอยากปูพื้นฐานก่อนนิดหน่อย เรื่องที่จะเม้าท์ในวันนี้ เพราะจะได้ไม่พูดกว้างเกินไปเอาเป็นว่าพี่ชายจะพูดในกรอบเล็กๆ ไปก่อน แล้ววันหลังถ้าโอกาสดีค่อยเม้าท์มากกว่านั้นไป คือ พี่ชายจะมาเม้าท์เรื่องเกี่ยวกับความเชื่อของคนไทยโบราณที่เกี่ยวข้องกับลางสังหรณ์ พอพูดเรื่องนี้ขึ้นมา มันจะมีคนสามแบบครับ แบบที่หนึ่ง คือสุดโต่งไปทางปฏิเสธ ไม่เืชื่อเลย แบบที่สอง คือ สุดโต่งไปทางเชื่อสุดๆ อย่างงมงาย แบบที่สาม คือ กลางๆ เอาละ พี่ชายไม่ได้ว่าอะไร เรามาดูให้ละเีอียดดีกว่าว่าเรื่องนี้เป็นมาอย่างไร อย่างเช่น คนไทยโบราณเชื่อว่าจิ้งจกทักให้รู้จักฟัง แต่ภายหลังคนไทยถึงยุคเสื่อมไม่เข้าใจก็คิดไปว่า "จิ้งจกทักห้ามออกจากบ้าน" ไปเสียอย่างนั้น แท้แล้วเขาเอาไว้สอน "ผู้นำ" ครับ ผู้นำที่มีอำนาจบางครั้ง ไม่ค่อยฟังใคร เขาเลยสอนให้รู้ัจักฟังคำเตือนของคนอื่นๆ บ้าง ไม่รู้จะสอนอย่างไรดี ก็เลยเอาว่า "จิ้งจกทักให้รู้จักฟัง" ภายหลัง เราไม่เข้าใจ ก็เลยเกิดคนสุดโต่งแบบที่สองคือ เชื่ออย่างงมงายโดยไม่เข้าใจ นัยยะแอบแฝงที่คนไทยโบราณเราสอนแบบเนียนๆ กันมา ก็เลยไปตีความเอาว่าถ้ามีจิ้งจกทัก ก็อย่าออกจากบ้าน ไปเสียอย่างนั้น นอกจากนี้ ยังมีอะไรที่ดี มีค่าอีกมาก ที่คนไทยโบราณสอนลูกหลานให้เป็นผู้นำ ผู้ปกครองที่ดี ผ่านเรื่องแบบนี้แหละ ทั้งยังมีเทคนิคการสื่อสารกับเทพเทวดาด้วย เช่น การที่เราเชื่อเรื่อง "ตาเขม่น" บางคนเชื่อว่า ตาเขม่นด้านขวาจะร้าย ด้านซ้ายจะดี อย่างนี้ก็มี ถามว่ามันจริงไหม? มันคืออะไร มันก็คือการที่เราสื่อสารกับเทพเทวดาประจำตัวเรา โดยส่งซิกให้กันน่ะแหละว่า ถ้าจะเกิดเรื่องไม่ดี ให้ท่านช่วยทำให้เราเขม่นตาขวานะ แต่ถ้ามีเรื่องดี ก็ขอให้ท่านช่วยทำให้เราเขม่นตาซ้่ายนะ อะไรแบบนั้น มันคือ เทคนิคการสื่อสารกับเทพประจำตัว ก็แค่นั้นเอง ทีนี้ เราก็ต้องใช้วิธีนี้ อย่างมีวิจารณญาณด้วย ไม่ใช่สุดโต่งไปทั้งสองทาง คนที่ไม่เชื่อเลย ก็จะไม่มีวิธีสื่อสารกับเทพประจำตัว อดได้ของดีที่คนไทยโบราณสอนไปเลย ส่วนคนที่เชื่อแบบงมงายก็จะใช้่ไม่เป็น เขม่นทีไรก็เชื่อไปหมด  (บางครั้ง เราส่งซิกกับเทพประจำตัวก่อน แล้วท่านจึงส่งสัญญาณให้เราครับ แต่ถ้าเราไม่ได้ส่งซิกก็เป็นเรื่องอื่น ไม่ใช่เรื่องนี้) ทั้งหมดนี้ มันเกี่ยวข้องกับ "พลังจิตสังหรณ์" และ "ลางสังกรณ์" ของเราครับ ถ้าเรามีปัญญาที่จะนำมาใช้ ก็จะใช้ได้ดีทีเดียว แต่ถ้าสุดโต่งไปสองทาง ละก็ ไม่มีประโยชน์รังแต่จะนำโทษมาให้เราอีกนะครับ พอเข้าใจนะครับ


อย่างที่สอง พี่ชายก็จะค่อยๆ เม้าท์ให้ลึกขึ้นไปอีกนิดอย่างที่บอกแล้วว่าบางครั้ง "ความเชื่อของคนไทยโบราณ" มันก็เหมือนเคล็ดวิชาลับหรือเทคนิคอะไรบางอย่าง ซึ่งถ้าเรารู้จักใช้จะช่วยทำให้เราใช้ "ลางสังหรณ์และพลังจิตสังหรณ์" ของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ก็เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมาก เพราะคนไทยโบราณเป็นคนที่ใช้จิตสังหรณ์เป็นครับ ใช้เป็นกันเยอะมาก แพร่หลายเลยละ เพียงแต่ว่าเขาจะมีวิธีที่นำมาใช้อย่างไรให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ อย่างเหมาะสมก็เท่านั้น ซึ่งการใช้จิตสังหรณ์ในชีวิตประจำวันนี้ แม้แต่ชาวนา ก็พบได้ครับ คิดดูขนาดชาวนา ยังใช้พลังจิตสังหรณ์เป็นเลย เช่น การจะทำนา ต้องดูว่าน้ำจะมามากหรือน้อย ต้นปีหรือปลายปี อะไรแบบนั้น ซึ่งชาวนาในสมัยโบราณจะเก่งมาก เรื่องการดูลม, ดูฝน, ดูฟ้า แถมพยากรณ์ได้เก่ง ทำนายได้เก่งมากๆ เลย สมัยพี่ชายยังเด็กๆ ไม่ต้องมีทีวีพยากรณ์ให้เราหรอกครับ คนเฒ่าคนแก่นี่แหละ ถ้าแกบอกว่าเดี๋ยวฝนจะมานะ อีกวันสองวัน ก็มาจริงๆ ครับ แต่ถ้าแกบอกแล้งแล้วฝนไ่ม่มาแล้ว หมดละ  ก็หมดจริงๆ แฮะ สุดยอดไหมละครับ ทีนี้ คนไทยโบราณเีนี่ย ทิ้งมรดกไว้ให้เราเป็น "ขุมทรัพย์ทางปัญญา" เยอะแยะ บางอย่างเราไม่เข้าใจก็จะมองว่าบ้า หรือผิดเพี้ยนไปได้ ไม่ต่างจากชนชาติอื่นๆ หรอก เช่น ใครจะไปรู้ว่าชนชาติแม้วอาจจะเป็นพวกขุนนางสมัยโบราณที่ช่วยรบให้กษัตริย์ตั้งราชวงศ์ก็ได้ ดังนั้น ภูมิปัญญาของพวกเขา ย่อมไม่แพ้ อำมาตย์หรือระดับนายกเลยครับ แล้วพอเขารบแพ้ หรือเสียเมืองไป ก็อาจหนีภัยสงครามออกมา ก็กระจายอยู่ในประเทศต่่างๆ พร้อมนำเอาภูมิปัญญาของพวกเขามาด้วย ไม่ยอมจำนนขึ้นกับใคร (คิดดู ถ้าเขาไม่ดีจริง ไม่เจ๋งจริง ก็คงถูกกลืนเป็นส่วนหนึ่งของประเทศที่พวกเขาหนีไปอาศัยอยู่แล้วใช่ไหมครับ นี่เขาไม่ถูกกลืนง่ายๆ แสดงว่าต้องมีอะไรดีติดตัวมาบ้างแน่ๆ) เราอย่าเพิ่งไปสบประมาท มองเขาในแง่ลบ หรือมีอคติกับเขามากเกินไป เพราะเราอาจไม่รู้ซึ้งถึงภูมิปัญญาอะไรบางอย่างที่พวกเขาสืบทอดมาเลยก็ได้ เปิดใจให้กว้างแล้วมองอะไรให้ลึกครับ อย่าด่วยสรุปทันทีที่ได้อ่านอะไรมาเพียงผิวเผินเท่านั้น


เอาละ พี่ชายเม้าท์มายาวเลย เกรงจะเกินเวลา ทำให้เด็กๆ นอนช้าจะผลิตประชากรให้ประเทศได้น้อย ว่ะ ฮ่าๆๆ ล้อเล่นนะครับ เอาเป็นว่าไว้พบกันฉบับหน้า สำหรับบทความนี้ ไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรลึกละ อีกอย่างพี่ชายก็ไม่ค่อยรู้ลึุกซึ้งจริงๆ นักหรอก ของพวกนี้ มันโบราณมาก ต้องใช้เวลาศึกษาไม่น้อยทีเดียว ไม่ใช่ของง่ายครับ อย่างไรก็จะลองค้นคว้าต่อไปครับ ถ้ามีโอกาสคงได้เม้าท์ให้อ่านกันต่อไป สวัสดี



วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

ตรวจเช็คตัวท่านเองว่ามี "จิตสำนึก" ของความเป็นมนุษย์ต่างดาวบ้างหรือเปล่า?

บทความวันนี้ ต่อจากเมื่อวานนิดหน่อยครับ คือเรื่อง "จิตสำนึกของความเป็นมนุษย์ต่างดาว" เพื่อที่จะดูว่าพวกเขาแตกต่างจากมนุษย์โลกนี้อย่างไรบ้าง เจาะึลึกลงไปอีกขั้น จะได้นำไปใช้สังเกตุดูให้เห็นจะๆ กะตาไปเลยว่าใครบ้างเข้าข่ายอย่างนี้ครับ อย่่างแรกที่คุณพอจะสังเกตุเห็นได้ชัดๆ คือ มนุษย์ต่่างดาวไม่ว่ามาจากดาวไหน ถ้ามาถึงดาวโลกแล้ว จะมีอาการคล้ายๆ กันอย่างหนึ่งคือ "มีโลกส่วนตัว" ครับ นั่นคืออาการปกติของการดำรงอยู่ในดาวของเขา ซึ่งยังปรับตัวเข้ากับโลกนี้ยังไม่ดีนัก ก็เลยกลายเป็นมีโลกส่วนตัวอะไรแบบนั้น เอาละ ยังมีรายละเอียดอีกมาก ที่จะบ่งชี้หรือสงสัยได้ว่าใครคือมนุษย์ต่างดาวที่แฝงกายอยู่ร่วมกับมนุษย์โลกอย่างแนบเนียนบ้าง ดังต่อไปนี้ครับ


อย่างแรก พี่ชายอยากปูพื้นก่อนว่่าจิตสำนึกของมนุษย์ต่างดาว ที่มาจากดาวแต่ละดวง ไม่เหมือนกัน และนั่นเองที่ทำให้มนุษย์ต่างดาวจะมีลักษณะแตกต่างไปจากมนุษย์โลก แม้จะมาในร่างสังขารของมนุษย์โลกก็ตามแต่พวกเขาก็ยังมีจิตสำนึกตามแบบของดาวเดิมๆ ที่เขาเคยดำรงอยู่ ดังที่เคยเม้าท์แล้วว่า "จิตสำนึกของความเป็นมนุษย์โลก" นี้ เป็นอย่างไรบ้าง คราวนี้ เราจะลองมาดู "จิตสำนึกของมนุษย์ต่่างดาว" กันบ้าง ว่่ามีลักษณะแตกต่างจากมนุษย์โลกนี้อย่างไร ดังต่อไปนี้่ครับ

๑. จิตสำนึกแห่งความระลึกถึงดาวแม่ คือ คุณจะรู้สึกเหมือนว่าโลกนี้ มันไม่ใช่อ่ะ มันทะแม่งๆ หรือไม่ใช่อย่างที่คุณคุ้นเคย หรือไม่ดีในแบบที่คุณรู้สึก แล้วคุณก็จะเริ่มแสวงหา หรือค้นคว้าหรือดาวต่างๆ มากขึ้น จนถึงขั้น รู้สึุกสัมผัสได้ถึง "ดาวแม่" ที่คุณจากมา ก่อนมายังโลกใบนี้

๒. จิตสำนึกแห่งความผูกพันธ์พ่อแม่ คือ คุณจะรู้สึกไม่ค่อยผูกพันกับพ่อแม่บนโลกนี้นัก ห่างเหิน หรือคุณมีโลกส่วนตัว ซึ่งไม่มีพ่อและแม่อยู่ในโลกส่วนตัวของคุณนั้น ถ้าพ่อแม่พยายามเข้ามายุ่งกับโลกส่วนตัวของคุณ คุณก็จะหนี, หลบ และไม่ยอมรับให้เขาเข้ามาในโลกนั้น จนถึงขั้น คุณค้นหาพ่อแม่อีกแบบ และเรียกคนอื่นเหมือนพ่อแม่ได้? เช่น ชอบหลวงพ่อ เรียกท่าน "หลวงพ่อ" ทำตัวเหมือนลูกท่านเลย

๓. จิตสำนึกแห่งความมีโลกเดียวกัน คือ คุณจะรู้สึกได้ถึงว่าใครบ้างที่มีโลกส่วนตัวในแบบคุณ เอาง่ายๆ เลย เหมือนโลกของผู้หญิง โลกของผู้ชาย ที่จะมีแต่เพศเดียวกันเท่านั้นเข้าใจ อะไรแบบนั้น ซึ่งปกติ มนุษย์โลกเขาไม่เป็นกัน เขามีทั้งสองอย่างหยิน-หยาง สมบูรณ์ แต่หนักไปทางเพศตามสังขารของเขา ก็เท่านั้นเอง แต่คุณ ไม่ใช่อ่ะ

๔. จิตสำนึกแห่งภาษาเฉพาะดาวนั้นๆ คือ คุณจะรับรู้และสื่อสารได้อย่างไม่น่าเชื่อกับ "พวกเดียวกัน" ด้วยวิธีใด วิธีหนึ่ง ซึ่งอาจไม่ใช่การใช้ภาษามนุษย์ปกติก็ได้ เช่น ภาษาแปลกๆ หรือภาษาที่ไม่มีตัวอักษรหรือภาษาที่ไม่ต้องใช้เสียงพูดเลยก็ได้ แปลกดีที่คุณจะเข้าใจมันได้ง่ายมาก ทั้งๆ ที่คุณอาจยังไม่เคยเรียนรู้มันมาก่อนเลยแท้ๆ นะเนี่ย?

๕. จิตสำนึกแห่งความเป็นศัตรูต่างดาว คือ มนุษย์ต่างดาวจะมีสิ่งที่ตรงข้ามกับดาวของตัวเอง และจะมีศัตรูต่่างดาวอยู่ครับ หรือไม่ถึงกับเป็นศัตรูแต่มันจะมีพลังงานที่ตรงข้ามกัน อันเป็นไปตามหลักสมดุลของจักรวาลครับ ดังนั้น ทำให้คุณรู้สึกไม่ชอบใครบางคน ได้ง่่ายๆ อย่างไร้เหตุผล เหมือน เด็กช่างกลยกพวกตีกันโดยมิได้นัดหมาย 

๖. จิตสำนึกแห่งการดำรงอยู่แบบเดิมๆ คือ คุณจะรู้สึกไดุ้ึถึงการดำีรงอยู่แบบชาวต่างดาวนั้น แต่ละดาวมีวิถีชีวิต การดำีรงอยู่ ไม่เหมือนกันครับ และเมื่อจิตสำนึกส่วนนี้ทำงานแล้ว มันจะขับดันให้คุณดำีรงชีพในแบบนั้น อันแตกต่่างไปจากมนุษย์โลกครับ เช่น การมีอาชีพเฉพาะที่ทำให้วิถีชีวิตของคุณแตกต่างจากคนทั่วไป เป็นต้น (คล้ายดารา)

๗. จิตสำนึกต่อการต่อสู้ป้องกันตัว คือ คุณจะมีจิตสำนึกในการต่อสู้และป้องกันตัวอันแตกต่่างไปตามแต่ดาวของคุณ เพราะมนุษย์แต่ละดวงดาวก็มีวิธีการต่อสู้ ป้องกันตัว ไม่เหมือนกัน ใช้พลังงานที่ต่างกันไปครับ เหมือนพลังจิตที่มนุษย์โลกมี ยามฉุกเฉิน เช่น ไฟใหม้ ไงละครับ แต่คุณจะไม่อาจดึงมันออกมาได้ ถ้าไม่ตกอยู่ในสถานการณ์นั้นจริงๆ ดังนั้น พลังงานนั้นอาจซ่อนอยู่ลึกๆ ในตัวคุณต่อไปโดยไม่รู้ตัว

๘. จิตสำนึกแห่งค่านิยมเฉพาะ คือ ความรู้สึกว่าสิ่งใดดีงามในสายตาของคุณ อะไรที่คุณชอบเป็นพิเศษ และกลายเป็นค่านิยมร่วมในดาวของคุณ และมันจะเหมือนๆ กันครับ กับมนุษย์ต่างดาวคนอื่นๆ ที่มาจากดาวดวงเดียวกัน และสิ่งนี้เอง ที่จะทำให้คุณรู้สึกได้ถึงความเป็นพวกเดียวกันกับคนอื่นๆ เพราะรสนิยมเหมือนกัน อย่่างไรละครับ

๙. จิตสำนึกแห่งสัจธรรมความจริง คือ ความรู้สึกอันเกี่ยวกับ สัจธรรม, คุณธรรม ฯลฯ ซึ่งเป็นจิตรู้ของคุณเอง อันเป็นพื้นฐานของดาวทุกดวง ที่ผู้อยู่ในดาวดวงนั้น จะมีมาตรฐานนี้เหมือนๆ กันครับ เช่น มนุษย์โลก จะมีคุณธรรมพื้นฐานคือ ความรู้สึกผิดชอบ-ชั่วดี พวกเขาจะมีเหมือนๆ กัน แต่ถ้าเป็นมนุษย์ดาวอื่น หรือบางดาว จะไม่ยึดถือแบบนี้เลยครับ


อย่างที่สอง จิตสำนึกของมนุษย์ต่างดาว ที่มาจากดาวต่างกัน ก็จะมีความแตกต่างกันไปอีกครับ ซึ่งที่ผมนำเสนอให้ดูนี้เป็นเพียงจิตสำนึกร่วมของมนุษย์ต่างดาวเท่านั้น ไม่ได้แยกแยะว่ามาจากดาวดวงไหน? เพราะแต่ละดวง จะมีจิตสำนึกแบบเฉพาะของตัวเอง แตกต่างกันไปอีกครับ ซึ่งผมจะยังไม่อธิบายให้ละเอียดลงไปครับ เอาละ ถ้าคุณเอง มีัอะไรแบบนี้บ้่างแล้ว ก็น่าสงสัยละครับว่าจิตวิญญาณในร่างมนุษย์ของคุณ อาจไม่ใช่จิตวิญญาณของมนุษย์โลกนี้ ซึ่งมันเกิดขึ้นได้ครับ เช่น มนุษย์โลกคนหนึ่งอาจสูญเสียจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์โลกไปแล้วได้รับจิตวิญญาณมนุษย์ต่างดาวเข้ามาแทนที่ โดยไม่รู้ตัว ก็ได้ ไม่แปลกครับ มันเกิดขึ้นได้ เกิดขึ้นแล้ว และเกิดมากแล้วด้วย แต่บางคนไม่รู้ตัว ก็เท่านั้นเอง บางคนที่รู้ตัวแล้ว เขาจะเริ่มสนใจเรื่องมนุษย์ต่างดาวมากขึ้น, ค้นหา และแสวงหาเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว และพวกเขาจะมีความสามารถพิเศษครับ อันเป็นความสามารถเฉพาะของมนุษย์ต่างดาวดวงนั้นๆ ที่ไม่เหมือนมนุษย์จากดาวดวงอื่น เมื่อใดที่เขาค้นพบมัน และดึงมันออกมาใช้อย่างมั่นใจ เขาก็จะโดดเด่น จนไม่เหมือนมนุษย์โลกเท่าใดนัก เรียกว่า "เก่งเว่อร์ หรือเ่ก่งแปลกๆ" ไปเลยครับ ดังนั้น ถ้าใครไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไร ก็อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องมนุษย์ต่างดาวเลยครับ ฮ่าๆๆ คุณเอาแค่มนุษย์โลกไปก่อนก็แล้วกัน มันไม่ใช่อ่ะ คุณไม่ได้เป็นเชื้อสายจากมนุษย์ต่างดาว น่ะเอง ซึ่งก็ดีแล้วครับ การเป็นมนุษย์โลก เหมาะสมกับการดำรงอยู่ในโลกนี้ มากที่สุด มนุษย์ต่างดาวที่มาจากดาวอื่นๆ เมื่อมาอยู่บนโลกนี้แล้ว ก็ล้วนต้องปรับตัวอะไรมากมาย ยุ่งยาก และปรับตัวไม่ได้ ก็จะมีปัญหาเกิดขึ้น ป่วยง่าย หรืออ่อนแอได้ครับ ทำให้ต้องเก็บตัวฟื้นฟูตัวเองอยู่นานเลยทีเดียว กว่าจะออกมาทำหน้าที่ของตนเองได้เต็มที่นะครับ 


เอาละ เม้าท์มายาวเลย วันนี้ ง่วงละ ขอตัวไปนอนนะ ราตรีสวัสดิ์ครับ



วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556

พลังจิตสำนึก "มนุษย์ต่างดาว" จากดาวต่างๆ ต่างจากมนุษย์อย่างไร?

มีเทคนิึคอีกประการที่จะจับสังเกตุมนุษย์ต่างดาวที่อาศัยอยู่ในร่างของมนุษย์โลก จะมาเม้าืท์ให้ัฟังละ แต่วันนี้ เอาแค่เกริ่นๆ นำก่อนนะ ยังไม่เข้ารายละเอียดมาก จะไ้ด้เข้าใจกว้างๆ หลักๆ ก่อน มันเป็นเรื่องของ "จิตสำนึก" ครับ ซึ่งเหมือนๆ กันใน "มนุษย์ต่างดาว" ที่มาจากดาวดวงเดียวกัน ทำให้จำกันได้ และเข้ากันได้ง่ายมาก แต่มันจะไม่เหมือนมนุษย์โลก ก็เท่านั้นเอง ซึ่งพี่ชายจะได้เม้าืท์ให้ฟัง ดังต่อไปนี้


อย่างแรก พี่ชายขอปูพื้นฐานก่อนว่่าจิตวิญญาณนั้นจะมี "มโนสำนึก" ของตัวมันเองในแต่ละระดับครับ เช่น มโนสำนึกของสัตว์เดรัจฉาน ก็อย่างหนึ่ง เหมือนสัญชาติญาณใน การล่า, การหนี, การหากิน, การสืบพันธุ์อะไรทำนองนั้น มนุษย์โลกเองก็มี "มโนสำนึก" แบบหนึ่งครับ ถามว่า มันคืออะไร "มโนสำนึก" หรือ "จิตสำนึก" เี่นี่ย? มันก็คือ สิ่งที่รู้ได้เอง ไม่ต้องให้มีใครมาสอนในระดับมาตรฐานของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นครับ เช่น นกย่อมต้องรู้ได้ด้วยมโนสำนึกของมันเองในเรื่องการบิน, การสร้างรัง แต่ในสัตว์เราจะใช้คำว่า "สัญชาติญาณ" แทน ซึ่งในสัตว์นี้ เราจะไม่แบ่งออกหลายแบบเหมือนมนุษย์นะครับ ในสัตว์เราจะใช้่คำรวมๆ ว่า "สัญชาติญาณ" ไปเลย ไม่แบ่งแยกว่าส่วนดีหรือส่วนไม่ดี อะไร แต่ในคนเราจะแบ่งออกเป็นส่วนๆ ครับ เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้

๑. จิตสำนึก คือ ภาวะการรู้เองของจิต อันจะทำให้เป็นมนุษย์สมบูรณ์ เช่น การรู้ว่าอะไรถูก, ผิด, ดี, ชั่ว ทำให้ปรับตัวอยู่กับสังคมมนุษย์ได้ ซึ่งส่วนนี้จะเป็นส่วนที่ดี ทำให้เป็นสัตว์สังคม ไม่ใช่กิเลสอันดิบเถื่อน

๒. จิตใต้สำนึก คือ ภาวะการรู้เองของจิต อันเป็นแรงขับดันที่ดิบเถื่อน ตามธรรมชาติ เช่น การสืบพันธุ์, อารมณ์เพศ, การกิน-นอน, ขับถ่าย ในบางคนก็มีจิตใต้สำนึุกที่รู้มากเป็นพิเศษไปอีก เช่น รู้ภัยในอนาคต

๓. จิตเหนือสำนึก คือ ภาวะการรู้เองของจิตภายหลังที่ได้รับการฝึกจิต หรือพัฒนาในแบบต่างๆ แล้ว ทำให้เกิดปัญญามากกว่าเดิม เช่น การบรรลุธรรมของมนุษย์ หรือการมีญาณหยั่งรู้พิเศษ ที่ได้จากการฝึกฝน

เอาละ ทีนี้ เราจะมาดูเฉพาะ "จิตสำนึก" ก่อน ก็แล้วกัน แต่เราจะไม่ได้ดูในมนุษย์โลกและสัตว์โลกนะครับ เราจะมาดู "มนุษย์ในดาวต่างๆ" ที่มี "จิตสำนึุก" อันแตกต่างกันไป อันจะส่งผลให้มนุษย์ในดาวนั้นอยู่ร่วมกันได้เป็นสังคมครับ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ "จิตใต้สำนึก" เป็นสิ่งที่หยั่งรู้แบบดิบเถื่อนไม่เกี่ยวข้องกับใคร ส่วน "จิตสำนึก" เป็นสิ่งที่หยั่งรู้แบบสากลร่วมกันของทั้งสังคมของมนุษย์ในดาวดวงนั้นๆ เพื่อปรับตัวให้อยู่ร่วมกันได้ นั่นเอง ซึ่งมนุษย์แต่ละดาวจะมีจิตสำนึกไม่เหมือนกันนะครับ เพราะการดำรงอยู่ของแต่ละดาวนั้น ไม่เหมือนกันไงครับ


อย่างที่สอง เราจะมาเริ่มต้นจาก "จิตสำนึกของมนุษย์โลก" กันก่อนครับ จะได้ทราบว่าความเ็ป็นมนุษย์โลกนั้น จะต้องมีสำนึกอะไรในจิตบ้าง ถ้าไม่มีแล้ว แสดงว่าไม่น่าจะใช่มนุษย์โลก หรือดวงจิตที่อยู่ในสังขารอาจไม่ใช่ดวงจิตของมนุษย์โลก เป็นต้น เอาละ สรุปง่ายๆ ก็คือ จิตสำนึกของมนุษย์โลกนี้ จะมีความถูก-ผิด, ดี-ชั่ว ฯลฯ แยกแยะเป็นคู่ๆ อย่างชัดเจนครับ เพื่อให้ระบบสมองทำงานได้ง่าย สมองของเราก็มีสองซีกครับ สมองรับกับพลังจิตหยั่งรู้ได้อย่างไม่มีปัญหา ด้วยระบบคู่ตรงข้ามนี่แหละครับ ด้วยการหยั่งรู้แบบนี้ ทำให้มนุษย์โลกอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ต้องเข้าโรงเรียนตั้งแต่เกิด หรือแม้แต่คนที่ไม่ไ่ด้เรียนอะไรเลย ก็ไม่มีปัญหาในการเข้าสังคมมนุษย์ครับ แต่ในโลกนี้ยังมีคนที่มีจิตวิญญาณเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ "มนุษย์โลก" อยู่ด้วยครับพวกเขาจะมีจิตสำนึกไปอีกแบบหนึ่ง ที่พวกเขารู้กันเอง มีเหมือนๆ กันเอง โดยไม่ต้องบอก ไม่ต้องสอน ไม่ต้องเีรียน เช่น ในบางสังคมที่คนในสังคม นั้นๆ จะรู้กันเองว่าควรทำอย่างไร อย่างไรไม่ควรทำ อุปมาก็เหมือนกับมนุษย์ต่างดาวแทรกตัวอยู่ในโลกมนุษย์แล้วมาเจอญาติกันแหละครับ  มันก็เข้าใจกันเองได้ง่ายมากเร็วมากเช่น คนบางกลุ่มที่เข้ามาเล่นเน็ต  แล้วมีภาษาแปลกๆ หรืออะไรเฉพาะกลุ่มที่รู้กันเองได้อย่างรวดเร็ว แต่คนบางคนกลับไม่เข้าใจ หรือเข้าใจมันได้ยากมากๆ เอาง่ายๆ เลย ที่มีคนอุปมาว่า "ผีย่อมเห็นผีด้วยกัน" อ่ะ ฮ่าๆๆ ตลกดี แต่มันก็ใช้ได้ครับ เราสามารถทดสอบได้ครับ อย่างคนที่มีองค์ หรือพวกคนทรงเหมือนกันก็จะดูกันออก คนไหนเพิ่งเริ่มต้นใหม่ เขาก็ทักให้ไปรับขันธ์เพราะเขารู้ว่ามันใช่ มันเหมือนกันกับเขาครับ หรือคนในแวดวงบันเทิง เขาก็ดูกันออกว่าแบบนี้แหละ มันใช่ หรือแบบไหนที่มันไม่ใช่ ไม่ว่าเขาจะมีความพยายามแค่ไหน มันก็ยังไม่ใช่อยู่ดี อะไรแบบนั้นอ่ะ แล้วจะข้ามไปวงการอื่นได้ยากนะครับ แต่ก็มีได้เหมือนกัน เช่น จากวงการบันเทิงข้ามไปวงการการเมือง มันก็พอไปได้ แต่ไม่ได้ดีเท่ากับพวกมีมาจากสายเลือดหรอกครับ ทีนี้ "จิตสำนึุกมนุษย์่ต่างดาว" เอง แต่ละดวงมันก็ไม่เหมือนกัน และพวกเขาจะเหมือนกันอย่างนั้น โดยไม่ต้องบอก ไม่ต้องเรียนรู้ ก็รู้กันได้เองเลยครับ แถมยังแตกต่างไม่เหมือนชาวโลกนี้ อีกด้วย แปลกไหมละ ดังนั้น เราจึงพบอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นในกลุ่มอันเฉพาะพวกเขานั้นๆ ได้ แล้วพวกเขาก็รู้กันเอง คนภายนอกไม่รู้ด้วยสิ


เอาละ พี่ชายเริ่มง่วงละ คิดว่าหลายคนคงอยากพักผ่อนเหมือนกัน ไม่เม้าท์ยาวแล้ว วันพรุ่งนี้ ค่อยมาหาเรื่องเม้าท์ใหม่ วันนี้ราตรีสวัสดิ์ครับ




วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556

ประสบการณ์สัมผัส "พระสุริยเทพภาคมืด" ซาตานในคราบนักบุญ

ในที่สุดผลการเลือกตั้งผู้ว่ากทม. ก็ออกมาแล้ว ฝ่ายเสื้อเหลืองได้โล่งอกไปได้อีกหน่อย ส่วนฝ่ายเสื้อแดงก็ยังต้องพยายามอีกเช่นเคย เลยทำให้หนังเรื่องนี้ยังคงเป็นเรื่องสามก๊ก ยังไม่จบหักมุม กลายเป็นเรื่อง "จิ๋นซีฮ่องเต้" ไปซะก่อนนะครับ เอาละ มาดูบทความเราวันนี้ดีกว่า มีเรื่องน่าสนใจมากๆ เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง, เสื้อเหลือง, เสื้อแดง อีกทั้ง Transformer ที่พี่ชายได้เม้าืท์ให้ฟังแล้วในบทความก่อนอีกด้วยละ อ้าว แล้วมันเกี่ยวกันได้อย่างไร? ก็มาจาก "พระสุริยเทพภาคมืด" ที่พี่ชายจะเม้าท์ให้ฟังนี่แหละ เป็นกุญแจสำคัญของเรื่อง ดังต่อไปนี้
  

อย่างแรก พี่ชายต้องขอบอกให้ชัดเจนก่อนนะครับว่า พี่ชายกำลังพูดถึงพระสุริยเทพภาคมืด ไม่ใช่ภาคสว่างนะครับ ขอย้ำตรงนี้ก่อน และต่อไป ขอสรุปสั้นๆ ครับว่า "เทพแต่ละองค์สามารถกลายเป็นภาคมืดได้ทั้งสิ้น" ไม่เว้นแม้แต่พระสุริยเทพ ที่พี่ชายได้พบมานี้ ซึ่งภาคมืดแต่ละตัวตน มีลักษณะและวัตถุประสงค์ไม่เหมือนกันครับ เพื่อให้ผู้ชมเห็นภาพชัดขึ้นว่า พวกเขาไม่เหมือนกัน จะขอยกตัวอย่าง ดังนี้

๑. นารายณ์ภาคมืด (ลูซิเฟอร์) จะหยั่งรู้ใจคนได้หมด รู้แผนการคนได้หมด รู้ด้านไม่ดีของคนได้หมด และมองคนเหมือนสัตว์ที่เลี้ยงในกรง เขาต้องการครองจิตใจคน แต่ไม่ถึงขั้นทำให้คนกลายเป็นอมนุษย์คือ เขาอาจเอาจิตวิญญาณไปเพียงบางดวงเท่่านั้น ไม่ได้หมดทั้งตัวครับ

๒. พญามารฟงภาคมืด จะเก่งบริหาร มักมีตำแหน่งเป็น CEO และเก่งการเจรจาต่อรองเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์่ต่างๆ เขาไม่ต้องการถึงขั้นครองใจคนแบบลูซิเฟอร์ แลกบางสิ่งเท่านั้น เช่น พรสวรรค์ของคน ก็ได้ครับ ซึ่งเขาจะนำไปใช้ในการแลกเปลี่ยนกับมนุษย์คนอื่นๆ ต่อไป

๓. มัจจุราชมารภาคมืด จะเก่งด้านกฏหมาย หรือการตัดสินความ เก่งด้านการยุติธรรม หรือการต่อสู้แบบพลีชีพ การใช้ดาบฟัน ฯลฯ เขาจะต้องการให้คนตายเยอะๆ แล้วตกสู่ภาคมืดครับ ถ้าเขาลงมือ คนจะตายเยอะ เขาจะให้อิสรภาพแ่ก่คน ให้หลุดพ้นจากลูซิเฟอร์ได้ครับ

เอาละ ยกตัวอย่าง ๓ ประเภท ให้ได้เห็นภาพว่าภาคมืด ต้องการแตกต่างกันอย่างไร เป็นเบื้องต้น ทีนี้ จะได้อธิบายถึง "สุริยเทพภาคมืด" บ้าง ว่าท่านมีึความต้องการที่น่ากลัวไม่แพ้ภาคมืดตนอื่นๆ เลย กล่าวคือ ท่านต้องการให้คนสูญเสียความเป็นมนุษย์ แล้วจะได้เอาปีศาจมาเป็นมนุษย์แทนกันครับ กล่าวคือ เขาจะทำให้มนุษย์ไม่เหลือวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์ในกายเลย แล้วเอาปีศาจหรือภาคมืดเข้ามาแทนในร่างนั้นๆ แล้วเขาก็จะใช้พลังแสงสว่างโปรด และเขาก็จะกลายเป็น "ปีศาจในคราบนักบุญ" อย่างไรละครับ ในขณะที่ซาตานตนอื่นๆ เราก็เห็นชัดว่าเขาไม่ดีมีความมืดดำตรงไหน ใช่ไหมครับ ทว่าพระสุริยเทพภาคมืดนี้ มาเหนือชั้นกว่า เหนือล้ำกว่า และน่ากลัวกว่ามากๆ ครับ ซึ่งถ้าท่านทำสำเร็จ โลกมนุษย์ก็จะเปลี่ยนไป ร่างมนุษย์จะกลายเป็นแค่ร่างของภาคมืดเท่านั้น พวกเขาต้องมารับแสงธรรมจากพระสุริยเทพภาึคมืด เพราะพวกเขามืดมนมาก มีทุกข์มาก ต้องได้รับแสงธรรม จึงมีความสุขครับ ถึงเวลานั้น พระสุริยเทพภาคมืด ก็จะเป็นใหญ่เหนือใครครับ (เหนือกว่าทั้งนารายณ์ภาคมืด หรือภาคมืดตัวตนอื่่นๆ ด้วย) อนึ่ง พระสุริยเทพภาคมืดมีแสงสว่างรอบตัว ส่องอะไรก็เ็ห็นหมดครับ แต่จะไม่ส่องตัวเองครับ กล่าวคือ เขาจะบอกว่าซาตานตนอื่นๆ ทำอะไรไม่ดีบ้าง แต่จะไม่บอกใครหรอกครับว่า "ฉันเอง ก็เป็นซาตานเหมือนกัน" อนึ่ง พระสุริยเทพภาคมืดนี่เองที่เป็น "ผู้สร้าง Transformer" ครับ คือ พระสุริยเทพภาคมืด จะเอาจิตวิญญาณภาคมืดมาสู่ร่างมนุษย์ แทนที่มนุษย์ครับ โดยกระบวนการแรกที่เรียกว่า "การปลดปล่อย" จะปล่อยให้ภาคมืดออกมาจากที่ถูกกักขังก่อน แล้วจึงค่อยหาร่างมนุษย์ครับ


อย่างที่สอง พี่ชายอยากจะบอกว่า พี่ชายเพิ่งรู้ตัวว่าพี่ชายอยู่กับพระสุริยเทพภาคมืดมานานมากแล้ว และมี "ราหูภาคมืด" ตามมาด้วย ซึ่งทั้งสองนี้เหมือนพี่น้องกันครับ จะไล่ให้ดูอย่างนี้ ๑. พี่ใหญ่ คือ เทพราหูภาคมืด ๒. น้องรอง คือ เทพจันทราภาคมืด ๓. น้องเล็ก คือ พระสุริยเทพภาคมืด แผนการของเขาคือ ให้ "ร่างของเทพจันทรา" ไปได้ครองโลกไว้ก่อนแล้วจะให้ "ร่างของพระสุริยเทพ" ได้ครอบครองทางธรรมครับ ทีนี้ ทั้งทางโลกและทางธรรม ก็ตกเป็นของพวกเขาไงครับ โดยมี "เทพราหูภาคมืด" คอยช่วยอยู่เบื้องหลังอีกที ตอนนี้ พี่ชายเริ่มรู้ตัวแล้วว่า "โดน" เต็มๆ ครับ ทว่า เขาก็ส่องแสงสว่างให้พี่ชายรับรู้ได้จริงนะ พี่ชายได้รู้อะไรเยอะแยะมากๆ เลย เพราะเขาช่วยทั้งนั้น และตอนนี้ เขากำลังจะเอา "ร่างพี่ชาย" อ่ะ เหว๋อ น่าตกใจมากเลย 555 ก็ต้องสู้ต่อไปครับ ราหูกำลังก่อกวนพี่ชายใหญ่เลย ขโมยของพี่ชายทุกวัน ๓ วันติดกันมาแล้ว โดยใช้ร่างมนุษย์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้วคอยให้พระสุริยเทพมาครอบงำจะยึดร่างพี่ชาย ให้พี่ชายอยากโปรดหัวขโมย แต่พลังของพระนารายณ์ก็ส่งมาบอก ให้ระวัง ส่วนพลังของนารายณ์ภาคมืด ก็มาเหมือนกันครับ (มาช่วยปราบ) โอ้ย อะไรกันนักหนาละนี่ พี่ชายรู้สึกสับสนงงว่าอะไรผิดอะไรถูก มั่วไปหมดละ เจอผู้มีแสงสว่างอย่างพระสุริยเทพภาคมืดเข้าไป ใครจะไปรู้ละว่าสว่างขนาดนั้นจะมืดได้อ่ะ? พอไม่รู้อะไร เริ่มไม่อยากยุ่ง พี่ชายก็หลบเข้าหอยสังข์ เอ้ย ไม่ช่าย เข้าโลกส่วนตัวก่อน (เน็ตนี่ละ) แต่เชื่อมพลังกับเซียนไว้ ก็ทำให้ยังไม่โดนดึงไปทางไหนเต็มที่ ยังไม่เต็มตัวครับ จนกระทั่งเริ่มรู้ชัดละ ว่ามันคืออะไร มาอย่างไร เืพื่ออะไร? เอาละถามว่าใครในประเทศไทยเป็นร่างของ "เทพจันทรา, เทพราหู" เอ่ย? อั๊ยย่ะ ไม่บอกหรอก ปล่อยให้ทั้งสองท่านรอ "พระสุริยเทพ" จนแดงเถือกไปก่อนละกาน 555


โอ้ย ตายละ! ทำไงดี ฝ่ายเหลืองก็มี "นารายณ์ภาคมืด" ฝ่ายแดงก็มี "พระสุริยเทพภาคมืด" แล้วจะให้พี่ชายทำอย่างไรดีละ? เพราะี่พี่ชายไม่อยากมืดอ่ะ เค้าเคยมืดมามากแล้วนะตัวเอง ไม่ค่อยมีึความสุขเล้ย เขารู้ดีแล้วอ่ะ เลยไม่อยากมืดซ้ำอีก เพิ่งจะได้เห็นแสงสว่างวอมแวม เอง จะให้เค้ามืดอีกแล้วหรือ ไม่ไหวอ่ะ เลยไม่อยากได้ทั้งนารายณ์มืด และสุริยเทพมืด ถ้าเป็นภาคสว่างก็ดีน่ะสิ พี่ชายชอบทั้งพระนารายณ์ภาคสว่างและพระสุริยเทพภาคสว่าง น่ะแหละ โอเคมั๊ย เม้าท์เล่นๆ นะไม่ต้องคิดมาก อย่าซีเรียสไป วันนี้มาเร็วเคล็มเร็ว ตั้งแต่เช้าเพื่อให้ทันผลการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. เพราะมันเกี่ยวกันอย่างนี้นี่เอง โฮ่ๆๆๆ ก็เลยต้องรีบเขียนอ่ะครับ เอาละ ไม่รบกวนเวลาแล้ว บะบายละกัน ...




วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556

กำเนิด Transformer : หุ่นยนต์ภาคมืดผู้แฝงกายอยู่ในหมู่มนุษย์!

วันนี้ คงเป็นวันที่ลุ้นระทึกกันอีกวันหนึ่งสำหรับคนที่ไม่เห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่ชาติบ้านเมืองทั้งหลายนะครับ เพราะเป็นวันหวยออก เอ้ย มะช่าย ลุ้่นกันตัวโก่งเพราะใครจะได้เป็น "ผู้ว่า กทม. น่ะเอง" เพราะว่ามันเป็นศึกชิงเมืองอ่ะ ดูสิว่าฝ่ายเสื้้อเหลืองหรือฝ่ายเสื้อแดงจะได้ไปครอง เรียกว่าถ้าชิงเมืองหลวงได้แล้วละก็ ว้าว หวานหมูขึ้นเป็นกอง โฮ่ๆๆๆ เอาละ แค่นี้พอเป็นพิธี พูดการเมืองมากไม่ได้ ผู้อ่านไม่ชอบ มันเครียดอ่าาา 555 ขออภัยที่พูดเพราะมันเป็นวันของเขาน่ะครับ ก็เลยนินทาซะลับหลัง เอาละ มาเม้าท์เรื่องของเรากันดีกว่าครับ เรื่อง Transformer ภาคต่อจากบทความฉบับที่แล้ว ซึ่งพี่ชายได้เม้า์ท์ไว้เป็นการแนะนำเบื้องต้น บทความนี้จะกล่าวถึงให้ละเอียดต่อไปครับ


อย่างแรก พี่ชายอยากปูพื้นฐานความเข้าใจเบื้องต้นก่อน ขอเริ่มด้วยคำว่า "มนุษย์" นะครับ เอาง่ายๆ มนุษย์ทุกคนนั้นจะมี "จิตสำนึกแห่งความเป็นมนุษย์" อยู่ึีัครับ เพราะเหตุนี้เราจึงได้ชื่อว่า "สัตว์ประเสริฐ" สัตว์ที่สอนได้ อย่างไรละครับ เมื่อใดก็ตามที่คนสูญเสียจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ไปแล้ว ก็จะไม่มีสิ่งนี้ที่เรียกว่า "จิตสำนึกแห่งความเป็นมนุษย์" ครับ ถามว่ามันคืออะไร? มันก็คือ สิ่งที่เรารู้ได้เองโดยไม่ต้องมีใครมาบอกเรา ไม่ต้องเรียนจากใึครอะไรทั้งสิ้น เป็นความรู้ของจิตระดับมนุษย์ ที่มีอยู่ในทุกคนเป็นมูลฐานทั้งสิ้นเช่น การรู้ว่าทำอะไรที่เรียกว่า "ผิด" การขโมย คือ การทำความผิด, การฆ่าคน คือ การทำผิด, การแย่งเมียชาวบ้านก็เป็นความผิด, การเสพสิ่งเสพติด-ของผิด กฏหมาย มันก็เป็นความผิด เป็นต้น ของแบบนี้ ไม่ต้องให้ใครมาบอก ไม่ต้องให้พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ และไม่ต้องให้พระมาให้ศีลนะครับ นี่คือ สิ่งที่จิตมนุษย์ปกติ ทุกคน จะรู้ได้เอง อย่างน้อยก็รู้สึกลึกๆ ในใจแหละครับว่า "เฮ้ย ทำไปแล้วจะโดนคนด่าไหมวะ? ทำไปแล้วจะถูกเขานินทา, สาปแช่ง ตามหลังไหมวะ? เป็นเรื่องไหมวะ? เขาจะเล่นงานเราไำหมวะ?" อย่่างนี้ มันต้องมีครับ ไม่งั้น "ก็ไม่เต็มบาท" คือ มีความเป็นมนุษย์ไม่เต็ม หรือบกพร่อง หรือสูญเสียความเป็นมนุษย์ไป ทีนี้ จะทำอะไรก็ได้แล้ว ถูกผิด-ดีชั่ว อะไร ไม่รู้เลย (ต่างจากการไม่ยึดติดความถูกผิด-ดีชั่วนะครับ อันนี้ ต้องเข้าใจแยกแยะให้ชัด) ความถูกผิด-ดีชั่ว นี้ เป็น "มโนสำนึก" เป็น "จิตสำนึกปกติของมนุษย์" นะครับ แต่ไม่ถึงขั้นที่เรียกว่า "หริ โอตัปปะ" อันนั้นเป็นระดับเทวดาครับ สูงไปอีกขั้น คือ นอกจากจะรู้ว่าอะไรถูกผิด-ดีชั่วแล้ว ยังมีความละอายชั่ว กลัวบาป ฯลฯ ด้วย และยังไม่ถึงขั้น "สำนึกผิดบาป" นะครับ อันนี้ ต้องผ่านกระบวนการพิเศษก่อน ถึงจะได้เข้าถึงความสำนึกผิดบาปได้ คือ มันแค่รู้ แค่แยกแยะ หรือรู้สึกตะหงิดๆ ได้ว่า "เฮ้ย ทำดีหรือวะ? มันผิดนี่หว่า?" อะไรประมาณนี้ อันนี้แหละ มนุษย์ทุกคนมีได้ ไม่ต้องเรียน แต่ถ้ายิ่งได้เรียนมากแล้ว กลับยิ่งไม่มี นี่ผมว่า ก็อย่าเรียนมันเลยครับ


อย่างที่สอง จะพูดถึง Transformer ให้มากขึ้นครับ ว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์ปกติ ไม่เหมือนมนุษย์ เพราะไร้จิตสำนึกของความเป็นมนุษย์ ไม่มีมโนสำนึกอีกด้วย แต่อย่าเพิ่งไปจงเกลียดจงชังเขานะ ให้เข้าใจเขาก่อนว่าเขาคือ "เหยื่อของภาคมืด" ที่ถูกภาคมืดเอาวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์ไปหมดแล้ว แล้วในร่างของเขาก็มีแต่ "จิตวิญญาณ" ภาคมืดอยู่แทน โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำไป ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขาบ้าง และพี่ชายไม่ได้ว่าใคร หรือสถาบันไหนเป็นการเฉพาะนะครับ ที่พี่ชายยกตัวอย่างนั้น มันเป็นแค่ "บางคน" ในบางสถาบันก็เท่านั้น ซึ่งไม่ได้มีแต่เด็กช่างกลหรอก ที่พี่ชายเจอ มันมีทั้งเด็กที่จบมหาลัยมาก็มี หรือจบสูงๆ อย่างด็อกเตอร์, จบแพทย์, จบเมืองนอก ฯลฯ มาก็มี มีหมดครับ ไม่เกี่ยวกับสถาบันนะครับ มันเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลเท่านั้น โอเคนะครับ ทุกคนเสี่ยงครับที่จะเป็น  Transformer ได้หมด โอเค? เอาละ จะได้สบายใจว่าพี่ชายไม่ได้โจมใครหรือโจมตีสถาบันไหน ยิ่งไปกว่านี้ พี่ชายคิดว่าคนอื่นอาจได้เจอ Transformer แล้วบ้างก็ได้ เช่น ผู้หญิงบางคนที่เคยถูกทิ้ง ถูกบังคับให้ไปทำแท้ง อย่างไร้เยื่อใย หรือเหมือนผู้ชายคนนั้น ไม่มีจิตใจ ไม่มีมโนสำนึก ไม่มีความเป็นมนุษย์เหลืออยู่เลย ก่อนหน้านั้นที่คบกันเพียงหวังเสพกาม หวังสุขสมชั่วคราว แค่นั้น มันเหมือนภาพมายาหลอกหลอน ทำให้คนหลงใหลคิดว่าเขาคือคนดี ในช่วงโปรโมชั่นเท่านั้นเอง แต่พอความจริงปรากฏชัด ก็ได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา ไม่มีการแสดงปิดบังว่าเขาเป็นพระเอกหนังเกาหลีเหมือนเดิมอีกแล้ว เขาคือ คนที่ไร้จิตใจ ไร้จิตสำนึกแห่งความเป็นมนุษย์ เขาก็คือ  Transformer คนหนึ่งนั่นเอง นี่หละพี่ชายคิดว่าไม่ใช่้แค่พี่ชายหรอกที่เคยเจออะไรแบบนั้น โดนกันถ้วนหน้าแหละครับ ฮ่าๆๆ อย่าซีเรียสไป มันผ่านไปแล้วครับ ที่เราควรต้องทำและเ้ข้าใจต่อไปคือ ทำอย่างไร จึงจะทำให้เขาได้กลับมาเป็น "มนุษย์ปกติ" เหมือนเดิม ซึ่งก็คือ เราต้องทำให้เขากำเนิดใหม่ให้ได้ ทำให้เขาได้เป็นมนุษย์ เหมือนเรื่องเดชนางพญางูขาวเลยหละครับ!


แปลกอย่างหนึ่งนะครับว่า ภาคมืดนั้น จะเลือกคนที่ดูดีๆ ทั้งนั้นแหละ ก็ใครอยากจะได้อะไรที่ไม่ดีละครับ ภาคมืดเขาก็ต้องจองตัวคนที่ดูดี ทั้งนั้น ใครดูหน้าตาดี, รูปร่างดี, การศึกษาดี, มีอะไรดีๆ ฯลฯ ภาคมืดก็จะตามจองตัวครับ ถ้าพลาดท่า่ก็เสียท่าเขา ต้องเป็น  Transformer ให้แก่ภาคมืดนะครับ ดังนั้น เราทุกคนเป็นเหยื่อและอาจพลาดท่าต้องเป็น  Transformer ก็ได้ครับ อย่าประมาทไป อย่าคิดว่าเราดีแล้วและคนอื่นที่เป็น Transformer ต้องเลวเสมอไป เราอาจพลาดเหมือนเขาบ้างก็ได้นะ ทีนี้ ถ้าเรายังไม่พลาดก็ดี อย่าลืมหน้าที่ของเพื่อนมนุษย์ และความเป็นมนุษย์ของเรา ที่จะคอยช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้รอดพ้นจากการเป็น Transformer นะครับ เมื่อก่อนนะ พี่ชายก็งง และรำคาญว่า ทำไมป้าข้างบ้าน ที่แก่มากแล้วทำนามาทั้งชีวิต และไม่มีอะไรเก่งกาจเป็นพิเศษเลย ทำไมชอบชวนพี่ชายคุยไร้สาระเรื่องไม่เป็นเรื่องด้วย พี่ชายเพิ่งเข้าใจว่านั่นคือ ปกติของมนุษย์ครับ ที่เขาจะทำหน้าที่ตามธรรมชาติ ไม่ให้เราหายเข้าไปใน "โลกส่วนตัว" ซึ่งพี่ชายจะเป็นบ่อยมาก นั่งอยู่เฉยๆ ก็หลบหายเข้าไปในโลกส่วนตัวแล้ว ถ้าใครไม่สังเกตุอาจไม่รู้ แต่พี่ชายไม่พ้น "จิตสำนึกของมนุษย์แท้ๆ" อย่างเช่นคุณป้าไปได้ คุณป้าที่ดูเป็นชาวนาจนๆ ธรรมดา ไม่ได้จบสูงอะไร แต่แกทำหน้าที่ตามธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ ทุกๆ ครั้งแกจะชวนคุยดึงพี่ชายออกจากโลกส่วนตัวตลอด พี่ชายก็รำคาญมากๆ ครับ ฮ่าๆๆ เพราะพี่ชายเพลินอยู่ในโลกส่วนตัวมากๆ ฮ่าๆ มันคือความจริงอ่ะนะ อันนี้พี่ชายยอมรับ เอาละ สุดท้ายนี้ อย่าลืมความเป็นมนุษย์ของพวกเราครับ ถ้าเรามีเมื่อไร มันก็จะทำหน้าที่ของมันเองนั่นแหละ ซึ่งตอนนี้ พี่ชายเริ่มมีบ้างแล้วอ่ะ หลังจากไม่ค่อยจะมีมาตั้งนาน 555