วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ถ้าคุณเลือกไปเกิดดาวดวงอื่นได้ คุณอยากจะไปไหม?

อ่า วันนี้มาช่วงเย็นๆ ใกล้จะเลิกงานแล้วดีใจไหมครับ ใครดีใจร้องดังๆ ยกมือขึ้น รักพี่เบิร์ดมั้ย เอ้ากรี้ดดดดด หน่อย เย้ย ไม่ใช่เวทีคอนเสริ์ต แหม ลืมตัวไป แบบว่าพี่เบิร์ดรักทุกคน ขึ้นเวทีคอนเสิร์ตมากไปหน่อย อ่ะ ล้อเล่น ขำๆ ละตัวเอง เอาละ วกเข้ามาเข้าเรื่องเข้าราวกันได้เสียที ก็ในบทความนี้ ผมมีเืรื่องมาเม้าท์ เพื่อเตือนท่านที่สัมผัสกับมิติที่สูงๆ ได้ หรือเชื่อมโยงติดต่อกับต่างดาวได้ จริงอยู่ครับว่าุคุณอาจจะไปได้ หรือติดต่อกับมิติที่สูงมากๆ ได้ ทว่า มันก็แค่การติดต่อนะครับ มันไม่อาจยืนยันได้ว่าคุณสามารถทำอะไรๆ อย่างอื่นที่มากกว่านั้นได้ ทั้งยังไม่อาจยืนยันได้ว่าคุณจะปกป้องตัวเองจาก "เหตุไม่คาดคิด" ได้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมก็จะขออธิบายในบทความนี้เลยก็แล้วกัน

เรื่องที่ผมอยากจะเตือนท่านอย่างยิ่งคือ ถ้าท่านยังไม่รีบนิพพานยังไม่นิพพานในชาตินี้ "ท่านยังคงต้องเวียนว่ายต่อในสังสารวัฏ" ไม่ว่าที่ใด ดาวดวงไหนในจักรวาลนี้่ก็ตาม หรือในภพภูมิใดก็ตาม ท่านควรจะทราบด้วยว่า "ภพภูมินั้นๆ เป็นอย่างไร" ไม่ใ่ช่ว่าท่านไม่นิพพานแล้วก็หลงไปในจักรวาล ในดาวดวงไหนก็ไม่รู้ โดยที่ท่านก็ไม่รู้ว่าที่ไปของท่านจะดีกว่าในดาวดวงนี้หรือไม่? ท่านยังไม่ได้รู้แจ้งเห็นจริงในภพนั้นๆ เช่น ท่านอาจจะทำสมาธิแล้วจิตของท่านสัมผัสไปยังภพภูมิอื่น และดาวดวงอื่นๆ ได้ ทว่า มันไม่ได้แปลว่าสิ่งนั้นจะดีที่สุดหรือดีจริงๆ ทว่า อย่างไรก็ตาม ท่านก็จะถูกพลังงานในภพนั้น ในภาวะนั้นๆ ยึดโยงและดึงดูดเพื่อให้ท่านเป็นส่วนหนึ่งของดาวดวงนั้นหรือภพภูมินั้นๆ เรื่องนี้ พระพุทธองค์ทรงเคยเตือนพระโมคคัลลานะแล้วว่าให้ระวัง เวลาท่องจักรวาล เพราะอะไร? เพราะเราไม่ได้รู้แจ้งเห็นจริงอะไรมาก เราอาจจะรู้ก็แค่ใบไม้หนึ่งกำมือเท่านั้นแต่เรารู้แจ้งเห็นจริงในภพนั้น ในดาวดวงนั้นจริงหรือไม่? เอาละถ้าท่านทำเพียงแค่ "ติดต่อสื่อสาร" เท่านั้นแล้ว กลับมาสู่ "สถานะเดิมได้" ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่พูดแล้วทำยากครับ เพราะแต่ละภพมีพลังดึงดูดในตัวมันเอง ที่จะดึงดูดและยึดโยงเอาผู้ที่สัมผัสหรือติดต่อสื่อสารกับภพนั้นได้ ไปเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขานั้น


ทว่า พวกเขาย่อมแสดงแต่ด้านดีให้คุณเห็นเท่านั้นเช่น บอกคุณว่านี่คือ มิติที่สูงมาก มากกว่ามิติที่คุณอยู่ ทำให้คุณรู้สึกยินดีกับการได้ไปสู่มิติที่สูงกว่านั้นๆ ทว่า มันอาจจะไม่ไ่ด้ดีต่อคุณจริงๆ อย่างที่ผมเคยยกตัวอย่างแล้วว่า ถ้าคุณมีเงินก้อนหนึ่ง คุณจะเลือกดำรงชีวิตอยู่ในแบบใด ระหว่าง ๑. เป็นเศรษฐีในประเทศที่ยากจน หรือ ๒. เป็นยาจกในประเทศที่ร่ำรวย? คุณอาจหลงไหลในสถานที่, มิติ, ภพ ฯลฯ ที่ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้ ดีกว่าโลกที่คุณดำรงอยู่นี้ ทว่า คุณเคยคิดบ้างไหมว่าคุณอาจจะต้องกลายเป็น "ชนชั้นล่างในดาวที่แสนเจริญนั้น" นี่ละ ผมจึงเตือนคุณเวลาคุณติดต่อหรือสัมผัสกับมิติอื่นๆ ภพภูมิอื่นๆ ดาว อื่นๆ ได้แล้ว คุณอาจได้รับข้อมูลว่าสิ่งที่คุณค้นพบมันดีเสียนี่กระไร แต่ว่าคุณอาจไม่ได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุดกับตัวคุณเองก็ได้ครับ? ดังนั้น คุณควร "รู้แจ้งเห็นจริง" เสียก่อนที่จะปล่อยให้จิตใจของคุณถูกกลืนไปกับพลังงานที่เชื่อมโยงมาจากภพภูมิใดๆ, ดาวดวงใดๆ ฯลฯ ที่สำคัญยุคนี้ มีเพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่มีอัจฉริยะสูงสุด และรู้แจ้งได้ถึงภพภูมิทั่วทั้งจักรวาลได้ นอกจากนั้น ไม่มีครับ เราอาจสัมผัสได้บ้างบางภพภูมิ, บางมิติ หรือบางดวงดาว แต่เราจะไม่อาจรู้แจ้งเห็นจริงได้ทั้งหมดหรอกครับ นี่คือ ขีดจำกัดของพวกเรา ทว่า ถ้าคุณไม่เชื่อ ก็ไม่ว่าอะไรครับ แต่คุณอย่าลืมว่า "ผมได้เตือนคุณแล้ว" ก็แล้วกันนะครับ!


สุดท้ายที่ ผมอยากให้คุณทบทวนตัวเองสักนิดว่า "เริ่มต้นประกายความคิดของคุณในการสนใจหาดางดวงใหม่" มันเป็นเพราะอะไร? มันเป็นเพราะคุณกลัว? คุณเชื่อว่าดาวดวงนี้มีภัยพิบัติมาก และไม่อาจที่จะดำรงชีพอยู่ได้ หรือเพราะว่าคุณคิดว่าดาวโลกดวงนี้ยังไม่ดีมากพอ คุณจึงแสวงหาดาวดวงใหม่? และเมื่อคุณพบแล้วทางนิมิต ก็ดี, ทางสัมผัสพิเศษอื่นๆ ก็ดี ฯลฯ คุณก็อาจจะถูกพวกเขาดึงดูดและสอนให้คิดหรือมองในมุมใหม่ๆ และแน่นอนว่าอะไรที่เป็นของใหม่ มันก็มีความสด น่าสนใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว ทว่า ก็เหมือนกับสิ่งอื่นๆ อะไรที่ใหม่มาก ยังไม่มีใครเคยเดินไปก่อน คนที่เดินไปก่อนก็คือ "ผู้บุกเบิก" นะครับ และผู้บุกเบิกยังต้องพบกับอะไรที่ไม่คาดคิดอีกมากมาย กว่าจะถึงฝั่งฝันดังใจปรารถนาได้ ต่างจากการที่คุณยอมรับและเชื่อในดาวโลกดวงนี้ เรียนรู้ที่จะอยู่ และปรับตัวอยู่กับดาวโลกดวงนี้ โดยไม่ไปเปลี่ยนแปลงอะไรในดาวโลกดวงนี้มากเกินไป อย่างไหนกันแน่ที่จะดีกว่ากัน? และเหมาะสมกับทุกสิ่งทุกอย่างในตัวคุณมากกว่ากัน?

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทำบุญหวังผลชาติหน้า ก็คือ ความหลงผิดในกาลเวลาอย่างหนึ่ง?

สวัสดียามค่ำครับ มาพบกันอีกแล้วก่อนนอนหลับพักผ่อน วันนี้ผมมีเรื่องมาเม้าท์เล็กๆ เป็นเรื่องของคนหลงบุญ และคิดว่าบุญคือคำตอบ ซึ่งแท้แล้วมันไม่มีสาระอะไร มันไม่ต่างกันหรอกครับระหว่างบุญและบาปกรรม เพียงแต่มันมีหน้าที่คนละอย่าง ขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้ สำหรับคนที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ก็เท่านั้นเอง เหมือนแขนซ้ายและแขนขวาของเรา ที่ต้่องมีคู่กัน ก็เท่านั้นเอง เอาละ ผมจะค่อยๆ เม้า์ท์ให้ฟังก็แล้วกัน จะได้ช่วยคลายหายความหลงบุญกันบ้าง ดังนี้ครับ


อย่างที่ผมเคยได้บอกในบทความเก่าว่าการทำบุญนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดีจริง เพราะอะไร? เพราะมันให้ผลเมื่อสะท้อนย้อนกลับ ซึ่งต้องใช้เวลานาน เมื่อถึงเวลาที่ท่านได้รับ ท่านก็อาจเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม ตายแล้วเกิดใหม่ ชาติใหม่ รสนิยม ความชอบ ก็เปลี่ยนไปแล้ว พอถึงเวลาที่ได้ผลบุญออกมาแล้ว ก็อาจเป็นสิ่งที่ท่านไม่ได้ต้องการก็ได้ ดังที่เคยยกตัวอย่างว่า ผู้หญิงทำบุญปรารถนาจะได้ผู้ชายดีๆ ครองคู่ พอเกิดชาติใหม่ได้เป็นผู้ชาย ก็กลายเป็นว่าต้องมาเสวยผลบุญได้คู่เป็นผู้ชายไป นี่ชัดเจนเลยครับ ดังนั้น ท่านควรเข้าใจเสียใหม่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ทำบุญหรือหลงบุญ ท่านบอกแต่เพียงว่า "บุญกรรมมีผลจริง ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ทำดีก็ได้ดี ทำัชั่วก็ได้ชั่ว" แต่มันไม่มีสาระกับท่านแล้ว ท่านกล่าวว่า "ท่านลอยบุญลอยบาปแล้ว" กล่าวคือ ไม่เอาแล้วทั้งบุญและบาป เพราะอะไร? เพราะมันเป็นเครื่องปรุงแต่งสร้างชาติภพใหม่ให้ต้องไปเกิด ไปเสวยอีก ไม่สิ้นสุดนั่นเอง ดังนั้น ท่านจึงไม่้ต้องการบุญ ไม่ได้หลงบุญ และมีทัศนคติที่ "เป็นกลางต่อทั้งบุญและบาป" คือ เฉยๆ กับทั้งบุญและบาป ไม่ได้เอนเอียงไปเข้าข้างบุญหรือบาป ในขณะที่บางคนไม่เข้าใจ ก็คิดไปว่าพระพุทธเ้จ้าสั่งสอนให้ทำบุญมากๆ จนไปพูดกันกันว่าทำความดี ละความชั่ว นั่นเพราะเขามีความเข้าใจผิดในความดี, ความชั่ว, บุญ และบาป ทำให้มีทัศนคติที่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งที่เขาคิดว่าดีกว่านั้นๆ ทั้งที่จริงแล้วท่านไม่ได้สอนอย่างนั้นเลย แต่ก็มีความจริงอยู่ที่ว่า "คนบางคนปรารถนาจะสร้างบุญบารมี" กับพระพุทธเจ้า เขาก็ต้องมาเกิด มาทำบุญ มาทำบารมีของเขา เช่น มาเป็นองค์อุปถัมภ์ มาสร้างวัดให้ท่าน เป็นต้น


ทีนี้ ผมจะบอกให้ท่านเข้าใจใหม่ถึงเรื่องบุญกรรม สรุปสั้นๆ ว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาไม่ต้องไปเอนเอียงเข้าข้างไหน ใครทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น และไม่ต้องไปทำบุญเพื่อหวังว่าจะได้ผลบุญอะไรในชาติข้างหน้า คนที่ทำบุญแล้วสบายใจอันนั้นก็อย่างหนึ่ง คือ ทำเอาความสบายใจก็เท่านั้นเองแต่เรื่องบุญนี้เป็นเรื่องของกฏการสะท้อนกลับของพลังงาน คุณจะทำเพื่อให้คุณได้ดังใจหวังนั้น อย่าเลย เพราะความต้องการคุณก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว มันจะกลายเป็นว่าคุณทำวันนี้ หวังเอาวันหน้า แต่ว่าใจคุณก็เปลี่ยนไปแล้ว สุดท้าย คุณอาจไม่ได้ต้องการเมื่อถึงเวลารับผลบุญนั้นๆ ดังนั้น ผมจึงขอสรุปง่ายๆ เลยว่า คนที่ทำบุญหวังรับผลบุญข้างหน้านั้น เป็นพวก "สับสนในกาลเวลา" แทนที่จะทำสิ่งที่ควรทำ ณ ปัจจุบัน เพื่อทั้งหมดทั้งมวลกลายเป็นว่าทำ ณ ปัจจุบันเพื่อหวังผลในอนาึคต นี่แหละ "หลงเวลา" ถ้าคุณไม่หลงเวลา คุณจะเข้าใจว่าทำเลย ณ ปัจจุบันนี้ละ เพื่อทั้งหมดทั้งมวล ทั้งอดีต, ปัจจุบัน และอนาคต ที่เรียกว่าทำแบบ "Whole in once" (ทั้งหมด ณ ฉับพลัน) นั่นคือ คุณจะทำกรรมที่เรียกว่า "บุญหรือบาป" ก็ได้ทั้งนั้น ภายใต้กฏที่ว่าทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น บางครั้งคุณอาจต้องทำบุญบ้าง แต่บางครั้ง คุณอาจต้องทำกรรมบ้าง นี่ไม่ใช่เอาไปคิดเ้ข้าข้างตัวเองโดยการ อ้างเป็นเหตุผลแก้ตัวเวลาทำบาปนะครับ เพราะบางคนไม่เข้าใจและคิดเอาเองว่าตัวเองเข้าใจแล้ว เลยไปทำบาปซะตามใจตัวเองไปเลย ซึ่งมันไม่ใช่อย่างนั้น ผมไม่ได้บอกให้คุณทำอย่างนั้นเลย ที่ผมบอกว่าบางครั้งเรา้ต้องทำบาปบ้าง เพราะอะไร? เพราะบาปนี่แหละ ที่จะช่วยทำให้เราไม่หลงตัวเองได้ ถ้าเรามีแต่บุญเสวย ไม่มีบาปมาถึงตัวเราเลย เราก็จะหลงตัวเองแบบกู่ไม่กลับ ซึ่งมันจะยิ่งทำให้แย่ลงไปใหญ่


เอาละ ถ้าคุณยังไม่ใจร้อนรีบนิพพานและยังไม่หลงตัวเองเกินไปว่าจะนิพพานได้จริงๆ คุณพอเข้าใจตัวเองว่ายังมีชาติภพไปข้างหน้าอีก ก็ควรเข้าใจถึง "ศิลปะในการปรุงแต่งบุญบาป" ให้คุณได้มีทั้งส่วนบุญและบาปที่พอดี และทำให้เหมาะสมกับการเวียนว่ายตายเกิด อย่างไม่หลงตัวเองเกินไป และไม่อัตคัตขัดสนจนเกินไป มันก็เหมือนกับการผสมสีที่หลากหลายแล้ววาดลงบนผืนผ้าใบนั่นแหละ มันก็ต้องมีทุกสี ขาวบ้าง, ดำบ้าง ฯลฯ ครบหมดละครับ ความสำคัญมันจึงไม่ได้อยู่ที่สีอะไร (บุญหรือบาป) แต่มันอยู่ที่การรู้หน้าที่ของตน แล้วทำหน้าที่ของตนให้เหมาะสมแม้ว่าในการทำหน้าที่นี้อาจจะต้องทำทั้งบุญหรือบาปก็ตาม ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้ "ภาพรวม" จะออกมาเหมาะสม, พอดี, พอควรหรือไม่ ก็เท่านั้นเอง เช่น ถ้าท่านเกิดมาเพื่อทำหน้าที่อุปฐากพระพุทธเ้จ้า ท่านก็ควรจะทำไม่ใช่มัวไปสร้างบุญอะไรอย่างอื่นเสียมากมายจนลืมหน้าที่ของตนเองไป สำหรับบทความนี้ ขอจบเพียงเท่านี้ครับ ...

ได้มาก ได้เยอะ ได้ง่าย ระวังจะกลายเป็น "ชูชก" นะ

เลขท้ายสามตัว เลขที่ออก ต๊อด .... ต๊อด ....


เป็นไงครับ วันนี้หวยออก ถูกกันบ้างหรือเปล่า? โฮ่ๆๆ อย่าเพิ่งคิดมากครับ ถูกหรือไม่ ไม่ใช่สิ่งยืนยันถึงอะไรได้นัก อีกประการหวยมันก็แค่ความหวังกระตุ้นพลังคนรากหญ้าเท่านั้น เวลาถูกก็อย่าไปหลงดีใจมากละ และเวลาผิดก็ไม่ต้องเสียใจมากไป (ถ้าไม่เล่นเยอะอ่ะนะครับ) เอาเป็นว่าเป็นกิจกรรมยามว่าง กระตุ้นกำลังใจในการดำเนินชีวิตก็พอ ให้เรามีความหวัง มีกำลังใจบ้าง ก็พอครับ ไม่ต้องไปคิดจริงใจอะไรกับหวยมาก ให้เข้าใจวิถีชีวิตคนชนบทก็พอ ว่าเขาอยู่กันอย่างนี้ ชอบหรือไม่ชอบอะไร เพราะอะไร? ไม่ต้องถึงกับไปซื้อเอาเยอะๆ หวังให้ถูกชัวร์ๆ อะไรแบบนั้น อย่าลืมครับว่า "โชค" ไม่จำเป็นต้องเป็นหวยเสมอไป ตรงกันข้ามครับ คนที่ถูกหวย อาจเป็นคนโชคร้ายก็ได้ เอ๊ะ ยังไง ถูกหวยจะโชคร้ายได้อย่างไร น่าจะโชคดีไม่ใช่หรือ? เอ้า อย่างนี้ก็มีด้วยหรือ นี่ไงครับ เรื่องราวที่ผมจะเอามาเม้าท์ให้ฟังกันในวันนี้ ...


เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า คนบางคนได้อะไรมาดังใจคิด แค่คิดไม่นานก็จะได้รับเหมือนมีอะไรที่คอยช่วยทำให้ บางคนเรียกว่า "มีองค์" คอยช่วยให้ บางคนเรียกว่า "มีตัว" อะไรเหมือนกับมีผีคอยทำงานให้ เอาเป็นว่า ผมขอเรียกแบบกลางๆ ว่า "มีพลังพิเศษ" ทำให้ได้มาตามใจเรียกร้องต้องการก็แล้วกัน ซึ่งใช่ว่าจะดีเสมอไปนะครับเพราะของบางอย่างไม่ได้มาฟรีๆ ครับ คือ มันต้องแลกครับ เช่น ผีหรือเทพนั้นๆ ทำงานให้คนแล้ว เขาก็อาจจะรอรับสิ่งแลกเปลี่ยนอยู่ครับ เช่น เมื่อช่วยให้คนถูกหวยแล้ว เขาก็อาจจะรอเอาอะไรเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนครับ ถามว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เราได้มานั้น ได้มาแบบไหน? เช่น ๑. ได้มาเพราะบุญของเรา ที่เราควรได้จริงๆ ๒. ได้มาเพราะมิชอบ โดยสิ่งที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น และทำให้เราต้องจ่ายอะไร แลกเปลี่ยนให้ในภายหลัง เป็นต้น เพราะ "พลังงานที่ขับดันให้ได้มา" นั้น มันต่างกันครับ เช่น ถ้าคนที่ได้รับจากพลังพิเศษ "ภาคมืิด" ก็อย่างหนึ่ง ส่วนคนที่ได้รับจากพลังพิเศษ "ภาคสว่าง" ก็อย่างหนึ่ง ให้ลองดูอย่างนี้ครับว่าอะไรที่ได้มาโดยบุญนั้น มันจะไม่่ค่อยนำเรื่อง นำปัญหามาให้ภายหลัง และเราใช้หรือเสพมันได้เต็มที่ ไม่มีปัญหาครับ แต่สิ่งที่ได้มาโดยมิชอบ โดยพลังพิเศษ หรืออำนาจมืดนั้น มันก็จะตามมาด้วยความยุ่งยากวุ่นวายในชีวิต หรือความมืดมนในภายหน้า เช่น ถ้าถูกหวยแล้วแต่กลับเอาเงินไปซื้อรถยนต์ ทำให้ต้องหมดเงินไป และได้รถยนต์มาเป็นภาระและสร้างปัญหาให้แก่ตัวเองอีก อันนี้ ก็น่าคิดนะครับ ซึ่งของแบบนี้มันแยกแยะยากครับ ในคนบางคน จะได้เรื่อยๆ อยากได้ก็ได้ ได้ไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุดครับ และเขาก็อยากไปเรื่อยๆ แต่ชีวิตไม่มีความสุขครับ มีแต่ความวุ่นวาย ยุ่งเหยิง และปัญหาต่างๆ ไม่สุขสงบได้ เรียกว่ายิ่งได้ชีวิตยิ่งมืด ไม่ใช่ยิ่งได้แล้วยิ่งสว่างครับ


นอกจากนี้ "ผีหรือเทพ" นั้นๆ ก็นิยมให้อะไรแก่คนมากๆ เยอะๆ ครับ และจะให้อย่าง "ผิดปกติ" เช่น ถูกหวยทุกงวด อันนี้ แสดงว่าผีนั้นมีฤทธิ์ด้านให้หวยไงครับ (โดยเฉพาะเลย) ผีหรือเทพก็จะให้คนๆ นั้นได้ไปก่อน ไปเรื่อยๆ เหมือนกับชูชกที่ได้รับจากคนอื่นมากๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งก็ท้องแตกตายครับ นั่นคือ เขาจะให้คนๆ นั้นไปเรื่อยๆ จนกว่าคนนั้นจะหมดบุญ เรียกว่าให้เพื่อลดทอนพลังบุญลงไปเรื่อยๆ ก่อน จนเมื่อคนๆ นั้นหมดพลังบุญแล้ว เขาก็จะเริ่มออกลาย แผลงฤทธิ์ และทำอะไรบางอย่างที่เขาต้องการ เช่น ยึดครองร่างคนๆ นั้น ก็ได้ครับ ดังนั้น เราควรไม่ประมาทและตรวจดูตัวเองอยู่ตลอดด้วยว่าสิ่งที่เราได้รับมานั้น มันเกินกว่่าที่เราควรได้รับหรือไม่? เป็นการได้มาแบบผิดปกติหรือเปล่า? อย่าไปหลงเพลินกับการได้อะไรมาแบบผิดปกติมากไป เพราะมันอาจนำหายนะมาให้ชีวิตเราในภายหลังได้ครับ เราควรยินดีกับสิ่งที่ได้มาแบบบริสุทธิ์ถูกต้องจะดีกว่า เพราะจะปลอดภัยต่อตัวเราเองมากกว่าครับ สำหรับบทความนี้ ขอจบลงเพียงเท่านี้ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เมื่อคุณเตรียมการณ์รับภัยพิบัติ คุณก็ได้ส่งพลังให้ภัยพิบัติเกิดแล้ว!


คันหู ... ม่ายรู้ว่าคันตรงหนาย เอาแตงกวา มาปั่นก็ไม่หาย คันหูทีไร ขนลุ้กกก ทุกที ถ้าใครหายาหล่อลื่นได้ จะเอาอะไร จะให้เอาทันที...


ตั๊บๆๆๆ เย้ย พอได้แล้ว 555 เอาเป็นว่าเริ่มต้นจากเพลงคลายเครียด ขำๆ สนุกๆ กันนะครับ ก่อนจะวกมาเข้าเรื่องน่าตื่นเต้นกันในวันนี้ นั่นก็คือ เรื่องพลังจิตที่ส่งให้เกิดภัยพิบัติโดยไม่รู้ตัวครับ ผมสรุปง่ายๆ เลย เมื่อใดนะที่คุณเตรียมตัวรับภัยพิบัติ เมื่อนั้นแหละ คุณได้ส่งพลังจิตให้เกิดภัยพิบัติไปแล้ว เพราะอะไรละ? โธ่คุณเอ๋ย ก็ก่อนคุณจะเริ่มเตรียมตัว คุณก็เชื่อไปแล้วไงว่ามันจะเกิดขึ้น และไอ้พลังความเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นนี่ละ ที่กลายเป็นพลังหล่อเลี้ยงให้เกิดภัยพิบัติ แต่ว่ามันจะไม่เกิดแบบที่คุณคิดหรือเชื่อหรอก มันจะไปเกิดอีกที่หนึ่ง หรืออีกอย่างหนึ่งแทน แหม ก็ถ้ามันเกิดอย่างที่คุณคิดหรือเชื่อ มันก็จะไม่ใช่ภัยพิบัติน่ะสิ เพราะมันจะกลายเป็นเรื่องที่ "วางแผนรับมือล่วงหน้าได้" ไปซะไม่ใช่ภัยพิบัติแน่นอน เอาละ คุณพอเข้าใจมั้ยว่าการที่เราเตรียมตัวรับภัยพิบัตินั้น มันเป็นการ "ส่งพลังแห่งความเชื่อ" หล่อเลี้ยงภัยพิบัติได้ยังไง? เอาละ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดคิดว่าผมต่อต้านการรับมือหรือวางแผนรับภัยพิบัติละ ผมไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้นเลย แต่เราต้องมีการดำเนินชีวิตที่อยู่ภายใต้สมมุติฐานความเชื่อที่ดีกว่านั้นสิครับ


กล่าวคือ ถ้าคุณเห็นว่า "อ้อ ภัยพิบัติมันเป็นเรื่องธรรมดา" จะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น ก็ปกติมันยังงั้นแหละ จะเกิดเวลาไหน มันก็ได้ทั้งนั้น ใครจะไปรู้ได้หมดละ ว่าแผ่นดินจะไหววันไหน, ซึนามิจะมาเมื่อไร? เอาเป็นว่ามันก็เป็นไปตามธรรมชาติของมันเองนั่นแหละ ไม่ใช่ว่าเราประมาทนะ แต่เรารู้และเข้าใจมันในฐานะ "ไม่เที่ยง" ไม่ใช่สิ่งที่จะยึดมั่นถือมั่นได้ ทีนี้ เราเตรียมตัวเตรียมใจของเรา "พร้อมไหมละ" เช่น มีธรรมในใจมากพอ จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่หวั่นไหวแล้ว อ่ะ ทีนี้ ก็สบายนะ เกิดอะไรขึ้นก็ยอมรับมันได้หมดละ ทีนี้ แทนที่เราจะมานั่งอยู่บนฐานความเชื่อที่ว่า "ภัยพิบัติจะมาแล้ว เราจะทำอย่างไรกันดี ทำอย่างนี้ดีไหม?" อะไรอีกมากมายหลายแหล่ เราก็เปลี่ยนมานั่งอยู่บนฐานความเชื่อที่ว่า "ว้าว โอกาสทองมาแล้ว พลังแห่งการยกระดับของเรากำลังจะได้รับการกระตุ้น ตื่นเต้นดีจัง" จากนั้น เราก็เอาพลังนั้นไปใช้ทำสิ่งที่ควรทำต่อไป (ผมไม่ได้ห้ามในการเตรียมการป้องกันอะไรสักหน่อย ทำได้ แต่ทำบนฐานของความเชื่ออย่างไร มากกว่าครับ) ที่นี้ ก็ทำไปสิ ไม่ว่าจะเป็น "สถานที่รองรับคนจำนวนมากๆ" ก็ดี, "คลังเก็บของใช้ที่จำเป็นเคลื่อนย้ายได้สะดวก" เช่น เต้นท์, น้ำดื่มขวด, อาหารแห้ง, ห้องน้ำเคลื่อนที่ ฯลฯ คือ ช่วยกันทำเรื่องพวกนี้ ด้วยฐานความคิดที่ว่า "โอกาสทองที่พลังแห่งการยกระดับของเราจะมาถึงแล้ว เราก็เลยรีบคว้าโอกาสนั้น ทำงานซะเต็มที่ไปเลย" แต่ไม่ได้คิดว่าภัยพิบัติมันจะต้องเกิดขึ้นจริงหรอก ทำไปเพื่อกระตุ้นพลังแห่งการยกระดับเท่านั้นเอง นี่ไง มันต่างกันใช่ไหม? ในเรื่องพื้นฐานความเชื่อ, ความรู้สึกภาย ใน แต่ภายนอก มันก็ทำงานได้เหมือนกันนั่นแหละ ไม่ได้ห้ามทำเลย


เอาละ เห็นคุณบางคน, บางกลุ่ม กำลังเตรียมตัวรับภัยพิบัติกันวุ่น พอมีการกำหนดวัน หรือพอเจอวันที่มีเลขเด็ดๆ ทีไร (เช่น 12/12/12) ก็จะต้องมีการทำอะไรเพื่อรับภัยพิบัติแล้ว ผมก็เลยบอกท่านว่าท่านก็ได้ส่งพลังแห่งความเชื่อว่าจะมีภัยพิบัติไปหล่อเลี้ยงมันแล้ว หรือพลาดท่าหลงกลเขาเข้าให้แล้ว (เขาต้องการพลังจิตจากความเชื่อของท่านจำนวนมากๆ ในการทำให้เกิดภัยพิบัติ อย่าลืมสิ!) ผมเลยบอกว่าผมไม่ได้ห้ามหรอกการเตรียมการอะไรของคุณ เพียงแต่ผมมาตรวจเช็คดู "พื้นฐานความเชื่อ" ในการทำงานของคุณให้ว่าคุณเริ่มต้นทำงานของคุณอยู่บน "พื้นฐานความเชื่อ" แบบใด ก็เท่านั้นเอง เอาละ สำหรับบทความนี้ ไม่มีอะไรมาก สบายๆ ไม่ต้องเครียดอะไรนะ สวัสดีครับ

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

กามบริสุทธิ์ และการสมรสทางจิตวิญญาณ ที่คุณจะทำกับใครก็ได้?

โอ้ว มายก็อด อย่าเพิ่งขวัญหนีดีฝ่อไปก่อนละ เมื่อเห็นกระทู้น่าเสียวใส้ของผมเข้าแล้ว ก็อย่างว่าละครับ มันน่าหวาดเสียวจริงๆ แต่ช้าก่อน ต้องลองเปิดดูข้างในด้วยนะครับ หุๆๆ ว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่ ก่อนอื่น ผมต้องบอกก่อนครับว่าที่เขียนบทความนี้ออกมาได้ เพราะผมไปศึกษาดู "ลัทธิต่างๆ" ของอเมริกา เช่น นิกายมอร์มอน, นิกายแอปเปิ้ล ไวท์ (ซึ่งได้นำพาคนฆ่าตัวตายหมู่ พร้อมทั้งตัวเองด้วยไปหมดแล้ว) และบางนิกายเจ้าลัทธิถูกจับจำคุกตลอดชีวิต ข้อหาพรากผู้เยาว์ครับ เอาละ อย่าเพิ่งไปตัดสินใครอย่างผิวเผินละครับ ถ้ายังไม่รู้จักเขาจริงๆ ยังไม่ได้สัมผัสหรือมองให้ทะลุและรอบด้าน ทว่า ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนว่า "ผมไม่ใช่คริสเตียน, ไม่ใช่มอร์มอน, ไม่ใช่นิวเอจ และไม่ใช่แอปเปิ้ล ไวท์ด้วย แต่ผมก็เปิดใจกว้างศึกษางานของพวกเขาเช่นกันครับว่าทำไมจึงมีคนเชื่อได้มาก (แม้แต่มิตรอมนี่ก็อยู่ในนิกายมอร์มอนครับ) เอาละ เพื่อให้ไม่เป็นการเสียเวลา ผมจะเม้าท์ในแบบของผมก็แล้วกัน รับรองว่าไม่เหมือนกับของลัทธิอะไรที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนั้น (แต่ก็มีพื้นฐานบางส่วนคล้ายกัน ที่ผมได้ศึกษามาจากพวกเขาครับ) 


เข้าเรื่องเลยละกัน อย่างแรก ผมขออธิบายคำว่า "กาม" ก่อน คำว่ากามมันแปลได้หลายระดับมิติครับ ขึ้นอยู่กับระดับมิติของคนๆ นั้น ถ้าคนๆ นั้นอยู่ในระดับมิติที่สาม เขาจะมีกามโดยใช้สังขารร่างกายครับ แต่ถ้าคนๆ นั้นอยู่ในมิติที่สูงขึ้น เขาก็จะออกห่างจากการมีกามทางสังขารร่างกายครับและนั่นหมายความว่าเขาจะไม่ผิดประเวณี, ไม่ผิด กฏหมายอะไรเลยครับ เพราะร่างสังขารเขาไม่ได้ไปทำอะไรใครนี่ครับ เช่น ในคนที่มีจิตสูงมากๆ เทียบเท่ากับเทพสวรรค์ชั้นที่หก เขาก็จะไม่ต้องมีกามทางร่างกายกับใครครับ เขาก็จะใช้แค่การนึกถึงคนที่เขารัก เขาชอบ ก็พอ อิ่มแล้ว จบแล้ว ไม่ผิดกฏหมาย ไม่ผิดประเวณีครับ ทีนี้ ถ้าเราถูกทดสอบขึ้นมา เราจะทำได้จริงไหม? ถ้าจู่ๆ เขาเอาคนมาให้เรามากมาย ห้อมล้อมมารักมาชอบเราเต็มไปหมด อันนี้ ก็ต้องพิสูจน์ตัวเองละครับว่ายังมีกามแบบมิติสูงๆ ได้ไหม หรือว่าจะหวนกลับไปแบบมิติที่ต่ำอยู่อีก สรุป ตรงนี้ก่อนนะครับว่า "กามบริสุทธิ์" ยังนับว่ามีกามครับ ไม่ใช่แบบพระอรหันต์ที่ไม่มีกามนะครับ ถ้าเราไม่รีบจะตั้งตัวเป็นอรหันต์ไปตอนนี้ มันก็มีกามกันทั้งนั้น ไม่หลุดพ้นจากกามไปได้ครับ ผมเลยกล่าวถึงกามขั้นละเอียด คือ "กามบริสุทธิ์" ดังกล่าวครับ


เรื่องต่อไป ก็คือ "การสมรสทางจิตวิญญาณ" ซึ่งในนิกายมอร์มอนได้พูดและทำด้วยครับ ถามว่าทำได้ไหม? ก็ได้ ในประเทศจีนก็มีคนที่เขาต้องแต่งงานกับป้ายวิญญาณไงครับ ผมเองก็ทำแก้เคล็ดและเป็นการเคลียร์สัจสัญญาเก่าในอดีตชาติครับ แค่ทำพิธีเท่านั้น เราไม่ได้เอาใครมาทำร้ายสักหน่อย อย่าลืมว่า "การแต่งงานมันก็แค่พิธีกรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น" มันไม่ได้หมายถึงว่าเราต้องผูดโยงอะไรไปทุกอย่าง ขอยกตัวอย่างเช่น ถ้าในอดีตชาติคุณติดสัจสัญญาให้ไว้กับปีศาจว่าจะแต่งงานกับเขา (ปีศาจอาจแปลงร่างเป็นคน และคุณก็ไม่รู้ แต่เผลอพลั้งปากสัญญาไปแล้ว) คุณก็แค่ทำพิธีแต่งงานเท่านั้นเอง แล้วคุณก็ไม่ต้องไปนอนกับปีศาจหรืออยู่ร่วมกับปีศาจก็ได้ ก็คุณสัญญาแค่ว่าจะแต่งงานเท่านั้นนี่ ไม่ได้หมายความว่าจะมีอย่างอื่นด้วยหรือเปล่า? ใช่ไหมละ เอาละ ถ้าคุณเป็นอย่างพระถังซัมจั๋งที่ไปเผลอให้สัจสัญญากับปีศาจแมงมุม (ซึ่งเขาอยู่ร่วมกันเยอะมากเป็นร้อยๆ พันๆ ตัว) คุณจะทำอย่างไรละ นี่แหละ ผมถึงบอกว่ามันแต่งงานกันได้ เพราะมันก็แ่ค่ "พิธีกรรม" เท่านั้นเอง แต่ว่าคุณไม่ควรผิดสัจสัญญากับใครละ ไม่ดีรู้ไหม ตัวเอง แต่เวลาทำตามสัจสัญญาคุณก็ควรทำด้วยปัญญาสักนิด ก็จะไม่ลำบากแก่ตัวเอง เอาละ สำหรับคืนนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ ...        

เมื่อคุณรักหรือศรัทธาใคร มันส่งผลให้คุณยกระดับสูงขึ้นหรือต่ำลงได้ทีเดียว!

หวัดเด ตัวเองเป็นไงมั่ง กินอะไรอยู่อ่า อย่าแอบหลับตอนเจ้านายเผลอนะ เดี๋ยวได้ลาพักสบายไปยาวเลย อ่ะจึ๊ย เย้ย ล้อเล่น ขำๆ นะ ตัวเอง เป็นไงบ้างละเมื่อวาน เขาได้บอกให้ตัวเองรู้ความลับของการเลื่อนระดับโดยใช้ "ความรัก" ไปแล้ว วันนี้ ก็จะมาขยายความให้กว้าง และยิ่งกว้างขึ้นไปอีก นิดส์นึง ถึง หน่อยน้อย นะจ๊ะตัวเอง เอาละ ถ้าจะให้เขาพูดกว้างๆ มันก็คือ "การจูนกันทางพลังงาน" นั่นเอง ซึ่งในการจูนกันนี้มีสองแบบใหญ่ๆ นะ คือ ๑. การจูนแบบคล้อยตามกัน และ ๒.การจูนแบบตรงกันข้าม ซึ่งมันไม่ยากอะไรเลยอ่ะตัวเอง มันเป็นของธรรมดา ธรรมชาติ มานานมากแล้ว แต่ตัวเองอาจทำไปโดยไม่มีใครอธิบายให้ฟังละเอียดเท่านั้นเอง เอาละ วันนี้ เขาก็จะมาอธิบายให้ตัวเองฟังก็แล้วกัน ไม่ถึงกะละเอียดมากหรอก เอาพอแต่สังเขปก็แล้วกัน


อย่างแรก การจูนแบบคล้อยตามกัน ก็คือ ถ้าเขาเป็นพลังบวก เราก็จะเป็นพลังบวกด้วย ซึ่งการจูนกันแบบนี้จะเกิดขึ้นด้วย "จิตใจ" ของเรามีลักษณะหลายอย่าง แต่ทุกอย่างจะเป็นไปทางคล้อยตามกัน เช่น การจูนกันด้วย "ความรัก", การจูนกันด้วย "ความศรัทธา", การจูนกันด้วย "ความเห็นพ้องต้องกัน" ฯลฯ ทว่า มันจะมีผลเฉพาะ "พลังงานชั้นนอก" เท่านั้น (ในร่างกายของเราจะมีพลังงานเชิงซ้อน ซ้อนกันอยู่หลายชั้น และสิ่งนี้มีผลเฉพาะพลังงานชั้นนอกสุด เท่านั้นเอง) เช่น ถ้านาย ก. มีพลังชั้นนอกอยู่ในกลุ่ม "เทพภาคมืด" (พวกซาตาน) ซึ่งเขามีเปลือกนอกที่น่าศรัทธามาก แต่เราไม่รู้เบื้องหลังของเขา เราก็เลยไปศรัทธาเขาเต็มๆ เราก็จะได้รับพลังเทพภาคมืด มาแบบเต็มๆ ได้เช่นกันนะครับ อันนี้ ซวย โทษใครไม่ได้ เพราะ "ใจง่าย" ใช้ความศรัทธาฟุ่มเฟือยไม่รู้จักคิด ไม่ดูให้ดี ให้รอบคอบก่อน เองนะครับ 


อย่างที่สอง การจูนแบบตรงข้ามกัน ก็คือ ถ้าเขาเป็นพลังบวก เราก็จะเป็นพลังลบไป (แต่ถ้าเขาเป็นพลังลบ เราก็จะเป็นพลังบวก) ซึ่งเกิดได้ด้วยใจเราอีกเช่นกัน มีได้หลายแบบ ทุกแบบจะเป็นไปในทางตรงข้าม เช่น การจูนด้วย "ความเกลียดชัง", การจูนด้วย "การต่อต้าน", การจูนด้วย "ความเห็นขัดแย้ง" ฯลฯ ทว่่า นี่ก็มีผลเฉพาะพลังงานชั้นนอกเท่านั้น เช่น ถ้าคุณไปพบพระอรหันต์ แต่ท่านมีเปลือกนอกที่ดูไม่น่าศรัทธา คุณอาจรู้สึกต่อต้านเขา และคุณก็จะได้พลังมารไปเลยครับ แต่ถ้าคุณไปเจอพวกซาตาน ที่ดูดีเปลือกนอก แต่มีเบื้องหลังมืดดำที่ซ่้อนความผิดบาปเอาไว้มากมาย คุณต่อต้านเขา คุณอาจได้รับพลังได้หลายแบบ เช่น ถ้า่ต่อต้านด้วยจิตที่โกรธแค้น ก็จะไ้ด้พลังมารครับ (แม้แต่การต่อต้านยาเสพติด ก็สามารถได้พลังมารได้ครับ) ตรงข้าม ถ้าคุณจูนแบบตรงข้ามด้วย "ความเห็นขัดแย้ง" แต่คุณไม่ได้โกรธหรือแค้นอะไรเขา คุณก็จะได้ "พลังกลุ่มเทพและโพธิสัตว์" ได้เช่นกัน


สิ่งนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่าย เปลี่ยนแปลงง่าย และไม่ใช่แก่นแท้นะครับ แต่มันจะส่งผลต่อวิถีชีวิตของเรามากเลยครับ เพราะพลังงานชั้นนอกนี้คือ "เครื่องจูนเอาบุญหรือบาปมาสู่ตัวเราครับ" ส่วนพลังงานชั้นในมันจะเป็นเคลื่องเจือจางให้สิ่งที่เขามาน้อยลง หรือยิ่งทำให้มากขึ้นก็ได้ เช่น ถ้าเราไปศรัทธาพระกษิติครรภ์มาก แต่ไม่ได้ถวายตัวรับใช้ก็จะไม่ได้รับพลังเทพ (พวกเทพวานร, เทพหมู ไงครับ) แต่อาจจะได้รับ "พลังของเปรตหรือสัตว์นรก" ได้ ทำให้เราอ่อนแอป่วยง่ายหรือเอาแต่ร้องขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิสิทธิ์ ช่วยตัวเองไม่เป็น ไม่ต่างจากสัตว์นรกหรือเปรตเลยครับ นี่ละ ผลจากการจูนพลังงานที่ส่งผลทันทีต่อชีวิตของคุณ ณ ฉับพลัน ไม่ต้องรอชาติหน้าครับเพราะมันไม่ใช่การทำบุญ แต่มันเป็นพลังงานที่จูนเอาพลังบุญหรือกรรมเข้ามาได้ครับ นี่ถ้าคุณเปลี่ยนวิถีเล็กน้อย จากการเอาแต่ร้องขอจากองค์กษิติครรภ์ไปเป็นการให้ความช่วยเหลือท่านคุณก็จะไ้ด้รับพลังจากพระโพธิสัตว์ในกลุ่มอวโลกิเตศวรได้ครับ เห็นไหมว่ามันมีผลต่างกันมากแค่ไหน? ถ้าคุณเข้าใจถึง "ศิลปะในการจูน" รับรองว่าคุณไม่ต้องทำบุญเพื่อรอผลในชาติหน้าเลย แต่มันให้ผล "ทั้งหมด ณ ฉับพลัน" ได้เลยละครับ...
    

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

"ความรักทะลุมิติ รักขั้นเทพ" มันเป็นยังไงเหรอ?

"รักเอย จริงหรือที่ว่าหวาน หรือทรมานใจคน ..." 


อ่า วันนี้เริ่มต้นจากเพลงรักหวานซึ้งนะครับ เหมาะสำหรับคนที่ยังไม่แก่ ย้ำครับ "ยังไม่แก่!" 555 ใครที่แก่แล้วนะ โอ้ย... กระทู้นี้ไม่เหมาะสำหรับคนแก่ๆ อย่างคุณแน่ ดังนั้น สำหรับคนที่ยังหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว และสาวรุ่นเปรี้ยวเข็ดฟันทั้งหลาย จะต้องอดอ่านอะไรที่มันเป็นแบบเนี้ย ไม่ได้แน่ๆ เลยละตัวเอง เพราะว่ามันเหมาะสมกับวัยและใบหน้า (หนังหน้า) อันอ่อนเยาว์ของพวกเราทั้งหลาย หุๆๆ เอาละตัวเอง อย่า เพิ่ง Serious นะ เขาก็แค่ล้อเล่นขำๆ นะตัวเอง มานี่ๆ เขาจะเล่าอะไรให้ฟังเป็นนิทาน สนุกๆ นะตัวเอง เกี่ยวกับความรักนี่ละ เพราะมันใช่เลย เหมาะกับวัยหนุ่มสาวของพวกเรามาก ถึงมากที่ซู้ดดดด ...


คือ เขาอยากจะบอกตัวเองว่าความรักน่ะ มันมีหลายระดับ หลายแบบ,    หลายมิติ นะตัวเอง ถ้าตัวเองอยากศึกษาเรื่องนี้ ตัวเองต้องมีแฟนหลายๆ คน หลายๆ เพศ หลายๆ วัย หลายๆ species เย้ย ม้ายช่าย ไม่ใช่อย่างนั้นนะตัวเอง เดี๋ยวจะเข้าใจเขาถูกหมด เอ้ย เข้าใจเขาผิด คือ ไม่ใช่ว่าเราจะมีแฟนเยอะขนาดนั้นหรอกตัวเอง แม้ว่าเราจะดูดีมั๊ก ม้ากก เลย หรือว่าตัวเองจะน่ารักอ่ะ หล่อ สวย ในคนเดียวกัน และก็ดูดี มีกังนัมสไตล์ แถมยังใจดี โอ้ย หาไม่ได้อีกละ ฮ่าๆๆ ยิ่งพูดยิ่งยาว เอ้าสรุปเลยละกัน เค้ารักตัวเองอ่ะ เอ้ย ไม่ใช่เรื่องนั้น กลับๆ มาก่อน คือ เราสามารถเรียนรู้เรื่องความรักได้ในหลากหลายแง่มุม ทั้งในมุมที่สูงขึ้น ละเอียดขึ้น มีระดับมากขึ้น ก็ดี, ในมุมที่หลากหลายมิติ เช่น รักแบบพี่น้อง, เพื่อน, พ่อแม่, แฟน ฯลฯ ก็ดี, ในมุมที่แบบว่าเชื่อมโยงไปเรื่องอื่นๆ เช่น รักใคร่, รักหลง, รักเมตตา, รักหวังดี, รักครอบครอง ฯลฯ เห็นไหมละตัวเอง ว่าความรักนะ มันกว้างจะตาย แล้วตัวเองจะไปรู้จักมันได้ขนาดไหนกัน ตัวเองอ่ะ ต้องมารักเขาก่อนนะ ตัวเองถึงจะรู้ัจักความรักได้ อ่ะ ม่ายช่าย 555 พูดเล่นไปเรื่อย เอามันส์ สนุกๆ ฮาๆ นะครับ เอาเป็นว่า มันไม่ใ่ช่ของเด็กเล่น มันไม่ใช่ดาว ดังนั้น จึงห้ามเล่นนะหนู เด็กๆ อย่าไปริเล่นกับความรักมากละ เพราะว่ายังเด็กอยู่นะจ๊ะ


เอาเป็นว่ามันเยอะยังกะทะเลอ่ะ เขาเลยมาเล่าให้ตัวเองฟังสักสองอย่างก็แล้วกัน เป็นการยกตัวอย่างนะ ที่เหลือตัวเองต้องเอาตัวมาเป็นหนูทดลองให้เขาลองตัวเองละ เย้ย ไม่ช่ายอีกละ ตัวเองต้องไปหาประสบการณ์เอาเองนะ เขาให้ประสบการณ์ตัวเองไม่ได้หรอก เพราะว่ามันดุเด็ด เผ็ดมัน และร้อนแรงมากๆๆ ตัวเองรับไม่ได้หรอกนะ หุๆๆ คือ จะเล่าให้ฟังว่าคนเราเนี่ย มีความรักไม่เหมือนกันใช่มั้ยละ ทีนี้ ถ้าใครเลื่อนระดับไปสู่มิติที่สูงมากขึ้นได้ เขาก็จะมีความรักที่เปลี่ยนไปจากเดิมละตัวเอง เขาเรียกว่า "รักขั้นเทพ" ก็ดี, "รักขั้นเซียน" ก็ดี, "รักขั้นโพธิสัตว์" ก็ดี ฯลฯ แล้วก็ทะลุมิติออกนอกโลกกลายเป็น "รักขั้นต่างด้าว เอ้ย ต่างดาว" ไปเลย โฮ่ๆๆ เอาละ สรุปว่า มันก็คือความรักในอีกระดับหนึ่ง ซึ่งในระดับที่สูงมากๆ นั้น ความรักของพวกเขาจะยิ่งบริสุทธิ์ขึ้น และละเอียดขึ้น คำว่าบริสุทธิ์ขึ้นก็คือความรักของพวกเขาจะไม่ถูกเจือปนด้วยสิ่งอื่นใดเช่น ไม่เกี่ยวโยงด้วยการครองคู่, ไม่เกี่ยวโยงด้วยการเลี้ยงดู, ไม่เกี่ยวโยงด้วยการให้อำนาจหรือสนับสนุน ฯลฯ นอกจากนี้ จะค่อยๆ ห่างจากร่างกายไปมากขึ้น เช่น ถ้าคุณเลื่อนระดับไปสู่มิติที่สูงมากๆ ได้ คุณจะไม่ต้องใช้ร่างกายเพื่อประกอบความรักเลย เพียงแค่คุณคิดถึงเขา แม้ว่าเขาอยู่ห่างไกลแค่ไหน คุณก็สมรักได้แล้วครับ เห็นไหมว่ามันง่าย สะดวก ปลอดภัย และละเอียดมากขึ้น


ทีนี้ "ความรักจะช่วยพยุงอีกฝ่ายให้เลื่อนระดับสูงขึ้นได้" อันนี้เป็นความลับยิ่งยวดเลยนะ สมมุติว่าคนๆ หนึ่งกำลังเลื่อนระดับอยู่ ทว่า เขายังเลื่อนระดับไม่สำเร็จ พยายามเหนื่อยมากเลย ไม่ยากเลยครับ ใช้ "พลังแห่งรัก" นี่ละ ดึงเขาขึ้นมาเลย เช่น ผู้มีพลังแห่งรัก อาจจะตั้งตัวเองเป็น "องค์ธรรมบิดา" แล้วให้คนประสานความรักแบบพ่อลูกกับตน ถ้าทำได้สำเร็จ พวกเขาเหล่านั้นก็จะเลื่อนระดับได้อย่างง่ายมากเลย แต่ว่าพวกเขาจะได้รับพลังของ "เด็ก" นะครับ อันนี้ ช่วยไม่ได้ เพราะเขาจูนพลังกับองค์ธรรมบิดา เขาจึงได้เลื่อนระดับไปได้แต่ไม่วายต้องเป็นเด็ก ทีนี้ ถ้าคุณจูนกับคนที่ไม่ใช่องค์ธรรมบิดาละ คุณจูนพลังแห่งรักแบบเท่าเทียม เหมือนรักของชายหญิง กับผู้ที่อยู่ในมิติที่สูงขึ้่นได้ ผลก็คือ คุณจะเลื่อนระดับไปสูงขึ้นได้ โดยที่คุณไม่ต้องเป็นเด็ก คุณจะเป็นผู้ใหญ่เลยในมิตินั้นๆ อันนี้ คือ ข้อดีประการหนึ่งของการเลื่อนระดับโดยใช้ "พลังแห่งรัก" แต่คุณต้องระวังไว้ด้วยละว่าเขาอาจจะยึดอยู่ใน "ความรักมิติที่สาม" เขาอาจต้องการมีกาม, ต้องการได้ครองคู่, ต้องการเป็นเจ้าของ หรือแม้แต่หึงหวงคุณ นั่นแหละ ความรักแบบมิติที่สาม ซึ่ง "มันหยาบมากๆ เลยนะตัวเอง" ถ้าคุณดึงเขาไม่สำเร็จ คุณอาจถูกเขาดึงรั้งลงให้ต่ำก็ได้นะ ดังนั้น เมื่อคุณใช้พลังแห่งรักดึงใครสู่มิติที่สูงขึ้นก็ตาม พึงไม่ประมาท ต้องระวังตัวคุณไม่ให้ถูกเขาดึงลงสู่มิติที่ต่ำลงไปด้วยละ เดี๋ยวจะหาว่าข่อยบ่เืตือน สิบอกไห่ !  

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

"องค์ธรรมบิดา" ของคุณเป็น "ปีศาจจำแลง" หรือไม่?

เฮ้ ตัวเอง ตัวเองนั่นแหละ มานี่เลย เค้าจะเล่าอะไรให้ตัวเองฟังนะ แต่ว่าขอบอกไว้ก่อน ว่ามันลึกลับมากๆ เลยละตัวเอง เค้าน่ะ ไม่อยากพูดหรอกนะ ไม่อาว ไม่พูด คุณแม่ขอร้อง คุณน้องขอคาราโอเกะ อ้่าว ไปไหนแล้วซะนั่น อุ้ย ขำๆ ฝืดๆ ผ่อนคลายยามเช้าก่อนทำงานนะตัวเอง


เอาละมาเข้าเรื่องเข้าราวกันดีกว่าครับ ไม่มีอะไรมากนะครับมันเป็นแค่ข้อมูลเล็กๆ ที่ช่วยตรวจเช็คอะไรบางอย่างให้คุณนะครับ นั่นก็คือ การดู "องค์ธรรมบิดา" ว่าท่านคือใครกันแน่? คือ เรื่องมันเป็นมาอย่างนี้นะครับ แบบว่าในโลกทิพย์ หรือในมิติอื่นๆ เนี่ย มันมีอะไรเยอะแยะมากเลย แล้วทีนี้ มันก็อาจจะมีบางตัวตน, บางท่านที่อ้างตัวว่าเขาคือ องค์ธรรมบิดา ถามว่าจริงไหม? ก็อาจจะจริงได้ครับ เพราะว่าเราเกิดตายมาก็หลายชาติ หากจะมีจิตวิญญาณสักดวงหนึ่งที่จะเคยเป็นบิดาเราก็ไม่แปลกอะไรนะครับ มันเป็นไปได้ คำถามที่เราควรถามตัวเองต่อไปคือ เรามีองค์ธรรมบิดาองค์เดียวหรือไม่? ควรแล้วหรือที่เราจะถูกผูกขาดด้วยองค์ธรรมบิดาองค์นี้? หรือเราสามารถเลือกองค์ธรรมบิดาองค์อื่นได้อีก? มีองค์ธรรมบิดาองค์อื่นที่ดีกว่านี้หรือไม่? และองค์ธรรมบิดาองค์นี้มีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง? นี่ควรเป็นคำถามที่ท่านควรถามตัวเองก่อนรับ "องค์ธรรมบิดา" องค์นั้นนะครับ ไม่เช่นนั้นแล้ว ท่านก็จะรับไปโดยไม่ทันได้คิดอะไรเลย สิ่งนั้น (จิตวิญญาณ) เข้ามาติดต่อท่าน ให้ท่านเปิดใจรับเขาในฐานะองค์ธรรมบิดา ท่านก็รับไปเลย ทั้งๆ ที่อาจจะมี "จิตวิญญาณศักดิิสิทธิ์" อีกมากมายที่ทำหน้าที่เป็นองค์ธรรมบิดาได้และยิ่งกว่านั้นก็คือองค์ธรรมบิดาบางองค์ก็อาจเป็น "ปีศาจจำแลง" ก็ได้ ไม่แปลกเลยครับ คนเราเวียนว่ายตายเกิดหลายชาติภพ ถ้าเราจะเคยเกิดในภพภูมิชั้นต่ำ, ปีศาจ, ซาตาน, อสุรกาย ฯลฯ ก็ไม่แปลกอะไรเลยนะครับ ดังนั้น "จิตวิญญาณที่เคยเป็นบิดาของเรา" อาจจะมาติดต่อเราก็ได้ ถ้าเราไม่หลงกล เราโปรดเขา อย่าให้เขาครอบงำเราสิครับ แต่ถ้าเราไม่ทันเล่ห์กลตรงนี้ เราก็อาจถูกครอบงำช่วงใช้ได้ครับ


ทีนี้ กลับมาที่ "พระบิดาจักรวาล" กันบ้าง บางครั้ง บางคนก็สัมผัสได้ครับ แต่ท่านจะเป็นใครอันนี้ เราควรต้องดูลึกซึ้งด้วยนะครับ ตัวอย่างเช่น เทพยูเรนัส (ดาวมฤตยู) ก็สามารถอ้างว่าเ็ป็น "พระบิดาจักรวาลได้" เพราะอะไรหรือครับ? เพราะ ๑. ท่านคือ ผู้ให้กำเนิดสรรพชีวิตในโลกนี้ตั้งแต่ยุคต้นๆ ก็เลยเรียกได้ว่าเป็น "พระบิดา" ๒. ท่านอยู่บนฟ้า เป็นเทพที่อยู่เหนือภาคพื้นดินขึ้นไป เรียกว่ามาจากจักรวาล ก็เลยใช้นามว่า "พระบิดาจักรวาล" ได้ แต่นี่ไม่ใช่ท่านผู้เดียวนะที่ใช้นามเช่นนี้ได้ แม้แต่ "ท้าวผกาพรหม" ท่านก็ใช้นามว่า "พระบิดาจักรวาล" ได้นะครับ ทำไมถึงได้? เพราะ ๑. ท่านเป็นจิตวิญญาณเ่ก่าแก่มากให้กำเนิด สรรพสิ่งชีวิตอื่นๆ มาแล้วมากมาย (เราอาจเป็นลูกหลานท่านด้วย) ๒. ท่านเกษียรตัวเองจากตำแหน่งท้าวมหาพรหมในพรหมโลกแล้ว หลังพระพุทธองค์ทรงโปรด ท่านไปอยู่กลางอวกาศแห่งจักรวาล คอยดูแลผู้ที่ "ถอดกายทิพย์หลงอยู่ในจักรวาล" (คล้ายพระโมคคัลลานะหลงน่ะครับ) ท่านนี้ก็เลยใช้นามต่อมนุษย์ว่า "พระบิดาจักรวาล" ก็ได้ครับ เราอย่าเพิ่งไปยึดว่า "นามพระบิดาจักรวาล" นี้ จะต้องถูกผูกขาดโดยใคร สิ่งนี้เป็นเพียง "นามธรรม" ที่ท่านใดจะหยิบยืมมาใช้แนะนำตัวกับมนุษย์ก็ได้ "เท่าที่เหมาะสม" ครับ ดังนั้น เมื่อท่านได้สัมผัสพระบิดาจักรวาลแล้ว ท่านอาจจะยังไม่ได้รู้จักตัวตนของพระบิดาจักรวาลจริงๆ ก็ได้ เพราะมีอยู่มากมายเลยที่จะอ้างนามนี้แก่ท่านได้ (พอเข้าใจนะครับว่า "พระบิดาจักรวาล" เป็นแค่ "รูปนาม" หนึ่ง ที่จิตวิญญาณศักดิสิทธิ์จะหยิบยืมมาใช้่ในการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์โลก ได้ตามความเหมาะสม, ตามเหตุอันควร ก็เท่านั้นเอง จึงมีหลายท่านในโลกทิพย์ที่ใช้รูปนามนี้ในการติดต่อกับมนุษย์ได้ ไม่ได้มีเพียงท่านใด ท่านเดียว)


สุดท้ายแล้ว ผมก็ขอเตือนไว้ว่าท่านสามารถ "เลือกองค์ธรรมบิดา" ได้ครับ เท่าที่ท่านจะเพียรพยายามสร้างบารมีไปถึงได้ (ถ้าไม่มีบารมีมากพอจะไปเอื้อมให้ถึงท่านที่สูงๆ ก็ไม่ได้แหละครับ) อย่าเพิ่งหลงไปในทันทีว่าท่านได้พบ "พระบิดาจักรวาล" ให้ไตร่ตรองดูให้รอบคอบ รอบด้านก่อนนะครับ แล้วท่านจะได้ดี "ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม" ครับ สวัสดี...

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

"พลังมวลชน" ความลับแห่งขุมพลัง ของมหาเทพยุคไททัน และการเกิดภัยพิบัติ

ใกล้ถึง D-day วันสำคัญอีกวันหนึ่งของเหล่านักพลังจิตอีกแล้วนะครับ คือวันที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านพลังงานของโลกครั้งใหญ่ ที่กำลังจะมาึุถึงอีกไม่นานนี้ (เดือนหน้า) เป็นอย่างไรบ้างครับ เตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว? ฝึกพลังจิตก้่าวหน้าขนาดไหน? พร้อมกันหรือยังครับ? เอาละ สบายๆ นะครับ ไม่ต้องเครียดอะไร สำหรับท่านไหนที่ก้่าวหน้าไปได้ดี ผมยินดีด้วยนะครับ ส่วนท่านไหนยังไม่ก้่าวหน้า ก็รีบๆ เข้าละ เดี๋ยวตามเพื่อนไม่ทัน จะไม่ได้เข้าร่วมในเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ของโลกเอานะครับ Ok เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมจะเล่าเรื่องของความลับแห่งขุมพลังของมหาเทพยุคไททันให้ฟัง มันเป็นพลังที่ต่างจากเทพรุ่นหลังยุคไททันมาแล้วนะครับ กล่าวคือ เทพที่เกิดก่อนยุคไททันจนถึงยุคไททัน จะมีความสามารถในการใช้ "พลังมวลชน" ได้ครับ ทำให้พวกเขามีพลังเพิ่มขึ้นได้เกินกว่าขีดจำกัดของพลังตัวเอง (ส่วนเทพรุ่นหลังยุคไททันจะทำไม่ได้ครับ) ซึ่งผมจะได้อธิืบายต่อไป


ผมขอเรียกชื่อพลังนี้ว่า "พลังมวลชน" ก็แล้วกัน เพราะมันคือพลังจิตที่ได้มาจาก "มวลชน" หรือคนจำนวนมากมาย รวมกันอยู่ที่ใครคนใดคนหนึ่งที่เป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธา และเพราะมันเป็นพลังมวลชน ก็เลยมีกิเลสมาก มีความมืดดำเยอะครับ คนที่เป็นศูนย์กลางของพลังนี้ ก็จะ "มืดดำลง" ได้ครับ (คนส่วนน้อยมีพลังสว่าง-ขาว, คนส่วนใหญ่มีพลังมืด-ดำ) เอาละ ทีนี้ ผมขออธิบายพลังของเทพสองยุคคือ เทพที่เกิดก่อนยุคไททันและเทพที่เกิดหลังยุคไททัน เทพสองกลุ่มนี้มีพลังต่างกันมากทีเดียว เทียบกันไม่ได้เลย แม้คุณจะเคยอ่านนิทานมาพบว่า "เทพซูส" ผู้ยิ่งใหญ่ที่เกิดหลังยุคไททันจะมีพลังมากหรือเทพองค์อื่นจะถูกยกย่องว่ามีพลังมากเท่าใด แต่ความจริงแล้วก็เทียบไม่ได้กับเทพยุคก่อนครับ ทีนี้ พอมาถึงยุคของ "โครนัส" (เทพยุคไททัน) เขาก็มีพลังมวลชนครับ และเขาได้ใช้พลังนี้โค่นอำนาจของเทพยูเรนัสลงได้ ทว่า เขาก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่เทพซูสในภายหลัง (เทพซูสเกิดหลังยุคไททันไม่มีพลังมวลชน) ถามว่าเพราะอะไร? คำตอบก็คือ เพราะในตัวของโครนัสมีเทพอีก ๕ องค์ ซึ่งเป็นบุตรของเขาเองที่เขาได้กลืนเข้าไป ภายหลังเทพซูสช่วยให้ออกมาได้ ทำให้พลังมวลชนส่วนหนึ่งในตัวโครนัสสูญเสียไปพร้อมกับเทพทั้ง ๕ องค์นั้น ไม่นานนักทั้งเทพซูสและเทพอีก ๕ องค์นั้นจึงร่วมมือกันโค่นอำนาจของเทพโครนัสลงได้ ดังนั้น ท่านคงพอเข้าใจถึง "พลังมวลชน" นี้แล้วใช่ไหมครับ ว่ามันมีอานุภาพมากขนาดไหน? ซึ่งมันก็คือ พลังที่เทพยูเรนัส (ดาวมฤตยู) ใช้ในการสร้าง "ภัยพิบัติ" ต่างๆ ให้เกิดขึ้นแก่โลกในขณะนี้ นั่นเ้อง


คำถามต่อมาคือ มนุษย์สามารถมีพลังแบบนั้นได้ไหม? (พลังมวลชน) คำตอบคือ ได้สิครับ ถ้ามนุษย์คนนั้นเ็ป็น "ร่างเชื่อมโยงพลัง" กับเทพยุคไททันขึ้นไป ซึ่งก็มีมนุษย์มากมายที่ทำได้อย่างนั้น ทว่า มันมีผลเสียตามมาภายหลังมากมายครับ เช่น พลังมวลชน, มีกิเลสเยอะมาก เมื่อมนุษย์ที่ได้รับพลังนั้นไปแล้วควบคุมพลังนั้นไม่ได้ก็จะหลงตัวเองได้ง่าย และทำให้ทำสิ่งผิดพลาดยิ่งใหญ่ตามมาได้ครับ ดังนั้น ถ้าคุณไม่พร้อมคุณก็ไม่ควรเปิดรับหรือประสานพลังกับเทพยุคไททันนะครับ แต่ถ้าคุณพร้อม คุณเลื่อนระดับขึ้นไปได้มันก็ไม่ยากเกินไปครับ เอาละ สุดท้ายนี้ ผมขอเตือนท่านทั้งหลายว่า เทพยูเรนัส (ดาวมฤตยู) มีพลังที่สามารถดึงเอาพลังมวลชนเหมือนกับการขโมยพลังไปได้ง่ายๆ ด้วยเพราะมวลชนทั้งหลาย ก็ศรัทธาต่อเขา (เทพยูเรนัสเป็นเทพบิดาผู้ให้กำเนิดสรรพชีวิตในโลกนี้ครับ ดังนั้น ท่านจึงปรากฏตัวในนาม "พระบิดา" ของมนุษย์โลกนี้ได้อย่างไรละครับ ทว่า คนละองค์กับพระบิดาจักรวาลนะครับ) ดังนั้น มันจึงไม่ใช่ของง่าย ถ้าคุณจะคิดว่าคุณจะร่วมกันสร้างพลังจิตคุ้มครองโลก เพราะดาวมฤตยูก็พร้อมที่จะเอาพลังไปใช้ทำให้เกิด "ภัยพิบัติ" ได้่ไม่ยากเลยครับ แม้ว่าพลังจิตของคุณร่วมกันแล้วมีแต่พลังด้านดี, ด้านบวก, พลังสว่าง, พลังขาว ฯลฯ ก็ตาม


เอาละ กลับมาทำตัวสบายๆ ไม่้ต้องเครียดมากนะครับ ท่านผู้อ่านที่รักทั้งหลาย ผ่อนคลายตัวเองลงสักนิด ไม่มีอะไรที่มากเกินไปกว่าที่เราจะรับมันได้นะครับ อย่าลืมว่าเทพทุกองค์ก็ทำหน้าที่เพื่อจักรวาลเช่นกันครับ มาถึงตรงนี้แล้ว ผมคิดว่าท่่านคงไม่กลัวภัยพิบัติจนเกินไปแต่เห็นภัยพิบัติเป็น "พลังขับดันให้แสงสว่างภายใน" ของคุณตื่นขึ้นนะครับ ผมหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น ขอให้ท่านพยายามต่อไป สวัสดีครับ

อุลตร้าแมนจะมาช่วยมนุษย์ให้รอดจากภัยพิบัติ?

สวัสดีครับ เห็นหัวข้อบทความแล้วอย่างเพิ่งตกใจไปเสียก่อนละครับ นี่ไม่ใช่คำทำนายอะไรนะครับ แต่เป็น "การสื่อสารต่างมิติ" ครับ ซึ่งผมได้ีัรับมาแล้วถ่ายทอดต่อไปเท่านั้นเอง ไม่อาจพิสูจน์ความจริงเท็จอะไรได้ ถ้าท่านผู้อ่านท่านไหน พิสูจน์ให้ผมเห็นจริง เชื่อได้ ก็เชิญนะครับ ผมอยากทราบเหมือนกันว่าข้อความต่างมิติที่ผมได้รับมานี้ ผมก็ควรจะเชื่อได้มากแค่ไหน? เอาละ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ท่านผู้อ่านที่กำลังรออ่านอยู่อย่างจดจ่อ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังเลยละกัน


ในช่วงเวลาแห่ง "การยกระดับของโลก" กระบวนการแรกคือ การปลดปล่ือยซึ่งจะส่งผลให้ "รูปธรรมชีวิตในระดับพลังงาน" ที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่่า ได้รับการปลดปล่อยออกมาจาก "ใต้พิภพ" ถามว่าพวกเขาคือใคร? พวกเขาก็คือ "เทพชุดแรก" ที่ถูกเทพยูเรนัส (มฤตยู) จับขังไว้ใต้พิภพ เพราะพวกเขาเป็นบุตรที่ไม่ได้ความน่ารังเกียจ นั่นเอง ทว่า เทพีไกอาไม่ได้เห็นด้วยหรอกครับที่พระบิดาทำเช่นนั้นกับบุตรของตน และเทพีไกอาก็ปกป้องบุตรของตนด้วย ไม่ว่าบุตรของตนจะมีลักษณะที่น่าเกลียดอย่างไรก็ตาม ทีนี้ เมื่อเทพใต้พิภพได้รับการปลดปล่อยออกมาแล้ว เขาก็จะประสานร่างกับมนุษย์โลกก่อนครับ เพื่อรอให้ได้รับการชำระล้างเพื่อการกำเนิดใหม่อีกครั้ง ทีนี้ พวกเขาจะไม่ดูแย่อีกแล้ว ทว่า เรื่องไม่ง่ายอย่างที่คิดครับ เมื่อเทพยูเรนัสกลับลงมาเล่นงานพวกเขา และทำให้เกิด "ภัยพิบัติ" ขึ้นบนโลกมนุษย์ขณะนี้ แต่อย่าเพิ่งไปมองเทพยูเรนัสในแง่ลบด้านเดียวนะครับ ท่านทำเ่ช่นนั้นก็ต้องมีเหตุผลเหมือนกัน เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นแล้ว มนุษย์ก็จะถูกครอบงำด้วยเทพใต้พิภพ ทำให้มืดบอดและหลงโลกได้นะครับ


ต่อมาจะเกิด "มนุษย์คนหนึ่ง" ที่อ่อนแอมากจนเกือบจะไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว ทว่าเขากลับมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ที่จะทำเืพื่อโลก ในที่สุด เขาก็ได้รับพลังจากเทพีไกอา ทำให้กลายเป็นผู้มีพลังเหนือมนุษย์ปกติ (ก็คือ อุลตร้าแมน นั่นเอง) มนุษย์คนนี้จะต้องผ่านการทดสอบและการเลื่อนระดับมากมาย และยากเย็นอย่างยิ่งกว่าที่จะผ่านอุปสรรคแต่ละด่านได้ เพื่อที่จะรับพลังของ "เทพโครนัส" เพื่อที่จะโค่นอำนาจของเทพยูเรนัสให้ได้ นั่นเอง ทว่า กำลังของเขาไม่มากพอ เขาจึงเลื่อนระดับไปได้แค่ "เทพซูส" เท่านั้น หากจะให้เขาเลื่อนระดับไปได้มากกว่านี้ "มนุษย์ทั้งหลายก็จะต้องส่งกำลังใจเชียร์เขา" ถ้ามนุษย์ทั้งหลายไม่ส่งกำลังใจให้เขา ไม่ต้องการเขา เขาก็ไม่อาจที่จะทำหน้าที่ได้ และเทพยูเรนัสก็จะทำหน้าที่สร้างภัยพิบัติต่อไป อย่าลืมนะครับว่า "เขาคือมนุษย์ธรรมดา" ซึ่งอ่อนแอไม่น้อยกว่ามนุษย์คนอื่น ไม่สิ เขามีร่างกายที่อ่อนแอยิ่งกว่ามนุษย์ทั่วไปเสียอีก แต่เพราะเขามีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ เขาจึงได้รับพลังของไกอาครับ ทว่า แค่นั้นก็ยังไม่พอ สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นคือ "กำลังใจจากเพื่อนมนุษย์" ครับ


เรื่องราวต่อไปนี้จะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับ "มนุษย์ทุกคนในโลกนี้" แล้วครับ ไม่อาจที่จะกำหนดหรือลิขิตได้ด้วย "มือใครเพียงคนเดียว" อีกต่อไป เพราะตอนนี้ "พระบิดาจักรวาลมอบโลกใบนี้ให้แก่มนุษย์โลกทุกคน" ดูแลร่วมกัน มนุษย์โลกอยากเห็นอนาคตของโลกนี้เป็นอย่างไร? เป็นโลกที่งดงามหรือเสื่อมโทรม? เป็นโลกที่สงบสันติหรือเต็มไปด้วยการรบราฆ่าฟัน? เป็นโลกที่หมุนไปสู่ความหลุดพ้นเปี่ยมด้วยปัญญา หรือโลกที่ทำให้มนุษย์ลุ่มหลง-มืดบอด? ทั้งนี้ พระบิดาจักรวาลยังให้เทพีแห่งดาวโลก (เทพีไกอา) ดูแลเหล่ามนุษย์และสิ่งมีชีวิตบนโลกที่เป็นเชื้อสายของเธอ ร่วมกับเหล่าเทพอีกมากมายด้วย ดังนั้น โลกนี้จึงเป็นสมบัติของมนุษย์โลกทุกคนนะครับ สำหรับบทความนี้ สวัสดีครับ...