วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2556

"โดเรม่อน" (แหล่งผู้ผลิตของทิพย์วิเศษ) มีทั้งสายมาร, เทพ, พรหม ยักษ์ ฯลฯ

อ้าววันนี้เราจะพาท่านไปชมโรงงานผลิตของทิพย์วิเศษกันนะครับ อ่ะ ไม่ช่ายละ ไม่ใช่โรงงาน แต่เป็น "ตัวตน"  ที่มีหน้าที่, มีกิจ ทำให้เกิดของทิพย์วิเศษต่างๆ มา่กมายครับ ซึ่งท่านเหล่านี้จะเป็น "ผู้สร้าง" ซะส่วนใหญ่ กล่าวคือ สร้างแล้ว, ทำแล้วก็จะแจกจ่ายไปไม่ได้เก็บเอาไว้ใช้เอง เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะใช้กระมังครับ ซึ่งท่านเหล่านี้ก็มีทั้งสายยักษ์, มาร, เทพ, พรหม ฯลฯ เลยครับ ผมขอเรียกเป็นภาษาฮิบๆ ว่า "โดเรม่อน" ก็แล้วกัน อันหมายถึง "ท่านผู้สร้างของทิพย์วิเศษเพื่อแจกจ่ายไปยังสัตว์เหล่าต่างๆ" ก็แล้วกันนะครับ ซึ่งจะได้อธิบายต่อไป


เริ่มจากของทิพย์วิเศษฝ่ายยักษ์ ทายสิว่าน่าจะมาจากแหล่งใดเอ่ย เอ คลองถมหรือพันธ์ทิพย์อ่ะป่าว อ่ะม่ายช่ายยังงั้น มาจาก "พระศิวะ" ไงครับ ท่านผู้นี้ ตามประวัติเท่าที่พอจะหาอ่านตามตำรับตำรากันได้ ก็จะเห็นว่าท่านมักบำเพ็ญฤทธิ์ได้มาก แล้วบังเกิดเป็นอาวุธทิพย์มากมายเลย สุดท้าย ท่านมักจะประทานให้แก่ฝ่ายยักษ์ที่บูชาหรือศรัทธาท่านนะครับ พวกยักษ์นี่ ถึงแม้ว่าเขาจะดูร้ายเพราะเกิดมาเป็นยักษ์ ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่กินสัตว์ ย่อมต้องดุร้ายกว่าสัตว์กินพืช ใช่ไหมละครับ? แต่ข้อดีที่สุดของพวกยักษ์ก็คือ "รู้ตัวว่าต้อยต่ำและรู้จักเลือกศรัทธาสิ่งศักิดสิทธิ์ที่ควรศรัทธา" ครับ ดังนั้น แม้ยักษ์จะร้าย แต่ก็มักจะได้ของทิพย์วิเศษจากสิ่งศักดิสิทธิ์คือ "พระศิวะ" อยู่ประจำเลยละครับ แต่ปัญหาหรือข้อเสียของยักษ์คือ เวลาได้ฤทธิ์ไปแล้วก็หลงลืมตัวนะครับ ก็เลยมักเอาของทิพย์วิเศษไปก่อเรื่อง ทำให้เกิดความวุ่นวายไปหมด (นี่แค่อาวุธบางชนิดของพระศิวะที่ยักษ์ได้เอาไปใช้่นะ ถ้าท่านลงมือจะเป็นอย่างไร แต่บังเอิญท่านเป็นมหาเทพที่รักสันติจึงไม่ทำเช่นนั้น) ผมเลยเรียกเล่นๆ ว่า "โดเรม่อนยักษ์" ก็แล้วกันครับ ซึ่งในโลกมนุษย์ก็มีคนหลายคนที่ชอบไปกราบไปไหว้บูชาและอาศัยความศรัทธาพระบางรูป ก็มักจะได้ "ของดี" ติดมือมา ให้เข้าใจไว้นะครับว่า "เอ็งน่ะ มันเชื้อสายยักษ์" มาทางยักษ์ เน้นศรัทธา เน้นสรรเสริญบูชา!


ต่อไป ก็คือ "โดเรม่อนฝ่ายเทพ" ก็คงจะเป็นท่านใดไปไม่ได้ นอกจาก "พระวิษณุและพระสุริยเทพ" ครับ สองท่านนี้เองที่ทำให้เกิดของทิพย์วิเศษฝ่ายเทพ โดยพระสุริยเทพจะบำเพ็ญฤทธิ์จนมีพลังร้อนแรงเกินไป พลังส่วนเกินนั้นเองที่พระวิษณุเทพจะนำเอามาใช้ในการผลิตเป็นของทิพย์วิเศษทั้งหลาย ตามที่ท่านก็สามารถหาอ่านในตำรับตำราที่มีอยู่ได้ครับ เมื่อใดก็ตามที่มีผู้บำเพ็ญบารมีเป็นพระสุริยเทพ ก็จะมีอีกท่านหนึ่งบำเ้พ็ญบารมีตามๆ กันมา คือ พระวิษณุเทพ เพื่อที่จะนำเอาพลังส่วนเกินของพระสุริยเทพที่อาจเป็นภัยต่อปวงสัตว์ได้ ไปใช้ผลิตเป็นของทิพย์วิเศษทั้งหลาย แจกจ่ายแก่ชาวเทพเสียเลย ซึ่งในการแจกจ่ายนี้ ก็คงแตกต่างจาก "สายยักษ์" นะครับ ต่างกันสิ้นเชิง อย่างที่ผมบอกแล้วว่าสายยักษ์ได้มาจากการบูชาพระศิวะมหาเทพด้วยใจที่ศรัทธาอย่างแท้จริง ก็ได้รับของทิพย์วิเศษที่เหมาะสมกับตัวเอง ตามที่ตัวเองได้ทำตัวมาครับ แต่สายเทพนี่ต่างกันมาก ไม่ต้องบูชาหรอกครับ ขอเพียงทำหน้าที่อย่างดี ทำตามหน้าที่ของตนให้ดี แน่วแน่ในปณิธานของการทำเพื่อส่วนรวม จนบารมีกล้าแกร่งถึงจุดหนึ่ง ก็จะได้ของทิพย์วิเศษที่ควรได้ ที่เหมาะสมกับสิ่งที่ตัวเองทำมา บุญบารมีที่ตนได้สร้างมาครับ ดังนั้น ของทิพย์วิเศษสายเ้ทพนั้น จึงมีพื้นฐานมาจากพลัง "ธาตุไฟ" สายร้อน มีแล้วจะทำให้คนๆ นั้นมีไฟในการทำกิจ ทำหน้าที่ของตนครับ ทุกท่านเลย ถ้าได้รับแล้วจะรู้สึกได้ถึงการมีไฟในการทำหน้าที่ทำกิจของตน มีจิตใจฮึกเหิมที่จะทำกิืจอย่างมีสุขครับให้สังเกตุคนพวกนี้นะครับ แรกๆ จะแทบไม่มีอะไรเลย แต่พวกเขาจะทำกิจไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งก็จะได้ "เครื่องมือทำกิจ" ของตนครับ


ต่อไปก็เป็น ของทิพย์วิเศษสายมารกันบ้าง อันนี้ ผมไม่ค่อยทราบสักเท่าไร ไม่สันทัดนัก แต่พอจะเข้าใจตามตำราไตรปิฎกได้กล่าวไว้ว่า ที่สวรรค์ชั้นมารนั้นจะมีัทั้ง "ผู้ที่เนรมิตให้ผู้อื่น" และ "ผู้ที่รับของที่เขาเนรมิตมาให้" ซึ่งผมคิดว่าใน "โลกมาร" นั้น ก็น่าจะมีมารที่ทำหน้าที่ในการผลิตของทิพย์วิเศษให้แก่พวกมารด้วยเช่นกัน แต่ดูแล้วไม่น่าจะเหมือนสายเทพ ดูเหมือนของปลอม ของ Flake มากกว่า เช่น ของอะไรดีๆ ที่เทพมี มารก็ริษยาอยากมีบ้าง ก็เนรมิตเอาให้เหมือน ทว่า ก็ไม่อาจทำงานได้ดีเท่านะครับ เพราะมันเหมือนของปลอม, ของก้อปปี้ อะไรแบบนั้นมั้งครับ แต่ว่ามันก็มีฤทธิ์ทำให้ของจริงต้องถูกเล่นงานได้ เช่นกันครับ คงเทียบได้กับ "ของปลอม-ของก้อปปี้บนโลกมนุษย์" ละมังครับ เช่น เวลาเราอยากได้อะไร แล้วเราไม่มีเงินพอ บำเพ็ญบารมีไมุ่ถึง เราก็ไปซื้อหาของปลอมมาแทน ใช้ได้เหมือนกันแต่ได้ไม่ดีเท่า ทว่าก็ส่งผลให้ของจริงได้รับผลกระทบไปเหมือนกัน ทำให้การค้าขายตามปกติถูกแย่งตลาดไปด้วยของปลอม, ของก้อปปี้ทั้งหลาย ซึ่งก็มีคนบนโลกมากมายนะครับ ที่ชอบของปลอม, ยอมรับของปลอม และใช้ของปลอมได้ อันนี้ก็ต้องแยกแยะด้วยนะครับระหว่าง "ของที่ทำไว้เพื่อจำลอง" อันนั้น ไม่ใ่ช่ของปลอมนะครับ เ่ช่น สร้อยทองเค ไม่ใช่ทองแท้ และไม่ได้โกหกหลอกลวง เขาผลิตจากวัสดุอีกแบบ หรือไม่ก็พวกเพชรรัสเซีัยซึ่งผลิตจากวิทยาศาสตร์ อันนี้ ผมไม่ได้มองว่าเป็นของปลอมนะั มันจริงในตัวมันเองคือ "เป็นเพชรรัสเซีย, เพชรวิทยาศาสตรแท้ๆ" แต่ไม่ใช่เพชรจากธรรมชาิติ ยกเว้น ว่าจะมีคนไปย้อมแมวขายหรือหลอกลวงคนอื่นว่าเป็นของจริง เวลาคนเอาไปใช้ เขาก็อาจไปใช้งานคนละแบบก็ได้ เช่น แทนที่จะเอาพลอยหรือทองจริงไปตกแต่งพระธาตุแล้วต้องนั่งเฝ้ากลัวขโมยลักเอาไป ก็ใช้เพชรรัสเซียก็ได้ครับ คือ เราใช้ในวัตถุประสงค์เพื่อการตกแต่ง จำลอง ก็เท่านั้น


เอาละ สามตัวอย่าง ผมว่าไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ส่วนสายพรหมฤษี อันนี้ก็เป็นสายที่มีฤทธิ์ มีพลังในตัวเองมากพอ ที่จะทำให้เกิดอาวุธทิพย์ในตัวเองได้ครับ เคยเห็นพราหมณ์ฤษีไหมครับ ก็ทำของขลังกันได้เองทั้งนั้นแหละครับ คงไม่ต้องไปขอจากใครก็ได้ แต่อาจแลกกันได้บ้าง ส่วนสาย "ซาตาน" ก็คงได้มาจากการแลกบ้าง, ของเก่าที่เคยมีตอนเป็นเทพภาคสว่างบ้าง ก็ยังอยู่ แต่เวลาเอามาใช้ อาจจะนำไปใช้ในทางที่ต่างกัน นั่นคือ ภาคที่ปรากฏในมิติทิพย์ ที่นี้ ก็ลองดูภาพที่เห็นจากมิติเนื้อหนังกันบ้าง ก็มีเยอะ ถมเถไป ดูไม่ยากครับ คนเราในยุคนี้ แหม มีดี ในตัวกันทั้งนั้น มีพลังพิเศษกันทั้งนั้นแหละ ไม่เชื่อหรือ? ก็ลองไปสมัครขายแมเวย์ดูก็ำได้ แล้วจะเห็นว่า "มันแตกต่างกันว่ะ ในคนที่ขายได้ ขายเก่ง กับคนที่ขายไม่ได้" หรือไม่ก็ไปทำงานโรงแรม ดูสิ ว่าทำไมคนบางคนบุคลิกดี, สยบลูกค้า, ควบคุมอารมณ์ลูกค้าได้ แต่ว่าทำไมบางคน มันทำไม่ได้อย่างนั้นละครับ? น่านละ มันมีอะไรในตัวเองที่เป็น "พิเศษ" ต่างกันไปอย่างไรละครับ ใครว่าไม่มีเล่า? ใครว่ามันเป็นไปได้ยาก หรือเห็นได้ยากเล่า? ลองสังเกตุกันดูดีๆ ครับ ว่าเขาเอาพลังพิเศษเหล่านั้นไปใช้ทำอะไร? หาเงินให้ตัวเอง อ้างว่าทำเพื่อครอบครัว ทั้งๆ ที่ครอบครัวก็มีเงินแยะแล้วอ่ะปล่าว? ถ้าใช่ละก็ นี่จัดว่าเข้าทางภาคมืดแล้วนะครับ แต่ถ้าทำเืพื่อหน้าที่ ไม่รวยอะไรนะ แต่ก็พออยู่ได้ละ อ๊ะ มันอาจเข้าทางสายเทพบ้างก็ได้ เอาละ วันนี้ ก็เม้าท์นิทานอาหรับราตรีให้เด็กๆ ฟังมากพอแล้ว เช่นเคย กินนมก่อนแล้วนะจ๊ะเด็กๆ ตื่นเช้ามาจะได้แจ่มใส สำหรับวันนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ!



วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

"ของทิพย์วิเศษ" ฝ่ายมาร เหมือนหรือต่างกันไฉน?

ผมเคยได้เล่าเรื่อง "ของทิพย์วิเศษที่ได้จากการบำเพ็ญบารมี" มาบ้างแล้ว ซึ่งของทิพย์วิเศษเหล่านี้ เป็นของฝ่ายสัมมาทิฐิทั้งสิ้น ทว่า ก็ยังมีของทิพย์วิเศษอีกแบบที่มาจากสายมิจฉาทิฐิเหมือนกัน ดังนั้น ผมก็เลยเอามาเมา้ท์ในบทความนี้เสียเลย จะได้เป็นข้อมูลเบื้องต้นให้ท่านทั้งหลาย ไม่ว่าจะปฏิบัติจิตไปแล้วพบเจอ หรือว่าพบเจอด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม เมื่อถึงเวลานั้น (ไม่ว่านานเท่าไร? รุ่นลูกหรือรุ่นหลาน ฯลฯ) ถ้าไม่อาจจะหาข้อมูลใดช่วยประกอบการศึกษาได้ ก็ลองมาดูข้อมูลของผมได้ครับ อาจไม่ได้ดีนัก หรือถูกต้องไปหมดทุกอย่าง แต่มันจำเป็นต้องทำ ต้องเริ่มต้นครับ เอาละ เข้าสู่เนื้อหารายละเอียดกันเลยครับ


กำเนิดของทิพย์วิเศษฝ่ายมารและฝ่ายมิจฉาทิฐิ ไม่ได้เกิดจากการบำเพ็ญจิตหรือบำเพ็ญบารมียิ่งยวดแบบสายเทพหรือฝ่ายสัมมาทิฐินะครับ สำหรับฝ่าย "มิจฉาทิฐิ" แล้ว วันๆ เขาจะมีบุญเสวยและไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น อยากได้อะไรก็ให้นึกเอา, คิดเอา, จินตนาการเอา ก็ได้ดั่งใจต้องการ เรียกว่า "การเนรมิต" ครับ ไม่ว่าจะเนรมิตเองหรือได้รับจากผู้อื่นเนรมิตให้ก็ตาม ก็เข้าข่ายเป็นแบบสายมารทั้งหมด โดยเขาจะมีหลักการสำคัญที่สุดข้อเดียวเลยว่า "สายเทพมีอะไร สายมารก็ต้องมีบ้างด้วย" เรียกว่า เธอมีได้ ฉันก็ต้องมี ต้องได้อย่างเธอ ไม่ว่าสายเทพจะไม่ได้อยากได้แต่เพราะผลแห่งการบำเพ็ญบารมีทำให้มีมาเองหรือว่าอย่างก็ตาม มารก็ไม่สนใจนะครับ เขาสนแค่ว่า อะไรที่ฝ่ายเทพมีได้ เขาก็ต้องมีบ้าง (ถ้าไม่มี ไม่ได้ จะเกิดความริษยาอย่างรุนแรงนะครับ เขาเลยต้องมี เพื่อให้ไม่ร้อนรนกับเพลิงริษยาครับ) ทีนี้ เขาจะไม่ทำอะไร ไม่บำเพ็ญบารมีอะไร ไม่มีกิจอะไรเลยในวันหนึ่งๆ ก็นั่งเนรมิตเอาอย่างเดียว ไปดูว่าฝ่ายเทพมีอะไร ได้อะไร ก็เอาบ้าง คิดเอาตามนั้นเลย แล้วพลังบุญ, พลังจิต ฯลฯ ที่มากมายของพวกเขานั้น ก็ก่อให้เกิด "ของทิพย์วิเศษฝ่ายมารหรือฝ่ายมิจฉาทิฐิ" ขึ้นมาได้เลยครับ (ใครเป็นแบบนี้อยู่บ้างครับ ไม่มีกิจอะไรทำในแต่ละวัน วันๆ ได้แต่นั่งคิดเอา, นึกเอา, ฝันเอา, จินตนาการเอา ฯลฯ ถ้ามีละก็ ใช่เลย!) ทั้งนี้ ฝ่ายมารก็มีหมดครบทุกอย่างที่ฝ่ายเทพมีนะครับ ไม่เว้นแม้แต่พระพุทธเจ้า, พระเจ้า ฯลฯ อะไร มีหมดเลยครับ แต่ไม่ได้มีจากบารมี มีจากการเนรมิตเอาครับ นี่คือ ข้อแตกต่างที่สำคัญอย่างยิ่งข้อที่หนึ่ง


ต่อไปคือ ถ้ามันเหมือนกันอย่างนี้แล้ว "อานุภาพจะเท่าเทียมกันหรือไม่?" ถ้าพูดถึงระดับพลังงาน ก็เท่ากันได้ครับ เช่น สมมุติตรีทิพย์ของฝ่ายเทพ มีอานุภาพทำลายล้างได้สามภพ ฝ่ายมารก็จะทำให้มันได้ไม่ต่างกัน แต่ไม่ใช่ด้วยพลังของการบำเพ็ญบารมีนะครับ เป็นพลังจิตที่เกิดจาก "ความริษยาอาฆาต" ซึ่งมันปรับระดับเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ ครับ คือ ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องบำเพ็ญบารมีอะไรเลย เห็นของเขาดีกว่าของเรา ก็นั่งเพิ่มแรงริษยา, แรงอาฆาตไปเรื่อยๆ ครับ อาวุธทิพย์นั้นก็จะมีพลังซึ่งเป็นพลังสายมาร เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนทัดเทียมกันได้ครับ นี่คือเทียบกันในเรื่อง "ระดับพลังงาน" แต่ถ้าเทียบกันในเรื่องคุณภาพละก็ ต่างกันครับ ใช้งานคนละอย่างกันเลย ถ้าใช้ในการต่อสู้นั้น มันก็ไม่ต่างกันมาก ถ้าพลังงานเท่าๆ กันนะครับ แต่ถ้าใช้ทำงานจริง ละก็ ของทิพย์วิเศษของฝ่ายมาร ใช้งานไม่ได้จริงเลยสักอย่างครับ เช่น ถ้าจะใช้จักรทิพย์เพื่อการปกครอง ของเทพสามารถใช้่ขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาประเทศก้าวไปข้างหน้าได้ครับ แต่ของฝ่ายมาร ไม่ได้เลย ก็ทำได้อย่างเดียว เอาไว้เล่นงานคนอื่น ทำงานไม่ไ่ด้ ก็แผลงฤทธิ์ ก็ขวางเขาเสียเลย ทำให้ระบบรวน กวนงานของเขาเสียเลยครับ นั่นละ พลังของอาวุธทิพย์ฝ่ายมาร ดังนั้น ฝ่ายเทพจะต้องระวังให้ดี ไม่หลงภาคมาร ถูกมารหลอกล่อให้นำอาวุธทิพย์ไปใช้ตีรันฟันแทงกัน แต่จะต้องใช้อาวุธทิพย์ในการทำกิจของเทพอย่างถูกต้องตรงทางครับ เช่น ถ้าเทพองค์ใดมีหน้าที่สร้างสายฟ้า และทำให้เกิดฝน ให้ตกต้องตามฤดูกาล ก็อย่ามัวเอาอาวุธทิพย์ไปทำสายฟ้าต่อสู้กับใคร เอามาใช้ทำกิจให้ตรงทาง อย่าให้เขายั่วยุเรา ชวนเราทะเลาะได้ ทำงานไปครับ


สำหรับการสังเกตุว่าท่านมี "ของทิพย์วิเศษฝ่ายมาร" อยู่หรือไม่ ก็ไม่ยากครับ อย่างแรก "ท่านมีพลังหรือความสามารถอะไรพิเศษบ้างมั้ย" เช่น ดูเหมือนไม่มีอะไรเลย แต่ทั้งๆ ที่ทำผิดพลาดมากมาย แต่กลับไม่มีใครกล้าหือกับท่านเลย แปลกดี? ทั้งๆ ที่มันน่าจะโดนหนัก หรือโดนมากกว่านั้น ถ้าเป็นคนอื่นก็คงโดนเล่นงานหนักไปแล้ว นี่แหละ เข้าข่าย "มีอะไรพิเศษในตัวเองแล้ว" ซึ่งจะเป็นพลังพิเศษ หรือของทิพย์วิเศษ ก็ว่ากันไปอีกที ทีนี้ ก็ตรวจเช็คต่อไปครับว่าของทิพย์ที่มีนั้น ท่านสามารถใช้ทำกิจได้ตรงทาง ได้จริงไหม? เช่น หวังจะทำให้ชาวนาขายข้าวได้กำไรดีๆ หวังดีเต็มที่ ทว่า กลับให้ผลตรงข้ามหรือยิ่งทำให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายไปกันใหญ่ ไม่เวิร์กเลย ใช้ทำกิจก็ไม่ได้ (แต่มีอะไรพิเศษในตัวแท้ๆ นะ) อันนั้นแหละ ทำให้ตั้งสมมุติฐานได้ว่า "มีของทิพย์วิเศษฝ่ายมาร" อยู่ แ่ต่ถ้าท่านใช้งานได้เวิร์กจริง เช่น ใช้เครื่องมือสื่อสารเล็กๆ แต่กลับสร้างคลื่นกระทบที่ขยายวงกว้างได้อย่างไม่น่าเชื่อ เกินกว่าที่คนอื่นใช้การสื่อสารแบบเดียวกันนี้ จะทำสำเร็จแบบท่านได้ เออ แปลกดีละ เห็นมั้ยละ ทางโลกเขาอาจจะเรียกว่า "ความสามารถพิเศษ, ความชำนาญ, ความเก่งเฉพาะตัว" หรืออะไรก็ช่างแต่สิ่งนั้นจะไม่อาจอยู่อย่างไร้ความสัมพันธ์กับมิติทิพย์ได้ มันจะเชื่อมโยงกับของทิพย์ในมิติทิพย์เสมอครับ ทุกมิติไม่อาจจะแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจน (โอเค นะครับ) ทีนี้ ก็มีข้อควรระวังอีกว่า "ของทิพย์ฝ่ายเทพ" บางอย่าง อาจถูกใช้ไปในกิจของ "เทพภาคมืด" ก็มีได้ครับ คือ เทพเหล่านี้มีของทิพย์ฝ่ายเทพอยู่แล้ว แต่พอไปเป็นภาคมืด ของทิพย์ของเขาก็ยังมีอยู่ ก็ทำให้ใช้ไปทางภาคมืดครับ ดังนั้น คนเก่งๆ ที่มีความสามารถพิเศษ แต่ทำงานให้ภาคมืด ก็มีครับ  


เอาละ สรุปง่ายๆ มากเลยคือ ของในโลกนี้มันมีสมดุลของมัน มันมีคู่ตรงข้ามของมันอยู่ เวลาเราได้, เรามี, เราเป็น, เราใช้ ฯลฯ ของทิพย์ชนิดใดอยู่ แน่นอนอย่างยิ่งว่าจะมี "ภาคมาร" ใช้อาวุธทิพย์แบบเดียวกัน แต่เขาไม่ได้เอามาใช้ทำกิจนะครับ เขาใช้มาเล่นงานเรา ชวนให้เราทะเลาะด้วย มาป่วนงานเรา เสียอย่างนั้นครับ ดังนั้น ง่ายๆ ครับ ทำตามหน้าที่ของเราให้ดี ถ้าให้ใครดึงเราให้เป๋ออกจากหน้าที่ของเราไปได้ ใครจะชวนทะเลาะอะไรก็พยายามไม่ต้องไปสนใจ ให้ทำหน้าที่ตรงทางต่อไปเรื่อยๆ ครับ เช่นนี้ มารก็จะไม่สามารถหลอกล่อเราได้ เอาละ บทความคืนนี้ เป็นเรื่องพื้นฐาน ง่ายๆ นะ แต่เวลาทำจริงก็ไม่ง่ายเท่าไร เพราะมารมักมาทดสอบว่าเราทำได้จริงไหม? และการทดสอบของภาคมาร ก็ไม่ใช่ธรรมดาเสียด้วยสิ สู้ต่อไป ทาเคชิ! ยืดอกขึ้น ทำหน้ามั่นๆ ไว้ แล้วกำหมัดแน่นๆ ด้วยความมั่นใจ ชกขึ้นฟ้า แล้วศอกลงมาแน่นๆ "Yes!" นายทำได้ บอกตัวเองดังๆ แล้วไปกินนมนอนซะ ฮ่าๆๆ เพราะใกล้ถึงเวลานอนแล้ว พรุ่งนี้เช้าก็จะได้ตื่นเช้าๆ ไปลุยในหน้าที่ของตนให้ดีต่อไป สำหรับนิทานอาหรับราตรีในคืนนี้ ขอจบง่ายๆ เท่านี้ พบกันใหม่บทความหน้า ราตรีสวัสดิ์ครับ ...




วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556

สืบสาวเผ่าวงศ์ยักษ์และพลัง "สายฟ้า" ที่จะมาค้ำจุนพระพุทธศาสนาหลังกึ่งพุทธกาล

อย่างแรกต้องบอกก่อนครับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่สำหรับผม และผมก็ไม่ค่อยสนิทชิดเชื้อกับเผ่าวงศ์ยักษ์มากนัก (จะสนิทกับสายพรหมกับเทพมากกว่า) ทำให้ผมอาจจะสื่อสารได้ไม่ดีนักแต่ขอให้คิดเสียว่ามาศึกษาพร้อมๆ กันไปเลย ก็แ้ล้วกันนะครับ กล่าวคือ เรื่องมันเริ่มต้นจากการที่พระพุทธศาสนาจะมีการเปลี่ยนแปลงหลังกึ่งกลางยุคพุทธกาล จะมีเหล่า ยักษ์, มาร, เทพ, พรหม มาช่วยดูแลแทน "พุทธบริษัทสี่" ที่มีอยู่ในชุดเดิม (พุทธบริษัทสี่ได้แก่ อุบาสก, อุบาสีกา, ภิกษุ, ภิกษุณี ซึ่งปัจจุบันภิกษุณีผู้สืบสายดั้งเดิมก็ไม่มีเหลือแล้ว) มันหมายความว่าอะไร? อาจจะหมายถึง คนอีกกลุ่มที่ประสานพลังกับจิตวิญญาณต่างมิติเพื่อค้ำจุนพระพุทธศาสนาแทน "มนุษย์ธรรมดา" หรือไม่? เช่น คนที่เข้าทรง ทรงเทพ, ทรงพรหม, ทรงมาร อะไรก็ไม่รู้ละ จะเป็นไปได้มั้ย ก็ยังไม่ขอสรุปหรือตัดสินถูก-ผิด, ดี-ชั่วอะไร เอาเป็นว่าเราจะวิเคราะห์ข้อมูลไว้เป็นเบื้องต้นก่อน ก็แล้วกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้ครับ


ยักษ์ที่น่าสนใจและเป็น "ตัวเต็ง" ที่จะมาเป็น "อธิบดีฝ่ายยักษ์" ดูแลพระพุทธศาสนาเห็นจะไม่มีใครเด่นไปกว่า "รามสูร" นะครับ เนื่องจากรามสูรก็คือ "ภาคหนึ่งของพระนารายณ์" มหาเทพแ่ห่งการรักษา แน๊ะ ช่างเหมาะเจาะเหมาะสมกับการดูแลรักษาพระพุทธศาสนาจริงๆ และถ้าเทียบกับ "ยุคของพระนารายณ์" ก็จะเทียบได้กับนารายณ์ปางที่หก คือ "ปรศุราม" ก็คือ รามสูร นั่นเองครับ (ตนเดียวกัน) จะเห็นว่าไม่ใช่นารายณ์ปางที่สิบ (กัลกี) นะครับ เอาละ ผมจะไม่ตัดสินว่าใครถูก-ผิดอะไร ตำนานเองก็มีแบ่งสองฝ่าย ไม่ทราบว่าอันไหนถูกนะครับ มีทั้งที่บอกว่าพระพุทธเจ้าคือนารายณ์ปางที่เก้า ยุคนี้่ก็เลยเ้ข้ายุคนารายณ์ปางที่สิบ และแบบที่ไม่มีพระพุทธเจ้าอยู่เป็นหนึ่งในสิบปางของพระนารายณ์ครับ ในที่นี้ ผมจะขอใช้ตำรับที่ไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นหนึ่งในสิบปางนะครับ เอาเป็นว่าถ้าใช่ปรศุราม ก็จะมี "ขวานฟ้า" เป็นอาวุธคู่กาย ขวานฟ้านี้ไม่ใช่ใช้ขว้างนะครับ เขาแค่ทำเหมือนจะขว้าง แล้วจะมีพลังสายฟ้าประกายออกมา เหมือนเราเหยาะขวดน้ำปลาก็มีน้ำปลาออกมาไง ไม่ใช่เขวี้ยงไปทั้งขวดนะครับ คือ ถ้าใช้ขวานสับเลยมันก็มีอานุภาพแรงมากๆ มันเป็นขวานเพชรครับ ของมันแรงมาก เลยใช้แค่สะบัดๆ พลังสายฟ้าก็ออกมา เพียงแค่นี้ก็เล่นงานศัตรูได้แล้วครับ 


ทีนี้ ไปดูตำนานของเทพปกรณ์นัมของชาวนอร์สกันบ้าง ก็มี "ธอร์" ที่ติดโผมาครับ เทพธอร์จะมี "ค้อน" เป็นอาวุธคู่กาย ช่างคล้ายกันมากๆ เวลาใช้ จะใช้ตีแล้วจะมีสายฟ้าแลบประกายออกมาครับ (ทำให้นึกถึงภาพของศาลที่ใช้ค้อนเคาะหรือประธานสภาที่ใช้ค้อนทุบให้คนเงียบ)  ซึ่งธอร์และเทพปกรณ์นัมทั้งหมดของชาวนอร์ส มีเชื่อสายมาทางพวก "ยักษ์" ครับ ตามตำนานจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ ๑. กลุ่มยักษ์เต็มตัว ๒. กลุ่มลูกครึ่งยักษ์ (แม่เป็นยักษ์ พ่อเป็นมนุษย์น้ำแข็ง) ส่วนธอร์ก็เป็นกลุ่ม "ลูกครึ่งยักษ์" ครับ มีพ่อคือ "โอดิน" ผู้ได้ดื่มน้ำพุแห่งการหยั่งรู้เข้าไป ทำให้รู้อะไรมากมายเลยครับ อันนี้ไม่ทราบว่าจะเทียบกับพลังการหยั่งรู้ของลูซิเฟอร์ได้ไหม (ที่ได้กินผลแอปเปิ้ลแห่งการหยั่งรู้เข้าไป) ทางฝั่งตะวันตกก็ทำหนังออกมา เรื่องราวกล่าวถึง "ธอร์" ซึ่งกำลังจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นใหญ่ต่อจากบิดา ทว่า เขาหุนหันพลันแล่นไปรบกับศัตรูโดยไม่ได้รับอนุญาติก่อน ก็เลยถูกลงทัณฑ์ให้ต้องเกิดเป็นมนุษย์ ทั้งหมดนี้ มีพลังน้ำแข็งเป็นรากฐานและเกิดในแดนที่มีน้ำแข็งทั้งนั้นเลยครับ เรียกว่าพวก "ยักษ์น้ำแข็ง" แถมยังมีจิตชอบทำสงครามกันด้วยครับ สงสัยว่าจะทำสงครามเย็นได้เก่งแน่ๆ เลย


ทีนี้ไปดูตำนานของเทพกรีกกันบ้าง เห็นท่าท่านที่น่าจับตามองและมีแววจะเข้าวินคงจะเป็น "เทพซูส" ละมังครับ ทว่า เทพสายกรีกนี้่ เขามีเชื้อสายของเทพโดยตรง ไม่ใช่เชื้อสายยักษ์นะครับ ทว่า พลังของเทพซูสก็เป็นพลังสายฟ้าเช่นกัน (มีแต่พลังสายฟ้าเยอะจริงๆ สงสัยจะเหมาะสมกับยุคที่ต้องการใช้พลังไฟฟ้าสูง) ทว่า อาวุธคู่กายของเทพซูสจะเป็น "หอก" ซึ่งมีลักษณะพิเศษกว่าหอกทั่วไปนิดหน่อย ก็เท่านั้น อ้อลืมบอกไปว่า "กลุ่มสายพลังธาตุไฟ" ยังแบ่งแยกย่อยได้อีกเป็น ๑. ไฟร้อน เช่น ไฟจากดวงตะวัน, ไฟจากการเผาไหม้ต่างๆ ๒. ไฟเย็นเช่น ไฟฟ้า, สายฟ้าหรือฟ้าผ่า ซึ่งพลังของเทพซูสจัดเป็นพลังไฟเย็นครับ เวลาบำเพ็ญหรือฝึกนี่ยากกว่าไฟสายร้อนเยอะ คือ แทนที่เราจะร้อนแล้วร้อนไปเลยตรงๆ กลับต้องฝึกความอดทน (ขันติบารมี) ให้มากเพื่อคุมพลังธาตุไฟที่ร้อนแรงนั้น จนภายนอกเหมือนเป็นพลังน้ำแข็งเย็นเยือกห่อหุ้มซ่อนไว้ก่อน จากนั้น พลังไฟก็ไม่ยอมดับ ดับไม่ได้จะบำเพ็ญไม่สำเร็จครับ (เหมือนไฟที่ถูกห่อด้วยน้ำแข็ง) ทำไปเรื่อยๆ หลายๆ ชั้น ไฟที่เดิมร้อนแค่ ๑๐๐ องศา มันก็ร้อนขึ้นกว่าหลายเท่าเพราะมันสู้กับพลังธาตุน้ำแข็ง จนเมื่อมันถึงที่สุดมันก็จะกลายเป็นไฟเย็น เหมือนไฟฟ้าหรือฟ้าผ่า นั่นแหละ พวกนี้ ทางพุทธมหายานจะเรียกว่า "วัชรยาน" นะครับ สายนี้ถ้าฝึกสำเร็จจะมีพลังสายฟ้าทั้งสิ้น


เอาละ เม้าท์เรื่องยักษ์และพลังสายฟ้ามามากแล้ว ก็ยังไม่ได้ตัดสินอะไรทั้งสิ้น ประมวลเป็นข้อมูลมาให้ศึกษาพร้อมๆ กันเฉยๆ ครับ ทีนี้ ก็มาดูว่าถ้าพวกเขาเหล่านี้มาดูแลพระัพุทธศาสนาจริงๆ จะ่ส่งผลต่อเราอย่างไรดีกว่าเอาแบบที่ "ตาเปล่ามองเห็นได้ในปัจจุบัน" นะครับ ก็คือ  เราจะมีีชีวิตที่คล้ายพวกวัชรยานมากขึ้น คือ ไม่ต้องฝึกสมาธิ, ไม่ต้องนั่งสมาธิ ทำงานไปวันๆ และทำงานหนักด้วย มีไฟทำงานมากๆ แทบจะต้องแข่งขันกันแบบเอาเป็นเอาตายเลย เมื่อก่อนทำเช้าชามเย็นชามก็อยู่ได้ แต่หลังๆ ต้องสู้กับต่างประเทศ ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว ก็เลยต้องทำงานหนักมากขึ้นเหมือนตายพร้อมไปกับการทำงานเลยละ นี่แหละ แนวของวัชรยาน เขาใช้การทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม แล้วก็จะไม่ค่อยอยู่ติดกับที่นะครับคล้ายๆ ธุดงค์หรือย้ายไปเรื่อยๆ นั่นแหละ แล้วยังมี "ข่าวน่าตกใจแบบฉับพลัน" ให้เราตกใจเล่น เหมือนโดนฟ้า ผ่ากลางวันแสกๆ เลยละครับ นั่นแหละ วิถีธรรมสายวัชรยาน พอโดนเข้าไปทีเดียว มันตาแจ้งโจ้งโล่ง จางปางเลย ตาสว่างทันทีเลยครับ เช่น รักคนๆ หนึ่ง ทุกอย่างดีหมดมาตลอด ถึงวันนี้ ก็พบว่า "เธอเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ .." ช็อคไปเลยครับ หรือทำงานดีอยู่ตลอดจู่ๆ บริษัทให้ออกเฉยเลย ปลดสายฟ้าฟาดเหตุผลง่ายๆ "ประหยัด" ก็แค่นั้นเองครับแต่เราจะโชคดีที่จะไม่ตายในภัยพิบัติแรงๆ แล้วครับ อ้อ   แล้วยังมีการกระทบกระทั่งกันเยอะครับ เขาเรียกว่าวิถีเพชรตัดเพชร ก็เพื่อให้ทลายอัตตา สักกายทิฐิของแต่ละคน อย่างไรละครับ สำหรับบทความวันนี้ ขอจบลงก่อนนะครับ เดี๋ยวจะยาวเกินไป เด็กๆ ไม่ได้หลับได้นอนกันพอดี พบกันใหม่บทความหน้า วันนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ!



วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

ล้วงความลับจากตำนานโบราณ ไขความจริงที่ถูกซ่อนไว้ได้อย่างไร?

บทความนี้ผมขอแนะนำเกี่ยวกับการศึกษา "ตำนานโบราณ" ครับ ซึ่งไม่ใช่ของง่ายๆ เลย เพราะมันล่วงเลยผ่านเวลามานานแสนนานแล้ว ไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้ทั้งหมด ใครจะไปรู้ละครับว่าอะไรจริงแท้หรือไม่จริง? สุดท้าย มันก็ขึ้นอยู่กับ "ศิลปะ" ของแต่ละคน ว่าจะนำเอาข้อมูลโบราณที่บรรพบุรุษของโลกเรา ทิ้งไว้ให้เป็นมรดกนี้ ไปใช้อย่างไร? หรือจะมองผ่านเลยไป เพียงเพราะคิดว่า "บรรพบุรุษโง่เง่า" ล้าหลัง งมงาย เชื่ออะไรไม่ได้เรื่อง ผิดทุกประตู เราทันสมัยเจ๋งกว่า และถูกต้องทั้งหมด เลย ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ สรุปง่่ายๆ ว่ามันงมงาย เป็นเรื่องไม่จริง เป็นความหลง ความเข้าใจผิด หรือจินตนาการไปเองของคนโบราณ? เอาละ ถ้าคุณไม่ได้ด่้วนสรุปเช่นนั้น ยังมีใจเปิดกว้างพร้อมเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ไปด้วยกัน บทความนี้อาจเป็นประโยชน์ครับ 


อย่างแรกผมอยากอธิบายเรื่องที่ว่าทำไมเราต้องมาศึกษาเรื่องตำนานเทพอะไรด้วย หลงเทพ, บ้าเทพ มากไปหรือเปล่า? ผมไม่ขอตัดสินนะครับ คุณก็ลองพิจารณากันเองจากข้อมูลรอบด้านดูเอาครับ อย่างผมก็ทราบมาว่าจะมีสัตว์สี่เหล่าใหญ่ มาดูแลพระพุทธศาสนาต่อไป เมื่อถึงกึ่งกลางพุทธกาล ผมไม่ได้ทราบเพียงแค่การอ่านตำราเท่านั้น แต่ผมได้พิสูจน์มาด้วยประสบการณ์ตรงแล้ว จึงเชื่อว่ามีแบบนั้นจริงๆ และก็ทำให้ทราบว่าพระพุทธศาสนาไม่ใช่ระบบปัจเจกฯ ที่พระพุทธเจ้าเก่งอยู่คนเดียว ทำทุกอย่างได้หมดคนเดียวก็หาไม่ครับ แต่เป็นแบบสัตว์สังคม มีสังคม มีหมู่คณะ มีทีมงานทำงานเป็นทีม และไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในมิติเดียว หรือภพเดียว เพราะสัจธรรมความจริงนั้น เราไม่อาจที่จะแยกกันได้ มันเชื่อมโยงกันทั้งหมด ทุกภพ ทุกมิติ อย่างแยกไม่ออกครับ ดังนั้น เป็นเรื่องธรรมดามาก ที่ในไตรปิฎกจะกล่าวถึง ครั้งในยามที่พระพุทธองค์บำเพ็ญทุกขกริยาทรมานตนอยู่ แล้วมี "เทวดามาช่วยดีดพินเตือนสติ" ไม่ใช่ลุยเดี่ยวคนเดียวถึงความเป็นพระพุทธเ้้จ้าเลย หรอกนะครับ ดังนั้น การกล่าวถึงหรือศึกษาเรื่องของเทพเทวดา ผมมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่ว่าหลง ติดนิมิต หรือปฏิเสธไปว่าเขาไม่มีอยู่จริงอะไร จะจริงหรือไม่จริง ก็ช่างเถอะครับ เราก็ทำหน้าที่ของเราไป ถ้ามันทำให้เราทำหน้าที่ตรงทางได้ ก็ดีครับ แ่ค่นั้นเอง ดังนั้น ผมจึงสนใจศึกษาเรื่องเทพเทวดาที่จะมาค้ำจุนพระพุทธศาสนาครับ


อย่างที่สอง เพื่อการทำกิจ "สืบอายุพระพุทธศาสนา" ผมจึงทุ่มศึกษาเรื่องสัตว์ทั้งสี่เหล่าใหญ่ที่จะมาดูแลพระพุทธศาสนานี้ต่อได้แก่ ยักษ์, เทพ, มาร, พรหม ถ้าเราต้องการทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาจริงๆ ผมว่าไม่ต้องไปคิดเอง สร้างเอง สร้างวัดแข่งกัน อวดบารมีกัน ให้คนมาหลงศรัทธาให้ได้มากกว่ากัน ก็ดูดเงินจากศรัทธาของคนได้มากกว่ากัน ฯลฯ ขบวนการแบบนี้ ผมว่าไม่จำเป็นครับ เริ่มต้น ผิดแต่แรก ผมก็มาเริ่มต้นตรงนี้ "ทีมงานที่จะมาดูแลพระพุทธศาสนาทั้งสี่เหล่า" นั้น มีใครบ้าง อย่างไรบ้าง แล้วเืรื่องราวมันก็สอดคล้องกันอีกทั้งเรื่องมีการเปลี่ยนชุดทีมผู้ดูแลศาสนา และเรื่องการปรับเปลี่ยนพลังงานเก่าเป็นพลังงานใหม่ มันก็เลยทำให้ผมศึกษามากขึ้น แค่นั้นเองครับ ซึ่งผมก็เชื่อว่าไม่มีอะไรที่เกิดแบบไม่มีสาเหตุ หรือมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย สรุปได้ง่ายๆ ก็คือ ทุกอย่างถูกเตรียมไว้แล้ว และทำไว้นานอย่างต่อเนื่อง เช่น ถามว่าทำไม เราคนไทยต้องมาดูหนังฝรั่งอย่างเรื่อง ธอร์, แบทแมน, โดเรม่อน ฯลฯ ด้วยละ ผมว่าสิ่งเหล่านี้มีเหตุผลในตัวเอง และไม่ใช่ความบังเอิญหรอกครับ แต่มันถูกวางแผนมาแล้วทั้งหมด ให้มันได้มีขึ้น ปรา่กฏขึ้น ในรูปแบบที่เหมาะสมกับยุคสมัย ที่คนทั้งหลายก็ไม่ค่อยจะมีตาทิพย์ ไ่ม่อาจมองเห็นหรือสื่อสารกับเทพเทวดาได้ มันก็ต้องมารูปแบบนี้ ก็เท่านั้นเอง เพียงแ่่ต่ว่ามันไม่ใช่จะมาแบบบริสุทธิ์ ก็ต้องมีการปรุงแต่งไปหลายเหตุหลายปัจจัย เช่น ปรุงแต่งไปเพื่อให้คนที่ทำหนัง ขายหนังได้มากๆ ได้เงินเยอะๆ มันก็เลยมีทั้งส่วนที่ถูกแต่งแต้มมากเกินไปบ้าง อย่างนี้ เราก็คัดกรอง, แยกแยะ เลือกเอาเองตามวิจารณญาณของใครของมันแล้วกันครับ นั่นคือ ถ้ามันไม่มีเหตุผล มันคงไม่ถูกจัดสรรให้มาเข้าหูเข้าตาเราหรอกครับ เราที่เ็ป็นชาวพุทธจะต้องมานั่งดูเทพเ้จ้าในความเชื่ออื่นๆ ที่อยู่บนโลกนี้ทำไม? ถ้ามันไม่เกี่ยวข้องกัีนจริงๆ มันก็คงไม่ถูกธรรมชาติจัดสรรมาให้หรอกใช่มั้ย?


อยากที่สาม คือ เรื่องการคัดกรองแยกแยะ เอาข้อมูลส่วนสำคัญออกมาจากสารที่เราได้รับในรูปแบบต่่างๆ (ซึ่งสิ่งศักดิสิทธิ์สื่อสารกับเราได้ไร้จำกัด ทุกรูปแบบครับ เช่น ภาพยนต์, การ์ตูน, Gossip ก็ได้ครับ) ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด เป็นหัวใจของการศึกษาตำนานต่างๆ ครับ อย่างที่ผมเคยบอกไว้ว่าตำนานต่างๆ มันมีด้วยกัน ๔ ยุคสมัยคือ ยุคที่หนึ่ง "ยุคไร้บันทึก" ที่จะมีแต่เนื้อหาสำคัญๆ ไม่่่่ค่อยถูกเสริมแต่ง ด้วยไม่มีการบันทึกต้องจำกันมารุ่นต่อรุ่น ยุคที่สอง "ยุคสมมุติเทพ" คือยุคที่กษัตริย์มาช่วยบันทึกให้กันลืม กลัวสูญหาย แต่ก็เสริมแต่งเรื่องราวของตัวเองไปด้วยว่าเป็นสมมุติเทพ (เริ่มมีเรื่องแต่ง เสริมเข้ามาแล้ว) ยุคที่สาม "ยุคปราชญ์" เริ่มมีตัวอักษรใช้แพร่หลายมากขึ้น ทำให้ไม่ต้องใช้ทุนมาก ก็สามารถเผยแพร่แนวคิดต่างๆ ของตนเองได้ ดังนั้น จึงมีการแต่งเสริมเติมต่อมากขึ้น เช่น เสริมความเชื่อ, แนวคิด, ปรัชญาของตนเองเข้าไป หรือแม้แต่ "สรรเสริญเยินยอ" เทพเจ้าของตน จนเกินจริง ก็มี ดังนั้น ไม่แปลกถ้าจะเ็ห็นวรรณกรรมยุคนี้ มีการเกทับกันไปมาของเทพเจ้าต่างองค์ ใครนับถือองค์ไหนก็จะยกยอและสร้างให้เทพเจ้าของตัวเองยิ่งใหญ่ที่สุด จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ก็ไม่รู้ เพราะไม่อาจจะพิสูจน์ได้ครับ เช่น โพรมีธีอุสอาจคิดและมองการณ์ไกล ถูกจริง เรื่องจะเอาไฟมาให้มนุษย์ แต่ผิดที่ "เวลา" ครับ เขาควรรอให้มนุษย์พร้อมก่อน ทว่า ไม่มีใครพูดหรือมองมุมนี้ คนที่นับถือเทพโพรมีธีอุสก็จะมองว่าเขาดีเลิศ ทำถูกทุกอย่าง ไม่มีผิด ที่ผิดคือ "เทพซูส" ที่มีถึงขนาดเขียนว่าเทพซูสทรมานเขาเพื่อจะได้ทราบเรื่องคำทำนายครับ นี่ก็ไม่่ต่างอะไรกับวรรณกรรมที่เขียนยกย่องให้พระนารายณ์ยิ่งใหญ่จนเกินจริง เหนือมหาเทพองค์อื่นๆ ทั้งๆ ที่จริงแล้ว จักรวาลมีสมดุลมีการถ่วงดุลยภาพอย่างพอดีครับ แต่ใครศรัทธาก็เขียนให้มันเว่อร์ไป ก็เท่านั้นเอง ดังนั้น หากเราได้ตำนานอะไรมา มันอาจจะมีข้อเท็จจริงอยู่บ้างข้างใน ก็ตาม เราก็ต้องไม่ลืมไปว่ามันมีการเสริมแต่งมากมายผ่านมาในแต่ละยุคสมัยครับ ซึ่งส่วนที่เสริมแต่งเหล่านี้ ถ้าเราจับได้ ก็เอาออกไปเท่านั้นเอง ก็จะทำให้ได้ข้อมูลที่บริสุทธิ์ ใกล้ความจริงยิ่งขึ้น ต่อไปก็คือ ยุคที่สี่ "ยุคจินตนาการเสรี" ซึ่งเป็นยุคที่ผ่านการปฏิวัติทั้งการผลิตกระดาษให้แพร่หลายราคาถูก การเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตยทำให้ประชาชนคนธรรมดามีอำนาจ มีเสรีในการคิดหรือเีขียนมากขึ้น ยุคนี้ จึงมีงานเขียนที่ออกมาจาก "จินตนาการจริงๆ" มากขึ้น ซึ่งจินตนาการนี้ก็สะท้อนออกมาจากสิ่งแวดล้อมที่นักเขียนมีชีวิตอยู่ นั่นแหละครับ เช่น นิยายน้ำเน่าของไทยยุคแรกๆ ก็มีแต่เื่รื่องผัวๆ เมียๆ แย่งผัว แย่งเมียกัน มีเรื่องเมียน้อย เมียมาก อะไรแบบนั้น และยุคที่ห้า "ยุคสงครามเย็น" อันนี้ ผมขอเสริมให้เป็นยุคที่ห้า ที่สื่อต่างๆ ไม่ได้จะมีอิสระเสรีได้ดังก่อน แต่กลับกลายเป็นเครื่องมือในการทำสงครามเย็น ใช้สื่อครอบงำและแผ่อิทธิพลทางความคิดแข่งขันกัน เอาละ ถ้าุคุณจะใช้ข้อมูลอะไรในยุคนี้ ก็ใช้วิจารณญาณมากๆ นะครับ


เอาละ สามเหตุผลสำคัญเบื้องต้นนี้ ฝากไว้ให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายได้ลองนำไปทดลองใช้ดู บางที ท่านอาจจะค้นพบหรือได้ข้อคิดอะไรดีๆ จากตำนานโบราณหรือนิยายปรัมปรา ที่คนสมัยนี้อาจจะมองอย่างดูถูกว่าล้าหลัง คร่ำครึ ไม่ทันสมัย และเ็ป็นเรื่องงมงาย เอาละ มันจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ ผมไม่อยากสรุป แต่เท่าที่ทราบก็คือ ในโลกนี้ก็ยังมีคนที่ฉลาด หยิบเอานิยายปรัมปราและตำนานต่างๆ มาทำเป็นหนัง ทำเงินรวยไปมากมายแล้ว และ "ไอ้คนที่ไปด่าเขาว่างมงาย" นี่หละ มันก็ไปจ่ายตังค์ซื้อตั๋วหนัง นั่งดูของเขาเหมือนกัน เออ ดูสิ มันฉลาดขนาดไหน? แต่ผมว่าผู้อ่านบทความของผม ไม่น่าเป็นคนแบบนั้น (ปากว่าตาขยิบ พูดอย่างทำอย่าง) อย่างไรเสีย ถ้าท่านค้นพบอะไรในตำนานหรือนิยายปรัมปราเหล่านั้น ก็เอามาเม้าท์แลกเปลี่ยนกันก็ได้ึครับ ผมพร้อมรับฟังเสมอ สำหรับบทความนี้ สวัสดีครับ



วันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556

"โอดิน" เทพแห่งความรู้ ผู้รู้ทุกสิ่ง จะมาทำหน้าที่ดูแลพระพุทธศาสนาแทนลูซิเฟอร์ ได้หรือไำม่?

อย่างที่ผมได้บอกแล้วว่า "เป็นปกติของศาสนาพุทธ เมื่อพระพุทธเจ้านิพพาน ศาสนาก็จะสิ้นสุดลงด้วย" คุณลองดู "อายุพระพุทธศาสนา" ของพระพุทธเจ้าในแต่ละพระองค์ กับอายุของ "พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์" เทียบกันดูสิ จะใกล้เคียงกันอย่างยิ่ง เพราะอะไร? เพราะถ้าพระพุทธเจ้ายังยืดอายุศาสนาของตนต่อไป ก็จะไม่ได้นิพพาน เพราะการยืดอายุศาสนาของตนเองมีผลให้เกิด "สายบุญสายกรรม" อีกมาก  จะมีปวงสัตว์มากมายมาอาศัยใต้ร่มศาสนาแล้วสร้างบุญสร้างกรรมกันมากมาย นั่นจะส่งผลให้ "ผู้สร้าง-ผู้รักษา" แต่ว่ายังไม่ยอมทำลาย นั้น จะต้องมีส่วนเสวยผลบุญไปด้วย อุปมาเหมือน คุณสร้างวัดไว้ แล้วก็มีคนบวชต่อๆ กันไปไม่รู้กี่รุ่น แน่นอนว่า คุณต้องมีส่วนในสายบุญกรรมนี้ด้วย ใช่ไหมครับ ดังนั้น เมื่อพระพุทธเจ้านิพพานแล้วจึงไม่มีศาสนาทิ้งไว้ "ทุกอย่างจะถูกภาคทำลายล้าง" กวาดเก็บทำลายเกลี้ยงหมด ซึ่งในศาสนาพุทธนั้นก็มี "พระเทวทัต" มาเตรียมทำหน้าที่อยู่ ทว่า ก็มีเหตุผิดพลาดไปเล็กน้อย ทำให้ไม่สำเร็จ และศาสนายืดยาวมาจนถึงทุกวันนี้ได้ (ซึ่งผมก็ไม่ได้มองว่าอะไรจะถูกหรือผิด, ดีหรือชั่วมากกว่ากันนะครับ) และเพื่อให้อายุพระพุทธศาสนาเป็นไปตามความต้องการของพระพุทธเจ้า ดังนั้น อย่างที่หนึ่ง "พระพุทธเจ้าจะต้องมีอายุเท่าๆ กับศาสนาของพระองค์ด้วย" และทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ต่อไป จึงจะมีองค์แห่งพระรัตนตรัยครบสมบูรณ์ เป็นพุทธศาสนาที่สมบูรณ์ได้ ไม่มีว่าพระพุทธเจ้านิพพานหมดเกลี้่ยงไปแล้วศาสนาจะยังอยู่ได้สมบูรณ์ดีดังเดิม เพราะอะไร? เพราะมันขาด "ผู้นำ" ไงครับ และไม่มีใครจะมานำแทนพระพุทธเจ้าได้ นอกจาก "พระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น"


เอาละ ดังนั้น ผมจึงอยากจะบอกแก่คุณว่า "พระพุทธเจ้าสมณโคดม" มีอายุ ๕,๐๐๐ ปี ไม่ใช่ ๘๐ ปี ที่มีอายุ ๘๐ ปี ก็คือ "สังขารแห่งเจ้าชายสิทธัตถะ" แค่นั้น ไม่ใช่ว่าผมหลงยึดพระพุทธเ้จ้าถึงขนาดตัดใจไม่ได้ว่าท่านนิพพานแล้ว แต่ผมกำลังพูดเรื่องจริงที่ "คนที่ยึดติดสังขาร" ก็ไม่เข้าใจ เพราะไปยึดติดสังขารตัวตนพระพุทธเจ้าที่เหลือแต่พระธาตุไปแล้วนั้นแทนที่จะเข้าใจถึง "พระธรรมกาย" ของพระพุทธเจ้า ที่ยังไม่ได้นิพพาน ยังคงดำรงคงอยู่ และคงทำกิจของพระองค์ต่อไปจนถึงห้าพันปี แล้วจึงจะทรงกระทำ "พระธาตุนิพพาน" โดยรวมเอาพระธาตุที่เหลือทั้งหมด ประกอบขึ้นเป็นองค์แสดงปาฏิหาริย์ให้เทวดาเห็น จึงค่อยทำสิ่งที่เีรียกว่า พระธาตุนิพพาน อันเป็นการนิพพานครั้งสุดท้าย (การดับขันธปรินิพพานเป็นการนิพพานเฉพาะขันธ์ห้าเป็นการนิพพานบางส่วน ไม่ใช่การนิพพานทั้งหมด) ดังนั้น "พระพุทธเจ้า" จึงยังอยู่ในแบบที่ "เหนือสังขาร, เหนือขันธ์ห้า, เหนือสามภพ" ฯลฯ แล้ว และยังคงทำกิจโปรดสัตว์อยู่เนืองๆ แต่ด้วยปวงสัตว์มีจิตไม่ละเอียดพอที่จะสัมผัสรับรู้ได้ถึงการมีพระธรรมกายของพระพุทธเจ้า ที่ดำรงอยู่เพื่อทำกิจโปรดสัตว์ (ไม่ใช่เอาตำราไตรปิฎกมาใช้แทน ระบบการเรียนรู้จากตำรานี้ ไม่เคยมีในพระพุทธศาสนาในช่วงที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ แต่เป็นระบบจากนิกายเซนของพระมหากัสสปะ คิดสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง โดยไม่ได้รับพุทธานุญาติใดๆ ก่อนทั้งสิ้น) ด้วยเหตุนั้น จึงต้องมีการ "เชื่อมประสานกับตัวตนที่ปวงสัตว์ทั้งหลายสามารถเข้าถึงได้" เช่น ลูซิเฟอร์ซึ่งมีพลังฝืนกรรม, ฝืนธรรมชาติทำให้ศาสนาำพุทธอยู่เลยเกินมาได้กว่าบุญกรรมเดิม ทั้งลูซิเฟอร์ยังกินผลแอปเปิ้ลแห่งการหยั่งรู้ไปเืพื่อให้ทำหน้าที่เป็น "ตัวตนสัพพัญญู" รู้ได้ทุกอย่าง ให้ปวงสัตว์ทั้งหลายเข้ามาเกี่ยวพันกับตน ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงใช้พระธรรมกายโปรดในภายหลัง ตัวตนที่สว่างไสว (พระธรรมกายของพระพุทธเจ้า) และตัวตนที่มืดมิด (ลูซิเฟอร์) ทำกิจร่วมกันเช่นนี้ เพื่อโปรดสัตว์ นี่คือการดำรงอยู่เกินอายุขัยของพระพุทธศาสนาที่แท้จริง


ทว่า บัดนี้ทาง "จักรวาล" ได้แจ้งมาแล้วว่า "ถึงเวลาเปลี่ยนพลังงานเก่าเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่" นั่นหมายความว่า "ลูซิเฟอร์ซึ่งเป็นกลุ่มผู้อยู่ในพลังงานเก่า" จะต้องถูกเปลี่ยนไปด้วย อีกทั้ง บนโลกนี้ยังมีผู้ที่มี "สัำพพัญญูญาณ" อยู่ ไม่ใช่เพียงแ่ต่ลูซิเฟอร์เท่านั้น เช่น เทพโอดิน ผู้ได้ญาณหยั่งรู้ทุกสิ่งมาได้ด้วยการยอมสละดวงตาของตนกับการได้ดื่มน้ำศักดิสิทธิ์แห่งการหยั่งรู้ และได้ยอมแขวนตัวเองกับต้นอิกดาซิลเพื่อญาณหยั่งรู้นี้ (ในขณะที่ลูซิเฟอร์ใช้วิธีแอบขโมยกินไม่ใช่การแลกเพื่อให้ได้สัพพัญญูญาณ) ซึ่งท่านจะเห็นความคล้ายคลึุงกันของเทพโอดินและพระเยซูด้วยอย่างหนึ่ง คือ พระเยซูก็ถูกตรึงกางเขนทั้งยังถูกหอกแทง ส่วนเทพโอดินก็ห้อยตัวเองแขวนกับต้นอิกดราซิลและยังถูกหอกแทงจนตาย แล้วจึงฟื้นคืนชีพมาใหม่ เหมือนกันจริงๆ การที่เราจะใช้พลังของลูซิเฟอร์ต่อไป เพื่อให้ได้มีผู้รู้ทุกสิ่งในโลกนี้ ทำกิจต่อไป มันก็มีด้านที่ไม่ดี ข้่อเสีย บางประการ สำคัญที่สุดก็คือ คนที่ได้อำนาจนานๆ มักมีข้อเสียเพราะหลงในอำนาจนั้น สุดท้ายจึงต้องมีการเปลี่ยนมือกันบ้าง ก็เท่านั้นเอง ระบบของสวรรค์ก็เป็นเช่นนี้ ไม่เช่นนั้น โลกจะตกอยู่ในมือของลูซิเฟอร์ไปตลอด แทนที่จะช่วยให้ปวงสัตว์ได้หลุดพ้นจากวัฏสงสาร จะกลายเป็นไม่ได้ผุดได้เกิด แต่ต้องแอบซ่อนอยู่ในภพมืดไปตลอดกาล นั่นแหละ คือ สาเหตุว่าทำไม จะต้องมีการ "ปรับเปลี่ยนพลังงานใหม่" และผู้ที่มาดำเนินการครั้งนี้ก็ไม่ใช่ใครเลย แต่เป็น "จักรวาล" ผู้เป็นกลาง ไม่เข้าข้างใคร ไม่ได้รักใครมากกว่า


สุดท้ายนี้ อยากให้ดู "เทพธอร์" ว่ามีความคล้ายคลึงกับ เทพซูส ด้วย หลายประการ เช่น การเป็นเทพแห่งท้องฟ้า หรือแสงสว่างบนท้องฟ้าเหมือนกัน การเป็นอธิบดีผู้เป็นใหญ่ในหมู่เทพทั้งหลาย เหมือนๆ กัน ทำให้สงสัยว่าทำไม ความเชื่อในดินแดนที่แตกต่างกันของมุมโลกในยุคที่คนยังเดินเท้าอยู่ ไปมาหาสู่กันได้ลำบาก ยากที่จะสื่อสารหรือใช้การก้อปปี้ตามๆ กันได้เหมือนในยุคนี้ ทำไมจึงมีความเื่ชื่อที่คล้ายคลึงกันได้ ไม่เว้นแม้แต่ประวัติของพระเยซู็ก็มีความคล้ายคลึงกันด้วย ?? เอาละ เรื่องราววันนี้ ดูหนักไปนิดหนึ่งนะเด็กๆ อย่าคิดมาก นึกว่าฟังนิทานอาหรับราตรีไปก็แล้วกัน ฟังนิทานจบแล้วก็กินนม นอนตามเคย นอนหลับฝันดี ตื่นเช้ามาหน้าจะผ่องใส ไม่แก่ง่าย ราตรีสวัสดิ์ครับ!



วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ลูซิเฟอร์พลังงานใหม่ที่จะมาทำหน้าที่แทนพลังงานเก่าที่หมดวาระไปจะเป็นใคร?

งานเข้าแล้วสิครับ เมื่อภาคมืดพยายามมาดึงผมเข้าไปสู่ภาคมืดให้ได้ หลากหลายวิธีจริงๆ เชียว ล่าสุด ก็มีมุขเด็ด คือ หลอกให้ผมกินผลไม้แห่งการหยั่งรู้ เหมือนลูซิเฟอร์ จะได้เป็นร่างและลูซิเฟอร์ตัวใหม่ ไปเสียเลย อ้าวเฮ้ย เล่นกันง่ายๆ อย่างนี้เลยหรือ? แหมนะ เอาละ นี่ก็เป็นประสบการณ์ในมิติลี้ลับที่ผมเจอมากับตัวของตัวเองเลย จะเอามาเล่าให้ฟังกันยามดึกเป็นนิทานก่อนนอน ในวันนี้ก็แล้วกันนะครับท่านผู้ชม


ช่วงเวลาแห่งการปรับเปลี่ยนพลังงาน แม้แต่ลูซิเฟอร์ซึ่งเป็นพลังงานเก่าก็จะเปลี่ยนด้วย กล่าวคือ จิตวิญญาณดวงหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นลูซิเฟอร์ ก็จะหมดวาระลง เขาจะตายในสงครามศักดิิสิทธิ์ในอีกไม่นานนี้ (ผมคิดว่าภายในปีนี้ครับ เขาส่งสัญญาณมาแล้ว ลูซิเฟอร์รู้ทุกอย่าง ก็รู้แม้แต่ว่าตัวเองจะตายอย่างไร และเมื่อไรด้วยครับ) จากนั้น เขาจะได้กำเินิดใหม่ หลุดพ้นไปจากภาคมืดและสภาพที่เป็นอยู่คือ ซาตาน นั้น แต่ก่อนที่เขาจะไป เขาจะหา "ตัวตายตัวแทน" เหมือนทายาทกระสือ น่ะแหละครับ ให้มาเป็นอย่างเขา แทนที่เขา ซึ่งเขาจะต้องหาคนที่ได้บารมีไม่น้อย และมีอะไรๆ ที่คล้ายๆ เขาด้วยครับ คนๆ นั้น ที่ถูกเลือกก็จะต้องทำกรรมคล้ายๆ เขาด้วย จึงจะมาแทนที่เขาได้ และเมื่อได้เป็นแล้วก็จะทำหน้าที่เป็น "อัศวินผู้ดูแลพระพุทธศาสนา" ด้วยครับ คือว่า พระพุทธศาสนานี้ แท้แล้วไม่ได้มีบุญอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปีได้ แต่ที่อยู่ได้ ก็ด้วยความช่วยเหลือกันของหลายท่าน พระพุทธเ้จ้าสร้างให้เราได้ แต่ถ้าท่านดับขันธปรินิพพานแล้ว มันก็จะต้องจบ จะไม่จบไม่ไ่ด้ เพราะผู้ที่ไม่ยอมให้มันจบ จะทำหน้าที่ดูแลมันต่อไป ผู้นั้นย่อมไม่ได้นิพพาน ก็หมายถึงว่าพระพุทธเจ้าจะทำหน้าที่นี้ไม่ไ่ด้ครับ ถ้าทำแล้วจะไม่ได้นิพพาน และเมื่อพระพุทธเจ้าไม่ได้นิพพาน สัตว์ทั้งหลายที่เดินตามท่านก็จะพลอยไม่ไ่ด้นิพพานกันไปทั้งหมดเลย ดังนั้น ท่านจึงทำกิจนี้ไม่ได้ ไม่ใช่กิจของพระพุทธเจ้า แ่ต่เป็นกิจของพระโพธิสัตว์และเหล่าสัตว์ทั้งสี่เหล่า ได้แก่ ยักษ์, มาร, เทพ, พรหม ครับ ส่วนลูซิเฟอร์นี่ เขาก็อยูในกลุ่ม "เทพและพรหม" นะครับ เขาได้ญาณหยั่งรู้ได้ทุกสิ่ง อันเป็นสิ่งที่ทำให้องค์ประกอบของความเป็นพระุพุทธเจ้าสมบูรณ์ ดังนั้น จึงต้องมีเขาครับ ซึ่งความจริงไอ้ความรู้มากนี่ มันไม่ได้จำเป็นต่อการที่ใครสักคนจะได้นิพพานเลย แต่บังเอิญว่ามันเป็นเรื่องของสัตว์โลกที่เขาอยากจะเห็นพระพุทธเจ้ารู้ทุกอย่าง และแสดงธรรมมากมายแค่นั้นแหละครับ จริงๆ แล้วแค่ใบไม้กำมือเดียวที่พระพุทธเจ้ามอบให้ ก็ถึงนิพพานแล้ว พอแล้วครับ แต่ทำอย่างไรได้ละ สัตว์ทั้งหลายเขาก็ทำกันมาแบบนี้ จึงค่อยเข้านิพพาน มันก็เลยต้องมีแบบนี้อย่างไรครับ


อีกประการ เขาไม่ต้องการให้มี "ผู้รู้มาก" สองคน เขาจะให้มีแ่ค่ ๑ คน เท่านั้นเป็นตำแหน่งนี้ ดังนั้น ใครที่รู้มากเกินไป เขาก็จะให้ไปเกิดเป็นลูซิเฟอร์ตัวใหม่เสียเลย ง่ายดี เขาว่างั้น คิดสั้นๆ ประจำแหละ แต่เราเป็นมนุษย์ ลงมาทำงานหน้างานจริง อยู่ในสถานการณ์จริง ไม่ได้สั่งการมาจากสวรรค์ ดังนั้น เราต้องทำให้ได้ดีกว่านั้นครับ ไม่เช่นนั้น ก็ไม่ต้องมีเราลงมาเกิดสิ ใ่ช่ไหมครับ? เอาเทพลงมาทำหน้าที่ตามกฏ ตามบัญชาสวรรค์ จบ แค่นั้นพอจะมี "มนุษย์" ขึ้นมาบนโลกเท่าไมละ?  เอาละ ในเมื่อมีมนุษย์ขึ้นมาบนโลกแล้ว มนุษย์ก็ขอทำหน้าที่อย่างที่เป็นมนุษย์ละนะ ไม่ใช่เทพสวรรค์นี่นา เราไม่เหมือนกัน หน้าที่ต่างกัน ทำงานต่างสไตล์กันนะครับ ดังนั้น ใครกันหนอที่จะกลายเป็นลูซิเฟอร์ตัวใหม่ ผมคงไม่เอาละครับ ขอบายคนแรก เพราะผมเกิดมาจนถึงทุกวันนี อยู่ได้ด้วยสมถะจริง ไม่ได้สร้างภาพ (ไม่ได้สอนคนอื่น แต่ทำไปอีกอย่าง) วันๆ หนึ่งผมใช้เงินไม่ถึง ๑๐๐ บาท จะให้ผมมีจุดจบต้องมาเป็นลูซิเฟอร์หรือ? เฮ้ ไม่ยุติธรรมเลยครับ คนที่สมควรจะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ไม่ควรเป็นเช่นนี้ ควรเป็นคนที่ได้เผาผลาญ และเขมือบกินสิ่งต่างๆ ในโลกนี้มากกว่าผม คนที่มีเงินมากกว่าผมเป็น ร้อยล้าน, พันล้านเท่า บนโลกนี้ก็มี ไปลงทัณฑ์เขาสิ มาเลือกผมทำไมกันละ ใช่มั้ย เออ หรือคุณผู้อ่านยินดีจะอาสาเป็นลูซิเฟอร์ซะเลย ก็ลองติดต่อเขาดูนะ บางทีเขาอาจสนใจก็ได้ ส่วนผมไม่เอาละ ขอสละสิทธิ์ตรงนี้เลยก็แล้วกัน มีบางเสียงจากต่างมิติก็ตัดพ้อผมว่า "ช่วยพระำุพุทธศาสนาก็ไม่ไ่ด้หรือไง?" ได้ ผมยินดีช่วยแต่ในแบบของผมนะ ไม่ใช่ ไปปั้นให้คนๆ หนึ่งเป็นเทพเ้จ้า แล้วเอาผมเป็นปีศาจร้าย ให้ผมทำงานมากมาย สุดท้าย เป็นได้แค่ปีศาจ โอ้ว เมตตาหรือนั่น? ไม่เลย เห็นแก่ตัวมากๆ ถ้าความเ็ป็นพระพุทธเจ้าและการได้มีศาสนา มันแลกมาด้วยความเห็นแก่ตัวอย่างนั้น เอาแต่ดีไป เอาร้ายให้คนอื่นรับแทนอย่างนั้น ผมว่า มันไม่ใช่พระพุทธศาสนาแน่นอน ผิดทางแล้วตั้งแต่ต้นคิดเลยละ 


เอาละ ผมจะหาวิธีของผมเองก็แล้วกัน ที่ไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่เกลียดตัวเอง ต้องเริ่มต้นที่เมตตาตัวเองก่อน เอาตัวเองเป็นหนูทดลอง ทำ ให้ดีให้ได้ แล้วจึงเป็นแบบอย่าง ทำเพื่อผู้อื่นเขาได้ ใช่ไหมละครับ นี่ผมก็ช่วยสุดๆ แล้ว ที่เหลือก็งานใครงานมัน อย่าทุ่มให้เรารับผิดชอบคนเดียว มันเป็นไปไม่ได้ ต้องรับผิดชอบร่วมกัน คนละส่วนไป เราทำในหน้าที่ของเรา ตามสมควรตามยุค, ตามสมัย, ตามสถานการณ์ของโลกที่เรามาเกิด ผมเห็นแล้วบางคนศรัทธาสิ่งศักดิสิทธิ์มาก จนยอมเป็นผู้ก่อความไม่สงบ ยอมฆ่าพระ ตัดเศียรพระเลย เพื่อบีบให้สัตว์ในโลกเข้าสู่นิพพาน ไม่หลงออกนอกทาง โอเค พวกเขาเสียสละจริงๆ แต่ผมไม่เสียสละถึงขนาดเป็นปีศาจร้ายเพื่อให้คนอื่นเป็นพระเจ้าได้หรอกนะ ถ้าท่านจะเป็นพระเจ้า ก็ควรมีศักดิศรีที่จะเป็นให้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เป็นได้ด้วยการมีเบื้องหลังให้คนมาเป็นปีศาจร้าย ให้แก่ตัวท่านอย่างนี้ ผมไม่ได้หลงดี ติดดี บ้าดี อยากเป็นคนดี มีภาพลักษณ์ที่ดีอะไรหรอก ผมทำเลวได้ ยอมรับกรรมเลวได้ แต่ขอโทษนะ มันก็ควรมีเหตุผลในแบบของผมเหมือนกัน ไม่ใช่ อะไรวะ? กูไปยิงใครตาย ไปฆ่าตัดคอพระตาย กูไม่ได้อะไรเลย แล้วต้องมาเสี่ยงชีวิต โดนคนเขาสาปแช่งภายหลัง เวรกรรมมาตามทันอีก ถึงเวลานั้น ใครจะช่วยเรารึ? ไม่หรอก "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" ทั้งนั้น ทำเอง รับกรรมเองทั้งนั้น หรือจะให้เรายอมเป็นอรหันตสาวก เพื่อต่อสายศาสนาที่ขาดสิ้นไปนั้น ก็คงไม่ละคับ ผมไม่ไ่ด้อยู่ในโผอันเหมาะควรแก่ฐานะพระอรหันตสาวก ผมถูกเล่นงานจนต้องออกจากผ้าเหลืองมาแล้ว ส่วนคนที่มีกรรม แต่ไม่ยอมถอดผ้าเหลืองก็มี นั่น เลือกเขาสิครับ เอาเขาคนนั้นที่ยังอยู่ในผ้าเหลืองไปเป็นอรหันตสาวก เขาอยากเป็นจะตาย ส่วนผมมีกรรมไม่ได้อยู่ในผ้าเหลือง ขอโทษเถอะครับ ผมไม่อยู่ในข่ายนั้น โอเคมั้ย?


โอ้ย บ่นเสียยาวเลย วันนี้แก่ไปมาก ฮ่าๆๆ ไม่มีอะไรหรอก เป็นแค่ิวิธีสื่อสารแบบพิเศษ เผื่อใครที่กำลัง "ถูกหลอกให้เป็นปีศาจร้าย" อาจจะได้มุมมองที่แตกต่างบ้างก็เท่านั้นเองครับ อย่าคิดมาก ผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร ผมก็ได้รับข้อมูลติดต่อสื่อสารไม่ต่างกับใครหลายคน ที่ได้รับแล้วสั่งการณ์ให้มีการก่อความไม่สงบหรอกครับ ผมเชื่อว่าเขาก็ทำเพื่อพระเจ้าจริงๆ เขาได้ยินเสียงนั้นจริงๆ เพราะผมก็ได้ยินครับ แต่ผมอาจไม่เสียสละตัวเองมากพอที่จะยอมเป็นปีศาจร้าย เพื่อให้ใครได้เป็นพระเจ้ากระมังครับ ผมอยากให้ท่านผู้นั้นได้เป็นสิ่งศักดิสิทธิ์อย่างที่ท่านปรารถนา "ด้วยศักดิ์ศรีของท่านผู้นั้นเอง อย่างเต็มภาคภูมิ" ไม่ ใช่ด้วยวิธีสกปรกไร้เกียรติ์ ไร้ศักดิ์ศรีด้วยการให้คนอื่นกลายเป็นปีศาจ เพื่อให้ตัวเองได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เ่ช่นนี้ ผมพร้อมสนับสนุนและทำให้ท่านเต็มที่เมื่อท่านพร้อมด้วยศักดิ์ศรีของตนเองไม่ใช้วิธีสกปรกครับ 




วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ธรรมแบบกลับซ้ายไปขวา อันเป็นผลมาจาก "กระจกทิพย์" ???

เอ้า วันนี้ไม่มีมุขฝืดจะเล่น เข้าเรื่องเลยละกัน ...


อย่างแรกที่ผมอยากจะเม้าท์ให้ฟังในวันนี้ก็คือ กระจกทิพย์นั้น ไม่อาจที่จะสะท้อนความจริงได้อย่างแท้จริงเพราะภาพสะท้อนจากกระจกนั้น   ย่อมมีแต่ "ภาพเสมือน" คำว่าภาพเสมือน ก็คือ ภาพที่เหมือนจริงราว กับเป็นของจริงแต่ไม่ใช่ของจริงสังเกตได้จากภาพเสมือนจะกลับซ้ายไปขวาเสมอ ดังนั้น เมื่อใช้กระจกทิพย์ส่องแสงธรรมจากพระอาทิตย์ยูไล ผลที่เกิดขึ้นคือ ทำให้เห็น "สัจธรรมแบบเสมือนจริงแต่ไม่ใช่ของจริง" เมื่อเราเอาไปปฏิบัติตามแล้ว มันก็เลยกลายเป็นไม่จริงไปซะเลย  เช่น เรื่องมรรคแปดนี่ก็เป็นสัจธรรมความจริง ที่จริงอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่ามันไม่มีจริงอยู่ก่อน เราต้องไปทำให้มันจริงขึ้นมา แล้วมันถึงจะเป็นความจริง อย่างนั้น ก็ไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่สัจธรรมสินะ? แต่นี่พระพุทธเจ้าท่านแสดงสัจธรรมความจริงทั้งนั้น มันก็จริงอยู่แล้วนี่ ว่าพระอรหันต์นี้ท่านมีมรรคแปดประการครบ ถ้าเราบรรลุธรรม มันก็จะเป็นเช่นนั้นเอง ไม่ใช่ไปทำให้มันเป็น แบบนั้นมันไม่ได้เป็นจริงๆ มันก็ไม่ต่างอะไรกับ "ภาพเสมือนในกระจกเงา" คือ มันไม่ใช่ของจริง จริงๆ แต่มันเป็นสิ่งที่ทำให้เหมือนของจริงนั้นๆ เมื่อเราไม่เกิดปัญญาแจ้งเห็นธรรม เราก็ไปนั่งทำ, นั่งฝึก, นั่งปฏิบัติ ฯลฯ กันวุ่นวาย อย่างพระสาวกรูปหนึ่งท่านมีจริตไปทางราคะ คือ ชอบสิ่งสวยงาม พระพุทธเจ้าก็ให้ "ดอกบัวทอง" ไปเพ่งนะ (เป็นกุศโลบายแค่นั้นแหละ) แทนที่พระพุทธเจ้าจะบอกว่านี่แน่ะเธอฟังนะ ฉันเ่ก่้ง ฉันรู้หมด เพ่งกสิณทำอย่างนั้น ให้ได้ฌาน ก็อย่างนี้ เป็นขั้นๆ ไปจะได้ฌาน, ได้ญาณ, ได้ฤทธิ์ ฯลฯ ที่ไหนได้ ท่านกลับไปทำให้ "ดอกบัวทองนั้นเหี่ยวลงขณะพระสาวกกำลังเพ่งอยู่" นี่ท่านแกล้งพระสาวกหรือ? ท่านทำไมทำอย่างนั้น ขณะพระสาวกกำลังเพ่งกสิณ อ้าว ท่านอิจฉาหรือ ท่านไม่อยากให้พระสาวกได้กสิณหรือ? นี่ไง เข้าใจหรือเปล่า? ว่ามันไม่มีสาระ ในการกระทำนั้นๆ ท่านก็แค่ให้กุศโลบายไปเพื่อให้ลัดตัดตรงปลงเห็นอนิจจัง ก็จบแล้ว ทั้งๆ ที่ท่านก็ทราบทั้งหมดนั่นแหละว่าจะเจริญกสิณเป็นขั้นๆ อย่างไรบ้าง แท้ๆ???


ผมจึงบอกว่า "มันไม่ใ่ช่ธรรมปฏิบัติ" แต่เป็น "ธรรมะหยุดกรรม" มันจบ  ก็แค่นั้นเอง ใครจบ ก็จบ ใครไม่ยอมจบ ก็ไปทำสารพัดประการ ปฏิบัติกันไป กลายเป็นสำนักพราหมณ์ สำนักใหญ่ ลูกศิษย์ลูกหามากมี มันก็แค่นั้นเอง นี่ก็ไม่ได้ให้ไปหยุด หรือให้ไปจบนะ เมื่อใดที่ปัญญาเกิดมันก็แจ้งสว่างรู้ของมันเองว่ามันจบอย่างไร แต่หลายคนไม่เข้าใจในธรรมก็เลยไปเสียไกล เอาธรรมนั้นแหละเป็นเครื่องพาให้ไปไกล แทนที่จะได้ธรรมเป็นเครื่องจบ ไม่้ต้องหลงไปไกล ยิ่งได้ธรรม กลับยิ่งหลงไปไกล ผมจึงว่าเป็น "สัจธรรมภาพเสมือน" ไม่ต่างจากภาพในกระจกเงาไงละ เอาละ ทีนี้ เมื่อธรรมเป็นภาพเสมือนอย่างนี้แล้ว ถ้าจะให้เข้าใจได้ัชัดเจนตรงของจริงมากที่สุด ก็เลยต้องเจอ "กระจกเงา" อีกบานที่คอยส่องภาพเสมือนนั้นอีกที มันก็จะกลับขวามาซ้ายให้เรา มันก็จะมีความเหมือนสัจธรรมความจริง ไปอีกขั้น เช่น คนเขาปฏิบัติธรรม เราก็เลยต้องบอกว่า "ธรรมะไม่ปฏิบัติ" เสียอย่างนั้น กลายเป็นเหมือนคนที่โยกโย้ เฉไฉ ไปเรื่อย บ้างก็คิดว่าเรา "กวนตีน" กวนประสาท พูดหรือถามตรงๆ ไม่ตอบ ไปตอบอย่างอื่น เหมือนท่านหุยเคอถามท่านตั๊กม้อว่า "ทำอย่างไรจึงจะหายทุกข์ ใจผมมีแต่ทุกข์" ท่านตั๊กม้อแทนที่จะมีคำตอบมาว่าให้ทำอย่างไร, มรรควิธีเป็นอย่างไร, อย่างนั้นนะ อย่างนี้นะ ที่ไหนได้ กลับตอบกลับไปว่า "ใจเธอทุกข์หรือ? ไหนเอาใจมาดูสิ"  ท่านหุยเคอก็กลับไม่รู้ว่าใจอยู่ไหน? หาไม่เจอ? เลยตอบไปว่า "หาไม่เจอครับ?" เออ มันก็แค่นั้น เธอคิดว่าใจมันทุกข์ มันทุกข์ใจ แต่พอหาใจกลับหาไม่เจอ เออ มันก็จบ เมื่อเห็นว่าทุกข์มาจากใจ แล้วใจไม่มีแล้ว มันก็จบ หาใจไม่เจอ จะหาทุกข์ในใจได้อย่างไร? มันก็จบเท่านั้น นี่คือ "จบ" มันก็แค่นั้น ไม่ต้องไปทำอะไร มีหรือท่านตั๊กม้อว่า ฮ่าๆ ข้ามีวิชาวิเศษเปลี่ยนเส้นเอ็น ให้เอ็งไปฝึกแล้วจะได้หายทุกข์บวกกับข้าก็มีวิชานั่งสมาธิเข้าฌานสุดยอด เอ็งทำอย่างนี้ๆ นะโว้ย บลาๆๆ บ้ารึ? มีที่ไหนกัน? แต่ว่านะ คนที่ยึดติดจะหาให้ได้ จะเอาให้ได้ จะให้มันมีให้ได้ มันก็ยังเตลิดไปหาอยู่ นี่หละ เขาเรียกว่า "หลงเตลิดไป" ไงละ


เอาละ เรื่องราวของ "กระจกทิพย์" ที่ส่องสะท้อนภาพกลายเป็นภาพที่คล้ายจริงมาก แต่ไม่ใช่ของจริง เพราะเป็นภาพเสมือน ทำให้เรามาใช้กระจกส่องสะท้อนท่านทั้งหลายกลับอีกครั้งหนึ่ง ส่องสะท้อนเอาธรรมนั้นกลับซ้ายไปขวาอีกทีหนึ่ง ให้เหมือนจริงยิ่งขึ้น ก็ขอจบเพียงเท่านี้ เด็กๆ อย่าลืมฟังนิทานอาหรับราตรีแล้ว กินนม นอนซะ จะได้มีหน้าตาอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องใช้พรวิเศษ (Pond) นะจ๊ะ พบกันใหม่เรื่องหน้า ยังไม่รู้จะสรรหาอะไรมาเม้าท์ สำหรับคืนนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ