วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เมื่อผมคุยกับพระศรีอาร์ฯ (Sriar หรือ ไซย่าร์)

นี่เป็นการสื่อสารผ่านมิติระหว่างผมกับพระศรีอาร์ฯ ครับ


ผม : มีคนบอกว่าท่านไม่มาเกิดหรอก รอตรัสรู้อยู่ข้างบนจริงมั้ย?
พระศรีฯ : โง่เง่าอ่ะดิ ไม่มาเกิดไง เป็นพระโพธิสัตว์ เอ้า จะอธิบายให้ฟัง "ตัวตนเบื้องบน" ดำรงอยู่เสมอ ใครถอดกายทิพย์มาเจอ ก็เจอได้ แต่อย่่าไปด่วนสรุปเพียงเพราะเ็ห็น แต่มิรู้แจ้ง "ตัวตนของเรา" ดังคำปริศนา "เมตตรัยคือเมตตรัย แบ่งกายเป็นหมื่นโกฎิ" เรามีตัวตนอยู่ทุกมิติ ทั้งอดีต, ปัจจุบันและอนาคต ฯลฯ นี่คือสิ่งที่ผู้มีปัญญาจะทราบได้


ผม : ขอให้ท่านยกตัวอย่างตัวตนในอดีตที่คนรู้จักมากๆ หน่อยครับ
พระศรีฯ : น่าอายนะเนี่ย ฮ่าๆๆ ตลกนะ ตัวตนของเราคนไม่ค่อยเข้าใจ ก็หาว่าบ้า, ติ้งต้อง, ปัญญาอ่อน, ไม่เอาไหนบ้าง ฯลฯ เกิดทีไรมีแต่คนตำหนิทุกทีเพราะคนไม่เข้าใจธรรมที่ลึกซึ้งของเราเลยสักคนเดียว อ่ะ ยกตัวอย่างนะ เล่าเสี้ยน ก็โดนด่าว่าไม่เอาไหน, อิเอซาดะ ก็โดนด่าว่าปัญญาอ่อน, ปูยี ก็โดนด่าว่าทำชาติล่มจม ฯลฯ นี่เป็นกรรมของเรา


ผม : ช่วยอธิบายธรรมที่ลึกซึ้งของท่านหน่อย?
พระศรีฯ : เป็นไปตามธรรมชาติ บารมีเต็มแล้วก็เป็นโดยไม่ต้องกระทำ เป็นโดยไม่ต้องฝึก เป็นโดยไม่ต้องคิดหรือไตร่ตรอง ก็ มันเป็นเช่นนั้นเองตามธรรมะ ธรรมชาติ เช่น ในยุคที่คนฆ่ากันมากๆ ถ้าเราเป็นคนเอาไหน ก็คงมีกรรมเปื้อนเต็มไปหมด เป็นแบบเล่าเสี้ยนก็ปลอดกรรมตรงนิพพานไงแต่ถ้าไม่เกิดมาในยุคเข็ญแล้วจะเข็นสรรพสัตว์เข้านิพพานไ้ด้ยังไงอ่ะ? ก็สมัยนี้พระพุทธเจ้าปูทางเข้านิพพานทางทุกข์นา คุณอย่าลืมสิ อย่าเพลินไปช่วยสัตว์มากไป เดี๋ยวจะกลายเป็นทำร้ายเอา


ผม : งั้นช่วยสรุปธรรมะของท่านแบบง่ายๆ ได้ไหม?
พระศรีฯ : ง่ายโคตรๆ เลย คนโง่บรมสุดโง่ก็ทำได้ เข้าถึงได้ ติงต้องก็ได้ ปัญญาอ่อนก็ได้ ง่ายฉิบหายเลย ไม่มีธรรมที่ไหนง่ายแม่งขนาดนี้มาก่อนอีกแล้ว (แต่ว่าของง่ายคนไม่ชอบกันว่ะ) ฮ่าๆๆ เอางี้สรุป ก็ตามใจตัวเองนะ ตามใจธรรมชาติรอบตัว ห่วยแตกไม่ได้เรื่อง ยอมเขาไปเหอะ แล้วก็โอเคกะทุกอย่างที่ได้รับ แค่เนี้ยโคตรจะง่ายบรมเลย แต่คนฉลาดเกินไปทำไม่ได้หรอก มันว่าเราติงต้องว่ะ ฮ่าๆๆๆ


ผม : ท่านประสานพลังลงมาที่คนข้างล่างเลยทำให้เขาเหมือนท่าน?
พระศรีฯ : ใช่ หลายตัวตนเราโปรดอยู่ ใช้พลังประสานลงไปที่ตัวเขาก็เลยทำให้เขาเหมือนเรา แต่เขาไม่ใช่โดยตรงหรอก เปลือกนอกของพวกเขาจึงมีลักษณะแบบนั้น เหมือนกับเราได้ แต่ถ้าท่านได้พบตัวตนของเรา ที่อยู่เบื้องล่างในมิติของท่าน ท่านจะเข้าใจ เราวางตัวตนนั้นไว้เป็น "ต้นแบบ" ที่ดีที่สุดของการเป็นมนุษย์ในยุคนั้น ซึ่งสำหรับยุคนี้ สิ่งที่ดีที่สุดคือ "ปัญญาอ่อน" โง่สุดๆ เข้าไว้ ใครฉลาดเสร็จภาคมืดหมด มันเอาตัวไปทำงาน ให้เงินสารพัด เข้าป่าเข้ารก มืดหมดทั้งนั้น


ผม : ตัวตนปัจจุบันของท่าน ในโลกของผมก็มีใช่ไหม แนะนำหน่อย?
พระศรีฯ : มีสิว่ะ เอ็ง จะไม่มีได้ยังไง โพธิสัตว์โปรดสัตว์ทั่วไปหมดนั่นแหละ แต่ให้เป็นเอ๋อนะ เขาเป็นเด็กออทิสติก นี่แหละตัวแบบที่ดีที่สุดของการเกิดเป็นมนุษย์โลกยุคปัจจุบันคือ เป็นเอ๋อซะมีความสุข พอใจ ในสิ่งที่ตนเองมี อะไรๆ ก็โอเคทั้งนั้นอ่ะ สบายจะตายไป เป็นก็ไม่ยาก แต่คนฉลาดเกินไปมันไม่เอากันหรอก นี่เราเป็นเพราะกรรมนะ เป็นไปตามธรรมะธรรมชาติเลยถึงบอกว่าเราบารมีเต็มแล้วไง ไม่ต้องทำอะไร มันก็เป็นเองเลย ใช่เลย เป็นอยู่แล้ว ใช่อยู่แล้ว เหมาะกับคนไทยออก


ผม : แต่ทำไมมีคนเก่งๆ อ้างหรือคิดว่าตัวเองเป็นท่านละ?
พระศรีฯ : อ๊ะแน่นอน นี่มันเป็นปัญญาเหนือล้ำของเรา ไม่ได้หลอกใช้ใครหรอกนะ หลอกใช้เขาเราก็มีกรรมอ่ะดิ เราไม่ได้หลอกใครกิน แต่เขานั้นหลอกตัวเอ้ง .. เอิง เอย .. ฮ่าๆๆ คนเก่ง คนฉลาด ก็ก่อกรรมกันไปสิ สุดท้าย เรามีบุญบารมี พวกมันอดหมดแหละ เราได้อยู่แล้วชัวร์ๆ อ่ะ ก็นี่แหละ เขาเรียกว่า "ผู้มีบุญบารมีมาเกิด" ยังไงเล่า ก็ในเมื่อมีบุญบารมีอยู่แล้ว จะต้องไปเหี้ยแม่งอะไรมันอีกอ่ะ? ห๋า มันคงฉลาดเกินไปกันมั้งนะ ทำกรรมกันเยอะเชียว แล้วเบ่งว่าตูมีบาีรมีกว่าคนอื่น


ผม : ผมเชื่อท่านนะ ท่านมีธรรมเหนือผมๆ ทำแบบท่านไม่ได้หรอก
พระศรีฯ : เออ ก็มีแต่มึงอ่ะแหละ ที่เชื่อกู ฮ่าๆๆ ไม่เห็นมีหมาตัวไหนสักตัวเชื่อกูสักคน ฮ่าๆๆๆ ทำไงได้ละ ยังไม่ใช่เวลา ไม่ใช่วาระตรัสรู้ของกูนี่ แต่กูก็ไม่ได้ทำผิดกะใครนี่หว่า? คนเขาไม่มาเชื่อกูเอง ทำไงได้ละ กูก็ไม่ได้บังคับ หรือไปก่อกรรม โฆษณาอวดตัวให้เขามาเชื่อที่ ไหนกัน ก็ใช่แล้วละ มันต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าคนมาเชื่อกูเยอะๆ แม่งมันก็ไม่เข้านิพพานตามตูดพระพุทธเจ้าไปน่ะเด้ จริงมั้ยว่ะ ไอ้เพื่อนเอ้ย!


จบ ...



วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

นี่ไม่ใช่คำทำนาย แต่ถึงเวลาแล้วที่เทพีไกอา ต้องสำแดงฤทธิ์!

สาร์นจากฟ้า ...


นี่ไม่ใช่คำทำนายนะครับแต่เป็นความจริงจาก "ฟ้า" ซึ่งเปิดทางให้คนที่ควรได้รับการสนับสนุนมาดูแลคนไทยทั้งประเทศ เพื่อปลดทุกข์ให้แก่ปวงชนทั้งหลาย เทพีไกอา ถึงเวลาที่ท่านจะได้ทำหน้าที่แล้ว เมื่อ "เทพยูเรนัส" ไม่อาจทำหน้าที่ได้อีกต่อไป จึงถึงวาระที่ท่านจะต้องทำหน้าที่ปรกโปรดปวงสัตว์ โดยให้การ "สนับสนุน" เทพองค์หนึ่ง เขาก็คือ "เทพราศีกุมภ์" ผู้มาจากการขายน้ำ หรือทำกิจกรรมเกี่ยวกับน้ำ, กาม, หรือความรัก ฯลฯ เขาผู้นี้ถูกเลือกแล้ว จึงมาทำหน้าที่ช่วยเหลือปวงชนทั้งหลาย และเขา "พร้อมแล้วเต็มที่" ที่จะทำหน้าที่ได้อย่างที่ไม่ต้องกังวล ใช่แล้ว ต้องเป็นเขาเท่านั้นเพราะเขาคนเดียวที่ไม่อยู่ในกลุ่มเหลืองและแดงและจะกลายเป็น "ฐานอำนาจ" ให้แก่ท่านได้ด้วย เพื่อให้ท่านได้มีอำนาจเหนือเทพยูเรนัส เทพีไกอาจึงต้องสนับสนุนให้เขาได้อำนาจด้วย แล้วเขาผู้นี้เองจะสนับสนุน "คนที่ท่านต้องการ" ให้เป็นตัวแทน เป็นทายาท ได้ขึ้นมาทำหน้าที่ต่อไป แน่นอนว่าเขายังเด็กมากและทำหน้าที่เองไม่ได้ เทพีไอกา ท่านจึงต้องทำหน้าที่แทนเขาด้วย เพราะ "ท่านคือแม่ของโลก" ไม่ใ่ช่ของผืนแผ่นดินใดผืนแผ่นดินหนึ่งอีกต่อไปแล้ว โลกกำลังเป็นหนึ่งเดียวกันท่านจึงไม่อาจยึดแต่ผืนแผ่นดินเดียวได้อีกต่อไป ท่านจึงต้องเป็น "มารดาแห่งโลก" จึงจะนำพาปวงสัตว์ทั้งหลาย รอดพ้นวิกฤติไปได้ และนี่ จะเกิดขึ้นหลังจากปีนี้หมดสิ้นไปแล้ว หลังจากเทพยูเรนัสและเทพโครนัสเคลียร์กรรมกันจบลงแล้ว ก็จะเป็นเวลาของท่าน เวลาที่ท่านรอคอย (สมบัติผลัดกันชม) เวลานี้สมควรมาถึงเสียที พระมารดาแห่งโลกยามนี้โลกต้องการท่านอย่างยิ่ง และนี่คือสิ่งที่ท่านได้รับรู้จาก "จิตใจเบื้องลึก" ของท่านเองด้วย จงเชื่อมั่นในสิ่งที่ท่านได้รับรู้นั้น เพราะัมันคือ "เสียงสวรรค์"


ฟ้าได้เลืิอกแล้ว ๑. เทพีไกอา ผู้สนับสนุนผู้มีบุญบารมีทั้งสองคน ให้มีบทบาทในอนาคต ๒. เทพราศีกุมภ์ ผู้ที่จะเข้ามาดูแลปวงสัตว์ โดยไร้ปัญหาของขั้วสีัทั้งสองอีก ๓. พระบุตร ผู้ยังอ่อนเยาว์ แต่เขาคือ ผู้มีบุญบารมีมาเกิด อย่างที่ท่านก็ทราบ ฟ้าส่งเขามาจริงๆ แต่ฟ้าทดสอบใจคนด้วยการให้พระบุตรนั้นดูไร้ปัญญา แต่อย่าคิดว่าที่ท่านเป็นแบบนี้จะผิดเลย ทุกอย่างถูกต้องแล้ว ผู้มีบุญบารมีนั้น จำต้องมาในรูปนั้นๆ ไม่เช่นนั้น เทพีไกอาย่อมไม่มีโอกาสที่จะได้ทำหน้าที่ของตน ใช่หรือไม่? เอาละอย่าลังเลใจอีกเลย แล้ว "ฟ้า" จะคอยช่วยเหลือท่านเอง ...   



วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

คนที่มีผีมาอยู่ด้วย แสดงว่า "มีบารมี"

"วิญญาณฉันรอที่ทางช้างเผือก เลือกเธอรักเธอ ไม่ร้างราไกล ดังหิ่งห้อย เฝ้าคอยจนชีพวาย ใต้ลำพูรอคู่กำ ...." กรี้ดหน่อย พี่เบิร์ดมาแล้ว ใครแอบรักแอบชอบอยู่บ้าง ยกมือขึ้น ว้าว พรึ้บพรั้บ เต็มไปหมด ไม่แพ้คุณไซเลย อ้าว แล้วมันเกี่ยวอะไรกะเราอ่ะเนี่ย? เออสิเนอะ ไม่นี่หว่า? ฮ่าๆๆ ถือว่าเป็นการออกแขก ก่อนลิเกจะแสดงก็แล้วกัน วกมาเรื่องของเราดีกว่า เป็นเรื่องผีๆ แต่อ๊ะ อย่าเพิ่งตกใจไป มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดสักหน่อย มันก็แค่เรื่องดีๆ ของคนดีผีคุ้ม ก็เท่านั้นเอง


เรื่อง "คนที่มีผีมาอยู่ด้วย" นี้ ถ้าพูดตามความเชื่อคนไทยแต่โบราณ ก็คือ "คนดีผีคุ้ม" หรือถ้ายกตัวอย่างให้ชัดเจนก็เช่น หลวงพ่อโต โปรดนางนาก ก็เอากระดูกหน้าผากติดตัวไป เพื่อให้นางนากได้ฟังธรรมซึ่งท่านสนทนาหรือเทศน์สอนใครๆ ไปด้วย ดังนั้น อย่าตกใจหรือกลัวไปครับ ถ้าไม่ใช่คนดี ผีไม่คุ้ม ผีไม่มาขออยู่ด้วย แต่ถ้ามีผีมาขออยู่ด้วย ก็แสดงว่า "ความดีของท่านเข้าตากรรมการ" คือ ผีตนนั้นแหละ ดังนั้น คนที่ถูกหาว่าเป็นปอบอะไรก็ดี อย่าเิพิ่งไปมองเขาในแง่ร้าย หรือคิดเชิงลบมากเกินไป แสดงว่าเขาต้องมีคุณความดีบางอย่างในตัว ปอบจึงได้มาพึ่งพาเขาครับ (คนก็ส่วนคน ปอบก็ส่วนปอบแต่อาจมาอยู่ร่วมกันได้) ส่วนคนที่แม้แต่ "ผียังเมิน" อันนั้นก็แน่ชัดครับว่า "ไม่เหลือคุณความดีแล้ว" ผีเลยไม่มาคุ้มครองให้ครับ แต่ก็ไม่ใช่เสมอไปนะครับ ก็มีกรณียกเว้นเหมือนกัน เช่น คนที่เป็นหนี้ผีครับ เป็นอย่างไร? ก็คือ คนที่ได้อำนาจ, ได้ตำแหน่ง, ได้เงินทอง ฯลฯ อะไรมากมาย เพราะผีมันเอามาให้อย่างไรละครับ คนเหล่านี้ "ติดหนี้ผี" ครับ เช่น ผีบรรพบุรุษที่แก่กล้า, ผีปู่ย่าตายายที่ไม่ไปเกิด ฯลฯ บูชากันมานาน โดยเฉพาะที่ตระกูลใหญ่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน ผีพวกนี้จะฤทธิ์มากเป็นพิเศษ บางคนไม่ใช่คนดีอะไรหรอก แต่เพราะ "ติดหนี้ผีไว้เยอะ" ครับ ดังนั้น ก็แยกแยะได้ไม่ยากครับ คนดีผีคุ้มนั้น เขาไม่ได้เป็นผู้รับอะไรมากมาย ไม่เหมือนชูชก ดังนั้น ชีวิตเขาจะมีอะไรไม่เยอะ สมถะของจริง ไม่ใช่การสร้างภาพครับนั่นเรียกว่า "คนดีผีคุ้ม" จริงๆ ส่วนคนที่ไม่ดีไม่เหลือความดีแล้ว แต่มีผีเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ด้วยนั้น ก็มีได้ กรณีติดหนี้ผี มันก็สังเกตุได้ไม่ยากครับ พวกนี้จะได้, จะมี, จะเป็น ฯลฯ เยอะแยะ ผิดไปจากคนปกติเขาครับ ได้เยอะกว่าใครเขา เกินปกติ เพราะผีมันให้ครับ


ทีนี้ กลับมาดูคนที่มีบารมีจริงๆ กันบ้าง ผีชอบมาขอพึ่งใบบุญครับ แต่ไม่ใช่คนนะครับคนปกติมองไม่ออกครับ ผีกับเทวดาเขาีรู้ดี คนไม่ค่อยรู้อะัไรแบบนี้หรอก คนไปพึ่งพาคนด้วยกัน ก็อาจเพราะคนๆ นั้น รวยก็ดี, มีอำนาจมากก็ดี ก็เป็นเรื่องทางโลกครับ เอามาเทียบกับคนที่มีบุญ มีบารมีจริงๆ ไม่ได้เลยครับ นี่แหละ เขาเรียกว่า "ผีมาขอพึ่งใบบุญหรือพึ่งบารมี" ดังนั้น เมื่อเขามีบารมีธรรมมากพอแล้ว เขาอาจจะดูแปลกๆ ไป แต่ก็เพียง "เปลือกนอก" ครับ ที่เป็นเช่นนั้น เพราะผีเข้ามาอยู่ด้วย มาพึ่งบารมีเขาไงละครับ เช่น เขาอาจดูโมโหง่ายมากขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าผิดหรือเลวร้ายอะไรนะครับ อย่าเพิ่งไปใส่ร้ายเขา เมื่อเห็นเขาดูมีอะไรที่แปลกๆ ไป ดูคนอย่าดูแต่เปลือกครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นคนเปลือกๆ ต้องดูให้ถึง "แก่นแท้" เลยครับ ทีนี้ ผีก็จะมีสภาพเหมือน "พลังงานชั้นนอกสุด" ของเขาคนนั้นได้ครับ และสามารถที่จะ "แลกเปลี่ยนไปสู่คนอื่นได้ด้วย" เรียกว่าการแลกเปลี่ยนผีกันนั่นเอง หรือบางคนทำไม่ดีขึ้นมา ก็ "เสียผี" ได้ครับ อย่างที่ชาวเขาเขาบอกนั่นแหละครับ อย่าไปดูถูกภูมิปัญญาเขาละ บางอย่างเขาก้าวหน้ากว่าเราก็มี (เ้ช่น ไปทำผิดประเวณี ก็เสียผีได้ ชาวเขาก็รู้ไม่ต่างจากชาวคริสตร์เลยครับแต่ยังรู้มากกว่าไปอีกถึงผลเสียว่าเีสียผีครับ) หรืออย่างชนเผ่าที่ถูกพวกเราเรียกว่า "ผีตองเหลือง" แล้วถูกมองเหยียดหยาม จนไม่รู้ว่าพวกเขามีปรัญชาชีวิตที่เหนือล้ำขนาดไหน เราก็ไปเปลี่ยนเขาเสียหมดเลยครับ กล่าวคือ ชาวผีตองเหลืองนุ่งลมห่มฟ้าไม่่ต่างจากโยคีทิคัมพรแถมยัง "ฉันมื้อเดียว" คือ ไม่มีการเก็บอาหารไว้ มีเท่าไรกินหมดไปคราวเดียว และยัง "ธุดงค์ตลอดชีพ" ปลูกกระท่อมอยู่แต่พอเหมาะ ไม่มากเกินไป ตรงตามธรรมวินัยเคร่งครัดมากครับ เสียดาย "ถูกพวกเรารุ่นใหม่ที่ไร้ปัญญา ตามืดบอด ไปทำลายวัฒนธรรมพวกเขา หมดสิ้นไปแล้วครับ" ดังนั้น สายธรรม "ฆราวาส" เคร่งธรรมวินัยสืบทอดกันมาตามเชื้อสายก็สิ้นไปด้วยความไม่เข้าใจของพวกเรา (บางคน) ในยุคนี้เองครับ


เอาละ พูดมากก็ออกนอกเรื่องไปจนได้ ว่าจะไม่พูดแล้วเชียว เรื่องชนเผ่าตองเหลืองที่น่าสงสารทั้งหลาย ถูกทำลายวัฒนธรรมที่ดีงามและหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วไปหมดสิ้น แล้วเราจะไปหา "ตัวอย่าง" ของคนที่ปฏิบัติธรรมยิ่งยวด ตามธรรมวินัยขนาดนี้ได้ที่ไหนอีก จะไปบอกชาวต่างชาติว่าเรามีหลักฐานเป็นชาติพันธุ์และบุคคลที่สืบทอดวัฒนธรรมชาวพุทธดั้งเดิมแท้อยู่ แสดงว่าเราคือถิ่นแท้ดั้งเดิมที่เคยมีพระพุทธศาสนาตั้งอยู่ก็พูดไม่ได้แล้ว ต้องเป็นทาสรับศาสนาเขามาจากอินเดียบ้าง เนปาลบ้าง แต่อย่างเดียวเท่านั้น แหม ช่างฉลาดเหลือประมาณจริงๆ ทำไปได้ เอาละ พูดมากไป ก็ไม่ดี คงต้องจบแค่นี้่ละครับ สวัสดี!



เคล็ดลับลัดสั้นง่าย ในการเลื่อนระดับด้วยกระบวนการ Transition

"กังนัมสไตล์" จื้ด จืด จื่ด จืด จื้อ จะดะดื้ด ... เอายกมือขึ้น แกว่งแรงๆ ทำหน้ามั่นๆ หน่อย เซลฟ์ ขึ้นอีกนิด เหมือนกำลังควบม้า อ่าฮ้า น่านละ มันใช่เลย เต้นไป เต้นไป อย่างน้าน อย่างน้าน ... อ่ะ เป็นยังไงกันบ้างครับ ซ้อมท่า "กังนัมสไตล์" ไปถึงไหนแล้ว วันนี้ ข่าวว่าไซจะมาเปิดเวที ระเบิดคอนเสริตกันถึงที่ประเทศไทยแล้วนะครับ ไหนว่าคนไม่หล่อจะไม่ดังไง เป็นไง หน้าตาเกาหลีของแท้ ทั้งรูปร่างหน้าตามาจากธรรมชาติพ่อแม่ให้มาเลย ไม่มีทำศัลยกรรมตรงไหนเลย สุดยอดอ่ะป่าว (ปาฏิหาริย์จริงๆ ดังได้ยังไงเนี่ย) นี่ละ "ฝีมือนักการตลาดของจริง" ไม่ใช่เอาคนที่ดังแล้วมาขาย หรือเอาคนที่หน้าตาดี รูปร่างดีแล้วมาโชว์ แต่เอาแบบนี้มาขายยังขายได้ อ้าว! ที่ซ้อมก็ซ้อมกันไปต่อนะครับ แล้วที่เหนื่อยก็พัก มานั่งอ่านบทความของผมมั่งละกาน อิๆๆ


บทความฉบับก่อนๆ เคยเล่าเรื่องการเลื่อนระดับไปมากแล้ว ในฉบับนี้จะกล่าวถึง "เคล็ดลับ" เล็กๆ แต่มีประสิทธิภาพสูงช่วยในการเลื่อนระดับได้อีกวิธีหนึ่ง นั่นก็คือ การเลื่อนระดับด้วยการ Transition หรือการแลกเปลี่ยนพลังงานระหว่างตัวตนสองตัวตน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเข้าสู่วิถีของการเลื่อนระดับแล้ว แต่พลังงานชั้นนอกของคุณยังไม่เปลี่ยนแปลง พลังงานชั้นนอกนี้เมื่อถึงที่สุด อาจจะเข้าสู่กระบวนการ "สร้างใหม่" ทำให้ได้ระบบพลังงานแบบใหม่ที่ดีขึ้น ก็คือ การเลื่อนระดับแบบเล็กๆ คือ เฉพาะในพลังงานชั้นนอกเท่านั้น แต่ก็นับว่าเป็น การเลื่อนระดับ อย่างหนึ่งเหมือนกันครับ ทีนี้ ในกระบวนการนี้ มันไม่จำเป็นต้องเป็น "พลังงานเดิมที่ถูกสร้างใหม่" ก็ได้ครับ มันอาจจะเกิดจาก "พลังงานเดิมถูกถ่ายเทออกไป" แล้ว "พลังงานใหม่ไหลเข้ามาแทนที่" ในกระบวนการนี้ ถ้าเกิดระหว่างตัวตนสองตัวตนแลกเปลี่ยนกัน ผมจะเรียกว่าการ Transition (แลกเปลี่ยนพลังงาน)  นั่นเองครับ


กล่าวคือ พลังงานบางชนิดที่อยู่ในตัวเรา โดยเฉพาะชั้นนอกสุด จะมีสภาพไม่ค่อยแน่นอน เปลี่ยนแปลงได้ง่าย โยกย้ายถ่ายเทได้ง่ายครับ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนกันของพลังงานระหว่างบุคคลสองคนได้ซึ่งถ้ามีบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็น "นักเลื่อนระดับ" แล้ว เขาก็จะได้รับพลังที่มีระดับสูงขึ้นครับ (พลังงานที่ดีขึ้น, องค์เทพที่สูงขึ้น อะไรประมาณนั้น) ทำให้เกิดการเลื่อนระัดับโดยไม่ได้เกิดจาก "พลังงานเดิม" เข้าสู่กระบวนการสร้างใหม่ หรือกำเนิดใหม่ แต่เกิดจาก "พลังงานชนิดใหม่ที่ไหลเข้ามาแทนที่ของเดิม" นั่นเอง ซึ่งมันจะเกิดขึ้นได้ต้องมีปัจจัยที่หนุนเนื่องให้มันเกิดขึ้นครับ เหตุปัจจัยต่างๆ มีด้วยกันดังต่อไปนี้


๑. การเปิดใจของคนสองคน ที่พร้อมจะทำการ Transition พลังงานระหว่างกัน ถ้าปิดใจกั้น กระบวนการนี้จะไม่อาจเกิดขึ้นได้ครับ

๒. การยอมรับและการให้ ซึ่งทั้งสองฝ่ายต้องมีทั้งสองอย่างนี้ ไม่ใช่คิดแต่จะยัดเยียดให้อีกฝ่าย หรือคิดแต่จะรับเอาแต่อย่างเดียว

๓. ความแตกต่างของสองคน ถ้าคนสองคนไม่มีความแตกต่างกันเลยก็จะไม่มีการแลกเปลี่ยนพลังงานใดๆ ครับ ดังนั้น จึงต้องต่างกัน

๔. การจัดสรรตามธรรมชาติ เหมือนน้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำแต่เปลวไฟกลับลอยขึ้นสูงอย่างเดียว ไม่มีลงต่ำ อย่างนี้เป็นต้น


ดังนั้น "บางครั้งท่านไม่จำเป็นต้องฝึกพลังอะไรเลย" ท่านก็สามารถที่จะได้รับพลังงานเหล่านั้น "จากธรรมชาติรอบตัวของท่าน" ได้ เพราะพลังงานเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่อาจยึดมั่นถือมั่น ไม่ใช่ตัวตนของตนที่จะกำหนดหรือควบคุมไปได้ตลอด ถ้าท่านเข้าใจหลักของธรรมชาตินี้ ท่านก็จะทราบว่าสิ่งสำคัญอยู่ที่ "ตัวเราเอง" ว่าตัวเราเองคิดอย่างไร มีจิตใจอย่างไร กระทำตัวแบบไหน สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัุยสำคัญที่ทำให้เราได้รับหรือสูญเสียพลังงานชนิดใดครับ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเดิมคุณมีพลังหยาง (เพศชาย) มาก แต่จิตใจคุณฝักใฝ่ความงามแห่งหน้าตาและเรือนร่างมากเกินไป สุดท้าย คุณจะสูญเสียพลังหยางไป และได้รับพลังหยินมาแทนที่ คุณก็จะเป็นได้แค่คนหล่อที่อาศัยหน้าตาหากินไปเท่านั้นเอง ไม่อาจที่จะเป็นวีรบุรุษที่สร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ระดับใดได้เลย นี่แหละความไม่เที่ยงของพลังงาน ไม่อาจยึดได้จัดสรรไปตาม "เหตุปัจจัย" เท่านั้น และเหตุปัจจัยนั้นที่สำคัญก็ึคือ "ใจคุณ" นั่นเอง 




วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

พลังแห่งการอนุโมทนา ที่จะเปลี่ยนกรรมให้่เป็นบุญ กลับร้ายกลายเป็นดี?

"ลอย ลอย กระเทย เอ้ย ลอย ลอยกระทง ลอยกระทงกันแล้ว ขอเชิญน้องแก้วออกมารำวง ..." อ่า เป็นยังไงบ้างครับ วันลอยกระทง ตกลงไปลอยกับกิ๊กหรือแฟนอ่า อั๊ยย่ะ ล้อเล่น ขำๆ นะครับ วันนี้เ็ป็นคืนวันเพ็ญด้วยสิ ใครจะกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าบ้างเอ่ย บอกมาซะดีๆ หวั่นใจชำรุด มนุษย์ค้างคาว หวั่นคนตื่นเช้า จะเอาเธอไป ... อ่า เพลงอีกแระ นอกเรื่องอยู่เื่รื่อย วกมาเรื่องของเราดีกว่าจ้า สำหรับหัวข้อวันนี้ เบาๆ สบายๆ แต่เป็นเคล็ดลับสุดยอดเลย จะบอกให้ อ๊ะ ยังไง ไม่บอกละ อ่านเองละกัน (แล้วที่เขียนมานี่มันต้องอ่านหรือฟังกันล่า)


พลังอนุโมทนานี้ ไม่เหมือนกับที่ท่านทั้งหลายเข้าใจนะครับ ไม่ใช่การไปอนุโมทนาใครที่ทำบุญ เพื่อเราจะได้บุญร่วมด้วย ผมขอยืมคำศัพท์มาใช้อีกแบบหนึ่งเท่านั้นครับ การอนุโมทนาก็อย่างที่ท่านเข้าใจปกติ แต่ "พลังอนุโมทนา" ในที่นี้ ผมขอใช้หมายถึงพลังที่เรามีจิตเห็นด้านดีในทุกๆ สิ่งได้แม้ว่าสิ่งนั้นจะเหมือนไม่ดีก็ตามเช่น จู่ๆ ใครไม่รู้มาเปิดเพลงเสียงดัง ถ้าเรามีจิตคิดไม่ดี จะมองว่าน่ารำคาญ มันก็ไม่ต่างจากเราได้รับกรรม ใช่ไหมครับ? แต่ถ้าเรามีพลังอนุโมทนา เรามองเห็นได้ว่าไม่ใช่ความน่ารำคาญหรอก แต่มันเป็นบุญที่เราได้ยินฟรีๆ เขาเปิดให้เราได้ยินฟรีๆ จิตเราก็ผ่องใส ไม่เป็นทุกข์ ไม่ต่างจากการได้เสวยบุญใช่ไหมครับ? นี่ละ เหตุการณ์เกิดขึ้นเหมือนกันเปี้ยบเลย แต่ผลมันกลับตรงข้าม ด้วย "จิตเรา" คิด เรามองนี่เอง เหมือนเหรียญสองด้าน มันก็คือ เหรียญเดียวกันแหละครับ แล้วแต่ว่าเราจะพลิกไปมองด้านไหน ถ้าเรามองว่ามันเป็นกรรม มันก็จะเห็นกรรมได้ แต่ถ้าเรามองเป็นบุญ มันก็เห็นบุญได้อีกเช่นกันครับ ดังนั้น บุญกรรมที่แท้จริงไม่มี มีแต่บุญกรรมสมมุติครับ เพราะอะไร เพราะมันสมมุติมาั้ตั้งแต่แรกแล้วว่านี่คือดี เป็นบุญนะ นี่คือชั่วเป็นกรรมนะ เราคิดเอาเอง อุปทานเอาเองว่าอะไรดี ไม่ดี ตั้งแต่แรก มันก็เลยตั้งไว้ว่าเป็นบุญหรือกรรมเพราะเราไปคิดเอาเองนี่แหละครับ ผมยกตัวอย่างง่ายๆ นะ ถ้านาง ก. ไปฆ่าคนซะ เพราะคิดว่าให้มันตายๆ ไปซะ จะได้หมดทุกข์ แล้วเขาก็ไม่อยากตายแต่นาง ก. ก็ว่าฉันทำความดีเพื่อเธอนะ มันก็เป็นบุญครับ ถึงเวลานาง ก. ได้รับผลบุญ ก็จะได้รับ "ความตาย" นั่นแหละ เป็นบุญครับ เช่น ถ้านาง ก. ถูกครองงำด้วยปีศาจร้ายให้ทำชั่ว ไม่มีปลดปล่อยได้ นอกจากความตาย นาง ก. ก็จะได้ "ความตาย" อันเป็นบุญในมุมมองของนางที่จะปลดปล่อยนาง ก. ออกจากวังวนกรรมนั้น นั่นเอง อย่างไรละครับ 


อีกประการที่แตกต่างกันอย่างมากระหว่างคำว่า "อนุโมทนา" และคำว่า "พลังอนุโมทนา" ก็คือ คำว่า อนุโมทนา หมายถึงการยินดีด้วยในกรรมที่ผู้อื่นกระทำ แล้วเราก็จะได้ผลร่วมกับเขาด้วยไม่ว่าดีหรือร้ายยังไง ในอนาคตชาติข้างหน้า แต่คำว่า "พลังอนุโมทนา" นี้จะไม่ใช่การหวังผลในชาติหน้าเลยครับ มันหมายถึง "ณ ปัจจุบันขณะ" นี้เลย โดยไม่ได้ติดอยู่ภายใต้เงื่อนเวลาของปัจจุบัน อย่างคนที่หลงยึดปัจจุบันขณะเขาเป็นกันนะครับ เพราะอะไร? เพราะมันมีต้นเหตุมาจาก "อดีต" ไงละครับ อดีตส่งผลมาถึงปัจจุบัน พอเรามาันั่งรับผลปัจจุบันด้วยพลังอนุโมทนาได้ เราก็จะพลิกสถานการณ์พลิกมุมมองให้มันกลายเป็นสิ่งที่ดีได้ นั่นคือมันไม่ใช่การคิดแยกว่านี่เราทำ ณ ปัจจุบัน เพื่อให้เกิดผล ณ อนาคต ก็ไม่ใช่ มันไม่ได้คาดหวังรออนาคตอะไรเลย มันอาศัยอดีตที่ทำมาแล้วนี่แหละแล้วพลิกกันปัจจุบันไปเลย ดังนั้นอนาึคตก็ไม่ต้องกังวลอีก เพราะเข้าใจในวิถี "ขณะนี้" แล้ว นั่นเอง มันก็เลยทำได้เลยเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอฟ้ารอฝน รอเวลาในอนาคตอีกต่อไปแล้ว นี่แหละ ที่ผมแนะนำท่าน "พลังอนุโมทนา" พลังที่เห็นดีงามในทุกๆ สิ่งได้ และทำให้เราพลิกสถานการณ์หรือสิ่งที่ไม่ดี ให้กลับร้ายกลายเป็นดีได้   


สำหรับบทความนี้ เอาแค่หอมปากหอมคอ ผมขอจบเทานี้ สวัสดีครับ 


   

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อย่าเอะไปจะบอกขุมทรัพย์ให้ "ตัวร้ายนำโชค" มันเป็นอย่างนี้

โอ้ย ทำยังไงดีเนี่ย "หารไม่ลงตัว" เลยแบ่งกันไม่ลงตัว เหลือเศษเต็มไปหมด ทั้งเสธ อ้าย, เสธ หนั่น, เสธ แดง ฯลฯ หารยังไงถึงได้แต่เศษละเนี่ย นี่ละน้า "ตัวตั้งต้น" มันยังไม่เต็ม (บารมียังไม่เต็ม) มันก็เลยได้ผลหารออกมาเป็นเศษ (เสธ) แทน เต็มไปหมดเลย โฮ่ๆๆ ล้อเล่น ขำๆ นะครับ อย่าคิดมาก เอาละ เม้าท์เรื่องชาวบ้านพอเป็นพิธีแบบไทยๆ ก็ตามสไตล์คนขี้เม้าท์อ่านะ มาคุยเรื่องของเราดีกว่า นั่นคือ เรื่องตัวร้ายนำโชค อ่ะ? มีด้วยเหรอของพันธุ์นี้ ตั้งแต่เกิดมาจากท้องแม่ ตูดพ่อ ตูไม่เคยได้ยินเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อน อ้าว ไม่เคยได้ยินก็อ่านซะสิ จะได้ไม่ต้องมาบ่นว่าไม่มีใครบอกดาวเลยอ่า อย่าช้าเลย น้องดาว หนุ่มสาวทั้งหลาย พวกเธอจงเสพมันซะ อ่านซะ รับรองว่างานนี้ไม่มี "ดราม่า" เพราะเป็น "มาม่า" เอ้ย ไม่ใช่ มีสาระอยู่แน่นอนนะคร้าบ...  


ในบทความฉบับก่อนผมได้กล่าวถึง "หน้าที่ศักดิสิทธิ์ของทุกสรรพชีวิต" ไปแล้ว (ที่กล่าวถึงว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงให้พระเทวทัตอยู่ในศาสนาทั้งที่ทำผิดมากมาย) ฉบันนี้ ก็จะมาต่อความยาวสาวความยืด เอ้ยม่ายช่าย จะมาขยายความให้ชัดเจนและละเอียดยิ่งขึ้นนะครับ คือ มันมี "ตัวร้ายนำโชค" อยู่ครับ มันคืออะไรหรือ? มันก็คือ คนที่ทำตัวไม่ดีกับเราคอยกลั่นแกล้งเล่นงานเรา แต่ว่าแท้แล้วในมิติที่มองไม่เห็นนี้ เขาคือตัวนำโชคมาให้เราครับ ผมขอยกตัวอย่างนะ คนบางคนร้ายกับคุณมาก และเล่นงานคุณอยู่ตลอด แต่ถ้าคุณยังมีเขาอยู่ กิจการงานก็จะยังไปต่อได้ไม่ถึงกับล่มครับ แต่ถ้าคุณไล่เขาออกไปแล้ว ไม่นานก็จะล่มได้ครับ ฟ้าเขาส่งมาช่วยคุณครับในยามที่คุณหมดบุญและกรรมเข้ามาถึงตัวคุณแล้ว ถ้าคุณเล่นงานคนเหล่านี้ ก็จบเห่ คุณไม่มีพลังที่จะปกป้องตัวคุณได้อีก หมดตัวกัน แต่ถ้าคุณอดทนไว้ เมตตาให้เขาอยู่ต่อได้ เหมือนที่พระพุทธเจ้าทำกับพระเทวทัตนั้น กิจการของคุณก็จะยืดยาวออกไปได้อีกครับ นี่แหละ เำพราะพระพุทธเจ้าท่านมีปัญญาทราบใน "กลไกลสมดุลธรรมชาติ" นี้ ท่านจึงปล่อยให้พระเทวทัตอยู่ต่อไป แต่ท่านก็ไม่ได้หลงพระเทวทัตครับ (ถ้าหลงพระเทวทัต ผมว่าศาสนาก็ไม่ล่มแต่กลายสภาพเป็นลัทธิอย่างอื่นที่ไม่เห็นนิพพานเป็นแน่แท้) ดังนั้น ผมจึงบอกความลับนี้เอาไว้ให้คุณ เพราะพวกเขาก็คือ "ตัวนำโชค" ครับ แต่ไม่ได้เป็นโชคที่เปิดเผย เช่น ได้ลาภก้อนใหญ่, ถูกหวย ฯลฯ อะไรแบบนั้น มันเป็นโชคที่มองไม่เห็นครับ แต่เจ๋งกว่าเยอะ ผมยกตัวอย่างเลยนะ ใครได้พระเทวทัตไปดูแลเถอะครับ แต่ก็อย่าหลงเขาละ แล้วกิจการคุณจะอยู่ยืนยาวนาน, ใครได้พญามาราธิราช ก็ปล่อยให้เขาอยู่ไปเถอะครับ แต่ก็อย่างเดิม อย่าหลงเขามาก ก็จะ "มีอายุยืนยาว" ครับ ฯลฯ โอ้ย มีตัวนำโชคอีกเยอะแยะที่มาในรูปของ "ตัวร้าย" อย่าเพิ่งมองเขาในแง่ร้ายด้านเดียวไปละ เดี๋ยวจะทำสมดุลเสียไปก่อนโดยไม่รู้ตัวได้ เอาง่ายๆ เลย ปรับตัวอยู่ร่วมกันให้ได้ ก็แค่นี้เองครับ อย่าไปคิดเล่นงานใครออกไป เพราะเขาเลวอะไรเลย


เอาละ ผมขอแยกแยะ "ตัวร้ายนำโชค" ให้ท่านเห็นชัดเจนขึ้นอีก ว่าพวกเขามาจากไหนกัน? พวกเขาทั้งหลายล้วนมาจาก "คนที่เคยทำผิดแล้วตกนรก พอได้โอกาสกลับตัวใหม่ได้ ก็มาเกิดเพื่อทำงานใช้หนี้กรรมครับ" เช่น พระเทวทัตที่ทำกรรมไว้กับศาสนา, พญามาราธิราช ที่ก่อกวนพระพุทธศาสนาอยู่ตลอด ฯลฯ พวกเขาเหล่านี้ ก็เคยตกนรกไปแล้วครับ แล้วก็ได้รับการฉุดช่วยขึ้นมาให้แก้ตัวใหม่ ทำงานใช้หนี้กรรมเก่าครับ พวกเขาจึงเป็นเหมือน "สมบัติตกทอดจากพระพุทธศาสนายุคก่อน" ที่ส่งทอดให้พวกเรารับช่วงดูแลต่อไป ใครรับไปดูแลได้ ก็จะได้โชคดีครับ ยุคนี้ "โชคลาภมีมากมาย" แต่เขาจะเก็บไว้ให้คนที่ทำเพื่อ "สมบัติที่ตกค้าง" เหล่านี้นั่นเองครับ เอาง่ายๆ นะ ที่คุณเคยทราบแล้วว่ามีลัทธิบางลัทธิพาคนไปฆ่าตัวตายหมู่นั้น มันมีได้จริงครับและเขาก็ไม่ใช่คนธรรมดา ฟ้าส่งเขามาทำกิจครับ ทว่า เขาพลาดไปนิดหน่อย คือ ถ้าเขาได้ "สมบัติตกค้าง" เหล่านี้ ไปชำระล้าง ดูแลทำความสะอาด ปัดฝุ่นหน่อย ไม่รังเกียจ ไม่ขับไล่ นะ เขาจะรอดตายครับ นี่เรื่องจริงนะครับ "ผมไม่ได้โม้" โฮ่ๆๆ ใครจะเชื่อก็เชื่อไป ใครไม่เชื่อก็ช่างเขา เป็นสิทธิ์ของท่านครับ เอาละ สำหรับบทความฉบับนี้ ก็พล่ามมามากนิดหน่อยแล้ว เอาวันละเล็กน้อยแค่นี้ก็พอครับ สวัสดี...  


วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

พลังผูกเชื่อมเชิงลบ เพื่อยกระดับตัวเองแบบลัดสั้น เป็นอย่างไร?

"เลิกแล้วคร่ะ หนูเลิกกับเขาแล้วคร่ะ อ๋อยังหรอกคร่ะ ไม่คิดม็อบใหม่หรอกค่ะ" ร้องนะ ร้องดังๆ แล้วก็เอากระโปรงแดงครึ่ง เหลืองครึ่งมาใส่ เตะขาซ้ายไปทางขวา แล้วเตะขาขวาไปทางซ้าย อ่ะ นั่นละ หนูเยี่ยมมาก "เต้นได้หล่อมากค่ะ" มาเป็นแดนซ์เซ่อร์กันนะคะ เราจะได้มาแดนซ์กันให้เซ่อร์ไปเลย ฮ่าๆๆ ตกลงว่า "เลิกแล้วเนอะ" คิดว่าบางคนคงโล่งอกโล่งใจไปได้เสียที นึกว่าจะกลายเป็น "มหากาพย์ภารตะยุทธ์" ที่ยืดเยื้อยาวนาน จนเรื้อรังน่ารำคาญ สร้างผลกระทบทางธุรกิจและการประกอบกิจวัตรประจำวันของท่านทั้งหลายไปซะแล้ว แต่จบไปแบบนี้ก็ Happy ending สำหรับบางคนเหมือนกัน (ในขณะที่บางคนบางฝ่ายกลับกลายเป็น Sad ending) เอาละ เม้าท์เรื่องคนอื่นเขาก็ พอประมาณ ตามนิสัยเสียๆ สันดานคนไทยขี้เม้าท์ โฮ่ๆๆ แล้วเราก็เข้ากันได้ใช่ไหมค่ะ (คนดีเกินไปมันไม่เหมาะกับคนไทยหรอกค่ะ) วกมาเรื่องของเราดีกว่า วันนี้มาเรื่องคล้ายเหมือนเดิม แต่ดูดีๆ นะคะ มันมีสาระที่ค่อนข้างตอบอะไรบางอย่างที่ค้างคาใจเรา เวลาเราถูกเล่นงานค่ะ  


คุณเคยสังเกตุไหมว่า บางคนชอบมายุ่งเรื่องของคุณหรือชอบหาเรื่อง คุณอยู่เรื่อย เคยเป็นไหม? ไม่หรอกน่า เป็นไปไม่ได้ถ้าคุณจะไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้ ทีนี้ ผมจึงจะมาเม้าท์ให้ฟังว่า "ปรากฏการณ์แบบนี้" ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ นี่ มันคืออะไรกันแน่? คำตอบง่ายๆ ครับ มันก็คือวิถีที่ทำให้สัตว์เป็นสัตว์สังคม ไม่ใช่กลายเป็นปัจเจกชนไปหมด ด้วยการเอา "พลังกรรมมาผูกเงื่อนเชื่อมโยงกันไป" ก็เท่านั้นเอง เช่น บางคนอาจเลี้ยงสัตว์ไม่ดูแล ปล่อยให้สัตว์มาทำร้ายเรา ทำลายของๆ เรา มีเรื่องเกิดแล้วกลับไม่เห็นตรงชัดเจนว่าอะไรผิดอะไรถูก ไม่สนใจแยก แยะ เข้าข้างสัตว์เลี้ยงของตัวเอง ไม่สนใจรับผิดชอบ พอเราไปโวยก็หาว่าเราผิดอย่างนั้นอย่างนี้ สัตว์มันไม่ผิดก็จริงอยู่ สัตว์มันไม่รู้เรื่องอะไร มันไม่ผิด แต่จะมาโทษคนว่าผิด ทั้งๆ ที่คนได้รับผลกระทบกับสัตว์เลี้ยงที่ถูกปล่อยปละละเลยนั้นไม่ได้ ผู้ที่ผิดก็คือ "คนเลี้ยง" ไม่ ใช่สัตว์ที่ถูกเลี้ยง แต่ถ้าคนเลี้ยงสัตว์ไม่ยอมรับผิดชอบอะไรเลย แถมยังป้ายความผิดไปให้คนที่ได้รับผลกระทบอีก อันนี้แหละ "กรรมที่เขาใช้ผูกมัดพัวพันกัน" นั่นเอง มันเป็นพลังงานแห่งการผูกเชื่อมในเชิงลบ ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่เยอะมาก จนกลายเป็นว่าคนที่ทำกรรมเ็ป็นคนทำถูกไปเลย ส่วนผู้ที่ได้รับความเสียหายกลายเป็นคนผิดไปก็มี 


อันนั้น แค่ตัวอย่างนะครับอย่าเพิ่งคิดมากมันเกิดขึ้นได้หลายแบบครับ บางครั้งเกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผลมากๆ และอยุติธรรมสุดๆ คนผิดได้รับการยอมรับว่าถูก ผู้เสียหายกลายเป็นคนผิดไปเสียเอง อะไรแบบนั้น นี่ละ กรรมผูกโยง เป็นพลังงานเชิงลบที่ผูกโยงคนให้เกี่ยวเนื่องเชื่อมกันไป คือ ถ้าเราไม่ทำกรรมอะไรบ้างเลย ให้มันมีกรรมผูกโยงกับคนอื่นเขา คนอื่นเขาก็จะทำกับเราเองครับ เราอยู่เฉยๆ แท้ๆ ไม่ได้คิดไม่ดีอะไรกับใคร แต่เขาก็ชอบมาทำร้าย หรือเล่นงานเราประำจำ นั่นหละ อย่าไปคิดมาก มองให้ทะลุแล้วจะเข้าใจครับว่า "ธรรมชาติเขาแค่จัด สรรให้คนเรามีกรรมผูกกัน" จะได้เป็นสัตว์สังคม ก็เท่านั้นเองครับ ถ้าเราไม่ทำกรรมผูกกับใครเลย แต่เรายังไม่จบ ยังไปต่อชาติหน้าอีกมาก มันก็จะมาผูกกับเราเองครับ ดังนั้น ถ้าเราไม่อยากตกเป็นเหยื่ออยู่ฝ่ายเดียวซ้ำๆ เราก็ต้องเปลี่ยนบทบาทเป็น "นักล่า" เสียบ้าง ถ้าทำตัวเป็นกระต่ายเชื่องให้เขาล่าอยู่ตลอด แล้วมันไม่ได้ความ ก็ต้องเปลี่ยนไปเป็น "เสือ" บ้างก็ได้ อย่าลืมนะครับว่า "สัตว์เดรัจฉานทุกชนิด หรือแม้แต่คนทุกประเภท" มันไม่ได้มีความผิดอะไรเลยครับ จะเป็นเสือหรือกวาง ก็ไม่มีใครผิด ทุกตัวตนมีบทบาทหน้าที่ของตัวเองแตกต่างกันไปก็เท่านั้น แล้วแต่เราจะเลือกเล่นบทไหนครับ ถึงบอกไงครับว่าถ้าเราเป็นเหยื่อมามากแล้ว จะกลับบทบาทลองเป็นผู้ล่าเสียบ้างก็ได้ (ถ้าเรามีบารมีพอรองรับผลกรรมที่เกิดขึ้นนะครับ) นี่แหละ คือ วิถีของการเวียนว่ายในสังสารวัฏ สำหรับผู้ที่ยอมรับความจริงและไม่หลงตัวเองจนเกินไป รู้จัักสำเหนียกตนเอง ไม่ประมาท และประมาณตนว่าตนนี้ยังไม่นิพพานหรอก แต่สำหรับคนที่ไม่เข้าข่ายนี้ และคิดว่าตนเองไม่ทำกรรมอะไรเลย บริสุทธิ์มาก นิพพานแน่นอน อันนั้น ก็ว่ากันไปอีกสูตร คนละเรื่องกันครับ ใช้คำอธิบายแบบที่ผมใช้อยู่นี้ไม่ได้แล้วครับ  


เอาละ สุดท้ายผมขอสรุปสั้นๆ ง่ายๆ ว่า ตราบใดยังไม่ถึงวาระนิพพาน ท่านก็ยังต้องเวียนว่ายในสังสารวัฎ ยังมีตัวตนอีกมากมายรออยู่ข้างหน้า ดังนั้น ท่านหนีกรรมและการกระำทำกรรมไม่พ้นหรอกครับ เหมือนสัตว์ในป่า ต่อให้นุ่งขาวห่มขาว ก็หนีการเป็น "ผู้กินและผู้ถูกกิน" ไปไม่ได้ ถ้าไม่เป็นผู้กิน ก็ต้องเป็นผู้ถูกกินครับ และกรรมทั้งหลายเหล่านี้ ก็ไม่ได้ผิดอะไร มันมีเหตุผล มันจึงต้องเป็นเช่นนี้ นั่นคือเป็นไปเพื่อให้สัตว์ทั้งหลายผูกโยงกันเป็นสัตว์สังคม อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม นั่นเองครับ อ้อ แล้วที่บอกว่ามันเป็นวิธียกระดับตัวเองแบบ "ลัดสั้น" ก็เพราะแบบนี้เองครับ คือ การทำความดี, สร้างบุญบารมี ผูกโยงกัน มันยาก ทำได้ยากใช่ไหมครับ (ลองนึกถึงเวลาเดินผ่านขอทานสิ แหม คิดว่าจะทำทานนะ มันคิดมาก ยากจริงๆ เลยละ!) ก็เลยใช้บาปกรรมผูกมัดกันไปก่อนเลย ง่ายดี สั้นดี สิ้นคิดดี (แต่ถ้าเลือกได้ ทำดีได้ ก็ทำเถอะครับ) ดังนั้น มันก็แล้วแต่บทบาทว่าคุณจะเลือกเป็นผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำ ตราบเท่าที่ยังไม่นิพพาน ยังเวียนว่ายในสังสารวัฏนี้ต่อไปครับ สวัสดี!

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การโปรแกรมมิ่ง "ภวังคจิต" อาจทำให้คุณฝึกจิตขณะหลับก็ยังได้?

"..... ไม่ใช่คนในนิยาย แต่เป็นคนที่รักเธอ อย่ามาเจอ ถ้าเธอไม่ได้ต้องการ ..." อ๊ะ เคยฟังเพลงนี้ไหมเอ่ย? เขียนให้อ่านเล่นๆ แต่ให้ฟังเสียงร้องจริงๆ ไม่ได้ เพราะว่า "มันส์ไก่มาก" เพราะมว้ากกก เจ้าคร้า โฮ่ๆๆ จิงเกิลเบลๆ จิงเกิ้ล ออนเดอะเวย์ เอาละ เม้าท์เล็กๆ มุขแป้กๆ วกเข้าเรื่องของเราดีกว่า วันนี้ ผมจะสอนการนอน มามะๆ มานอนกัน นอนกัน อั๊ยย่ะ ไม่ใช่เรื่องอย่างว่านะ อย่าเพิ่งจินตนาการเตลิดเปิดเปิงไป มันคือเรื่องการนอนจริงๆ แต่มีเนื้อหาอย่างไรนั้น ลองดูกันเลยครับ


ก่อนอื่น ถ้าคุณเคยดูหนังหรืออ่านนวนิยายกำลังภายในเรื่อง "มังกรหยก" ภาค "จอมยุทธ์อินทรีย์" แล้ว คุณจะพบว่าตัวเอกของเรื่อง มีวิธีการนอนบนเตียงหยกเย็น ทำให้สามารถฝึกปรือพลังวัตรไปได้ขณะที่นอนหลับนั้นด้วย โดยไม่เีสียเวลาเปล่าไปนะครับ วันนี้ ผมจะมาเผยเคล็ดลับการนอนหลับอย่างไร จึงเป็นการฝึกพลังจิตไปในตัวด้วยครับ อนึ่ง การนอนหลับอาจไม่ใช่การไม่ทำอะไรเลยหรือการพักอย่างเดียว สรุปก็คือ "มันขึ้นอยู่กับจิตขณะหลับดวงสุดท้าย" ว่าเป็นอย่างไร มันจะกลายเป็น "โปรแกรมตลอดเวลาหลับ" ครับ เช่น ถ้าคุณหลับไปขณะจิตสุดท้ายที่ "เพลียและอ่อนล้า" คุณก็จะถูกโปรแกรมให้ตลอดเวลาที่หลับนั้นอยู่ในภาวะเพลียและอ่อนล้า ดังนั้น เมื่อคุณตื่นขึ้นมาก็ไม่รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าอะไรเลย คุณก็ต้องการนอนหลับมาขึ้น คิดว่าตนเองได้นอนน้อยเกินไป ทั้งๆ ที่จริงแล้ว "ไม่ใช่ครับ" มันเป็น การนอนที่ไร้ประสิทธิภาพต่างหาก ในทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็บอกว่่าถ้าคุณมีการนอนที่มีประสิทธิภาพแล้ว คุณอาจไม่ต้องใช้เวลานอนมากเลย และสามารถตื่นขึ้นมาไ้ด้ด้วยความสดชื่นกระปรี้่กระเปร่า แต่ก็ไม่อาจอธิบายต่อได้ว่าการนอนให้มีประสิทธิภาพนั้น ทำได้อย่างไีร? ผมจึงได้ทำการศึกษาด้วยการทดลองเพิ่มเติม สรุปว่า มันขึ้นอยู่กับจิตดวงสุดท้ายก่อนหลับนั่นเอง เมื่อเราหลับลงไปแล้วมันจะตกลงสู่ห้วงแห่ง "ภวังค์" ที่ต่างกันไปตามจิตดวงสุดท้ายของแต่ละคน ถ้าคนไหนนอนหลับไปด้วยจิตสุดท้ายที่อ่อนเพลีย มันก็กลายเป็นการโปรแกรมในตลอดเวลาที่นอนหลับนั้น "อ่อนเพลีย" แต่ถ้าจิตดวงสุดท้ายก่อนที่จะหลับๆ ไปด้วยจิตที่ผ่องใสหรือมีพละกำลังใจดีมันก็จะเซ็ตโปรแกรมในภวังค์ขณะที่หลับนั้นให้เป็นเช่นนั้นตลอดเวลาหลับเลย เหมือนว่าจิตพักทำงานแต่ก่อนพักทำงาน จิตทำอะไรกับร่างกายก็จะเซ็ตให้ร่างกายมีโปรแกรมอย่างนั้น ถ้าคุณคิดว่าคุณกำลังฝึกพลังจิตก่อนที่จะหลับ คุณก็เลยโปรแกรมจิตให้ผ่องใสจนถึงหลับไปได้ มันก็จะผ่องใสตลอดเวลาที่คุณหลับและตื่นขึ้นมาด้วย โดยที่คุณไม่ต้องเสียเวลาไปนั่งทำสมาธิหรือฝึกพลังจิตแบบอื่นๆ เลย (ถ้าคุณสามารถทำได้นะ)


หลายคนมีปัญหากับ "การหลับ" มากเพราะก่อนหลับทำงานเยอะและอ่อนเพลียจึงหลับไป บางคนที่แต่งงานแล้ว ก็มีกิจกรรมทางเพศกับคู่นอนก่อนหลับ ทำให้อ่อนเพลียแล้วหลับไปเลย โปรแกรมของร่างกายก็ถูกเซ็ตให้ "อ่อนเพลีย" ไปตลอดเวลาที่หลับนั้น เหมือนเราปล่อยให้ร่างกายขณะหลับตอกย้ำอยู่กับโปรแกรมอ่อนเพลีย นั่นเอง เอาละ ผมขอแนะนำการหลับที่มีประสิทธิภาพให้ นั่นคือ การเตรียมตัวให้ดีก่อนหลับ เพื่อให้จิตของคุณผ่องใสและไม่นำร่างกายเข้าสู่โปรแกรมที่ไม่ดีก่อนที่จะหลับไป และทำให้การหลับของคุณกลายเป็นการฝึกพลังจิตที่ดีได้ นั่นก็คือ การให้เวลาว่างก่อนที่คุณจะหลับสักระยะหนึ่ง เช่น สักหนึ่งชั่วโมงที่คุณจะเคลียร์ทุกอย่างให้ปลอดโปร่ง, โล่ง, สบายใจ, มีจิตใจผ่องใสเบิกบาน ฯลฯ แล้วก็หลับไปด้วยจิตดวงสุดท้ายแบบนั้น ก็จะไม่ต่างจากการทำสมาธิตลอดทั้งคืนนักเลย แต่ผมไม่แนะนำให้คุณทำสมาธิลึกจนหลับไปนะครับ เพราะมันจะเกิดโปรแกรม "ดึ่งลึก" เหมือนคุณถูกดูดลงเหวลึกไปเรื่อยๆ ขณะหลับโดยไม่รู้ตัว พอคุณตื่นขึ้นมา มันจะตื่นยากมากเหมือนคุณต้องลุกขึ้นมาจากที่ๆ ลึกมากๆ น่ะครับ ผมแนะนำให้ "สดชื่นผ่องใส" ก่อนหลับครับ แล้วคุณจะมีร่างกายและจิตใจที่ผ่องใสสุขภาพจิตดีทั้งกายและใจ อายุยืนยาว และอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงโดยไม่ต้องพึ่งวัตถุทางวิทยาศาสตร์อะไรเลยครับ สำหรับบทความนี้่ ไม่มีอะไรมาก เป็นเคล็ดลับการหลับ สวัสดีครับ...