วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ลูซิเฟอร์พลังงานใหม่ที่จะมาทำหน้าที่แทนพลังงานเก่าที่หมดวาระไปจะเป็นใคร?

งานเข้าแล้วสิครับ เมื่อภาคมืดพยายามมาดึงผมเข้าไปสู่ภาคมืดให้ได้ หลากหลายวิธีจริงๆ เชียว ล่าสุด ก็มีมุขเด็ด คือ หลอกให้ผมกินผลไม้แห่งการหยั่งรู้ เหมือนลูซิเฟอร์ จะได้เป็นร่างและลูซิเฟอร์ตัวใหม่ ไปเสียเลย อ้าวเฮ้ย เล่นกันง่ายๆ อย่างนี้เลยหรือ? แหมนะ เอาละ นี่ก็เป็นประสบการณ์ในมิติลี้ลับที่ผมเจอมากับตัวของตัวเองเลย จะเอามาเล่าให้ฟังกันยามดึกเป็นนิทานก่อนนอน ในวันนี้ก็แล้วกันนะครับท่านผู้ชม


ช่วงเวลาแห่งการปรับเปลี่ยนพลังงาน แม้แต่ลูซิเฟอร์ซึ่งเป็นพลังงานเก่าก็จะเปลี่ยนด้วย กล่าวคือ จิตวิญญาณดวงหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นลูซิเฟอร์ ก็จะหมดวาระลง เขาจะตายในสงครามศักดิิสิทธิ์ในอีกไม่นานนี้ (ผมคิดว่าภายในปีนี้ครับ เขาส่งสัญญาณมาแล้ว ลูซิเฟอร์รู้ทุกอย่าง ก็รู้แม้แต่ว่าตัวเองจะตายอย่างไร และเมื่อไรด้วยครับ) จากนั้น เขาจะได้กำเินิดใหม่ หลุดพ้นไปจากภาคมืดและสภาพที่เป็นอยู่คือ ซาตาน นั้น แต่ก่อนที่เขาจะไป เขาจะหา "ตัวตายตัวแทน" เหมือนทายาทกระสือ น่ะแหละครับ ให้มาเป็นอย่างเขา แทนที่เขา ซึ่งเขาจะต้องหาคนที่ได้บารมีไม่น้อย และมีอะไรๆ ที่คล้ายๆ เขาด้วยครับ คนๆ นั้น ที่ถูกเลือกก็จะต้องทำกรรมคล้ายๆ เขาด้วย จึงจะมาแทนที่เขาได้ และเมื่อได้เป็นแล้วก็จะทำหน้าที่เป็น "อัศวินผู้ดูแลพระพุทธศาสนา" ด้วยครับ คือว่า พระพุทธศาสนานี้ แท้แล้วไม่ได้มีบุญอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปีได้ แต่ที่อยู่ได้ ก็ด้วยความช่วยเหลือกันของหลายท่าน พระพุทธเ้จ้าสร้างให้เราได้ แต่ถ้าท่านดับขันธปรินิพพานแล้ว มันก็จะต้องจบ จะไม่จบไม่ไ่ด้ เพราะผู้ที่ไม่ยอมให้มันจบ จะทำหน้าที่ดูแลมันต่อไป ผู้นั้นย่อมไม่ได้นิพพาน ก็หมายถึงว่าพระพุทธเจ้าจะทำหน้าที่นี้ไม่ไ่ด้ครับ ถ้าทำแล้วจะไม่ได้นิพพาน และเมื่อพระพุทธเจ้าไม่ได้นิพพาน สัตว์ทั้งหลายที่เดินตามท่านก็จะพลอยไม่ไ่ด้นิพพานกันไปทั้งหมดเลย ดังนั้น ท่านจึงทำกิจนี้ไม่ได้ ไม่ใช่กิจของพระพุทธเจ้า แ่ต่เป็นกิจของพระโพธิสัตว์และเหล่าสัตว์ทั้งสี่เหล่า ได้แก่ ยักษ์, มาร, เทพ, พรหม ครับ ส่วนลูซิเฟอร์นี่ เขาก็อยูในกลุ่ม "เทพและพรหม" นะครับ เขาได้ญาณหยั่งรู้ได้ทุกสิ่ง อันเป็นสิ่งที่ทำให้องค์ประกอบของความเป็นพระุพุทธเจ้าสมบูรณ์ ดังนั้น จึงต้องมีเขาครับ ซึ่งความจริงไอ้ความรู้มากนี่ มันไม่ได้จำเป็นต่อการที่ใครสักคนจะได้นิพพานเลย แต่บังเอิญว่ามันเป็นเรื่องของสัตว์โลกที่เขาอยากจะเห็นพระพุทธเจ้ารู้ทุกอย่าง และแสดงธรรมมากมายแค่นั้นแหละครับ จริงๆ แล้วแค่ใบไม้กำมือเดียวที่พระพุทธเจ้ามอบให้ ก็ถึงนิพพานแล้ว พอแล้วครับ แต่ทำอย่างไรได้ละ สัตว์ทั้งหลายเขาก็ทำกันมาแบบนี้ จึงค่อยเข้านิพพาน มันก็เลยต้องมีแบบนี้อย่างไรครับ


อีกประการ เขาไม่ต้องการให้มี "ผู้รู้มาก" สองคน เขาจะให้มีแ่ค่ ๑ คน เท่านั้นเป็นตำแหน่งนี้ ดังนั้น ใครที่รู้มากเกินไป เขาก็จะให้ไปเกิดเป็นลูซิเฟอร์ตัวใหม่เสียเลย ง่ายดี เขาว่างั้น คิดสั้นๆ ประจำแหละ แต่เราเป็นมนุษย์ ลงมาทำงานหน้างานจริง อยู่ในสถานการณ์จริง ไม่ได้สั่งการมาจากสวรรค์ ดังนั้น เราต้องทำให้ได้ดีกว่านั้นครับ ไม่เช่นนั้น ก็ไม่ต้องมีเราลงมาเกิดสิ ใ่ช่ไหมครับ? เอาเทพลงมาทำหน้าที่ตามกฏ ตามบัญชาสวรรค์ จบ แค่นั้นพอจะมี "มนุษย์" ขึ้นมาบนโลกเท่าไมละ?  เอาละ ในเมื่อมีมนุษย์ขึ้นมาบนโลกแล้ว มนุษย์ก็ขอทำหน้าที่อย่างที่เป็นมนุษย์ละนะ ไม่ใช่เทพสวรรค์นี่นา เราไม่เหมือนกัน หน้าที่ต่างกัน ทำงานต่างสไตล์กันนะครับ ดังนั้น ใครกันหนอที่จะกลายเป็นลูซิเฟอร์ตัวใหม่ ผมคงไม่เอาละครับ ขอบายคนแรก เพราะผมเกิดมาจนถึงทุกวันนี อยู่ได้ด้วยสมถะจริง ไม่ได้สร้างภาพ (ไม่ได้สอนคนอื่น แต่ทำไปอีกอย่าง) วันๆ หนึ่งผมใช้เงินไม่ถึง ๑๐๐ บาท จะให้ผมมีจุดจบต้องมาเป็นลูซิเฟอร์หรือ? เฮ้ ไม่ยุติธรรมเลยครับ คนที่สมควรจะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ไม่ควรเป็นเช่นนี้ ควรเป็นคนที่ได้เผาผลาญ และเขมือบกินสิ่งต่างๆ ในโลกนี้มากกว่าผม คนที่มีเงินมากกว่าผมเป็น ร้อยล้าน, พันล้านเท่า บนโลกนี้ก็มี ไปลงทัณฑ์เขาสิ มาเลือกผมทำไมกันละ ใช่มั้ย เออ หรือคุณผู้อ่านยินดีจะอาสาเป็นลูซิเฟอร์ซะเลย ก็ลองติดต่อเขาดูนะ บางทีเขาอาจสนใจก็ได้ ส่วนผมไม่เอาละ ขอสละสิทธิ์ตรงนี้เลยก็แล้วกัน มีบางเสียงจากต่างมิติก็ตัดพ้อผมว่า "ช่วยพระำุพุทธศาสนาก็ไม่ไ่ด้หรือไง?" ได้ ผมยินดีช่วยแต่ในแบบของผมนะ ไม่ใช่ ไปปั้นให้คนๆ หนึ่งเป็นเทพเ้จ้า แล้วเอาผมเป็นปีศาจร้าย ให้ผมทำงานมากมาย สุดท้าย เป็นได้แค่ปีศาจ โอ้ว เมตตาหรือนั่น? ไม่เลย เห็นแก่ตัวมากๆ ถ้าความเ็ป็นพระพุทธเจ้าและการได้มีศาสนา มันแลกมาด้วยความเห็นแก่ตัวอย่างนั้น เอาแต่ดีไป เอาร้ายให้คนอื่นรับแทนอย่างนั้น ผมว่า มันไม่ใช่พระพุทธศาสนาแน่นอน ผิดทางแล้วตั้งแต่ต้นคิดเลยละ 


เอาละ ผมจะหาวิธีของผมเองก็แล้วกัน ที่ไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่เกลียดตัวเอง ต้องเริ่มต้นที่เมตตาตัวเองก่อน เอาตัวเองเป็นหนูทดลอง ทำ ให้ดีให้ได้ แล้วจึงเป็นแบบอย่าง ทำเพื่อผู้อื่นเขาได้ ใช่ไหมละครับ นี่ผมก็ช่วยสุดๆ แล้ว ที่เหลือก็งานใครงานมัน อย่าทุ่มให้เรารับผิดชอบคนเดียว มันเป็นไปไม่ได้ ต้องรับผิดชอบร่วมกัน คนละส่วนไป เราทำในหน้าที่ของเรา ตามสมควรตามยุค, ตามสมัย, ตามสถานการณ์ของโลกที่เรามาเกิด ผมเห็นแล้วบางคนศรัทธาสิ่งศักดิสิทธิ์มาก จนยอมเป็นผู้ก่อความไม่สงบ ยอมฆ่าพระ ตัดเศียรพระเลย เพื่อบีบให้สัตว์ในโลกเข้าสู่นิพพาน ไม่หลงออกนอกทาง โอเค พวกเขาเสียสละจริงๆ แต่ผมไม่เสียสละถึงขนาดเป็นปีศาจร้ายเพื่อให้คนอื่นเป็นพระเจ้าได้หรอกนะ ถ้าท่านจะเป็นพระเจ้า ก็ควรมีศักดิศรีที่จะเป็นให้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เป็นได้ด้วยการมีเบื้องหลังให้คนมาเป็นปีศาจร้าย ให้แก่ตัวท่านอย่างนี้ ผมไม่ได้หลงดี ติดดี บ้าดี อยากเป็นคนดี มีภาพลักษณ์ที่ดีอะไรหรอก ผมทำเลวได้ ยอมรับกรรมเลวได้ แต่ขอโทษนะ มันก็ควรมีเหตุผลในแบบของผมเหมือนกัน ไม่ใช่ อะไรวะ? กูไปยิงใครตาย ไปฆ่าตัดคอพระตาย กูไม่ได้อะไรเลย แล้วต้องมาเสี่ยงชีวิต โดนคนเขาสาปแช่งภายหลัง เวรกรรมมาตามทันอีก ถึงเวลานั้น ใครจะช่วยเรารึ? ไม่หรอก "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" ทั้งนั้น ทำเอง รับกรรมเองทั้งนั้น หรือจะให้เรายอมเป็นอรหันตสาวก เพื่อต่อสายศาสนาที่ขาดสิ้นไปนั้น ก็คงไม่ละคับ ผมไม่ไ่ด้อยู่ในโผอันเหมาะควรแก่ฐานะพระอรหันตสาวก ผมถูกเล่นงานจนต้องออกจากผ้าเหลืองมาแล้ว ส่วนคนที่มีกรรม แต่ไม่ยอมถอดผ้าเหลืองก็มี นั่น เลือกเขาสิครับ เอาเขาคนนั้นที่ยังอยู่ในผ้าเหลืองไปเป็นอรหันตสาวก เขาอยากเป็นจะตาย ส่วนผมมีกรรมไม่ได้อยู่ในผ้าเหลือง ขอโทษเถอะครับ ผมไม่อยู่ในข่ายนั้น โอเคมั้ย?


โอ้ย บ่นเสียยาวเลย วันนี้แก่ไปมาก ฮ่าๆๆ ไม่มีอะไรหรอก เป็นแค่ิวิธีสื่อสารแบบพิเศษ เผื่อใครที่กำลัง "ถูกหลอกให้เป็นปีศาจร้าย" อาจจะได้มุมมองที่แตกต่างบ้างก็เท่านั้นเองครับ อย่าคิดมาก ผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร ผมก็ได้รับข้อมูลติดต่อสื่อสารไม่ต่างกับใครหลายคน ที่ได้รับแล้วสั่งการณ์ให้มีการก่อความไม่สงบหรอกครับ ผมเชื่อว่าเขาก็ทำเพื่อพระเจ้าจริงๆ เขาได้ยินเสียงนั้นจริงๆ เพราะผมก็ได้ยินครับ แต่ผมอาจไม่เสียสละตัวเองมากพอที่จะยอมเป็นปีศาจร้าย เพื่อให้ใครได้เป็นพระเจ้ากระมังครับ ผมอยากให้ท่านผู้นั้นได้เป็นสิ่งศักดิสิทธิ์อย่างที่ท่านปรารถนา "ด้วยศักดิ์ศรีของท่านผู้นั้นเอง อย่างเต็มภาคภูมิ" ไม่ ใช่ด้วยวิธีสกปรกไร้เกียรติ์ ไร้ศักดิ์ศรีด้วยการให้คนอื่นกลายเป็นปีศาจ เพื่อให้ตัวเองได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เ่ช่นนี้ ผมพร้อมสนับสนุนและทำให้ท่านเต็มที่เมื่อท่านพร้อมด้วยศักดิ์ศรีของตนเองไม่ใช้วิธีสกปรกครับ 




วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ธรรมแบบกลับซ้ายไปขวา อันเป็นผลมาจาก "กระจกทิพย์" ???

เอ้า วันนี้ไม่มีมุขฝืดจะเล่น เข้าเรื่องเลยละกัน ...


อย่างแรกที่ผมอยากจะเม้าท์ให้ฟังในวันนี้ก็คือ กระจกทิพย์นั้น ไม่อาจที่จะสะท้อนความจริงได้อย่างแท้จริงเพราะภาพสะท้อนจากกระจกนั้น   ย่อมมีแต่ "ภาพเสมือน" คำว่าภาพเสมือน ก็คือ ภาพที่เหมือนจริงราว กับเป็นของจริงแต่ไม่ใช่ของจริงสังเกตได้จากภาพเสมือนจะกลับซ้ายไปขวาเสมอ ดังนั้น เมื่อใช้กระจกทิพย์ส่องแสงธรรมจากพระอาทิตย์ยูไล ผลที่เกิดขึ้นคือ ทำให้เห็น "สัจธรรมแบบเสมือนจริงแต่ไม่ใช่ของจริง" เมื่อเราเอาไปปฏิบัติตามแล้ว มันก็เลยกลายเป็นไม่จริงไปซะเลย  เช่น เรื่องมรรคแปดนี่ก็เป็นสัจธรรมความจริง ที่จริงอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่ามันไม่มีจริงอยู่ก่อน เราต้องไปทำให้มันจริงขึ้นมา แล้วมันถึงจะเป็นความจริง อย่างนั้น ก็ไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่สัจธรรมสินะ? แต่นี่พระพุทธเจ้าท่านแสดงสัจธรรมความจริงทั้งนั้น มันก็จริงอยู่แล้วนี่ ว่าพระอรหันต์นี้ท่านมีมรรคแปดประการครบ ถ้าเราบรรลุธรรม มันก็จะเป็นเช่นนั้นเอง ไม่ใช่ไปทำให้มันเป็น แบบนั้นมันไม่ได้เป็นจริงๆ มันก็ไม่ต่างอะไรกับ "ภาพเสมือนในกระจกเงา" คือ มันไม่ใช่ของจริง จริงๆ แต่มันเป็นสิ่งที่ทำให้เหมือนของจริงนั้นๆ เมื่อเราไม่เกิดปัญญาแจ้งเห็นธรรม เราก็ไปนั่งทำ, นั่งฝึก, นั่งปฏิบัติ ฯลฯ กันวุ่นวาย อย่างพระสาวกรูปหนึ่งท่านมีจริตไปทางราคะ คือ ชอบสิ่งสวยงาม พระพุทธเจ้าก็ให้ "ดอกบัวทอง" ไปเพ่งนะ (เป็นกุศโลบายแค่นั้นแหละ) แทนที่พระพุทธเจ้าจะบอกว่านี่แน่ะเธอฟังนะ ฉันเ่ก่้ง ฉันรู้หมด เพ่งกสิณทำอย่างนั้น ให้ได้ฌาน ก็อย่างนี้ เป็นขั้นๆ ไปจะได้ฌาน, ได้ญาณ, ได้ฤทธิ์ ฯลฯ ที่ไหนได้ ท่านกลับไปทำให้ "ดอกบัวทองนั้นเหี่ยวลงขณะพระสาวกกำลังเพ่งอยู่" นี่ท่านแกล้งพระสาวกหรือ? ท่านทำไมทำอย่างนั้น ขณะพระสาวกกำลังเพ่งกสิณ อ้าว ท่านอิจฉาหรือ ท่านไม่อยากให้พระสาวกได้กสิณหรือ? นี่ไง เข้าใจหรือเปล่า? ว่ามันไม่มีสาระ ในการกระทำนั้นๆ ท่านก็แค่ให้กุศโลบายไปเพื่อให้ลัดตัดตรงปลงเห็นอนิจจัง ก็จบแล้ว ทั้งๆ ที่ท่านก็ทราบทั้งหมดนั่นแหละว่าจะเจริญกสิณเป็นขั้นๆ อย่างไรบ้าง แท้ๆ???


ผมจึงบอกว่า "มันไม่ใ่ช่ธรรมปฏิบัติ" แต่เป็น "ธรรมะหยุดกรรม" มันจบ  ก็แค่นั้นเอง ใครจบ ก็จบ ใครไม่ยอมจบ ก็ไปทำสารพัดประการ ปฏิบัติกันไป กลายเป็นสำนักพราหมณ์ สำนักใหญ่ ลูกศิษย์ลูกหามากมี มันก็แค่นั้นเอง นี่ก็ไม่ได้ให้ไปหยุด หรือให้ไปจบนะ เมื่อใดที่ปัญญาเกิดมันก็แจ้งสว่างรู้ของมันเองว่ามันจบอย่างไร แต่หลายคนไม่เข้าใจในธรรมก็เลยไปเสียไกล เอาธรรมนั้นแหละเป็นเครื่องพาให้ไปไกล แทนที่จะได้ธรรมเป็นเครื่องจบ ไม่้ต้องหลงไปไกล ยิ่งได้ธรรม กลับยิ่งหลงไปไกล ผมจึงว่าเป็น "สัจธรรมภาพเสมือน" ไม่ต่างจากภาพในกระจกเงาไงละ เอาละ ทีนี้ เมื่อธรรมเป็นภาพเสมือนอย่างนี้แล้ว ถ้าจะให้เข้าใจได้ัชัดเจนตรงของจริงมากที่สุด ก็เลยต้องเจอ "กระจกเงา" อีกบานที่คอยส่องภาพเสมือนนั้นอีกที มันก็จะกลับขวามาซ้ายให้เรา มันก็จะมีความเหมือนสัจธรรมความจริง ไปอีกขั้น เช่น คนเขาปฏิบัติธรรม เราก็เลยต้องบอกว่า "ธรรมะไม่ปฏิบัติ" เสียอย่างนั้น กลายเป็นเหมือนคนที่โยกโย้ เฉไฉ ไปเรื่อย บ้างก็คิดว่าเรา "กวนตีน" กวนประสาท พูดหรือถามตรงๆ ไม่ตอบ ไปตอบอย่างอื่น เหมือนท่านหุยเคอถามท่านตั๊กม้อว่า "ทำอย่างไรจึงจะหายทุกข์ ใจผมมีแต่ทุกข์" ท่านตั๊กม้อแทนที่จะมีคำตอบมาว่าให้ทำอย่างไร, มรรควิธีเป็นอย่างไร, อย่างนั้นนะ อย่างนี้นะ ที่ไหนได้ กลับตอบกลับไปว่า "ใจเธอทุกข์หรือ? ไหนเอาใจมาดูสิ"  ท่านหุยเคอก็กลับไม่รู้ว่าใจอยู่ไหน? หาไม่เจอ? เลยตอบไปว่า "หาไม่เจอครับ?" เออ มันก็แค่นั้น เธอคิดว่าใจมันทุกข์ มันทุกข์ใจ แต่พอหาใจกลับหาไม่เจอ เออ มันก็จบ เมื่อเห็นว่าทุกข์มาจากใจ แล้วใจไม่มีแล้ว มันก็จบ หาใจไม่เจอ จะหาทุกข์ในใจได้อย่างไร? มันก็จบเท่านั้น นี่คือ "จบ" มันก็แค่นั้น ไม่ต้องไปทำอะไร มีหรือท่านตั๊กม้อว่า ฮ่าๆ ข้ามีวิชาวิเศษเปลี่ยนเส้นเอ็น ให้เอ็งไปฝึกแล้วจะได้หายทุกข์บวกกับข้าก็มีวิชานั่งสมาธิเข้าฌานสุดยอด เอ็งทำอย่างนี้ๆ นะโว้ย บลาๆๆ บ้ารึ? มีที่ไหนกัน? แต่ว่านะ คนที่ยึดติดจะหาให้ได้ จะเอาให้ได้ จะให้มันมีให้ได้ มันก็ยังเตลิดไปหาอยู่ นี่หละ เขาเรียกว่า "หลงเตลิดไป" ไงละ


เอาละ เรื่องราวของ "กระจกทิพย์" ที่ส่องสะท้อนภาพกลายเป็นภาพที่คล้ายจริงมาก แต่ไม่ใช่ของจริง เพราะเป็นภาพเสมือน ทำให้เรามาใช้กระจกส่องสะท้อนท่านทั้งหลายกลับอีกครั้งหนึ่ง ส่องสะท้อนเอาธรรมนั้นกลับซ้ายไปขวาอีกทีหนึ่ง ให้เหมือนจริงยิ่งขึ้น ก็ขอจบเพียงเท่านี้ เด็กๆ อย่าลืมฟังนิทานอาหรับราตรีแล้ว กินนม นอนซะ จะได้มีหน้าตาอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องใช้พรวิเศษ (Pond) นะจ๊ะ พบกันใหม่เรื่องหน้า ยังไม่รู้จะสรรหาอะไรมาเม้าท์ สำหรับคืนนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ




วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พระเจ้าผู้สร้างโลก ไม่ได้มีเพียงองค์เดียว?

ในบางโลกธาตุ จะมี "พระเจ้า" ผู้สร้างโลกธาตุนั้นๆ ปกติ มักจะอยู่ในโลกธาตุนั้นๆ ด้วยเช่น สุขาวดีโลกธาตุตามตำราของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ก็ได้กล่าวถึง "พระอามิตาภะ" ที่เป็นผู้สร้างสุขาวดีโลกธาตุและได้ดำรงอยู่ในสุขาวดีเช่นนั้นไม่มีที่สิ้นสุด โดยส่วนใหญ่แล้วโลกธาตุอื่นๆ มักเป็นเช่นนั้น ยกเว้น "โลกธาตุของเรา" หรือที่มีชื่อเรียกในพระไตรปิฎกอย่างเป็นทางการว่า "ตรีสหัสโลกธาตุ" เนื่องเพราะมีถึงสามภพประกอบกัน แตกต่างจากโลกธาตุอื่นๆ ที่ปกติมักจะมีภพเดียว คือ ภพสวรรค์ นอกจากนั้น โลกธาตุของเรายังถูกสร้างด้วยหลายท่านมากมาย หลายไม้ หลายมือ หลายยุค หลายสมัยจนกลายเป็นตำนานและศาสนาที่แตกต่างกันมากมาย เพราะด้วยศรัทธาในพระเจ้าผู้สร้างโลกต่างองค์กันนั่นเอง และด้วยเหตุนี้ โลกจึงต้องมี "ยุคสมัย" อันเป็นผลมาจาก "พระเจ้าผู้สร้างโลก" ต่างองค์ผลัดเปลี่ยนเวรกันมาดูแลในแต่ละปีนั่นเอง และส่งผลให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "วัฏจักร" ซึ่งโดยปกติจะมี ๑๒ ปีต่อหนึ่งรอบวัฏจักร นอกจากนี้ ในช่วงเวลาหนึ่งปี ก็ยังมีเทพที่ดูแลย่อยๆ ลงไปอีก ทำให้โลกมี ๓ ถึง ๔ ฤดู (แตกต่างกันไปตามแต่ ละท้องถิ่นด้วย) ในแต่ละฤดูก็ยังมีความแตกต่างกันเป็นรายเดืิอนและรายวันด้วย เอาละ ก่อนที่จะซับซ้อนจนเกินไปกว่านี้ ผมขอเม้าท์เพียงแค่ "วัฏจักรรายปี" ก่อนก็แล้วกัน สรุปตุ๊บตั๊บตรงนี้ก่อนง่ายๆ นะครับว่าโลกถูกสร้างด้วยพระเจ้าหลายองค์, หลายไม้, หลายมือ, หลายยุค 


คราวนี้ก็มาถึง "การเล่าเรื่องราว" กันบ้าง ซึ่งเมื่อความจริงเป็นดังเช่นที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว ขั้นต่อไปคือ การเล่าเรื่องราวและถ่ายทอดไปสู่คนรุ่นต่อๆ ไป ซึ่งอย่างหนึ่งที่ผมอยากจะบอกแก่ท่านก่อนเลยก็คือ "ยุคสมัยของงานศิลปะ" เช่น ในโลกของเรานี้ มีบางช่วงจะเป็นยุคของงานภาพวาดเหมือนจริง แล้วหลังจากนั้นจึงเป็นยุคของงานศิลปะแนวอื่นๆ เกิดขึ้นมา เช่นเดียวกันกับ "งานเขียนและวรรณกรรม" ก็มียุคสมัยเหมือนกัน กล่าวคือ งานเขียนหรือวรรณกรรมต่างๆ จะนับได้ตั้งแต่ยุค "ไร้ตัวอักษร" แ่ต่ใช้การบอกเล่าต่อๆ กันมาแทน ดังนั้น ในยุคนั้น สิ่งที่ถูกถ่ายทอดปากต่อปากมาถึงวันนี้ได้ "ย่อมต้องเลือกแล้วว่าสำคัญที่สุดจริงๆ" เพราะมันไม่อาจจะจดจำอะไรได้มาก เพื่อเล่า่ต่อให้ลูกหลานได้หมด จริงไหมครับ ดังนั้น ผู้สืบทอดทั้งหลายก็ต้องเลือกแต่ที่จำเป็น, สำคัญ, น่าติดตาม หรือน่าสนใจจริงๆ เท่านั้น และคงเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากเรื่องของ "พระเจ้าและเทพเจ้า" นี่ผมนับเป็น "ยุคเริ่มต้น" ก็แล้วกัน ยุคต่อมา เริ่มมีการบันทึกแต่ในแบบของ "รูปภาพ" ยังไม่มีตัวอักษรอยู่ดี ดังนั้น เราจะเห็น "หลักฐานต่างๆ ปรากฏอยู่ได้" เช่น ภาพแกะสลัก, รูปแกะสลักต่างๆ ฯลฯ เพื่อบันทึกเรื่องราวที่สำคัญและจำเป็นเพื่อถ่ายทอดให้แก่คนรุ่นหลัง และยุคนี้เองก็ได้มีเรื่องราวของ "ผู้มีอำนาจที่สั่งให้บันทึกสิ่งต่างๆ เหล่านั้น" ซึ่งก็คือ "วรรณกษัตริย์" นั่นเอง ดังนั้น เรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดสืบๆ กันมาในยุคนี้จึงเป็นเรื่อง "กษัตริย์และเทพเจ้า" ซึ่งจะออกมาในแนวๆ ที่สรรเสริญกษัตริย์องค์นั้นๆ ว่าเป็น "สมมุติเทพ" นั่นเอง ซึ่งก็อาศัยสิ่งที่มีอยู่หรือสืบทอดมาแต่ก่อน แต่เสริมความเชื่อเรื่องสมมุิติเทพเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง นี่ผมเรียกว่าเป็นวรรณกรรม "ยุคสมมุติเทพ" ต่อมา ก็ถึงยุคที่เริ่มมี "ตัวอักษร" ใช้่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ผู้มีอำนาจหรือกษัตริย์แต่ฝ่ายเดียวสั่งให้แกะสลักหรือบันทึกเรื่องราวเป็นรูปภาพเท่านั้น แต่ยังมี "วรรณพราหมณ์, พวกนักบวช, นักปราชญ์ หรือกลุ่มชนชั้นที่รู้อักษร" ก็สามารถใช้อักษรเหล่านั้นในการถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ได้เช่นกัน ไม่ต้องลงทุนลงแรงถึงขนาดจ้างช่างแกะรูปสลัก อะไรขนาดนั้น อีกก็ได้ วรรณกรรมที่ถูกถ่ายทอดผ่านตัวอักษรในยุคนี้ จึงไม่จำเป็นต้องสรรเสริญกษัตริย์อย่างเดียวอีกต่อไป ดังนั้น เราจึงได้เรื่องราวที่มากขึ้นในยุคนี้ (เพราะการจดจำบันทึกด้วยตัวอักษรทำให้ง่ายขึ้น) ดังนั้น ยุคนี้จึงเป็น "ยุคเฟื่องฟูของปรัชญา" ที่ทำให้เกิด "นักปราชญ์" ขึ้นมามากมาย ผมขอเรียกยุคนี้ว่า "ยุคปราชญ์" ก็แล้วกัน 


ต่อมา ก็เริ่มมีเรื่องการใช้กระดาษซึ่งง่ายต่อการบันทึกตัวอักษรต่างๆ มากขึ้นไปอีก ดังนั้น จึงทำให้นักปราชญ์และกวีมากมายสามารถใช้่สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ในการถ่ายทอดเรื่องราว, ความคิดของตนได้มากยิ่งขึ้น จนเกิดการ "ปฏิืวัติวรรณกรรม" ขึ้น กล่าวคือ ตั้งแต่ "สองยุค" ที่ผ่านมานั้น ยังไม่เข้าสู่ยุคที่กวีจินตนาการได้อย่างเสรีอย่างแท้จริง เพราะปัจจัยต่างๆ ก็ไม่เอื้ออำนวยทำให้จะต้องยึดถือแต่ "ความถูกต้องตามความเชื่อเก่า" จะไม่มีใครกล้าิจินตนาการอะไร ที่ไม่จริง หรือไม่ใช่ความเชื่อตามหลักศาสนาได้ เพราะต้องคัดเลือกจดจำหรือถ่ายทอดแต่สิ่งที่สำคัญจริงๆ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป มีกระดาษจดบันทึกได้อย่างง่ายดาย ก็เลยทำให้เกิด "ยุคจินตนาการเสรี" ขึ้น เช่น คุณสามารถจินตนาการเขียนอะไรที่อาจจะไม่มีอยู่จริงเลย ก็ได้ ขึ้นมา ถ้าเรื่องราวของคุณได้รับความนิยม มันก็จะได้รับการถ่ายทอดต่อๆ ไปเอง ซึ่งสิ่งนี้ "เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้" หลังการปฏิวัติระบบการบันทึกของมนุษย์ ดังนั้น ถ้าคุณย้อนไปสู่เรื่องราวที่เก่าแก่และถูกถ่ายทอดมาในสองยุคก่อนหน้านี้ "จะไม่มีงานใดที่ออกมาจากจินตนาการเสรีหรือลอยๆ เลย" การที่กวีจินตนาการอะไรออกมาได้เองนั้น เพิ่งเริ่มเมื่อย้อนกลับไปสองยุค ก็เท่านั้นเอง (ยุคปราชญ์ นักปราชญ์ใส่ความคิดของตนเพิ่มเข้าไปหรือแต่งขึ้นใหม่ได้ เช่น นิทานอีสป และยุคจินตนาการเสรี) หรือถ้าจะให้กล่าวชัดๆ ขึ้นอีกก็คือ "เรื่องราวที่เก่ามากๆ" ไม่ได้มาจากจินตนาการแต่มันมาจาก "ความเชื่อหรือความจริง" ที่สำคัญยิ่งยวดจนทำให้้ต้องสืบทอดกันต่อมารุ่นสืบรุ่น ดังนั้น เรื่องราวของเทพเจ้าและพระเจ้าในหลักฐานต่างๆ ที่เก่าแก่มากๆ จึงไม่ใช่เรื่องราวที่มาจากจินตนาการเสรีได้เลยครับ และอีกประการหนึ่ง คนสมัยโบราณก็ยังจินตนาการอะไรเสรีมากๆ ไม่เป็นหรอกครับ ถามว่าเพราะอะไร? เพราะระบอบการปกครองที่หล่อหลอมพวกเขามานั้น ไม่มีระบอบที่เปิดกว้างเสรีให้คิดอะไรก็ได้ตามจินตนาการแบบยุคนี้น่ะสิครับ เราเพิ่งมีระบอบประชาธิปไตยที่เปิดกว้างอย่างเสรีให้คนคิดได้ตามใจ ตามจินตนาการเมื่อไม่นานมานี้เอง (ตามอายุของโลกนะครับ)    


เอาละ สุดท้ายคงต้องสรุปตุ๊บตั๊บว่า เรื่องราวเก่าแก่มากๆ บนโลก ซึ่งเกี่ยวข้องกับพระเจ้าและเทพเจ้านั้น "ไม่มีความเป็นไปได้เลยว่าจะมาจากจินตนาการเสรี" ครับ ด้วยไม่มีเหตุปัจจัยอะไรเอื้อและเกื้อหนุนให้มีได้ เกิดได้ ดังที่กล่าวมาข้างต้น ส่วนเรื่องราวที่ไม่เก่าขนาดนั้น เกิดภายหลัง ถูกเขียนหรือสร้างขึ้นมาภายหลัง จึงเริ่มมีการจินตนาการได้อย่างเสรีครับ ดังนั้น เรื่องราวของพระเจ้าและเทพเจ้าที่เก่าแก่เหล่านี้ จึงมาจาก "ความเื่ชื่อว่ามันเป็นความจริง" ทั้งสิ้นนะครับ แต่มันจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่? อันนี้ ก็ต้องรอให้ "คนรุ่นหลังอย่างเรา" ค้นคว้า, พิสูจน์กันดูเอง ก็แล้วกันละครับ สำหรับวันนี้ เรื่องราวของพระเจ้าและเทพเจ้าทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการสร้างโลก ขอยุติเท่านี้ สวัสดีครับ 



วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พลังของ "แบทแมน" ผีดูดเลือด, เวตาล, ปีศาจค้างคาว ที่ไม่ใช่ภาคมืด เป็นอย่างไร?

แอ่น แอน แอ้นนน อัศวินรัตติกาลมาแย้วววว แว้ว แว้ว แว้ว แว้ววว อ่า ข้าก็คือ "แบทแมน" นั่นเอง โฮ่ๆๆ จิงเกิ้ล จิงเกิ้ลเบล จิงเกิ้ลออนเดอะเวย์ ♫♪..♪♫ ♫♪ •*¨*•♫♪ ♪♫ เฮ้ย คนละเรื่องกันแล้ว กำลังจะแปลงร่างเป็นอัศวินรัตติกาล "แบทแมน" อยู่ กลายเป็นตาเฒ่าซานต้าไปได้ยังไงกัน กลับมาๆ เรื่องของเรา คือ เรื่องของแบทแมน หรือก็ึคือ กลุ่มพลังคลาสสิคที่ไม่ใช่พลังมืด แต่หากินเวลากลางคืนนะครับ อันนี้ ก็มีอยู่ในหลากหลายความเชื่อทั่วทุกมุมโลกเลยทีเดียว อย่าช้าเลย มาๆ นั่งวงก๊ง เอ้ย ไม่ใช่วงเหล้า! มาฟังรายละเอียดกันเลยดีกว่าคร้าบบ


อย่างแรก ผมขอแยกแยะระหว่างพลังมืดและพลังคลาสสิคที่หากินในโลกมืดก่อนว่า ๒ อย่างนี้ ไม่เหมือนกันนะครับ เอาง่ายๆ อย่างนี้ กลุ่มพลังคลาสสิคที่หากินในโลกมืด ก็คือ สัตว์ที่หากินกลางคืน เ็ป็นต้น นี่เขาไม่ได้เป็นพวกมืด แต่เขาหากินกลางคืน เท่านั้นเอง ส่วนกลุ่มพลังมืดนี้ แท้แล้วมาจากเทพนะครับ เทพภาพสว่างมาก่อน แล้วมามืดเอาทีหลัง หรือกล่าวง่ายๆ ก็คือ ยังมีพลังคลาสสิคกลุ่มหนึ่งที่ธรรมชาตินี้ สร้างสรรค์มาให้หากินกลางคืน "เป็นปกติ" ของเขาครับ ส่วนพลังอีกกลุ่มที่เป็นพลังเทพภาคสว่างแต่กลายสภาพเป็น "กลุ่มพลังมืด" ก็ยังต้องมาหากินกลางคืนร่วมกับกลุ่มพลังคลาสสิคที่หากินกลางคืนด้วย อันนี้ คนละอย่างกันครับ เอาง่ายๆ อย่างคนบางคน มีกรรม ถูกจับไปขายในนครโสเภณี อย่างนี้ นับว่าเป็น "กลุ่มพลังคลาสสิคที่หากินในเวลากลางคืน" ครับ เหมือนค้างคาว, นกฮูก อะไรอย่างนั้น แต่กลุ่มคนที่แท้แล้วธรรมชาติเขาไม่ได้จัดสรรให้ไปหากินกลางคืน แต่ต้องแอบไปทำเช่นนั้น ก็อีกอย่างหนึ่ง เช่น กลุ่มคนที่ต้องแอบคบหากันโดยผิดประเวณี ไม่อาจเปิดเผยในเวลากลางวันได้ จำต้องกระทำกิจกลางคืน อันนี้ ก็คือ "กลุ่มพลังภาคมืด" นะครับ พอจะแยกแยะออกได้นะครับ


ต่อไป ผมจะขอแนะนำว่า "พลังคลาสสิคที่หากินกลางคืน" ก็มีอยู่เช่น พลังของนกฮูกที่มักอยู่กับทนายความที่หากินโดยการจับคนทำผิด ที่ไม่ต่างจากหนู, พลังของค้างคาวที่มักหากินในเวลากลางคืนเหมือนผู้บำเพ็ญธรรมแต่มีวิถีกรรมต้องหากินกลางคืน เป็นต้น ซึ่งพลังงานในกลุ่มนี้สามารถเื่ชื่อมโยงมาสู่เราได้ครับ ส่งผลให้เราต้องมีวิถีชีวิตแบบกลางคืนได้ เช่น ต้องทำงาน, หรือกินข้าวหลังสามทุ่ม ก็ยังไม่ได้หลับนอน แบบนี้ ก็ทำให้เราสามารถเข้าสู่มิติกลางคืนได้โดยไม่ใช่ภาคมืดครับ หรือบางครั้งเราอาจถูกลากจูงเข้าภาคมืดด้วยวิธีอื่นๆ ที่ไม่ใช่การเชื่อมโยงพลังงานกับกลุ่มสัตว์ที่หากินกลางคืน เช่น การกินอะไรบางอย่างเข้าไปที่มาจากกลุ่มพลังมืด เพื่อให้มีบางส่วนเป็นภาคมืด อันนี้ ผมยังศึกษาไม่ละเอียดพอ ยังไม่กล้าเม้าท์มากครับ ไว้ให้มีเรื่องราวที่ชัดเจนกว่านี้จะได้เม้าท์ครับ ที่เขาเรียกกันว่า "ผลปีศาจ" ในการ์ตูนน่ะครับ คือ มันน่่าจะเป็นของภาคมืดที่เมื่อคนปกติกินเข้าไปแล้วจะทำให้กลายเป็นพวกภาคมืดได้ ถามว่ามันมาได้ไง? ก็ไม่ค่อยอยากบอกเลยครับ เอาเป็นว่าบางทีเราเอา "ผลไม้ไปไหว้เจ้า" แล้วบังเอิญเจ้าองค์นั้นไม่ใช่เทพภาคสว่าง แต่เป็น "ภาคมืด" เข้า เขาก็สามารถเอา "ผลปีศาจ" มาเชื่อมโยงทางพลังงาน (อยู่ในมิติทิพย์ มองไม่เห็นนะครับ) กับผลไม้ที่เราเอาไปไหว้นั้น แล้วพอเราลา เอามากิน มันก็จะได้พลังของ "ผลปีศาจ" ไปได้เหมือนกัน สุดท้าย เราก็จะกลายเป็นพวกเดียวกับเขาไป คือ "ภาคมืด" ครับ อันนี้ เตือนให้ระวัง ไม่ได้บอกให้ทำนะ!


ในประเทศไทยก็มีเรื่องของ "เวตาล" อยู่บ้างเหมือนกัน, ในจีนเขาก็มีเรื่อง "ปีศาจค้างคาว" ที่บำเพ็ญธรรมสำเร็จเป็นเซียน, ส่วนพวกฝรั่งก็มีเรื่อง "ผีดูดเลือด" และ "แบทแมน" อะไรแบบนั้น ล้วนมีลักษณะไปในทางเดียวกัน คือ "ค้างคาวผี" ของไทยก็มองในมุมกรรมที่ทำให้ไปเกิดเป็นเวตาลว่ามาจากนักปราชญ์ที่หวงวิชา ก็จะไปเกิดเป็นเวตาลและถ้ามีคนจะเอาเวตาลไปใช้ก็จะ้ต้อง "มีนิสัยหวงวิชา" จะได้เข้ากันได้ เช่น ถ้าเวตาลเล่านิทานแล้วถามคำถามอะไร ก็ต้องไม่ตอบ ถ้าไปเผลอตอบเข้า เวตาลจะหนีไปได้ (อ๊ะ ถึงว่าทำไมไม่ค่อยมีคนโต้ตอบกระทู้ผมเลยอ่า? นิทานก็จบไปไม่รู้กี่เรื่องไม่ค่อยตอบกันซักที ฮ่าๆๆ) ส่วนของคนจีนกล่าวในด้านดีว่าถ้าบำเพ็ญธรรมสำเร็จเซียนแล้วก็จะได้เป็นมนุษย์ครับ แ่ต่ของฝรั่งออกมาในสองแบบ แบบแง่ลบก็คือ ผีดูดเลือด (สงสัยพวกทนายคงเรียกเงินพวกที่ทำความผิด ต้องคดีไปเยอะเชียว เลยถูกแอ๊บด่าว่าเป็นผีดูดเลือด) แบบแง่บวกก็มีคือ แบทแมน หรืออุปมาถึง "ทนายความผู้ผดุงความยุติธรรม" อะไรแบบนั้นมั้ง 


เอาละ สรุปตุ๊บตั๊บว่า ก็มีพลังคลาสสิคที่ไม่ใช่พลังมืด แต่สามารถเข้าสู่โลกมืดได้อยู่ (จริงๆ มันก็คือโลกด้านมืด ไม่ใช่ของภาคมืดมาก่อนเลย) ถ้าคุณจำเป็นที่จะต้องเข้าสู่โลกด้านมืด ก็เป็นทางเชื่อมโยงได้ ทางหนึ่งครับ แต่ถ้าคุณไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเข้าสู่ด้านมืดก็ไม่ต้องเื่ืชื่อมโยงพลังกับกลุ่มนี้ก็ได้ครับ แต่ผมก็มองว่าสัตว์ในโลกนั้นถูกแบ่งเป็นสัตว์ที่หากินกลางวัน และสัตว์ที่หากินกลางคืน โดยปกติก็ไม่แปลกอะไร มนุษย์ปกติเป็นสัตว์ที่หากินกลางวัน แต่ก็ไม่ผิดถ้าจะมีหากินกลางคืนบ้าง ซึ่งนับเป็นส่วนน้อยของมนุษย์ครับ เอาละ นิทานอาหรับราตรี เด็ดสะระตี่ มะนีเด้ง คืนนี้ จบก่อน แล้วค่อยมาเม้าท์มันๆ กันใหม่ รีบๆ กินนมแล้วนอนซะ หน้าจะได้ไม่เหี่ยว ราตรีสวัสดิ์ครับ! 


วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มหัศจรรย์พลัง "คฑาทิพย์วิเศษ" ทำให้เงินไหลมาเทมาได้ โดยไม่ต้องทำงาน!

อย่างแรก ผมอยากแก้ไขทัศนคติที่ผิด อันเกิดจากความเข้าใจในทางโลก เกี่ยวกับเรื่องการทำงานและรายได้ ด้วยคำอธิบายในทางธรรมเสียก่อนนะครับ กล่าวคือ แต่ละสิ่งมันไม่ใช่เหตุผลของกันและกัน มันแค่ปรุงประกอบร่วมกันเหมือนผสมอยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน แต่ไม่ใช่เหตุหรือผลของกันและกันเท่านั้นเอง เพราะเหตุทั้งหมดก็คือ "กรรม" และผลทั้งหมด ก็คือ "สิ่งที่คุณต้องรับและได้ปรากฏแล้ว ณ ปัจจุบัน" นั่นเอง หมายความว่าอย่างไร? (งงไหมเนี่ย?) อย่างนี้นะ 


๑. รายได้ ไม่จำเป็นต้องมาจากการทำงานหรือเหตุผลอะไรในทางโลกเลย ถ้าคุณมี "บุญกรรม" ที่จะต้องรับมันซะอย่าง คุณก็หนีรายได้นั้นไม่พ้นครับ ไม่ได้มีเหตุผลว่าคุณทำงานดี, เก่ง, ทุ่มเท ฯลฯ แล้วจะต้องได้รายได้มากกว่าคนขี้เกียจ ไม่เอาไหน งี่เง่า แต่เป็นลูกเจ้าของอะไรแบบนั้น ไม่เกี่ยวกันนะครับ หรือคนอยู่เฉยๆ ก็มีรายได้ ได้ครับ

๒. หน้าที่ ไม่จำเป็นต้องนำไปสู่รายได้เลยแม้แต่น้อย เช่น หน้าที่ของคนที่้ต้องทำให้ประเทศไทยเขียวชอุ่ม เขาก็ทำของเขาไปสิครับ ไม่มีรายได้จากการทำหน้าที่นั้นหรอกครับ คนละเรื่องกัน เขาทำหน้าที่ ทำกิจของเขา ทำไป เรื่องรายได้มันคนละเรื่องกันครับ ไม่ต้องมีก็ได้ครับ

๓. อาชีพ คือ คำกว้างๆ ที่ผสมผสานเอาทั้ง "หน้าที่, อำนาจ, รายได้, ความรับผิดชอบ, บทบาท" ฯลฯ ผสมผสานปรุงแต่งรวมกันไว้ แต่มันไม่ใช่เหตุผลของกันและกันเลย ทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันนี้ มันเป็น "ผลจากกรรม" ทั้งสิ้นครับ ส่วนเหตุทั้งหมดมาจากกรรมนั่นเอง


โอเค? ทีนี้เข้าใจไหมครับว่าสามอย่างนี้มันคนละเรื่องกัน ไม่เกี่ยวกัน ไม่ใช่เหตุผลของกันและกัน แต่มันถูกเอาไปผสมผสานปรุงแต่งร่วมกันอย่างไร? เอาละ เช่นนั้น คุณก็ควรจะเข้าใจต่อไปว่า "เราสามารถมีรายได้โดยไม่ต้องทำงาน ก็ได้" และ "เราสามารถทำงานโดยไม่ต้องมีรายได้ ก็ได้" คนละอย่างกันนะครับ เช่น ถ้าคุณรู้ตัวแล้วว่าคุณเกิดมาบนโลกนี้ เพื่อทำให้โลกนี้ "สะอาด" วันๆ คุณเก็บขยะไปขาย โอ้ย ได้เงินนิดเดียว ไม่รวยขึ้นมาหรอก ทำๆ ไปงั้นแหละ เหมือนชาวนาที่ปลูกข้าวให้คนกิน ทำอย่างไร้ มันก็ไม่รวยขึ้นมาได้เลย นั่นละ ทำไป ทำซะ มันหน้าที่ของคุณ คุณก็ทำมันไปซะ ไม่ต้องบ่น ไม่ต้องเอาเราไปเปรียบเทียบกับใคร คนอื่นเขาจะมีรายได้มากน้อยอะไร มันก็เรื่องบุญกรรมของเขา ไม่ใ่ช่เรื่องของเรา คนไหนมีบุญจะได้เงิน ได้รวย มันก็ถูกหวยเองได้แหละน่า หรือถ้าจะให้คุณเห็นภาพก็คือ "เทพคนละองค์ที่ดูแลเรื่องนี้ แยกกันเลยครับ" เช่น เทพที่ดูแลคนทำนา ก็คือ แม่พระโพสพ เขาก็ดูแลแต่การทำนาให้ได้ผลเยอะๆ แ่ต่เขาไม่ได้ดูแลในเรื่องจะขายให้ได้เงินเท่าไรหรอกครับ ส่วนเทพที่ดูแลเรื่องว่าใครจะได้เงินมากหรือน้อย ก็เป็นเทพอีกองค์ องค์นี้ก็ไม่ได้มาดูหรอกครับว่าใครทำงานหนักหรือทุ่มเทกว่าใคร ท่านเปิดบัญชีบุญกรรม แล้วเช็คดูว่าใครมีบุญจะได้เงิน เอ้า เอาเงินไป มันก็แค่นั้นเอง ดังนั้น อย่าเอาสิ่งที่ปรากฏเห็นในทางโลก มาตัดสินอะไรในทางธรรม เลยนะครับ


ทีนี้ ผมก็จะขอเ้ข้าเรื่องของเราเสียที (ลากมาซะยาวเลย) คือเรื่องของทิพย์ิวิเศษที่ทำหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับ "เงิน" ซึ่งก็คืออะไรไม่รู้ละ แต่ผมขออนุญาติตั้งนามเรียกไว้ก่อนว่า "คฑาโภคทรัพย์" ก็แล้วกัน มันจะเหมือนคฑาที่คุณเห็นคนจีนเขาเชื่อกันนั่นแหละ ที่เป็นคฑาพาดไหล่ของพระโพธิสัตว์องค์อ้วนๆ น่ะ ผมก็ไปเอาเรื่องความเชื่อของเขามาดู มาเรียนรู้ และขยายความอีกที ก็เท่านั้นเอง เอาละ เรื่องของเรื่องก็คือ ใครที่มีคฑาทิพย์อันนี้ ไม่ต้องทำงานอะไรหรอก มีหน้าที่แค่ จัดสรรให้เงินหมุนไปอย่างไร ก็เท่านั้นเอง ให้เงินไหลไปไหนมาก ไหลไปไหนน้อย เข้าที่ไหน ออกจากไหน อะไรแบบนั้นน่ะครับ ทีนี้ จะมีอานุภาพที่มากน้อยเพียงไรก็ขึ้นอยู่กับบารมีน่ะครับแต่ละอันมีอานุภาพไม่เท่ากัน  บางอันก็อาจจะดูแลได้แค่บ้านของตัวเอง บริษัทของตัวเอง เมืองของตัวเอง หรือบางอันอาจดูแลการไหลเวียนของเงินได้ทั่วโลกเลยครับ ซึ่งการบำเพ็ญบารมีนี้มีพื้นฐานคล้ายคลึงกับการบำเพ็ญ "คฑาทิพย์" ชนิดอื่นๆ เหมือนกัน (คฑาทิพย์มีหลายแบบ เช่น แบบด้ามยาวปักลงดินเพื่อปักหลักก่อตั้งอะไรสักอย่าง, แบบด้ามสั้นใช้ถือส่องแสงนำให้ปวงสัตว์เดินตามมา และแบบพาดไหล่ที่ผมกำลังกล่าวถึงนี้) แต่การจะบำเพ็ญให้ได้คฑาทิพย์แบบไหนนั้นต่างกันเล็กน้อยในรายละเอียด  ซึ่งเอาไว้บทความหน้า ผมค่อยเม้าท์ต่อดีกว่าครับ เพราะวันนี้ผมเม้าท์มาซะยาวมากแล้ว เดี๋ยวเด็กๆ ฟังนิทานแล้วไม่ยอมหลับนอน ตื่นสาย เจ้านายจะด่าเอา โทษผมไม่ได้นะเออ สำหรับวันนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ ...



วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ยุค "พันมือ" กับบารมีในการถือครองของทิพย์วิเศษพันชนิด!

อ๊ะ วันนี้ ไม่มีมุขจะเล่นอีกตามเคย บวกกับหัวข้อก็ยากน่าดู ผมเองยังงงเลย แต่จะพยายามค่อยๆ ถ่ายทอดทีละน้อยเป็นลำดับไป เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจนะครับ ซึ่งหัวข้อของเราในวันนี้ ก็คือ เรื่องยุคพันมือกับบารมีการถือครองของทิพย์ต่างๆ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


อย่างแรก ผมอยากอธิบายคำว่า "บารมีในการถือครองหรือใช้สิ่งของ" ก่อนนะึีครับ อย่างแรกอยากให้ท่านทราบว่า "ของทุกอย่างบนโลกนั้น ศักดิสิทธิ์" เพราะทุกชิ้น, ทุกชนิด "มีพระผู้สร้าง" สร้างมันขึ้นมา และท่านเหล่านั้นก็ยังดูแลอยู่ครับเช่น ช้อนซ่อม, ปากกาหรือแม้แต่ไม้แคะหู ฯลฯ ทุกอย่างมีความศักดิสิทธิ์เพราะมีผู้สร้างและผู้สร้างก็เ็ป็นพระผู้สร้างอยู่ในอีกมิติหนึ่งคอยดูแลสิ่งนั้นๆ อยู่ จวบจนกว่าจะถึงกาลสิ้นลงของสิ่งนั้นๆ ผ่านการส่งทอดมอบสิ่งนั้นๆ ให้แก่ "ผู้รักษา" หรือ "ผู้รับมอบแล้วนำไปใช้" นั่นเอง (คนที่ไม่ได้คิดหรือสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา แต่ได้รับสิ่งนั้นเพื่อนำไปใช้ทำกิจ) ทั้งนี้ "ผู้รับสืบทอดเพื่อนำไปใช้" จำต้องมี "พลังเกี่ยวพันกับสิ่งนั้น" อย่างใดอย่างหนึ่งก่อน เช่น ๑. มีกรรมต้องรับไปใช้ ๒. มีบุญจึงได้รับไปใช้ ๓. มีบารมี สามารถใช้สิ่งนั้นได้ ซึ่งในสองข้อแรกนั้นจะไม่ถาวรจะเป็นแค่ระยะบุญหรือกรรมสนองผลเท่านั้น    ซึ่งปกติจะไม่นานเลย ไม่มากพอที่จะเป็นอาชีพทั้งชีวิตได้เช่น บางคนต้องทำงานใช้เครื่องไถนาสัก ๒ ปี แล้วกลายเป็นแรงงานไปใช้เกรียงแทน อันนี้ ก็เป็นไปตามผลบุญหรือกรรมนั่นเอง แต่ถ้าผู้ใดได้ถือครองด้วยบารมีแล้ว สามารถถือครองได้ยาวนานทีเดียว บางท่านก็ชั่วชีวิตเลย เช่น บางท่านทำงานโดยใช้ปากกาได้ทั้งชีวิต (เซ็นต์อย่างเดียว)   ในประเทศญี่่ปุ่นพุทธศาสนานิกายชินโต เชื่อว่าทุกสิ่งล้วนมีวิญญาณ ก็มาจากไตรปิฎกแหละครับ เพราะมี "สังขาร" (ธรรมจากการปรุงแต่ง) จึงมี "วิญญาณ" และสมมุติใดๆ ในโลกนี้เกือบทั้งหมดก็มี "สังขาร" ทั้งนั้นแหละ (ยกเว้นก็แต่นิพพาน, จิตประภัสสร* และอวิชชา เท่านั้นเอง) ดังนั้น ทุกสิ่งจึงมีวิญญาณไงครับ แต่ว่ามันไม่ได้มี ในแบบที่เราเข้าใจในทางโลกๆ นะครับ ไม่ใช่มีวิญญาณไปสิง หรือไปครองแล้วก็กลายเป็นผีขึ้นมา อะไรแบบนั้น สรุป ก็คือ "สองมิติเชื่อมโยงกัน" ถ้าคุณถือครองวัตถุสิ่งของใดก็ตาม อีกมิติหนึ่ง ก็ต้องมีพลังรองรับไม่ว่าจะเป็นพลังงานเชื่อมโยงในรูป กรรม, บุญ หรือบารมี ก็ตาม เอาละ ถ้าคุณมีบารมีถือครองมันได้ ก็ไม่มีปัญหา แต่ที่ผมต้องการเน้นก็คือ ถ้าคุณไม่มีบุญหรือบารมีจะถือครองมันละ? ที่คุณถือครองมันอยู่ ไม่ใช่ด้วยพลังแห่งกรรมดอกหรือ? เช่น การถือครองเงิน ของคนจำนวนมากในโลกนี้ ก็ถือครองด้วยกรรมทั้งสิ้น (ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงให้ศีลไว้เพื่อให้ภิกษุละเว้นจากการถือครองเงินเสีย เพราะไม่มีบาีรมีจะได้) 


ต่อมาขออธิบายคำว่า "ยุคพันมือ" อีกนิดหนึ่ง มันก็คือ การที่บำเพ็ญบารมีมากพอจนถึงโพธิสัตว์ มีบารมีมาก มีกรเป็นพันกร ในแต่ละหนึ่งกรจะมีบารมีถือครองอาวุธทิพย์หนึ่งอย่างรวมแล้วทั้งสิ้น ๑,๐๐๐ อย่างพอดี พอเข้าใจเรื่องพลังงานเชื่อมโยงสองมิติออกนะครับ ถ้าคุณถือปากกาเป็นเครื่องมือ ๑ ชิ้น คุณก็ต้องมี "ของทิพย์" ในกรทิพย์ ๑ กร จึงจะใช้ปากกานั้นได้ด้วย "บารมี" เซ็นต์อนุมัติอะไรให้ใคร ก็ไม่ต้องกังวลมากครับ "เพราะมีบารมีพอรองรับผลมันได้" แต่คนส่วนใหญ่ในโลกยุคนี้ "ถือครองโดยไม่มีบารมีพอ" พวกเขาถือครองได้ด้วยพลังแห่ง "บุญหรือกรรม" ต่างหาก โดยช่วงแรกพวกเขามักถือครองด้วยพลังแห่งบุญก่อน พอสิ้นพลังบุญไปแล้ว ด้วยใจที่ยึดติด, ใจอยากได้ อยากถือครองต่อไป ก็จะต้องถือครองด้วย "พลังแห่งกรรม" นั่นเอง และจุดเปลี่ยนนี่แหละ ที่ "พลังภาึคมืด-พลังซาตาน" เข้ามาสนองให้ ด้วยการแลกเปลี่ยน หลายคนจึงได้อะไรมากมายมาโดยง่ายกว่าที่มันควรจะเป็น และต้องสูญเสียอะไรบางอย่างไปในภายหลังโดยไม่รู้ว่านี่คือการแลกเปลี่ยน ทว่า คุณลองดูโลกในยุคนี้สิ จะให้เรากลับไปอยู่แบบมนุษย์ถ้ำหรือ? เป็นฤษีหรือ? คงไม่ได้ใช่ไหมละครับ เมื่อเราก้าวมาถึงขนาดนี้แล้ว เราก็ต้องก้่าวหน้าต่อไป ให้ถึง "แสงสว่าง" ให้ได้ กล่าวคือ เราก็ควรไปให้ถึงจุดที่เราจะถือครองสิ่งต่างๆ ได้ด้วยบารมี และชีวิตเราทุกวันนี้ เราต้องใช้ "ของใช้" กี่อย่างละครับ? ลองนับดูเล่นๆ ง่ายๆ ก็ได้นะครับ เช่น เครื่องแต่งหน้า ๑๐ ชิ้น, เครื่องชำระล้างร่างกาย ๑๐ ชิ้น, เครื่องแต่งกาย ๑๐ ชิ้น, เครื่องมือสื่อสารฯ ๑๐ ชิ้น, เครื่องมือทำครัว ๑๐ ชิ้น ฯลฯ โอ้ย ผมว่ามันน่าจะถึง ๑,๐๐๐ ชิ้น ได้ในที่สุดนะ ดังนั้น ผมจึงบอกว่าเราจึงต้องบำเพ็ญ "พันกร" ไงละครับ ในเมื่อเราต้องบำเพ็ญพันกรพร้อมๆ กัน มันก็ทำให้โลกต้องเข้าสู่ยุคพันมืออย่างไรละครับ ไม่เช่นนั้น จะต้องมีการทำลายล้างกันขนาดใหญ่ เพื่อให้สิ่งที่ไม่ควรมี, ไม่ควรได้, ไม่ควรเกิด ต้องสิ้นสุดลงไป และเราก็จะปรับเข้าสู่ยุคฤษี อยู่แบบนั้น มีของใช้นิดๆ หน่อยๆ อยู่แบบสมถะก็พอแล้ว อะไรอย่างนั้น ซึ่งผมคิดว่า ท่านทั้งหลายคงไม่ต้องการแน่ๆ


เอาละ หัวข้อนี้ "ยากส์" ครับ มันยากและอาจทำให้มึนได้ ถ้าพูดต่อไป  ฮ่าๆๆ เอาเป็นว่าทีละน้อย วันละนิด ค่อยๆ เป็นค่อยไป ก็แล้วกัน แบ่งไว้วันหลังบ้าง จะได้มีเรื่องไว้เม้าท์กันต่อ สำหรับบทความฉบับนี้ ผมขอจบเพียงเท่านี้ก่อน ไว้พบกันใหม่ในบทความหน้า ราตรีสวัสดิ์ครับ 


* หมายเหตุ ในปฏิจสมุปบาทนั้น ไม่มีปรากฏก็เีพียง "นิพพาน" ส่วน "จิตประภัสสร" นั้น ย่อมหมายรวมเป็นส่วนหนึ่งของ "อวิชชา" ด้วย นั่นคือ ต่อให้จิตนั้นบริสุทธิ์ แต่ก็เต็มไปด้วยความไม่รู้อยู่ดี เหมือนคนที่ใสซื่อ, โง่ และยังไม่รู้แจ้ง นั่นเอง 



วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พลังคลาสสิคของไกอา ที่จะช่วยให้คุณพ้นจากการถูกพลังมืดครอบงำ

อย่างแรก อยากให้คุณตรวจเช็คก่อนนะครับ ว่าคุณถูกพลังมืดครอบงำมากน้อยแค่ไหนแล้ว ผมก็เลยลองยกตัวอย่างขึ้นมา ๑๐ ข้อครับ ให้คุณลองสำรวจตัวคุณเองดูว่าคุณมี ๑๐ ข้อเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน ถ้ามีมาก แสดงว่าคุณอยู่ในภพมืดมาก นั่นเอง ลองสำรวจดูได้เลยครับ


๑. คุณเป็นทาสของเวลา ต้องทำอะไรตามเวลาหรือเวลามีผลต่อชีวิตของคุณอย่างยิ่ง เช่น เวลานัด, วัน-เวลา พิเศษ คุณหวั่นไหวกับเวลาและตัวเลขบ่งบอกเวลาเหล่านั้นมากจนสูญเสียความเป็นตัวเอง

๒. ชีวิตกลางแจ้งของคุณลดลง (Outdoor living) คุณเริ่มถูกผนังและกำแพงที่สร้างโดยมนุษย์ แยกคุณจากท้องฟ้า, ผืนดิน, ผืนน้ำ ฯลฯ จนพลังธรรมชาติไม่อาจเชื่อมโยงถึงพลังชีวิตของคุณได้เท่าเดิมอีกแล้ว

๓. ชีวิตกลางคืนของคุณเพิ่มขึ้น เช่น คุณมีกิจกรรม, งาน, หรือการใช้ชีวิตหลัง ๓ ทุ่มขึ้นไป คุณก็ยังไม่นอน ยิ่งคุณมีชีวิตกลางคืนยาวนานมากเท่าไร คุณก็ถูกพลังมืดดูดกลืนเข้ามา ยิ่งมากเท่านั้นด้วยเช่นกัน

๔. คุณมีเจ้านายเหนือหัว ซึ่งไม่เคยทำให้คุณมีปัญญาทางธรรมสูงขึ้น ตรงข้าม มีแต่จะทำให้คุณโง่ลง และยอมเป็นข้าทาสชั้นดี ยอมจำนนต่อคุณอย่างง่ายดายต่อไป เพื่อเงินเดือน คุณต้องยอมเขามากขึ้น 

๕. คุณอยากได้อะไร ก็ได้เลยในชาตินี้ แต่เสียที มันมักตามมาด้วยสิ่งที่ทำให้คุณวุ่นวายในชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่า "ยิ่งได้ กลับยิ่งทุกข์" บางครั้ง คุณอาจจะได้เป็นเจ้าคนนายคน เหนือคนอื่น ด้วยซ้ำไป?

๖. คุณถูกพันธนาการด้วยสิ่งต่างๆ มากมาย เรียกว่า ถ้าจะให้คุณตัดใจไปบวชพราหมณ์ปฏิบัติธรรมสัก ๑ เดือนละก็ เป็นไปไม่ได้แน่ สิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนนามธรรม มองไม่เห็น แต่มีอยู่ มีอิทธิพลต่อชีวิตจริงๆ

๗. คุณไม่มีอิสระที่จะคิด, พูด หรือทำได้อย่างสัตว์โลกตัวหนึ่ง บางทีก็ต้องรอให้ใครสักคนหรือสักกลุ่มหนึ่งตัดสิน, คัดกรอง, อนุญาติ ฯลฯ ก่อนคุณจึงจะสามารถคิด, พูด หรือทำในสิ่งที่เป็นตัวของคุณเองได้

๘. คุณเริ่มติดความสมบูรณ์แบบโดยไม่รู้ตัว เช่น เสื้อผ้าที่คุณใส่ ถ้ามีผงฝุ่นติดหรือยับบ้างก็มองว่าไม่เรียบร้อย คุณไม่ได้มองว่ารอยฝุ่นหรือรอยยับคือ "รอยยิ้มน้อยๆ ของโลก" ที่บ่งบอกว่าคุณยังอยู่บนโลกนี้

๙. คุณเริ่มมีตัวตน ปรากฏในมิติที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ เช่น โลกออนไลน์ และคุณต้องเสียเวลาหล่อเลี้ยงมัน หรือเหมือนว่าต้องทำให้มันมีชีวิตดำรงอยู่จริงๆ มีสังคมออนไลน์ เข้ามาแทนที่ตัวตนจริงๆ ของคุณเอง?

๑๐. คุณมักต้องแลกหรือสูญเสียบางสิ่งไป เพื่อได้สิ่งที่คุณต้องการมา เช่น เมื่อคุณได้งานที่คุณต้องการ คุณอาจจะต้องย้ายที่อยู่และจากไปจากครอบครัวของคุณ จนไม่อาจดูแลพ่อแม่ของคุณได้ดังเดิมอีก


เอาละ อันนี้เป็น ๑๐ ข้อ ให้ลองตรวจเช็คกันเล่นๆ ก่อนครับว่าคุณอยู่ในกลุ่มที่ถูก "พลังมืดครอบงำ" มากน้อยแค่ไหน แต่ก็อย่าเพิ่งตกใจไปละ ถ้าคุณมีครบทั้ง ๑๐ ข้อเลย ไม่แปลกหรอกครับ คนยุคปัจจุบันก็มีกันเยอะครับ (ดีใจไหมครับ คุณมีเพื่อนมากเลย ที่จะไปอยู่ในภพมืดกับคุณและไม่ได้ผุดไ้ด้เกิด?) คุณสามารถเอาตัวออกจากมิติมืดนี้ได้ครับ แต่ผมไม่ได้ให้คุณมีทัศนคติเชิงลบกับมิติมืดนี้หรอกนะครับ มันก็คือธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งที่อยู่ในโลกนี้มานานแล้ว และหลายคนก็ยังอยู่กับภพมืดนี้ต่อไป ผมเพียงแค่บอกคุณ เผื่อว่าคุณพร้อมที่จะออกมาข้างนอกภพมืดบ้าง ได้เห็นแสงสว่างบ้าง แล้วจะเข้าๆ ออกๆ ภพมืดบ้าง, สว่างบ้าง ก็ค่อยว่ากันไปอีกที ถ้ามีปัญญาแจ้งดีแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวครับ เข้าๆ ออกๆ ก็ได้ เหมือนผมนี่ไง เวลาทำงานเว็บก็อยู่ในภพมืดแหละครับ (เลยได้เจอคุณผู้อ่านไงละ) แต่ผมไม่ไ่ด้ยกเวลาทั้งชีวิตให้กับหน้าจอคอมฯ นี่สักหน่อย ผมมีเวลาส่วนตัวไปทำอะไรกลางแจ้ง เป็นกิจกรรมกลางแจ้งทุกวันแหละครับ (แต่ว่านะ ตั้งแต่ได้คอมฯ และเน็ตฯ เข้าบ้านมานี่ ผมต้องเสียช่วงเวลาตอนเช้า ที่เมื่อก่อนเคยได้ขี่จักรยานกลางแจ้ง ผ่านแสงอาทิตย์และแม่น้ำที่สงบเย็น ไปแล้วละ) ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าเรามีปัญญาำพอเอาตัวรอดได้, มีบารมีพอจะไม่ถูกภพมืดกลืนกิน การเข้าๆ ออกๆ ภพมืดก็เพื่อฉุดช่วยเพื่อนของเราไงละครับ แต่ว่าถ้าคุณยังไม่กล้าแกร่งพอ จะเลือกอยู่แต่ชีวิตในภพสว่าง ก็ได้ครับ ปลอดภัยดี อย่างชาวนาที่ไม่หลงไปเดินประท้วง นั่นไงครับ (ชาวนาที่ชอบประท้วง, เรียกร้อง ฯลฯ ก็มีบางส่วนในภพมืดเช่นกัน)


เอาละ เกือบลืมเรื่อง "พลังคลาสสิคของไกอา" ไม่ยากครับเหมือนกับชีวิตดั้งเิดิมของบรรพบุรุษเรานี่หละครับ มีชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มีชีวิตกลางแจ้ง เรียบๆ ง่ายๆ เหมือนคนโง่ เลอะเทอะเปื้อนน้ำ, เปื้อนดิน, เปื้อนลม, เปื้อนแสงแดด (จนผิวคล้ำ) บ้าง ก็นี่หละ เหล่าชาวโลกที่แท้จริง ที่ได้รับพลังของไกอาเขาหละครับ ไม่ก็ดูแบบเจงกิสข่าน ที่มีชีวิตอยู่กลางทุ่งหญ้าหรือทะเลทราย ที่มีแต่ผืนฟ้ากับผืนดิน (พลังฟ้าดิน) อยู่ตลอดเวลา นั่นก็ได้ เป็นตัวอย่างคลาสสิคมากเลยละครับ อย่าลืมครับว่า "โลกก็คือโลก" มันไม่ใช่สวรรค์ นี่คือโลก มันไม่ได้เต็มไปด้วยความสมบูรณ์แบบเหมือน "ดาวพ่้อ" ที่คุณเคยดำรงอยู่ ก่อนที่จะจากมา ดังนั้น มันจะไม่สมบูรณ์แบบไปบ้าง โก๊ะๆ กังๆ ไปบ้าง มันก็คือ "ธรรมดาของโลก" ไงครับ คุณรับได้ไหมละ เมื่อต้องมาอยู่ในโลกเช่นนี้แล้ว มันก็แค่นั้นแหละ แต่ถ้าคุณไม่ชิน "ภาคมืด" ก็จะสร้างระบบเตรียมไว้ให้ท่าน ซึ่งจะจำลองแบบสวรรค์, ดาวพ่อที่ึคุณเคยอยู่ ไว้รอรับคุณให้ เมื่อคุณถูกต้อนเข้าไป โอเค มันยอดเยี่ยม และดูดีกว่าเหล่าชาวโลกธรรมดาๆ ทั่วไปมาก แต่คุณอย่าลืมว่า เขาให้เราจากดาวพ่อ จากสวรรค์มาเกิด เพื่อเรียนรู้อีกสิ่งที่ต่างไปจากที่ๆ เราจากมา นั่นก็คือ "โลกมนุษย์" ซึ่งมันมีอะไร ไม่ได้สวยหรูดูเพอร์เฟคอย่างสวรรค์หรือดาวพ่อของเรานัก เช่น คุณอาจตกใจถ้าเห็น "สัตว์กินสัตว์" และคุณก็ระลึกได้ว่าที่ดาวพ่อ, สวรรค์ที่คุณอยู่ ไม่มีการฆ่าสัตว์กินกัน แล้วคุณก็เลยมาสร้างลัทธิกินผัก, นิกายมังสะวิรัตขึ้นมา เป็นต้น แต่ชาวโลกคนธรรมดาทั่วไป ยากจน ปรับตัวเข้ากับโลก ไม่มีอะไรกิน ไปขุดแมลงกินบ้าง, จับปลามาทำปลาร้าบ้าง โอ้ย นั่นก็คือ "ชาวโลก" ไงครับ ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาว ไม่ใช่เทพสวรรค์มาจุติ เอาละ กั้๊กไว้บ้าง เดี๋ยวไม่มีจะเล่า จะเม้าท์เป็นนิทานอาหรับราตรีในคืนต่อไป สำหรับวันนี้ ขอจบลงเท่านี้ก่อน พบกันใหม่ ราตรีสวัสดิ์และ "สุขสันต์วันคริสตมาส" ครับ 




วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

"สื่ออินเตอร์เน็ต" คือ เครื่องมือที่เราจะใช้ทำสงครามเย็น!

ผมเคยได้ยินคนด่ารัฐบาลว่า "อีโง่เอ้ย เอ็งมัวให้ต่างชาติทำอะไรก็ได้ แต่มาควบคุมจำกัดแต่คนไทย แล้วอย่างนี้ คนไทยจะไปแข่งขันอะไรกะเขาได้วะ ค่าแรงในประเทศก็ขึ้นเอาๆ ทีเวลาโรงงานญี่ปุ่นน้ำท่วม แม่งก็ให้มันลดภาษีไปแปดปี มีอย่างที่ไหน ตอนสื่อไทยไปสัมภาษณ์โอบาม่า ถูกควบคุมทุกอย่าง แต่สื่อฝรั่งถามได้หมด โหย ยิ่งกว่าสองมาตรฐานว่ะ เพราะมันเล่นเอามาตรฐานดีๆ ไปให้ฝรั่ง แล้วเอามาตรฐานแย่ๆ มาลงคนไทย บลาๆๆๆ" ด่ากันขรมเลย โอ้ย อย่าคิดมากครับ มีคนด่าบ้าง รักบ้าง ชมบ้าง ชังบ้าง เป็นธรรมดา มาเรื่องของเราดีกว่าครับ นั่นคือ เรื่องสื่ออินเตอร์เน็ตที่เราจะใช้เป็นเครื่องมือสู้ในสงครามเย็นกับอริราชศัตรูคับ (ถ้าคนไทยถูกจำกัดไม่้ให้ใช้ ในขณะที่ต่างชาติใช้สื่อสารพัดเ่ล่นงานเราเอาๆ ผมว่า "จบเห่" คงสิ้นชาติแน่แล้วครับ) มะ มาเม้าท์กันเรื่องนี้เลยละกัน กำลังฮอตนะผมว่าอ่า เชิญทัศนาครับ


เอาละ อ่านบทความนี้คงต้องทำใจหน่อย สำหรับท่านที่อ่อนไหว มีเยื่อบุทางอารมณ์อ่อนบาง เพราะมันเหมาะสำหรับ "เมล็ดพันธุ์ต่างดาวที่แ่ข็งแกร่งและพร้อมทำหน้าที่แล้วครับ" สำหรับเด็กอ่อนๆ เบบี๋ทั้งหลาย ยังไม่อาจฟังได้ อาจระคายหูเอา จำต้องกินนม, ฟังนิทาน แล้วเข้านอนไปนะครับ แต่ถ้าใครพร้อมแล้วที่จะลุกขึ้นมาทำหน้าที่อันควรทำ ไม่ใช่มัวทำอะไรอยู่ไม่รู้ ประโยชน์เล็กน้อย ทั้งๆ ที่โลกกำลังอยู่ในสงครามเย็นแท้ๆ เรากลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย หรือปล่อยให้เขามากลืนชาติเราไปทีละน้อยเฉยเลยอะไรแบบนั้น เอาละ ถ้าคุณพร้อมเราก็ไปด้วยกันครับ นั่นคือ "หยิบอาวุธขึ้นมาสู้สิครับ" อาวุธที่เราพอจะมีได้ประจำมือ ไม่ใช่พระแสงดาบอะไรกัน มันก็คือ "อินเตอร์เน็ต" นี่หละครับ เพราะอะไร? เพราะในสงครามเย็นนั้น เครื่องมือที่ทรงอานุภาพสูงสุดอย่างหนึ่งก็คือ "เครื่องมือสื่อสาร" นั่นไงละครับ และเครื่องมือสื่อสารที่ไปได้วงกว้างที่สุดในตอนนี้ ก็คือ "อินเตอร์เน็ต" อย่างไรละครับ โอเค? เข้าใจแล้วสินะครับ อย่างที่ผมทำมาตลอดเวลานั้น ก็คือ การสร้าง "ขุมปัญญา" อันเป็นรากเหง้าที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาคนครับ เืมื่อเราพัฒนาคนได้มากแล้ว เขาก็จะกลายเป็น "กองทัพอัศวินแห่งแสงสว่าง" อย่างไรละครับ และตอนนี้ ก็ถึงเวลาที่เราจะเอาจริงกันเสียที คือ การใช้สื่ออินเตอร์เน็ตนี่แหละ ทำสงครามเย็นมันซะเลย มาถึงตอนนี้ บางคนคงคิดว่าผมบ้าสงคราม ไม่ก็บ้าเกม หรือบ้าหนัง อ้าว ถ้าประเทศของเราไม่มีวิกฤติจริงๆ คุณอาจคิดถูกก็ได้ แต่ถ้ามันไม่ใช่อย่างที่คุณเห็นละ? ถ้าขณะนี้ มันกำลังมีสงครามเย็นที่พร้อมจะกลืนเงียบประเทศของเราอยู่ และเราอาจกลายเป็นเหยื่อของสงครามเย็นไปได้ เมื่อคุณมารู้ตัวทีหลังว่าถูกกลืนไปแล้ว สิ้นชาติแล้ว คุณจะต้องเป็น "ผู้พ่ายแพ้สงคราม" ไปแล้ว คุณจะรู้สึกตัวทีหลังครับว่า คุณต้องพบกับความอัปยศและต้องรับความยากลำบากมากน้อยเพียงไร


เพราะฉะนั้น เราต้องลุกขึ้นสู้ได้แล้วครับ (บางคนก็เริ่มสงสัยอีก ไอ้ห่า กรูจะเอาอินเตอร์เน็ตไปสู้อะไรกับพวกมันวะ? มันบุกประเทศเราที มันยกโขยงทั้งดารานักร้องมาเป็นกองทัพ แถมหนังทำเงินของมัน ลงทุนทีเป็นพันล้านอ่า?) อย่ากลัว คุณต้องเข้าใจกฏที่สำคัญที่สุดของการสื่อสารอย่างหนึ่งครับ ก็คือ "Butterfly effect" ครับ หรือมันก็คือ การใช้ "พิณทิพย์" สร้างแรงสั่นสะเทือนจากจุดเล็กๆ ให้ขยายวงไปทั่วได้ ไม่ต่างอะไรกับ "ขงเบ้งสยบกองทัพด้วยเสียงพิณ" นั่นเอง ใช่แล้ว เราจะใช้วิธีนี้ ต่อสู้กับสงครามเย็นครับ นั่นแหละ ผมจึงแนะนำคุณเสมอว่าพลังงานอะไรต่อมิอะไร มีผลอย่างไร ใช้ได้อย่างไร ไงละครับ ผมไม่ได้บอกคุณเลยว่า "เราต้องจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเท่าไร จึงจะพอทำสงครามเย็นในครั้งนี้" ไม่มีครับ พวกเรามือเปล่ามาก่อน ไม่เอาเงินของชาติครับ ถามว่าแล้วเราจะใช้สื่ออินเตอร์เน็ตนี้อย่่างไร? เขียนด่าพวกอริราชศัตรูไปเลยดีไหม? ไม่หรอกครับ มันไม่ได้ประโยชน์อะไร การด่าแบบนั้น มันก็แค่พวกที่อยู่ข้างสนามคอยส่งเสียงร้องปาวๆ โห่ไล่คนที่อยู่ในสนามเท่านั้นเอง ที่ผมต้องการคือ ไม่ใช่แค่เชียร์หรอกครับ แต่คุณจะเป็น "ฮีโร่ในสนามนี้ด้วย" ต้องลงสู้กับอริราชศัตรูในศึกนี้เต็มตัวเลยครับ (ซึ่งถ้าคุณได้อ่านบทความวิเคราะห์การเืืมืองโลกที่ผมเคยลงบ้างแล้ว ก็จะประติดประต่อเรื่องราวความเป็นมาได้ไม่ยาก) 


อย่าเพิ่งซีเรียสไปนะครับ มันไม่ไ่ด้ร้ายแรงขนาดนั้น เพราะในสงครามเย็นนี้ เราไม่ไ่ด้เข่นฆ่ากันครับ เป้าหมายของเรา คือ การครอบครองใจผู้ชมต่างหาก ดังนั้น บางครั้งผมจึงเรียกมันว่า "สงครามมหาเทพ" ไงละครับ สำหรับในมิติทิพย์แล้ว พวกเขาจะมีการ "ตาย" มากมายเลยครับ เป็นการตายเพื่อ "กำเนิดใหม่" ครั้งใหญ่มากๆ ครั้งหนึ่งของโลกเลย แปลกไหม? ใช้สื่อหรือรับสื่อจนตายนี่นะ? ไม่แปลกหรอกครับ ดูที่เกาหลีสิครับ หนุ่มเกาหลีคนหนึ่งเล่นเกมจนตาย ตายทั้งร่างสังขารไปเลยครับ (อั๊ยย่ะ) ทีนี้ เราไม่เอายังงั้น เราจะต้อง "แตกใน" เอ้ย "ตายใน" ผมอยากจะบอกคุณว่าหลายครั้งทีเดียวที่ผมทำเว็บนั้น ผมรู้สึกไม่ต่างจากตายเลย มันทำงานเยอะมากๆ จนเบรอ, จนเหมือนหมดพลัง, ไม่เหลือแม้กระทั่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ แล้วก็หมด จบ ตายในไปเลยครับ นั่นแหละ เป้าหมายของเรา ยิ่งเราทำเป้าแตกใน เอ้ย ตายใน ได้มากเท่าไร พลังงานใหม่จะยิ่งจูนเข้ามาประเทศเรามากขึ้นเท่านั้น จน ถึงที่สุดคือ ประเทศเราจะมีพลังงานใหม่มาขับเคลื่อนให้เจริญไปข้างหน้าได้ นั่นเอง เอาละสำหรับนิทานอาหรับราตรีวันนี้ออกแนวสงครามไปนิด อาจกระทบกระเทือนต่อเยื่อบุอารมณ์ของเบบี๋ทั้งหลายไปบ้าง ต้องขออภัยไว้ ณ ทีนี้ ไว้พบกันใหม่บทความหน้า ราตรีสวัสดิ์ครับ ...



วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เมล็ดพันธุ์แห่งดวงดาว (Star seed) ที่ตกสู่โลก จะดำเินินไปอย่างไร?

อ๊า ดีใจจังเลย วันนี้ นึกมุขออกแล้ว และไม่ลืมด้วย เอาละน้า เล่นเลย คือ อย่างนี้ ป้าข้างบ้านแกแก่แล้ว อยู่คนเดียวเปลี่ยวใจ มีหมาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน วันหนึ่งๆ ก็เรียกหมาหลายรอบ เรียกไปอย่างนั้นแหละ แกมีหมาสองตัว สมมุติว่าชื่อ สุดยอด กับ เริ่ดค่ะ ก็แล้วกัน พอเห็นเจ้าสุดยอด แต่ไม่เห็นเจ้าเริ่ดค่ะ ก็จะถามเจ้าสุดยอดว่า "เจ้าเริ่ดค่ะ ไปไหน" อ้าว ยัยป้าประหลาด ไปถามหมามันอย่างนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ? แล้วมันจะตอบป้าได้ไหม? มันก็เงียบทุกทีอะ่ค่ะ วันหลังนะ ป้าต้องถามเจ้าตัวมันเอง ถ้าอยากรู้ว่าเจ้าเริ่ดค่ะไปไหน ก็รอให้มันมาก่อนแล้วถามว่า "เจ้าเริ่ดค่ะ ไปไหน?" ถึงจะได้คำตอบ อ่ะป่าวอะคะ? เอาละ ขำมั้ยอ่า? มุขนี้ ให้เวลาหัวเราะงอหายครึ่งชั่วโมง แล้วมาอ่านบทความกันต่อนะครับ เรื่อง "การเดินทางของเมล็ดพันธุ์ดวงดาวบนโลกมนุษย์" มีดังนี้



บทความที่ผ่านมาได้กล่าวถึง การเกิดขึ้นของเหล่าเมล็ดพันธุ์ดวงดาวแล้วว่ามาจากการผสมพันธุ์กันของดาวอื่นๆ กับดาวโลก ทีนี้เราก็จะมาถึงช่วงเวลาที่พระเอกกะนางเอกของเรา เกิดแล้ว ถูกใส่ความว่าเป็นท่อนไม้ หรือถูกเอาไปทิ้งที่ไหน อ่ะ ม่ายช่าย ไม่ใช่ละครจักรๆ วงศ์ๆ นี่มันเป็นหนังไซไฟฯ ตะหาก เอาละ เมื่อเมล็ดพันธุ์แห่งดวงดาว ไม่ได้กลับสู่ "ดาวพ่อ" และตกค้างอยู่บนดาวแม่ คือ ดาวโลกไกอา นี้ เขาจะต้องพัฒนาตัวเองเพื่อวิวัฒนาการกลับไปสู่ "ต้นเดิม" ให้ได้ก่อนครับ จึงจะกลับสู่ "ดาวพ่อ" ได้ ซึ่งในกระบวนการนี้ ผมได้บอกแล้วว่ามีภาคมืดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คือ พวกเขาได้จำลอง "ดาวพ่อของเทียม" ไว้บนโลก เหมือนระบบอะไรต่อมิอะไรนั่นแหละ ให้เหล่าเมล็ดพันธุ์แห่งดวงดาวได้เข้าไปเรียนรู้เพื่อแสวงหา "ดาวพ่อของจริง" ต่อไป ทีนี้ จึงเกิดการ "ต้อนเข้าสู่ระบบมืด" อย่างไรละครับ มีเมล็ดพันธุ์ดวงดาวอยู่มากมายที่ถูกต้อนเข้าสู่ "ระบบมืด" ซึ่งเป็นระบบที่ภาคมืดได้สร้างขึ้น เช่น ระบบทุนนิยม เ็ป็นต้น เมื่อเหล่าเมล็ดพันธุ์ดวงดาวถูกต้อนเข้าไปแล้ว ก็จะถูกพัฒนาในแบบของภาคมืดไปก่อน ยังไม่ใช่แบบดาวพ่อที่แท้จริง ซึ่งมันก็ช่วยเป็นพื้นฐานในการพัฒนาจิตวิญญาณเพื่อการยกระดับของพวกเขาได้ครับ โดยเฉพาะกลุ่มที่เพิ่งเข้ามาถึงโลกแรกๆ ก็จะถูกต้อนเข้าไปเรียนรู้ในระบบมืดก่อนเลย สังเกตุดูนะครับ พวกนี้ก็จะมีอะไรที่พิเศษๆ มากกว่าคนทั่วไป ติดตัวมา แล้วกลายเป็นสิ่งที่ดึงให้ภาคมืด มาเอาตัวไปเข้าสู่ระบบมืดครับเช่น รูปร่างหน้าตาดีผิดจากปุถุชนคนทั่วไปเขา หรืออัจฉริยะมาแต่เกิดเลย อะไรประมาณนั้นครับ



ทีนี้ เมื่อเมล็ดพันธุ์แห่งดวงดาวเหล่านั้น บ่มเพาะตัวเองจนถึงกาลอันควรแล้ว ก็จะได้รับการพัฒนาในแบบ "ดาวพ่อ" นะครับ ซึ่งจะคนละแบบกับของ "ภาคมืด" ครับ เช่น กระบวนการปลดปล่อย, ชำระล้าง และการสร้างใหม่ เพื่อให้พวกเขาได้รับการชำระล้างตัวเองให้พ้นไปจากพลังภาคมืด และได้กำเนิดใหม่ตามแบบที่ถูกต้อง ตั้งแต่ดั้งเดิมที่พวกเขาเคยเป็นมา ทีนี้พวกเขาก็จะกลับคืนสู่ "ต้นเดิม" ที่เขาเคยเป็น เช่น เมล็ดพันธุ์ดวงดาวที่มาจาก "ต้นกวนอิม" ก็จะกลับไปเหมือนกับพระกวนอิม, เมล็ดพันธุ์ดวงดาวที่มาจาก "ต้นศรีอาร์ฯ" ก็จะกลับไปเหมือนกับพระศรีอาร์ฯ พอเข้าใจนะครับ ไม่ยากแล้ว เห็นภาพแบบนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการปลูกพืช ซึ่งระหว่างทางมีการแปลงสายพันธุ์หรือกลายพันธุ์ไปบ้าง เพราะสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป นั่นเอง แ่ต่ก็จะได้รับการปรับปรุงพันธุ์ให้กลับไปดีเหมือนต้นเดิมใหม่ ในท้ายที่สุด นั่นเอง คนไำหนที่วนเวียนอยู่นานแล้วบนโลกนี้ ก็ใกล้ที่จะถึงฝั่งได้ไปสู่ "ต้นเดิม" แต่เมล็ดพันธุ์ไหนที่เพิ่งมายังโลกใหม่ๆ ก็จะยังห่างไกลและต้องพัฒนาตัวเอง วิวัฒนาการตัวเอง ผ่าน "ร่างสังขาร" อีกมาก หลายๆ ร่างสังขารทีเดียว เพราะอย่างที่บอกแล้วว่า "มนุษย์โลกนั้นมีอายุขัยสั้น" ดังนั้น แค่ ๑ ร่างสังขารจึงไม่พอแก่การเรียนรู้ของเหล่าเมล็ดพันธุ์ดวงดาวเหล่านั้น พวกเขาจึงต้องเรียนรู้ผ่านหลายสังขารมาก นั่นเอง อนึ่ง ในกระบวนการเรียนรู้นี้ ไม่เพียงแต่ "ระบบมืด" ที่มีอยู่เท่านั้น ยังมี "ระบบไกอา" ด้วย ยกตัวอย่างชัดๆ ไปเลยก็ได้ เช่น การเรียนปริญญาตรี (เรียนในห้อง เ้น้นเล็คเชอร์เป็นหลัก) นี่ชัดเลย ก็คือ "ระบบมืด" ส่วนการเรียนรู้แบบนอกห้องเรียน ไปกรีดยางกับพ่อ นี่ ก็คือ "ระบบไกอา" นั่นเอง ส่วนการเรียนรู้เรื่องการกำเนิดใหม่นี่ ของ "ดาวพ่อ" นะครับ (พอจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนไหมครับ?)


เอาละ ฟังนิทานอาหรับราตรีวันละนิด จิตแจ่มใส ฟังไปวันละน้อยก็พอ มากเกินไปเดี๋ยวหมด ไม่มีเล่าต่อ ฮ่าๆๆ ต้องกั๊กไว้เล่าคืนต่อไปให้น้องๆ หนูๆ ได้ฟังกันต่อไป สำหรับเรื่องราวในวันนี้ ขอจบเพียงเท่านี้ นอนหลับฝันดี ฝันเห็นตัวเลขตรงๆ ไม่ต้องตี ราตรีสวัสดิ์ครับ ^_^"



วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

การผสมพันธุ์ของดวงดาว และเมล็ดพันธุ์แห่งดวงดาว (มนุษย์) ดำเนินไปอย่างไร?

วันนี้ กะจะหามุขอะไรมาอีกตามเคย และก็ยังคงนึุกไม่ออกอีกตามเคย แป๋วววว แป๊ก เอาละ ไม่มัวพูดพล่ามทำเพลงนอกเรื่องนอกราว เพราะวันนี้ หัวข้อของเรามันทันสมัยและก้าวล้ำไปในมิติที่สูงมากทีเดียว ก็เลยต้องย่อย่นเวลากันเสียหน่อยนึงค์ เป็นเรื่องของการผสมพันธุ์ของดวงดาวครับ ออกจะอีโรติกนิดๆ อายุไม่เกิน ๑๘ ปี ไม่ควรอ่านมากนะครับ เพราะเราไม่มีฝ่ายเซ็นเซอร์ด้วยสิ สรุปแล้วก็ดูเองละกันครับ ว่ามันเ็ป็นอย่างไร เพราะอธิบายไปก็ลำบาก ทำเองก็รู้เองแหละครับ ???


อย่าเพิ่งแปลกใจเกินไปละคุณได้ยินไม่ผิดหรอกผมกำลังจะเม้าท์เรื่อง "ดวงดาวผสมพันธุ์กัน" แล้วให้ลูกออกมาเป็นมนุษย์หลากหลายเผ่าพันธุ์ดาว โดยเริ่มต้นจาก "ดาวพ่อ" ก่อน คำว่า ดาวพ่้อ คือ ดาวต้นกำเนิดแหล่งพลังงานที่มากพอ "ปลดปล่อยออกมาสู่ดาวแม่" ได้ เป็นดาวฝ่ายหยาง เป็นผู้เริ่มต้นให้พลังงาน ซึ่งพลังงานที่ปลดปล่อยออกมาเพื่อการกำเนิดนี้ จะต้องเป็นพลังงานในกลุ่ม "รูปธรรมชีวิต" โดยเฉพาะ จึงจะให้กำเนิดรูปธรรมชีวิตสืบต่อกันไปได้ครับ ทีนี้ "ดาวแม่" ก็จะทำหน้าที่เป็นผู้รับ หรือฝ่ายรับพลังงาน (หยิน) เมื่อพลังงานกลุ่มที่เป็นรูปธรรมชีวิต ได้รับการปลดปล่อยมาจาก "ดาวพ่อ" แล้ว ก็จะลงมาที่ดาวแม่เช่นโลกเป็นต้นจากนั้นจะเกิดการผสมผสานของพลังงานที่อยู่ในโลก ทำให้ "รูปธรรมชีวิต" ที่จุติลงมาที่ดาวโลกนี้นั้น มีการ "ให้กำเนิด" รูปธรรมชีวิตใหม่ๆ เพิ่มขึ้นได้ แต่มันไม่ใช่การคลอดบุตรเหมือนอย่างที่เราเข้าใจกันนะครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ การคลอดบุตรทั้งหลาย อาจมาจาก "รูปธรรมชีวิต" จากดาวพ่อ สมมุติว่า ๑ ล้านหน่วย มันก็จะวนเวียนกันอยู่แค่ ๑ ล้านหน่วย เวียนเกิดเวียนตายกันไปใช่ไหม? ถ้าไม่มีการผสมพันธุ์ระหว่างดวงดาว ทว่าในความเป็นจริงมันไม่ใช่เช่นนั้น เพราะมันมีการ "ให้กำเนิด" รูปธรรมชีวิตเพิ่มขึ้นจากเดิมด้วย ทำให้จำนวนรวมของรูปธรรมชีวิตมากขึ้นกว่า ๑ ล้านหน่วย สมมุติ นาย ก. ถูกส่งมากจากดาวพ่อที่ชื่อว่า "ดาวสุริยะ" พอมาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกแล้ว "พลังงานบางส่วนในตัวของเขา" จะเป็นผู้ให้กำเนิด "รูปธรรมชีวิต" ในระดับพลังงานได้อีก สมมุติว่าได้ ๑ ตัวตน   ส่วนนี้จะเป็น "ของดาวโลก" จะอยู่บนโลกก่อน เพราะืถือว่าให้กำเนิดที่โลกครับ (ดังนั้น โลกจึงเป็นฝ่ายรับพลังงานจึงเป็นหยินไงครับ) ทีนี้ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด "ตัวตนตั้งต้นส่วนเดิม" ของนาย ก. ก็จะได้กลับสู่ดาวพ่อหลังภารกิจบนโลกเสร็จสิ้น (แต่มันอาจผ่านร่างสังขารหลายร่างนะครับ เพราะร่างสังขารหนึ่งๆ ของมนุษย์มีอายุขัยสั้น นั่นเอง)


คำถามก็คือ "แล้วตัวตนที่ถูกให้กำเนิดบนดาวโลกนี้" จะเป็นอย่างไรต่อไป? คำตอบก็คือ เขาก็จะเจริญเติบโตและวิวัฒนาการผ่านสังขารมากมายเพื่อกลับไปสู่ "ตัวตนดั้งเดิม" กลับไปให้มีระดับที่สูงเหมือนกับตัวตนดั้งเดิมครับ เพราะตัวตนที่ถูกให้กำเนิดบนดาวโลกนี้ จะไม่ได้มีวิวัฒนาการเทียบเท่าตัวตนดั้งเดิมในทันที สมมุติ นาย ก. อยู่ในระดับมิติที่ ๑๐ เวลาให้กำเนิดตัวตนบนดาวโลก ก็จะต้องเริ่มต้นในจุดที่เป็นมาตรฐานของโลกครับ คือ "มิติที่สาม" เท่านั้นเอง ดังนั้น ตัวตนที่ถูกให้กำเนิดบนดาวโลกนี้ จึงมีลักษณะดังนี้ ๑. นับเป็นเชื้อสายของไกอา ๒. เริ่มต้นจากระดับมิติที่สาม ๓. ยังต้องวิวัฒนาการในดาวโลกอีกนานผ่านหลายสังขาร ๔. ที่สุดแล้วจะกลับไปมีสภาพเหมือนตัวตนดั้งเดิมที่ให้กำเนิดตนเอง และเพื่อให้ ไม่ลืมตัวตนดั้งเดิมที่ให้กำเนิดเขามา จึงต้องมี "ภาคมืด" ที่ถูกส่งลงมาจาก "ต่างดาว" มาวางระบบจำลองที่คล้ายกับ "ดาวพ่อ" ไว้ให้ (แต่ไม่ใช่ของจริง เป็นของปลอมทำเทียมเลียนแบบเท่านั้น) เพื่อให้เหล่าเมล็ดพันธุ์แห่งดวงดาวเหล่านี้ ได้มีความปรารถนาอยากไปให้ถึงฝั่งฝัน คือ "ดาวดวงนั้น" หรือก็คือ "ดาวพ่อ" นั่นเอง ดังนั้น ท่านไม่ต้องแปลกใจเลย ถ้าซาตานลูซิเฟอร์จะมาวางระบบอะไรมากมาย แล้วสร้างเวทีประกวด ให้คนแย่งกันเป็น "ดาวดวงนั้น" มันเป็นปริศนาธรรมครับ ที่มีผลถึง DNA ของเราทีเดียว พอเราได้ยินว่า "ดาวดวงนั้น" หรือ "ได้เกิดเป็นดาวเสียที" หรือ "เวทีแจ้งเกิด" อะไรประมาณนี้ มันจะ effect กับความรู้สึกของเราอย่างยิ่ง ไปถึงกึ๋นถึงใส้ถึงพุึง ทะลุทะลวงไปยัง DNA เลยละครับ ก็เพราะอะไรละ? ก็เพราะว่ามันคือ "ต้นกำเนิดของมวลมนุษย์" อย่างไรละครับ


เอาละ ขณะที่ผม "ซุปเปอร์เม้าท์ ไกอา" สุดหล่อ! กำลังรายงานความเคลื่อนไหวอย่างฉับไว ทันสถานการณ์อยู่นี้ ท่านทั้งหลาย กำลังอยู่บน "ดาวแม่" คือ "ไกอา" หรือ โลกนี้ นั่นเอง และท่านกำลังได้รับการเตรียมความพร้อมอย่างที่สุด เพื่อการวิวัฒนาการไปสู่ "ต้นกำเนิดเดิมของพวกเรา" เหล่าผู้ที่มีเชื้อสายมาจาก "ดาวพ่อ" อันไกลโพ้นนั้น ลองดูสิ ดาวดวงนั้น บนฟากฟ้าที่สวยงาม ประกายระยิบระยับ ราวกับจะเชื้อเชิญให้ผมและคุณกลับไป ราวกับเป็นสัญญาณเรียกรวมพลของพวกเราอย่างนั้น ใช่แล้ว หนูน้อย ดาวพ่อกำลังพูดกับเรา เพื่อให้เราไม่หลงลืมต้นกำเนิดของตัวเอง แล้วกลับคืนสู่รากเหง้่าของเรา นั่นเอง เอาละ สำหรับนิทานอาหรับราตรีวันนี้ สนุกกันพอสมควร ดึกมากไปเด็กๆ อาจตื่นสาย เจ้านายจะด่าเอา วันนี้ขอจบลงเพียงเท่านี้ พบกับบทความที่หาอ่านที่ไหนไม่ได้อีก ในฉบับหน้า ราตรีสวัสดิ์ครับ




วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นภาคมืดได้ แล้วกลายเป็นไปได้อย่างไร?

โอ้ย วันนี้ นึกมุขได้อย่างหนึ่ง แ่ต่ืลืมไปหมดแระ "แป๊ก" งั้นก็เข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน เป็นเรื่องเล็กๆ เหมือนเดิม แต่อยากเน้นย้ำเพราะสำคัญมากครับ คือ เรื่องการพลาดท่าเข้าสู่ภาคมืด ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 


ตอนแรกผมก็ิคิดว่าพระโพธิสัตว์คงไม่เป็นพวกภาึคมืด ทว่า แล้วผมก็ต้องคิดใหม่ครับ เมื่อค้นพบว่ามันไม่จริงเสมอไปยังมีพระโพธิสัตว์บางกลุ่มที่กลายเป็นภาคมืดด้วยครับ บางครั้ง ถ้าคุณติดต่อสื่อสารกับมิติทิพย์ได้ หรือเห็นกายทิพย์ของพระโพธิสัตว์ คุณก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปไปว่าเขาเป็นภาึคสว่างละ เพราะบางครั้ง เขาอาจทำงานให้ภาคมืดก็ได้ เรื่องนี้ เกิดขึ้นกับตัวผมเอง กล่าวคือ ผมสูญเสียจิตวิญญาณโพธิสัตว์ไปเพราะักรรมตัดรอน (ทำกรรมผิดประเวณีครับ) แล้วผมก็สูญเสียไป ทำให้สภาพผมในตอนหลังจากที่สูญเสียจิตวิญญาณโพธิสัตว์ไปนั้น มีสภาพคล้ายซอมบี้มากๆ (เสียจิตวิญญาณที่ดีไป แล้วได้แบบที่ห่วยมาแทน) ชีวิตผมถูกต้อนเข้าระบบของภาคมืด ได้มีชีวิตเหมือนคนกรุงทุกอย่าง ไ้ด้เรียนปริญญาตรี, ได้ทุน, จบมาก็มีงานทำ ฯลฯ แต่ชีวิตผมไม่มีความสุขที่แท้จริงเลย จนเมื่อผมรับวิบากกรรมอันแสนทรมานมานานเป็น ๑๐ ปี ก็หมดสิ้นลง ผมถูกกลั่นแกล้งให้ต้องออกจากงาน แต่เจ้านายไม่ต้องการให้ออก เขายื่นเงื่อนไข ให้ผมปรับตัวเองก็ทำงานต่อได้ แต่ผมไม่เอา ยอมรับกรรม ลาออกครับ แล้วผมก็มาปฏิบัติธรรมให้พ้นทุกข์ ตอนนั้นผมตกต่ำถึงขีดสุด เกือบจะเป็นขอทานเชียวละ ก็ผ่านไป ๕ ปี เห็นจะได้ ผมก็หลุดออกจากชีวิตที่มืดมนนั้นครับ แล้วมันก็เกิดปรากฏการณ์ประหลาดคือผมสัมผัสได้ถึง "จิตวิญญาณโพธิสัตว์ที่ผมสูญเสียไป" เขากลับมาแต่ไม่อาจประสานร่างผมได้ เขาพยายามกลับคืนร่างสังขารของผมแต่ใจผมปฏิเสธด้วย (ปฏิเสธความรู้สึกเดิมๆ อันเกี่ยวเนื่องพัวพันกันจิตวิญญาณดวงนั้น) บางครั้ง เขาก็ประสานกับคนรอบข้าง หรือคนที่ผมคุยด้วยครับ ผมรู้สึกได้ทันทีเพราะจำเขาได้แม่น (เขาก็คือ ผมในภาควิญญาณนี่นา) จนในที่สุด มันก็มีช่องทางที่เขาประสานกับผมได้ (เวลาจะประสานกันได้ ต้องมีใจสอดคล้องร่วมกันในเรื่องหนึ่งเรื่องใดมากพอ) เขาก็กลับคืนมาแต่ผมสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เปลี่ยนไป คือ "พลังมืด" ครอบงำเต็มจิตวิญญาณดวงนี้ และผมต้องชำระล้างเขานานพอควรเลย กว่าเขาจะหลุดพ้นจากความมืดมนนั้นๆ ได้ ข้อแตกต่างจากการชำระล้างจิตวิญญาณโพธิสัตว์กับจิตวิญญาณอื่นๆ คือ "จิตวิญญาณโพธิสัตว์ไม่ต้องกำเนิดใหม่ ก็ได้" แค่ชำระล้างก็พอครับ แล้วผมก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเดิมๆ ที่กลับมาอีกครั้ง


นอกจากนี้ มันยังทำให้ผมรู้ว่ายังมีจิตวิญญาณโพธิสัตว์อีกมาก ที่้ต้องเข้าไปอยู่ในภพมืดและเป็นพวกภาคมืดยกตัวอย่างง่ายๆ ครับ เช่น ในยามที่คุณบำเพ็ญบารมีมากๆ เกือบจะเต็มแล้ว มันก็ท้อแท้ มันเห็นคนอื่นเขาได้อะไรมากมาย แต่เรากลับถูกหลงลืมบ้าง ถูกกลั่นแกล้งบ้าง ทำให้ไม่ได้อะไรเลย ถ้าเรายอมรับชะตากรรมแล้วทำดีต่อไป เราก็จะได้บารมีเต็มครับ แต่เหตุการณ์ไม่เป็นเช่นนั้น ภาคมืดจะหล่อเลี้่ยงให้คนได้มีจิตวิญญาณโพธิสัตว์ก่อนแล้วบีบให้อยากได้เหมือนคนอื่นเขา บีบให้เราไปร้องขอ, เรียกร้อง หรือแม้แต่เดินขบวนเรียกร้องสิ่งต่างๆ ก็จะเข้าทางเขา แล้วเขาก็จะใช้ร่างมนุษย์ที่เป็นพวกของเขา มาให้เราได้สิ่งที่เรา้ต้่องการ แต่นั่นคือ วิถีของการแลกเปลี่ยนครับ เราจะต้องจ่ายไม่ใช่ได้มาฟรีๆ แต่จ่ายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เงินทอง (ซาตานไม่ไ่ด้นิยมเงินทองแบบมนุษย์นะครับ) พอเราถลำลึกเข้าไปมากๆ เข้า เราก็จะมีหนี้ติดตัวมากมาย จนถอนตัวไม่ขึ้น สุดท้าย เราก็จะต้องจ่ายเป็นจิตวิญญาณให้แก่ภาคมืด (หรือซาตาน นั่นเอง) นั่นแหละ วิธีที่ภาคมืดได้ิจิตวิญญาณพระโพธิสัตว์ไป ซึ่งตอนนี้ "โดนกันเยอะมากครับ" เพราะว่าพระโพธิสัตว์ลงมาเกิดเพื่อทำกิจค้ำจุนพระศาสนาที่จะหักกลางนั้นมีจำนวนมาก และมีบางส่วนที่ตกเป็นเหยื่อของภาคมืด ไม่ทันเล่ห์กลอันนี้ครับ ถามว่าทำไม ภาคมืดนิยมจิตวิญญาณของพระโพธิสัตว์? ก็เพราะเวลาใช้จิตวิญญาณของพระโพธิสัตว์ทำงาน มันจะได้ผลมากๆ ต่อปวงสัตว์ทั้งหลายครับ เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาโปรดสัตว์อะไรแบบนั้น ปวงสัตว์ก็จะไม่รู้ว่านี่คือเล่ห์กลของภาคมืด เขาก็จะเชื่อและยอมโดยง่าย สุดท้าย ปวงสัตว์มากมายก็ถูกต้อนเข้าสู่ภพมืดครับ ไม่ได้ไปผุดไปเกิดเลย ทว่า เปลือกนอกในระดับโลกสมมุติ มันจะดูเหมือนว่าคนเหล่านี้ประสบความสำเร็จในชีวิตมากครับทำให้คนอื่นๆ ต้องอยากได้ตามบ้าง ก็จะหลงแห่ตามๆ กันไป ในที่สุด มันก็เป็นวงจรอุบาทว์ที่ร้ายกาจที่สุดเลย (เอาพวกภาคมืด มาทำให้ดัง คนอยากได้อย่างนั้นก็ถลำตัวเข้ามา แล้วก็เอาคนที่ถลำตัวเข้ามานี่แหละ ทำให้ดังเพื่อดึงคนต่อๆ ไปอีก เป็นห่วงโซ่ ที่หมุนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นั่นเอง)


สิ่งสำคัญที่สุดที่จะหลุดพ้นจากเงื้อมมือของภาคมืดได้ก็คือ การที่เรา "อดทนรอบุญที่แท้จริงของเรา" ไม่ไปคาดหวัง, ตรึกในใจถึงเจตนาที่จะรับ, ร้องขอหรือก่อกรรมใดๆ ให้ได้มาซึ่งสิ่งใดๆ ครับ อันนี้ ต้องระวังให้มากเพราะแค่คิดภาคมืดก็รู้ความคิดเราและพร้อมเอาสิ่งที่เรา้อยากได้มาให้เราครับ เื่มื่อใดที่เรายอมรับ นั่นหมายความว่า "เจตนาจะเอา" ของเราได้สมบูรณ์ใน มโนกรรมและกายกรรมแล้ว มันก็เข้าเงื่อนไขที่เราแลกกับเขาทันที ของบางอย่างมาถึงเราด้วยการให้ก็จริง แต่มันก็อาจมาจากการที่เรานึกคิดอยากได้ก่อน ภาคมืดเขาก็สนองตอบให้เรา อย่างนี้ เราต้องหลีกเลี่ยง อย่าเพิ่งรับครับ จนกว่ามันจะกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า "วิบากกรรม" คือ เราหนีไม่พ้นจริงๆ ต้องรับแล้ว ต้องยอมรับสิ่งนั้นๆ ก็ค่อยรับได้ ไม่เป็นอะไรแล้ว (รับในตอนนั้น รับแบบไม่มีความอยากได้แล้ว) อันนี้ มาเตือนด้วยความปรารถนาดีครับ แต่คงไม่ทันละ เพราะโดนกันไปเยอะเหลือหลายทีเดียว เอ้า นึกว่าฟังนิทานอาหรับราตรีกันอีกเช่นเคยละกันไม่มีอะไรมาก จบเท่านี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ! 




วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มหัศจรรย์พลัง "กระจกทิพย์" เหนือล้ำ เกินคำบรรยาย!

โอว นี่ผมเป็นอะไรเนี่ย? บางช่วงเวลาก็ไม่มีอะไรจะทำเล้ย ได้แต่ง่วงเอาง่วงเอา แถมหลับกลางวันแบบหลับลึุกโคตรๆ เลย ยังกะตายแล้วฟื้นเลยอ่ะ (หลับกลางคืนก็ปกติ เหมือนหลับธรรมดาไม่เป็นแบบนี้) ในบางช่วงเวลาก็มีงานยัดเยียดพร้อมๆ กันมา ๓ - ๕ อย่าง ยังกะจะแยกร่างเราให้ได้ กลายเป็นคนๆ เดียวเหมือนคนหลายคนไปเลย งงที่สุด หลังๆ ผมคงจะได้ชื่อเรียกเวลาพวกนี้แล้วว่า "เวลาไสยาสน์" บ้าง, "เวลาแยกร่าง" บ้าง, "เวลาแปลงร่าง" บ้าง ฯลฯ เอ้า ใครเป็นแบบนี้บ้างเอ่ย ยกมือขึ้น (พรึ้บพรั้บๆๆ เต็มไปหมดเลย) แสดงว่าเราไม่ได้มีคนเดียว โฮ่ๆๆ (คิดเอง เออเอง อ่า คนอะไร หล่อเป็นบ้าเลย) เอ้า ไร้สาระไปได้ เข้าเรื่องของเราในวันนี้ กันดีกว่านะครับ เรื่องของเราในวันนี้ ยังไม่ไปไหนไกล ยังเป็นเรื่องของทิพย์วิเศษทั้ง ๕ ตอนจบครับ คือ เื่รื่องของกระจกทิพย์ ซึ่งเป็นของทิพย์ชนิดสุดท้ายแล้ว ดังนี้ครับ


กระจกทิพย์ เป็นของทิพย์วิเศษที่มีพลังแตกต่างจากพลังอื่นๆ อย่างมากคือ มันไม่ได้ใช้พลังของตัวเองหรือพลังของร่างสังขารเ็ป็นสำคัญ  แต่มันสามารถ "สะท้อนพลัง" ของคนอื่นๆ ออกไปได้หรือใช้พลังของผู้ที่จู่โจม เล่นงานตัวเขาเองได้ ซึ่งมันมีอานุภาพมากๆ ครับ ไม่ว่าพลังอะไรมันก็สะท้อนได้หมดเลย เวลาเราที่เจอใครที่มีกระจกทิพย์นะครับ ก็จะน่ารำคาญมากเลย เพราะเขาไม่ยอมใช้พลังตัวเองแถมยังสะท้อนพลังเรากลับมาได้อีกด้วยแก้ยังไงก็แก้ไม่หายครับ สุดท้ายเลยต้องใช้การบำเพ็ญบารมีให้เหนือกว่าแล้วเอามาเป็นของเราเสียเลย มันถึงจะจบ แล้วมันก็จะเอากระจกทิพย์มาเล่นงานเราไม่ได้อีกอย่างไรละครับ 


ถ้าเราจะสังเกตให้ดีนะครับ คนที่มีกระจกทิพย์นี่ ไม่ค่อยออกความคิดเห็นของตัวเองด้วย คือ ไม่แชร์ ไม่บอก ไม่ให้อะไรใครเลย แถมคอยแต่จะเอาความคิดคนอื่นไปใช้ได้ด้วย (โคตรขี้โกงเลยไหมละ) ทว่า คนเราถ้าทำอย่างนั้นบ่อยๆ ประจำๆ สุดท้าย ก็จะไม่ได้บุญบารมีให้ตัวเขาเองนะครับ เขาก็จะค่อยๆ ตกต่ำลงได้ เพราะเป็นผู้รับแต่ของเขาอย่างเดียว พอเขาตกต่ำลงแล้ว ถ้าเขายังทำวิสัยเดิมๆ ทำตัวแบบเดิม ก็จะถูกพลังมารแทรกได้ครับ เสี่ยงมากเลย บางคน ไม่ได้มีของทิพย์แบบนี้ เวลาเขาเสื่อมลง เขาจะตกระดับมาทีละขั้นๆ ยังไม่ลงพรวดไปถึงมารนะครับ แต่คนที่ติดนิสัยใช้ของทิพย์แบบนี้ มีโอกาสสูงทีเดียวที่จะกลายเป็นมาร ถ้าหมดสิ้นวาระบุญที่ไ่ด้ครองกระจกทิพย์นี้ครับ


ดังนั้น ผู้ที่จะถืิอครองกระจกทิพย์ อันเป็นของทิพย์วิเศษชนิดนี้จึงต้องมีบุญบารมีหนุนหลังไว้มาก ไม่เช่นนั้น ก็เสียไปได้เมื่อหมดวาระบุญนะครับ และมันไม่ค่อยอยู่ที่ใครนานๆ มันจะเปลี่ยนมือไปได้เรื่อยๆ ครับ ดังนั้น การได้มันมา จึงอาจจะไม่ยาก ถ้าคุณมีบุญถึงและมีจิตใจคล้ายกับของชนิดนี้ (เช่น ในกลุ่มคนที่ฝึกไทเก็ก) แต่การรักษาไว้ ยากมาก กว่าครับ นอกจากนี้ การใช้่ของทิพย์ชนิดนี้นานๆ ทำให้คุณมีนิสัยเป็น "ผู้รับ" ไม่ใช่เชิงรุก เพราะจะรับพลังจากผู้อื่นก่อนตลอดเวลา และจะไม่มีการชิงรุกใช้พลังของตัวเองเลย นานวันเข้า ก็จะติดนิสัยชอบรอที่จะรับอย่างเดียวได้ ซึ่งถ้าคุณพร้อมเข้านิพพานแล้ว และพร้อมรับได้ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหาอะไรนะครับ แต่ถ้าคุณยังไม่ถึงเวลาที่จะนิพพาน  การอยู่อย่างผู้รับแบบนี้ อาจส่งผลให้คุณมีปัญหาในการเวียนว่ายตายเกิดไปข้างหน้าได้เช่นกัน ดังนั้น กระจกทิพย์ึจึงไม่อาจอยู่กับใครได้นานไงครับ มันจึงเปลี่ยนมือได้ง่ายๆ ถ้าเทียบกับของทิพย์ชนิดอื่นๆ แล้ว เช่น เกราะเำพชร เป็นของที่บำเพ็ญได้ยากมากๆ ใครได้ไปแล้วก็ไม่ค่อยเปลี่ยนมือ หาคนรับช่วงต่อได้ยาก เพราะบำเพ็ญได้ยากครับ


นอกจากนี้ เมื่อใดที่มีผู้ใช้กระจกทิพย์ "ปีศาจกระต่าย" ก็จะเริ่มทำกิจของมันด้วยเช่นกัน คือ "การทำยาเสพติด" (ของทิพย์นะครับ) ทำให้ผู้คนทั้งหลายต้องกลายเป็นผู้ติดสิ่งเสพติดกันมากมาย ทั้งยาเสพติดตามกฏหมายและที่ไม่ได้ระบุไว้ตามกฏหมาย ก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น เช่น การเสพติดสื่อ, เสพติดเน็ต, เสพติดมือถือ ฯลฯ ได้ทั้งหมดเลย ดังนั้น ถ้าผู้ถือกระจกทิพย์ ไม่ได้นำกระจกทิพย์มาส่องแสงสว่างให้ผู้คนได้พ้นไปจากความลุ่มหลง, การเสพติดแล้วละก็ มันก็จะกลายเป็นภัยต่อคนมากมายได้อย่างน่ากลัวทีเดียว อย่างในประเทศไทยตอนนี้ก็มีการแพร่ระบาดของยาเสพติดอย่างหนัก และไม่มีวี่แววว่าจะหาทางแก้ไขได้ แม้จะมีการจับกุมไปเท่าไรก็ตาม เพราะแม้เราจะจับคนขายได้ แต่ถ้าคนซื้อยังต้องการไม่เลิก ก็จะมี "คนขายหน้าใหม่ๆ" เข้าสู่วังวนของการค้ายาเสพติดนี้ ทั้งหมด ก็ล้วนมาจากพลังปราณเสพติดของปีศาจกระต่าย นั่นเอง (ลองคิดดูสิครับ ขนาดออกข่าวว่ามีกระเทยเอายาบ้ายัดใส่รูทวารหนักมาเพื่อส่งขาย คนซื้อยังเอาไปซื้อดมกันได้อ่า?)


มาเล่าถึงประวัติของ "กระจกทิพย์" นี้หน่อยนะครับเรื่องมันเกิดมานานแต่ครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงเป็นพระบรมโพธิสัตว์อยู่เลย ในชาติที่ท่านได้เกิดเป็นกระต่ายและได้ถวายเนื้อให้มนุษย์กิน พระอินทร์ได้สลักรูปกระต่ายไว้บนดวงจันทร์ ในชาตินั้นเองที่ท่านบำเพ็ญบารมีแก่กล้าจนเกิดเป็น "กระจกทิพย์" ขึ้นมาด้วย กระจกทิพย์อันนี้ ได้รับการรักษาไว้โดยเทพพระจันทร์ และใช้สะท้อนพลังแสงของพระสุริยเทพ ให้เข้าสู่โลกในยามค่ำคืน เพื่อใ้่ช้เป็นแสงสว่างให้สัตว์ทั้งหลายในเวลากลางคืนครับ ดังนั้น กระจกทิพย์นี้ จึงเป็นของพระพุทธเ้จ้าซึ่งกระจกทิพย์นี้จะยังไม่นิพพาน จนกว่าจะทำหน้าที่เสร็จก็จะนิพพาน จะไม่มีให้ใครเอาไปใ้่ช้ก่อกรรมหรือสร้างบุญบารมีได้อีกครับ เฉกเช่นเดียวกันกับของทิพย์วิเศษอีกหลายชนิด เช่น "พระขรรค์หัวใจคาวี" ซึ่งเกิดเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้ายังบำเพ็ญบารมีเป็นพระโคที่ชื่อ "คาวี" และมีพระศรีอาร์ฯ บำเพ็ญบารมีเป็นเสือที่ชื่อ "หลวิชัย" (พระศรีอาร์ฯ ได้ดาบหัวใจเสือด้วยในชาตินั้น) ดังนี้ ธรรมของพระพุทธเจ้าจึงคล้ายกับเชิงรับมากกว่าเชิงรุก, คล้ายแสงจันทร์มากกว่าแสงอาทิตย์ และวันที่ท่านเกิด, ตรัสรู้, นิพพาน ล้วนสอดคล้องกับพระจันทร์เต็มดวงทั้งสิ้น


เอาละ วันนี้ ก็เม้าท์นิทานอาหรับราตรีมาไม่น้อยทีเดียวเป็นตัวสุดท้ายของหมวด "ของทิพย์วิเศษทั้งห้า" แล้ว จะได้จบๆ เรื่องของทิพย์ทั้งห้านี้เสียที จะได้ไม่เป็นมหากาพย์ยาวยืดเยื้อไปเสียก่อน ซึ่งผมคิดว่าคงมีน้อยท่านมากๆ ที่จะได้สัมผัสของแบบนี้ แ่ต่ถ้ามีบุญวาสนาได้มัน สัมผัสมันก็จะได้มีข้อมูลเบื้องต้น อย่างที่ผมได้บอกไว้น่ะครับ รู้ไว้ก่อนเวลาเจอจริงจะได้มีสติ รู้เท่าัทัน สำหรับวันนี้ ผมขอจบเพียงเท่านี้ครับ ไว้พบกันใหม่ในบทความฉบับหน้า นอนหลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์ครับ ...




วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สิ้นสุดปีปฏิทินมายาแล้ว จะได้ปฏิทินใหม่จากใคร และจะเป็นอย่างไรต่อไป?

อ๊ะ วันนี้ นึกมุขตั้งนาน ยังไงก็นึกไม่ออก แปลกจริง ทำไมตลกเขานึกมุขกันได้ดีจังนะ เราได้แต่ข้อมูลแบบนี้ เอ้า ได้อย่างไหนก็เขียนไปอย่างนั้นละกันครับ เข้าเรื่องของเราในวันนี้เลยละกัน เรื่องปฏิทินมายาน่ะครับ คือ ที่ผมได้รับข้อมูลมานั้น ไม่ใช่วันสิ้นโลกนะครับ แต่ว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงเิชิงพลังงาน ซึ่งผมจะได้อธิบายต่อไปนี้ครับ


เรื่องสิ้นสุดปีปฏิทินมายานั้น สอดคล้องกับข้อมูลสื่อสารต่างมิติของผมอยู่มากอย่างหนึ่งครับ คือ ผมได้ข้อมูลมาว่าพลังงานใหม่จะมาแล้วพลังงานเก่าจะหมดวาระ เทพจะเปลี่ยนชุด ทั้งผมยังได้ข้อมูลเทพชุดใหม่ด้วย แต่เป็น "เทพประจำปี" เท่านั้นครับ ไม่มีประจำเดือนและประจำวัน ผมเลยไม่อาจทำปฏิทินแบบวัน, เดือน, ปี ชุดใหม่ เต็มทั้งชุดได้ (แต่ผมสงสัยว่าจะต้องมีคนในโลกนี้บางคน ได้รับข้อมูลนั้นแน่ เขาคงไ่ม่ให้ผมรู้ทั้งหมด เลยแยกส่วนครับ) กล่าวคือ เทพชุดใหม่ก็หมดวาระลงไปพร้อมการสิ้นสุดของปฏิทินมายา เทพประจำปีชุดใหม่ จะมีสองระดับนะครับ คือ ๑. ระดับดาวเทพ ๒. ระดับเทพนักษัตร หรือให้เข้าใจง่ายๆ คือ แต่ละปีจะมี "ดาวเทพทรงเทพนักษัตร" มาดูแลโลกหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปเป็นประจำครับ โดย "ดาวเทพ" มีทั้งหมด ๑๑ องค์ต่อหนึ่งชุด (และมีชุดนี้ชุดเดียวยาวไปจนกว่าจะสิ้นวาระครับ) ส่วนเทพนักษัตรมี ๑๒ องค์ในหนึ่งชุด ดังนั้น ดาวเทพจะไม่ทรงเทพนักษัตรองค์เดิมซ้ำๆ เพราะตัวเลขชุด ไม่เท่ากัน (๑๒ องค์) คลาดเคลื่อนกันไป ๑ เท่านั้น หมายความว่าอะไร? ก็หมายความว่าเมื่อครบรอบ ๑๒ ปีแล้ว รอบต่อไป (ซึ่งมี ๑๒ ปี) ดาวเทพ จะเลื่อนเคลื่อนไปทรงเทพนักษัตรองค์อื่น เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ สมมุติ ผมมี คน ๒ คน คือ นาย ก., นาย ข. และมีม้าสามตัว ม้า ๑, ม้า ๒ และม้า ๓ ให้ผลัดกันขี่ ก็จะได้ว่า รอบที่หนึ่ง นาย ก. ขี่ม้า ๑, นาย ข. ขี่ม้า ๒ รอบต่อไป นาย ก. ก็ขี่ม้า ๓ และนาย ข. ก็ขี่ม้า ๑ พอนึกภาพออกนะครับ นั่นแหละ ท่านจะประสานกันโดยเปลี่ยนไปทรงเทพนักษัตรไปเรื่อยๆ เพราะความที่คลาดเคลื่อนกันไป ๑ เท่านั้น นั่นเอง อนึ่ง รายนามของเทพระดับเทพนักษัตรนั้น ผมไม่อาจเผยแพร่ทางเน็ตได้ เพราะอาจารย์ห้ามไว้ครับ


สำหรับปีหน้า ผมได้เคยบอกแล้วว่าจะมีองค์ธรรมมารดาคือ "เทพีไกอา" ซึ่งตอนนี้ เราได้ "ประธานาธิบดีหญิงของแรกของเกาหลี" แล้ว คอยดูต่อไปครับ ว่าบทบาทของผู้นำท่านนี้จะส่งผลกระทบต่อทั้งโลกอย่างไร รับรองว่าไม่ใช่แค่ภายในประเทศแน่นอนครับ ผมบอกท่านไม่ได้ว่าดาวเทพใด ขี่นักษัตรองค์ไหน (เพราะอย่างที่บอกว่าอาจารย์ห้าม) ผมบอกได้เพียงว่า "องค์ธรรมมารดา และองค์ธรรมบิดา" คือ ท่านไหน ก็เท่านั้น คือ ได้บอกท่านแล้วว่าองค์ธรรมบิดา ก็คือ เทพซูส ซึ่งจะส่งผลให้ "เทพฮาเดส" หรือ "เจ้านรก" เข้ามามีบทบาทครับ ทีนี้ ให้ลองดูบทบาทของ "ผู้นำจีนสีเจี้ยนผิง" สิครับ เขาเหมือนเปาบุ้นจิ้นไหม? นั่นแหละลักษณะของเจ้านรก (เทพฮาเดส) จะรักความยุติธรรม และไม่ชอบการโกงกินจะทำการจัดการกับคนที่โกงกินหรือข้าราชการที่ไม่ดีครับ นั่นก็คือ "ร่างตัวแทนร่างหนึ่งของเทพฮาเดส" นั่นเอง แล้วทีนี้มาดู "ฝั่งอเมริกา" บ้าง โอบาม่า ผู้นำไฟแห่งการค้าขายมาสู่เอเชียผิดเวลา จะส่งผลให้มนุษย์เอาไฟไปใช้ในทางที่ผิดได้ เช่น นำไปใช้ทำสงครามได้ครับ เขาก็คือ "ร่างตัวแทนของโปรมีธีอุส" นั่นเอง พอจะเห็นภาพแล้วใช่ไหมละครับ ว่าสงครามมหาเทพใกล้เข้ามาทุกทีได้อย่างไร? คอยดูต่อไปครับ ตัวละครจะ่่ค่อยๆ ปรากฏทีละน้อย แล้วถ้าคุณไม่ได้ทำอะไรเลย ได้แต่ดู ก็จะไม่ได้อะไรเลย เสียดายชาติเกิดครับ ฮ่าๆๆ ร่วมเล่นกะเขาบ้างก็ได้นะครับ ในบทไหน ผมก็ไม่รู้ ลองเองรู้เอง เล่นบทไม่เหมาะสมกับตัวเอง ก็เจ็บเองน่ะแหละครับ


เอ้า หวังว่าท่านคงเคลียร์เรื่อง "วันสิ้นโลก" กันซักที ว่ามันไม่ใช่เรื่องของโลกสิ้น เพียงแต่เปลี่ยนพลังงานขับเคลื่อนโลกเป็นชุดใหม่ มันก็เลยต้องทำปฏิทินแบบใหม่ ก็เท่านั้นเอง ของเก่าก็ปล่อยไป ใ้ช้ไม่ได้แล้ว ทำใหม่ทีนี้ ก็ไม่ทราบทั้งหมดหรอกครับ ผมทราบแค่พลังงานในแต่ละปีเท่านั้น ก็ทำเหมือนกัน มีเสาทำจากแก้วเสาหนึ่งเล็กๆ แล้วก็ทำ "จักร" ง่ายๆ ครับ ทำจากกระดาษแข็งติดด้วยกระดาษสีทอง ก็ใช้ได้แล้ว จากนั้น ก็ทำเป็นรูปจักร เขียนนามของเทพทั้ง ๑๒ หรือทั้ง ๑๑ องค์ลงไป เราก็จะได้จักรสองอัน อันหนึ่งเป็นจักรดาวเทพ อีกอันก็จักรเทพนักษัตรไงครับ เวลาเราจะคำนวณและทำนาย ก็หมุนไปจักรละ ๑ ครั้งต่อปีเราก็จะเห็นแล้วว่า "ดาวเทพองค์ไหนทรงเทพนักษัตร" องค์ไหน? ใช่ไหมละครับ เอ้าละ เม้าท์มายาว นิทานอาหรับราตรีในคืนนี้สมควรจบลงได้ เดี๋ยวน้องๆ หนูๆ จะนอนดึก ตื่นสาย เ้จ้านายลงโทษเอา ช่วยไม่ได้นะเออ ขอจบเพียงเท่านี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ ...  



วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คุณเลือกได้ที่จะเป็น "วีรบุรุษอายุยืน" หรือ "วีรบุรุษอายุสั้น" ???

มีเรื่องมาเมา้ท์เล่นๆ แก้เครียดแก้เซ็งก่อนเข้าเนื้อหาหนัก เรื่องมีอยู่ว่าเพื่อนคนหนึ่งไปเที่ยวอินเดีย พอไปนอนโรงแรม มันไม่ค่อยถูกใจ ไปกินอาหาร มันก็กินแทบไม่ได้ แล้วก็เลยต้องรีบหา "ร้านอาหารไทย" บ้าง, สถานที่แบบไทยๆ บ้าง ฯลฯ เืพื่อนอีกคนรำคาญ เลยบอกว่ามึงไม่ต้องมาอินเดียแล้ว กลับไปเที่ยว "พาหุรัด" ดีกว่า "ไอ้ห่า" จบแค่นี้อ่า ไม่ตลกอะไร ฝืดชะมัด พยายามเป็นตลกแล้ว แต่ไม่เวิร์กซักกะที สงสัยไม่ใช่งานของเรา เอ้า งั้นก็มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ เนื้อหาบทความในวันนี้ แทรกเรื่อง "ของทิพย์วิเศษทั้งห้า" คล้ายเป็นการคั่น   โฆษณาเล็กน้อย คือ เรื่อง "วีรบุรุษ" น่ะครับ ที่ผมหยิบเอาเรื่องนี้มา ก็เพราะว่าเห็นความเฉื่อยชา, รักสบาย และมักง่าย อันเป็นจุดอ่อนของคนไทยเรา ก็เลยจะแก้ไขและพัฒนาให้เราก้าวทันต่างชาติ ถ้าเราก้าวไม่ทันเขา มันจะกลายเป็นความซวยเอานะครับ เอ้าเข้าเรื่องเลยครับ 


บางคนอาจคิดหรือมองว่า "คนที่สละชีพเพื่อคนอื่นคือฮีโร่" นั้นดีแล้ว แต่ผมมองว่ามันก็ดีอ่ะนะ แต่ยังไม่ดีที่สุด ถ้าเป็นผม คงไม่ใจร้อนเลือกแบบนั้นครับ ผมมองว่า "วีรบุรุษ" ก็มีทั้งที่ "อายุสั้น" และ "อายุยืน" ถ้าให้ผมเลือกผมก็เลือก "วีรบุรุษอายุยืน" ดีกว่า (แต่ไม่ต้องอายุยืนเกินไปนะ แก่เกินไป ไม่ไหวอ่ะ ไปสวรรค์ดีกว่า เอาแค่พอดีๆ ก็พอ) ไม่ใช่ "ควาย" นี่ครับ จะได้อยากอายุสั้น แต่เอ๊ะ แปลกนะ ในโลกนี้ก็ยังมีคนอีกมากมายเหลือเกินที่ชอบ "วีรบุรุษอายุสั้น" หรือชอบเป็น "วีรบุรุษ" อายุัสั้นเสียเอง เช่น เวลามีคนหลอกให้เราไปตาย แล้วบอกว่า นี่คือการพลีชีพเพื่ออะไรสักอย่างหนึ่งที่มันดูดีมาก สูงส่งมากๆ เลย เช่น นี่คือ การพลีีชีพเพื่อพระเจ้านะ, นี่คือ การพลีชีพเพื่อประเทศชาิตินะั, นี่คือการพลีชีพเพื่อประชาธิปไตยนะ, นี่คือ การพลีชีพเพื่อ... นะ ฯลฯ ก็แห่กันไปตายเยอะทีเดียว โอเคๆ มันก็ดูดี คุณเป็นฮีโร่ แต่ผมอยากให้คุณเป็นทั้ง "ฮีโร่" และ "คนมีวิสัยทัศน์" มองอะไรยาวไกล ไม่คิดอะไรสั้นๆ ด้วยอ่ะครับ มันดีกว่าไม่ใช่หรือ? นั่นคือ "คุณกล้าหาญเสี่ยงตาย" ก็ดีแล้วแต่คุณจะเป็นคนขี้ขลาดมากๆ เลย ถ้า "ไม่กล้าหาญที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ" เมื่อกล้าหาญที่จะเสี่ยงตายได้ ก็ต้องกล้าหาญที่จะมีชีวิตอยู่ต่อด้วยสิครับ ไม่ใช่ขี้ขลาด ไม่กล้ามีชีวิตอยู่ต่อ เลยรีบๆ คิดสั้น เอาตัวรอดไปตายเสียเร็วๆ เืพื่ออะไรต่อมิอะไร ตามแต่เขาจะเอาสิ่งนั้นมาอ้างหลอกสนทะพายใช้คุณเ็ป็นเครื่องมือของพวกเขาแค่นั้น เอาง่ายๆ  นะ ผมคิดว่า "มีเพื่อนๆ เยาวชนสามจังหวัดชายแดนใต้มากมาย" ที่มีความคิดว่า "ข้าพร้อมพลีชีพเพื่ออะไรสักอย่าง" เพราะความกล้าหาญ แต่มันเป็นความกล้าแค่ครึ่งเดียวนะครับ กล้าเผชิญหน้ากับความตาย แล้วก็ไปทำภารกิจเสี่ยงตาย ก็โอเค นั่นคือ "ครึ่งทางเองครับ" ที่เหลือคือ "ต้องกล้าหาญที่จะมีชีวิตอยู่ยาวนานอย่างสง่าผ่าเผยด้วย" ไม่ใช่หลบๆ ซ่อนๆ เพราะไปทำความผิดมาเลยกลัวเขาจะตามจับตัวนะครับ อย่าลืมว่าเพื่อนๆ ทำผิดกฏหมายไปแล้ว คดีมันมีอายุความยาวนานในบางคดี มันนานเป็น ๑๐ - ๒๐ ปีเลย เพื่อนๆ จะต้องกลายเป็นคนที่อยู่ในบัญชีดำ ขึ้นบัญชีดำที่ไม่รู้ว่าจะถูกรื้อค้นคดีมาเล่นงานอีกเมื่อไร ถ้าเพื่อนๆ กำลังมีครอบครัวดีอยู่ แล้ววันหนึ่ง เขาย้อนหลังมาจับตัวไป เพราะคดีมันยังไม่หมดอายุความ แล้วเพื่อนๆ จะเสียใจ ที่ทำให้คนในครอบครัวต้องทุกข์ทรมาน ลูก, เมีย ก็ขาดเสาหลัก ขาดพ่อ ขาดที่พึ่งนะครับ เอาละนี่ผมแค่สมมุติเท่านั้นแค่จะบอกว่า "เป็นวีรบุรุษอายุยืน" ดีกว่า "วีรุบุรุษอายุสั้น" ก็เท่านั้นเองแหละครับ ไม่ได้มีอะไรมากครับ


อ่า คิดว่าเริ่มฉลาด ปลดสนทะพายทิ้งกันได้แล้ว ใช่ไหม? งั้นก็มาเข้าคำถามต่อไปกันเลย นั่นคือ "แล้วทำอย่างไรจึงจะเป็นวีรบุรุษที่อายุยืน ไม่ใช่วีรบุรุษอายุสั้นละ?" ยอดเยี่ยมคำถามดีมาก (พูดเอง ถามเอง ชมตัวเองอ่ะ?) ง่ายๆ อย่างแรก "เปลี่ยนที่ใจเราก่อนครับ" เมื่อใจเราเกิดมีศรัทธาต่ออะไรก็แล้วแต่เช่น พระเจ้า ก็ดี, ผืนแผ่นดิน ก็ดี ฯลฯ เราอย่าเพิ่งรีบวิ่งแจ้นไปตายเพื่อสิ่งนั้น พระเจ้า-สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้บ้าเลือดอยากให้เราไปตายเร็วๆ อย่างนั้นหรอกครับ ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่สร้างมนุษย์มาให้มีอายุขัยเฉลยประมาณ ๗๐ ปีใช่ไหมครับ? ใจมีศรัทธาก็ดีแล้ว ต่อไปก็คือ เราจะทำเืพื่อสิ่งที่เราศรัทธานั้นได้อย่างยาวนานได้อย่างไร? ไม่ใช่ทำงานครั้งเดียวแล้วตายไปเลย อันนี้ ไม่เวิร์ก อ่ะครับ อย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะเด็กๆ ได้ดูหนังทางช่อง ๗ บ้างไหม เมื่อวันจันทร์หรือไงนี่ เรื่อง "ตำนานดาบคิงอาเธอร์" ตอนที่แม่ทัพหนุ่มผู้ภักดี ได้รับดาบจากเด็กมาแล้ว เขาก็ทำหน้าที่แบบพร้อมพลีชีพเลย จนเขาเหมือนจะตายแล้ว เด็กก็บอกกับแม่ทัพหนุ่มว่า "ข้าขอปลดคำสาบานของเจ้า ขอให้เจ้าจงมีชีวิตอยู่ต่อไป" แล้วแม่ทัพหนุ่มคนนั้น ก็มีกำลังใจอยู่ต่อไป ไม่ตายอย่างอัศจรรย์อ่ะ เห็นไหมละครับ วีรบุรุษไม่จำเป็นต้องอายุสั้นครับ แต่การที่เราจะไม่อายุสั้นได้นั้น เราต้องมี "กำลังใจ" มีพลังใจที่จะอยู่ต่อด้วย ไม่ใช่ไปหลอกคนทั้งหลายว่า "เฮ้ ไม่ต้องมีพลังอะไรมากหรอก แค่เด็กหรือผู้หญิง ก็เป็นฮีโร่ได้ แค่กล้า ไม่กลัวตายแล้วก็พลีชีพซะ" อันนี้ "มันกำลังหลอกให้เราไปตายแล้วละครับ" เราต้องมี "พลัง" ครับ มีพลังใจที่จะอยู่ต่อไปด้วย มีแรงบันดาลใจที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีงามเพื่อสิ่งที่เราศรัทธานั้นด้วยครับ เห็นไหม "พลังนั้นจำเป็นแค่ไหน" มาดูถูกว่าไม่ต้องมีพลังอะไรก็ได้ ใครก็เป็นฮีโร่ได้ ไปพลีชีพซะ อะไรแบบนั้น ไม่เวิร์กนะครับ ใครอยากโดนหลอกไปตายก็เอา ผมไม่อยากตายแบบควายตัวหนึ่งอ่ะครับ อย่างน้อย ก็ไม่ใช่ฮีโร่ที่ขี่ควาย (หรือถูกควายขี่) ต้องเป็นฮีโร่ที่ขี่ม้าขาวสง่างาม อายุยืนสิครับ


เอาละ เรื่องของการหลอกลวงให้คนไปพลีชีพตอนนี้กำลังแพร่ระบาดมากอันเป็นผลจาก "พลังของซาตานผู้ถือดาบเพชร" ซาตานตนนี้เขาชอบ "ตัด" ครับ ไม่ว่าจะเป็น "ตัดแบ่งแผ่นดินเพื่อแบ่งแยกดินแดน" ก็ดี, "ตัดกิเลส" ก็ดี, "ตัดใจ" จากอะไรๆ ก็ดี, "ตัดช่องน้อยแต่พอตัว" ก็ดี ฯลฯ แล้วเขาก็ชอบการปฏิเสธครับ เขาต่อต้านระบบ, ต่อต้านสังคม และถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากจะล้มล้างระบอบระบบให้หมดไปเลยอ่ะ ก็ไม่ได้ว่าอะไร ว่าเขาจะถูกหรือผิดนะครับ มันมีทั้งสองมุม เขาก็มีมุมมองในแบบของเขา มีเหตุผลของเขาเหมือนกัน ก็แล้วแต่ท่านจะมองตามเขาไหม? แต่ถ้ามองตามเขาก็ต้องพร้อมพลีชีพนะครับ ส่วนผมนั้นมองไปอีกแบบครับ เอาละ วันนี้นิทานฯ ขอจบเท่านี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ




วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มหัศจรรย์พลัง "เกราะเพชร" คู่ปรับ "ดาบเพชรเจ็ดสี" ???

เอาละ เห็นหัวข้อวันนี้ อย่าเพิ่งคิดไปว่าผมจะเอานิทานพื้นบ้านไทยมายำมั่ว ผสมกันเสียก่อนละ (แต่ถ้าจะคิดอย่างนั้น ใครจะไปห้ามได้ละ) ไม่ได้มีเจตนาจะเอานิทานพื้นบ้านไทยมายำผสมกันเป็นเรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่ว่ามันเกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง แล้วก็อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ได้หลายอย่าง ก็เท่านั้นเอง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมก็ขอเชิญท่านเข้าสู่เรื่อง "เกราะเพชรเจ็ดสี" เลยก็แล้วกันนะครับ


เกราะเพชร มักจะตกอยู่แก่ท่านที่บำเพ็ญบารมีมากจนพลังงานภายในเกิดการแยกตัวออกหลายๆ ชั้นหลายๆ กายทิพย์ไม่อาจประสานกันได้  เมื่อบุญบารมีถึงก็จะไม่ตายชะตายังไม่ถึงฆาตแต่จะกลับมาเป็นมนุษย์สมบูรณ์ได้ จะต้องได้รับ "เกราะเพชร" เมื่อสวมเกราะเพชรแล้ว จึงจะมีความเป็นมนุษย์สมบูรณ์ คือ ประสานเอาพลังงานหลายๆ ชั้นที่แยกตัวออกกลับมาดังเดิมได้หรือกายทิพย์หลายๆ กายที่แยกกระจายไปกลับเข้าที่ได้หรือ "จิตวิญญาณ" หลายดวงที่อาจจรออกจากร่างให้กลับมา ยังร่างสังขารเดิมได้ ไม่เช่นนั้น ตัวตนหลายๆ ตัว หรือพลังงานหลายๆ ระดับชั้น หรือจิตวิญญาณหลายๆ ดวงก็จะแยกกันอยู่ ไม่ทราบว่าจะไปอยู่ภพไหนหรือมิติใดตามแต่เหตุปัจจัยของแต่ละภาคส่วน เกราะเพชรจึงแก้ปัญหานี้ได้ และเมื่อได้เกราะเพชรแล้ว กลับทำให้การใช้พลังในสังขารที่มีหลายตัวตน, หลายกายทิพย์, หลายชั้น ทำได้ดียิ่งขึ้น ราว กับเป็นคนหลายๆ คน ในคนเดียวกัน เมื่อใช้พลังของตัวตน ตัวหนึ่งก็จะเป็นแบบหนึ่ง มีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง แต่พอเปลี่ยนไปใช้อีกแบบ ก็กลายเป็นมีความสามารถอีกแบบไปทั้งหมดรวมเป็น ๗ แบบ เหมือนวันทั้งเจ็ด หรือรุ้งเจ็ดสี เกราะเพชรเป็นสิ่งที่ไม่มีอาวุธทิพย์ใดที่จะทำลายได้ จำต้องมีอาวุธทิพย์ระดับเพชรเหมือนกัน จึงจะต่อกรกันได้ เช่น "ดาบเพชร" ซึ่งผู้ที่มีดาบเพชร จะสามารถตัดเอาส่วนใดๆ ในร่างสังขารของคนไปก็ได้เช่น เอาเฉพาะ "ตัวตนหรือพลังงานบางชั้น" ไป (ไม่รู้ว่าตัดได้ยังไง?) สมมุติ คุณมีจิตวิญญาณ ๓ ดวงในร่างหนึ่งๆ เวลาเขาตัดไป เขาจะเอาไปอันหนึ่งหรือสองอันก็ได้ ทำให้คุณเหลือเพียงหนึ่งหรือสองจิตวิญญาณ (เดิมมีสามนี่?) คุณก็จะเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม บางสิ่งหายไปได้ เช่น เหมือนเป็นคนไม่มีความโลภก็ได้ ตรงนี้ละ "พระอรหันต์ปลอม" โดยหลอกกันเยอะมาก โดนหลอกจนไม่เป็นมนุษย์ไปแล้ว สูญเสียความเป็นมนุษย์ไป นึกว่าขจัดกิเลสได้ด้วยปัญญาสว่างไสว แท้แล้วไม่ใช่ แท้แล้วไม่แจ้งในธรรม ตามืดบอด ยังไม่เห็นกิเลสเป็นธรรมกลางๆ แล้วมีปัญญาอยู่เหนือกิเลสให้ได้ แต่ไปมี "อคติ" หรือ "ความคิดเชิงลบ" กับกิเลสไปเลย บ้างไม่จบเท่านี้ ยังเอาทัศนติเิชิงลบที่มีต่อกิเลส ไปไล่จับผิดคนอื่น ทำให้เขากลัว และจิตตก บ้างก็ห่อเหี่ยวไปเลย ยอมจำนนว่าท่านเยี่ยมจัง เรามีกิเลสมาก ซึ่งอันนี้ ทำให้เกิด "การแพร่ระบาดของอคติที่มีต่อกิเลส" ไปในที่สุด


ด้วยเหตุนี้ "เกราะเพชร" จึงเป็นอาวุธทิพย์ปราบ "ดาบเพชร" และเป็นสิ่งตรงข้ามกัน ในขณะที่เกราะเพชรกำลังทำหน้าที่ ประสานให้คนได้กลับเป็นมนุษย์สมบูรณ์ครบทุกภาคส่วน, ตัวตน, ชั้นพลังงาน ฯลฯ แต่ดาบเพชรจะทำหน้าที่ "ตัด" ไปเรื่อยๆ เรียกว่า "ตัดกิเลส" บ้าง "ตัดสังโยชน์" บ้าง พอมันช่วยให้คนที่อยากเป็นพระอรหันต์ ตัดได้ดังใจแล้ว มันก็เอาส่วนที่เขาตัดออก ไปเป็นบริวารของมัน (จิตวิญญาณในส่วนที่ถูกตัดออกจะถูกจับไปเป็นทาสของซาตานที่ครองดาบเพชร) นี่ จึงเกิดอรหันต์ปลอมเต็มบ้าน เต็มเมือง ถ้าเกิดปัญญาแจ้งในนิพพานจริง, แจ้งในธรรมจริง, แจ้งในกิเลสจริง ไม่ต้องตัดอะไรหรอกครับ ไม่มีอะไรจะให้ตัดเพราะมีแต่ธรรมล้วนๆ จะตัดธรรมะอะไรไปทำไมกัน? แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น เพราะตอนนี้ "โรคอคติต่อกิเลส" กำลังระบาด มันก็มีอำนาจมาก ครอบงำให้คนมีอคติ มีความคิดเชิงลบต่ออะไรก็ได้ ที่มีในตน ธรรมชาติในตัวเราเอง เพื่อให้เราัตัดเอาส่วนนั้นออกมา (จริงๆ ไม่ต้องไปตัดมันครับ ยอมรับมันซะ อย่างที่มันเป็นทั้งหมด ยอมรับว่าทุกอย่าง คือ ความจริง คือ ธรรมะ คือ ธรรมชาติ คือ ชีวิต) เช่น ถ้าเราเห็นว่าการมีครอบครัว ลุ่มหลงรักใคร่ เป็นความหลง ความทุกข์ เราก็ไม่ต้องไปตัดหรอก เราก็พิจารณาว่า "อ้อ ก็สัตว์มีกรรม ถึงได้เป็นเช่นนี้เอง" ถ้าเราบ้างละ มีบ้าง อยู่ๆ ก็มีมาให้เรา เราก็ปล่อยไปตามกรรม ไม่ได้มีเจตนาจะเอา หรืออยากอะไร แต่เข้าใจในเรื่องกรรม ก็แค่นั้นเอง ไม่ไ่ด้ตัดอะไร แต่มีปัญญาแจ้งในสิ่งนั้นๆ แล้ว ก็ไม่้ต้องตัด ไม่ต้องปฏิเสธอะไร ยอมรับทุกอย่าง ก็ทุกสรรพสิ่ง คือ ธรรมะอยู่แล้ว ถ้าเรามีปัญญาแ้จ้งจริง เราไม่ต้องกลัวกิเลส หรืออะไร มันก็ทำอะไรเราไม่ไ่ด้ เราอยู่เหนือมันอยู่แล้ว แล้วเราจะต้องไปตัดหรือปฏิเสธทำไม?


เอาละ นิทานอาหรับราตรีก่อนนอนวันนี้ เม้าท์มาไม่น้อย ยาวพอควรเลย ผมขอจบเพียงเท่านี้ ก็แล้วกัน นอนหลับฝันดี ราตรีสวัสดีครับ