วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556

เคล็ดลับการใช้พลังดึงดูดทรัำพย์ของมนุษย์ไฟฟ้าสองขั้ว ภาคสอง

สวัสดีเด็กๆ ทั้งหลาย อีกทั้งผู้ใหญ่ที่ไม่อยากแก่ แอ๊บแบ๊วหน้าเด็กอยู่ทั้งหลายด้่วย วันนี้ วันเด็ก ท่องคำขำ เอ้ย คว่ำขัน เย้ย ไม่ช่าย เดี๋ยวเอาถาดตีหัวเลย "ตะลึ่ง ตึง โป๊ะ" คำขวัญอ่ะ พี่ชายไม่ท่องหรอก มันงมงาย ท่องแต่ปากแต่ไม่รู้ความหมาย ใช้ไม่ได้ค่ะ ดังนั้น ต้องแปลให้ออกด้วยนะคะ เช่น Save rule (รักษาวินัย) ก็คือต้องใช้ถุงยางอนามัยแบบไม่มียาฆ่าเชื้อ จะไม่แสบนะคะ ส่วน Find learn (ใฝ่ศึกษา) ก็คือ "ควายเดิน" แต่ฝรั่งออกเสียงเพี้ยนไปค่ะ เอาละ จะไม่แปลทั้งหมดนะคะ อ๊ะ อย่าสงสัยว่าพี่ชายไม่รู้นะคะ เำพราะว่าพี่ชายอยากให้เด็กๆ คิดได้เอง จะได้ฉลาดกันทุกคนเพราะว่า "พี่ชายรักชาติ" ค่ะ โอวเค เรามาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่่านะตัวเอง หัวข้อของเราในวันนี้ก็คือ เรื่อง "พลังไซย่าร์พาร่ำรวย ตอนที่สอง" ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


อย่างแรกเรามาทบทวนกันเล็กน้อยในบทความก่อนๆ ที่กล่าวถึงพลังไซย่าร์ไปบ้างแล้ว คงพอเข้าใจกันนะครับ ง่ายๆ คือ มันมีขั้วบวกและลบ เราก็จะเอาขั้วลบลงไปที่ดาวมฤตยู และเอาขั้วบวกมาสร้างสรรค์อะไรก็ได้ครับ เหมือนผู้หญิงบางคนที่โกรธแค้นคนรักของตน แล้วก็มีพลังมากมายทำอะไรได้เยอะแยะแหละครับ แต่นี่เราจะไม่เอาพลังขั้ว ลบไปลงคนทั่วไปนะครับ ไม่เช่นนั้น เราจะัไม่ได้พ้นพลังของดาวโลกนี้ และติดอยู่ในมิติมาร เท่านั้นเอง เราไม่ได้โกรธแค้นดาวมฤตยู เราก็แค่มีทัศนคติเชิงลบ ไม่นิยมกับวิธีของเขา ก็เท่านั้น (มันจำเป็นครับที่เราต้องมีทัศนคติเชิงลบด้วย ไม่เช่นนั้น เราก็จะไม่มีพลังขั้วบวกด้วยเช่นกัน) เมื่อเราเซ็ทระบบพลังงานไฟฟ้าสองขั้วของเราได้เหมาะสมแล้ว เราก็จะฝึกฝนที่จะใช้พลังไฟฟ้าสองขั้วของเราต่อไปครับ ซึ่งมันอาจจะแปลกและดูยากในตอนแรก แต่เมื่อคุณจับทางได้ และเริ่มคุ้นกับมัน ก็จะสามารถทำได้อย่างลื่นไหล เหมือนทำงานตามปกติครับ


ต่อไปคือ ผมอยากจะย้ำอีกว่าเราไม่จำเป็นต้องมีอาชีพ, ทำงาน หรือหาวิธีให้ได้เงินมา มันไม่เกี่ยวกับเรื่องอย่างนั้น อันนั้นเป็นแค่เปลือกสมมุติของโลกที่ห่อหุ้มเราเท่านั้นครับ คนเราสามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่ใช้เงิน เช่น ฤษี, พระเคร่งๆ เป็นต้น แต่ผมไม่ได้แนะนำให้คุณเป็นเช่นนั้น เราจะอยู่แบบชาวไซย่าร์ต่างหากละ คือ เราจะมีพลังขั้วบวกในการดึุงดูดเงินเข้ามาได้ด้วย แต่มันอาจมากหรือน้อยตามแต่พลังที่คุณมีด้วยนะ มันเข้ามาได้ทุกรูปแบบ และคุณไม่ต้องไปสนใจรูปแบบที่มันจะเข้ามาหรอกนะ ไม่ว่าจะเข้ามาในรูปแบบอาชีพ, เงินเดือนหรืออะไรๆ ก็ตาม มาได้ทั้งนั้นครับ สำหรับคนที่ไม่มีพลังบุญที่จะได้รับเงิน ถ้าเขาอยากได้และใช้พลังผิดวิธี เช่น พลังของภาคมืด เพื่อให้ได้เงินมา เขาก็จะได้รับผลเสียตามมาภายหลังเอง เช่น เขาอาจจะลงทุนทำธุรกิจได้เงินมากมาย แต่ชีวิตเขา ทำไมจึงมืดมนลงเรื่อยๆ อย่างนี้ก็มีนะครับ นั่นก็ไม่ใช่วิธีที่ผมแนะนำอีกเช่นกัน เราควรเข้าใจเรื่องพลังให้มากเพื่อใช้พลังงานให้ถูกประเภทครับ ทีนี้ เมื่อคุณมีพลังขั้วบวกแล้วคุณก็จะต้องทำให้มัน "ไหลเวียน" นะครับ เหมือนไฟฟ้ามันก็ต้องการไหลเวียนเพื่อทำให้เกิดงาน ทำให้เกิดอะไรต่อมิอะไรขึ้น ใช่ไหม ทีนี้ คุณจำเป็นนะครับที่จะต้อง "ไม่เป็นปลาตายหรือพระปูนปั้น" เรายังใช้ร่างกาย ขยับได้ เราก็ต้องขยับครับ ขยับทำอะไร? ได้ทั้งนั้นแหละครับ     ถ้าคนไหนขยับได้แค่ลมหายใจ ก็เอาแค่ลมหายใจก็ได้ครับ เข้า-ออกเท่านั้นเอง แต่ให้มีพลังขั้วบวกไหลเวียนออกไปสู่สิ่งภายนอก เพื่อจะจูนเอาพลังดีๆ เข้ามาเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับเราครับโดยเฉพาะถ้าคุณสามารถเชื่อมโยงพลังกับมนุษย์ด้วยกันได้ ก็จะดีมากครับ เพราะในตัวคนจะเหมือนเป็นหม้อไฟฟ้าขนาดใหญ่ จะยิ่งทำให้พลังของคุณขยายวงกว้างได้มากขึ้นครับ ซึ่งง่ายมาก มันก็คือ "การสื่อสารและการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน" นั่นเอง จะช่วยให้พลังงานไฟฟ้าขั้วบวกของคุณมีการไหลเวียนได้อย่างดี คุยอะไรก็ได้ครับ ตามที่สมองคุณพิจารณาแล้วเห็นว่าเหมาะสม ไม่จำเป็นต้องคุยเพื่อขายของอะไรให้ได้เงินมา อันนี้เน้นครับไม่ว่าจะคุยโดยตรงแบบตัวต่อตัวเห็นหน้ากันหรือคุยโดยผ่านสื่อต่างๆ ก็ได้ครับแต่คุยผ่านสื่อจะยากกว่าเพราะต้องใช้พลังผ่าน วัตถุนะครับ ซึ่งวันนี้ ผมยังไม่พูดถึงเรื่องการใช้พลังผ่านวัตถุนะครับ


ขั้นต่อไปคือการเคลียร์พลังงานและเซ็ทระบบพลังเข้าที่เดิม กล่าวคือ  ทุกครั้งที่เรามีการใช้พลังเชื่อมโยงกับคนอื่นๆ เราก็อาจได้รับและถ่ายโอนพลังแลกเปลี่ยนระหว่างกันนะครับ ดังนั้น พลังงานของเราที่เซ็ทไว้ดีแล้วก่อนทำกิจ ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้ เช่น ถ้าเราไปเจอคนที่มองโลกในแง่ร้าย พลังขั้วลบของเขาอาจถ่ายเทมาที่เรา และพลังขั้วบวกของเราอาจถ่ายเทไปที่เขา เราจึงจำเป็นที่จะต้องเคลียร์พลังให้เข้าที่ดังเดิมครับ คือ การหมุนเวียนใช้พลังขั้วลบไปในทางที่ึควร ก็คือ พุ่งตรงไปยังดาวมฤตยู (เขาจะรับเอาไปใช้่ได้นะครับ) เช่น เวลาเรารู้สึกไม่ดีกับการทำงาน ก็พิจาีีรณาว่าดีกว่าอยู่เฉยๆ รอให้โลกแตกนะ อะไรๆ ที่ไม่ดีทั้งหลายที่พวกสาวกโลกแตกต้องการทำลายซะ มันไม่เวิร์ก เพราะสิ่งไม่ดีมันไม่ใช่ทั้งหมดจะไปทำลายทั้งหมดได้อย่างไร   (ต้องเลือกจัดการอย่างเหมาะสมจะดีกว่า) อะไรแบบนั้น เวลาเราเกิดความคิดเชิงลบกับใคร ก็พิจารณาแบบนี้ ใช้พลังไปยังดาวมฤตยูแทน ไม่เช่นนั้น มันจะเกิดการสะเทิ้นกัน คือ ขั้วบวกกับขั้วลบมันหักล้างกัน เอง จนทำให้พลังไฟฟ้าในตัวกลายเป็น "ฐานศูนย์" มันจะทำให้เรามีความรู้สึก "ปลงต่อโลก ปลงต่อมนุษย์" เกิดปัญญาทางธรรมได้ ก็ให้มันเกิดไป ไม่ได้ห้ามคนจะมีปัญญานะครับ แต่อย่่าจม อย่ายึด อย่าแช่ กับมัน มันไม่ใช่สรณะ ไม่ใช่ความเที่ยง ไม่ใช่ที่ๆ เราจะไปพึ่งพาอาศัยไปได้ตลอด เราก็ออกจากพลังฐานศูนย์ให้ได้ แล้วแยกประจุบวก-ลบ ออกมา เพื่อใช้พลังขั้วบวกไปในกิจสร้างสรรค์ของเรา อย่างไรละครับ


เอาละ วันนี้ ค่อยๆ ไปทีละน้อย เอาแค่การใช้พลังและการเซ็ทพลังให้กลับคืนภาวะปกติ ซึ่งคุณจะต้องทำทุกวันทีเดียว บางคนทำวันหนึ่งๆ มากกว่า ๑ ครั้งเลยครับ เพราะบางทีระบบพลังงานของคุณ อาจไม่ดี มีปัญหาได้จากการที่คุณต้องใช้พลังบ่อยๆ หรือมากเกินไป สูญเสียพลังจากการทำกิจ ที่เรียกง่ายๆ ว่า "หมดไฟ" นั่นเองครับ ดังนั้น มันจึงต้องมีการปลุกไฟ ให้เราตื่นตัวกันอยู่เสมอ แต่ทว่า พลังไฟที่ผมก็เคยบอกคุณแล้วว่ามันมี "ไฟร้อน" กับ "ไฟเย็น" พลังไฟฟ้าขั้วบวกนี้ มันเข้าข่ายไฟเย็นครับ มันเลยมีวิธีและกระบวนการที่ยากกว่าพลังไฟร้อนเล็กน้อย เวลาเราหมดพลังไฟฟ้าปั้บ บางทีเราจะพลิกกลับกลายเป็นคน "เลือดเย็นหรือเยือกเย็น" ไปเลย มันอาจเกิดขึ้นได้ครับ เมื่อคุณใช้พลังไฟฟ้าสองขั้วนี้ ซึ่งผมจำเป็นต้องเตือนคุณไว้ก่อน ส่วนคนที่ใช้พลังไฟร้อน จะไม่มีปัญหานี้ พวกเขาจะมีอีกปัญหาหนึ่ง คือ จะมีพลังด้านตรงข้าม เช่น พลังมืด, พลังมาร เข้าแทรกได้นะีครับ อันนี้ ก็ขอยังไม่เม้าท์ในบทความนี้ก็แล้วกัน ค่อยๆ เม้าท์กันไปวันละน้อย จะได้ค่อยๆ ทดลองเอาไปปฏิบัติกันวันละหน่อย ไม่ลำบากยากเกินไป เอาละ สำหรับบทความวันนี้ ขอจบลงเท่านี้ก่อน ราตรีสวัสดิ์คร้าบบ




วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2556

พฤติกรรมเบี่ยงเบนแสนประหลาด อาจเกิดจาก "บุญบารมี" ที่ทำไว้พิสดารแต่หนหลัง?

เดี๋ยวนี้พฤติกรรมวัยรุ่นเปลี่ยนแปลงไปนะฮะ มักรักพ่อแม่เป็นพิเศษในวันพ่อวันแม่ฮ่ะ โดนเฉพาะการส่งข้อความไปทางหน้าจอทีวี, วิทยุ,  อินเตอร์เน็ต ฯลฯ เพื่อประกาศให้ชาวโลกรู้ว่า "หนูรักคุณพ่อ คุณแม่มากค่ะ" แต่ขอโทษนะคะ คุณพ่อ คุณแม่ที่บ้านหนู ไม่ได้รับสื่อของหนูอ่ะค่ะ เจอกันทุกวัน อยู่บ้านเดียวกัน ทำไมสื่อสารกันไม่เวิร์กละคะ เอาอย่างนี้ พี่ชายรักชาติจะสอนให้นะจ๊ะน้องๆ ทำตามนะจ๊ะ เวลาหนูบอกรักพ่อแม่ ไม่ควรบอกผ่านทางสื่ออย่างนั้นค่ะ เพราะท่านอาจจะไม่ได้นั่งรับสื่อของหนูอยู่ก็ได้ พี่ชายจะแนะนำไปรษณีย์อเมริกานะคะ หนูควรไปที่อเมริกาแล้วใช้บริการไปรษณีที่นั่นค่ะ เป็นบริการที่เวิร์ก มากค่ะ รับรองคุณพ่อ คุณแม่ ของหนูต้องได้รับสารที่หนูต้องการบอกแ่น่ๆ ค่ะ เอาละค่ะ พี่ชายจะเข้าเรื่องละ เีิ้รื่องก็คือ พฤติกรรมเบี่ยงเบนฮ่ะ ของเด็กยุคใหม่ ที่เยอะเหลือเิกิน แต่อย่าเพิ่งมองในแง่ลบนะคะ พี่ชายจะบอกให้ "แสดงว่าหนูมีบุญบารมีแต่หนหลังสร้างไว้อย่างพิสดารค่ะ" ดังนั้น พี่ชายจึงยินดีกับหนูด้วยที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนและแสนประหลาดทั้งหลาย ซึ่งพี่ชายจะได้อธิบายให้หนูเข้าใจตัวเอง นะคะ เพราะพี่ชายเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันค่ะ เอาละ มาเม้าท์กันเลยดีกว่า รอช้าอะไรอยู่ละคะ รายละเอียดก็มีดังต่อไปนี้ฮ่ะ


อย่างแรกที่คุณควรเข้าใจคือ การที่วัยรุ่นมีพฤติกรรมประหลาดหรือเบี่ยงเบนไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น หรือแปลกไปนั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องเลวร้ายเสมอไป พวกเขาอาจพยายามที่จะบอกคุณว่า พวกเขากำลังซื่อสัตย์ต่อตัวเอง และทำตาม "สิ่งที่อยู่ในใจเรียกร้อง" เพื่อที่พวกเขาจะได้เรียนรู้ และค้นหาตัวตนของตัวเองให้พบ แล้วทำความเข้าใจมัน ซึ่งมันก็ไม่ได้เลวร้าย หรือดีอะไร มันเป็นของมันอย่างนั้นเองแหละ ก็คนเราทำบุญ บารมีมา ไม่เหมือนกันนี่เนอะ และเพื่อให้คุณทั้งหลายมีความเข้าใจต่อพวกเขามากขึ้น ผมก็จะขอยกตัวอย่างเลยละกันว่าเขาทั้งหลายที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบน หรือแปลกๆ นั้น แท้แล้วพวกเขานั้นมีบุญบารมีอะไร ทำไว้แต่หนหลัง ให้ต้องเป็นเ่ช่นนั้นบ้าง ดังต่อไปนี้


๑. บารมีขี่มังกร จะพบได้ในเด็กแว้นท์นะจ๊ะ พฤติกรรมที่ชอบขี่รถซิ่ง ซึ่งจริงๆ แล้วมันต้องใช้ฤทธิ์เดชและความสามารถไม่น้อยเลยนะครับ แรกๆ พวกเขาจะขี่มังกรดำก่อนก็จะดุร้าย จนกว่าจะขึ้นชั้นมังกรทองก็จะสนใจทำมาหากิน เห็นแก่เงิน แก่ทอง มีเล่ห์เหลี่ยมค้าขายเก่งจ๊ะ 

๒. บารมีโลกส่วนตัว จะพบได้ในเด็กที่ติดเน็ต หรือมีโลกส่วนตัวมากๆ เป็นต้น พวกเขาจะบำเพ็ญบารมีมีของทิพย์พิเศษที่ทำให้มีโลกส่วนตัวได้นะจ๊ะ เช่น ดวงแก้วมณีทิพย์, หอยสังข์ทิพย์, น้ำเต้าทิพย์ ฯลฯ ที่จิตวิญญาณของพวกเขาจะเข้าไปอยู่อาศัยในนั้นได้เลยมีโลกส่วนตัว

๓. บารมีอวโลกิเตศวร จะพบได้ในผู้ชายที่สำอางค์ หน้าขาว ปากแดง หัวนมชมพู ตาใส หน้าบ้องแบ๊ว ไม่เหมือนผู้ชายหรอก เป็นเพศที่เีรียกว่า "มหาบุรุษเพศ" แต่ฝรั่งจะเีรียกว่า Metro-sexual ไม่เรียกว่า Man นะครับ บางคนก็จะเป็นกระเทยสวย หรือแปลงเพศเป็นผู้หญิงก็มีจ๊ะ

๔. บารมีดาบทิพย์ แบบนี้สังคมอาจจะไม่ยอมรับสักหน่อยคือ พวกเขาจะมีวิถีการบำเพ็ญบารมีแบบจับดาบสู้รบ บางทีก็ยกพวกตีกันแบบเด็กช่างกลนะครับ แต่ที่ชัดเลยคือที่ก่อความไม่สงบแถวภาคใต้นะละครับ ถ้าบำเพ็ญบารมีผ่านได้ จะเป็นคนที่มีการตัดสินใจที่แน่วแน่ เด็ดขาด

๕. บารมีเืทพกุมาร แบบนี้จะท้องเร็ว และทำแท้งเร็วนะจ๊ะ เด็กที่ตายก็จะมาอยู่ด้วย แรกๆ จะก่อกวนเป็นเจ้ากรรมนายเวรทำให้ชีวิตตกอับแต่เมื่อชดใช้กรรมแล้วอยู่ร่วมกันได้ เขาก็จะกลายเป็น "เทพกุมาร" คอยช่วยเหลือคุณแม่วัยใสนะครับ ไม่ใช่สิ่งดี แต่ทำไงได้ กรรมเป็นแบบนี้

๖. บารมีเทพนักษัตร อันนี้จะมีเทพนักษัตรมาร่วมบารมีด้วยถ้าบำเพ็ญบารมีผ่านแล้ว พวกเขาก็จะมีพฤติกรรมแปลกๆ คล้ายสัตว์นะครับ เช่น ถ้ามีเทพหมูมา เขาก็จะติดกิน ติดนอน แต่หากินเก่ง มีช่องทางหากินดี บ้านจะไม่จน อย่างไรก็พออยู่พอกินรอดตัวได้ แตกต่างกันไปครับ

๗. บารมีสายพรหมฤษี พวกนี้ก็แน่นอน เบี่ยงเบนแบบคนทรง เข้าทรง นี่แหละ ชอบทำนายทายทัก เป็นนิสัยเลยละ เพราะพวกเขามีญาณที่พิเศษกว่ากลุ่มอื่น เลยทำให้มีพฤติกรรมแปลกๆ ได้ แต่ก็มีระบบรองรับที่ชัดเจนคือ วัฒนธรรมการรับขันธ์, เ้ข้าทรง จนกว่าจะหลุดพ้นไปครับ

๘. บารมีสายยักษ์-อสูร อ่ะ พวกนี้ดูร้ายมากนะคะ ดุและร้าย ฤทธิ์เยอะค่ะ ตั้งแต่ยังไม่เป็นตัวเต็มวัย ยักษ์ดีหน่อยก็แค่ติดเหล้า, ยักษ์ร้ายๆ ก็แน่นอนต้องติดยาบ้า "ยาเสพติด" กับยักษ์-อสูร เป็นของคู่กันครับ จึงต้องบำเพ็ญบารมีให้ผ่านไปให้ได้ ก็จะดีขึ้น เบาขึ้น ปรับตัวได้เองครับ

๙. บารมีสายมาร ว้าว พวกเขาดูดีที่สุดเลยอ่ะ ทำอะไรอยู่ในระบบ เป็นคนมีระเบียบ เกิดมาก็ดีแล้ว มาสูงเป็นลูกท่านหลานเํธออะไรประมาณนั้น แต่ไปถึงจุดหนึ่งก็จะมี "คู่แค้น" นะจ๊ะ เขาจะมีศัตรูที่แค้นกันไม่สิ้นไปได้ ทำยังไงก็ไม่หาย พอถึงตรงนี้ก็จะเริ่มมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนได้จ๊ะ

๑๐. บารมีสายต่างดาว พวกนี้ไม่ค่อยยึดโลกไม่ค่อยสนใจอะไรในโลก เฉยๆ เฉื่อยๆ ชาๆ จนผิดปกติ เบี่ยงเบนไปอีกแบบนั่นแหละ แต่ว่านะก็จะมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนแบบหลุดโลกได้เหมือนกันทำอะไรอย่างที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน จนกว่าจะปรับตัวเข้ากับโลกได้ ก็จะหายไปเองครับ


เอาละ ยกตัวอย่างผู้มีบารมีแต่หนหลัง บำเพ็ญแบบพิสดาร ที่จริงก็ไม่พิสดารอะไรหรอก ธรรมดาจะตายไป เชอะ โฮ่ๆๆ เมา้ท์ให้ฟังเล่นๆ ก็มีคนที่คิดว่าพวกเขาแปลกอยู่แหละ เพราะมันอาจต่างไปจากคนอื่นๆ ก็ไม่น้อยอ่ะนะ แต่ว่าสำหรับพวกเขาเองแล้ว ต่างก็ "มั่นใจ" นะครับว่าสิ่งที่พวกเขาทำอ่ะ มันสุดยอดเลย พวกเขาจะเยินยอ สรรเสริญกันเองในกลุ่ม แ่น่นอนละ ด้วยนี่คือ วิธีที่ดีที่จะให้กำลังใจกันอย่างไรละครับ จนกว่าจะไปถึงฝั่งที่สุดแห่งการบำเพ็ญบารมีนะครับ พวกเราไม่เคยมีบารมีทำมาแบบพวกเขา เราก็จะมองว่าพวกเขามีพฤติกรรมเบี่ยงเบน ประหลาดอะไรประมาณนั้น เช่น เห็นผู้ชายสำอางค์มีเครื่องสำอางค์คนหนึ่งไม่ใช่แค่สิบชิ้นอ่ะครับ เยอะกว่านั้นมากๆๆๆ นับแล้วยังเวียนหัวเลย อะไรของมันฟร่ะ ทำตัวแมนมากๆ พูดก็หยาบๆ คายๆ แต่ว่านะ มีเครื่องสำอางค์ใช้ไม่น้อยกว่าผู้หญิงเลยอ่ะ อะไรแบบนั้น นั่นแหละ ผู้มีบารมี เขาทำมาแบบนี้ของเขา ไม่ว่าจะเบี่ยงเบนอย่างไรในสายตาใครก็ช่างเหอะ ไปให้มันสุดๆ ฉุดไม่อยู่ สู่ฝันในบั้นปลายกันให้ได้ก็แล้วกัน แล้วคนทั้งหลายจะยอมรับคุณเอง อย่ากลัวถ้าคนข้างบ้านมองว่าคุณเป็นแค่ "อีเก้ง" ก็เมื่อคุณประสบความสำเร็จแล้ว เขาก็อาจชื่นชมคุณทางทีวีในฐานะ "พระเอกสุดแมนแฮนด์ซั่ม" ก็ได้นะตัวเอง!


เอาละ เม้าท์มายาวจนมึน ทำเอาเหล่าผู้มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนตื่นเต้นกันไปใหญ่ แถมทำให้พวกที่ไม่มีอยากจะมี เลยไปลองทำกับเขาบ้าง อ๊ะ ขอบอกไว้ก่อนนะครับ ผมไม่ไ่ด้มีส่วนสนับสนุนให้พวกเขาเป็นเช่นนี้เลย คนจะเป็นมันก็เป็นของมันเองครับ ใครจะไปบังคับให้มันเป็น ก็ไม่ได้ ใช่ไหมอ่ะตัว ฮ่าๆๆ เอาละ มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ครับ แม้ว่าเขาจะเบี่ยงเบน แตกต่างจากเรา หรือทำอะไรเพี้ยนๆ บ้าๆ หรือห่วยๆ ในสายตาเรา แต่ว่าอย่างไรเสีย มันก็ยังไม่จบแค่ตรงนั้นหรอกครับ ลองดูไปนานๆ ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ความฮึดพิสูจน์ว่าจะได้กี่หน เย้ย ไม่่ช่ายละ ไปๆ นอนกันซะ กินนมด้วยนะ จะได้มีลูกเยอะ เย้ย ล้อเล่น นอนๆ กันซะ จะได้ตื่นเช้าๆ แล้วผมจะได้ไม่ต้องปลุกคุณทั้งหลาย หลับต่อสบายดี สำหรับวันนี้ ขอจบก่อน ราตรีสวัสดิ์ครับ




วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2556

"กฏของแรงดึงดูด" กับ "พลังไซย่าร์" ทำให้ท่านกลายเป็นมหาเศรษฐีได้จริงน่ะหรือ?

ดราม่าสุดฤทธิ์แรงฮิตติดอันดับทวิตเตอร์ตอนนี้ เห็นท่าจะไม่มีใครเกิน "น้องเนย" เจ้าของวลีที่ว่า "เนยรักโลก" และ "เนยไม่กินผัก เพราะมันเป็นการตัดไม้ทำลายป่า" เลยต้องเอามาล้อกันหน่อยแล้วนะครับ ไม่ก็แปลงร่างเป็นน้องเนยดูดีไหม? เอาละนะ ชะแว้บ เริ่มเลย สวัสดีค่ะ นี่น้องเนยนะคะ ตอนนี้เนยไม่อาบน้ำแล้วค่ะ เพราะช่วยอนุรักษ์น้ำนะคะ ตอนนี้ได้แต่อาศัยยาหม่องฮะ เพราะคันคะเยอไปทั้งง่ามขาแล้ว ใครที่สนใจแนวทางการอนุรักษ์ของน้องเนย ก็เข้าไปดูได้ที่ทวิตเตอร์ของน้องเนยนะคะ แต่ว่าเพื่อเป็นการประหยัดไฟ ช่วยปิดไฟก่อนไปดูด้วยนะคะ จะให้ดีก็สับคัทเอาท์ทั้งบ้านเลยค่ะ ตอนนี้น้องเนยก็เอาโน้ตบุ๊คตากแดด ใช้พลังงานแสงอาทิตย์เอาค่ะ แต่พอเปิดหน้ามานะคะ มันก็ดำค่ะ น้องเนยแนะนำให้เอาลงอ่างก่อนนะคะ ล้างดีแล้วจะหายดำค่ะ คราวนี้ ถ้าไม่หายดำจริงๆ ก็ต้องขอพร (Pond) แล้วค่ะ ทาเช้าทาเย็นก่อนนอน ถ้า ๗ วันไม่หายหน้าดำ ก็ฟ้องร้องบริษัทโฆษณาแม่งมันไปเลยคร่ะ ฮ่ะๆๆ เจ๋งไหมน้องเนยรักโลกของพี่ชายรักชาติ (รู้จักกันอ่ะป่าว?) เอามาเม้าท์ให้ฟังกันเล็กน้อย ก่อนจะเข้าเรื่องของเรานะครับ สำหรับเรื่องที่ผมจะเม้าท์กันในวันนี้ ก็คือ เรื่อง ... อะไรหว่า อ้อ เรื่อง "กฏของแรงดึงดูด" และ "พลังไซย่าร์" ที่จะมาทำให้คุณกลายเป็นมหาเศรษฐีน่ะสิครับ เอาละ อย่าช้าเลย เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ


ผมคิดว่าหลายท่านที่หัวก้าวหน้า มีความคิดกว้างไกล และใส่ใจที่จะศึกษาอะไรที่ทันสมัย ใหม่ ไม่ซ้ำใคร ก็คงจะเคยได้ยินเรื่อง "กฏของแรงดึงดูด" กันมาบ้างแล้ว แต่ว่่า ตามธรรมดาของคนไทยอะนะ มันก็ยังต้อง "รอคำอธิบาย" กันอีกสักนิดส์นึงอ่ะนะ เพื่อที่จะได้เก็ทง่ายๆ แต่บางท่านก็ไม่เข้าใจด้วยสมองหรอก แต่ใจมันบอกว่า "ใช่เลย" ก็ใช่จริงๆ แหละครับ โฮ่ๆๆ อาวละ เรื่องของกฏแห่งแรงดึงดูดและพลังไซย่าร์นี่ ผมเพิ่งรู้ว่ามันมีวิทยาการมาจากที่เดียวกัน เมื่อก่อนผมก็ไม่้ได้ไปศึกษาเรื่องกฏของแรงดึงดูดอะไรนี่หรอก เพราะคิดว่าคงเป็นลัทธิขายตรง แชร์ลูกโซ่ อะไรประมาณนั้นหรือเปล่า? แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ อาจจะมีบ้างที่ขายตรงบางบริษัทเอาหลักการนั้นไปใช้ ก็เท่่านั้นเอง และมันบังเอิญหรืออย่างไรที่ข้อมูลที่ผมได้รับ มันช่างสอดคล้องกับหลักการของกฏแห่งแรงดึงดูดจริงๆ ต่างกันก็เพียงคำและวิธีการอธิบายเท่านั้นเอง เอาละ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เห็นทีผมจะต้องขออธิบายในแบบของผมเองก็แล้วกันนะครับ หลังจากที่ได้ไปดู "ยูถุ้ย" เอ้ย ยูทูปมาแล้ว เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้เข้าใจในแบบที่ผมเคยเม้า์ท์มาครับ


อย่างแรก มันไม่ใช่ "การคิดเชิงบวก" นะครับ เรื่อง Positive thinking นั้น มันมีมานานแล้ว ต่างจากเรื่องกฏของแรงดึงดูดครับ เพราะมันคือ "พลังงานไฟฟ้า" ที่มีขั้วบวกและลบ และเราจะใช้พลังขั้วบวกนั้นที่จะดึงดูดเอาสิ่งดีๆ ด้านบวกเข้ามาครับ ส่วนพลังด้านลบนั้น เราจะไม่ให้มีนั้น ไม่ได้ เราก็ต้องบริหารไปให้ถูกทางนะึครับ อย่างว่าแหละ เราคือ มนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์่ต่างดาว กฏของโลกและมนุษย์มีอยู่ว่า ร่างกายกับจิตใจเราจะสมดุลด้วยความไม่เที่ยงของสิ่งตรงข้ามสองอย่างที่จะเกิดและดับไป เป็นธรรมดาครับ ดังนั้น "เราจึงไม่อาจยึดพลังขั้วบวกได้แต่เพียงอย่างเดียว" เมื่อเราเข้าสู่ "ภาวะมีขั้ว" แล้ว เราเหมือนมีขั้ว มีข้าง มีพรรคพวกนะครับ พลังด้านบวกของเราจะจูนไปกับกลุ่มหนึ่ง แต่พลังด้านลบของเราก็จะไปปะทะกับกลุ่มตรงข้ามครับ นี่คือ สิ่งที่ท่านควรที่จะเข้าใจก่อนและถ้าท่านไม่ต้องการมีัขั้วมีข้าง ท่านจำเป็นต้องมีระบบพลังงานอีกแบบที่ไม่ใช่ระบบไฟฟ้าสองขั้วเช่นนี้ เช่น ระบบพลังงานฐานศูนย์ ซึ่งมันไม่มีขั้วมีข้างอะไร แต่มันจะเหมือนคนไม่มีพลังไปด้วย ซึ่งผมจะยังไม่กล่าวถึงเรื่องระบบพลังงานฐานศูนย์ในที่นี้ สำหรับท่านที่มีระบบพลังงานฐานศูนย์อยู่แล้ว อยากเปลี่ยนมาเป็นระบบพลังงานไฟฟ้าก็ทำได้ไม่ยากครับ ผมยกตัวอย่างสมการง่ายๆ ครับ 0 ของท่าน   มีค่าเท่ากับเท่าไร สมการที่หนึ่ง 0 = +1 -1 ก็ได้ใช่ไหมครับหรือจะเป็น 0 = +1,000,000-1,000,000 ก็ได้ใช่ไหมครับ น่านละ เพราะว่า 0 นี้ มันไม่ใช่แค่ 0 ไงละครับ มันคืออะไรก็ได้มากมาย ซึ่งคุณสามารถแปรเปลี่ยนพลังงานฐาน 0 นั้น ให้กลายเป็นพลังงานขั้วลบและขั้วบวกได้อย่างไม่มีขีดจำกัดเลยทีเดียว แต่ถ้ามันชนกันเองเมื่อไร มันก็จะกลับเข้าสู่ "ฐานศูนย์" เ่ช่นเดิม คือ ไร้ขั้วไร้ข้าง ไม่เลือกที่รัก มักที่ชัง ไม่มีแบ่งพรรคแบ่งพวกนะครับ เอาละ ในขั้นต้นก่อนที่คุณจะเลือกใช้พลังตามกฏแห่งแรงดึงดูด คุณก็ควรเ้ข้่าใจพื้นฐานทางธรรมชาติของพลังนี้ก่อน ดังที่กล่าวนั้นแหละครับว่ามันมีทั้งลบและบวก ไม่อาจที่จะให้มีเพียงขั้วเดียวได้ เราเป็นมนุษย์ ก็ต้องเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวครับ ถึงจะมีพลังไฟฟ้า่แบบขั้วเดียวได้ ทีนี้ เมื่อคุณเข้า่ใจหลักการพื้นฐานของพลังแล้ว จะได้เข้าสู่อะไรที่ยากขึ้นไปเป็นลำดับไปนะครับ 


ต่อไป เพื่อให้คุณเลื่อนระดับให้ถึงพลังไซย่าร์ที่แท้จริง จำต้องให้คุณเข้าใจถึงการใช้พลังด้านลบและบวกครับ กล่าวคือ เมื่อใดที่คุณมีพลังลบกับสิ่งที่ไม่ใช่ "ปรปักษ์ของไซย่าร์" มันก็จะทำให้คุณมีพลังที่ต่่างไปจากเดิม และไม่ใ่ช่พลังไซย่าร์ในที่สุด เช่น คุณแบ่งพรรคแบ่งพวก เลือกที่รัก มักที่ชังกันเอง เอาบวกใส่คนที่คุณชอบ เอาลบใส่คนที่คุณไม่ชอบ สุดท้าย คุณจะ "ติดกับดักของโลก" และพลังของคุณจะไม่ได้ถึงระดับของไซย่าร์ครับ และมันจะไม่เป็นไปตาม "กฏของแรงดึงดูด" ทว่่า มันจะอยู่ภายใต้กฏธรรมชาติของโลกเท่านั้นเอง และเพื่อให้เป็นผลตามกฏของแรงดึงดูดจริงๆ คุณจึงต้องใช้พลังด้านลบให้ถูกด้วย ก็คือ คุณจำเป็นต้องมีพลังลบต่อ "ปรปักษ์ของชาวไซย่่าร์" ซึ่งก็คือชาวมฤตยู นั่นเอง หรือกล่าวง่ายๆ คือ คุณจะไม่ชอบพวกดาวมฤตยู หรือผู้ที่ชอบทำลายโลก แล้วคิดว่ามันคือทางออกที่ดีที่สุด ที่จะทำให้คนในโลกนี้ตื่นขึ้น และหลุดพ้นจากความหลงโลก เพราะคุณมองเห็นชัดว่าโลกเป็นสมบัติสาธารณะที่สัตว์ทั้งหลายต้องใช้ร่วมกัน การจะทำให้มีคนตื่นขึ้นจากความหลงโลก ด้วยการแลกด้วยการทำลายโลกนั้น จึงไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด และคุณมีวิธีที่ดีกว่านั้น ซึ่งเป็นวิธีเฉพาะของผู้ที่มองตรงข้ามกับเหล่าชาวดาวมฤตยู ดังนั้น คุณอาจจะไม่นิยมเหล่าผู้ทำนายภัยพิบัติเท่่าไรนัก และมองว่างมงาย หรือไม่ได้เรื่อง นั่นแหละ การใช้พลังเชิงลบที่ถูกวิธี ที่เหลือ "พลังเชิงบวก" คุณก็สามารถนำไปใช้่กับอะไรได้อีกมากมายเลยทีเดียว เท่านี้ ระบบพลังงานไฟฟ้าสองขั้วของคุณก็จะสมดุลได้ ในที่สุด และคุณก็พร้อมแล้วที่จะเข้าสู่การใช้พลังขั้วบวกในขั้นตอนที่ยุ่งยากหรือซับซ้อนขึ้นต่อไป แต่เมื่อคุณใช้่ได้อย่างชำนาญแล้ว มันจะไม่ใช่อะไรที่ยุ่งยากซับซ้อนอีกต่อไปเลย เพราะมันจะเป็นไปตามธรรมชาติของพลังงานที่ขับดันคุณ นั่นเอง


เอาละ วันนี้ เม้าท์เกริ่นเรื่อง "กฏของแรงดึงดูดและพลังไซย่าร์" แต่เพียงเล็กน้อยก่อนนะครับ เดี๋ยวจะยาวเกินไป เด็กๆ จะต้องรีบกินนมแล้วนอนด้วย พรุ่งนี้่เช้าจะได้ตื่นขึ้นมา "หน้าเด้ก เด็ก" ยิ้มแย้มแจ่มใส เจ้านายรักใคร่ดูเอ็น เอ้ย เอ็นดู เอาละ วันนี้พอแค่นี้ก่อน พบกันใหม่ในบทความหน้า สำหรับวันนี้ นอนหลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์ เด้อครับเด้อ ...




วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2556

เทวดาหมดบุญ มาร่วมบารมีกับมนุษย์อย่างไร?

ก่อนอื่น ผมจำต้องอธิบายถึงเรื่อง "อายุขัยของเทวดา" และ "บุญของเทวดา" ซึ่งไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้ว่าจะต้องเท่ากันนะครับ เทวดาอาจมีอายุขัยมากกว่าบุญที่เสวย ก็ได้ ทำให้เขาต้องอยู่ต่อไปอีกยาวโดยไม่มีบุญเสวยแล้ว เหมือนคนแก่ที่อยู่อย่างลำบากในช่วงบั้นปลายของชีวิตนะครับ ไม่ใช่แค่เทวดา มนุษย์ก็อาจมีสภาพเช่นนี้ได้เช่นกัน หมด บุญก่อนหมดอายุขัย นั่นเอง ทีนี้ ถ้าหมดบุญแล้วแต่มีบารมีละ อยู่ได้ไหม คำตอบคือ อยู่ได้ด้วยการทำกรรมปัจจุบันครับ เพราะไม่มีบุญเก่าให้เสวยแล้ว ก็เลยต้องก่อกรรมปัจจุบันเพื่อให้อยู่รอดต่อไปได้ครับ ซึ่งผู้มีบารมีรองรับนั้น สามารถก่อกรรมได้ ไม่มีปัญหาอะไรนะครับ ส่วนผู้ที่หมดบุญแล้วทั้งยังไม่มีบารมีพอจะอยู่แบบนั้นได้ เขาก็ต้องเข้าหาผู้มีบุญหรือมีบารมีมาก พอให้อาศัยได้ครับ เรียกว่า พึ่งพาอาศัยกัน ดังที่เราเห็นบ่อยๆ ว่ามักจะมี "เจ้าพ่อเ้จ้าแม่" หรือ เทวดาที่มีฤทธิ์ แสดงฤทธิ์เดชให้เห็นเพื่อให้ได้ลาภสักการะหรือเพื่อดำรงอยู่ร่วมกับมนุษย์ ดังนั้น เรื่องนี้จึงเ็ป็นเรื่องปกติ, ธรรมดามาก และมีมานานแ้ล้วนะครับ


ต่อไป สิ่งที่เราควรเข้าใจก็คือ พวกเขาปรับตัวอยู่ต่อไปอย่างไรบ้าง? หลังจากที่หมดบุญแล้ว แต่ยังไม่หมดอายุขัย ผมขอยกตัวอย่างดังนี้

๑. อยู่ร่วมกับผู้มีกรรม คือ อาศัยว่ามนุษย์มีกรรม ทำให้สามารถกระทำหรืออยู่ร่วมในร่างสังขารของมนุษย์ผู้นั้นได้ เช่น คนที่เสื่อมจากธรรม และกลายเป็นปอบ นี่แหละ ตัวอย่างของการอยู่ร่วมกันของชีวิตต่างมิติและมนุษย์ที่มีกรรม ทั้งสองก็จะร่วมกันทำกรรมเื่พื่อดำรงอยู่ต่อไป

๒. อยู่ร่วมกับผู้มีบุญ คือ อาศัยผู้มีบุญมากในการดำรงอยู่้ด้วย เช่น ผีลูกกรอก, ผีเด็กที่ถูกทำแท้ง อาจไปอาศัยคนที่มีบุญมากๆ ที่ไปทำบุญแล้วรับเอาของขลังประเภทกุมารไป ก็จะได้อาศัยผู้มีบุญคนนั้น เพื่อดำรงอยู่ต่อไปจนกว่าจะสิ้นอายุขั้ยในภพนั้นๆ ซึ่งดีกว่าในกรณีแรก

๓. อยู่ร่วมกับผู้มีบารมี คือ ร่วมอาศัยกับผู้มีบารมี และอาจร่วมสร้างบุญบารมีร่วมกันไปด้วย ไม่ว่าผู้มีบารมีผู้นั้น จะยังมีบุญเหลืออยู่หรือหมด บุญแล้วก็ตาม กรณีที่มีบุญอยู่ ก็ไม่ต้องทำกรรมมาก กรณีที่หมดบุญแล้ว อาจจำเป็นต้องทำกรรม เพื่อให้สามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ นั่นเอง


การดำรงอยู่้ร่วมกันของ "รูปธรรมชีวิตต่างมิิติ" เช่นนี้ เริ่มพบเห็นมากขึ้น จนกลายเป็น "เรื่องสากล" ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมชีวิตต่างมิติที่อยู่ในโลกนี้ หรือรูปธรรมชีวิตต่่างมิติที่มาจากต่่างดาวก็ตาม อันเป็นวิถีการดำรงอยู่ของสัตว์โลกอย่างหนึ่งคือ วิถีแ่่ห่งการพึ่งพาอาศัยกันและเมื่อเหล่ารูปธรรมชีวิตต่างมิติมาอาศัยร่วมกับมนุษย์แล้ว ทำให้มนุษย์มีหลายมิติมากขึ้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา มีได้หลายประการ ดังนี้

๑. การดำรงอยู่แบบแยกตัวตน คือ ต่างตนต่างอยู่ คนที่มีรูปธรรมชีวิตเหล่านี้มาอยู่ด้วย จะไม่้ได้ประสานตัวตนกัน ย่อมไม่มีภาวะของตัวตนเชิงซ้อนหลากหลายมิติขึ้น มนุษย์ก็เป็นมนุษย์ปกติ ไม่มีพลังพิเศษ

๒. การดำรงอยู่แบบประสานตัวตนชั่วคราว คือ รูปธรรมชีวิตต่างมิติก็อาจจะประสานตัวตนเข้ากับมนุษย์ู้ผู้นั้นชั่วคราวก็ได้ ทำให้มนุษย์นั้นกลายเป็นตัวตนเชิงซ้อนหลายมิิติชั่วคราว มีพลังพิเศษชั่วคราวได้

๓. การดำีรงอยู่แบบประสานตัวตนถาวร คือ รูปธรรมชีวิตต่างมิตินั้นมีการประสานตัวตนแบบถาวร ทำให้มนุษย์ผู้นั้นกลายเป็นผู้มีตัวตนเชิง ซ้อนหลายมิติ จะมีพลังพิเศษอันเกิดจากรูปธรรมชีวิตต่างมิตินั้นๆ ได้

๔. การดำีรงอยู่แบบประสานตัวตนแบบพิเศษ คือ รูปธรรมชีวิตต่่างมิตินอกจาก ประสานตัวตนกับมนุษย์แล้ว ยังมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ อีก เช่น กระบวนการเกิดใหม่ ทำให้รูปธรรมชีวิตต่างมิติ สามารถเป็นมนุษย์โลกที่สมบูรณ์ได้ พลังพิเศษจะเปลี่ยนไปหลังจากเกิดใหม่

เอาละ ผมไม่ได้ตัดสินว่าการดำีรงอยู่ร่วมกันของ "รูปธรรมชีวิตต่างมิติทั้งหลาย" ดีหรือไม่ดี, ถูกหรือผิด อย่างไร และมันก็เป็นไปได้ทั้งหมด ทุกแบบนะครับ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปธรรมชีวิตต่างมิติอย่างเดียว ทั้งคู่นั้นอาจจะนำพากันไปในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ ดังนั้น ผู้ที่ได้รับพลังพิเศษจาก "รูปธรรมชีวิตต่างมิิติ" จึงมีทั้งที่เจริญมากขึ้นและที่เสื่อมลง ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของพวกเขาเอง นั่นแหละครับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มันจะถูกจัดสรรไปเองตามธรรมะ ธรรมชาติ ตามบุญตามกรรม ของแต่ละคน ใครที่ต้องอยู่แบบรวมร่างหลากมิติ ก็หนีไม่พ้น ส่วนใครที่ไม่ต้องอยู่แบบนั้น ต่อให้พยายามให้ได้ ให้มี ให้เป็นอย่างเขา ก็ไม่อาจจะมีได้ นะครับ เราเพียงแต่ศึกษาไว้เพื่อทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ก็พอ


เอาละ เม้าท์มาไม่น้อยแล้ว หวังว่าเด็กๆ คงเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมจึงมีรูปธรรมชีวิตต่างมิติมาอยู่่ร่วมหรือเกี่ยวข้องกับพวกเรา ก็เป็นเรื่องปกติอย่า่งหนึ่งของโลกนี้ครับ คือ "หลักการพึ่งพาอาศัยกัน" นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ด้วยกัน, มนุษย์กับสัตว์ หรือมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตต่างมิิติ ก็ตาม สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ีตรงที่ สิ่งนี้ดีหรือเลว, ถูกหรือผิด, ควรมีหรือไม่ควรมี ฯลฯ แต่มันอยู่ที่ "ทำอย่างไร" ต่างหากละครับ ถ้ามีการกระทำร่วมกันที่ดี มันก็ออกมาดี แต่ถ้ามีการกระทำที่ไม่ดี ผลออกมา มันก็ไม่้ดีนั่นแหละครับ ง่ายๆ เม้าท์มาเยอะแล้ว วันนี้ ง่วงมากๆ น้ำลายไหลด้วย ยังกะเด็กเอ๋ออ่า อยู่ๆ ก็ฟุบหลับไปยังกะสลบเลย ใครมาตีหัวฉันเนี่ย? อ๊ะ ล้อเล่น แค่วูบหลับเฉยๆ (เป็นบ่อยอ่ะ ฟุบหลับไปเฉยเลย ไม่มีปี่มีขลุ่ยยังกะคนตายแน๊ะ) วันนี้ ก็ลาก่อนนะเด็กๆ อย่าลืมกินนมก่อนนอน หน้าจะได้ไม่เหี่ยว ลาละ นอนหลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์ครับ 



วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

เคล็ดลับการยกระดับประเทศไปสู่ "ประเทศมหาเศรษฐี" ด้วยวิธีต่างมิติ?

บทความที่แล้ว ผมได้กล่าวถึงมูลเหตุที่ทำให้บางประเทศมีคนรวยมาเกิดเยอะ หรือบางประเทศมีคนจนมาเกิดเยอะแล้วนะครับ ทีนี้ ผมก็จะขอเข้าประเด็นคือ "ทำอย่างไร ประเทศของคุณ จะมีระดับมาตรฐานค่าครองชีพสูงขึ้น" หรือ รวยขึ้นทั้งประเทศอะไรแบบนั้น อันนี้ไม่จำกัดว่าประเทศไหนจะเอาไปใช้นะครับ ยกให้หมดทั้งโลก ถ้าไม่รังเกียจหรือหาว่าผมบ้าไปก่อน โฮ่ๆๆ จิงเกิ้ลเบลๆ จิงเกิ้ล ออนเดอะเวย์ เย้ย ไม่ช่าย ซาต้าครอส นอกเรื่องซะแล้ว มาๆ กลับเข้าเรื่องก่อน คือ วันนี้ ผมจะบอกเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ เป็นตัวอย่างในการสร้าง "ค่านิยม" ให้เกิดขึ้นในสังคมของท่าน เพื่อขับดันให้ประเทศร่ำรวย อ้อ เราจะสร้างแค่ค่านิยมพอนะครับ ประเพณี, วัฒนธรรมอะไรที่ซับซ้อน มันต้องใช้เวลานานครับ ไม่อาจหวังผลระยะสั้นได้ เอาแค่ค่านิยมก่อนนะครับ ซึ่งมีเคล็ด (ไม่) ลับ อยู่หลายข้อทีเดียว ดังรายละเอียดต่อไปนี้ครับ 


๑. เปลี่ยนจากรักสมถะเป็นรักการพัฒนาตัวเอง คือ แทนที่จะพอใจในสิ่งที่ตนมี ก็เปลี่ยนมาแข่งกันพัฒนาตนเองแทน โลภตรงนี้แทนครับ

๒. เปลี่ยนจากรักสงบเป็นรักเข้าสังคม คือ แทนที่จะชอบปลีกวิเวกอยู่เงียบๆ สงบๆ กลายเป็นชอบเข้าสังคม ชอบออกสังคมเยอะๆ ครับ

๓. เปลี่ยนจากรักเชิงรับเป็นรักเชิงรุก คือ แทนที่จะรอให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามธรรมชาติแล้วยอมรับมัน ก็ทำหน้าที่ของตนเองก่อนเลย

๔. เปลี่ยนจากรักคนมีฤทธิ์เป็นรักคนมีไฟ คือ แทนที่จะนิยมศรัทธาคนมีฤทธิ์ขลังๆ (แบบพระ) ก็เปลี่ยนมานิยมคนมีไฟทำงานเยอะๆ แทน

๕. เปลี่ยนจากรักคนใจเย็นไม่โกรธเป็นรักคนโกรธเป็น คือ แทนที่จะนิยมคนไม่โกรธ ก็หันไปนิยมคนที่รู้จักโกรธ บริหารความโกรธเป็น 

๖. เปลี่ยนจากรักพรรคพวกเป็นรักความจริงแทน คือ แทนที่จะนิยมให้พวกมากลากไป เปลี่ยนมาเป็นนับถือความจริง มาก่อนพรรคพวก

๗. เปลี่ยนจากรักตัวบุคคลเป็นรักคุณค่่าในตัวคนแทน คือ แทนที่จะให้ตัวคนสำคัญกว่างานที่เขาทำ ก็ให้งานที่เขาทำ มาก่อนตัวบุคคล

๘. เปลี่ยนจากรักการปฏิเสธเป็นรักการยอมรับแทน คือ แทนที่จะตัดสิ่งที่คิดว่าไม่ดีออกไป ก็ยอมรับทุกอย่าง เพราะมองว่าทุกอย่าง O.k.

๙. เปลี่ยนจากการเรียกร้องเป็นการนำเสนอแทนคือ แทนที่จะประท้วงเรียกร้องอะไรๆ ก็หันมานำเสนอสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสังคมรวมๆ แทน

๑๐. เปลี่ยนจากเสพติดมาเป็นเสพปล่อยแทน คือ แทนที่รับอะไรแล้วจะเสพติดมัน หลงมัน ก็หันมาเสพเพื่อย่อยอย่างเข้าใจแล้วปล่อยไป

๑๑. เปลี่ยนจากบ้าฤทธิ์มาเป็นบ้าคุณค่าแทน คือ แทนที่จะทำอะไรไปด้วยฤทธิ์เดชขับดันทำสิ่งไร้คุณค่า ก็ให้คุณค่าเป็นตัวขับดันแทน

๑๒. เปลี่ยนจากชาตินิยมเป็นสากลนิยมแทน คือ แทนที่จะบ้าคลั่งในชาติของตนเองมาก ก็หันมานิยมความเป็นสากลอันเป็นรากเหง้าแทน

๑๓. เปลี่ยนจากรักสบายเป็นรักความท้าทายแทน คือ แทนที่จะนิยมแต่อะไรที่ทำให้สบาย ก็มานิยมอะไรที่ท้าทายแม้ว่ามันจะยากก็ตาม

๑๔. เปลี่ยนจากรักความวุ่นวายซับซ้อนเป็นรักความเรียบง่ายแทนคือ นิยมความเรียบง่าย มากกว่าความยุ่งยากซับซ้อน ที่ต้องคิดเยอะๆ

๑๕. เปลี่ยนจากรักการแบ่งแยกเป็นรักการหลอมรวมแทน คือ ใครที่ไม่เป็นพวกก็ไม่ต้องไปไล่เขา หาทางจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไรให้ได้ดีกว่่า

๑๖. เปลี่ยนจากรักผลประโยชน์เป็นรักภารกิจแทน คือ แทนที่จะมีค่านิยมชอบอะไรที่ให้ผลประโยชน์, เงิน, ตำแหน่ง ก็นิยมที่ตัวงานแทน

๑๗. เปลี่ยนจากนิยมให้่ตัวเองเก่งเป็นนิยมสนับสนุนคนเก่งแทน คือ แทนที่จะแย่งคนอื่นทำงานให้ตัวเองดูเก่ง ก็สนับสนุนคนเก่งทำแทน

๑๘. เปลี่ยนจากรักสรรเสริญบูชาเป็นรักปฏิบัติบูชาแทน คือ แทนที่จะนิยมสรรเสริญเจ้านายให้เว่อร์เกิน ก็ให้เปลี่ยนเป็น "ปฏิบัติบูชา" แทน

๑๙. เปลี่ยนจากรักเข้าข้างตัวเองเป็นรักเปลี่ยนแปลงตัวเองแทน คือ แทนที่เขาติ ก็เข้าข้างตัวเอง-พรรคพวก ก็หันมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง

๒๐. เปลี่ยนจากนิยมพอเพียงมาเป็นนิยมสุดๆ ไปเลยแทน คือ แทนที่ทำอะไรจะคิดว่าพอดีตรงไหน แล้ววางแผนทำ ก็ทำให้มันสุดๆ เลย จบตรงไหน สุดตรงไหน ก็พอดีตรงนั้นครับ ไม่ต้องไปกำหนดมันก่อนว่ามันพอดีตรงไหน เราไม่ทราบหรอกครับ เลยทำให้สุดๆ ไปก่อนเลย


เอาละ อันนี้เป็นแค่ "ตัวอย่าง" เคล็ดลับในการสร้างค่านิยมเพื่อทำให้ประเทศกลายเป็นมหาเศรษฐีทั้งประเทศไปพร้อมๆ กันนะครับ ถ้าเราสามารถเปลี่ยนค่านิยมเก่าๆ ให้เป็นค่านิยมที่ดีกว่าได้ ประเทศก็จะมีพลังขับดันไปถูกทิศถูกทางครับ ซึ่งการสร้างค่านิยมนี้ ไม่ได้กระทบอะไรมากต่อวัฒนธรรมประเพณีนะครับ เพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดระดับตื้นกว่าประเพณีครับ ประเพณีและวัฒนธรรมก็ได้ีัรับการอนุรักษ์ไว้คงเดิม นั่นแหละ เราไมไ่ด้เอามาเปลี่ยนแปลงหรือเอามาเล่นอะไรมาก แต่เราจะใช้ตัว "ค่านิยม" นี่่ต่างหากในการขับเคลื่อนให้ประชาชนของเราไปยังทิศทางที่ถูกที่ควรครับ ซึ่งปัจจุบัน เรามี "เครื่องมือสื่อสารต่างๆ" ที่ก้าวหน้ามากครับ แต่เรามักเอาไปใช้่ผิดทาง คือ นำไปใช้เพื่อโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ตัวบุคคล, นักการเมือง, ตัวสินค้า ฯลฯ มากกว่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนไม่มีประโยชน์ต่อสังคมโดยตรงนัก เพราะเป็นการเื้อื้อประโยชน์ให้แก่เจ้าของเงินผู้โฆษณามากกว่า เช่น รัฐบาลอาจเอางบของประเทศไปทำประชาสัมพันธ์เพื่อโปรโมทตัวเอง ก็ได้ ซึ่งมันไม่ใช่ผลประโยชน์ของประเทศเลย แต่เป็นของกลุ่มนักการเมืองกลุ่มเดียวก็เท่านั้น อันนี้ สมมุตินะครับ อย่าคิดมาก แค่สมมุติเท่านั้นเอง เอาละ นี่ก็เม้า้ท์มาไม่ใช่น้อยแล้ว เคล็ดลับเหล่านี้ ใช้ได้ทั้งในระดับตัวเองและในระดับประเทศหรือโลกเลยก็ว่าได้ หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อท่านผู้ชมไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ โทรจิตมาบอกผลการทดลองกันก็ได้นะจ๊ะ อ๊ะ ถึงเวลากล่าวลา พบกันใหม่บทความหน้า สำหรับวันนี้ ราตรีสวัสดิ์จ้า



วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556

เจาะลึกทะลุมิติ ทำไม บางประเทศมีคนรวยมาก บางประเทศมีคนรวยน้อย?

ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนนะครับว่า นี่เป็นกา่รสื่อสารในมิติทิพย์ ไม่ได้กล่าวถึงมิติสังขาร ดังนั้น จึงไม่ใช่บทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจ หรือว่าการเมืองการปกครองโดยตรง เป็นเรื่องการปรับพลังงานในระดับทิพย์อันจะส่งผลต่อระดับสังขารในขั้นต่อไปครับ ดังนั้น เพื่อให้เข้าใจถึงมูลเหตุอันเป็นรากเหง้าของสิ่งต่างๆ เราจะลงไปดูในระดับมมิติทิพย์กันนะครับว่ามันมีเหตุผลเป็นมาอย่างไร จึงได้ทำให้ระดับมิติของสังขาร เ็ป็นไปอย่างที่เราเห็นกันอยู่ ตามรายละเอียดต่อไปนี้ครับ


อย่างแรกอยากให้ท่านทราบ "มูลเหตุรากเหง้า" ก่อนว่า เพราะอะไร บางคนจึงรวยและไม่รวย มูลเหตุสำคัญทุกคนคงตอบเหมือนกันใช่ไหมครับว่า "บุญกรรม" ดีมาก เก่งมากครับ งั้นเรามาดูให้ละเอียดลงไปอีกนิดครับว่าแล้วมันบุญกรรมอย่างไร? คือ อย่างนี้ครับ สัตว์แต่ละชนิดมีวิถีการดำรงอยู่ตามธรรมชาติต่างกันไป เช่น ควายกินหญ้า แต่เสือย่อมกินเนื้อสัตว์ คนนี่แปลก มีพลังเชิงซ้อนหลายแบบ ต่างกันไป ก็เลยมีวิถีชีวิตการดำรงอยู่ที่หลากหลายกว่าสัตว์อื่นๆ ครับ เช่น บ้างก็รวย บ้างก็จน ใช่ไหมครับ มันขึ้นอยู่กับ "จิตวิญญาณข้างในสังขาร" นั้นครัีบ ถ้าจิตวิญญาณข้างในเป็น "สายพรหมฤษี" เช่น ชอบทำสมาธิ ชอบความสงบ ชอบสมถะก็แน่นอน ไม่ค่อยมีเงิน เงินไม่ใช่วิถีของฤษีนะครับ แต่ถ้ามีจิตวิญญาณเป็นมารละก็ไม่ต้องทำอะไรให้เหนื่อยยาก เพราะเข้าข่ายเป็นลูกเทวดา เป็นผู้มีบุญมากมาเกิด (มารคือเทวดาชั้นห้าและหกนะครับ) อย่างนี้ ก็ต้องเกิดมาบนกองเงินกองทองแน่นอน ก็เกิดมาปุ๊บก็รวยเลย พ่อ-แม่มีสมบัติกองรอไว้ให้เรียบร้อยแล้ว อันนี้ คือความแตกต่าง อันเป็นธรรมชาติปกติครับ ไม่มีใครผิด-ถูกแต่อย่างใด 


ต่อไปคือ เคยสังเกตุหรือสงสัยไหมครับว่าทำไม ในประเทศที่นับถือคริสต์จึงมีคนรวยมาก แต่ประเทศที่นับถือพุทธแบบเถรวาทจึงมีแต่คนยากจน? (ประเทศที่นับถือพุทธมหายานก็ไม่จนนะครับ คนจนมักพบมากในประเทศที่นับถือพุทธเถรวาท) นี่แหละ มันก็สอดคล้องกับข้อแรกที่ผมตั้งข้อสังเกตุไว้คือ มันขึ้นอยู่กับจิตวิญญาณนั่นเอง หรือถ้าจะอธิบายง่ายๆ สั้นๆ ชัดๆ ก็คือ คนส่วนใหญ่ที่นับถือพุทธเถรวาท จะมาทาง "สายพรหมฤษี" จึงมีชีวิตอยู่แบบ "สมถะ" ซึ่งผมไม่เรียกว่ายากจนนะครับ เพราะยังไงก็จะยังมีพออยู่กินได้ และอีกพวกคือ "ยักษ์-อสูร" ซึ่งมีบุญน้อย และต่ำต้อยกว่าพวกอื่น แต่ทะเยอทะยานและได้ครองอำนาจทางการเมืองไว้ พวกนี้จะเป็นพวกร่ำรวยครับ และคอยเอาเงินมาทุ่มทำบุญให้กลุ่มแรกอีกที คอยยกยอปอปั้นหนุนกันให้เป็นพระอรหันต์ยิ่งใหญ่ เกาะอาศัยร่วมกันไปอีกที ส่วนคนที่นับถือคริสต์ จะมีเชื้อสายมาทาง "เทพ" (ฝรั่งไม่ใช่สายมารต่อให้เกิดมาพ่อแม่รวยก็ต้องฝึกหาเลี้ยงชีพเอง จึงนับเป็นสายเทพ) เหมือนกับคนที่นับถือพุทธมหายาน และถ้าจะดูให้ดีๆ ลึกขึ้นไปอีก ประเทศที่นับถือคริสต์ก็นิยมการคอรัปชั่นน้อยครับแต่ประเทศไทยเรา ที่นับถือพุทธเถรวาท เราจะยอมรับการคอรัปชั่นได้ ก็เพราะว่าเรามีเชื้อสายยักษ์มาปนเยอะน่ะสิครับ ซึ่งในอดีต เราถือว่าผู้ที่มีเชื้อสายยักษ์-มาร นั้น เป็นอริราชศัตรู ผู้มารุกรานเรา ส่วนเราจะมีเชื้อสายมาทางเทพนะครับ ทว่า ยุคนี้มันเปลี่ยนแปลงไปมาก หลายคนก็บอกว่าคนดีแทบจะไม่มีที่ยืนในสังคม ส่วนคนไม่ดี กลับได้อำนาจ ได้เงิน ได้ตำแหน่งมากมาย แต่ว่า ทุกคนก็ยอมครับ ยอมให้มันเป็นเช่นนั้น (ผมไม่ได้ต้องการให้ท่านต่อต้านหรือยอมอะไรนะครับ แค่พูดให้ฟังเฉยๆ ไม่มีความคิดเชิงบวกหรือลบอะไรทั้งสิ้น) ก็แสดงว่าประเทศไทยถูกคนที่มีเชื้อสายยักษ์-พรหมฤษี ครอบครองไปแล้ว (คนสองกลุ่มนี้เกาะอาศัยกันและกันอยู่) และคนที่มีเชื้อสายเทพ ก็กลายเป็นชนกลุ่มน้อยไป บางคนก็ำ้ำได้ ที่ยืนเล็กๆ เช่น ทำงานมูลนิธิ, องค์กรการกุศลไป ไม่มีเงินเิดือนครับ


เจาะลึกเข้าไปวิเคราะห์ในประเทศไทยอีกนิดครับว่าโึครงสร้างของประชากรเรา มีเชื้อสายมาทางไหน และทำอะไรกันอยู่ จึงทำให้เรามีประเทศตกต่ำอย่างนี้ สรุปง่ายๆ ครับ พวกยักษ์-อสูรจะครองอำนาจทางโลก พวกตำแหน่งข้าราชการและนักการเมือง พวกยักษ์เอาไปครองเกือบหมด แต่ที่พวกยักษ์มีอำนาจได้มากขนาดนั้น เพราะมีฤษีห่มเหลืองคอยทำเครื่องรางของขลังบ้าง, ปลุกเสกเลขยันต์บ้าง, ให้พรให้น้ำมนต์, ลงเวทย์มนต์คาถาบ้าง ฯลฯ ช่วยเหลือพวกนี้ โดยไม่เคยวิเคราะห์ดูเลยว่าพวกเขาเป็นคนดีจริงๆ หรือไม่ เอาง่ายๆ ถ้าคุณทำตัวกร่างๆ มีเงินเยอะๆ เดินเข้าวัดบางวัดไป แล้วให้ลูกสมุนยกตัวให้ดูรวยๆ หน่อย แล้วเอาหน้าใหญ่ๆ (หน้ายักษ์) ไปจองทำบุญมากๆ เทเงินเยอะๆ ต่อหน้าพวกเขา รับรองคนมาต้อนรับอย่างดีครับ แล้วก็จะได้ของขลังบ้าง, อะไรต่อมิอะไรบ้าง ติดไม้ติดมือ "กลับไปอย่างแน่นอน" มีหรือครับ "ที่พระดีๆ จะไม่ให้คุณ" ??? ก็มันมีแต่ฤษีห่มผ้าเหลืองไงครับ มาหากินในผ้าเหลือง มีฤทธิ์มีเดชเยอะมาก ก็ได้อาศัยเงินของพวกยักษ์อสูร มันจะโกงกินบ้านเมืองมาทำบุญบ้าง ก็รับครับ ไม่สนใจ ถือว่า "เป็นอรหันต์แล้ว ไม่ยึดติด" เลยได้เกาะอาศัย เกื้อกูลกันไป ฝ่ายยักษ์ก็ได้ฤทธิ์เดช ใครทำอะไรมันไม่ได้ทั้งนั้น มันก็ได้ใช้ฤทธิ์เดชนั้นในการครองอำนาจทางการเมืองและครอบงำอยู่ในวงการราชการ ส่วนพวกฤษีห่มเหลืองก็ได้ "เงิน" เงินไงครับ เป็นฟ่อนๆ เป็นกองๆ เป็นล้านๆ ไม่ใช่แค่หลักล้านครับ เดี๋ยวนี้มันขึ้นหลักร้อยล้าน พันล้านกันแล้ว เมื่อพวกยักษ์กับฤษีมิจฉาทิฐิ มันรวมหัวกันอย่างนี้ ก็เลยทำให้ประเทศบรรลัยไงครับ ฮ่าๆๆ (ขอโทษที่ใช้ภาษาไทย อันมีข้อสงวนและอ่อนไหวสำหรับผู้ดี มือถือสากปากถือศีลทั้งหลาย) 


เอ้า ไม่ต้องคิดอะไรมาก มันก็แค่ความไม่เที่ยง ผ่านมา เดี๋ยวก็ต้องผ่านไป ยุคหนึ่ง สมัยหนึ่ง ให้คนได้รู้ ได้จดจำ ให้เห็นว่าอย่าทำเป็นเยี่ยงอย่างอีกก็เท่านั้น เพราะสุึึดท้ายแล้ว "จบน่าอนาถ" กันทั้งนั้นนะครับ ขอไม่พูดดีกว่าจุดจบของยักษ์แต่ละตน คนโกงกินแต่ละท่าน ก็พวกเขาคงเป็นคนดีน่ะแหละ ไม่อยากทำอะไรไม่ดีหรอก แต่ว่านะ ที่ทำไปแล้ว ก็ต้องรับกรรม มันจะปฏิเสธ หนีไปได้นานแค่ไหน? ก็คงไม่ได้ตลอดไปนะครับ ไม่ช้าก็เร็ว กรรมก็มาถึง ผมไม่ได้เกลียดพวกยักษ์หรอก ถ้าจะโทษควรโทษพวกฤษีห่มเหลือง ที่ให้ฤทธิืเดชเขาไปโดยไม่ดู ไม่พิจารณา นั่นมากกว่านะ เอาละ อย่าโทษใครเลย มันก็แค่แบบทดสอบ ให้เราทุกคนได้เรียนรู้ร่วมกัน ได้ลองผิด เป็นครูไว้สอนตัวเราเอง ว่าครั้งหนึ่ง ถ้าประเทศเราตกต่ำ มันเกิดขึ้นเพราะอะไร? จะได้ให้ลูกหลานยุคต่อไป ที่ดูเหมือนเด็กเกเร เด็กแว้นท์ แต่อาจไม่หลงคนโกงกิน หรือหลงบ้าฤษีห่มเหลือง เหมือนคนรุ่นพ่อของเขานะครับ ผมหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น เรา้ต้องสร้างยุคสมัยของเรา ชาววัยรุ่น (เรายังไม่แก่นะคร้าบ) ให้ดีกว่ายุคพ่อ-ยุคปู่ของเราครับ เอาละ เม้าท์มามากแล้ว เดี๋ยวท่านทั้งหลายจะกลับบ้านช้า ลูกรอดูดนมอยู่ที่บ้าน ฮ่าๆๆ ก็ขอจบลงเท่านี้ ดีกว่านะครับ พบกันใหม่บทความหน้า สวัสดีครับ ...




วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

คุณจะค้นหา "One piece" อันเป็นที่สุดแห่งพลัง จากทั้งหมดทั้งมวลได้อย่างไร?

คำว่า "One Piece" นั้น ผมคิดว่ามันมีนัยยะที่น่าสนใจมากครับ เท่าที่ผมสัมผัสได้นั้น มันหมายถึง "ของที่มีพลังพิเศษซ้อนอยู่ ซึ่งเป็นอันที่ดีที่สุด" หมายความว่าอย่างไร? ง่ายๆ อย่างนี้ครับ สมมุติ พระภิกษุได้บำเพ็ญฤทธิ์มามากๆ เรียนวิชาอาคม แล้วไปนั่งทำเครื่องรางของขลังหรือปลุกเสกอะไรขึ้นมา ก็แล้วแต่ สมมุติครั้งหนึ่งจำนวน ๑๐,๐๐๐ ชิ้น มันจะมีแค่ "อันเดียว" หรือ One Piece เท่านั้น ที่เป็นที่สุดครับ สมมุติ หลวงพ่อรูปนั้นมีวิชาและบารมี พอที่จะทำ "แก้วมณีทิพย์" ได้ ก็ปลุกเสก "มณีนพรัตน์" ก็แล้วกัน เพื่อระดมทุนเข้ามาัจัดสร้างพระธาตุเจดีย์อะไรแบบนั้น มันจะมีของปลุกเสกแค่ One Piece หรือชิ้นเดียวเท่านั้นนะครับ ที่ได้เป็น "มณีนพรัตน์" อันจริง อื่นๆ มันจะได้แค่เศษพลังเล็กๆ ทำให้รู้สึกเหมือนว่ามีพลังเหมือนกัน แต่ไม่มาก เอาไปเชื่อมโยงกับตัวหลักของมัน (ตัวแม่-ตัวจริง) แล้วมันจะสามารถเคลื่อนย้ายได้ครับว่าจะไปอยู่ในชิ้นไหน ถ้าปลุกเศษสักหมื่นชิ้นแล้วมีคนบูชาไปหมดหมื่นคน พลังมณีนพรัตน์นั้นก็จะเคลื่อนย้ายไปมาได้ครับ ว่าจะไปอยู่กับคนไหน เรียกว่าในครั้งแรกที่สร้างชุดนั้นๆ มี One Piece หรือชิ้นเีดียวที่มีตัวแม่ หรือตัวจริงของมันอยู่ แต่อันอื่นๆ ที่สร้างในชุดเดียวกันนั้น มันจะได้รับเพียงเศษพลังเพื่อเชื่อมโยงกับตัวแม่เท่านั้น เป็นวัตถุสื่อพลังที่ "มณีนพรัตน์" ของจริง ตัวแม่ จะใช้่เชื่อมโยงหรือเคลื่อนย้ายไปได้


ทีนี้ คำถามก็คือ "แล้วดูอย่างไรละ? ใครละจะได้ตัวแม่ ตัวจริงไป?" ก็ำไม่ยากครับ ในครั้งแรกเลย ส่วนใหญ่มันจะเลือกไปอยู่กับคนที่มีพลังบุญบารมีสูงสุดก่อน แล้วถ้าคนๆ นั้น ทำตัวไม่ดี เสื่อมลงไป มันถึงจะ "ย้ายรัง" นะครับ คือ เคลื่อนย้ายไปยังคนที่มีวัตถุสื่อวิญญาณของมัน ซึ่งก็คือ คนอื่นๆ ที่ได้บูชาเอาของขลังที่ทำขึ้นในครั้งเดียวกันนั้นเอง ซึ่งแท้แล้ว "ไม่เกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกหรอกครับ" เช่น ถ้าทำพระ สักหมื่นองค์เนี่ย บางองค์อาจรูปลักษณ์ดี ไม่มีที่ติ แต่บางคนอาจได้แต่องค์ที่มีตำหนิ นั้นไม่สำคัญ บางที มันก็เป็นสิ่งลองใจเราครับ ว่าจะเอาไหม? ถ้ารูปลักษณ์ไม่สมบูรณ์ ไม่เพอร์เฟค ถ้าเราเอา มีจิตศรัทธา พลังนั้นๆ ก็จะมาอยู่ที่เราได้นะครับ แต่ว่า อย่าไปสนใจมันมากเลย ก็จะกลายพันธุ์เป็น "สายยักษ์" ไปนะจ๊ะ เพราะพวกนี้ชอบเรื่องฤทธิ์เดชมาก ชอบเข้าหาพระดังๆ ดูขลังๆ น่านับถือ แล้วก็ชอบบูชา สรรเสริญกันสุดฤทธิ์ ไม่ใช่พระอรหันต์จริงหรอกครับ เป็นฤษีห่มเหลืองเท่านั้น นั่งทำเครื่องรางของขลัง ระดมทุนมาสร้างวัดวา เป็นพระพรหมผู้สร้างอยู่ มันจะเป็นพระอรหันต์ไปได้จั๊งดั๋ย แต่เอาเถอะ พวกยักษ์มันศรัทธาของมันอย่างนั้น มันยกย่องสรรเสริญกันให้เป็นพระอรหันต์อย่างนั้น ก็มีเหตุผลครับ เพราุะถ้าคนไม่ลุ่มหลงด้วยอำนาจแห่ง "เทพเจ้าแห่งความลุ่มหลง" คือ พระราหูหรืออสูรราหู นี่แหละ ครอบงำพวกเขาไว้ มันก็จะไม่มีเงินไหลมาเทมา ให้สร้างวัดวา ให้คนทำงานได้ยักยอกโกงกินแบ่งกันนิดๆ หน่อย ตามวิสัยยักษ์หรอก ใช่ไหมครับ ท่านผู้ชม!


เอาละ สำหรับท่านที่ไม่ได้มีเชื้อสายยักษ์ ไม่ใช่คนประเภทนี้ ท่านก็จะไม่บ้าคลั่งเครื่องรางของขลัง ไม่บ้าฤทธิ์บ้าเดช ไม่ใ่ช่พวกจะทำอะไรทีก็ต้องบูชายกใหญ่ ทำพิธีเยอะแยะ หรือต้องมีเครื่องลางของขลังมาประกอบอยู่ตลอด คือ ทำไปเลย ไม่คิดอะไรมาก อะไรก็ช่างมัน เพราะมันเป็นหน้าที่ อันนี้ก็คิดแบบเชื้อสายเทพนะครับ ไม่ว่ากันว่าใครจะคิดยังไง แตกต่างกันได้ ไม่ผิดละ แต่เราอย่าไปหลง "พวกมากลากไป" ที่ชอบแห่กันไปด้วยอาการลุ่มหลงศรัทธา ก็แ้ล้วกัน ถ้าไม่อยากไปเกิดเป็นยักษ์ (อูย หน้าตาไม่งามนะ ผู้หญิงนี่่น่าเกลียดออก ที่เขามักเรียกกันว่า "นางยักษ์ขมูขี" ไงละ ท่านผู้โช้มมม) ไม่ใช่เพียงแต่ของขลังที่เขาทำแจกหรือให้บูชานะครับ ผมคิดว่า แม้แต่ของไหว้อย่างผลไม้ที่เอาขึ้นไหว้เทพเจ้า ทั้งจีน, ไทย, อินเดีย ฯลฯ ก็ช่างเถอะ ผมคิดว่ามันมี One Piece เหมือนกัน คือ สักชิ้นหนึ่ง อันหนึ่ง ที่จะมีพลังพิเศษ และมันมีมานานแล้ว คนที่ได้กิน ก็กินมันเข้าไปแล้ว แต่อาจจะไม่รู้นะครับ เช่น ดาราบางคน แรกๆ ก็ไม่เจ๋งเท่าไรหรอก มาได้ทำงาน แล้วได้เข้าพิธีไหว้เทพเจ้าอะไรกับเขา ตอนเปิดกล้องอะไรแบบนั้น ก็อาจจะได้ One Piece ไปได้ละครับ ผลไม้สักลูกหนึ่งที่มีพลังพิเศษ ที่รอให้เ้จ้าของมันมากิน (บางคนที่ได้กิน One Piece ไปแล้ว ก็จะไม่ได้อีกนะครับ) ดังนั้น ไม่ต้องแปลกนะจ๊ะตัวเอ้ง ถ้าจะมี "ดาราหน้าใหม่ๆ" ที่ปรากฏขึ้นมาดังกว่าของเก่าเสมอๆ อาจได้พลังมาจาก One Piece ก็ได้ (อ๊ะ หรือว่าเพราะ Two Piece อ๊ะ ล้อเล่น) ลองสังเกตุดูเถอะครับว่าคนเราที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ มีพลังพิเศษกันทั้งนั้น เยอะแยะครับ แต่เพราะเราไม่ทันสังเกตุ หรือว่าชินตา ก็เลยคิดว่าไม่มี ก็เท่านั้นเอง


เอาละ ขอสรุปทฤษฎีเรื่อง One Piece นะครับว่ามีทางเป็นไปได้สูงนะครับ และไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนหรอก ถ้ามันพร้อมด้วย "เหตุปัจจัย" มันก็มาถึงตัวเราเองน่ะแหละ เพียงแต่มันต้องเป็นเหตุที่รองรับผลอันเข้ากันได้ เช่น คนที่ใจร้อนมากๆ มันน่าจะได้พลังพิเศษอะไรละ? ต่างจากคนที่ใจเย็นมากๆ ใช่ไหม? หรือคนที่ปรับตัวเก่ง ลื่นไหลมาตลอด ก็คงได้พลังพิเศษที่ต่างจากคนที่แข็งกร้าว, ตรงไปตรงมา นะครับ ซึ่งทั้งหมดนี้ ผมขอนำเสนอว่าเป็นเพียง "ทฤษฎี One Piece" หรือขอให้เป็นข้อมูลเบื้องต้น ก็แล้วกันครับ ท่านไหนอยากทราบว่าจริงหรือไม่ ก็อย่านั่งเดาเอาเลย ไม่ถูกหรอก ฮ่าๆๆ ไปทำ ไปพิสูจน์เองซะสิ ก็จะได้รู้เอง นั่นแหละครับ ทว่า การทดลองเหล่านี้ ก็ต้องยอมพลีกาย ใช้ตัวของเราเองเป็น "หนูลองยา" นะครับ อย่างไรก็คิดให้ดีก่อนทำแล้วกัน เอาละ นิทานอาหรับราตรีวันนี้คงยาวพอประมาณไม่มากเกินไป เหลือเกินไปกว่านี้ ก็นอนหลับฝันเอาเองละนะครับ ราตรีสวัสดิ์เด้อหลานๆ