วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เมื่อพระอรหันต์มหายานจะไปนิพพานในภพมืด เพราะสุขาวดีปิดรับแล้ว?

มีเรื่องหนึ่งทางสายพุทธศาสนาฝากมาให้ช่วยอธิบายหน่อย คือ เรื่องพระอรหันต์แบบมหายานที่ไม่เหมือนกับแบบเถรวาท มันเป็นยังไง คือ อย่างนี้ครับ มีลัทธิสุขาวดีอยู่ที่เขาจะันับอรหันต์ให้โดยดูจากจิต ครับ ซึ่งบางครั้ง จิตวิญญาณที่บริสุทธิ์เหมือนพระอรหันต์เลย แต่อยู่ในร่างสังขารที่ยังไม่บรรลุธรรมครับ อย่างที่ผมบอกว่าเป็นดอกบัวบานแล้วรอแต่พระพุทธเจ้ามาโปรดก็เท่านั้น นั่นเอง ซึ่งเหล่าบัวบานแล้วเหล่านี้ ถ้าละสังขารเมื่อไร จุติที่สุขาวดีก็จะไปเกิดเป็นพระอรหันต์ได้ครับ นี่ไม่ใช่พระอรหันต์ในความหมาย ในระบบของพระพุทธเจ้า หรือแบบเถรวาทนะครับ เป็นแบบมหายาน เขาดูที่จิตวิญญาณครับ ถ้าจิตวิญญาณบริสุทธิ์ถึงระดับพระอรหันต์ เขาก็ให้เป็นอรหันต์เลย แต่ไม่ใช่พระอรหันต์แบบเถรวาทก็เท่านั้น ทีนี้เรื่องไม่จบแค่นี้ เพราะความต่างนี้เองทำเรื่องเอาครับคือ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดสับสนมากมาย เช่น  การรับเงินทองและก่อสร้างวัดวาตามๆ กันไปหมดเรียกว่าอรหันต์แล้วทำอะไรก็ได้ ไม่ผิด (แต่ท่าทางจะเป็นแนวมหายานเสียแล้ว) สุดท้าย ชาวบ้านก็สับสนว่าแนวทางไหนปฏิบัติได้ถูกต้องตรงทาง ในเมื่อไม่รู้ ก็ไม่ถึงนิพพานได้แล้วครับ จบเห่เลย นี่แหละ มันจึงควรมีการทำอะไรบางอย่างบ้าง เืพื่อแก้ไขปัญหานี้ครับ ดังที่ผมจะเม้าท์ให้ฟังต่อไปนี้


อย่างแรก มาเข้าใจความหมายของคำว่า "พระอรหันต์" แบบมหายานและแบบเถรวาทกันก่อน ในแบบเถรวาทและพุทธศาสนาดั้งเดิมนั้น ก็นับพระอรหันต์เต็มตัว ถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา แต่สายมหายานจะไม่เป็นเช่นนั้น เขาจะดูแค่ "จิตวิญญาณ" ก็พอครับ ก็นับให้ได้แล้ว อนึ่ง อันนี้จำต้องแยกกันนะครับระหว่างเซนและมหายาน ไม่เหมือนกันอีก แบบเซนก็นับพระอรหันต์ตามแบบเถรวาทนั่นแหละ แต่เมื่อได้อรหันต์แล้วจะทำอย่างไรต่อไป? จะบำเพ็ญโพธิสัตว์ต่อไป เข้าสู่ทางมหายานอีกก็ได้ อันนี้แบบเซน แต่ถ้าเป็นเถรวาท ไม่ได้เลย เขาจะอยู่ในธรรมวินัยไม่ยุ่งกับระบบกรรมของใคร ปล่อยวาง อุเบกขา ช่วยใครไม่ได้แล้ว กรรมใครกรรมมัน เตรียมตัวเข้านิพพานไปอย่างเดียวก็พอ ส่วนมหายานนี่ แ่ค่ "จิตวิญญาณ" ทัดเทียมกับพระอรหันต์ เขาก็พอ ก็หยุดปฏิบัติเลยก็ได้ครับ เขาไม่เน้นให้ทำเกินไป สังขารจะทรงยาก ก็จะส่งผลต่อการทำกิจโปรดสัตว์ เช่น ทำให้ปลงมากไป อุเบกขามากไป เขาเลยบอกว่าพอแล้ว ไม่ต้องปฏิบัติมากแล้ว ถ้าจิตวิญญาณได้ก็ให้ิอรหันต์ได้เลย รอละสังขารก็จะไปจุติสุขาวดีเป็นพระอรหันต์ได้ละ อันนี้ แตกต่างกันชัดเจนนะครับ (ยังมีลัทธินิกายอื่นๆ อีก เช่น ตันตระ, วัชรยาน จะนับความเป็นพระอรหันต์เหมือนเซน คือ นับแบบเถรวาทแต่ถ้าจะบำเพ็ญโพธิญาณ ก็เข้าสู่แนวทางมหายานได้อีกครับ) ทีนี้ก็มีคำถามครับ บางคนสงสัยว่า อ้าวแล้วมีหรือที่คนเราจิตวิญญาณที่เป็นพระอรหันต์แต่ร่างกายกลับไม่ใช่พระอรหันต์? ตอบได้ว่า แท้จริงถ้าใช้หลักของเถรวาท แบบนี้ไม่มีครับ จะได้อรหันต์ก็ต้องเต็มตัว ทั้งตัว แต่ในทางมหายานจะมีได้ครับ แค่จิตวิญญาณถึงระดับอรหันต์ก็พอแล้วก็หยุดได้แล้ว (ซึ่งก็ไม่ผิดอะไรนะครับ เขามีเหตุผลเพื่อการทรงขันธ์ทำกิจโปรดสัตว์แต่ขอให้เข้าใจว่าใช้่ความหมายต่างกัน ก็เท่านั้น) นั่นคือ  จิตวิญญาณของคนบางคนจะบริสุทธิ์เทียบเท่าพระอรหันต์ก่อน เพราะได้รับการโปรดแบบจิตสู่จิต เป็นต้น แต่สังขารร่างกายยังไม่ได้รับการโปรด พวกเขาเหมือนบัวบานแล้ว มีปัญญาแจ้งได้เอง แต่มีสักกายทิฐิอยู่ รอเพียงแต่ใครสักคนมาโปรด ทำลายสักกายทิฐิให้ ก็เท่านั้นเอง


อย่างที่สอง มาเข้าใจเรื่อง "ภาคมืด" กันบ้าง เพื่อขจัดความสับสนในพระพุทธศาสนาที่มีมานานแล้ว ในที่สุดถึงกึ่งกลางพุทธกาล ภาคมืดก็เลยใช้วิธี "แลกวิญญาณของพระอรหันต์แบบมหายาน" ไปสู่ภาคมืดเสียเลย กล่าวคือ ถ้าไม่ทำเช่นนี้ พระอรหันต์สองแบบอยู่ปนกัน คนจะไม่รู้ว่าท่านไหนโปรดสัตว์ถึงนิพพานได้จริงในชาติภพนี้ แต่ท่านไหน ไปนิพพานที่สุขาวดี? (มหายาน) ดังนั้น จึงต้่องทำให้แตกต่างกันไงครับ โดยเอาพระอรหันต์แบบมหายานเข้าภาคมืดหมดเลย ไม่ได้ไปสู่สุขาวดีกันแล้ว ถ้าอยากจะหลุดพ้นจากภาคมืดก็ต้องปฏิบัติให้ได้จริง แบบเถรวาท ไม่ใช่ได้แต่จิตวิญญาณ แต่ร่างกายยังมีสักกายทิฐิอยู่ นี่เขาจะไ่ม่ให้มีเหลือแล้ว เขามีวิธีหลอกล่อเข้าภาคมืดสารพัดครับเช่น ให้คนมารุมล้อมยกย่องเป็นพระอรหันต์ เขาเงินทองมาให้มากมาย ได้ลาภสักการะ ฯลฯ ลดทอนบุญบารมีไปเรื่อยๆ ดึงไปทางหลง ทางมืดเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ถลำลึก ถอนตัวไม่ขึ้น ส่วนที่ทำบุญ สร้างความดีก็ต้องไปรอรับชาติหน้า (เช่น เอาเงินไปสร้างวัด) ส่วนที่รับบุญเก่ามาก็หมดไป เมื่อบุญหมดแล้วกรรมก็เข้าถึงตัว ทีนี้ ก็ได้นอนป่วยยาวเลยก็ไม่ตายเสียที แบบว่ากรรมเข้าตัวเยอะ ส่วนกรรมดี (เช่น ลาภสักการะ) ก็รับไปแล้ว ส่วนกรรมไม่ดี ก็ทยอยมาทีหลังตอนแก่ ใกล้จะตายนี่หละ จนกว่าจิตจะหม่นหมองเพราะทุกข์ทรมานจากการป่วยยาวนาน ก็จะตายแล้วไปสู่ภพมืดได้ในที่สุด แต่ถ้าไหวตัวทัน ก็ขอให้ใครสักคนมาช่วยทำลายสักกายทิฐิให้ บรรลุแค่ "โสดาบัน" ก็หลุดพ้นภาคมืดได้


เรื่องนี้กำลังเกิดขึ้นจริงครับและเกิดมากด้วย ไม่เชื่อลองไปดูึครับ พระที่ดังๆ ทั้งหลาย เมื่อก่อนดังๆ ก็รับลาภสักการะเยอะ ไปสร้างบารมี ไปสร้างวัดวาได้ตามที่ใจต้องการ แต่พอท่านชราแล้ว ท่านต้องรับกรรม ต้องป่วยหนักยาวนาน มากแค่ไหน? (แต่ไม่ตายครับ ตายไม่ได้ เขาไม่ให้ตาย จะทรมานเรื่ือยๆ จนจิตอ่อนกำลังและกลายเป็นภาคมืดไป)  ไม่ไ่ด้ว่าอะไรท่านนะครับ เพียงแต่บอกคนอื่นๆ ว่า ถ้าจะเดินตามรอยก็ขอให้ลองคิดดูให้ดีๆ ก่อน เพราะมันอาจเป็นหลุมพรางที่สร้างไว้ดักให้คนที่อยากเป็นพระอรหันต์ ไปไม่ถึงดวงดาว ไม่ถึงสุขาวดี แต่ต้องตกสู่ภพมืดก็ได้ ซึ่งถ้าท่านเหล่านั้นหมดสักกายทิฐิแล้วก็จะไม่หลงตัวเอง จะไม่เพลินไปกับการรับเงินทอง และถ่อมตัวว่าเราเป็นแต่ผู้น้อย ไม่อาจมีบุญบารมีอะไรไปรับเงินทอง อันเกินกว่าศีลที่พระพุทธองค์ให้ไว้ได้ ก็จะไม่รับดีกว่า ก็รอดตัวไปครับ นั่นมีได้ในพระโสดาบันขึ้นไป แต่ท่านที่เป็นอรหันต์มหายานก็จะไม่ใช่แบบนี้ จะไม่มีถ่อมตัวอะไรในลักษณะนี้ครับ เอาละ เม้าท์มามาก เดี๋ยวเด็กๆ จะเครียดกันมากไป ก็ขอพักดีกว่า วันนี้ วันหยุดแล้ว จะได้พักผ่อนนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ




วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เอกภพคู่ขนานมีจริงไหม? แล้วอะไรที่คู่ขนานกับเอกภพของเรากันแน่?

วันนี้พี่ชายรักชาติได้ดูสารคดีท่องโลกกว้าง ตอนอะไรนะ? เกี่ยวกับสตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง ที่ใครๆ ก็ว่าเป็นอัจฉริยะของโลกยุคใหม่น่ะ เขาบอกว่าเขาไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าสร้างจักรวาล เขาบอกว่าัจักรวาลเกิดขึ้นเองตามสมการวิทยาศาสตร์ และจักรวาลเริ่มแรกมีลักษณะเป็นโดม ไม่ใช่จุด ซึ่งพี่ชายไม่เชื่อสตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง พี่ชายก็มีทฤษฎีของพี่ชายเองละ ฮ่าๆๆ เอาอีกแล้ว คราวก่อนก็มีทฤษฎีวิวัฒนาการแบบของตัวเองที่ไม่เหมือนของชาลล์ ดาร์วิน คราวนี้ไม่เหมือนของสตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง อีกละ อย่างแรก จักรวาลไม่มีจุดเริ่มต้นครับ ที่มันมีจุดเริ่มต้น ก็เพราะเราไปกำหนดมันให้มันเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับเรา ในกรณีนั้นๆ เท่านั้นเอง เ่ช่น ถ้าเราไปกำหนดจุดเริ่มต้นตอนมันเป็นรูปโดม สมมุติว่ามันมีจริงๆ มันก็จะเป็นเช่นนั้น แต่ก่อนนั้นละ? มันเป็นโดมหรือไม่? พี่ชายว่ามันมีก่อนหน้านั้นอีกครับ แนวคิดแบบนี้ ยังไม่พ้นมิติที่สามครับ คือ ยังยึดติดในกับดักของกาลเวลาอยู่ คือ ไปกำหนดเวลา ณ จุดหนึ่งขึ้นมาว่ามันเป็นจุดเริ่มต้น แล้วเห็นอะไรตรงนั้น ก็ว่ามันเป็นอย่างนั้น ณ จุดเริ่มต้น ทั้งที่จริง มันไม่มีจุดเริ่มต้นที่แท้จริงหรอกครับ มันมีแต่จุดเริ่มต้นที่เราทำขึ้นมา ในแต่ละกรณี เพื่อเหตุผลใดก็แล้วแต่ เท่านั้นเอง เอาละ เืพื่อไม่ให้ออกนอกเรื่องไปไกล พี่ชายของเข้าเรื่องของเราเลยก็แล้วกัน


มีทฤษฎีหนึ่งเืชื่อว่ามีเอกภพคู่ขนานกับเอกภพของเรา เหมือนฝาแฝดหรือภาพสะท้อนในกระจกเงาฉะนั้ัน ทฤษฎีนี้น่่าสนใจครับ และมีมุมมองรากฐานที่ดีมากทีเดียว กล่าวคือ ถ้าเอกภพของเราเกิดขึ้นเองโดยตัวมันเองโดดๆ แล้วอะไรละจะคานดุลยภาพกับมันได้? แล้วเช่นนี้ การระเบิดครั้งแรก (ซุปเปอร์โนวา) มันจะเกิดได้จากอะไร? อยู่ๆ ก็ระเบิดหรือ? ซึ่งมันไม่น่าจะเป็นไปได้ ดังนั้นมันจึงน่าจะมีอะไรสักอย่างที่ควบคุมกระบวนการของเอกภพของเราอยู่เหมือนสิ่งที่คานดุลยภาพอำนาจกันอย่างนั้น ในขณะที่นักฟิสิกส์สมัยใหม่ชื่อดังอย่าง สตีเฟน ฮอว์กิ้ง กลับมองว่าจักรวาลเกิดได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องมีอะไรมาทำให้มันเกิดขึ้น คือ มันอยากเกิดจู่ๆ ก็เกิดอะไรอย่างนั้นหรือ? แล้วเขาก็เลยตอบว่ามันเกิดขึ้นเพราะสมการคณิตศาสตร์อะไรแบบนั้น หมายความว่าถ้าเราตั้งสมการหนึ่งได้ แล้วทุกอย่างจะเกิดเองอย่างนั้นหรือ? เช่น ถ้าเรารู้สมการการเกิดของนิวเคลียร์ แค่เราเขียนสมการนั้น มันก็จะเป็นระเบิดนิวเคลียร์ได้ โดยไม่ต้องมีใครไปทำให้มันเกิดขึ้น อย่างนั้นหรือ แปลกดีแต่สตีเฟ่น ฮอว์กิ้งเชื่ออย่างนี้ว่ามันเกิดได้เองด้วยสมการโดยไม่ต้องมีอะไรไปทำให้มันเกิดขึ้น? นั่นคือ เหตุผลที่เขาค้านเรื่องพระเจ้าสร้างทุกสิ่งครับ เอาละ ผมยังไม่อยากจุดฉนวนการขัดแย้งในความเชื่อที่ว่าพระเจ้ามีจริงไหม? สร้างทุกสิ่งจริงหรือเปล่า? ผมขอให้่มองในมุมวิทยาศาสตร์ก่อนก็แล้วกัน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลังครับ


อย่างแรก ผมอยากบอกว่าระบบใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าใหญ่ขนาดไหน มันย่อมไม่คงที่ เปลี่ยนแปลงได้เสมอตามเหตุปัจจัยครับ นั่นหมายความว่าถ้ามีสาเหตุ ย่อมมีผลแห่งการเปลี่ยนแปลงตามมา ดังนั้น การเกิดขึ้นของซุปเปอร์โนวา หรือการระเบิดครั้งแรกที่ทำให้เกิดจักรวาลขึ้น มันก็ต้องมีเหตุปัจจัยเช่นกันครับ ซึ่งผมมองว่า เราควรเริ่มจากสมการ 0 = 0 ก่อน แล้วจึงค่อยๆ แยก 0 ออกมาครับ ว่ามันมีตัวแปรอะไรรวมอยู่บ้าง เช่น 0 นั้น = x - x หรือเปล่า? หรือว่าเท่ากับอะไรที่ยุ่งยากมีหลายตัวแปรกว่านี้ แต่ให้ผลออกมาเท่ากับ 0 ? ต่อไป ผมขอใช้ตัวเลขซีกซ้ายของสมการ หมายถึง ผลรวมของการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในจักรวาล ก็แล้วกัน แล้วขอใช้ตัวเลขซีกขวาหมายถึง ผลรวมของการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของสิ่งที่ผมอยากเรียกว่า "จักรวาลคู่ขนาน" ซึ่งผมอยากจะเน้นย้ำว่า ตัวแปรและรูปแบบของสมการทั้งสองข้าง ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน แต่เมื่อหาผลลัพธ์ออกมาแล้ว ก็ได้ผลเท่ากัน เช่น สมการไม่จำเป็นต้องเป็น 5 - 5 = 5 - 5 เสมอไป มันก็อาจจะเป็น 2 - 4 + (1+1) = (7 x 9) - 70 + 7 ก็ได้ เห็นไหมว่าสมการสองข้างเท่ากันได้ โดยที่มันไม่จำเป็นต้องมีหน้าตาเหมือนกันเสมอไป หมายความว่า "จักรวาลคู่ขนานของเรา ไม่จำเป็นต้องมีหน้าตาและองค์ประกอบต่างๆ ที่เหมือนจักรวาลของเราเลยก็ได้" แต่เมื่อรวมผลลัพธ์ทั้งหมดแล้ว มันจะต้องให้ผลออกมาเหมือนกัน หรือเท่ากัน ดังนั้น ขอให้คุณลบลืมความทรงจำที่ถูกยัดเยียดใส่หัวมาตลอดว่าัจักรวาลคู่ขนานของเรา เหมือนเราอย่างกะฝาแฝด หรือเรื่องที่คิดไปว่าเราจะมีคู่แฝดอยู่ในอีกจักรวาลหนึ่ง คือ จักรวาลคู่ขนานนั้น ขอให้ลบลืมไปเสีย แต่เปิดใจให้กว้างว่า "มันอาจจะเ็ป็นอะไรก็ได้ และมีรูปแบบอย่างไรก็ได้" คือ รูปร่าง รูปแบบของจักรวาลคู่ขนานนี้ ไม่จำเป็นต้องมีลักษณะเหมือนจักรวาลเลย อาจจะเป็นเพียงกลุ่มพลังงานในอีกรูปแบบหนึ่ง ก็ได้ หรือกลายเป็นอะไรที่ไม่อาจจินตนาการได้เลย


สุดท้าย ผมอยากขอสมมุติใช้คำเรียกจักรวาลคู่ขนานใหม่ ในฐานะที่มันอาจไม่ได้มีรูปแบบเหมือนจักรวาลเลยนี้ว่า GOD (Galaxy of duality) ก็แล้วกัน หรือถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆ สำหรับท่านที่เคยใช้คำนามเก่าๆ แต่โบราณ จะใช้คำเรียก GOD นี้ว่า "พระ้เจ้า" ก็ได้ หรือก็คือ อะไรก็ตามซึ่งเรายังไม่รู้ ไม่อาจคาดเดา แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดจักรวาลของเราขึ้น ซึ่งมันจะเป็นไปได้ตามหลักการของดุลยภาพในจักรวาล (จักรวาลของเราจะต้องมีสิ่งที่คานดุลยภาพกับมัน ไม่อาจที่มันจะทำตามอำเภอใจ หรือตามสมการใดๆ ได้โดยที่ขาดบางสิ่ง คานดุลยภาพของมันอยู่) คือ ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะเกิดได้เพียงแ่ค่มีสมการ แล้วมันก็เกิดจากสมการนั้น? ไม่หรอก มันต้องมีกระบวนการควบคุมดุลยภาพของทุกกระบวนการ แม้แต่กระบวนการบิกแบงค์หรือซุปเปอร์โนวา ไม่เช่นนั้น ผมคิดว่าจะเกิดปัญหาที่ไม่รู้ทางดำเินินไปของการเกิดขึ้นแห่งจักรวาลนี้แน่ๆ ซึ่ง GOD นี้จะมีรูปลักษณ์รูปแบบ แบบไหน เราไ่ม่อาจคาดคิดได้ อาจจะเล็กมากๆ ยิ่งกว่าหลุมดำที่เกิดใหม่ หรือว่าใหญ่กว่าจักรวาลคู่ของมัน ก็ไม่อาจทราบได้อีกเช่นกัน จะมีรูปร่างเหมือนกับจักรวาลคู่ของมันหรือ? ไม่จำเป็นเลย เพียงแต่มันทำให้เกิดดุลยภาพของจักรวาลนี้ได้ก็พอ มันไม่จำเป็นต้องมีองค์ประกอบหรือตัวแปรที่เหมือนกับจักรวาลคู่ของมันเลยแม้แต่น้อย อาจจะเป็นสิ่งที่พูดและสื่อสารกับเราได้ไหม? ก็ไม่ทราบ และยังไม่ขอสรุปไว้ ณ ที่นี้ ถ้าคุณไม่เข้าใจ นึกภาพง่ายๆ อย่างนี้ ก่อนที่โลกนี้จะมีการใช้ไฟขึ้นมา มันไม่เคยมีมาก่อนเลยใช่ไหม? แล้วมันเกิดมีมนุษย์คนแรกที่ใช้ไฟได้เกิดขึ้นมาก่อน แล้วมนุษย์คนนั้นละ ที่สอนให้คนอื่นๆ ใช้ไฟ เมื่อเขาตายลง ถ้าไม่มีพลังงานของเขาสืบต่อให้มนุษย์ใช้ไฟต่อไป ทุกสิ่งที่เขาสอนและทำไว้ ก็จะจบลง ไม่ต่างอะไรกับรถยนต์ที่วิ่งไปจนหมดน้ำมันอย่างนั้น มันก็ต้องหยุด ต้องจบ ต้องดับไปใ่ช่ไหม? ดังนั้น ถ้ามันยังอยู่ ยังสืบเนื่องต่อมาถึงชาวโลกยุคใหม่ๆ อยู่ ก็แสดงว่ามันยังมี "พลังงานขับเคลื่อนมันอยู่" ในอีกมิติหนึ่ง ที่ไม่ต้องไปสงสัยมากละว่ามันเป็นอย่างไร? และใครดูแลกระบวนการนี้อยู่ เพราะก่อนหน้านี้ ก็ไม่มีใครรู้จักการใช้ไฟ ทั้งจักรวาลไม่มีมาก่อน มนุษย์นั้นคือคนแรกที่รู้ และสอนชาวโลก ดังนั้น พลังงานของมนุษย์ผู้นั้นแหละ ที่ขับเคลื่อนให้มนุษย์โลกคนอื่นๆ รุ่นต่อๆ มาใช้ไฟตามตนต่อไปและนี่คือ จักรวาลคู่ขนาน กับ "การใ้ช้ไฟ" หรือก็คือ GOD แห่งการใช้ไฟ นั่นเอง ไม่ต่างจาก GOD แห่งจักรวาลนี้ ก่อนที่จะมีจักรวาลนี้ อะไรบางอย่างที่มีอยู่ก่อน บางอย่างนั้นจำนวนมากมายที่มีอยู่ก่อนนั้นได้กระทำสิ่งที่ไม่ต่างไปจาก GOD แห่งการใช้ไฟ แต่มันเ็ป็นเรื่องของการสร้างจักรวาล ก็เท่านั้นเอง คราวนี้ ผมหวังว่าคุณจะเ็ห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นของ GOD แล้วนะครับ (GOD ในที่นี้เหมือนน้ำมันในรถยนต์ที่ทำให้รถไปต่อได้)


ท้ายที่สุดของสมการ คือ 0 = 0 ครับ อย่าลืมซะละ หรือกล่าวง่ายๆ ว่า เมื่อใดที่จักรวาลสิ้นสุด นั่นก็คือวันนิพพานของพระเจ้าผู้สร้างจักรวาล หรืิอเมื่อใดที่พระเจ้าผู้สร้างจักรวาลนิพพาน ก็จะถึงจุดจบของจักรวาลนี้ นั่นเอง แต่ก่อนที่มันจะกลายเป็น 0 = 0 มันก็อาจจะเ็ป็นดุลยภาพแบบ   1 = 1 หรือ 1 = 5 - 9 + (10/2) หรืออะไรอย่างอื่นไปก่อนก็ได้ โอเคมั้ยครับ และมันคงยากเหลือเกิน ถ้าจะสืบสาวไปให้ถึงรูปลักษณ์ของพระเ้จ้าผู้สร้างจักรวาล เอาแค่ง่ายๆ พระเจ้าผู้สอนให้มนุษย์ใช้ไฟ อาจเป็นมนุษย์หินยุคโบราณ ที่เราไม่อาจคาดเดารูปลักษณ์ของเขาได้เลย ยิ่งกว่านั้น "ตัวตนหรือรูปลักษณ์เชิงพลังงานที่เหลือหลังจากตายลงแล้ว" ยิ่งเป็นสิ่งที่เราไม่อาจคาดเดาได้ไปใหญ่ เอาละ วันนี้่ ก็เม้าท์มายาวมากและดูจะยากสำหรับคนที่ไม่ได้เรียนสายวิทยาศาสตร์มา ก็ต้องขออภัยด้วย ไม่อาจจะอธิบายให้ง่ายเกินไปกว่านี้จริงๆ มันจะเยิ่นเย้อมากไป เอาเป็นว่าถ้าใครไปได้ก็ไป ใครไม่ไหว ก็นอนหลับไปนะ นี่ก็เริ่มดึกแล้ว อย่าลืมกินนมก่อนนอนละ หลับฝันดีราตรีสวัสดิ์ครับ  




วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

คนเราทุกคนก็เหมือนสินค้า แล้วแต่ว่าจะอยู่ในตลาดไหนเท่านั้นเอง

มีเรื่องหนึ่งจะเม้าท์ให้ฟังไม่ขำเท่าไร แต่น่าสนใจนะ คือ พี่ชายสังเกตุว่าทำไมพระดังๆ หรือคนดังๆ ที่มักมีคนให้เงินเยอะๆ เวลาแก่แล้วต้องป่วยน้านนาน ทรมานน้านนานด้วย แล้วแม่ของพี่ชายนะ ก็ได้เงินน้องสาวมาใช้ แล้วแม่ของพี่ชายก็ป่วย ไม่สะบายด้วยอ่ะ แต่ไม่มากนักนะ ทำให้สงสัยมากถึงมากที่สุด ว่า "เงิน" เนี่ย มันใช่บุญที่เราจะรับได้มั้ย หรือว่ามันไม่ใช่บุญที่เราจะรับได้ รับจากใครแล้วอาจเกินกำลังแล้วจะส่งผลให้เราต้อง "แลก" ได้ คือ เราอาจอยากได้เงินไปทำนั่นทำนี่ เราก็ได้มาด้วยการแลกทางจิต คือ แค่คิด "สิ่งที่มองไม่เห็น" ก็เอามาให้เรา แต่เราก็ต้องสูญเสียอะไรบางอย่างให้เขาแทนไป ซึ่งอาจไม่ึคุ้มกันเช่น ความแข็งแรงไม่ป่วยไข้ อาจไปแลกกับเงินได้ ๕ แสนเอ้า สมมุตินะ คุ้มไหม? พี่ชายว่าไม่คุ้มหรอก เวลาป่วยทีบางทีจ่ายเงินรักษามาก กว่า ๕ แสนอีก เอาละ ไม่รู้อย่างไร ไปค้นหาคำตอบกันเองละกัน แต่อย่าเพลินเกินไปจนขาดสติ ใครที่รับเงินคนอื่นมากอยู่ก็ให้สติทำงานเตือนใจตัวเองบ้าง ปัญญาจะมาตามหลัง เข้าเรื่องของเราดีกว่า วันนี้่ เรื่อง "สินค้าในตลาด" ซึ่งมีเราทุกคนเป็นเหมือนสินค้าอยู่ด้วย อ้าว? มันเป็นไปได้อย่างไรกัน? คนน่ะ ไม่ใช่ฟัก ขายกันได้ด้วยหรือ นั่นสินะ ลองมาดูกันดีกว่า ว่ามันจะเป็นไปได้ สักแค่ไหนกันเชียว ดังต่อไปนี้


อย่างแรกพี่ชายอยากจะบอกว่าเราไม่ได้มีอิสระเสรีกันจริงๆ หรอกด้วย แท้จริงแล้วความอิสระเสรี ไม่มีอยู่จริงในสังสารวัฏนี้ครับ ถ้าคุณอยาก ได้ความอิสระเสรี ผมแนะนำให้ "นิพพาน" เท่านั้นครับ ถ้านึกภาพไม่ออกผมจะขอยกตัวอย่างให้ฟังครับ สมมุติคุณไม่ได้ทำผิดอะไรเลยแต่มี นาง ก. อยากได้คุณเ็ป็นสามีมาก เขาทำบุญไปเรื่อยๆ จนบุญเขาถึงครับ เขาก็จะได้ตามนั้นได้ และเราก็จะต้องเป็นสามีเขาครับ แม้ว่าเราจะไม่อยากได้เขาเลยก็ตาม นี่แหละเราไม่ไ้ด้เป็นผู้ก่อกรรมไปเกี่ยวกับเขา แต่เราก็อาจถูกเขาเกี่ยวด้วยบุพกรรม (ไม่ว่าดีหรือชั่ว) เอาก็ได้ นี่แสดงถึงว่าในสังสารวัฏนี้ ไม่มีอิสระเสรีที่แท้จริงครับ แต่มันมีหลักอยู่ครับว่า "คนที่มีบุญบารมีระดับเดียวกัน จึงมีกรรมผูกโยงกันได้" ครับ อุปมาเหมือนเราเป็นสินค้าในตลาด แต่ละตลาดก็ไม่เหมือนกัน เช่น ตลาดร้อนๆ เหม็นๆ ก็มี, ตลาดแบบซุปเปอร์มาเก็ต ก็มี ฯลฯ ใช่ไหมครับ ทีนี้ มนุษย์จะกลายเป็นสินค้าในตลาดไหนได้บ้าง ก็ยกตัวอย่างได้เช่น ตลาดมืด ที่คนในตลาดมืดจะซื้อหา แลกเปลี่ยนกันมาได้ เช่น ถ้าดาราคนหนึ่งขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับความเป็นดารา ก็จะกลายเป็นสินค้าตัวหนึ่งในตลาดมืดเช่นกัน และเขาเองจะถูกคนอื่น ที่้ต้องการไขว่คว้าเขา แลกเอาเขาไปได้ครับ เช่น ถ้าคนรวยๆ อยากได้ดาราคนนั้นไปนอนด้วย เขาก็อาจจะแลกกับอะไรสักอย่างในแบบภาคมืด เขาก็จะได้ไปครับ โดยที่ดาราคนนั้น อาจไม่ต้องการเลย แต่มันจำเป็นต้องทำครับ เพื่อความอยู่รอดหรือเืืพื่องานอะไรทำนองนั้น พวกเขาไม่มีความสุขหรอกครับ และจิตใจจะมืดมนลงเรื่อยๆ เช่น ถ้าดาราชายปกติ ต้องถูกบังคับให้ไปนอนกับผู้ชายขึ้นมา ทั้งๆ ที่เขาไม่ชอบแบบนั้น มันแย่และมืดมนมากแค่ไหน? แ่ต่มันเป็นไปได้ครับ!


เช่นกัน ในตลาดสว่างกันบ้าง ในตลาดนี้ คนที่จะได้แลกเปลี่ยนกันในฐานะสินค้าตัวหนึ่ง ก็ต้องอยู่ในตลาดเดียวกันนี้ครับ ถึงจะแลกเปลี่ยนกันได้ เช่น นายหล่อและนางสวย ถ้าทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในภาคมืด ต่างอยู่ในภาคสว่าง หากนายหล่อต้องการนางสวยเป็นคู่ครอง นายหล่อต้องสร้างบุญบารมีตามแบบของภาคสว่าง ก็จะได้ดังที่ใจต้องการครับ แต่มันอาจจะไม่ได้ในทันทีทันใด มันมีวาระที่จะได้เสวยบุญครับ อาทิเช่น  ในชาติหน้า เป็นต้น ซึ่งในชาติหน้านั้น นางสวย อาจเกิดใหม่ กลายเป็นคนขี้เหร่ไปแล้ว หรือนางสวยอาจไปเกิดเป็นผู้ชาย ก็ได้ ไม่แน่ใช่ไหมครับ ทีนี้ นายหล่อก็ต้องรับผลบุญที่ตนทำมาครับ เพราะทำเอาไว้อย่างนั้น (ซวยเลย) ทำอย่างไรได้ มันก็เลยทำให้คนมากมาย ไม่นิยมตลาดสว่างไงครับ พวกเขาหลายคนเข้าสู่ตลาดมืด (ภาคมืด) เื่พื่อที่จะได้อย่างที่ตนปรารถนาในขณะเดียวกันพวกเขาเองก็ต้องกลายเป็นสินค้าในตลาดนั้นๆ ด้วย เช่น ดาราที่อยากดัง อาจเริ่มต้นจากไม่หล่อเลย ไม่มีใครชอบเลย แล้วไปทำศัลยกรรม หล่อแล้วก็ดัง แต่แล้วก็จะต้องพลีร่างให้คนที่ตัวเองไม่ชอบ เพื่อปูทางให้อาชีพในอนาคตก็ได้ ใครจะไปรู้ แต่อย่าไปคิดว่าเขาเป็นอย่างนี้ทุกคนนะ เพราะบางคนเขาอาจจะแย่กว่านี้ก็ได้ ฮ่าๆๆ เรื่องของเขา เราเดาอย่างไรก็ไม่ถูกเช่นคนที่แอบไปมีเมีย ท้องแล้ว ทำไงดี ข่าวดังละดับแน่ งานหมด อดเงิน มันก็เลยต้องเปลี่ยนจากดารา เป็นฆาตกรเลือดเย็น บีบให้เมียไปทำแท้งลูกตัวเองซะ อะไรแบบนั้น โอ้ย คงไม่มีหรอก น้ำเน่าอ่ะ แต่ตอนข่าวที่เขาจับสัปเหร่อได้นะ โอ้ย เด็กทารกโดนทำแท้งเยอะมากๆ นั่นคือ ที่รอเผานะจ๊ะ นับเป็นพันศพมั้งของใคร ลูกใครบ้างละนั่น อย่าไปว่าเขาเลย ทุกคนมีเหตุผลและความจำเ็ป็นทั้งนั้น ไม่มีใครอยากทำไม่ดี แต่ว่าบางทีมันก็ทำไปแล้วเพราะสถานการณ์พาไปอะนะ นี่ละเรื่องโลกๆ


สรุปก็คือ เราทุกคนถ้ายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่้ ยังไม่นิพพานละก็ ย่อมยังต้องเป็น "สินค้าในตลาด" ให้คนอื่นๆ เลือกอยู่ดี อย่างพี่ชายนะ เร่งบำเพ็ญบารมีมากไป เด็กสาวเอ๊าะ บำเพ็ญบารมีมาคู่กับพี่ชายไม่ไ่ด้อ่ะ เจอแต่คู่ที่แก่แล้ว ถึงแก่มากๆ ทำความดีรวมมาทั้งชีวิต ดีแล้วที่พี่ชายไม่คิดแต่งงานไม่งั้นได้แต่งกับคนคราวย่าแน่ ฮ่าๆๆ ขอบคุณที่มีคนให้พี่ชายตั้งสัจจะไม่ให้มีแฟนเป็นคน เลยเจอแต่คนทรง ร่างเทพอะไรยังงั้น เดี๋ยวนี้กลายเป็นสาวๆ ชาวต่างดาวอีกด้วย เอาเข้าไป เรื่องคู่ครองนี่นะ ปรบมือข้างเดียวไม่ดัง เราสร้างบารมีไป เขาก็สร้างด้วย อยู่ๆ เขาอยากได้เราขึ้นมา เราก็ต้องเสร็จ ถูกข่มขืน โอ้ย ช่างเป็นผู้ชายที่น่าสงสารจริงๆ ไอ้เราจะไปอยากได้เขา ก็ซวยครับ ที่อยากได้นั้น อดีตชาติก็สวยมากๆ มาชาตินี้เกิดเป็นกระเทยกันหมดเลย ว่ะ ฮ่าๆๆ ดีแล้วที่ไม่ยอมมีแฟนเป็นคน พี่ชายไม่ปฏิเสธหรอกนะ แต่ขอยกยอดไว้ชาติหน้า ที่มันพอเป็นไปได้ดีกว่านี้หน่อยละกัน อ้าว เม้าท์มามากละ เด็กๆ จะได้หลับได้นอน กินนมกันก่อน สองคนจู๋จี้ เย้ย อะไรกันเนี่ย? เอาเป็นว่าพบกันใหม่ฉบับหน้า ฉบับนี้ ฝันดี ฉี่ไม่รดที่นอน ราตรีสวัสดิ์ครับ  




วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556

การยืมบุญ-เบิกบุญในอนาคต ที่อาจทำให้คุณต้องจ่่ายดอกแพงลิบลิ่ว

อย่างแรกที่อยากให้เข้าใจก่อนคือ เรื่องของบุญกรรมนั้น มีการจัดสรรโดยเทพเทวดานะครับ ถ้าไม่มีการจัดสรรโดยเทพเทวดา มันก็จะออก ดอกผลอย่างไม่มีระบบระเบียบ และอาจทำให้บางชาติเราได้บุญแบบล้นจนไม่รู้จะเสวยยังไงหมด บางชาิติก็อาจขาดแคลนและยากลำบาก จนแทบจะอยากฆ่าตัวตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดเลย นั่นเพราะ มันไม่มีการจัดสรรอย่างมีระบบไงครับ ดังนั้นจึงต้องเ็ป็นหน้าที่ของเทพสวรรค์ ที่จะจัดสรรอย่างมีระบบเพื่อตะล่อมให้ปวงสัตว์ตรงสู่นิพพานตามวาระอย่างที่ควรจะเป็น ใครที่นิพพานช้า ก็มีบุญกรรมเหลือเยอะ ใช้ไปทีละน้อยก็พอไม่ต้องรีบใช้ๆ ให้มันหมด ใครที่นิพพานเร็วก็ต้องรีบๆ ใช้บุญ ใช้กรรมให้หมดเร็วๆ ดังนั้น ระบบกฏแห่งกรรมที่ดูแลโดยสวรรค์และเหล่าเทพจึงเกิดขึ้น ซึ่งไม่ไ่้ด้เป็นไปแบบ "ปล่อยตามธรรมชาติ" และทำให้มีรูปแบบที่แน่นอน ทำนายได้ ในแต่ละชาติ ที่เรียกว่า "พรหมลิขิต" อะไรแบบนั้น ทั้งหมดนี้ดูแลโดยพระยูไล ๗ องค์ ที่เรียกว่าดาวเทพนพพระเคราะห์ทั้ง ๙ องค์ ซึ่งภายหลังก็มีคนมาศึกษาและหาวิธีจับเคล็ดให้รู้ถึงสิ่งนี้กันโดยสังเกตุจากการเปลี่ยนแปลงของดวงดาว ที่เรียกว่า "ดวง" นั่นเอง ดังนั้น บุญกรรมและชะตาชีวิตจึงเป็นไปอย่างมีการดูแล, ควบคุมและกำหนดโดยเบื้องบน "ฝ่ายเทพ" ทำให้ฝ่ายอื่น เช่น เทวดาฝ่ายมาร ไม่เห็นด้วยว่าทำไม เทพดูแลได้แต่ตนไม่ได้ดูแล ฝ่ายมารจึงเข้ามายุ่งในกระบวนการนี้ เช่น ดลจิตดลใจคนให้ออกนอกทางที่พรหมลิขิตไว้ หรือตามระบบสวรรค์วางไว้ นั่นเอง ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากธรรมชาติหรอกนะครับ ด้วยเหตุว่า เทพนั้นไม่ได้ควบคุมธรรมชาติทุกอย่างดังใจได้ ก็ต้องมีฝ่ายมาร เข้ามาสร้างดุลยภาพร่วมด้วยแบบนี้ 


และเพราะเหตุว่ามีฝ่ายมารและซาตานที่ไม่ยอมและไม่เชื่อในการทำกิจของฝ่ายเทพภาคสว่างนี่เอง จึงทำให้เกิดการออกนอกกรอบ นอกระบบขึ้น ซึ่งเป็นความสามารถพิเศษของมารบางตนหรือซาตานบางตัวนะครับ ไม่ใ่ช่ว่าใครๆ ก็จะืทำกันได้ ดังนั้น จึงมีการยืมบุญ, เบิกบุญ ฯลฯ ได้ครับ เช่น ถ้าบุญนั้นอยู่ในคลังบุญของเรา แต่ยังไม่ถึงวาระที่จะได้ หรือเทพเทวดายังไม่เปิดให้เราได้รับ แต่เมื่อเราอาศัยพลังของภาคมืดหรือภาคมาร เขาก็จะทำให้เราครับ ทำให้เราได้รับอย่างที่เราอยากได้ ตามที่เราต้องการนั้นๆ ในมุมมองของเทพ มันก็คือ การเอาบุญในอนาคตมาใช้ แต่ในมุมมองของมาร ก็มองว่ามันไม่ผิดอะไรด้วยบุญนั้นเป็นของเขาเอง เขาจะใช้ก็ได้ตามใจเขา (มารชอบทำตามใจตัวเองนะครับ แต่เทพจะทำตามบัญชาสวรรค์ไม่ทำตามใจตัวเอง) ก็จัดสรรให้ด้วยฤทธิ์ของภาคมารหรือภาคมืดครับ ผลคือ บุญบางอย่างที่เราควรได้ในอนาคต สมมุติง่ายๆ เรามีบุญจะได้บ้านใหม่นะ แต่ต้องรอไปอีก ๑๐ ปี เรารอไม่ไหว เพราะป่านนั้นเราก็แก่กันพอดี สู้เสวยเอาตอนยังไม่แก่นี่ละ อะไรแบบนั้น ภาคมืดภาคมารก็จัดให้ครับ แต่เราจะต้องแลกครับ ไม่ใช่ของฟรี (บุญในอนาคตของเราเองนี่แหละ บุญเราเองแท้ๆ) เป็นค่าบริการที่ภาคมืดภาคมารจัดสรรให้เรา โดยเอาบุญเราเองมาให้เราก่อนเวลาอันควร จากนั้นก็ถึงเวลาที่เราต้องจ่ายให้เขาละ เช่น เรากู้เงินมาสร้างบ้านแล้วแต่ไม่พอจ่ายในบางเดือนขึ้นมาแถมไปไหนก็ไม่ได้จริงๆ สุดท้าย ก็เลยต้องโกงกินครับ พอเราทำกรรมโกงกินแล้ว เราก็สูญเสียจิตวิญญาณดวงที่ซื่อสัตย์ไป ภาคมืดภาคมารจะเอาจิตวิญญาณยักษ์อสูรที่ชอบโกงกินมาให้เราแทน ทำให้เราเสียนิสัย ก็คือโกงกินครั้งที่หนึ่งแล้วก็ต้องมีครั้งต่อๆ ไป ก็เราสูญเสียจิตวิญญาณ จิตสำนึกที่ดีไปแล้วนี่ครับ มีแต่จิตวิญญาณโกงกิน มันก็เลยต้องมีครั้งต่อๆ ไปไง นี่แหละ ที่ผมบอกว่าต้องจ่าย และจ่ายอย่างไม่คุ้มค่าเลย ก็จิตวิญญาณที่ดีมีค่ากว่าจิตวิญญาณที่โกงกินตั้งมากมาย ไงละครับ


คำถามก็คือ เราจะทราบได้อย่างไร ว่าเรากำลังยืมบุญหรือเบิกบุญในอนาคตมาใช้อย่างไม่ควรแล้ว? ก็ง่ายๆ ครับ อะไรที่เราไม่ได้คิดจะเอาหรืออยากจะได้ แต่มันมาเอง มันเป็นวิบากกรรม แต่มันก็ไม่ได้เลวร้าย มันเป็นสิ่งที่จัดว่าดีนะ เช่น พ่อแม่บังคับให้แต่งงานกับคนที่ไม่ไ่ด้รัก แต่ดูๆ แล้ว เขาก็ไม่เลวนี่น่า เพียงแต่ไม่ใช่คนที่เรารัก ก็เท่านั้นเอง นี่เรียกว่า "บุญ" เป็นคู่บุญครับรับไว้ได้แม้เราไม่ได้รักก็ไม่ต้องไปเกลียดอะไร แต่ถ้าเราฝืน เราดื้อดึงจะเอาให้ได้ตามใจเรา เช่น เรารักอีกคนหนึ่งจะเอาให้ได้ จะแต่งงานกับเขาให้ได้ เราก็อาจจะได้ด้วยพลังของภาคมืดภาคมาร ช่วยจัดสรรให้แบบมีข้อแลกเปลี่ยนดังกล่าว ซึ่งสิ่งใดที่อยู่ในข่ายแลกเปลี่ยนได้สิ่งนั้นต้องเป็นสินค้าในโลกมืดมาก่อนแล้วครับ เช่น ถ้าเราอยากได้ผู้หญิงคนหนึ่งมากๆ เลย แต่เขาไม่ใช่คนในโลกมืด ไม่เคยสูญเสียจิตวิญญาณให้ภาคมืด เราจะไม่มีทางแลกเอาเขามาครองได้เลยครับ แต่ถ้าเขาผิดประเวณี เสียตัวแล้วโดยยังไม่ได้แต่งงาน แล้วเราอยากได้เขามากเลย เราก็แลกได้ครับ แล้วเราก็จะได้เขามาครองได้ เพราะเขาตกอยู่ในฐานะ "สินค้าตัวหนึ่งในโลกมืดแล้วไงครับ" แม้แต่เราเองเมื่อแลกเปลี่ยนเอาสิ่งที่ต้องการมาได้แล้ว ก็จะกลายเ็ป็น "สินค้าตัวหนึ่งในโลกมืด" ได้เช่นกันครับ และชีวิตของเราจะถูกบงการโดยเจ้าแห่งโลกมืด ก็คือ ซาตาน ถ้าใครอยากได้เราไป เช่น ไปเป็นทาสรับใช้ เราก็จะถูกซาตานบงการให้ต้องเป็นเช่นนั้น ไม่อาจหนีได้ ซึ่งจะส่งผลให้ชีวิตของเราเข้าสู่ความมืดมนลงเรื่อยๆ ครับ


คำถามอีกข้อ ก็คือ อย่างนั้น เราก็ไม่ต้องพยายามทำอะไรเลยน่ะสิ คือ รอไปวันๆ ว่าบุญอะไรจะมาึถึงเรา เราก็ค่อยรับ ไม่ต้องพยายามที่จะได้อะไรมาเลย อย่างนั้นหรือ? ก็ไม่ใ่ช่อีกแหละครับ นั่นยังไม่มีความเพียร เรามีความเพียรที่เป็นกลางและถูกวิธีได้ครับ โดยไม่ได้เพียรเพื่อหวังให้ได้ผลเป็นอะไร เ่ช่น เราอาจเพียรในการช่วยเหลือคนในสังคมโดยไม่ได้สนใจว่าตัวเองจะได้รับอะไรตอบแทนกลับคืนมา เราก็ทำไปสิ ก็เพียรไปสิครับ นั่นคือ ความเพียรที่บริสุทธิ์ไม่หวังผลใดๆ ตอบแทนคืนมา ความอดทนก็เป็นสิ่งที่ช่วยได้อีกประการหนึ่งครับ คือ อดทนและรอคอยจนกว่าจะถึงวันที่ "บุญที่แท้จริง" ของเราจะออกดอกผลให้เองครับ เอาละ วันนี้ ไม่มีเล่นมุขอะไรเลย ต้องขออภัย สื่อสารจากใจแบบนี้ บังคับให้มีหรือไม่มีอะไรไม่ได้ เอาไว้ วันหลังถ้ามีมุขเด็ดๆ ก็ได้เองนะครับ เม้าท์มานานพอควรแล้ว เห็นควรจบเสียที ราตรีสวัสดิ์ครับ



วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

เงื่อนปมแห่งกรรม ที่ผูกสายโซ่โยงใยตัวตนในอนาคตของเราได้ เป็นไฉน?

คนไทยเรานี่เก่งมาแต่โบราณนะ ทำอะไรฝรั่งก็มาก้อปปี้ไปหมด เช่น ลิปสติกนี่ ก็มาจากยายข้างบ้านอยากปากแดงตำน้ำพริกแล้วเอาสากลูบปาก เลยกลายมาเป็นลิบสติก แถมในห้องนอนนะ ยังเอาผักไทยๆ ไปแก้เคล็ดจะได้มั่งมีอุดมสมบูรณ์ พี่ชายแอบได้ยินประจำ "ฟักมีๆ" ก็จำครูภาษาอังกฤษเขาสอนได้ว่า ภาษาฝรั่งต้องแปลจากหลังมาหน้า อ๋อ มัน "มีฟัก" ในห้องนอน ก็มี, ห้องน้ำ ก็มี, ห้องครัว ก็มี, โรงรถ ก็มี, ดาดฟ้า ก็มี, แถมรอบๆ บ้านก็มีเต็มไปหมด เห็นแหม่มพูดบ่อยๆ เสียงดังลั่นเชียว สงสัยว่ามันถือเคล็ดเอาความมั่งมีอุดมสมบูรณ์ยิ่งกว่าคนไทยซะอีก พี่ชายรักชาติคิดว่า พวกฝรั่งนี่ล้าหลังจริงๆ สู้คนไทยเราไม่ได้เนอะ เอาละ มาเข้าเรื่องเราดีกว่า วันนี้เป็นเรื่องของมนุษย์ทั้งหลายที่เกิดมาด้วยบุพกรรมร่วมกันเป็นกลุ่ม เป็นสังคม บางครั้ง ก็มีวิธีในการผูกโยงเวรกรรมแปลกๆ ให้เชื่อมโยงถึงกันได้ครับ ดังจะเม้าท์ต่อไปนี้


อย่างแรก ให้ทำความเข้าใจก่อนว่า ธรรมชาติไม่ได้สร้างมนุษย์มาเป็นพระปัจเจกฯ แต่สร้างมาให้เป็นกลุ่ม เป็นสังคม ที่เรียกว่า "มนุษย์เป็นสัตว์สังคม" ไงครับ แต่บางครั้ง ทำอย่างไรละมนุษย์จึงจะเ็ป็นสังคมได้ ธรรมชาติจึงมีวิธีทำให้มนุษย์มีกรรมร่วมกันไว้ครับ และด้วยเงื่อนกรรมนี่เอง ทำให้คนมากมายถูกผูกโยงกันไว้ด้วยผลกรรม (ไม่ว่าจะกรรมดีหรือชั่วก็ตาม) ซึ่งบางกรณี ก็ไม่ใช่ของง่ายๆ ครับ เพราะคนเราบางทีชวนไปทำความดีร่วมกัน ก็อาจไม่ยอมไป ครั้นเราจะทำกรรมชั่วร่วมกับเขาด้วย ก็อาจไม่ใช่วิัสัยอีก จึงต้องมีวิธีคล้ายๆ การจับคู่ให้คนมีครอบครัว นั่นแหละครับ แต่ในกรณีนี้ เป็นการจับกลุ่มครับ ทำให้ปวงสัตว์เป็นสัตว์สังคม ยกตัวอย่างบางคนนะ สมมุติ นาย งก เป็นคนชอบเอาของวัดไปบ่อยๆ แต่นายงกก็ชอบ นาง สวย คอยเอาของวัดไปให้นางสวยประจำ ซึ่ง นาง สวย เป็นญาติกับ นาย บารมี ผู้บำเพ็ญบารมีธรรมมาก รู้เห็นเหตุทั้งหมดแล้ว แต่ไม่อาจช่วยได้ เพราะ นาย งก เป็นคนที่โปรดได้ยาก นาย งก ไม่เชื่อใจ นายบารมี ทั้งยังจ้องมองแต่จะจับผิดกันอยู่ตลอด แม้ว่านายบารมีนั้นไม่เคยทำสิ่งผิดอะไรก็ตาม แต่จะมีคนมาใส่ร้ายให้นาย งก ไม่เชื่อถือนายบารมีอยู่เสมอ ตัวนายงกเองจะศรัทธาพระอีกรูปมาก ซึ่งไม่ได้มีบารมีจะช่วยนายงกได้เลย ทั้งยังไม่เคยสอนหรือห้ามปรามนายงกเรื่องเอาของวัดไปใช้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้ วิธีการเดียวที่จะพอช่วยนาย งก ทางอ้อมได้คือ ต้องทำให้นาย งก รักนางสวย และให้นางสวยมีบุญสััมพันธ์เชื่อมโยงกับนายบารมีอีกที นี่แหละครับ ที่ผมอยากจะเรียกว่า "สายโซ่แห่งบุพกรรม" ที่จะร้อยเรียงปวงสัตว์ทั้งหลายให้กลายเป็นสัตว์สังคม ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าจะต้องให้สายโซ่ทั้งหมดโยงเข้าไปสู่ผู้มีบารมีธรรม (พระนิตยโพธิสัตว์ที่จะได้ตรัสรู้) ที่พอมีกำลังที่จะฉุดช่วยปวงสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นได้  หาไม่แล้ว ปวงสัตว์ก็จะไม่อาจที่จะหาทางหลุดพ้นได้เลย 


ต่อไป ถ้าคุณต้องตกอยู่ภายใต้ "สายโซ่แห่งบุพกรรม" นี้แล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะผู้มีบุญบารมีหรือผู้ที่อาศัยบุญบารมีผู้อื่่นเพื่อความหลุดพ้น ก็ไม่ต้องแปลกใจนะครับ เกิดขึ้นได้ครับ เป็นธรรมดามากๆ บางกรณีก็อาจถึงขั้นที่คุณอาจต้องทำอะไรแปลกๆ ฝืนธรรมชาติ ฝืน "จิตสำนึก" หรือทำสิ่งที่ผิดไปจากจิตสำนึกทั้งหลายเช่น มีความรักที่ผิดธรรมชาติ  อยากช่วยคนแต่ต้องไปทำร้ายเขาแทนหรือแม้แต่ทำอะไรบ้าๆ บอๆ ก็อาจเป็นไปได้ครับ แต่นั่นมันก็แค่ "เปลือกนอกที่ถูกมองอย่างโลก" ก็เท่านั้นเองครับ ยกตัวอย่างเช่น บางครั้งคุณอาจรักใครไม่รู้ บ้ามากๆ หรือมีความรักกับปีศาจไม่รู้ตัว คือ มองไม่เห็นน่ะ ใช่ไหม แต่บางทีมันก็มีเหตุผล เพื่อฉุดช่วยเขาได้เหมือนกัน บางคนก็ต้องไปทำอะไรที่มันผิดจากชาวบ้านเขา ทั้งหมดนี้ มันอาจจะเป็นแค่ "กลไกลของสายโซ่แห่งบุพกรรม" ก็เท่านั้นเอง ถ้าคุณไม่หลงมันมากเกินไป คือ ถ้าต้องทำสิ่งที่แปลกหรือเพี้ยนๆ ก็อาจทำได้บ้าง แต่ไม่ถึงกับจมปลักจนเอาตัวเองไม่ขึ้น หากคุณคิดเสียว่ามันคือขั้นตอนหนึ่งของการฉุดช่วยปวงสัตว์ ซึ่งสัตว์ทั้งหลายในสามภพนี้ มีลักษณะที่แตกต่างกันมาก ดังนั้น ในการช่วยเหลือพวกเขา จึงแตกต่างกันไปด้วย โดยเฉพาะถ้าเขาไม่ใช่มนุษย์ ไม่ได้อยู่ในมิติเดียวกับเรา การช่วยเหลือพวกเขา อาจทำให้คุณต้องทำสิ่งที่แปลกประหลาดเข้าไปใหญ่ แต่ถ้าคุณเข้าใจในเรื่องของ "สายโซ่แห่งบุพกรรม" นี้แล้ว คุณก็จะไม่มีปัญหาในเรื่องนี้


อนึ่ง เรื่องของสายโซ่แห่งบุพกรรมนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะแนะนำให้ท่านไปทำอะไรประหลาดๆ แต่เป็นเรื่องที่ผมอธิบายเรื่องประหลาดๆ ที่ใครบางคนอาจพบเจอ และหลีกเลี่ยงไม่ไ่ด้ หาคำตอบไม่ไ่ด้ ว่าทำไมมันต้องเกิดขึ้นกับคุณด้วย หวังว่ามันจะทำให้คุณสบายใจขึ้น และเห็นมันเป็นธรรมะ, ธรรมชาติ ไม่ได้มองว่ามันดี หรือถูกต้อง, มันผิด หรือไม่ดีอะไร มันก็เป็นเช่นนั้นเอง อะไรที่เราอธิบายไม่ไ่ด้ แต่เราไม่ใช่คนที่ไปกำหนดให้มันเป็น มันเป็นอย่างนั้นของมันเอง ก็สบายใจเถอะครับ คุณไม่ได้บ้าและไม่ใช่ตัวประหลาด คุณแค่ทำหน้าที่ของคุณให้ดีก็เท่านั้นเอง เอาละ วันนี้ ไม่เม้าท์มากแล้ว เริ่มดึก เด็กๆ ต้องรีบกินนมแล้วนอนเสีย จะได้ตื่นไปทำงานตอนเช้า ลาตรงนี้ เลยละกัน ราตรีสวัสดิ์ครับ




วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

ยุคสมัยแห่ง "ลูกเทวดา" ที่เราล้วนต้องมาทำหน้าที่ของคนพิเศษ

หลังคงคอนเซฟ "หลง เพ้อ เว่อร์ บ้า" ด้วยความหวังอันริบหรี่มานาน ในที่สุด พี่ชาย รักชาติ ก็ทำให้ผู้อ่านถึงแก่ "ออกัสซั่ม" ทางโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก ได้ในที่สุด เขาว่าคนไทยตั้งชื่อสัตว์จากเสียงร้อง อย่างแมวก็มีเสียงร้อง "แม้วๆ หรือ เหมียวๆ" เวลาคนเลี้ยงสัตว์สองชนิดร่วมกันอย่าง "ล่อ" กับ "ม้า" มันจะออกเสียง "ล่อ" กับ อะไร? โอ้ย อย่าออกเสียงดังเกินไปเดี๋ยวคนเขาจะแห่กันมาเข้า off fit กันไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง เอาละ พอหอมปากหอมคอ หอมกระด... ดูก ก็ไม่ไหว มาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่านะ บทความวันนี้ เป็นเรื่องของ "ลูกเทวดา" ในแบบของพี่ชายรักชาติ เวอร์ชั่นนี้รับรองแซ่บแน่นอน เอ้า รายละเอียดเป็นอย่างไร จะลึกลับซับซ้อนน่า่ค้นหาแค่ไหน ก็ลองอ่านกันดูนะครับ 


อย่างแรกที่อยากจะบอกก่อนคือจิตวิญญาณของสัตว์และมนุษย์แต่ละรุ่นที่ถูกจัดสรรให้มาเกิดนั้น มี "บุพกรรม" ทำร่วมกันมาที่ "ต่างกันไปในแต่ละยุค" เรียกว่า Generation ที่แตกต่างกันนั่นเอง อันเกิดจากสัตว์นั้นไม่ถูกจัดสรรให้เป็นปัจเจกชน แต่ให้ผูกโยงกันด้วยบุพกรรมร่วมกันในแต่ละยุคสมัย แล้วถูกจัดสรรโดยกรรมนั้นให้มาเกิดร่วมชาติกัน เพื่อสร้างบุญบารมีร่วมกันต่อไป ยกตัวอย่างง่ายๆ คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเรานั้น จะเป็น Generation ที่สร้างบุญบารมีมาน้อย ทำกรรมมามาก พวกเขาจึงถูกจัดสรรให้มาเกิดในประเทศไทย "ยุคสร้างชาติ" ที่ทุกคนจะต้องเหนื่อยยากมากมาย เพื่อทำให้ประเทศเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา และเมื่อถึงยุคของเรา ก็อาจไม่ต้องเหนื่อยยากเหมือนพวกเขาอีกแล้ว เพราะเป็นคนละรุ่น ทำบุพกรรมมาต่างกัน ธรรมชาติจัดสรรให้มาเกิดด้วยกรรมร่วม ในแบบที่ต่างกัน นั่นเอง นอกจากนี้ แต่ละท้องถิ่นก็ถูกจัดสรรไว้ให้คนที่มีบุพกรรมต่างกันอีกด้วย เช่น คนกรุงเทพทั้งหมด คือ คนที่ในอดีตชาติเคยอยู่ชายแดน และต้องทนรับสงครามแทนคนอื่นๆ ที่อยู่เมืองหลวง ผลบุญนั้น ทำให้ชาตินี้พวกเขาได้อยู่เมืองหลวงที่มีความเจริญมากมาย ส่วนพวกที่อยู่นอกกรุงเทพ ก็มีบุพกรรมทำมาในอีกแบบหนึ่ง เหล่านี้ล้วนเป็นผลมาจาก "กรรมมวลรวม" ทั้งสิ้น ซึ่งคนแต่ละกลุ่ม, แต่ละท้องที่, แต่ละยุคสมัย ฯลฯ ทำร่วมกันมาต่างกัน จึงต้องมาเสวยผลบุญที่แตกต่างกัน นั่นเอง ไม่ใช่ความถูกผิดอะไร


อย่างที่สอง ที่ท่านควรเข้าใจต่อไปคือ Generation พิเศษ ที่ผมขอเรียกว่า Generation "ลูกเทวดา" ที่ถูกจัดสรรมาให้มีชีวิตอยู่เหมือนลูกเทวดาเพราะบุพกรรมเก่าทำมาดี ทำมามากแล้วเช่น ในอดีตชาติเคยยอมพลีชีพรบเพื่อชาติ กอบกู้อิสรภาพให้ประเทศมา เป็นต้น เมื่อมาเกิดแล้วจึงไม่้ต้องทำงานอะไรมากมายเหมือนคนรุ่นพ่อ รุ่นแม่ ทั้งยังหางานทำไม่ได้ เรียนไม่จบ หรือมีข้อเสียอะไรที่คนเขาไม่ต้องการ อะไรแบบนั้น แต่อย่าไปคิดว่าตัวเองด้อยค่า เกิดมาไม่มีค่าละ คุณนั่นแหละคือ "คนพิเศษ" ที่โลกนี้รอคอย และเป็น Generation ที่มีความพิเศษมากที่ได้ทำกรรมดีไว้แต่หนหลังมากแล้ว ไม่ต้องทำงานเหมือนคนอื่นๆ เขา ฟังให้ดีนะ "คุณมีหน้าที่ค้นหาสิ่งที่ตนเองรักและต้องการทำ" แล้วทำมันให้ดี โดยไม่ต้องสนใจว่ามันจะเ็ป็นอาชีพที่ทำให้มีเงิน มีรายได้หรือไม่? เช่น บางคนชอบขี่จักรยานผาดโผน เยี่ยม ทำไปเลย บางคนชอบเต้นฮิปฮอป เยี่ยมทำไปเลย บางคนชอบเล่นเกมออนไลน์ เยี่ยม ทำไปเลย จะทำอะไรก็ำได้ที่ตัวเองชอบจริงๆ รักจริงๆ ทำแล้วมีความสุข แต่อย่า "ปิดกั้นโอกาสดีๆ ของตัวเองละ" อย่าเอาอะไรมาครอบงำตัวเองจนไม่มีทางได้เรียนรู้หรือทำสิ่งอื่น เช่น เล่นเกมจนไม่มีโอกาสได้พบหรือค้นหาสิ่งอื่นๆ ใดในโลกนี้เลยว่ามีอะไรดีๆ เด็ดๆ มาใหม่ๆ บ้าง อย่างนั้น "โง่ตายชัก" โลกกว้างนี้มีอะไรที่ เจ๋งๆ ใหม่ๆ ดีๆ และเด็ดๆ อีกมามายให้ลอง ไม่ใช่เอาแต่พี้ยาทั้งวัน โลกนี้มีแต่ยาเสพติด ไม่ลอง ไม่กล้าค้นหาหรือทำอย่างอื่นบ้างเลย อันนี้ ทั้งงี่เง่า และทำให้ตัวเองขาดโอกาสไปเท่านั้นเอง คนโง่ลองยาเสพติด ก็จะติดแค่ยาเสพติด คิดว่าโลกนี้ทั้งใบมีแต่ยาเสพติดที่ดีที่สุด แต่คนฉลาดจะรู้จักลองอะไรใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ เช่น บางคนไปสักไปเพ้นท์ตัวมา ยังงี้เคยลองไหม? บางคนเคยเลี้ยงอีกัวน่า แบบนี้ เคยลองบ้างไหม? บางคนไปทำโบท็อกซ์มาหน้าตาดีขึ้น แบบนี้ เคยลองบ้างไหม? บางคนก็ไปทำจมูกมาโด่งเป็นดาราเลย อย่างนี้ เคยลองบ้างไหม? ไม่รู้ละ ผมจะไม่พิพากษาหรือตัดสินว่าอะไรดีหรืิอเลว มันเป็นเรื่องประสบการณ์ของท่านทั้งหลายที่จะค้นหา, ทดลอง, เรียนรู้ด้วยตัวของท่านเอง ซึ่งผมเชื่อว่ามีอะไรที่ดีๆ และเด็ดกว่าสิ่งที่ผมยกตัวอย่างมา อีกเยอะครับ


อย่างที่สาม เราจะอยู่ในโลกนี้ยังไงในฐานะ Generation "ลูกเทวดา"  ก็ไม่ยากน่ะ อย่างแรก เปิดใจตัวเองให้กว้าง ให้โอกาสตัวเองให้มากๆ แล้วค้นหา, ทดลองอะไรมากๆ จนกว่าจะค้นพบ "สิ่งที่ดีและเหมาะสมกับตัวเอง" ที่จะเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น สมัยนี้ คนขี้เบื่อ ขนาดดาราดูดีๆ สวยๆ หล่อๆ นะ ยังเบื่อกันได้ ไม่แน่ วันดีคืนดี ก็อาจมาสนใจสิ่งที่คุณทำก็ได้ แถมยังอาจเอาไปประกวดแข่งขันกันระดับโลก ดังไปเลยก็ได้ เมื่อคุณค้นพบสิ่งที่ตัวเิองรักและทำมันได้ดีแล้ว ก็จงเชื่อมั่น อย่าไขว้เขว ทำมันให้ดีที่สุด อย่ากลัวว่ามันไม่ใช่อาชีพ หรือไม่มีรายได้อะไร? อย่าลืม เราคือ Generation "ลูกเทวดา" นะ ที่เม้าท์อยู่นี้ ไม่้ได้แนะให้ไปปฏิเสธหรือต่อต้านระบบแรงงาน หรือไม่ยอมทำงานนะ แต่ถ้าคุณก็ลองไปทำแล้ว เขาไม่เอาเรา ตำหนิเราอย่างนั้นอย่างนี้ "อย่าพยายามเป็นขี้ข้าชั้นดีตามใจเขาเลยครับ" เป็นตัวของตัวเองเราดีกว่า พัฒนาตัวเราในแบบที่เราวางแผน, กำหนดเส้นทางเดินให้ตัวเราเองได้ดีกว่า ผมเชื่อว่าคนเราจะประสบความสำเร็จได้มากมายหลายแบบ หลายวิถีทาง ไม่จำเป็นต้องมีเส้นทางชีวิตที่เหมือนกัน หรือเหมือนใคร แม้ว่าบางคนอาจจะก้าวไปไกลแล้วก็ตาม แต่นั่นยังไม่ใช่ที่สุด ยังไม่ใช่เส้นชัย ที่จะพิสูจน์คนได้หรอกครับว่าใครประสบความสำเร็จจริงหรือไม่? ก็ยกตัวอย่างง่ายๆ นะ อย่างบางคนพยายามยัดเงิน ใช้เส้นสาย ให้มีำตำแหน่งข้าราชการ แล้วเอาเงินไปผ่อนบ้าน ชีวิตของเขาต้องอยู่กับการใช้หนี้เป็น ๑๕-๒๐ กว่าปี หายไปเลยกับเรื่องบ้าน แม้ว่าเขาจะมีบ้านที่สวยหรู หลังใหญ่ แต่มันอาจไม่ได้ครอบครัวที่ดีก็ได้ครับ เพราะการสร้างบ้าน กับการสร้างครอบครัว มันคนละเรื่องกันครับ ดังนั้น เราอย่าไปหลงเชื่อคนที่มีเปลือกนอกดูดี เหมือนรวย มีเงินเดือน, มีบ้าน, มีรถ ฯลฯ มาอวดเรา เราจะไม่มีอย่างเขา ก็ไม่ใช่ปัญหาครับ เพราะในสมัยโบราณ คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ก็อาจไม่มีสิ่งเหล่านี้เลยครับ ลองดูนักกีฬาบางคนสิครับ จากกีฬาที่ไม่มีใครสนใจ แต่เขากลับทำให้่ประสบความสำเร็จเป็นที่สนใจของคนมากมายได้ บางคนก็เริ่มจากงานศิลปะที่ไม่มีชื่อเสียง แต่ภายหลังกลับดังระดับโลกได้ยังมี!


โอว วันนี้เม้าท์ยาวมากเป็นพิเศษไม่อยากให้เด็กๆ อ่านหนักหัวเกินไป  ก็ขอจบลงแค่นี้ละกัน พบกันใหม่บทความหน้าแล้วกันครับ ราตรีสวัสดิ์




วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2556

มนุษย์คือชุมสายเชื่อมโยง "ตัวตนหลากมิติ" ที่เราจะเลือกเป็นตัวตนใดก็ได้?

บางคนอาจสงสัยว่าทำไมพี่ชายรักชาติ ชอบเล่นมุขเห่ยๆ ที่จริงพี่ชายก็ไม่ได้อยากเล่นมุขเห่ยๆ หรอก แต่มันเป็น "ฟีลว์ลิ่ง อ่ะ" ก็เลยๆ เถิดออกมาบ้างนิดส์นึงค์ เวลามีใครถามว่า "เธอมาจากดาวไหน" ก็ตอบไปแบบภาคภูมิใจเลยนะว่า "ดาวยอ" ฮั่นแน่ รู้นะ คิด "อ๊ะ รูใหญ่" เอ้ย คิดอะไรอยู๋ .. เอาละ พอหอมปากหอมคอ เดี๋ยวจะเลยเถิดหอมกันมากเกินไป ขำๆ วันละนิดจิตบ๊องแบ๋ว มาเข้าเรื่องของเราวันนี้ดีกว่า นั่นก็คือเรื่อง "มนุษย์" ในฐานะที่เป็นชุมสายเชื่อมโยงตัวตนได้ทุกมิติ และทำให้เราสามารถที่จะเลือกได้ครับว่าเราจะไปสู่ตัวตนไหน ในชาติภพต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์เท่านั้น จะทำได้ อย่างอื่นทำไม่ได้ ดังนี้ครับ


อย่างแรก เราควรเริ่มต้นด้วยคำถามพื้นฐานที่สุดก่อนว่า "ตัวตนที่แท้ของเราคือตัวไหนกันแน่?" เป็นตัวตนที่เป็นสังขารนี้ไหม? หรือตัวตนที่เป็นจิตวิญญาณในสังขารนี้? หรือตัวตนที่อยู่ในมิติที่สูงขึ้นกันแน่? ก็เยอะแยะมากเลย เมื่อก่อนพี่ชายเคยคิดว่าตัวตนที่แท้จริงของเราก็น่าจะเป็น "จิตวิญญาณในร่างเรา" นี่สิ เพราะถ้าเราตายสังขารก็เน่าเปื่อยไปเหลือแต่จิตจุติไปยังชาติภพใหม่แต่ภายหลังพี่ชายได้รู้มาว่าแม้แต่จิตของเราก็ยึดเป็น "ตัวตนของตน" ไม่ได้ กล่าวคือ บางครั้ง จิตของเราก็จรจุติออกจากร่างสังขารนี้ไปได้ ก่อนที่สังขารจะตายลงครับ ทั้งยังมีจิตวิญญาณดวงอื่นๆ ในมิติอื่นๆ ประสานเข้ามาในร่างสังขารของเราได้อีก กลายเป็น "เราคนใหม่" ไปซะอย่างนั้น ซึ่งผมคิดว่าคนเราทุกคนก็เป็นครับ ลองไปนึกย้อนดูตัวเองนะครับว่าเราในอดีตที่เป็นเด็ก, เป็นวัยรุ่น, เป็นผู้ใหญ่ ฯลฯ นั้น เหมือนกันหรือไม่? ผมคิดว่ามันมีอะไรที่ต่างกันอยู่นะครับ เหมือนเป็นตัวตนคนละตัวตนเลย อย่างผมก็มีตัวตนในวัยรุ่นตอนต้นที่ใสซื่อมากๆ เหมือนกัน และตัวตนในวัยรุ่นตอนปลายที่มืดมัวเหมือนกันกับวัยรุ่นยุคนี้ที่เจอกับอะไรต่อมิอะไรยั่วยุมากมายนั่นแหละผมมองย้อนกลับไปดูแล้ว มันช่างแตกต่างกันราวกับเป็นคนละคน กันเลยทีเดียว แถมตอนนี้ ผมก็เหมือนเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่เหมือนสองคนนั้นเลยแหละ อ้าว เป็นอย่างนั้นไปเสียได้? เคยได้อ่านไตรปิฎกบางส่วน พระพุทธเจ้ากล่าวประมาณว่าระหว่างกายกับจิต ท่านว่าเอากายไว้ก่อนยังดีกว่าจิตเลย แปลกไหม แต่ถ้าคุณเข้าใจสภาวะที่จิตวิญญาณจรจุติออกจากร่างเราได้ก่อนสังขารตายลง คุณก็จะเข้าใจความหมายนี้ได้ไม่ยากครับ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าคุณเคยประสบเหตุการณ์ที่ "กายและจิต" ขัดแย้งกันเอง เหมือนอย่างพระราชาองค์หนึ่งในไตรปิฎกที่ตื่นมาพบ "จิตวิญญาณดวงหนึ่งของตนเอง" ซึ่งอยู่ในฐานะภูติ ต่อว่าตนเอง ท่านก็จะยิ่งเข้าใจความหมายนี้มากยิ่งขึ้น


อย่างที่สอง ในเมื่อเราไม่อาจยึดมั่นถือมันตัวตนตัวหนึ่งตัวใดในมิติใดเลยว่าเป็น "ตัวตนของตน" หรือ "อัตตาอันแท้ของเรา" ได้ ดังนั้น เราจึงต้องใช้ "ปัญญา เพื่อเท่าทัน มายาหลอกหลอนของตัวตนทุกๆ มิติ" นั้นครับ ไม่ใช่ว่ามันไม่มีอยู่จริงนะครับ นั่นก็ปฏิเสธตัวตนอย่างสุดโต่งเกินไป มันมีอยู่แหละ แต่ไม่เที่ยง และไม่อาจยึดมั่นเป็นอัตตาหรือตัวตนของตนได้อย่างแท้จริง ก็เท่านั้น ดังนั้น เมื่อเราเข้าใจตรงนี้ เราก็จะใช้ปัญญาเพื่ออยู่กับตัวตนทั้งหลาย ในทุกๆ มิติได้อย่างชาญฉลาด ก็จะเลือกใช้ตัวตนทุกๆ ตัวตนในทุกๆ มิติได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น เราอาจไม่ได้ยึดจิตดวงใดดวงหนึ่งในร่างกายเราแต่เราใช้เขาแค่ชั่วขณะที่เราและเขาร่วมบารมีกันได้ เมื่อเขาถึงวาระจรจากเราแล้วเราก็ไม่ท้อถอย ใช้สังขารที่มีอยู่เดิมบำเพ็ญบารมีต่อไป เราก็จะได้จิตดวงที่กล้าแข็งหรือมีบาีีรมีมากยิ่งๆ ขึ้นไป แต่ในทางตรงข้าม ถ้าเรามัวแต่เสวยผลบุญ หลงเหลิงมากเกินไป ขณะที่สังขารของเราเสวยผลบุญนี้ ก็จะมีจิตแต่ละดวงมาเสวยร่วมด้วย ชั่วขณะหนึ่งแล้วจรจากไป ไม่อาจยึดมั่นดวงจิตนั้นได้ จากนั้น สังขารที่เสวยผลบุญมากเกินไป แต่ไม่ได้สร้างบุญบารมีเสริมต่อให้มากไว้ สุดท้าย เราอาจเหลือดวงจิตที่กำลังอ่อน, บารมีน้อย, ผลบุญต่ำ ก็ได้ครับ นี่คือ ความไม่เที่ยงอย่างแท้จริง  


อย่างที่สาม สุดท้ายแล้วจึงขึ้นอยู่กับว่าเราทำอะไรในแต่ละวัน จนเราได้จากโลกนี้ไป ถ้าวันหนึ่งๆ เราหมดเวลาไปกับการรักษาโรคให้คน ก็อาจได้ตัวตนที่เป็นหมออะไรแบบนั้น แต่ถ้าเราหมดเวลาไปกับการให้ธรรมะรักษาโรคหลงของคนละ เราอาจได้มากกว่าหมอธรรมดาใช่มั้ย ละครับ ลองนึกภาพง่ายๆ อย่างนี้ครับ ในอดีตชาติเราผ่านมาเป็นล้านชาติ เราทำอะไรมามากมาย เรามีหลายตัวตน หลายบทบาท และ ณ เวลาปัจจุบันนี้ เราสามารถที่จะเลือกทางเดินให้ตัวเองในแบบเดิมตามตัวตนเก่า ตัวตนใดตัวตนหนึ่ง ก็ได้ หรือจะเลือกตัวตนใหม่ ที่ไม่เคยมีมาก่อน แล้วทำให้มันดีขึ้น ก็ได้ หรือบางทีเราอาจทำได้แย่ลงกว่าตัวตนในอดีตของเราก็ได้ ฯลฯ ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา ณ ปัจจุบันนี่ เอง ซึ่งเป็นปัจจุบันที่ไม่ได้เป็นเอกเทศน์หรือแยกขาดจาก อดีต และอนาคตเลย มันเชื่อมโยงถึงกันทั้งหมด เราไม่อาจจะยึดเอาแต่ปัจจุบันได้นะครับ บางครั้ง อนาคตเราอาจแย่ลง มีความเสี่ยงมากขึ้น เราก็หนีมันไม่ได้หรอก จะยึดเอาแต่ภาพมายาที่ดีงามที่เรามี-เป็นอยู่ ปัจจุบันก็ไม่ได้ครับ ดังนั้น คำว่า "ปัจุบันของผม" จึงไม่ใช่แค่ปัจจุบัน แต่เป็นทั้งอดีตและอนาคตในตัวด้วย แต่มันก็ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง มันจะอยู่เหนือกว่ากาลทั้งสามทั้งหมดครับ เช่น เราอาจทำณ เวลา ปัจจุบัน แต่นี่มันอาจเป็นเรื่องของอดีตควบคุมให้มันเ็ป็นเช่นนี้ อดีตมีอิทธิพลมาก กว่าที่เราจะเปลี่ยนตามใจเราในปัจจุบันทันด่วนตามใจเราได้ หรือเราทำ ณ ปัจจุบันก็จริง แต่แท้แล้วเราทำเพื่ออนาคตมากกว่า มันไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันนี้จริงๆ มันจึงเป็นเรื่อง "ทำเพื่ออนาคต" มากกว่า เห็นมั้ย ว่า ณ ปัจจุบันที่ผมกล่าวถึงนี้ มันไม่ได้หมายถึงแต่ปัจจุบันเท่านั้นจริงๆ 


เอาละ เม้าท์มามาก เริ่มจะมึนๆ กันใหญ่แล้ว สรุปง่ายๆ ก่อนครับว่าตัวตนของเราทั้งหลายในทุกมิตินั้น เราเลือกได้ ณ เวลาที่เราเ็ป็นมนุษย์ว่าเราจะดำเนินต่อไปข้างหน้าอย่างไร เหมือนตัวตนในอดีตไหม หรือว่าเหมือนตัวตนในอนาคต? หรือว่าสร้างอนาคตใหม่ ตัวตนใหม่ ที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย อะไรแบบนั้น ซึ่งเราทำได้ ณ เวลาปัจจุบัน โดยไม่มีการแยกขาดจากอดีตและอนาคตไปได้เลย ดังนั้น เราจึงควรอยู่เหนือกาลเวลาไงครับ ไม่เช่นนั้นเราก็จะตกอยู่ใต้อิทธิพลของตัวตนของเราในมิติแห่งอดีต, ปัจจุบัน หรืออนาคตได้ครับ เอาละ ยิ่งเม้าท์ก็ยิ่งมึนพี่ชายเม้าท์เองยังงงเองเลย ถ้าใครอ่านแล้วเข้าใจก็โทรจิตมาบอกกันได้นะ พี่ชายไม่มีเงินเติมค่าโทร ฮ่าๆๆ เอาละ เม้าท์มากเปลืองค่าเน็ตอีกต่างหาก ไปดีกว่า จบบทความเพียงเท่านี้ ฝันดี ราตรีสวัสดิ์ครับ