วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

พลังปราณพิษ ที่อาจแพร่สู่คุณโดยไม่รู้ตัว!

เดี๋ยวนี้คนชอบอ่านธรรมะกันเองเยอะเนอะ เมื่อก่อนพี่ชายเคยเข้าสอบ จะมีคนพวกหนึ่งชอบพูดว่าฉันทำข้อสอบได้ ยังงั้นยังงี้ เยอะเลย พอผลออกมา คะแนนพี่ชายก็อยู่ต้นๆ มักจะที่หนึ่งอ่ะ ส่วนเจ้าพวกที่พูดแบบนี้ พี่ชายเห็นมันหายไปไหนหมดเลย แป่ววว เหมือนกัน คนที่ไปอ่านธรรมะเอง คิดว่าตัวเองทำได้ เข้าใจถูกหมดแล้ว มันก็มีเยอะ แต่ขอโทษนะ ถ้าให้มันทำข้อสอบละ "ร่วงละนาว" สอบตกไม่รู้ตัว แต่มันไม่มีใครมาสอบละ มันก็เลย "หลงตัวเอง" ไงเล่า เอาละ วันนี้ จะมาเ้ม้าท์กันเรื่องนี้แหละ คือ "พลังปราณพิษ" ที่เกี่ยวกับการอ่านธรรมมากเกินไปด้วย อ๊ะ เป็นไปได้ยังไง เดี๋ยวพี่ชายจะอธิบายดังต่อไปนี้


อย่างแรก พี่ชายขอปูพื้นฐานนิดหนึ่งเรื่อง "ปราณพิษ" มันก็ืคือ พลังปราณชนิดหนึ่งที่มีลักษณะไม่ต่างจากพิษ คือ ใครได้รับไปแล้วจะส่งผลร้ายต่อร่างกายหรือจิตใจได้ แต่จะต่างจากพลังอื่นๆ ทำให้ความคิด, จิตใจ, ความเข้าใจ ผิดไป และยังเกิดอาการทุรนทุรายเวลาที่มีใครมาจี้โดนจุดเข้า เช่น อ่านธรรมะมาเข้าใจผิดแล้วกลายเป็นปัญหาไป พอมีคนมาบอกจุดที่ผิด เขาก็จะมีอาการทุรนทุราย ทำท่าต่อต้านหรือปะทะกับเราได้ เหมือนคนที่มีอาการพิษกำเริบทุรนทุรายอย่างนั้น ซึ่งปกติ มันไม่ไ่ด้จะโดนกันง่ายๆ หรือบ่อยๆ แต่ยุคนี้ โดนบ่อยครับ อ๊ะ แล้วมันเพราะอะไร? สาเหตุมาจาก "พญานาค" ซึ่งเคยดูแลพระพุทธศาสนาอยู่ ถูกเหล่ามารครอบงำให้เป็นพวก พญามารแปลงกายเป็นพระพุทธเจ้าเหมือนเป๊ะขนาดพระอุปคุตยังดูไม่ออกเลยแล้วพญานาค มีหรือจะดูออก ก่อนหน้านี้พญามารไม่ได้ลงมือแต่เมื่อถึงวาระกึ่งกลางพุทธกาล พระพุทธเจ้าเคยตรัสบอกให้พระพุทธศาสนาแก่ยักษ์, มาร, เทพ, พรหม ทั้งสี่เหล่าก็ลงมาแย่งกันครับ พรหมแย่งเอาพิธีกรรมและการทำสมาธิต่างๆ ไป (รวมทั้งพิธีบวชพระด้วย), มารแย่งเอาคัมภีร์ไตรปิฎกไป, ยักษ์แย่งเอาคาถาฤทธิ์เดชและถาวรวัตถุต่างๆ เช่น วัด ไป (เป็นผีเสื้อวัด หรือยักษ์เฝ้าวัด นั่นเอง) สี่เหล่านี้ ไม่เข้ากันครับ เพราะคนละเหล่ากัน เลยแย่งสมบัติกันยุ่ง อิรุงตุงนังกันไปหมด แล้วพญานาคที่ดูแลพระพุทธศาสนาไม่รู้ เห็นพญามารแปลงกายมา คิดว่าเป็นพระพุทธเจ้า ก็เชื่อฟังไปหมด แล้วทำงานให้แก่พญามารแปลงนั้น พญามารได้ครองคัมภีร์แล้ว ใครอ่านคัมภีร์ธรรมโดยไม่ยอมจำนนต่อมาีรๆ ก็จะสั่งให้พญานาคไปพ่้นพิษใส่ โดยใส่ร้ายต่างๆ นานาว่าเป็นพวกทำลายพระพุทธศาสนาบ้าง ฯลฯ เช่น คนที่มีธรรมจริง เห็นคนหลงยึดติดตำรา พอบอกว่าอย่าไปยึดติดตำรามาก เท่านั้น มารก็แผลงฤทธิ์เลย ให้พญานาคพ่นพิษอีก ทีนี้ก็เลยต้องเปิดศึกสงครามน้ำลายกัน นี่เรื่องมันเป็นมาอย่างนี้ ฟังเป็นนิทานก็พอนะ อย่าคิดมาก


อย่างที่สอง ที่พี่ชายอยากจะลงลึกสักนิดคือ ธรรมะนั้นไม่ใช่ของเรา เป็นของพระพุทธเจ้า อุปมาดั่ง "โอสถรักษาโรค" ของแพทย์ ซึ่งเขาจะรู้ดีว่าคนไข้คนไหนควรได้รับยาอย่างไร เมื่อเราไปพบแพทย์ๆ ก็จะสั่งยาให้เรา โดยผ่านการตรวจวินิจฉัยโรคโดยละเอียดก่อน จึงจะให้ยาตามที่ควรแก่เราได้ แต่เมื่อเราไม่ทำตามระบบนี้่ แพทย์ตายลงทิ้งยารักษาโรคไว้ให้เรามากมาย มีคนไปรวบรวมเก็บไว้เต็มตู้ เราก็ไปกินยาเอง โดยมั่วๆ หยิบมากินเองมั่วๆ ไม่มีแพทย์วินิจฉัยสั่งยาให้เราเลย เราก็จะได้รับพิษจากยานั้นได้ ไม่ต่างอะไรกับการที่เราหยิบธรรมะมาอ่านมั่วๆ เองโดยไม่ผ่านการวินิจฉัยจากพระพุทธเจ้า เจ้าของธรรมะว่าเราควรได้รับธรรมอะไร ดั้งเดิมตอนที่ท่านยังอยู่ เราอยากได้ธรรม เราก็ไปหาท่าน ฟังธรรมจากท่านโดยตรง ท่านไม่เคยมีบอกว่า เอ้า เธอมาจดจำไว้นะ แล้วไปบอกต่อๆ กันไป ธรรมะของเราเป็นอย่างนี้ๆ จึงถูกต้องนะ ไม่มีเลย เพราะอะไร? เพราะธรรมนั้นเหมือนโอสถที่ต้องได้รับการสั่้งจากแพทย์ๆ จะวินิจฉัยคนไข้ก่อนว่าควรได้รับยาอะไร จึงให้ได้ ดังนั้น จึงต้่องผ่านการวินิจฉัยจากพระพุทธเจ้าก่อนที่เราจะรับไปได้ ไม่เช่นนั้นก็กลายเป็น "พิษธรรมะ" อย่างที่ได้อธิบายไปแล้วนั้นแล ทีนี้ คำถามจึงเกิดขึ้นว่าแล้วทำไมบางคนอ่านธรรมะได้มากมาย ไม่เป็นอะไรเลย คำตอบคือ ถ้าเขายังมีบุญ มีพลังคุ้มกันดีอยู่ ก็ยังไม่ถึงวาระที่เขาจะได้รับพิษธรรมะ แต่เมื่อใดที่เขาหมดบุญ หมดฤทธิ์แล้วก็จะได้รับพิษธรรมะได้ คำถารมต่อไปก็คือ แล้วจะทำอย่างไร ถ้าเราได้รับพิษธรรมะ คำตอบคือ หาทางแก้ ๑. ใช้พลังธาตุไฟขับพิษออก หรือพลังอะไรก็ได้ที่ขับพิษออกได้ ๒. ใช้ "บาตรทิพย์" ดูดเอาพิษธรรมะออก ก็จะสลายพิษให้หมดไปได้ ซึ่งบาตรทิพย์จะอยู่กับคนที่มีพลังในลักษณะ "สุญตา" คือ สลายพลังอื่นๆ เข้าสู่ความว่างสูญได้ อันเป็นบาตรทิพย์ของพระพุทธเจ้าที่ได้รับการถ่ายทอดต่อๆ กันมา เช่น ท่านตั๊กม้อ, ท่านหุยเคอ ฯลฯ ก็ไ้ด้รับสืบทอดบาตรนี้ หรือทางที่ดีที่สุด คือ จะอ่านธรรมะของใครขอเจ้าของธรรมะเขาก่อนหรือยัง? ถ้าเขาให้แล้วก็อ่านได้ ถ้าเขายังไม่ได้บอกให้เราเลย เราไปได้มาจากไหนไม่รู้ ควรระวังด้วย เพราะเจ้าของธรรมะยังไม่ได้บอกเราเลยว่ามันเป็นอย่างไร?


เอาละ วันนี้ พี่ชายมีธุระอีกละ ฮ่าๆๆ สนุกกับเว็บใหม่ มีเรื่องให้หายเงียบไปวันๆ ก็เท่านั้น เลยเห็นควรต้องจบง่ายๆ ไปก่อน อย่าลืมละ สรุปง่ายๆ นะ สนใจธรรมะ ให้รับจากเจ้าของเขาโดยตรง ถ้าเขายังไม่ไ่ด้ให้ อย่าไปเอาเลย ถ้าเขาให้แล้ว ก็ไม่เป็นไร ส่วนธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ควรรับจากท่านโดยตรงครับ แม้ท่านจะไม่มีขันธ์ห้าแล้ว ไม่ได้แปลว่าท่านตายหายสูญ ท่่านยังโปรดสัตว์ได้อยู่นะครับ ใครเจอเองก็รู้เอง เพราะท่านไม่มีรูปนามอะไรแล้ว ระวังดีๆ ละ จะเจอมารแปลงเอาด้วย วันนี้ พี่ชายขอจบแค่นี้ก่อนละกัน ราตรีสวัสดิ์ครับ



วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

บางครั้งจำเป็นที่คุณจะต้องศรัทธาตัวเองดั่งพระเจ้าองค์หนึ่ง

เดี๋ยวนี้มีแนวคิดใหม่ของลัทธินิวเอทครับ เขาสอนว่าให้่เราเชื่อว่าเราคือพระเจ้าองค์หนึ่ง หรือมนุษย์ทุกคนมีความเป็นพระเจ้าในตัว ซึ่งก็ไม่ผิดหรอกนะครับ เพราะที่สุดของวิวัฒนาการแล้ว เราควรจะเป็นเช่นนั้น ทว่า ถ้าเรายังอยู่ในระหว่างการวิวัฒนาการ และยังไม่เหมาะควรที่จะได้รับการยอมรับในฐานะพระเจ้า แล้วเราไปหลงตัวเองว่าเราคือพระเจ้าขึ้นมาละ อ๊ะ มันจะยุ่งกันหรือเปล่า? เอาละ เพื่อทำความเข้าใจในเรื่้องนี้ให้มากขึ้น พี่ชายจึงขอยกเอามาเป็นประเด็นในบทความดังนี้


อย่างแรก พี่ชายอยากจะปูพื้นก่อนว่า ความเป็นหนึ่งเีดียวกันของเราและสิ่งศักดิสิทธิ์นั้น เป็นสิ่งที่เข้าใจยากพอควร และจำต้องแยกแยะให้ได้ ไม่เช่นนั้นเราก็จะสุดโต่งนะครับ กล่าวคือ มันไม่ใช่ว่าเราคือสิ่งศักดิสิทธิ์องค์นั้นๆ หรือเราเป็นพระเจ้าแล้วเราก็เลยหลงตัวเองไปเลย อันนี้ ไม่ใช่ละ และก็ไม่ใช่ว่าเราเป็นตัวต้อยต่ำวิ่งไปเร่หาพระเจ้าที่อยู่นอกตัว ไปไหว้วัตถุสิ่งของหรือใครๆ แล้วทำให้พลังจิตของเราเสียไป เพราะการที่จิตเราไปเสริมสิ่งที่เรานับถือศรัทธานั้นๆ นี่เรียกว่า สุดโต่งสองส่วนคือ คนที่สูญเสียความศรัทธาในตัวเองก็เร่ไปหาความศรัทธาจากแหล่งอื่นๆ ส่วนคนที่หลงตัวเองมากๆ ก็จะศรัทธาตัวเองเป็นเช่นพระเจ้าไป ซึ่งไม่ใช่ทั้งสองอย่างนะครับ พี่ชายอยากให้เราเข้าใจคำว่าทางสายกลางของผู้มีปัญญา มันจะพอดีๆ ครับ คือ เราจะไม่สูญเสียพลังศรัทธาที่อยู่ในตัวเราไปให้สิ่งอื่นใด ที่ไม่ควรได้รับ ขณะเดียวกัน เราก็ไม่หลงตัวเองจนเกินไป นี่คือความพอดีของการเป็นหนึ่งเดียวกันของเราและสิ่งศักดิสิทธิ์" ครับ ที่เรียกว่่า "หลักตรีเอกานุภาพ" คือ เรา ผู้เป็นพระบุตร, พระจิต (ในตัวเรา) และพระบิดา (จิตสิ่งศักดิสิทธิ์ที่อยู่เหนือกว่าสังขารเราขึ้นไป) เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ไม่ใช่ว่าเราต้องเป็นพระเจ้าหรอกนะครับ แบบนั้นจะสุดโต่ง ทำให้เราหลงตัวเองไปได้เหมือนกัน และก็ไม่ใช่ว่าเราจะต้องเร่ไปหาพระเจ้าหรือสิ่งศักดิสิทธิ์ที่ไหนนอกตัวเรา จากตัวเรานี้เชื่อมโยงถึงพระเจ้าหรือสิ่งศักดิสิทธ์ได้เลยครับ ไม่เช่นนั้น เราจะสูญเสียพลังจิตไปให้แก่คนที่เรามีใจศรัทธาหรือรักชอบเขาครับ และตอนนี้ คนที่ทำแบบนี้เยอะครับ แบบที่ทำตัวเองเป็นศูนย์กลางของมวลชนให้มวลชนส่งพลังจิต พลังศรัทธา หรือพลังแห่งความรักความชอบไปที่เขา ทำให้เขามีพลังอำนาจมากขึ้น และเราก็สูญเสียพลังจิต พลังอำนาจไป กลายเป็นตัวต้อยต่ำไงละครับ นี่เราทำตัวเราเองนะ ทั้งสองแบบนี้ สุดโต่งทั้งคู่ ไม่ใช่สิ่งที่พี่ชายจะแนะนำทั้งสองแบบเลยครับ เพราะสิ่งที่พี่ชายจะแนะนำคือ เราควรเคารพและศรัทธาในตัวเราเองด้วย ว่าตัวเราคือ "ทางผ่าน-ทางเชื่อม" ไปสู่พระเจ้าหรือสิ่งศักดิสิทธิ์ใดๆ โดยที่เราไม่ต้องไปเร่หา หรือไปให้พลังจิต พลังศรัทธาแ่ก่คนอื่นมากเกินไป ซึ่งในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ศรัทธามนุษย์คนไหนนะครับ เราศรัทธาคนที่ทำความดีได้ ทั้งหมด แต่เราจะทราบได้อย่างไรว่าเขาดีจริงๆ เราก็แ่ค่เป็นเหยื่อของสื่อที่ครอบงำให้เีรารับรู้ข้อมูลมาอย่างนั้น อย่างนี้ เราไม่เคยรู้อะไรได้แท้จริง เราจึงเป็นเหยื่อเสมอ ดังนั้น ในการศรัทธาคนอื่น หรือมนุษย์ด้วยกัน ก็มีได้ ถ้ามีอย่างพอดีครับ คือ ไม่ใช่ว่าไม่ศรัทธาใครเลย แต่ศรัทธาในส่วนที่ดีของคนทุกๆ คน อย่างเท่าเทียมกันครับ ไม่ใช่คนหนึ่งคนใดมากเกินไป จนเรากลายเป็นทาสของเขาโดยไม่รู้ตัว และเราควรมีความเชื่อครับว่า "มนุษย์ในโลกนี้ ไม่มีใครที่ไม่มีส่วนดีครับ" 


อย่างที่สอง พี่ชายอยากจะกล่าวถึง พลังศรัทธาที่ เมื่อเรามีต่อตัวเองแล้วจะส่งผลอย่างไร? มีหลายแบบครับ พี่ชายจะจำแนกให้ดู ดังนี้

๑. แบบซาตานแทรก คือ แบบที่เราหลงตัวเองและเรามีอะไรดีในตัวเราด้วย สุดท้าย ถูกซาตานแทรกเข้าร่างเอา เราก็จะมีพลังพิเศษครับ

๒. แบบเชื่อมกับเทพ คือ แบบที่เราไม่ได้หลงตัวเอง เข้าใจถึงเราและเทพว่าเชื่อมโยงกันอย่างไร และสามารถรับพลังพิเศษจากเทพมาได้

๓. แบบบ้าหลงตัวเอง คือ แบบที่เราหลงตัวเอง แต่เี่ราก็ไม่ได้มีอะไรดีเลยสักอย่าง บ้าหลงตัวเองไปวันๆ แต่ก็ดีกว่าถูกซาตานแทรกเอาครับ

เอาละ แบบที่ไม่ดี ก็อย่าไปทำเลยครับ พี่ชายขอยกตัวอย่างแบบที่ดี คือ แบบที่เชื่อมโยงกับเทพได้ก็แล้วกัน แบบนี้ เราจะไม่หลงตัวเราเอง ติดอยู่กับภายในตัวเราเอง (ซาตานที่แทรกอยู่ในตัวเรา) มากเกินไป ก็จะหลุดพ้นจากความหลงตัวเองได้ และเชื่อมโยงกับเทพที่แท้จริงได้ หรือบางคนก็เชื่อมโยงกับมนุษย์ต่างดาวได้ก็มีและยิ่งถ้าเราเชื่อว่าคนทุกคน ก็มีสิ่งดี ส่วนดี และีมีเทพประจำตัวเหมือนเราเช่นกัน เราอาจจะเชื่อมต่อกับเทพประจำตัวของคนอื่นๆ ได้อีกด้วยครับ และจะยิ่งทำให้เรายิ่งขยายวงกว้างของพลังศักดิสิทธิ์มากยิ่งไปได้เรื่อยๆ ครับ (ไม่ใช่แค่เทพประจำตัวเราแล้ว แต่มีเทพประจำตัวคนอื่นๆ ด้วย) ดังนั้น หากเราเข้าใจถึง "ความศรัทธาและพลังศรัทธา" ที่ถูกต้องแล้ว เราก็จะได้ไม่หลงตัวเอง ไม่หลงคนอื่น ไม่สูญเสียพลังศรัทธาที่เรามีต่อตัวเอง และไม่สูญเสียพลังศรัทธาที่เรามีต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายด้วย สิ่งนี้จะเ็ป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ครับ เพราะมันเป็นพลังด้านสว่าง ไม่ใช่พลังด้านมืด หลายคนที่มีอำนาจและเด่นดังในทุกวันนี้ ที่เราเห็นทางสื่อต่างๆ นั้นไม่ค่อยมีใครมีพลังสว่างหรอกครับ พวกเขาได้ความเด่นดังมาด้วยพลังด้านมืด เช่น บางคนมีซาตานอยู่ในตัว เป็นร่างของซาตาน บางคนก็อาศัยพลังจิตของมวลชนที่ลุ่มหลงตัวเอง ส่งพลังให้ตัวเอง ก็มี ดังนั้น อย่าประมาทไปเชียวครับ พลังแห่งศรัทธานี้ ไม่ใช่เล่นๆ เลยละ


เอาละ พี่ชายเม้า้ท์มายาวพอควรละ หลายคนอาจง่วงหรือมีกิจกรรมน่าสนุกไปทำกันต่อ อย่าลืมทำเผื่อพี่ชายด้วยละ โฮ่ๆๆ ไม่รบกวนเวลาสนุกของเด็กๆ ละ พบกันใหม่บทความหน้าละกัน ราตรีสวัสดิ์ครับ


วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556

การตีตราบาปจากซาตาน คุณจะหลุดพ้นได้อย่างไร?

แปลกจริง อากาศเีดี๋ยวนี้เปลี่ยนแปลงบ่อย อ๊ะ ไม่ได้แปลกอะไรหรอก ถ้าใครเคยอ่านบทความเกี่ยวกับเทพีไกอาที่พี่ชายเคยเม้าท์ให้ฟังว่าจะมีการทดสอบมนุษย์ว่าปรับตัวเข้ากับธรรมชาติได้ดีแค่ไหน? เอาละ มาเข้าเรื่องของเราเลยดีกว่า วันนี้เรื่องของการ "ตีตราบาป" อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องเครียด แต่รู้ไว้บ้างก็ดีนะ จะได้ระวังตัวไว้ อ้อ แต่อย่าสับสนกับการ "ตีตราจอง" นะครับ คนละอย่างกัน ดังบทความต่อไปนี้


อย่างแรก พี่ชายอยากจะปูพื้นก่อนว่า "การตีตราบาป" ก็คือ การที่ใครสักคนถูกสังคมหรือบุคคลหนึ่งคนใด "ตีตราว่าเป็นนั่นเป็นนี่" แล้วจะมีความผิดบาปตลอดไป พูดอะไรไม่ได้ ไม่มีใครเชื่อถือ พูดไปก็ผิดหมด เพราะคนมองว่าเป็นตัวผิดบาปเหมือนถูกตีตราบาปไว้ นั่นเอง เช่น ในยุคสมัยหนึ่งมีการตีตราบาปว่า "แม่มด" คือ ถ้าใครถูกตีตราบาปว่าเป็นแม่มด ก็จะถูกมองว่าเลวร้าย หรือมีความผิดไปหมด อันนี้ เคยเกิดขึ้นแล้ว เรียกว่า "ลัทธิล่าแม่มด" ของยุโรปเขา ใครถูกตีตราบาปนี้ก็จะถูกสังคมรุมเล่นงานอย่างไรก็ได้ได้แม้กระทั่งจับเอาไปเผาไฟทั้งเ็ป็นเลย ยังมีของจีนก็มี เช่น การตีตราบาปว่าเป็น "มาร" ก็จะถูกรุมเล่นงานเช่นกัน โดยไม่สนใจอะไรละ รุมยำแม่งมันเลย อะไรแบบนั้น ของไทยก็มี เช่น ตีตราบาปว่าเป็น "ปอบ" จะโดนเล่นงานหรือขับไล่ออกไปเลย ก็มี ตีตราบาปว่าเป็น คอมมิวนิสต์ ก็มี สมัยก่อนไม่นานเท่าไร นักศึกษามากมาย โดนตีตราบาปแบบนี้ แล้วทหารก็เข่นฆ่านักศึกษา เหมือนว่าพวกเขาไม่ใช่คนอย่างนั้นเลย เีรียกว่าต้องหนีตายอย่างเดียว พูดไม่ได้ อธิบายอะไรไม่มีใครฟังแล้ว ทั้งมัดมือชก ทั้งปิดปากหมดเลยอ่ะ นี่ละ เรียกว่าการ "ตีตราบาป" ครับ ซึ่งผู้ที่ทำแบบนี้ได้ ต้องมีพลังของ "ซาตาน" ครับ ซาตานจะใช้ร่างคนๆ นั้น ตีตราบาปศัตรูของตน โดยไม่สนใจว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร คนๆ นั้นเสนออะไรให้บ้าง ไม่ดูอะไรอีกละ ตีตราบาปแล้วก็ทำได้ทุกอย่าง อย่างกับว่าเขาไม่ใช่คนซะอย่างนั้นเลย เดี๋ยวนี้มีการ "ตีตราบาป" แบบใหม่ๆ เยอะครับ เช่น การตีตราบาปว่าเป็น "พวกมหายาน" ถ้าใครถูกตีตราบาปแบบนี้ เรียกว่า พูดอะไรออกมาต้องผิดหมด ไม่สนใจกันละ ว่ารายละเอียดเขาพูดว่าอย่างไร ถ้าตีตราบาปได้ว่า "ไอ้มหายาน" แล้วละก็ ผิดทุกอย่าง เออ เป็นซะอย่างนั้น แท้จริงแล้ว มันไม่มีใครผิดเพราะการเป็นอะไรหรอก แม้แต่การเกิดมาเป็นโจร มันก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะผิด เพราะความผิดของคนอยู่ที่การกระทำ ถ้าโจรกำลังไปซื้อข้าวให้แม่กิน แล้วสังคมก็รุมประนามว่า "เฮ้ย นั่นไอ้โจร ไปรุมกระทืิบมันเลย" อย่างนี้ เห็นภาพไหม เขาตีตราบาปแล้วกระทำต่อเพื่อนมนุษย์กันอย่างนี้ เรียกว่าพอตีตราบาปได้ว่ามันคือไอ้โจรแล้ว จะรุมกระทืบเขาอย่างไรก็ได้ ถ้ายังไม่เห็นภาพลองเปิดทีวีดูละ เวลาจับใครทำผิดได้นะ จะมี "พวกชอบรุมกระทืบคนอื่นอ่ะ" มารอกระทืบเต็มไปหมด ถามว่าคนเหล่านี้เป็นใคร เป็นเ้จ้าทุกข์หรือเปล่า? ทำความดีอะไรนักหนากับผู้ตายไหม? บางที ก็ไม่เคยแม้แต่จะทำอะไรดีๆ ให้คนที่ตายคนนั้นเลย พอได้ยินข่าวนะ ก็มารุมยำตีน กระทืบโจรกันเต็มไปหมด นี่ละ สังคมแบบนี้ พุทธเขาก็ไม่ได้สอนนะ แต่เดี๋ยวนี้ชาวพุทธเป็นกันเยอะเลยละ ความผิดที่เขาทำก็ส่วนหนึ่ง เขา้ต้องได้รับโทษอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าเพราะเขาเป็นคนทำผิด ใครก็จะไปกระทืบหรือทำอะไรกับเขาก็ได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ นะ ถ้าคุณทักษิณโดนตีตราบาป แล้วสังคมนี้ ไม่มีใครชอบเลย กลับมาก็จะโดนรุมยำอย่างไรก็ได้ โดยไม่เห็นแม้่ว่าเขาคือมนุษย์คนหนึ่งเลย อย่างนี้ ใช่ไหม? มันก็ไม่ถูก ส่วนที่ผิดก็ว่าไปตามกฏหมาย แต่ไม่ใช่ว่าจะไปรุมเล่นงานใคร เพียงเพราะไปตีตราบาปว่าเขาผิด ทำอะไรก็ได้


อย่่างที่สอง แล้วทำอย่างไรดีละถ้ามันมีคนที่ชอบตีตราบาปอยู่ร่วมกับเราในสังคม คงแย่เนอะ ถ้าเราไม่เจอกะตัว เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน กับการถูกตีตราบาป ก็อย่ามาเกิดกะเราเลยนะ ฮ่าๆๆ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นมาละ ทำไงดี? เออ ก็ต้องหาวิธีเอาตัวรอดออกมาให้ได้ เราก็ต้องพ้นตราบาปนั้นให้ได้ครับ วิธีอย่างหนึ่งคือ การกำเนิดใหม่ ก็คือการที่เราตายทางจิตวิญญาณแล้วเกิดใหม่ เหมือนคนใหม่ เราก็จะพ้นจากการถูกตีตราบาปได้ คนที่ตีตราบาปเรา ก็จะเล่นงานเราด้วยวิธีนี้ไม่ได้อีก ปกติ ซาตานจะใช้วิธี "พันธนาการด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น" นะครับ กับคนที่ถูกซาตานครอบงำ หรือเสียจิตวิญญาณให้แก่ซาตานแล้ว เขาจะใช้โซ่ตรวนผูกพันธนาการจิตวิญญาณเอาไว้ เช่น สัตว์เลี้ยงประมาณนั้นเลยละ แต่ถ้าจิตวิญญาณดวงไหน หนีจากการถูกพันธนาการไปได้ เขาก็จะตามมาเล่นงานด้วยวิธี "ตีตราบาป" คือ ใส่ร้ายว่าเป็นคนชั่วไปเลย ถ้่านึกภาพไม่ออกนะ สมมุติ นาย ก. ยอมขายวิญญาณให้ซาตาน ไปทำงานเป็นขี้ข้าเขา จับเด็กมาค้าประเวณี พอนาย ก. ไม่เอาแล้ว หนีออกมาได้ ซาตานก็จะใช้ร่างนายทุนคนนั้น ในการตีตราบาปนาย ก. เช่น ตีตราบาปนาย ก. ว่า เป็นพวกแพร่เชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์ และกลายเป็นบ้าไปแล้ว (ใครๆ ก็อย่าไปเชื่อมันนะ) อะไรแบบนี้ ทีนี้ นาย ก. ก็จะโดนสังคมเล่นงาน เพราะคนในสังคมไม่รู้โฉมหน้าที่แท้จริงของนายทุนคนนี้ ว่าอยู่เื้บื้องหลังการค้าประเวณีทั้งหมด หรืออีกนัยหนึ่ง คนในสังคมอาจเป็นทาสของซาตาน ได้รับเงินจากซาตานผ่านร่างของนายทุนคนนี้ ก็เลยเข้าพวกกัน เชื่อกันไป โดยไม่สนใจความถูกต้องอะไรทั้งนั้น นี่แหละ ตัวอย่างการตีตราบาปง่ายๆ ซึ่งในสังคมทุกวันนี้ การตีตราบาป ยังมีไม่มากนัก เพราะอะไร? ก็เพราะคนส่วนใหญ่ ถูกพันธนาการอยู่ แล้วยังไม่ได้หลุดพ้นออกมาจากโซ่ตรวนเหล่านั้นเลย พวกเขาก็เลยยังไม่ได้ถูกตีตราบาป เป็นสิ่งต่อไป นั่นเอง สุดท้าย คนที่ถูกตีตราบาป ต้องถูกสังคมโดดเดี่ยวและไม่มีใครเชื่อถือ ทำให้กลายเป็นคนต่อต้านสังคมไปได้ ประมาณนั้น


เอาละ พี่ชายเม้าท์แค่พอหอมปากหอมคอนะ เดี๋ยวจะเครียดกันเกินไป หึๆ มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะเห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่างเดียวนะ มันเกิดขึ้นจริงทั้งในมิติแห่งวัตถุสสาร และในมิติทิพย์เลยเชียวละ แต่เ้ม้าท์ให้ฟังกันเล็กๆ น้อยๆ พอเป็นพิธี จะได้รู้ไว้ ระวังตัว ไม่ประมาทอย่างไรละ เอาละ ไม่อยากรบกวนเวลาจู๋จี๋ของใคร บะบายก่อน ราตรีสวัสดิ์ครับ



วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556

พลังจิตใต้สำนึก พลังไร้สำนึก

ถ้าใครเคยดูหนังจีนกำลังภายในหรืออ่านหนังสือหนังจีนกำลังภายในมาบ้างละก็ คิดว่าน่าจะเคยได้รู้เรื่องมือกระบี่ที่เก่งกาจมากๆ แต่เขาจะมีลักษณะที่เสี่ยงบ้าพอสมควรทีเดียว เช่น กวนฉิก ก็ฝึกกระบี่จนบ้าแต่ไม่มีใครเอาชนะได้เลย หรือเอี้ยก้วยก็ฝึกกระบี่แล้วถึงขั้นจิตไม่ปกติจึงใช้พลังระดับสูงได้ (ที่เรียกว่ากำสรดวิญญาณสลาย อะไรประมาณนี้) ดังนั้น วันนี้พี่ชายจึงเอาเรื่องนี้มาเม้าท์ ขอเน้นครับว่าเราต้องการเม้าืท์  ไม่เน้นความจริงความเท็จ ความถูกผิดดีชั่วอะไร เขียนออกมาเพื่อให้มีข้อมูลให้ได้อ่านกัน เป็นนิทานก็ว่ากันไป หรือใครจะได้ไอเดียอะไรดีๆ จากบทความไปต่อยอด ก็ไม่ว่ากันนะ ในบทความวันนี้ จึงเ็ป็นเรื่อง "พลังจิตใต้สำนึก" และ "พลังไร้สำนึก" ซึ่งค่อนข้างจะเข้าใจยากมากถึงมากที่สุดเลยทีเดียว เอาละ ลองอ่านๆ ดูเป็นนิทานไปก็แล้วกันครับ


อย่่างแรกอยากจะปูพื้นฐานให้ท่านก่อนว่านักจิตวิทยาเขาจะจัดลำดับของจิตใจของคนเรา ในระดับตื้นไปลึก คือ จิตสำนึก, จิตใต้สำนึกและ จิตเหนือสำนึก เอาง่ายๆ คือจิตสำนึกก็จะเกิดจากการที่เราถูกสอน ถูกปลูกฝังมา เช่น ให้เป็นคนดีมีความกตัญญูอะไรแบบนั้น เวลาเราจะด่าใครที่ดูไม่ค่อยดี ไม่มีความกตัญญู ชอบทำสิ่งผิด ออกนอกคอก เราก็จะด่าว่า "เอ็งมันไร้จิตสำนึก" อะไรแบบนั้น ก็หมายความว่าอย่างนี้ละครับ แต่ว่าจิตสำนึกนี้ มันไม่ใช่สัจธรรม มันขึ้นอยู่กับว่าสังคมจะยัดสิ่งใดให้เราครับ แต่ละสังคมก็ตีค่าความดีงาม, ความถูกผิด ไม่เหมือนกัน เช่น จิตสำนึกของคนอเมริกัน ก็แบบหนึ่ง, จิตสำนึกของคนจีน ก็แบบหนึ่ง ฯลฯ ไม่เหมือนกันครับ ดังนั้น มันจึงดีงามตามสังคมกำหนด แต่ไม่ใช่ความดีงามหรือความถูกต้องตามสัจธรรมที่แท้จริง ส่วนคำว่าจิตเหนือสำนึก ก็หมายถึง จิตที่มีพัฒนาการหรือวิวัฒนาการสูงมากจนได้รู้ถึงสัจธรรมต่างๆ แล้ว อาจเกิดจากการฝึกฝนตนเอง เรียกว่า มีปัญญาแจ้งก็ว่าได้ (ภาษาพุทธเขาเรียกว่า "อตัมมยตา" หรือไงนี่ละ) ก็มีด้วยกันหลายแบบ เช่น จิตพุทธะ, จิตอรหันต์, จิตระดับสูง เช่น จิตจักรวาล   ฯลฯ ล้วนเป็นจิตเหนือสำนึกทั้งนั้น นอกจากนี้มนุษย์บางคนอาจไม่ได้บรรลุธรรมหรือมีจิตเหนือสำนึกเองหรอก เขาเพียงแต่เชื่อมโยงการรับรู้ถึง "ตัวตนที่สูงขึ้น" หรือ "จิตระดับสูง" เขาก็จะมี "จิตเหนือสำนึก" ที่ไม่ต้องอยู่ในสังขารเขาก็ได้ เรียกว่า แค่การเชื่อมโยงกันก็พอแล้ว ทีนี้ ที่เราสนใจก็คือ "จิตใต้สำนึก" ครับ โฮ่ๆๆๆ บางท่านที่ได้อาจบทความต่างมิติที่แปลจากฝรั่ง อาจได้คุ้นเคยกับ "จิตเหนือสำนึก" อย่างที่ได้กล่าวถึงมามากแล้ว แต่สำหรับ "จิตใต้สำนึก" นี้ นับว่ายังลี้ลับมากๆ ก็ว่าได้นะครับ อย่างแรกคือ มันอยู่ในตัวเรานี่เอง และมันจะไม่ใช่จิตที่มีปัญญา เหนือโลกอะไรหรอกนะ เพราะมันไม่ใช่จิตเหนือสำนึก อีกทั้งก็ไม่ได้มีการสั่งสอนให้ต้องอยู่ในความดีงาม ถูกต้องอะไรแบบจิตสำนึุก  มันจะดิบๆ เถื่อนๆ แบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้นไปตามธรรมชาติของความเป็นสัตว์ป่าหรือสัตว์โลกตัวหนึ่งเลย อะไรแบบนั้น เช่น เวลาเกิดกามอารมณ์ขึ้นมา มันก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ถ้ามันทำได้ ก็ทำเลยอ่ะ ตอนนี้ และปีนี้ จิตใต้สำนึกนี่แหละ มันจะถูกปลุกขึ้นมาทำงานเยอะเลย ก็เพื่อให้เราได้เข้าใจตัวตนระดับลึกของเรา ที่เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งก็เท่านั้นเองครับไม่เช่นนั้นเราจะถูกครอบงำโดยสังคมจนหลงลืมตัวตนของเราที่แท้จริงไป เรียกว่าเป็นคนดี แต่ไม่มีความสุข อะไรแบบนั้นอ่ะ


อย่่างที่สองเราจะมาดูกันว่า "พลังจิต" นี้ มันมีทั้งพลังจิตทั้งสามระดับนะครับ คือ พลังจิตสำนึก, พลังจิตเหนือสำนึก และพลังจิตใต้สำนึก ก็จะเจาะลงไปตัวที่สามนะครับ (พลังจิตสำนึกไม่ค่อยมีพลังพิเศษอะไร เพราะติดกรอบสังคมครับส่วนพลังจิตเหนือสำนึกมีคนพูดถึงมากแล้ว) คือ "พลังจิตใต้สำนึก" อุปมาง่ายๆ อย่างนี้ครับ มนุษย์เราทุกคนก็คือ "สัตว์ตัวหนึ่ง" บนโลกนี้ มีความต้่องการ กิน, ขี้, ปี้, นอน ฯลฯ อย่่างกะสัตว์ป่าทั่วไป สมมุติ เรามีสัตว์ป่าที่เรียกว่า "มนุษย์โลก" อยู่ในตัวเรากันทุกคน แล้วมันถูกกดข่มซ่อนไว้เพียงเพราะสังคมอาจมองมันว่ามันมีความผิด ดิบเถื่อน ป่าเถื่อน ไม่พัฒนาทำให้มันต้องซ่อนอยู่ในตัวเราระดับลึกขึ้น ก็คือ จิตใต้สำนึกนี่ละ และพลังจิตใต้สำนึกนี้เองที่ทำให้เราปรับตัวเป็นสัตว์ป่า, สัตว์โลก ได้ดี เข้ากับโลกได้ดีที่สุด และเป็นพลังที่เทพีไกอาจะกระตุ้นมันให้ตื่นขึ้นมาครับ พวกเขาจะได้ใช้พลังนี้ ในการอยู่ร่วมกับโลกเหมือนสัตว์โลกตัวหนึ่ง อย่างไรละครับ แต่ ทว่าพลังนี้ค่อนข้างมีความเกี่ยวข้องกับความต้องการของสัตว์ป่า อย่างที่บอกแหละครับ มันจึงต้องใช้อย่างระมัดระวังให้มาก ถ้าเกิดมันถูกปลุกขึ้นมาใช้ผิดที่ ผิดเวลา ผิดเรื่องละก็ มันก็จะกลายเ็ป็นปัญหามาก ก็ได้ เอาละ อย่างที่บอกไว้ว่ามันเป็นพลังที่เกี่ยวข้องกับการดำีรงชีพอยู่ในโลกแบบสัตว์โลกพื้นฐาน พื้นๆ ที่สุด มันจึงมีทั้งสัญชาติญาณต่างๆ ก็ปนกันหมดนะครับ ทั้งดีและไม่ดี เช่น สัญชาติญาณการล่า, สัญชาติญาณการหนี, สัญชาติการสืบพันธุ์ ฯลฯ และสิ่งพวกนี้ มีพลังที่เชื่อมโยงอยู่ด้วยทั้งหมด เช่น "พลังแห่งการล่า", "พลังแห่งการหนี" ฯลฯ เป็นต้น เป็นพลังพื้นๆ แต่ไม่ธรรมดานะเอ้า แล้วคุณจะค้นพบว่าสัตว์ที่ชื่อว่า "มนุษย์โลก" นี้ มันก็มีความไม่ธรรมดาอยู่ในตัว แท้แล้วมันเคยเป็นสิ่งธรรมดามากของมนุษย์ในยุคโบราณที่ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรมากอย่างนี้ครับ เช่น ทำไม มนุษย์บางยุคสมัย จึงมีอายุยืนยาวนานมาก มนุษย์บางยุคสมัยทำไม สู้กับสัตว์ป่าที่ดุร้ายได้ด้วยมือเปล่า มนุษย์บางยุคสมัยทำไมอยู่กับธรรมชาติที่แปรปรวนของโลกได้โดยที่ไม่สูญพันธุ์ในขณะที่สัตว์หลายชนิด สูญพันธุ์ไปมากมาย?


เอาละ แนะนำให้รู้จักเบื้องต้นแค่นี้ก็พอ ไม่แนะนำวิธีปลุกพลังนี้มาใช้่หรอกนะครับ เดี๋ยวเด็กๆ เข้ามาอ่านจะเอาไปทำกัน แล้วเกิดปัญหา ก็จะมีผู้ปกครองมาต่อว่าพี่ชายเอาได้ เอาเ็ป็นว่าให้พอรู้ว่ามันมีอะไรเช่นนี้อยู่ ก็แ้้ล้วกัน แต่ถ้าใครเกิดมีขึ้นมา พลังนั้นอยู่ๆ ถูกปลุกขึ้นมาแล้วก็ อย่าลืมนึกถึงพี่ชายละ ปรึกษาใครไม่ได้โพสถามพี่ชายก็ได้ พี่ชายคิดไม่แพง คำถามละหนึ่งพันบาทเท่านั้น โฮ่ๆๆ อ๊ะ ล้อเล่นอ่ะ เอาละ ไว้แค่นี้ก่อน นิทานอาหรับราตรีก่อนนอนต้องจบแล้ว ราตรีสวัสดิ์ครับ




วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556

จักระที่มากกว่าเจ็ด พร้อมอิทธิฤทธิ์แห่งจักระนั้นๆ

วันนี้ มีธุระครับ ไม่เกริ่นยาวละ ขอเข้าเรื่องเลยละกัน ...


อย่่างแรก พี่ชายขอปูพื้นนิดหนึ่ง คำว่า "จักระ" มาจากเหล่าโยคีก่อนนะครับ เขาฝึกกัน พระพุทธศาสนาเรานี้ ไม่ต้องฝึกอะไรก็ได้ ถ้าได้ไปถึงพระพุทธเจ้าโปรดแล้วปัญญาแจ้งก็จบเลย แต่ทีนี้ เราจะมาคุยกันในเรื่องการฝึกและคนที่ชอบฝึกครับ สำหรับโยคีอินเดียนั้น เขาจะนับจักระมี ๗ จักระนะครับ แต่ในนักพรตเต๋า จะมีได้มากกว่านั้น นอกจากจักระทั้ง ๗ แล้ว สามารถเปิดจักระอื่นๆ ได้อีก แต่เขาไม่เรียกว่าจักระ จะเรียกว่า "เปิดจุดชีพจร" คือ ในร่างกายเรานี้ มันมีพลังงานไหลเวียนอยู่ มันไหลอย่างมีระบบเหมือนเลือดแหละครับ โดยไหลผ่านท่อหนึ่งเรียกว่า "ท่อชีพจร" หรือ "ชีพจร" เฉยๆ ก็ไ้ด้ ชีพจรนี้ ไม่เหมือนชีพจรของเลือดเสียทีเดียว แต่คล้ายกันครับ มีความสัมพันธ์กันมากอยู่ แต่ก็มีรายละเอียดที่ต่างกัน ท่อที่ใหญ่ที่สุด คือ "แกนกลางร่างกาย" ครับ โดยจะมี "ประตูเปิดพลัง" อยู่ ๗ ประตู เรียกว่า "จักระ" นั่นเอง โดยมีการเปิดได้หลายแบบ เช่น เปิดด้านหน้า, เปิดด้านบน ฯลฯ เ้ป็นต้น ก็แล้วแต่จักระนั้นๆ ครับ ทีนี้ พี่ชายจะแนะนำ "ประตูเปิดพลัง" ที่นอกไปจากจักระทั้ง ๗ นั้น เช่น ฝ่ามือ, ฝ่าเท้า, ปลายนิ้วมือ, ทุกรูขุมขน ฯลฯ เปิดได้หมดครับ เปิดแล้วสามารถเดินพลัง ไหลเวียนให้เข้าออกผ่านร่างกายได้ เข้าก็ได้ ออกก็ได้ ปกติ ถ้าดึงพลังเข้า เพื่อเสริมพลังในร่างกาย แต่ถ้าถ่ายพลังออกก็เพื่อทำกิจต่างๆ อย่างเหมาะสมนั่นเอง ครับ มีเรื่องเล่าครับ ครั้งหนึ่ง พี่ชายเคยมีอะไรนิดหน่อย (ขอเซนเซอร์นะ อายน่ะตัวเอง) แล้วพลังกุณฑาลินีมันตื่นขึ้น เป็นพลังงูร้อน ดันขึ้นกระหม่อม เหมือนจะเป็นบ้าเลย แบบว่าบ้าคลั่งอะไรแบบนั้น ปวดมาก เหมือนจะเป็นไมเกรนหรืออะไรไม่รู้ คือ มันดันเปิดจักระที่ ๗ ไม่ออกอ่ะ แล้วครั้งหนึ่ง พี่ชายไปฝึกสมาธิ แล้วพลังออกฝ่ามือ เยอะมากๆ เชียว เป็นลูกบอลพลังอะไรนะ ใหญ่ๆ อ่ะ สัมผัสถึงพลังได้ชัดเจนมากเลย ก็มีอีกครั้งหนึ่ง ตอนนอนแล้วถีบๆ ไปในอากาศ พลังออกฝ่าเท้า เป็นพลังธาตุไฟ ไหลไปเข้าตัวสหายธรรมที่อยู่ไม่ไกลแทน แปลกดีเนอะ


อย่างที่สอง พี่ชายจะเม้าท์ต่อไปว่า การเปิดประตูพลังงาน ก็เพื่อที่จะใช้่พลังงานได้มากขึ้น ทำให้พลังงานไหลออกทางประตูนั้นไำด้ดีขึ้น แต่ละประตูก็จะมีความพิเศษต่างกันไป เช่น ประตูกระหม่อม ส่งผลให้เกิดปัญญามาก, ประตูตาที่สาม ทำให้เห็นทะลุมิติสังขาร, ประตูฝ่ามือ ก็ทำให้พลังฝ่ามือมากขึ้น, ประตูฝ่าเท้า ก็ทำให้ใช้พลังพิเศษผ่านเท้าได้ครับ แต่เดี๋ยวนี้ คนฝึกศิลปะการต่อสู้หรือป้องกันตัว เขาฝึกแต่ท่าก็ไม่ได้สนใจเรื่องพลังภายในกันแล้ว อย่างมวยไทยนี้ เราไม่สนใจพลังภายใน เราสนใจแต่พลังภายนอก คือ เอาแรงกายเข้าสู้จนกว่าจะหมดแรงอ่ะ (คนละอย่างกะพลังภายในอ่ะ) สังเกตุดูครับว่ามวยไทย ตอนที่แก่ลงจะโทรมมากๆ หรือร่างกายทรุดโทรมเร็วกว่าคนทั่วไป ทว่า มวยจีนหรือกังฟู ไม่เป็นอย่างนั้น บางคนต่อให้ต่อสู้เยอะ แต่แปลกนะ ต่อให้อายุมาก กลับดูเหมือนไม่ค่อยแก่เลยยังมี นี่ละ การรู้จักใช้่พลังภายในที่แตกต่างกัน ส่งผลได้อย่างนี้ แล้วร้ายยิ่งกว่านั้น ถ้ารู้จักใช้่พลังภายในจริง อาจปลิดชีพคนได้โดยไม่ต้องใช้ร่างกายเลย และไม่มีหลักฐานอีกด้วย เอาละสิ ทีนี้ จะจับผิด ดำเนินคดีก็ไม่ได้ แต่ถ้าใช้มวยไทยชกคนตายละก็ เข้าคุกละครับท่าน ไม่รอดแ่น่นอน ที่พี่ชายเม้าท์อย่างนี้ ไมไ่ด้ดูถูกมวยไทยนะ เคารพมวยไทยมาก เพราะมันแรงมากจริงๆ ฆ่าคนตายด้วยมือเปล่าได้ มันเป็นมวยแข็งและแรงมาก แต่มันก็ย้อนกลับมาทำร้ายผู้ฝึกได้ด้วย คล้ายๆ มวยจีนที่ืมีชื่อว่า "หมัดเจ็ดทำร้าย" (แต่คนชอบหลอกว่าเป็นหมัดเจ็ดดาวเหนืออ่ะนะ) คนจีนที่รู้ดี จะบอกว่าอย่าไปฝึก เพราะมันทำร้ายตัวเองไปด้วยในตัว สำหรับมวยจีนที่มาชกกับมวยไทย อาจแพ้ได้ง่ายๆ เพราะพลังภายในที่เขาสะสมยังไม่มาก และยังไม่ถึงขั้นสูงสุดยอด ถ้าขั้นสูงจริงๆ ก็ไม่ต้องออกแรงมาก เจอกันก็แค่ตบไหล่เบาๆ ประมาณว่าแกล้งทักทายกัน คนที่โดนกลับไปบ้านก็ป่วยทรุด นอนซม ไม่นานก็ตายได้เลยอ่ะ แต่ว่าไม่ใช่จะฝึกกันง่ายๆ ถึงจะได้ระดับนั้น เดี๋ยวนี้ หายาก เลยไม่มีให้โชว์ละ ของญี่ปุ่นเขาก็มีนะ พวกนินจาอ่ะ บางคนฝึกวิธีฆ่าแบบลับ ไม่มีใครรู้ จับไม่ได้ ว่านั่นคือวิธีฆ่าแบบลับๆ ของเขา ใครโดนก็ไม่รอด แต่สมัยนี้ไม่มีแล้วมั้ง อย่างที่เห็นใช้ดาบ, ดาวกระจายนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่เขาใช้ฆ่ากันจริงๆ นะ มันเป็นแค่อาวุธที่ใช้เปิดทางหนี ก็เท่านั้น


เอาละ เม้าท์เรื่องนี้มากไปไม่ดี เดี๋ยวเด็กจะลอกเลียนแบบไปทำตาม ก็จะเกิดความวุ่นวายได้ แ่ค่เม้าท์ให้ฟังเฉยๆ ไม่ได้บอกให้ไปทำนะ ก็ไม่ได้บอกวิธีฝึกอย่างไรด้วยแต่เม้าท์ให้ฟังว่ามันมีแบบนี้อยู่เหมือนกัน  ฟังเป็นนิทานอาหรับราตรีอีกเช่นเคย ฮ่าๆๆ เอาละ ไปแล้ว ราตรีสวัสดิ์



วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556

พลังแห่งเทพีไกอา ที่คุณสามารถรับได้อย่างง่ายๆ

นี่มีเรื่องเม้าท์นะ พี่ชายมีกรรมมาก ทำงานหนักอะไรกะเขาไม่ได้ ต้องทำงานแต่ในบ้านอย่างเดียว อีกอย่างนะ พี่ชายอ่ะ มีกรรมไม่มีลูกเ้มีย ให้ต้องเลี้ยงดูยากลำบากกะเขาเลย ต้องมีชีวิตเหมือนเด็ก กิน, นอน, เที่ยว, เล่นไปวันๆ นี่ก็กรรมของพี่ชาย น่าสงสารมั้ย อ่ะ โอเค ไม่เ็ป็นไร พี่ชายจะยอมอดทนต่อไป เสียสละรับกรรมนี้เองเพื่อทุกๆ คนอ่ะ มามะ เข้าเรื่องของเรากันดีกว่า วันนี้ เป็นเรื่อง "พลังของเทพีไกอา" เพราะบทความที่แล้วเราได้กล่าวถึง "พลังของฮาเดส" (พลังมัจจุราช) กันไปบ้างแล้ว ทีนี้ เราก็จะได้กล่าวถึง พลังของเทพีไอกากันบ้าง ดังนี้


อย่างแรก พี่ชายอยากปูพื้นฐานให้ก่อนว่าปีนี้ เป็นปีของไกอา ซึ่งจะมีเทพอีกสององค์สำคัญมาร่วมด้วยคือ เทพซูส และตามติดมาด้วยเทพฮาเดสและหลังจากที่เราเข้าใจการทำงานของเทพฮาเดสไปบ้างแล้ว  เราก็จะมาดูการทำงานของเทพีไกอากันบ้าง และเพื่อให้ทุกท่านจับกระแสพลังของเทพีไกอาได้ ผมจะบอกลักษณะคลื่นพลังนั้นๆ ให้เป็นเบื้องต้นก่อน จะได้ใช้จิตสัมผัสพลังของเทพีไกอาดูนะครับ ดังนี้

๑. เป็นคนติดดินมากๆ เป็นคนบ้านๆ พื้นๆ ไม่หรูหรา ต่างจากพลังที่มาจากต่างดาวมากครับ เพราะพลังที่มาจากต่างดาวนี่ ไม่ติดดินเลย

๒. เป็นความเป็นสากลนิยม ไม่ใช่ชาตินิยม จุดนี้ สังเกตุให้ดีนะครับว่าแตกต่างจากพลังของพระแม่ธรณีที่จะยึดติดกับชาติ (พวกชาตินิยม)

๓. เป็นพลังแห่งความเป็นแม่ ไม่ใช่พ่อ คือ พลังสายหยิน และไม่ใ่ช่เด็ก คือ เป็นผู้ใหญ่ โตเต็มวัยแล้ว อันนี้ต่างจากกุมารทั้งหลายครับ

๔. เป็นพลังที่ข่มเพศชายสองแบบ คือ หนึ่งข่มให้เป็นลูก ให้อยู่ในโอวาทของตน หรือสองข่มให้ยอมแพ้ ด้วยการให้ลูกเอาชนะพ่อ

๕. เป็นพลังที่เอื้อต่อโลก คือ ไม่สนใจสวรรค์ ไม่สนใจนรกแล้ว จะเอา แต่ทำให้โลกดีที่สุดอ่ะ จึงมักคานกับ "เทพซูส" (สวรรค์) ในจุดนี้ครับ

๖. เป็นพลังที่สมบูรณ์ด้วยธาตุครบ คือ ไม่ใช่มีแต่พลังธาตุดิน แบบแม่พระธรณีอีกแล้ว แต่จะมีครบทุกธาตุที่ประกอบกันมาเป็นดาวโลกครับ

โอเค ทั้งหมดนี้ เ็ป็นลักษณะของพลังเทพีไกอา ซึ่งยากมากๆ ที่ใครจะบำเพ็ญได้ครับ อย่างแม่ของผมก็เกือบได้ละ พลาดไปข้อหนึ่งคือ ไม่มีความเป็น "สากลนิยม" ไม่เห็น "โลกหนึ่งเดียว" เป็นสิ่งสำคัญ ก็จะเห็นแคบๆ แค่ครอบครัวของตนเองเท่านั้น โลกของแม่ ไม่ใช่โลกทั้งใบนี้ แต่เป็น "ครอบครัว" เท่านั้นเองครับ บางคนอินเตอร์มากอ่ะ แ่ต่ไม่ติดดิน คือ ทำตัวอินเตอร์แล้วลอยไปเลย ติดดินไม่เป็น ปรับตัวเข้ากับโลกอย่างพื้นๆ ไม่เป็น ก็ไม่ไ้ด้รับพลังของเทพีไกอานะ เอาละ ลองไปดูๆ นะ ว่าใครที่เหมือนแม่บ้าน ติดดิน พื้นๆ แต่มีหัวใจอินเตอร์ บางทีอาจเป็น "แม่บ้านที่ไปทำงานต่างประเทศ" ก็เป็นได้ หรือไม่ก็ ปีนี้ อาจเป็น "ปีทองของแม่บ้านไทย" ที่จะได้ "โกอินเตอร์" กะเขาบ้าง


อย่างที่สอง เราก็จะลงลึกไปอีกนิดหนึ่งว่าพลังของเทพีไกอานี้ ไม่ใช่ธรรมดาเชียวครับ เพราะมากกว่าพลังของแม่พระธรณี, คงคา, วาโย, เตโช อีกนะครับ เพราะเป็นพลังรวมทั้งหมดเลยอ่ะ ดังนั้น อย่าดูถูกคนที่ทำงานพื้นๆ หน้าตาบ้านๆ หรือติดดินไปละ เขาอาจจะมีพลังในการปรับตัวอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไม่ธรรมดาเลยเชียว เวลาที่โลกแปรปรวนมากๆ นั่นคือโลกจะทดสอบสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลกว่ายอมจำนนต่อโลกไหม? ถ้าไม่ยอมจำนน เป็นมนุษย์ต่างดาวที่ไม่ยอมปรับตัวเข้าหาโลก ก็จะอ่อนแอ เดี๋ยวร้อนมากๆ เข้าก็แย่แล้ว, หนาวมากๆ เข้าก็จะเป็นจะตายเสียให้ได้ ฯลฯ ดังนั้น ไม่ต้่องแปลกใจถ้าปีนี้ โลกดูแปรปรวนมาก เป็นพิเศษ นั่นคือ "แบบทดสอบของเทพีไกอา" นั่นเองครับ ซึ่งจะต้องบอกไว้ก่อนนะครับว่า "ไม่ใช่ภัยพิบัติครับ" เป็นแค่ "การปรับตัวของโลก" ที่จะนำไปสู่โอกาสให้มนุษย์โลกได้ปรับตัวและมีวิวัฒนาการที่สูงขึ้น อย่างไรละครับ ดังนั้น ถ้าใครรับแบบทดสอบของเทพีไกอาจนสอบผ่านได้ละก็ ไม่ต้องกลัวความยากลำบากในการอยู่บนโลกนี้แล้วครับ หาอะไรกินก็ได้ พืชผักเดิมๆ ไม่มี ก็มีพืชอื่นๆ ได้ สัตว์เดิมๆ ไม่มีก็หาด้วงหาแมลงมากินได้ โอ้ย เทพีไกอานี่เก่ง หาวิธีอยู่กะโลกนี้ได้ไม่หมดสิ้น ในขณะที่มนุษย์่ต่า่งดาวกำลังโอดครวญกันอยู่ว่า โอ้ย ทำไมโลกถึงแปรปรวนอย่างนี้ โอ้ย ร้อนจะแย่แล้ว โอ้ย หนาวจะตายชัก แ่ต่เทพีไกอาและผู้ได้รับพลังของเทพีไกอา จะไม่รู้สึุกอย่างนั้นเลย กลับมองเห็นประโยชน์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกได้ เช่น เวลาร้อนมากๆ ก็คือ เวลาที่เราจะทำเนื้อแดดเดียวได้อร่อย นั่นเอง โฮ่ๆๆ เวลาที่หนาวมากๆ ก็คือ เวลาที่เราจะปลูกผักได้ดีไงเล่า อ้อ พี่ชายเตือนไว้หน่อยนะ คือ ปีนี้ เทพีไกอาจะทดสอบเราทั้งหมด ดังนั้น ให้เราฝึกปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติที่แปรปรวนของโลกนี้เอาไว้ ทำตัวให้ติดดินให้ได้ มีชีวิตแบบบ้านๆ พื้นๆ เพลนๆ ให้ได้ ใครที่ลอยฟ้ามากๆ ถ้าไม่ได้พลังจากเทพซูสละก็ จะซวยเอา เรียกว่า โดนเล่นงานสะบักสะบอมละ


เอาละ ขี้เกียจเม้าท์ยาว เดี๋ยวนี้เวลาของพี่ชายเป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น เพราะดังแล้ว ใครๆ ก็รู้จัก (เรารู้จักเขา แต่เขาไม่รู้จักเรา โฮ่ๆๆๆๆ เท่ห์ชะมัด) เลยต้องรีบไปละ เดี๋ยวท่านประธานาธิบดีจะรอนานเกินไป น่าสงสารอุตส่าห์มารอแต่เช้าเชียว อิๆๆ ล้อเล่นนะตัวเอง เอาละ จะได้ไปนอนกันซะ ผลิตลูกหลานนะเด็กๆ พี่ชายไปก่อนละ ราตรีสวัสดิ์ครับ



วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556

พลังเก้ามัจจุราช และยุคสมัยแห่งการพิพากษา

อ๊ะ วันนี้ ไม่อาจคุยได้นาน ขอเข้าเรื่องเลยละกันนะครับ 


อย่างแรก พี่ชายอยากปูพื้นนิดหนึ่งนะคือ บทความที่แล้ว เราได้พูดถึงยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปใช่ไหม? คือ ปีที่แล้วคือยุคของภัยพิบัติโดยมี "ดาวมฤตยู" มาดูแล แต่ปีนี้ จะเป็นปีของ "การพิพากษา" ที่มีเทพีไกอา (โลก) ดูแลแทน และในทีมของเทพีไกอานั้นเอง ก็จะมีเทพซูส และเทพฮาเดสด้วย ในบทความนี้ พี่ชายจะเล่าเรื่อง "บทบาทในการพิพากษา" และการทำงานของเทพฮาเดสด้วยละ ส่วนบทบาทของเทพีไกอาและเทพซูส จะยังไม่พูดถึงในที่นี้นะ จะได้ไม่เม้าท์ยาวเกินควรชวนง่วงไปก่อน สรุปให้อย่างนี้ครับว่า เทพซูส และเทพฮาเดสจะเล่นเกมกัน ใครจะเอาคนไปสู่ภพของตนได้ เทพฮาเดส ก็เอาชนะโดยจำนวนครับ คือ คนลงนรกเยอะกว่าขึ้นสวรรค์ แต่เทพซูส จะเอาชนะด้วยคุณภาพ คือ ได้คนไปน้อย แต่จะได้คนดีๆ เจ๋งๆ ครับ ทีนี้ เราจะมาเม้าท์เรื่องของเทพฮาเดส และการทำงานของเทพฮาเดสกัน อย่างที่บอกแล้วว่าเทพฮาเดสจะมาเหมือน "ท่านเปา" คือ เหมือนผู้พิพากษา จะชอบตัดสินความถูกผิด และลงโทษตามกฏหมายครับ (อย่างที่คุณเห็น ประเทศจีนก็ได้คนแบบนี้เป็นประธานาธิบดียังกะสวรรค์ส่งมาละ)  และถ้าประเทศไหนได้คนแบบเทพซูส หรือเทพีไกอาละก็ ประเทศนั้นก็จะโดดเด่นและมีบทบาทมากๆ ต่อโลกทั้งใบเลยทีเดียวเชียวละ จะบอกให้ เอาละ ไม่อยากนอกเรื่องมาก เดี๋ยวจะเขียนยาวไม่จบซะที ก็เม้าท์เฉพาะเรื่อง "กิจพิพากษา" ของเทพฮาเดสก็แล้วกันนะ กล่าวคือ จะมีทั้งการพิพากษาในรูปแบบ (ขึ้นศาลตามปกติของชาวโลก) และที่เป็นการพิพากษานอกศาลก็มีด้วยละ เช่น การตัดสินโทษกันเอง, การลงโทษกันเอง ฯลฯ เป็นต้น ทีนี้ เทพฮาเดสจะมีทีมงานที่เรียกกันว่า "ยมทูต" เมื่อรวมกับเทวทูตของเทพซูสด้วยแล้ว ก็เรียกว่า "มรณทูต" ก็แล้วกัน (แล้วแต่ว่าจะไปนรกหรือสวรรค์) ซึ่งจะเ่กี่ยวข้องกันกับการทำกิจด้าน "ประทานบาปเคราะห์" ให้แก่มวลมนุษย์ตามกรรมที่ควรจะได้รับ โดยเริ่มต้นที่ "พลังแห่งการพิพากษา" หรือที่พี่ชายชอบเรียกว่า "พลังมัจจุราช" จะได้รับการปลดปล่อยออกมาก่อน ซึ่งเป็นพลังด้านมืดนะครับ (ทำกิจนอกรีตนอกทาง) และมันจะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคนที่ฝึกจิตหรือทำอะไรสอดคล้องกับมัน เช่น ผู้สนใจฝึกพลังเก้ามัจจุราช  ซึ่งพี่ชายก็ได้ลองสัมผัสพลังนี้และลองทำความเข้าใจดูแล้ว แต่ไม่ได้เอามาฝึกเป็นวิชาต่อสู้นะครับ แค่ศึกษาทำความเข้าใจเท่านั้นเอง


อย่างที่สอง พี่ชายจะเม้าท์เรื่องนี้แหละ ให้ลึกลงไปอีกหน่อยหนึ่งคือ "วิชาเก้ามัจจุราช" เป็น "วิชาเต๋าสายดำ" ใช้ลอบฆ่าคนโดยเฉพาะ ก็คือ ไม่สนใจอะไรอย่างอื่นแล้ว ฝึกเพื่อเอาชีวิตคนอื่นอย่างเดียว ไม่มีการสนใจเรื่องอื่นใดเลย ไม่เน้นการป้องกันตัว เน้นแต่จะฆ่าให้ได้ แค่เท่านั้นเอง มันจึงเป็นวิชาที่ใช้ลอบฆ่า หรือใช้ฆ่าคนโดยตรงก็ไ้ด้ ได้อย่่างมีประสิทธิผลมากกว่าวิชาต่อสู้อื่นๆ อีกนะ เพราะเน้นให้ศัตรูได้รับความตายไปเลย ไม่เน้นแค่บาดเจ็บหรือแค่ให้หยุดการกระทำ แค่นั้นก็หาไม่ ทีนี้ วิชานี้ แต่เดิมเขาฝึกเป็นวิชาลับทางจิตกัน แต่ต่อมาก็มีคนเอาหลักการนี้ไปใช้ในทาง "กังฟู" คือ ใส่กระบวนท่าลงไป เพื่อใช้ในการต่อสู้ เข่นฆ่าฝ่ายตรงข้าม ต้องเข้าใจให้ชัดนะครับว่าเดิมที นั้น ฝึกเรื่องจิตโดยตรง (เต๋าเน้นฝึกจิตโดยตรง ไม่ได้เน้นประยุกต์ไปใช้อย่่างอื่น ส่วนกังฟูนั้นได้รับอิทธิพลเต๋าประยุกต์ไปดัดแปลงใช้ในภายหลังครับ) ดังนั้น ของเ่ก่้าเต๋าแท้ จึงเป็นการ "ฆ่าด้วยพลังจิต" อ่ะ แต่ภายหลังมีคนดัดแปลงกลายเป็นได้แค่ "ฆ่าด้วยกังฟู" ไป คือ ไม่เก่งเท่าของโบราณจริงๆ ลองอ่านนิยายกำลังภายในกิมย้งดู เขาไปเอาข้อมูลเก่าๆ ปะติดปะต่อแต่งเ็ป็นนิยาย ซึ่งมันก็คือ เรื่องเล่าของชาวเต๋า ที่เล่าต่อๆ กันมา ไม่รู้จริงหรือเท็จแล้วแต่จะเชื่อ จะศรัทธากันครับ เรื่องกล่าวถึง "อึ้งเซียง" ที่ได้ฝึกวิชานี้สำเร็จ แล้วปะลองไม่รู้แพ้ชนะ แต่ผลหลังจากนั้น เขาก็สูญเสียพลังมากมาย จนทำให้ศัตรูรุมเล่นงานครับ กล่าวคือวิชาเต๋าตั้งต้นแต่เดิม (สายดำ) นี้ เขาจะใช้พลังของมัจจุราชนี่แหละในการฆ่าคน แต่เขาจะใช้พลังของมัจจุราชหลายองค์รวมกัน เพื่อให้เก่งมากยิ่งขึ้นไงครับ มัจจุราชแ่่ต่ละองค์จะมีวิธีฆ่าที่ต่างกัน เช่น บางองค์ใช้ยาพิษ, บางองค์ใช้อาวุธ, บางองค์ใช้แค่มือเปล่า ฯลฯ ก็เรียกว่ารวมทุกอย่างที่ทำให้คนตายได้ นั่นแหละ ทีนี้ คนที่ฝึกวิชานี้ เวลาที่เขาได้พลังครบคือ "ครบเก้ามัจจุราช" เขาจะเก่งแต่พอเวลาเสียพลัง มัจจุราชทั้งเก้าองค์ก็จะจรจาไป ไม่คุ้มครองร่าง แถมยังอาจหวนกลับมารุมทำร้ายเอาถึงตายได้ หากใครถูกเลือกให้ฝึกวิชานี้นะ เวลาไม่อยากฝึกต่อ ต้องถ่ายพลังให้คนอื่นไป ทีละองค์่ต่อ ๑ คน แล้วอย่าให้เขาทำร้ายเราได้ อย่าให้เขารวมตัวกันได้ จากนั้น ก็ต้องรับพลังที่เหนือกว่าเพื่อคุ้มครองกาย จึงจะรอดได้ครับ ไม่งั้น สูญเสียพลังแล้วก็จะตายเหมือนกัน อย่างอึ้งเซียงเอง หลังสุญเสียพลังแล้วยังได้พลังใหม่คือ "พลังเก้าอิม" ที่เหนือกว่าพลังเก้ามัจจุราช จึงไม่ตายครับ


เอาละทั้งหมดนั้นเป็นเพียงนิทานเต๋าเล่าต่อๆ กันมาของคนจีนโบราณ  ส่งผ่านมายังงานเขียนของกิมย้ง ให้เราได้ดูกันต่อ ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ไม่ว่ากัน มันเป็นแค่นิทานเนอะ แ่ต่ถ้าใครเจอเข้าจริงๆ ก็ให้ลองนึกถึงสิ่งที่พี่ชายเขียนไว้นี้ว่า "ถ้าอยากจะเลิกไม่อยากฝึกต่อ" ต้องทำัยังไง ไม่งั้นจะโดนเก็บคือ ไม่รอดเอานะ เหอๆๆ แล้วอย่าหาว่าพี่ชายไม่บอกเอาละ เอาละ พี่ชายก็ค่อยๆ ถ่ายพลังออกทีละสายๆ ไปแล้ว กำลังจะเปิดรับพลังใหม่ที่ดีกว่า ถ้าถ่ายออกหมดเมื่อไรก็จะสบายตัว มีคนที่รับไปศึกษาต่อทำการบ้านต่อก็เรียนรู้ศึกษากันไปครับ แต่จะว่าไปนะ คน ที่ได้รับพลังไปเีนี่ย ต้องพยายามอย่าคิดร้ายหรือไม่ชอบขี้หน้าใครอ่ะ เพราะไม่นานเขาจะป่วยเอาได้ หรือตายไปซะเฉยๆ ได้ บางคนนะ เราไม่ได้ไม่ชอบ หรือมีเรื่องอะไรกะเขาเลย มัจจุราชใช้เราเป็นร่างสื่อไปแวะเวียนใกล้ๆ คนๆ นั้น ไม่นานเขาก็ตายได้อ่ะ คือ เราไม่ได้ทำอะไรให้เขาตายนะ แต่เราเป็นเหมือน "ยมทูต" ไง พอเราไปใกล้ๆ เขาแค่เดินผ่านบ้านบ่อยๆ อ่ะ เขาก็ป่วยแล้วตายได้ง่ายๆ เลยนะ จะบอกให้ นี่ ร้ายแรงขนาดไหนละ ถ้าตกอยู่ในมือของนักฆ่าละก็เหว๋อคงจะน่ากลัว ทีเดียว เอาละ เม้าท์มาดึกแล้ว ไฟฟ้าบ้านพี่ชายช้อตไม่รู้กี่สิบรอบแล้ว แต่ไม่ไหม้อะไรนะ เห็นก่อนประจำ นี่ดับไฟมืดหมดเลยน่ะ จบแค่นี้ละกัน ราตรีสวัสดิ์