วันเสาร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2556

รักต่างมิติ เมื่อมนุษย์รักกับเทพแห่งสัตว์และต้นไม้?

พี่ชายรักชาติได้ยินเพลงหนึ่ง เขาร้องว่า "ถ้ารักกับป๋า จะพาไปยันฮี ♫♪ ♪♫" มีคำถามเกิดขึ้นกับพี่ชายรักชาติว่าแล้วถ้ารักกับ "เป็ด" จะพาไปไหนอ่ะ? อ๊ะ อย่าคิดมาก เดี๋ยวกลอนจะพาไปเตลิดเปิดเปิงนะเอา เอาละ มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า วันนี้ เ็ป็นเรื่องโรแมนติก และ โลว์วูแมนพลาสติกมากๆ เพราะเป็นเรื่อง "ความรัก" อั๊ยย่ะ ตื่นเต้นกันละสิ เพราะมันเป็นเรื่องของวัยเราเลย (วัยเราเลยไปแล้ว อ๊ะเจ้ย!) เอาเหอะน่า่ สมมุติว่าเรายังวัยเอาะๆ ยังอยู่ในวัยรุ่น แรกรัก เริ่มเรียนรู้กันหน่อยละกัน แต่ว่าไม่ใช่รักธรรมดาๆ นะเอ้า เพราะเป็นความรักต่างมิติของคนกับอะไรที่ไม่ใช่คน โอ้วว น่าตกใจ แต่อย่่าเพิ่งตื่นเต้นเกินควร เอาเป็นว่าค่อยๆ เปิดบริสุทธิ์ เอ้ย ค่อยๆ อ่านไปก็แล้วกัน เดี๋ยวก็จะได้เข้าใจเองน่ะแหละ ว่ามันเป็นเรื่องอย่างไร หวาดเสียวแค่ไหน ดังต่อไปนี้


อย่างแรก อยากให้ทราบว่า "บุพกรรมนำพา" หรือวาสนาทำพิเรนท์ก็ไม่ทราบ แต่ว่าอาจเกิดขึ้นได้ครับ ที่ความรักต่างมิติจะเกิดขึ้น แต่ยากนะ ไม่บ่อยครับ เพราะปกติความรักนั้น เขามีไำว้ผูกพันให้คนที่ควรจะมาเคลียร์กรรมกัน หรือสร้างคุณงามความดีส่งเสริมกัน ให้ได้มาคู่กัน แต่มันก็มีบ้างเหมือนกันที่ "อาจไม่มีมนุษย์คนไหน" ที่เหมาะสมจะคู่กับมนุษย์บางคนก็ได้ หรือมนุษย์คนนั้นอาจมีบุพกรรมร่วมกับชีิวิตต่างมิติทำให้ต้องรักกัน ก็ได้ครับ และอาจเกิดขึ้นได้ในคนที่มีพลังจิตสูงๆ ด้วย เช่น คนที่ถือศีล, ถือพรหมจรรย์, ถือบวช ฯลฯ โดยที่พวกเขาอาจไม่รู้ตัวเลยว่ามีความรักต่างมิติเข้าให้แล้ว หรือยิ่งไปกว่านั้น "เขาอาจเป็นคู่รักกับชีวิตต่างมิติ" เข้าให้แล้ว ยิ่งถ้าเขาสามารถถอดกายทิพย์ออกไปได้ ก็ยิ่งมีโอกาสสูงมากที่จิตวิญญาณที่จรออกไปนั้น อาจจะมีความรักกับจิตวิญญาณด้วยกันที่อยู่ต่างมิติขึ้นได้ โดยที่กายสังขารเขาอาจไม่รู้ตัวเลย เพราะตัวตนในระดับพลังงานกับตัวตนระดับวัตถุนั้น ไม่จำเป็นต้องคิดหรือรู้สึกเหมือนกันเสมอไป เอาละ อย่าเพิ่งคิดว่ามันถูกหรือผิดอะไร เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นและดับไป มันย่อมมีเหตุมีผลทั้งสิ้น ทว่า เราจะเข้าใจในเหตุผลเหล่านั้นหรือไม่ ก็เท่านั้นเอง 


อย่างที่สองคือ จะสังเกตุได้อย่างไรว่าคนๆ นั้นมี "รักต่างมิติ" เกิดขึ้นแล้ว ก็อย่างนี้ครับ เขาจะเหมือนคนมีความรักปกติมากมายเลย ทว่า ก็ไม่มี "คู่รักที่เป็นตัวตน" แต่ไม่ใช่แบบไม่เป็นตัวเป็นตน แล้วเปลี่ยนไปเรื่อยๆ นะครับ อันนั้นคนละอย่างกัน เอ้า เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ ก็จะขอไล่เป็นข้อๆ ให้ละเอียดไปเลย จะได้เข้าใจและสังเกตุได้ง่ายขึ้น ดังนี้

๑. เขาอยู่คนเดียวได้สบายแต่เหมือนมีใครสักคนอยู่ด้วยอย่างนั้นหละ ไม่ต่างกับคนที่มีแฟนหรือมีคู่ครองแล้วเลย ทั้งๆ ที่ไม่มีใครสักคน?

๒. เขามีอาการแบบ "อินเลิฟ" บ่อยๆ เหมือนคนกำลังมีความรัก เช่น มีอารมณ์พลิ้วไหวไปกับสิ่งที่แบบว่าคนอินเลิฟเขาเป็นกัน "ฝ่ายเดียว" 

๓. เขามีความสุขหรือเติมเต็มตัวเองได้ด้วยตัวเองไม่ต้องมีคู่ครองเลย ไม่ต่างจากคนที่แต่งงานใหม่ๆ ที่ได้รับการเติมเต็มด้วยคู่รักเขาเลย

๔. เขาเริ่มแยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อนเดิม แล้วเริ่มเหมือนมีโลกส่วนตัวขึ้นมาแต่เขากลับไม่เหงาเหมือนมีเพื่อนหรือคู่อยู่ด้วยตลอดเลยแหละ

๕. เขาจะชอบอะไรบางอย่างเป็นพิเศษ เช่น รักสัตว์หรือรักต้นไม้มากเป็นพิเศษ เหมือนกับว่ามันแทนที่คนรักหรือแฟนได้เลยทีเดียวละ!

๖. เขาเชื่อเรื่องต่่างมิติ หรือเชื่อว่าน่าจะมีอะไรสักอย่างที่มองไม่เห็น ไม่ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ แถมยังไม่กลัวด้วย ถ้าเกิดสิ่งแปลกๆ ขึ้นมาจริงๆ

๗. เขาเหมือนถูกอะไรบางอย่างขวางกั้นหรือแยกออกจากคนอื่นๆ ไป ทำให้คนอื่นๆ เข้ามาคู่กับเขาไม่ได้เลย เหมือนมีอะไรมาขวางกั้นไว้

๘. เขามักต้องทำอะไรบางอย่างเป็นพิเศษ เหมือนกับทำให้กับคนรัก เป็นกิจกรรมที่เขาทำแล้วมีความสุขมาก "อยู่คนเดียว" แบบไม่เหงา

๙. เขามักเบื่อหรือรำคาญคนที่เข้ามากวนในชีวิต รู้สึกว่าคนเหล่านั้น ช่างไร้สาระ งี่เง่า หรือไม่พัฒนาขึ้นมาเอาเสียเลย แต่เขาไปไกลแ้ล้ว

๑๐. เขาอาจมีอาการเหมือน "รักแรกพบ" หรือ "ปิ๊ง" กับอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่คน เช่น สัตว์, ต้นไม้, สิ่งศักดิสิทธิ์, รูปภาพ ฯลฯ ก็เกิดขึ้นได้?


อย่างที่สามที่อยากให้ท่านทราบก็คือ สิ่งต่างๆ ล้วนมีพลังเชื่อมโยงไปสู่ "ตัวตนในมิติอื่นๆ" ทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่สิ่งของ, สัตว์, ต้นไม้ทุกชนิด จะมี "ตัวตนในมิติอื่น" เชื่อมโยงอยู่ด้วย ในระดับพลังงาน ด้วยเหตุนี้ หากท่านเกิด "รักโลก" แบบเหมือนคู่รักที่เขารักกันขึ้นมา ท่านก็อาจได้ "ไกอา" เป็นคู่รักก็ได้ เพราะไกอาสามารถมีความรักกับสิ่งที่อยู่ในโลกนี้ได้ทั้งหมด แม้ว่าจะเกิดจากไกอาก็ตาม เพื่อที่จะให้กำเนิดสิ่งใหม่ๆ ที่ดีขึ้นนั่นเอง (เทพที่เป็นคู่ของไกอา เช่น เทพยูเรนัส, เทพซูส ก็ล้วนกำเนิดจากไกอาทั้งสิ้่น) หรือถ้าท่านเผลอรักต้นไม้ชนิดหนึ่งเข้ามากๆ แบบเหมือนรักแรกพบ จิตวิญญาณของท่านก็อาจถูกเชื่อมโยงไปสู่ "เทพีประจำต้นไม้นั้นๆ" โดยเฉพาะต้นไม้ที่สวยๆ น่ะครับ ก็อาจมีเทพีประจำต้นไม้ชนิดนั้นๆ อยู่ (ต่่างจากรุกขเทวดานะครับ ที่จะอยู่ประจำต้นไม้เป็นต้นๆ ไป แต่นี่เป็นเทพที่ดูแลต้นไม้ชนิดนั้นๆ หรือหลายชนิดโดยเฉพาะ เช่น เทพีแห่งพืชพรรณต่างๆ) ดังนั้น ถ้าท่านมีพลังจิตสูงมากๆ ชนิดทะลุมิติได้แล้วละก็ (คือ อยู่ในระดับมิติที่ห้าขึ้นไป เป็นต้น) ท่านก็อาจมีความรักต่่างมิติเช่นนี้ได้ ไม่ยากเท่าไรละครับ 


คำถามก็คือ แล้วมันจะเป็นอย่้างไร? ความรักแบบนี้? มันเป็นไปได้หรือ แล้วมันจะผิดไหม? เอาละๆ ก่อนที่จะคิดฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ ก็ขอให้คุณกลับมาสู่ "ความรักที่บริสุทธิ์" ให้ได้ก่อน นั่นคือ ถ้าคุณมีความรักที่บริสุทธิ์ได้แล้ว คุณไม่ต้องสนใจเลยว่าคุณจะรักกับอะไร ยิ่งรักกับทุกสิ่งทุกอย่างได้ยิ่งดี เพราะนั่นคือ "เครื่องบ่งชี้ถึงการเลื่อนระดับอย่างหนึ่งของคุณ" แน่นอน ผมกำลังจะบอกว่า "คนที่มีระดับชั้นทางมิติที่สูงมากๆ" อาจไม่ได้มีคู่อยู่ในมิติเดีัยวกับเขาคือ เขาไม่ได้มีคู่เป็นมนุษย์เหมือนกันก็ได้ แต่จำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องเรียนรู้ความรักที่บริสุทธิ์และทำตัวให้เหมาะสมด้วย คนเรารักกันได้ รักได้ทุกอย่าง ถ้าเข้าใจในความรัก รักเป็นและวางตัวถูกนะครับ มันก็แค่เป็นคนโสดในสายตา   ของชาวโลกเท่านั้นเองแต่ในความเป็นจริง ท่่านจะมีความสุขในระดับที่สูงกว่าชาวโลกเป็นอย่างแน่นอน ซึ่งความสุขที่ได้รับนั้น มันไม่ใช่ความสุขแบบนิพพานอะไรหรอกนะครับ แต่มันเป็นความสุขแบบคนที่มีความรักเขามีกัน แต่มันเหนือกว่า คือ ไม่ต้องมาคิดกังวลเรื่องทำมาหากินแบบมนุษย์เป็นกัน เอาง่ายๆ ความสุขของเทพเหนือกว่ามนุษย์เท่าไร? ความสุขของคนที่มีความรักกับชีวิตในมิติที่สูงขึ้นก็มีึความสุขที่เหนือกว่า เช่นนั้นเหมือนกัน ซึ่งออกจะดูอุดมคติไปสักหน่อยนะครับ


เอาละ เม้าท์เรื่องรักๆ ใคร่ๆ มามากแล้ว เดี๋ยวจะติดเรท เด็กๆ อายุต่ำกว่า ๑๘ ปี อาจอ่านไม่ได้ ต้องให้พ่อแม่แนะนำ จะยิ่งยุ่งไปใหญ่ ก็เลยขอจบแค่นี้ละกัน เอาดื้อๆ เลยแหละ โฮ่ๆๆ ลองเองละกัน จะได้รู้เอง ก็ไม่ยากหรอก ถ้าเรามีดีหน่อยนะ แหม ถ้าเราไม่มีดีในตัว ใครเขาจะมารักเราละครับ เอาเป็นว่า "หล่อข้างใน" หรือ "ใจมันหล่อ" อะไรแบบนั้น ให้ได้ก่อน แล้วก็จะมี "แฟนต่างมิติ" เองน่ะแหละ สำหรับบทความฉบับนี้ขอจบเพียงเท่านี้ก่อน กินนมนอนหลับฝันดีละเด็กๆ ราตรีสวัสดิ์



วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556

การทำกรรมเลวเพื่อช่วยเหลืองปวงสัตว์ ก็มี วิถีแห่งพระสมันตภัทร!

อ๊ะอย่าเพิ่งตกใจว่าพี่ชายรักชาติมายุยงให้คนทำเลวกันนะครับ แต่มันมีเรื่องที่ลึึกซึ้งและซับซ้อนมากๆ ว่าทำไม คนเราต้องมีความเลว โลกนี้ต้องมีคนเลว คนทำิผิดอะไรแบบนั้น (เลวในความคิดของใครบางคนนะครับ แต่อาจไม่ใช่้คนทุกคนคิดอย่างนั้น และเขาอาจไม่ใช่คนเลวจริงๆ หรอก) พี่ชายรักชาติไม่ได้บอกหรือแนะนำให้ไปทำเลวกับใครและไม่ได้ให้ไปทำความดี ฝืนกฏแห่งกรรม ฝืนธรรมชาติกับใครทั้งนั้น ที่จะเม้าท์นี้คนละเรื่องกับการรณรงค์ให้คนไปทำอะไรๆ ไม่ว่าดีหรือเลว เพราะอะไรครับ? เพราะพี่ชายรักชาติเชื่อว่าทุกคนสามารถคิดและพิจารณาทุกอย่างได้เองตามธรรมชาติ และทุกคนมีสิทธิ์ที่จะผิด มีสิทธิ์ที่จะลองผิดลองถูก เรียนรู้ได้ด้วยตัวเขาเองโดยไม่ต้องมีใึครมาครอบงำหรือชี้บอกว่่าอะไรดี อะไรเลวครับ พี่ชาติรักชาติไม่นิยมไปครอบงำหรือบงการความคิดของใครนะครับ เอาละ มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า บทความวันนี้เป็นเรื่องของ "การทำกรรมเลวเพื่อช่วยปวงสัตว์" นะครับ อ๊ะ มันเป็นไปได้ยังไง ทำเลวเพื่อช่วยปวงสัตว์ มามะ พี่ชาติรักชาติจะมาเม้าท์ให้ัฟัง แบบง่ายๆ ลัดสั้น ทันใจวัยรุ่น ดังนี้ครับ


อย่างแรก ให้เข้าใจก่อนครับว่าแท้แล้วโดยธรรมชาติ ไม่มีดีหรือเลวอะไรหรอก ดีหรือเลวนั้นมาจาก "การปรุงแต่งลงไป" แล้วแต่ว่าจะให้อะไรเป็นผู้ออกแบบปรุงแต่งครับ เช่น คนแต่ละคนต่างคนต่างคิดไปเองว่าอะไรดีอะไรเลว ก็มี, สังคมแต่ละสังคมสร้างค่านิยมว่าอะไรดีอะไรเลว ก็มี, ประเทศแต่ละประเทศสร้างกลไกลขับเคลื่อนให้คนคิดว่าอะไรดีอะไรเลว ก็มี ฯลฯ เยอะแยะไปครับ แต่โดยธรรมชาติของมันแล้ว ไม่มีอะไรดีและเลวหรอก ยกตัวอย่างง่ายๆ เราทำบุญมากๆ เราก็คิดว่ามันดี แต่ที่ไหนได้ ยิ่งมีบุญมากยิ่งไปเกิดเยอะหลายชาติ ได้บุญคือได้เสวยกินๆๆ เข้าไป ชาติแล้วชาติเล่าไม่จบสิ้น แต่ทุกชาติก็ต้องเจอทุกข์กับความแก่ชรา, ความเจ็บป่วย และความตาย เอาง่ายๆ เลย พอเกิดมาไม่นานก็โดนฉีดวัคซีนกันโรคแล้ว อยากโดนบ่อยๆ ไหมอ่ะ แหมคงไม่มีใครอยากโดนบ่อยๆ นะ นี่ ที่ว่าด้านดีก็มีเลวเหมือนกัน ในบางคนไปทำความเลว เกิดมาเลยต้องรับกรรมเลว พิการแต่กำเนิดก็มี ทำให้ปลงตก ทุกข์และอยากหลุดพ้น ไปๆ มาๆ ไม่กี่ชาติก็นิพพานไป อ้าว เป็นอย่างนั้นซะได้ มีเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนทำดีแล้วจะแย่ หรือทำเลวแล้วจะสบายหรอกนะ อันนี้ แค่ยกตัวอย่างอะไรที่มันตรงข้ามกับความคิดหรือความเชื่อเดิมของเราๆ ท่านๆ ให้ลองพิจารณาดูก็เท่านั้นเอง ให้ไถ่ถอนผ่อนคลายใจออกจากวังวนความยึดมั่นในความดีความเลว ที่เราถูกปรุงแต่งและตีตรามาตั้งแต่เด็ก สอนมาว่าให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วจะเรียกว่าดีบ้าง เลวบ้าง ต่างกันไปเท่านั้นเอง


อย่างที่สอง ก็จะขอเข้าเรื่องอีกนิดว่า "ธรรมชาติจัดสรรให้ทุกอย่างที่ควรมี ควรเกิด ก็ต้องมี ต้องเกิดครับ" เช่น ความเลว ก็ดี, คนเลว ก็ดี, ก็ต้องมี ต้องเกิด เพราะมันมีหน้าที่ของมันทั้งสิ้นครับ โอเค คุณอาจยังไม่เห็นภาพมากนัก ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆ เลยนะ สมมุติ นาย ก. เป็นคนเห็นแก่ตัว เอาแ่ต่ครอบครัวตัวเองมีสุขเท่านั้น ไม่สนใจความทุกข์ร้อนของใคร เลี้ยงสัตว์ไว้ สัตว์ไปก่อกวนทำข้าวของชาวบ้านเสียหาย ก็ไม่สนใจที่จะรับผิดชอบอะไรเลย วันหนึ่ง เพื่อนบ้านคนหนึ่งเป็นผู้มีบารมีแต่หนหลัง ขาดแคลนของบางอย่าง ก็เลยไปขโมยของนาย ก. มาก่อน เพราะถ้าขอนาย ก. ตรงๆ เขาก็จะไม่ให้แน่นอน และพอนาย ก. ถูกขโมยไปแล้ว ซึ่งเป็นของเล็กน้อย ขี้เกียจมีเรื่อง นาย ก. เลยให้ไปจะได้หมดเรื่อง นี่ไง ตัวอย่างที่ผมจะบอกให้คุณเห็น "สถานการณ์"   บางครั้ง เราอาจต้องโปรดสัตว์ด้วยการทำความเลวครับ เช่น ไปเกิดเป็นขโมย เป็นต้น หรือเอาภาพจากอินเตอร์เน็ตของเขามา แล้วเอามาทำสิ่งดีงาม เขาก็ได้บุญร่วมกับเราได้ ใช่ไหมครับ เนี่ย เราต้องทำเลวบ้าง เพราะเหตุนี้ เพราะมนุษย์บางคน ถ้าเราขอตรงๆ เขาก็ไม่ให้ และเขาไม่เชื่อด้วยว่ามันจะมีเรื่องบุญกรรมอะไรจริงๆ หรือเขาควรจะให้เราไปเพื่ออะไร? โดยที่เขาไม่ได้อะไรจากเรา? นี่ไง ผมถึงบอกว่าบางครั้งธรรมชาติ หรือฟ้าก็อาจส่งเรามาเกิดเพื่อทำความเลว ซึ่งการทำความเลวนั้นก็คือ การโปรดสัตว์อย่างหนึ่ง เช่น ให้คนมีบุญบารมีมาเกิดเป็นผู้ก่อความไม่สงบเลยเพื่อให้ประเทศที่กำลังเจริญด้วยวัตถุและบริโภคนิยมได้หันเข้ามาเห็น "อนิจจังของชีวิตบ้าง" ซึ่งมันยากเหลือเกินหรือไม่มีวิธีอื่นอีกแล้วที่จะทำให้เขาเข้าใจได้ อันนี้ แค่ยกตัวอย่างนะครับ ไม่ได้บอกว่าถูกต้องหรือผิดแต่อย่างใด สมมุติเฉยๆ ยกตัวอย่างให้ดูเฉยๆ ครับ ให้เข้าใจว่าบางที กฏแห่งกรรม, กุศโลบายการโปรดสัตว์, ธรรมชาติ อาจซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะไปพิพากษาตัดสินอะไรได้ว่ามันถูกหรือผิด, ดีหรือชั่วครับ ซึ่งธรรมชาติหรือสิ่งศักดิสิทธิ์ ท่านหนึ่งท่านใด ก็ดี จะัเป็นผู้จัดสรรเองครับ ไม่ใ่ช่ให้เราไปคิดเอง เออเอง


เอาละ ทีนี้ มาเข้าเรื่องของพระโพธิสัตว์สมันตภัทรกันบ้าง ที่ผมเล่าให้ฟังว่าท่านมีบารมีทำกรรมเลวเพื่อช่วยปวงสัตว์ไงครับ อันนี้ ไม่มีในพระโพธิสัตว์ทั่วๆ ไป เพราะบารมีของพระโพธิสัตว์องค์อื่นๆ ทำไม่ได้ รับไม่ไหว และไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำกรรมเลวเช่นนั้นครับ พวกเขาก็จะได้แค่สอนเด็กอนุบาลไปว่าทำความดีนะลูก อย่าทำชั่วนะลูก ฯลฯ  อะไรแบบนั้น ซึ่งเราได้ยินมาจนหูชา แสนจะน่าเบื่อแล้ว ไม่ต้องพูดซ้ำก็ได้ พ่อแม่ที่บ้านฉันก็มี สอนฉันได้ไม่ต่างจากแกหรอก ถ้าแกพูดได้แค่นี้ ก็ตั้งตัวเป็นอรหันต์ได้แล้ว พ่อแม่ที่บ้านฉันก็อรหันต์ไม่ต่างจากแกเหมือนกัน ฮ่าๆๆ อย่าคิดมากครับ เอาเป็นว่าพระโพธิสัตว์ก็มีบารมีต่างกัน ทำอะไรได้ต่างกัน บางองค์แทบทำอะไรไม่ได้เลยก็มี ได้แต่บวชพระถือศีลไม่ทำอะไร นอกจากเป็นเนื้อนาบุญไปอย่างเดียว ก็มี จะมีก็องค์นี้ละ พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ที่สามารถทำกรรมเลวได้ แต่ก็ทำเพื่อปวงสัตว์นั่นแหละ ขนาดพระศรีอาร์ฯ นะ ยังทำไม่ได้เลย ท่านก็ต้องอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร กระทำโดยไม่กระทำ ตามแบบฉบับของท่านไปเท่านั้นเอง เอาละ แต่เราไม่โง่พอที่จะให้ใครมาหลอกใช้ให้เราไปทำเลวเพื่อเขาหรอกนะครับ คนบางคนในโลกนี้มันหากินกับความโง่ของคน เบื้องหน้าสร้างฉากละครทำตัวเป็นคนดี เบื้องหลังก็รอให้คนโง่มาทำเลวให้ตัวเอง ตัวเองจะได้ใสซื่อมือสะอาด รอรับแต่ผลประโยชน์อย่างเดียวก็มี อันนี้เรียกว่า "กลวิธีสนทะพาย" ครับ ไว้หลอกพวกมีอุดมการณ์ อ่านตำรามาก แ่ต่โง่ ไม่รู้จักคิด น่ะครับ ฮ่าๆๆ 


เอาละ เม้าท์มามากพอควรแล้ว เด็กๆ จะได้มีเวลากินนม ฟังนิทาน ดูหนังสี่จอกับพ่อแม่บ้าง แล้วจะได้นอนหลับฝันหวานถึงเจ้าหญิงเจ้าชายในนิทานกันนานๆ หน่อย บทความวันนี้ เลยต้องขอจบลงก่อนแต่เพียงเท่านี้ ไว้พบกันใหม่บทความหน้า วันนี้ พี่ชายฯ ราตรีสวัสดิ์ครับ




วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2556

"ดาวธรรมนำทาง" ที่เราทั้งหลายทุกคนควรมีอย่างน้อย ๑ ดวง

ช่วงนี้พี่ชายรักชาติเห็นข่าวเลือกตั้งผู้ว่า กทม. เต็มไปหมดเลย แต่ละคนก็มีความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ กันทั้งนั้น อาทิเช่น คนแรกจะให้เพิ่มรถเมล์ฟรี, คนที่สองเลยจะให้ฟรีรถเมล์ทุกสาย, คนที่สามเลยจะให้ฟรีรถเมล์ปรับอากาศ ถ้าเป็นพี่ชายนะ จะให้ฟรีประกันที่นั่งด้วย ถ้าไม่มีที่นั่งรับเงินคืนได้จ้า หุๆๆ ล้อเล่นอ่ะ เอาละ คลายเครียดเล็กน้อยถึงปานกลาง มาเข้าเรื่องของเราดีกว่าครับ วันนี้เป็นเรื่อง "ดาวธรรม" ฟังแล้วบางท่านจะงงๆ แต่บางท่านก็คุ้นเคย มันเป็นยังไงมาดูกันดีกว่าครับ


"ดาวธรรม" อันนี้คุ้นๆ นะครับ แต่ไม่ใช่ดาวเทียมรับฟังธรรมะแบบบางวัดนะครับ คล้ายๆ กัน แต่ไม่ใช่ครับ ถามว่ามันคืออะไร? อ่า มันก็คืออะไรบางอย่างที่ "เหมือนแสงสว่างนำทางชีวิต" ของเราได้ บางท่านอาจจะเรียกว่า "สิ่งศักดิสิทธิ์" ก็ได้ครับ แต่ว่าไม่เหมือนกับเทวทูตหรือเทวดาประจำตัวนะครับ เพราะเทวดาประจำตัวเรานั้น จะเหมือนผู้ที่อยู่ขวาหรือซ้ายเรา คอยดลจิตดลใจเรา แต่นี่จะอยู่ "เหนือเราขึ้นไป" ซึ่งจะเป็นเหมือนแสงสว่างนำทางเราอีกทีครับ ซึ่งก็คือสิ่งศักดิสิทธิ์ที่เราจะนับถือหรือรับไว้ว่าคือ "สูงสุด" สำหรับเรานั่นเอง โดยมีเหล่าเทพที่คอยช่วยเหลือรายล้อมรอบอีกที นี่แหละ ที่ผมเรียกเป็นภาษาง่ายๆ ในแบบของผมเองว่า "ดาวธรรม" เพราะเหมือนดวงดาวที่อยู่เหนือเราไงครับ แล้วก็มีแสงสว่างนำทางชีวิตให้กับเรา คือ ท่านจะมีธรรมนำทางให้เราได้ครับ ไม่ว่าจะนำไปถึงนิพพานเลย หรือยังไม่ถึงนิพพาน แต่ก็ได้สวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่ง ที่ใดที่หนึ่ง หรือในดาวดวงใดดวงหนึ่ง ก็ได้ครับ ซึ่งท่านทั้งหลายจะได้รู้จัก "พระนามของดาวธรรม" อันแตกต่างกันไปตามแต่ละศาสนาของท่านจะแนะนำแก่ท่านครับ ซึ่งทั้งหมดนั้น ล้วนดีทั้งสิ้น และใช้ได้ดียิ่งครับ เพียงแต่เราจะได้ดาวธรรมจริงหรือไม่ เพราะไม่ใช่่ว่าเราได้เป็นคนในศาสนาใดๆ แล้วเราจะได้ดาวธรรมนำชีวิต ชี้ทาง เป็นแสงสว่างแก่เราเสมอไปนะครับ เราจะได้อย่างนั้นจริงก็เมื่อเราปฏิบัติตามคำสอนของศาสนานั้นๆ ครับ ไม่เช่นนั้น ก็จะมีสิ่งที่ตรงข้ามกับดาวธรรมทั้งหลาย มาลากเราออกไปจากทางสว่างครับ


ต่อไป ที่ท่านทั้งหลายควรจะเข้าใจก็คือ ท่านไม่ใช่พระพุทธเจ้า และไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้า นี่ไม่ใช่ยุคของท่านที่ท่านเป็นทั้งสองอย่างนี้ ดังนั้น เราๆ ท่านๆ ทั้งหลายจะเป็นอะไรไปไม่ได้ในสองอย่างนี้ แต่เราจะเป็น "ผู้ตาม" พระเจ้า, พระพุทธเจ้า, พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือสิ่งศักดิสิทธิ์อื่นๆ ก็ได้ สรุปชัดๆ ก็คือ "เราทุกคนเกิดมาเ็ป็นผู้ตาม" แต่เราบางคนอาจจะมีสภาวะผู้นำมากบ้าง แต่มันก็ไม่ได้มากไปกว่าพระพุทธเ้จ้า, พระปัจเจกพุทธเจ้า, พระเจ้า ฯลฯ อะไรหรอกนะ อย่างที่บอกว่า "มันยังไม่ใช่ยุคของเราๆ ท่านๆ" นะครับ ดังนั้น เราจึงต้องทำตัว ทำหน้าที่แบบ "ผู้ตามที่ดี" ไปก่อน จึงจะเหมาะสมกับยุคสมัยนี้ครับ และในขณะเดียวกัน เราก็สามารถที่จะมี "สภาวะผู้นำ" ได้ครับ อันนี้ ไม่ใช่ข้อห้าม แต่ไม่ใช่สิ่งที่เราจะเป็นในยุคนี้เท่านั้นเอง สรุปก็คือ เราจะเริ่มจากการเป็น "ผู้ตามที่ดี" ก่อน เดินตามดาวธรรมให้ได้จากนั้นเราจึงจะเป็น "ผู้นำที่ดี" ได้ คือ นำทางคนอื่นๆ ที่หลงทางและไม่มีดาวธรรมให้เขาได้พบกับดาวธรรม หรือเดินทางตามเรามาในท้ายที่สุด นั่นเอง นี่ก็คือ "สองบทบาทที่สมดุลและเหมาะสมกับยุคสมัย" ครับ ดังนั้น ผมจึงไม่ได้เน้นให้ท่านเป็นผู้ตามใครบนโลกนี้ หรือเดินตามมนุษย์คนไหนแต่ผมต้องการให้ท่าน "หาดาวธรรม" ให้เจอแล้วเดินตามแสงจากดาวธรรมนั้น เพื่อที่ท่านจะได้ทำหน้าที่เป็น "ผู้นำ" มนุษย์คนอื่นๆ ให้ไปสู่แสงสว่างยังดาวธรรมเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นดาวธรรมแห่งศาสนาใดก็ ตาม ซึ่งท่านอาจจะมีอย่างน้อย ๑ ดาวธรรม หรือหากท่านสามารถจะเชื่อมโยงกับแสงของดาวธรรมได้มากกว่า ๑ ดาวธรรม ก็ได้ครับ 


แม้แต่ในพระพุทธศาสนา ชาวพุทธหลายท่านคิดว่ายึดมั่นและศรัทธาในพระพุทธเจ้าอย่างมาก แต่ผมอยากจะบอกให้ท่านทราบว่าท่านยังเสี่ยงที่จะถูก "สิ่งอื่นที่ตรงข้าม" ดึงลากท่านออกไปจากสิ่งที่ท่านนั้น ศรัทธาได้ครับ ผมจึงต้องเขียนเรื่องดาวธรรม ไม่ใช่เพื่อศาสนาหนึ่งใด แต่เพื่อทุกๆ ศาสนาและที่ไม่ใช่ศาสนา หมายรวมทั้งหมด เื่พื่อเตือนให้ท่านทั้งหลาย ค้นหาสิ่งที่ท่านศรัทธาให้พบ และปฏิบัติให้ได้มรรคผลจริงๆ เพื่อให้ท่านได้เชื่อมโยงกับดาวธรรมหรือสิ่งศักดิสิทธิ์สูงสุดที่ท่านเคารพศรัทธานั้น อย่าให้สิ่งอื่นใดมาขวางกั้นระหว่างท่านและสิ่งที่ท่านศรัทธาไปเสียก่อน เช่น สมัยโบราณ ชาวพุทธอยากฟังธรรมก็ตรงไปหาพระพุทธเจ้า แต่เดี๋ยวนี้ เราไม่ไปหาท่านหรอก เพราะท่านปรินิพพานแล้ว เราจะไปหา "หลวงปู่หลวงพ่อ" แทน แล้วเราก็นึกว่าเราได้เชื่อมโยงกับพระพุทธเจ้าแน่นอนแล้วแต่ มันอาจจะไม่จริงก็ได้ เพราะอะไร? เพราะเราทำตัวเปลี่ยนไป ไม่เหมือนชาวพุทธแต่ก่อนที่จะต้องไปพบพระพุทธเจ้าโดยตรงไงละครับ ผมเลยแนะนำท่านว่าให้เชื่อมต่อกับพระพุทธเจ้าเหมือนเรามี "ดาวธรรม" นำทางไง ไม่ได้ห้ามถ้าท่านจะไปพบหลวงปู่, หลวงพ่ออะไร แต่ถ้าจะให้ดีเราควรจะได้ตรงไปสู่พระพุทธเจ้าก่อนนะครับ อย่าไปคิดว่าพระพุทธเจ้านิพพานแล้วก็ไม่อาจสื่อสารกับเราได้ อย่างที่บอกให้ึคิดว่าเราจะมีัดาวธรรมหนึ่งดวงที่ส่องนำทางเราให้ได้ก่อน อย่างอื่นค่อยๆ มาเป็นองค์ประกอบ ไม่ใช่มายิ่งใหญ่แทนที่ ทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้เชื่อมโยงถึงพระพุทธเจ้าเลย!


เอาละ เดี๋ยวจะเครียดกันเกินไป ไม่มีอะไรมาก ก็แค่เหมือนเรามีดาวหนึ่งดวงประจำตัวเราส่องแสงนำทางเรา ก็เท่านั้นเอง อาจจะเป็นดาวฤกษ์เหมือนดวงอาทิตย์หรือดาวเคราะห์แบบดวงจันทร์หรืออื่นๆ ก็ได้ครับ ได้ทั้งนั้น แต่ว่า "เรามีหรือยัง" เราได้หรือยัง? เราถึงหรือยัง? อย่าืลืมเช็คดูละ เพราะหลายคนมักคิดว่าเราอยู่ในศาสนานั้นๆ แล้วก็จะต้องได้เชื่อมโยงถึงพระศาสดาของศาสนานั้นๆ อย่างแน่นอน ซึ่งมันไม่ได้เป็นความจริงเสมอไปนะครับ โอเค เม้าท์มายาวน่าดู พอควรแล้ว เด็กๆ จะได้นอนหลับฝันดี นิทานก่อนนอนขอจบแต่เพียงเท่านี้ ก่อนนอนอย่าลืมดื่มนมด้วยละเด็กๆ เอาละ ไปก่อน ราตรีสวัสดิ์ครับ 




วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

ตัดต่อพันธุกรรมต่างดาวให้ก้าวล้ำ ด้วย "พลังไกอา"!

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับวันพุธกลางสัปดาห์ที่บางคนอาจเริ่มล้ากับการทำงาน อย่าลืมหาอะไรกระตุ้นพลังให้ไปต่อได้อย่างสนุกต่อไปละ แต่หวังว่ามันคงไม่ใช่ยากระตุ้นกำลังนะครับ เอาละมาเข้าเรื่องของเราดีกว่า วันนี้เป็นเรื่องของการตัดต่อพันธุกรรมในระดับพลังงาน ซึ่งพลังของไกอาเข้ามาเกี่ยวข้องกับพลังของมนุษย์ต่างดาวด้วย เพื่ออะไร? ทำไมจึงต้องทำเช่นนั้น? เอาละ ลองดูในรายละเอียดกันดีกว่าครับ


อย่างแรกที่อยากให้ท่านเข้าใจก่อนคือ "พลังต่างดาว" ที่มาสู่โลกนั้น ก็ล้วนต้อง "ปรับตัวเข้ากับโลก" ทั้งสิ้นและมีสองอย่างที่เป็นไปได้ คือ  ๑. ปรับตัวได้ดี ๒. ปรับตัวไม่ไ่ด้ ส่วนหลังที่ปรับตัวไม่ไ่ด้ มีสองแบบคือ

๑. ถูกโลกขจัดทิ้งไป คือ เมื่อปรับตัวไม่ได้แล้ว ก็จะอ่อนแอลง และจะตายไปเอง ซึ่งพันธุกรรมต่างดาวที่เข้ามาจำนวนมาก ก็มีสภาพเช่นนี้

๒. กำจัดโลกและสิ่งอื่น คือ เมื่อมีกำลังแก่กล้า แข็งแรงกว่าโลก ก็อาจกลายเป็นผู้รุกรานโลก ทำลายโลกหรือสัตว์โลกที่อยู่มาก่อนได้ครับ

แบบที่หนึ่งนี่ไม่มีปัญหา เป็นไปตามหลัก "คัดเลือกโดยธรรมชาติ" นะครับ แต่แบบที่ ๒ นี่สิ ที่เป็นปัญหา คือ จะส่งผลกระทบต่อโลกหรือสิ่งมีชีวิตในโลกได้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหารหรือระบบนิเวศได้ ซึ่งแบบที่ ๒ นี้ จะต้องเป็นกลุ่มที่มีพลังไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เช่น ดาวมฤตยู พวกนี้ มีพลังแก่กล้า และสามารถอยู่บนโลกได้โดยการรุกรานสัตว์โลก หรือแม้แต่ชาวไซย่าร์เอง ก็อาจจะกลายเป็น "ผู้รุกรานโลก" ได้เช่นกัน ในช่วงแรกๆ ดังนั้น การปรับตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้พวกเขาอยู่ร่วมกับสัตว์โลกและโลกนี้ได้ดี


อย่างที่สองที่เราควรเข้าใจคือ แล้วทำอย่างไรละ เหล่าชาวต่างดาวจึงจะปรับตัวเข้ากับโลกและสัตว์โลกได้ดี? ก็มีวิธีที่ง่าย ลัดสั้น อยู่ครับ คือ การตัดต่อพันธุกรรมในระดับมิติพลังงาน ซึ่งเมื่อเกิดการตัดต่อในระดับมิติพลังงานแล้ว จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับวัตถุสสารเองในลำดับต่อไป ซึ่งในขั้นตอนแรก คือ การตัดต่อพันธุกรรมในระดับพลังงานนี้ จะใช้ "พลังไกอา" เป็นตัวช่วยที่สำคัญที่สุดครับเพราะเมื่อชาวต่างดาวได้รับพลังไกอาแล้ว เขาก็จะมีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับโลก มีมุมมอง และแนวคิดแบบชาวโลกหรือสัตว์โลกไ้ด้เลย อย่างง่ายดาย อุปมาง่ายๆ ก็เหมือนกับ "โงกุนตอนที่ถูกตัดหาง" อะไรอย่างนั้น แต่ถ้าชาวต่างดาวนั้นไม่ได้รับพลังไกอา หรือไม่อาจปรับตัวเข้ากับโลกได้แล้วก็จะนำปัญหามาสู่โลกได้มากทีเดียวครับ อย่างแรกคือ พวกเขาอาจไม่ทำงาน ทำงานแบบมนุษย์โลกไม่เป็นแล้วแก่งแย่งทรัพยากรของสัตว์โลกไปเฉยเลย เหมือนกับสัตว์ในป่าที่แย่งอาหารกันอะไรแบบนั้นน่ะครับ และจะกลายเป็นปัญหาของโลกได้อย่างยิ่งนะครับ แต่อย่าเพิ่งตกใจไปครับ เพราะชาวต่างดาวที่เข้าข่ายแข็งแรงและอยู่เหนือโลกได้แบบนี้ ไม่ใช่ว่าจะมีมากครับ เป็นส่วนน้อยเท่านั้น ส่วนมากของชาวต่างดาวจะอ่อนแอและปรับตัวเข้ากับโลกได้ยาก จึงจำเป็นที่จะต้องพึ่งพามนุษย์ และแลกเปลี่ยนอะไรกับพวกมนุษย์ เช่น การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีขั้นสูงกับการได้รับความช่วยเหลือจากชาวโลกบางกลุ่ม เป็นต้น เอายกตัวอย่างง่ายๆ เลย เทคโนโลยีการตัดต่อพันธุกรรมนั้น คุณก็รู้ว่าโลก เรียนรู้ตามหลักวิวัฒนาการของชาล ดาร์วิน คือ พันธุกรรมจะพัฒนาไปตามการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมแต่ทำไมจึงมีคนคิดได้ว่า ใช้รังสีบางประเภททำให้เกิดการกลายพันธุ์ หรือการพัฒนาสายพันธุ์จากการใช้รังสีตัดต่อพันธุกรรมได้? อันนี้ มันไม่ใช่เทคโนโลยีหรือความรู้ที่มีอยู่เดิมของโลกเลยนะครับ เห็นไหมละว่าเทคโนโลยีบางอย่าง "มันมาจากไหน?" ไม่มีของโลกเก่าเดิมเป็นรากฐานให้มัน แต่มันมาได้ยังไง? เอาละ นี่เป็นแค่ตัวอย่างสมมุติเท่านั้น ก่อนที่จะออกนอกเรื่องไปไกลเกินไป เดี๋ยวจบไม่ลงครับ


เอาละ เม้าท์เรื่องของการตัดต่อพันธุกรรมในระดับพลังงานโดยใช้พลังไกอามาช่วยให้ชาวต่างดาว ปรับตัวเข้ากับโลกได้มากขึ้น มาพอควรแล้ว คงเกิดความสงสัยว่าแล้วทำอย่างไรละ? ใช่ไหม? เอาเป็นว่าไม่ใช่เรื่องของเราที่จะกระทำครับ เป็นเรื่องของผู้ที่อยู่ในระดับที่สูงขึ้นไปจะทำกับเราเอง ถ้าเราสมควรจะได้รับมัน และเมื่อเราได้รับแล้ว เราก็อาจมีวิถีชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิม เช่น อาจจะมีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายมากขึ้น เหมือนคนโบราณมากขึ้น จากที่เคยอยู่เหมือนคนเมือง ก็อาจกลายเป็นต้องอยู่เหมือนฤษีบ้าง, เกษตรกรบ้าง, ชาวป่าบ้าง, ชาวเลบ้าง ฯลฯ สำหรับท่านที่ได้รับการจัดสรรแล้ว อย่างเป็นไปทีละน้อย ก็อาจจะยังไม่ถึงกับเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตทั้งหมด มันจะค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปเพียงบางส่วนครับ ก็มีบ้าง บางคนที่ได้รับการจัดสรรแบบเต็มๆ เลย ชีวิตเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนอีกคนเลยก็มี คือ เหมือนกำเนิดใหม่เลย นั่นแหละ ก็อย่าตกใจไปครับ ถ้าเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นกับใครหรือคุณ โดยหาเหตุผลอธิบายได้ยาก หรือไม่น่าจะเป็นไปได้ ก็ตั้งสติไว้ และยอมรับมันว่าถึงวาระของคุณแล้วที่จะได้รับพลังของไกอา เืพื่อเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าสู่โลกให้ดียิ่งขึ้นเท่านั้นเอง อย่าคิดมาก วันนี้ ขอจบบทความลงเพียงเท่านี้ก่อนครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ




วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556

เมื่อกระตุ้นหรือระเบิดพลังแล้ว ท่านควรผ่านด่าน "ความดิบเถื่อนของพลัง" นั้นก่อนจึงจะใช้พลังสะอาดได้

บทความนี้ เหมาะสำหรับหลายท่านที่พลังงานตื่นแล้ว แต่ยังไม่อาจที่จะควบคุมมันได้ เป็นมากในเด็กวัยรุ่นนะครับ เช่น ช่างกลที่ตีกัน ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าพวกคุณคือ ผู้มีพลังพิเศษ แต่ยังขาดการพัฒนาให้นำไปใช้ในทางที่เกิดประโยชน์ต่อตัวเองและประเทศชาติครับ ช่วงนี้ จะมีพฤติกรรมที่เีรียกว่า "เถื่อน-ดิบ-ห่าม" เกิดขึ้นบ้างครับ คือ พลังงานเหล่านี้มันเป็นธรรมชาติมาก ไม่ปรุงแต่งเลย มันตรงไปตรงมาของมัน ถ้ามันโกรธ อยากชกหน้าคน มันก็ชกเลย ไม่มีปรุงแต่ง ไม่มีมาคิดว่าจะดีหรือไม่? จะเกิดอะไรขึ้นตามมา เอาละ เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น เรามาเข้าสู่เนื้่อหาการบริหารการตื่นขึ้นของพลังฯ ดังรายละเอียดต่อไปนี้


อย่างหนึ่งที่สำคัญมากและท่านควรทราบคือ เมื่อใดที่ท่านได้รับการกระตุ้นหรือระเบิดพลังออกมาใหม่ๆ มันจะมีปัญหาได้ คือ พลังนั้นยังมีความเถื่อนดิบเหมือนสัตว์ป่าที่ดุร้ายอยู่ ดังนั้น พลังเหล่านั้นอาจครอบงำให้ท่านไปทำสิ่งที่ผิดพลาดได้ เช่น วัยรุ่นที่ชอบตีกัน นั่นแสดงว่าพลังของพวกเขา "ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น" หรือ "เกิดการระเบิดพลัง" แล้ว สิ่งที่เขาควรต้องเรียนรู้และเข้าใจตัวเองต่อไปก็คือ พลังนั้น ยังใหม่และมีความดิบเถื่อนอยู่ ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ ในทันที จะต้องให้ "ผู้เฒ่าเต่า" ตัดหางปล่อยวัดก่อน เอ้า ไม่ช่าย ล้อเล่ง ก็คือ จะต้องมีการทำให้เป็น "พลังสะอาด" ก่อน นั่นเอง จึงจะเหมาะสมที่จะนำไปใช้ได้ครับ ย้ำนะครับ "เป็นธรรมชาติของพลังงานทุกชนิด" ครับ ไม่เว้นแม้แต่พลังเอี๊ยง, พลังหยาง, พลังหยิน, พลังอิม, พลังไซย่าร์ หรือพลังอะไรก็แล้วแต่ มันเหมือน "หัวน้ำ" มันจะขุ่นๆ มาก่อน ยังไม่ใสสะอาดจริง เหมือนน้ำมาใหม่ๆ ต้องรอให้มันใสสะอาดก่อน ถึงจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ เด็กๆ วัยรุ่นที่ตีกัน ทีนี้ คงเข้าใจตัวเองบ้างนะครับ และผู้ใหญ่ทั้งหลายที่สงสัยว่าทำไมเขาชอบตีกันจัง ดูไร้สาระจัง ถ้าเข้าใจตรงนี้ได้ ก็เออว่ะ จะได้เข้าใจกันซะทีนะ เขาได้รับการกระตุ้นหรือปลุกพลังแล้ว แต่พลังเหล่านั้นยังเถื่อนดิบอยู่ มันจึงยังไม่ใช่พลังสะอาด ยังไม่ึเหมาะสมที่จะนำมาใช้ ในทันที นั่นเองอย่างไรละครับ


อย่างที่สอง คุณต้องเข้าใจด้วยว่า "พลังงานคือธรรมชาติ ธรรมชาติมีพลังงาน" ดังนั้น ในตัวคนทุกคนมีพลังงานทั้งนั้น แตกต่างกันไปครับ ไม่ใช่ว่ามีแต่เอี้ยก้วย, เตียบ่อกี้, จางซานฟง ฯลฯ หรือพระเอกหนังจีนกำลังภายในเท่านั้นที่มีพลังงานภายใน จะบ้าเหรอ ถ้าคนเราไม่มีพลัง มันก็ตายซี้แหง๋แก๋อ่ะดิ ไม่มีแรงเดิน, แรงหายใจ, แรงขี้, แรงตด กันแล้ว ฮ่าๆๆ มันมีอยู่แหละ แต่แบบไหนก็เท่านั้นเอง เป็นพลังงานหายากพิเศษไหม อะไรแบบนั้น อย่างคนทั่วๆ ไป ทุกคนมีพลังเก้าเอี้ยงทั้งนั้นเป็นพลังงานที่ใช้ในการย่อยอาหาร, เผาผลาญอาหาร, สันดาปอาหาร, ฟื้นฟูร่่างกาย, ขจัดเชื้อโรค ฯลฯ เป็นต้น ไม่ใช่แค่นี้ มีทั้งพลังกุณฑารินีร้อนและเย็น แต่มันตื่นยากมาๆๆๆ แบบว่า้ต้องฉุกเฉินหรือมีคนจะทำร้ายเราจริงๆ แล้วเราฮึดสู้อะำไรแบบนั้น มันก็ตื่นขึ้นมาเองได้ครับ อย่างพ่อกับแม่ของผม ก็ด่ากันทะเลาะกันประจำเลย ตอนไม่ด่ากัน ไม่ทะเลาะกันนี่ ทำท่าจะป่วย อ่อนแอเป็นนางเอกไปได้ แต่พอได้ทะเลาะกันวันละนิด ดันร่างกายแข็งแรงเสียนั่น อ้อ นี่คือ การกระตุ้นพลังชีพให้กันและกันนั่นเองครับ เหล่านี้คือตัวอย่าง "การตื่นขึ้นของพลังพื้นฐานของมนุษย์" ที่นี้มันมีพลังงานที่พิเศษอีก เช่น พลังงานจักรวาลสายต่างๆ ที่หาได้ยากในมนุษย์ เช่น พลังไซย่าร์ เป็นต้น อันนี้เป็นของพิเศษ หายากหน่อย ก็เท่านั้นเองครับ ซึ่งไม่ว่าเป็นพลังงานชนิดใดก็ตาม จำต้องพิจารณาก่อนว่าสะอาดพอที่จะใช้หรือยังนะครับ


เอาละ ทีนี้ เราก็มาเข้าสู่ "กระบวนการชำระล้างพลังงาน" เพื่อให้ได้พลังงานที่สะอาดกัน เมื่อผ่านกระบวนการนี้แล้ว คนที่มีพลังพิเศษ ก็จะใช้พลังเหล่านั้นในทางที่ดี สร้างสรรค์ได้นะครับ ซึ่งในร่างกายเรานี้ มันมีระบบที่ออกแบบมาพิเศษแล้วโดยธรรมชาติครับ เมื่อเราขยับตัวไป ไม่อยู่นิ่งเกินไป พลังงานภายในจะไม่แช่ขัง และเกิดการหมุนเวียนจนถึงขั้นได้รับการซักฟอกให้สะอาดเองตามธรรมชาติครับ ทว่า เมื่อพลังมันตื่นขึ้นนั้น คนเราส่วนใหญ่จะถูกพลังครอบงำและจะขับดันให้ไปทำสิ่งที่ไม่ดีเสียมากกว่า อย่างเช่น โงกุนตอนที่ยังไม่ถูกตัดหางถ้าพลังตื่นขึ้นก็จะกลายร่างเป็น "ปีศาจคิงคอง" แล้วก็อารวาด นั่งไงครับ เอาละ ที่นี้ มีเพื่อนๆ หลายคนกำลังเป็นเช่นนั้นอยู่ เคยใช้ไหมละครับ ที่จู่ๆ รู้สึุกเหมือนมีพลังอะไรขับดันแรงๆ แล้วมันก็ไปเลย ผ่านไปอีกทีก็ตีกันซะแล้ว บางทีก็หมดแรง หมดพลัง โดนจับได้ เข้าโรงพักไปก็มี ที่ไม่หมดแรงก่อน ยังไม่ถูกจับได้ ก็รอดตัวไป อย่างเช่น เด็กแว้นซ์ที่ยังไม่ถูกตำรวจจับน่ะครับ แต่ถ้าโดนจับก็ซวยเลย ซีดเลยเหมือนกันนะครับ กลับบ้านโดนคนที่บ้านด่าแน่ แถมยังอาจจะถูกจับจ้องหรือถูกควบคุมความประพฤติทำอะไรได้ยาก ลำบากและไม่มีอิืสระไปอีกนาน ดังนั้น เราจึงต้องชำระล้างพลังงานให้สะอาดก่อนใช้ครับ "เคล็ดลับ" ง่่ายๆ คือ การขยับเขยื้อนร่างกายทำอะไรก็ได้ ที่ไม่กระทบต่อใครน่ะครับ เช่น ออกกำลังกาย, วิ่ง, วิดพื้น, ซ้อมมวย, ปั่นจักรยาน ฯลฯ ทำไปครับ ทำให้มันผ่านช่วงที่พลังตื่นขึ้นมาเยอะๆ จนเราควบคุมมันไม่ได้ก่อน แล้วพอมันเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว เราค่อยคิดเอาพลังงานนั้นไปทำอะไร ที่ไม่ใช่แค่ออกกำลังกายไปวันๆ ทำอะไรที่มันเจ๋ง อย่างเช่น เพื่อนๆ บางคนก็เต้นเบรกแด๊นซ์อะไรแบบนั้น หรือบางคนก็เต้นบีบอย ได้เจ๋งมากๆ เลยครับ ผมเคยเห็นเขาหมุนได้ทั้งตัวเลย สมดุล ดีัมากๆ นั่นคือ ผ่านการชำระพลังงานให้สะอาดแล้ว ทีนี้ ก็โชว์ผู้คนหรือเข้าสังคมได้อย่างไม่ต้องระวังอะไรมากแล้วครับ ไม่ผิดกฏหมาย


เอาละ บทความนี้เป็นบทความง่ายๆ จริงๆ แล้วพื้นๆ มาก และเกิดแล้วด้วย เยอะแยะไป เด็กวัยรุ่นหลายคนอยู่ในช่วง "พลังตื่น" แล้วพลังที่ตื่นขึ้นมาใหม่ๆ นี้แหละ ทำให้ควบคุมมันไม่ได้ มันก็เลยควบคุมเรา มันขับดันเราไปในทางที่ทำให้เราเดือดร้อนในวันหน้า อย่างเช่น ถ้าโดนตำรวจจับนี่ มันใช่ปัญหาว่าจะนอนคุกหรอกครับ ผมคิดว่าพ่อแม่เพื่อนบางคนมีเส้นใหญ่ ช่วยออกมาได้ แต่ว่า "มันจะมีประวัติเราในแฟ้มคดีของตำรวจ" ครับ ทีนี้ พอเราจะทำอะไรต่อไปข้างหน้า อะไรๆ เขาก็จะสืบค้นจาก "แฟ้มประวัติ" ก่อน นี่แหละ ปัญหาความยุ่งยากวุ่นวาย มันจะตามมาละ ซึ่งผมก็เคยผ่านช่วงวัยนั้นมาบ้างเหมือนกัน (แหมใครจะไม่เคยเป็นวัยรุ่นมาก่อนละครับ) ก็ถ้าเพื่อนๆ โชคดี ก็จะไม่มีประวัติในแฟ้มคดีอาชญากรรมนะครับ อนาคตข้างหน้าไม่ลำบากใจหน่อย แต่ถ้ามีก็ไม่ค่อยสะดวกนักที่จะทำอะไรในอนาคตข้างหน้า เท่านั้นแหละ เอาละ คืนนี้ มาเร็ว เคลมเร็ว มีเวลาเหลือนิดหน่อย สวัสดีครับ




แปรเปลี่ยนพลังมารและอุปสรรคขัดขวาง ให้กลายเป็น "ความเหนือชั้นกว่า" ได้อย่างไร?

เอ้า บทความนี้เหมาะกับคนที่มักพบกับอุปสรรคมากๆ หรือมีมารขวาง มากๆ นะครับ เพราะมันคือ "เคล็ด (ไม่) ลับ" และเทคนิกที่จะจัดการกับอุปสรรคขัดขวางและมารที่เข้ามารุมก่อกวนทั้งหลาย ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นอะไรเลย มันเป็น "เคล็ดลับสั้นๆ เอง" ที่ไม่ต้องท่องจำอะไร แต่เพียงปรับมุมมอง, ทัศนคติของท่านที่มีต่อมารหรืออุปสรรคที่เข้ามาขัดขวางท่านทั้งหลาย ก็เท่านั้นเอง ซึ่งผมจะได้อธิบายดังต่อไปนี้


อย่างแรก ผมอยากจะบอกอย่างหนึ่งว่า "ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ มันไม่มีอะไรผิดหรือถูก?" ในเมื่อมันถูกสร้างขึ้นมา มันก็ต้องมีหน้าที่ของมันครับ แม้แต่ศัตรูของเรา ก็ดี, มารร้ายที่ก่อกวนเรา ก็ดี ทุกอย่างล้วนมีหน้าที่ของมันทั้งสิ้นครับ ไม่ว่าจะเป็นไปเืพื่อคานสมดุลให้เราหรือว่าเพื่อภาพรวมของทั้งหมดทั้งมวล ก็ดี ดังนั้น เราจึงควรเข้าใจ "พลังที่ตรงข้ามกับเรา" ครับ เพื่อให้เราเล่นเกมนี้ได้อย่างดีที่สุด ได้ผลคุ้มค่า ที่สุด เราต้องรู้จักใช้พลังทุกอย่าง ทั้งพลังของเราเอง และพลังของฝ่ายตรงข้ามด้วยครับ โดยเฉพาะพลังของภาคมารและอุปสรรคต่างๆ


อย่างที่สอง ผมอยากจะบอกว่าเราจะพลาดท่าทันทีถ้าเราหลงกลพลังฝ่ายตรงข้ามทั้งหลาย เช่น ฝ่ายมาร, ฝ่ายศัตรู ฯลฯ ถ้าถูกเขาครอบงำได้ เราก็จะเสียเวลาและอะไรต่อมิอะไรไปให้ฝ่ายตรงข้ามมากมาย นี่ทุกคนทราบดีนะครับ แต่ถ้าเราต่อต้านหรือขัดขืนอย่างไม่ถูกทาง มันก็จะทำให้เราสูญเสียอีกอย่างหนึ่งได้เช่นกัน สรุป มันจึงไม่ใช่ทั้งการยอมคล้อยตามไปเพราะความหลงหรือยอมเขาเสียหมด และก็ไม่ใช่การขัดขืนอย่างไม่ถูกทางนะครับ ยกตัวอย่างเช่น ภาคมารอาจมาในรูป "หญิงงาม" พัวพันเราให้เราหลงงมงายอยู่ด้วยนานๆ จนเสียงานเสียการ ถ้าเราหลงเขาเข้า เราอาจเสียงานเสียการไปเลย แต่ถ้าเราเก่งมากไป เล่นงานเขาได้หมด เราอาจเสียอีกอย่างหนึ่งก็ได้ นั่นคือ บางทีบริวารของเรา อาจกำลังบำเพ็ญบารมีตามเรามา เขากำลังจะมีฐานะเป็นบริวารเราได้แล้ว แต่ถ้าเราทำงานสำเร็จ บารมีเราก็เพิ่มขึ้นไปอีก เขาก็จะตามเราไม่ทัน อดเลย คือ เขาก็อดไม่ได้เป็นบริวารเรา เราก็อดไม่ได้เขาเ็ป็นบริวาร (แต่บารมีเราสูงขึ้น อาจได้เจอบริวารที่ดีกว่าในภายภาคหน้า ซึ่งอาจทำให้เราต้องรอไปอีกเช่นกัน) เห็นไหมครับ บางที การกระทำของภาคมาร, อุปสรรคขัดขวางต่างๆ ฯลฯ อาจมีหน้าที่ของมันเอง ทุกครั้งที่มีอุปสรรคขัดขวาง มันคือ "โอกาสทองที่ยิ่งใหญ่ที่เราจะสำรวจหน้าที่หรือสิ่งดีๆ ที่เราหลงลืม" นะครับ ดังที่ได้ยกตัวอย่างไปแล้วนั้น ดังนั้น ถ้า่เรามีปัญญาจริง เราอาจจะดูเหมือนมีกิเลสและลุ่มหลงนางมารตามปกติ เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง แต่พอถึงวาระโอกาสปั๊บ เราก็หายหลงปุ๊บทันที เพราะไม่ยึดไงครับ เราก็จะทำงานที่ควรทำได้ทันที ซึ่งถ้าทำเร็วกว่านั้น มันอาจจะเร็วเกินไปจนคนทั่วไปรับไม่ไ่ด้ บริวารตามไม่ทัน, คิดไม่ทัน, ปรับตัวไม่ทัน ฯลฯ ก็ ได้ครับ ดังนั้น ไม่ต้องยึดว่าต้องถูกตลอด, บริสุทธิ์ตลอด, ไร้กิเลสอยู่ตลอด, ดีงามตลอด ฯลฯ ก็ได้ครับ นั่นไม่มีปัญญาแล้ว ทำไมกล่าวว่าไม่มีปัญญาหรือครับ? เพราะไม่มีปัญญาที่จะเข้าใจในหน้าที่ของความหลง-กิเลส ฯลฯ ไงละครับ มันก็เข้าใจได้ครึ่งเดียว เหมือนมีสีขาวอยู่ครึ่งเดียว นั่นแหละ ทีนี้ พอเข้าใจ "ทางสายกลาง" ในแบบของผมนะ


เอาละ ทุกครั้งที่มีมารมาขวางหรืออุปสรรคขวางทางมากมาย ก็ให้มีสติตื่นขึ้นฉุกคิดให้ได้ว่า "ทำไมธรรมชาติส่งพวกเขามาขวางทางเรา" ถ้าคิดได้ ปัญญาสว่างไสว ก็จะเข้าใจทุกอย่างโดยรอบ ไม่ใช่เข้าใจแต่มุมมองของเรา เรื่องของเรา ตัวเราของเรา ที่คิดจะทำอยู่แต่แค่นั้น บางทีผู้มีปัญญาก็เหมือนหลงๆ ไปกับธรรมชาติ, กิเลส, อวิชชา บ้าง แต่มันไม่ใช่ความหลงจริงๆ มันเป็นแค่ "ความไม่ยึดว่าต้องไม่หลง" ก็เลยทำให้คนทั่วไปคิดว่า "เขาหลง" ก็เท่านั้นเอง เอาง่ายๆ เลยผมจะให้สูตรง่ายๆ เป็นตัวอย่างเอาไว้ก็ได้ ถ้าเจอพญามารฯ มาขวาง ก็ให้ทราบว่า "บริวารตามท่านไม่ทัน ให้รอบริวารด้วย" ถ้าเจอมารเทวทัตมาขวาง ก็ให้ทราบว่า "การฝึกฝนของท่านยังไม่สมบูรณ์ ยังต้องฝึกตัวเองต่ออีก" แต่ัทั้งหมดทั้งมวลนี้ "เราไม่จำเป็นต้องเชื่อมาร ให้เราใช้ปัญญาของเราเอง ส่องทางให้ตัวเอง คิดเองว่างั้นเหอะ เพราะสิ่งนี้ มารไม่อาจบอกเราได้ ไม่ใช่เรื่องของมาร มันเป็นเรื่องของเรา ไงละครับ มารจึงไม่ใช่ที่พึ่ง ไม่ใช่เทวทูตมาบอกเรื่องอันควรเชื่อตาม แต่เป็นเทวดาที่เป็นตัวแทนของอะไรบางอย่าง ให้เราฉุกคิดด้วยตัวเอง ในขณะที่เทพหรือเทวทูตจะบอกเราตรงๆ ไม่ใช่วิธีแบบมารนะครับ (ถ้าเจอมาร ให้เราคิดเอง ถ้าเจอเทวทูต เราจึงค่อยเชื่อถือได้ครับ)


เอาละ ถ้าท่านไหนยังมีความคิดหรือทัศนคติเชิงลบกับภาคมาร ก็ดี, ศัตรูของท่านก็ดี ให้ท่านทราบไว้ ณ ที่นี้่ หลังอ่านบทความของผมเลยนะครับว่า "เลิกได้แล้ว ความคิดเก่าๆ แบบนั้น เชยมาก" ลองดู แนวคิดของผมละกัน ใหม่ล่าสุด เอาไปทดลองดู ว่าแต่ "นายแน่อ่ะป่าวอ่ะ" กล้าลองอ่ะป่าว โด่เอ้ย ไม่แน่จริงอ่ะดิ ชอบทำอะไรเดิมๆ เชยจะตายชัก โฮ่ๆๆ เดี๋ยวนี้มันต้่องลองอะไรใหม่ๆ แผลงๆ กันได้แล้ว นะ บักหำน้อยเอ้ย สิบอกไห่ ฮ่าๆๆ ขำๆ ก่อนนอนนะครับ เอาละ ถึงเวลานอนของเด็กๆ กันแล้ว หมดเวลาเม้าท์ของผมเสียที ราตรีสวัสดิ์นะครับ 



วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556

พระนิตยโพธิสัตว์ที่กรรมมากบารมีน้อยจะมาก่อน คนใจง่ายจะได้ของไม่ดี

เดี๋ยวนี้เราจะเห็นคำว่า "นายใครนายมัน" เยอะขึ้นในสังคมไทยและสังคมโลกนะครับ สังคมจะไม่ได้รวมศูนย์เหมือนเก่าก่อน แต่จะถูกจัดแบ่งออกไปเป็นกลุ่มๆ แต่ละกลุ่มสายบุญก็จะมีพระนิตยโพธิสัตว์อยู่ เพื่อนำพาปวงสัตว์ให้ถึงซึ่งพระนิพพาน และในยุคนี้นั้น ก็มีพระนิตยโพธิสัตว์ลงมาเกิดเยอะครับ ให้เราๆ ท่านๆ ทั้งหลาย "ได้เลือกตามใจชอบ" รักใครชอบใคร ก็เลือกกันได้เต็มที่ครับ เลือกแล้วอย่าเสียใจในภายหลัง มันเปลี่ยนยากแล้วครับ ประเมิณกำลังของตัวเองให้ดี แล้วก็เลือกไปตามเหมาะสมกับกำลังของตนครับ เอาละ มาเข้าเรื่องของเราในวันนี้ดีกว่าคือ เรื่องพระนิตยโพธิสัตว์ที่จะปรากฏกายให้สาธารณชนได้รู้จัก, ได้เลือกกัน ซึ่งจะมีลำดับเรียงกันอย่างไร ลองอ่านดูนะครับ


อย่างแรกต้องบอกว่านี่ไม่ใช่คำทำนายนะครับ แต่เป็นข้อมูลที่ผมได้รับมาจากต่างมิติ สั้นๆ ก็คือ พระโพธิืสัตว์มากมายจะลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมีกันในชาตินี้ ไม่ปล่อยโอกาสทองให้หลุดลอยไปง่ายๆ ครับ เพราะเป็นช่วงเวลาทองที่ดีที่สุด ในการสร้างบุญบารมีให้ได้มากๆ นั่นเอง ดังนั้น จึงลงมาหมดครับ ไม่เว้นแม้แต่พระศรีอาร์ฯ ก็ต้องลงมาทำกิจครับ แหม งานใหญ่งานช้างอย่างนี้ จะนั่งนอนอยู่บนวิมานตัวเองได้อย่างไร แต่ว่า ท่านมีบารมีเยอะ ก็เลยแบ่งส่วนเล็กๆ มาครับ ดังนั้น ท่านที่ถอดกายทิพย์ไปเจอท่านบนสวรรค์ ขอให้เข้าใจคำว่า "ตัวตนหลากมิติ ที่อยู่ในมิิติที่สูงขึ้น" นะครับ ถ้าเข้าใจตรงนี้่ได้ ไม่ยากแล้วละ คุยกันง่ายจะตายไป แต่ถ้าไม่ยอมเข้าใจตรงนี้ ก็อย่าศึกษาอะไรที่ลึกซึ้งไปเลยครับ เอาแบบอนุบาลท่อง "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" เท่านั้นแหละ ๓ คำ ไปก็พอครับ  เอาละ มาต่อว่า ท่านลำดับกันมาอย่างไร ก็คือ องค์ที่มีบารมีน้อยๆๆๆ และมีกรรมมากๆๆๆ ต้องเวียนว่ายตายเกิดไปอีกยาวๆๆๆ ท่านจะต้องมาก่อน มาทีหลังไม่ได้ เพราะอะไร? ง่ายๆ ครับ เป็นการกระจายปวงสัตว์ นั่นเอง สมมุติว่าถ้าทุกองค์ปรากฏโฉมออกมาพร้อมกันนะ องค์ที่กวาดเรียบไปหมดก็คือ พระศรีอาร์ฯ น่ะเอง ดังนั้น จะไม่เหลือปวงสัตว์เป็นบริวารให้แก่พระนิตยโพธิสัตว์องค์อื่นๆ เลย ดังนั้น จึงต้องให้องค์ที่แย่หน่อย บารมีน้อยหน่อย กรรมเยอะหน่อย มาก่อน ได้เด่นดังก่อน ส่วนองค์ที่เจ๋งๆ ไว้ทีหลัง เหมือนขายของแหละครับ ของดีๆ เราก็เอาไว้ก่อน ระบายของไม่ดี ให้หมดก่อน ไงละครับ พอเข้าใจหลักการนี้นะ


เอาละ มาดูโลกแห่งความเป็นจริงกันบ้าง มันจะมีคนที่ทำตัวเป็นผู้นำออกมาเยอะแหละครับ เพราะนั่นคือ หน้าที่ของการเป็นนิตยโพธิสัตว์ ทำให้เกิดภาวะที่ไม่มีการรวมศูนย์อำนาจได้เบ็ดเสร็จ อย่างเช่น มีทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง ฯลฯ ให้เลือก ให้เข้ากลุ่ม ครับ เลือกกันเลยครับ อยากเข้ากลุ่มของพระนิตยโพธิสัตว์องค์ไหน เลือกได้ตามสบาย ก็ดีทั้งนั้น ดีกันทุกคน ดีทุกองค์แหละครับ แล้วแต่ชอบครับ ทีนี้ ภัทรกัปหน้าที่พระพุทธเจ้าสมณโคดมได้ให้คำทำนายไว้แก่พระนิตยโพธิสัตว์แล้ว ๒ องค์ ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในภัทรกัปหน้า ก็ยังจะมีพระนิตยโพธิสัตว์บำเพ็ญได้อีก ๓ องค์ รวมเป็น ๕ องค์นะครับ โดยจะมีภาคแบ่งหนึ่งของพระศรีอาร์ฯ แบ่งไปบำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐมให้ภัทรกัปหน้าด้วย ไม่อย่างนั้นไม่ได้พระพุทธเจ้าครบ ๕ องค์ในภัทรกัปครับ กำลังของพระรามเจ้า ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐมแล้ว จะนำพาพระนิตยโพธิสัตว์องค์น้องๆ ได้ไม่ึถึง ๕ องค์ ทำภัทรกัปไม่ไ่ด้ เลยจะต้องเอาภาคแบ่งหนึ่งของพระศรีอาร์ฯ ไปขึ้นเป็นองค์ปฐมอีกองค์ ขอเรียกเป็นชื่อเล่นว่า "องค์อัลฟ่า" ก็แล้วกัน (ส่วนพระศรีอาร์ฯ อีกองค์ คือองค์โอเมก้าจะตรัสรู้เ็ป็นองค์สุดท้ายในภัทรกัปนี้) ส่วนอีกสององค์ ที่จะได้ร่วมในภัทรกัปด้วย ก็มี "เทพสำราญตือโป้ยก่าย" ติดโผมาเป็นองค์สุดท้ายปิดกัปด้วยครับ เป็นน้องสุดท้องในภัทรกัปหน้าก็เลยสร้างผลงานไว้ ไม่ดีเท่าไรนัก เช่น ในชาติที่เกิดเป็น "หยวนซือไข่" เป็นต้น


เอาละ แต่เนื่องจากพระนิตยโพธิสัตว์แต่ละองค์ จำจะต้องมีบริวารที่ผูกมัดใจกันเพื่อร่วมใจกันสร้างยุคสมัยและชาติที่ตนจะได้ตรัสรู้ครับ ดังนั้น เขาจึงต้องมาแรงแซงโค้งและโดดเด่น ได้อำนาจไปก่อนพระนิตยโพธสัตว์องค์แรกๆ ที่ดีๆ เป็นปกติและองค์ที่ดี เจ๋งๆ ก็ยังออกโรงไม่ได้ ต้องอดทนครับ "ขันติ" เข้าไว้ ถึงจะได้ภัทรกัป ได้น้องๆ ตามมาเป็นพระพุทธเจ้าร่วมกัน ครบห้าองค์นะครับ เลยต้องยอมให้ "น้องได้ไปก่อน" ส่วนพี่ก็รอรับทีหลัง ไม่งั้นก็จะกลายเป็น "พี่กวาดเรียบ" ได้คนเดียวทั้งกัป ทำให้ทั้งกัปมีพระพุทธเจ้าองค์เดียวไป ทำไงได้ละ จะสร้างภัทรกัปทั้งทีก็ต้องเหนื่อยยากกันหน่อย ไม่ใช่ของง่าย ไม่ใช่จะได้กันง่ายๆ ดังนั้น ไม่แปลกเลยครับที่บางท่านจะได้รับสัญญาณทางต่างมิติว่าให้ "รอ" ถ้าท่านต้องการร่วมบุญบารมีกับพระนิตยโพธิสัตว์บางองค์ และจำต้องอดทนปล่อยให้พระนิตยโพธิสัตว์องค์อื่นๆ ได้มีอำนาจขึ้นมาก่อน ซึ่งอาจดูไม่ดีนัก เพราะพระนิตยโพธิสัตว์เหล่านั้นมีบารมียังไม่มาก มักจะทำเพียงเรื่องพื้นๆ ที่ไม่ต้องใช้ปัญญามาก เช่น การสร้างถาวรวัตถุ เป็นต้น ในขณะที่เรื่องกิจที่ยากกว่านั้น เช่น การขับเคลื่อนระบบกรรมให้ดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น อันจะช่วยในการขับดันให้ปวงสัตว์ตรงสู่นิพพานนั้น เป็นหน้าที่ของพระนิตยโพธิสัตว์องค์ที่มีบารมีมากกว่าขึ้นไป เป็นผู้กระทำ ดังนั้น เราอาจเห็นการทำกิจที่ยังไม่สมบูรณ์นักในช่วงการบำเพ็ญแรกๆ ของพระนิตยโพธิสัตว์ที่มีบารมีอ่อนนะครับ อย่างไรก็ตาม ทำให้เราทั้งหลายจะได้เห็นผู้มีบุญมาเกิดเยอะเลยทีเดียว สุดท้าย ก็แล้วแต่เรา ว่าเราจะเลือกเดินตามทางของใคร ท่านไหน หรือตามรอยพระพุทธเจ้าเข้านิพพานไปยุคนี้เลย


นี่แหละ ผมถึงบอกว่า "คนใจง่ายจะได้ของไม่ดี" แต่คนที่รักแน่วแน่ไม่แปรอื่น ก็จะได้ของที่ตนเองต้องการแน่นอนครับ เพราะยังรอกันอยู่ไม่ไปกับคนอื่นเขาเสียก่อน ส่วนคนที่ใจง่ายจะรักจะชอบผู้มีบุญบารมีคนอื่นๆ ไปเสียหมด แล้วก็ศรัทธาเจ้านายของตนไป เสียก่อนที่พระนิตยโพธิสัตว์บางพระองค์จะปรากฏกายต่อสาธารณชน เอาละ วันนี้ เรื่องราวค่อนข้างจริงจังไปนิด ไม่ค่อยมีเรื่องเล่นๆ สักเท่าไร เด็กๆ อาจไม่ชอบใจนัก เป็นการสลับกันไปนะครับ จะลงตัวพอดีในระดับฆราวาสคือ มีเรื่องธรรมะบ้างนิดหน่อย พอควร เรื่องการบำเพ็ญบารมีไปต่อในยุคหน้่าบ้าง กำลังดี อะไรแบบนั้น สำหรับบทความวันนี้ ก็เหมาะสมไม่มากไม่น้อยเกินไป เอาแต่วันละพอดีๆ นะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ