วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การฝึกพลังทาง "จิตวิญญาณ" (มโนมยิทธิ) กับทาง "ร่างกาย" (อิทธิวิธี) ต่างกันอย่างไร?

สวัสดีตอนเช้าๆ นะครับ วันนี้ ผมมีเรื่องที่ใครหลายคน อาจอยากทราบมานานแล้ว คือ เรื่องการฝึกพลังจิตต่างๆ อภิญญาต่างๆ ครับ อย่างแรกที่เราควรเข้าใจคือ "อภิญญา" เป็นคำกว้างๆ หมายถึงความรู้อันยิ่ง อันนำไปสู่ผลอะไรได้มากมาย เช่น ผลเป็นฤทธิ์ทางใจ, ผลเป็นฤทธิ์ทางกาย เป็นต้น ในทางพุทธศาสนาได้แบ่งออกเป็น ๖ ประเภท เรียกว่า "อภิญญาหก" นั่นเอง ในที่นี้ ผมจะนำมาเล่าให้ฟังกันเล่นๆ เป็นกันเอง ๒ อย่างก็พอครับ คือ เรื่อง "ฤทธิ์" โดยเฉพาะ ได้แก่ ๑. ฤทธิ์ทางใจ (มโนมยิทธิ) และ ๒. ฤทธิ์ทางกาย (อิทธิวิธี) ก็แยกแยะง่ายมากครับ ฤทธิ์ทางใจนั้น จะแสดงฤทธิ์ออกมาให้เห็นทางกายไม่ได้ แต่ใจเขามีฤทธิ์ มีพลังจิต นั่นเอง หรือถ้าท่านไหนมีตาทิพย์ มองเห็นในมิติทิพย์ได้ ก็จะเห็น "จิตวิญญาณที่มีฤทธิ์" ของเขานะครับ คนบางคนไปยึดว่า "มโนมยิทธิ" คือ การถอดจิต นั่นมองแคบไปครับ บางคนก็คิดเอาว่ามโนมยิทธิ ฝึกสำเร็จแล้วจะต้องมองเห็นนรก หรือไปสวรรค์ได้ ซึ่งไม่จำเป็นครับ การมองเห็นได้ เป็นเรื่องของการมีตาทิพย์ เท่านั้น คนละเรื่องกันครับ แต่มันเอามาประกอบกันได้ ทีนี้ คนที่ไม่มีตาทิพย์จะมองเห็น และถอดกายทิพย์ไม่ได้ สามารถมีฤทธิ์ทางใจที่เรียกว่า "มโนมยิทธิ" นี้ได้ไหม? คำตอบคือ "ได้สิครับ" เหมือนคนมีพลังจิต นั่นแหละ ฤทธิ์ทางใจ เช่น เมื่อใจเราอยากให้เขาซื้อ เราก็ทำให้เขาซื้อสินค้าเราได้ (ถ้าเขามีพลังจิตอ่อนกว่าเรานะครับ) นี่ก็คือฤทธิ์ทางใจ ไงครับ หรือที่เราเรียกว่าพลังจิต ที่ไม่อาจแสดงออกทางร่างกายได้เท่านั้นเองครับ ส่วนอิทธิวิธีนี้เป็นฤทธิ์ทางกายที่แสดงออกมาทางร่างกายได้ เช่น ขี่จักรยาน จนเก่งมากๆ แสดงให้คนเห็นได้ว่าเรามีฤทธิ์ในการขี่จักรยาน ผาดโผน, โฉบเฉี่ยว, พลิกแพลง, รวดเร็ว, ทำสิ่งที่คนปกติทำได้ยาก ฯลฯ เป็นต้น นั่นก็คือ ฤทธิ์ทางกาย ระดับเริ่มต้นครับ ซึ่งนักกีฬาทั้งหลาย ก็มีฤทธิ์ืทางกายระดับต้นนี้กันทั้งสิ้น


ทีนี้ เรามาพูดถึง "การฝึกให้ได้ฤทธิ์สองแบบนี้" กันบ้างนะครับ ไม่ยากครับ ฤทธิ์ทางใจ ก็ฝึกทางใจ ไม่ต้องใช้กายไปทำ เช่น นั่งหลับตาอยู่เฉยๆ แล้วใช้ใจสั่งเลยครับ คนที่มีตาทิพย์ ก็อาจเห็น "กายทิพย์ของตนเองไปทำกิจต่างๆ" โดยที่ร่่างกายเนื้อ ไม่ได้ทำอะไร ยังนั่งหลับตาอยู่อย่างนั้นเองครับ ทีนี้ กายทิพย์ที่ถูกฤทธิ์ทางใจ สั่งให้ทำสิ่งต่างๆ ก็มีฤทธิ์เฉพาะตัวต่างกันไปอีก เช่น แบ่งกายทิพย์ได้หลายๆ กาย ก็มี, แปลงกายให้เป็นอย่างอื่นได้ ก็มี แต่อย่าไปยึดว่ามโนมยิทธิ จะต้องมีกายแบ่งกายให้เป็นหลายๆ กายเสมอไป แล้วแต่ฤทธิ์ครับ ว่าจะเป็นฤทธิ์อะไร เยอะแยะไปครับ ส่วนการฝึกฤทธิ์ทางกาย (อิทธิวิธี) นั้นก็ฝึกโดยการใช้กายเยอะๆ ไงครับ เช่น การทำนาทุกวัน, ขี่จักรยานทุกวัน, วิ่งออกกำลังกายทุกวัน, กวาดลานวัดทุกวัน ฯลฯ ถ้าเขารู้เคล็ดลับในการฝึกฤทธิ์ ก็ฝึกฤทธิ์ขณะทำกิจกรรมต่างๆ ซ้ำๆ อยู่ทุกวันๆ นั่นแหละครับ ในที่สุด เมื่อบังเกิดผลออกมา มันก็กลายเ็ป็นฤทธิ์ทางกายได้เองแหละครับ การฝึุกแบบนี้ ขอเพียงมีเคล็ดลับเท่านั้น ก็สามารถใช้การทำกิจวัตรประจำวันปกติเป็นการ "ฝึกโดยไม่ต้องฝึก" สำเร็จได้รวดเร็วกว่าการ "กำหนดหรือเจตนาเพื่อให้ได้ผล" มากมายครับ สำหรับบทความเช้านี้ อ่านกันเล่นๆ นะครับ ไม่ต้องคิดมาก สวัสดีครับ  

วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อย่ากลัวถ้าคุณรู้สึกเหมือนเป็นคนอื่น? จงท้าทายกับการใช้สติปัญญาของคุณ

สวัสดีก่อนเข้านอนนะครับ วันนี้มีเรื่องเบาๆ เล็กๆ มาคุยเล่นก่อนนอนกัน คือ เคยรู้สึกไหมครับว่าเราเปลี่ยนไป หรือไม่ค่อยเหมือนตัวเรานัก บางครั้งทำอะไรแปลกไปจากเดิม เหมือนไม่ใช่ตัวเราในบางครั้ง คิด, พูด หรือกระทำ ในสิ่งที่ไม่น่าจะใช่ตัวเรา หรือไม่เหมือนตัวเราแต่ก่อน เอาละ ถ้าคุณเคยมีประสบการณ์แบบนี้ ก็อย่าเพิ่งตกใจนะครับ ผมไม่ได้บอกให้คุณหลงในการมีสภาวะนั้นๆ แต่กำลังทำให้คุณมั่นใจว่าคุณไม่ได้บ้าหรอกครับ ถ้าคนเราบ้ากันได้ง่ายๆ พระเจ้าหรือธรรมชาติที่สร้างมนุษย์มา คงมีความผิดมหันต์ แต่แท้แล้วมันไม่จริงเช่นนั้น มนุษย์เราแข็งแรง และเป็นสัตว์ที่มีวิวัฒนาการสูงที่สุดในบรรดาสัตว์โลกนะครับ เราไม่ได้ตายหรือบ้ากันง่ายๆ เช่นนั้น แต่มันเป็นผลจาก "พลังเชิงซ้อนหลากมิติ" เท่านั้นเองครับ เมื่อใดที่คุณเริ่มก้าวออกจากกรงขังของมิติที่สาม คุณจะเริ่มพบความจริงสัมบูรณ์ ที่คุณรู้ได้เองโดยไม่ต้องอ้างอิงจากอะไร คุณสัมผัสได้ถึงอนาคตและอดีตอันไกลโพ้น ราวกับท่องไปในโลกแห่งกาลเวลา นั่นแหละ มิติที่สี่ครับ แต่เมื่อคุณก้าวพ้นจากกรงขังของมิติที่สี่แล้ว เข้าสู่ประตูแห่งมิติที่ห้า แม้ว่าจะยังไม่ได้เปิดเข้าไปเต็มตัว คุณอาจจะได้รับ "พลังเชิงซ้อนจากตัวตนหลากมิติ" ซึ่งจะนำพาคุณยกระดับจากมิติที่สามไปจนถึงมิติที่ห้าต่อไปได้ครับ


ดังนั้น บางครั้ง คุณจึงรู้สึกหรือสัมผัสได้ถึง "ความไม่ใช่ตัวตนแต่เดิมของคุณ" เหมือนไม่ใช่ตัวคุณดังเก่าก่อน เหมือนใครก็ไม่รู้ เหมือนคุณกำลังเป็นคนอื่นชั่วขณะอะไร แบบนั้น นี่ไม่เกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หรือความสามารถพิเศษอะไรเลยนะครับ คุณต้องเข้าใจว่า "มนุษย์มิติที่ห้า" ไม่ใช่เทพ ไม่ใช่อุลตร้าแมนที่มีพลังพิเศษเหนือมนุษย์นะครับ แต่เขาเลื่อนระดับไปสู่ระดับมิติที่ห้า ก็เท่านั้นเอง ดังนั้น การเลื่อนระดับของคุณขึ้นไปถึงมิติที่ห้านั้น มันไม่จำเป็นที่คุณจะต้องมีพลังพิเศษเสมอไป เช่นกัน ถ้าใครสักคนได้พลัง "มนุษย์ต่างดาว" เขาก็ไม่จำเป็นต้องมีพลังพิเศษ เมื่อเทียบกับรูปธรรมชีวิตอื่นๆ ในดาวดวงนั้น เขาก็แค่มนุษย์ธรรมดาในดาวดวงนั้น เท่านั้นเอง ทว่า สำหรับเราแล้ว เปรียบเทียบกับมนุษย์โลกแล้ว เขากลายเป็นผู้มีความสามารถพิเศษเฉพาะตัว เฉพาะดาวของเขา ก็เท่านั้นเองครับ เพราะถ้าคุณเข้าใจคำว่าระดับชั้นของพลังงานในต่างดาว คุณจะพบว่า "มนุษย์ต่างดาว" เป็นเพียงระดับพื้นฐานเท่านั้น ยังมีระดับเหนือมนุษย์ (อุลตร้าแมน) ที่มาจากต่างดาวอีกด้วย พวกนั้นคือ พวกต่างดาวที่มีพลังพิเศษเหนือมนุษย์ต่างดาวไปอีกขั้นครับ (พลังในดาวต่างๆ ก็มีระดับขั้นเช่นกัน มนุษย์คือ ขั้นเริ่มต้นครับ)


เอาละ เมื่อคุณเริ่มเข้าสู่มิติที่ห้าแล้ว อย่าได้ตกใจ กังวลใจ กลัว หรือขาดความมั่นใจเลย จงกล้าหาญ, ท้าทาย และสนุกกับมันครับ แล้วมันจะทำให้คุณพัฒนาขึ้นไปได้มากมาย ในระดับนี้ คุณจะมีใจที่เปิดกว้างขึ้น พร้อมยอมรับผู้อื่นที่มีความแตกต่างจากคุณได้มากมาย มากขึ้นกว่ามิติที่สามเยอะเลยครับ นั่นแหละผลที่เราต้องการ ไม่จำเป็นต้องได้ผลเป็นฤทธิ์เดช หรือความสามารถพิเศษหรอกนะครับ ในระดับนี้ คุณจะได้รับการเรียนรู้กับตัวตนที่หลากหลายมากขึ้น หลากมิติมากขึ้น และแน่นอนว่ามันมีทั้งตัวตนที่ดีและไม่ดี, ถูกและผิด, ขาวและดำ, สว่างและมืด ฯลฯ มากมายครับ เพราะมัน "หลากมิติ" ไงละครับ ทว่า แท้แล้วทุกมิติก็คือ "หนึ่งเดียวกัน" นะครับ อย่าลืมซะละ ขอให้คุณสนุกกับการเข้าถึง "ตัวตนของคุณอย่างรอบด้านในทุกมิติ" แล้วคุณจะเข้าใจ "ตัวตนของคุณ" มากขึ้น ก่อนที่จะเข้าถึงสภาวะเหนือตัวตนเหล่านั้น ที่เรียกกันบนโลกว่า "อนัตตา" ที่ไม่ใช่เพียงปรัชญาครับ สำหรับวันนี้ อย่าลืมหลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์นะครับ ...

การเปลี่ยนแปลงบนโลก ช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับการชำระล้างพลังงานแต่ละชั้น

สวัสดีครับ วันนี้ มาแบบมีสาระจริงจังเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่ไม่ถึงกับซีเรียสนะครับ เป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงบนโลก ที่ท่านทั้งหลายกำลังจับตาดูอยู่นี้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่ได้วางแผนการณ์ไว้นั้น "ช้าหรือเร็ว" จะขึ้นอยู่กับการชำระล้างพลังงานเก่าในแต่ละชั้นของมนุษย์โลกด้วยครับ กล่าวคือ พลังงานใหม่ที่จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงไปสู่โลกใหม่นั้น จะมาได้หลังจากพลังงานเก่าได้รับการชำระล้างไปแล้วก่อน จะมาก่อนมากเกินไปไม่ไ่ด้นะครับ (มาก่อนได้เพียงเล็กน้อย เพื่อให้มนุษย์โลกเชื่อมต่อได้เท่านั้น แต่ไม่ได้เต็มกำลัง) เพราะ้ถ้ามาก่อนที่จะชำระล้างพลังงานเก่าแล้ว จะทำให้เกิดกระแสพลังงานสองสายที่ต่า่งกัน ปั่นป่วนโลกได้ ซึ่งจะทำให้คนบนโลกได้รับผลกระทบด้านลบ ด้านร้าย มากกว่าด้านดีนะครับ ดังนั้น พลังงานใหม่ จึงเชื่อมต่อมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แล้วดึงพลังกลับคืนไปเพื่อเปิด "ยุคของการชำระล้างพลังงานเก่า" ที่ยังอยู่ก่อน เมื่อชำระล้างได้ดีแล้ว "พลังงานใหม่แบบเต็มกำลัง" จึงจะลงมาได้เต็มที่ครับ


เมื่อกล่าวถึงการชำระล้างพลังงานเก่านั้น พลังงานเก่าจะมีหลายแบบ หลายชั้น หลายระลอก มาเป็นชั้นๆ ระลอกๆ ซึ่งเป็นพลังงานในคลื่นความถี่แบบเดียวกัน เช่น พลังงานในมิติทิพย์ของกลุ่มพญานาค ก็จะมีพลังคลื่นความถี่ ในแบบช่วงเดียวกัน และจะได้รับการชำระล้างในช่วงเวลาเดียวกัน อันจะส่งผลกระทบต่อมนุษย์ที่มีพลังเชื่อมโยงกับพญานาคด้วย เช่น กลุ่มเกษตรกร เ้ป็นต้น ทีนี้ การชำระล้างพลังงานเก่าแบบเป็นชั้นๆ เป็นระลอกๆ ไปนั้น จึงเกิดผลกระทบต่อคนบางกลุ่ม บางประเภท เป็นกลุ่มๆ เป็นระยะๆ ไป ไม่ได้เกิดผลกระทบทีเดียวทุกคนไปเสียหมด ดังนั้น จึงเกิดวิกฤติขึ้นบ้างในคนบางกลุ่ม และโอกาสขึ้นบ้างในคนบางกลุ่ม อีกเช่นกันครับ เพื่อให้กระบวนการชำระล้างนี้ เป็นไปอย่างราบรื่น และกระทบต่อโลกน้อยที่สุด โดย "ร่างสังขารมนุษย์" มากมาย จะถูกใ้ช้เป็นเหมือน "หลอดทดลอง" ที่ใช้ในการชำระล้างพลังงานเก่า โดยมนุษย์ที่จะรับพลังงานเก่าได้ จำต้องได้เสวยผลบุญมากเกินไปแล้วยังเสวยบุญต่อ เป็นต้น ร่างสังขารนั้นก็จะเป็นที่รองรับ "พลังงานเก่า" ซึ่งมักมาจากพลังงานใต้พิภพ และพลังงานในกลุ่มพลังมืดครับ นอกจากนี้ ยังมีวิธีการมากมายที่ทำให้คนได้รับพลังงานเก่าเข้าไป เพื่อเข้าสู่กระบวนการชำระล้าง ดังกล่าว


ในการชำระล้างพลังงานเก่าแต่ละชุด แต่ละชั้น แต่ละระลอก จะมีตัวละครสำคัญที่เข้ามามีบทบาท เล่นบทขับเคลื่อนกลไกลแห่งกรรมไปด้วย เช่น ตัวตนภาคมืด ตันตนหนึ่งของพระบุตรอาจมาเกิดเป็น "ผีดูดเลือด" เพื่อรอวาระการชำระล้างพลังงานในกลุ่มผีดูดเลือด เป็นต้น นี่ ไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรือเลวร้ายเลย แต่เป็นแผนการที่วางไว้นานแล้ว เพื่อที่จะหาทางออกให้แก่พลังงานทุกกลุ่ม ดังนั้น พลังงานในทุกกลุ่มจึงจะมี "ผู้นำทางสู่แสงสว่าง" ทั้งสิ้น และพวกเขาจะลงไปในฐานะตัวตนที่ยังไม่สว่างไสว เป็นตัวตนภาคมืด ก็ดี, ปีศาจ ก็ดี ฯลฯ ปรับตัวเหมือนกับพลังงานในกลุ่มนั้นๆ (ถ้าจะโปรดปีศาจ ก็ต้องไปในรูปปีศาจ) จนเมื่อพลังงานทั้งชุด, ทั้งกลุ่ม, ทั้งระลอก ชำระล้างสำเร็จแล้ว ก็จะเกิดใหม่ กลายเป็นกลุ่มพลังงานใหม่ไปโดยปริยาย เมื่อทำเช่นนี้ซ้ำๆ ก็จะทำให้เกิดการเลื่อนระดับ "ในระดับโลก" ขึ้นได้ ไม่ใช่เพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นการเลื่อนระดับไปพร้อมๆ กัน ยกทั้งกลุ่มนั่นเอง  

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ปลดปล่อยชีวิตให้อิสระ โดยไม่ต้องออกแรง ด้วยพลังของเทพเจ้าฝ่ายบาปเคราะห์?

สวัสดีครับ วันนี้ มาเป็นทางการนิดหนึ่งเพราะมีเรื่องค่อนข้างเป็นสาระเล็กน้อย มาเล่าให้ฟังครับ คือ "เรื่องเทพเจ้าฝ่ายบาปเคราะห์" หรือเทพที่ทำหน้าที่ประทานกรรมให้มวลมนุษย์ สงสัยไหมครับว่่าจะมีไปทำไม แล้วทำไมคนบางกลุ่มเขาถึงบูชา นับถือกัน? เอาละ เริ่มต้นจากสรรพสิ่งมันก็เป็นเช่นนั้นของมันเองแหละครับแต่เรามายึดมาแบ่งแยกกันเองว่า นั่นดี นี่ชั่ว แล้วเราก็หลงดีบ้าง หลงชั่วที่เราแบ่งแยกนั้นบ้าง ไขว่คว้าหาแล้วยึดมันไว้เช่น อะไรที่เราคิดว่าดี เราก็จะยึดมันไว้ ไม่ให้มันจากเราไป ทั้งๆ ที่สรรพสิ่งนั้นไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนหรอกครับ ไม่ใช่ว่ามันเลวร้ายจึงต้องถูกทำลายนะครับ แต่มันเป็นลีลาชีวิตที่ไม่น่าเบื่อ ทำให้มันมีสีสัน มีการเปลี่ยนแปลง ให้เราได้เห็นโลกที่เปลี่ยนไปในหลายๆ มุม ก็เท่านั้นเองครับ ก็เลยต้องมีเทพสองฝ่ายช่วยกันทำงาน คือ เทพที่ประทานส่วนกรรมดี และเทพที่ประทานส่วนกรรมชั่ว แท้จริงก็ไม่มีสาระอะไรให้เราไปยึดมั่นหรอกครับ ทั้งสองฝ่ายนั้นจะทำงานที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่เที่ยง ให้ได้รับกรรมดีบ้าง กรรมชั่วบ้าง เปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติครับ เพียงแต่ว่า "คนที่หลงและยึดมั่นถือมั่นกรรมดีมากๆ" ก็อาจจะต่อต้าน และพยายามทำให้สิ่งที่ตนมี ตนได้ ดำรงคงอยู่ตลอดไป พวกเขาจึงพยายามดิ้นรนด้วยฤทธิ์ เพื่อต่อต้านการทำหน้าที่ของเทพเจ้าฝ่ายบาปเคราะห์ เป็นต้น ซึ่งเป็นผลมาจากความไม่มีปัญญา เข้าใจถึงสัจธรรมดังที่ผมได้กล่าวมานั้นเอง


เอาละ สำหรับท่านที่มีปัญญาสว่างไสวแล้ว ย่อมเห็นประโยชน์ของการไม่ต้องกระทำอะไร ไม่ต้องไปต่อต้านอะไร ไม่ต้องไปฝืนการทำหน้าที่ของเทพเจ้าฝ่ายบาปเคราะห์อะไร คือ ปล่อยไปตามกรรม ไปตามธรรมชาติ โดยเราไม่ต้องออกแรงหรือใช้พลังอะไรของเราเองเลย สุดท้ายเราจะได้รับประโยชน์ได้ครับ นั่นคือเราจะได้รับการปลดปล่อยออกไปจาก "วงกรรมเดิมๆ" แม้ว่ามันจะเป็นวงกรรมดี ก็ตาม แต่ถ้ามันถึงวาระต้องดับสูญแล้ว มันก็ไม่ดีครับ ที่เราจะฝืนเสพต่อไป เพราะมันจะส่งผลให้เสพติดกรรมดีได้นะครับ ยกตัวอย่างเช่น นาย ก. อาจเคยได้รับเงินเดือนอยู่อย่างดี ถ้าเขาหลงทางต่อไป อาจเก็บเงินได้มากและพอจะผ่อนบ้านได้ พอผ่อนบ้านแล้วเขาก็เป็นหนี้ระยะยาวเป็นสิบปีครับ เขาจะเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองออกจากการเป็นมนุษย์เงินเดือนก็ไม่ไ่ด้ ทว่า ถ้าเขายอมรับสัจธรรม ความจริง แล้วเกิดมีเทพเจ้าฝ่ายบาปเคราะห์ประทานกรรมชั่วทำให้เขาถูกใส่ร้าย และออกจากงานไปเสียก่อนที่เขาจะได้ผ่อนบ้าน เขาไม่มีที่พึ่งเลยไปบวชพระแล้วในที่สุด เขาก็เกิดปัญญาเข้าใจได้ว่าการมีบ้านของตัวเอง ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าสู่ระบบ "วังวนของการก่อหนี้ระยะยาว" อย่างนี้ ชีวิตเขาก็เปลี่ยนเลยใช่ไหมครับ? แทนที่เขาจะทำงานอย่างเดิมอยู่ต่อไปเป็นสิบปี เพื่อผ่อนบ้านที่เขาซื้อไว้ อาจกลายเป็นว่าเขาได้อยู่บ้านเก่าซึ่งก็อยู่ได้ แต่เขามีอิสระที่จะทำสิ่งดีๆ เพื่อโลกนี้ได้อีกมากมาย หรือทำสิ่งที่เขารักได้อีกมากนัก เพราะเขาไม่มีภาระหนี้ผ่อนบ้านขนาดนั้น แม้ว่าอาจมีหนี้สินบ้าง อาจไม่ได้มากขนาดนั้น นั่นเอง นี่แหละ "ที่ผมอยากบอกว่า คุณไม่ควรมีทัศนคติเชิงลบกับเทพเจ้าฝ่ายบาปเคราะห์" ถ้าเราเข้าใจเรื่องอนิจจัง และไม่ยึดความถูกผิด, ดีชั่วมากจนเกินไป เราจะเข้าใจและเห็นประโยชน์ของการมีเทพเจ้าฝ่ายบาปเคราะห์ รวมทั้งพลิกวิกฤติจากการได้รับวิบากกรรม เป็นโอกาสใหม่ๆ ให้ชีวิตของคุณได้มี "อิสระจากบ่วงกรรมเดิมๆ" แม้ว่าจะเป็นบ่วงกรรมดีก็ตาม คุณก็จะได้ออกจากบ่วงกรรมนั้น เพื่อได้เห็นโลกในมุมมองใหม่ ได้อย่างอิสระเสรีมากขึ้น อาวละ สุดท้าย หวังว่าคุณจะมีปัญญา และใจที่พร้อมรับทุกๆ อย่างที่เข้่ามาในชีวิตตามธรรมชาติ ได้มากขึ้น และไม่มีทัศนคติเชิงลบมากเกินไปกับอะไรก็ตาม ใช้ชีวิตอย่างสว่างไสว มีความสุขได้ ไม่ว่าคุณจะได้รับสิ่งใด หรือในสถานการณ์ใดๆ ก็ตาม สำหรับบทความนี้ ผมขอจบลงเพียงเท่านี้ก่อน สวัสดีครับ

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อย่าได้ยึด "หัวโขนที่ดี" แต่อย่างเดียว แต่จงใช้ "ทุกตัวตน" แม้จะเลวร้ายเพียงใด?

สวัสดีครับ ต้องขออนุญาติกล่าวก่อนเลยนะครับว่ากระทู้นี้ หากท่านยึดติดความถูก, ผิด, ดี, ชั่ว มากเกินไปอย่างไร้ปัญญา ท่านไม่ควรอ่าน ท่านอ่านไม่ได้แน่นอนครับ เพราะมันจะเป็น "ของแสลง" ของท่านอย่างยิ่ง เอาละ ผมไม่ไ่ด้สอนให้ใครไปทำผิดหรือทำชั่ว นะครับ หรือแม้แต่ทำความดี ความถูกต้องอะไร ก็ไม่ใช่ ผมไม่อาจไปตัดสินความถูกต้องเหล่านั้นได้ครับ เอาเป็นว่า "ผมจะขอยืมใช้คำว่าถูก, ผิด, ดี, ชั่ว ในระดับบ้านๆ" ก็แล้วกัน เราจะได้คุยกันเข้าใจง่ายๆ ไงละครับ


อย่างที่ผมได้บอกแก่ท่านแล้วว่าคนเรามีทุกด้านทุกมุม ทุกมิติ ทั้งด้านที่ดีและชั่ว, ถูกและผิด ฯลฯ เรามีทั้งหมด ทุกคนนะครับ นี่คือ ธรรมชาติของมนุษย์ครับ ธรรมชาติสร้างมนุษย์มาเช่นนี้ ใครมีไม่ครบ ไม่นับเป็นมนุษย์นะครับ แม้แต่พระอรหันต์ ก็มีความเลว ความผิดกันได้ครับ แต่ท่านไม่ได้เลวหรือผิดจนเกิดกรรมสืบต่อชาติภพครับ เช่น ภรรยาของท่านอาจมองว่าท่านผิดและเลวที่ไม่รับผิดชอบครอบครัว แล้วไปบวช ทำให้เขาต้องทำงานเลี้ยงลูกยากลำบากเป็นต้น ผมถึงบอกไงครับว่า "ทุกคนมีทุกด้าน ทุกมิติ" และสิ่งเหล่านั้น จะเป็นดังพลังงานเล็กน้อยในระดับมิติที่สาม แต่ถ้าคุณเลื่อนระดับไปถึงมิติที่ห้าเมื่อไร มันก็คือ "เส้นทางเชื่อมตัวตนหลากมิติ" ของคุณ นั่นเอง ดังนั้น เมื่อใดที่คุณยึดมั่นแต่ "หัวโขนพระราม" สร้างภาพลักษณ์แต่ว่าคุณคือคนดี เท่านั้น ไม่มีอื่น นั่นหมายความว่าคุณกำลังสร้างกรงขังตัวเองให้อยู่แค่ในมิติที่สามได้เท่านั้น ไม่อาจไปได้เกินกว่านั้นครับ เพราะคุณจะไม่มีทางได้เชื่อมต่อถึง "ตัวตนตัวอื่นๆ ในมิติอื่นๆ" ของคุณได้เลย และเมื่อคุณไม่เข้าใจ "ตัวตน" (อัตตา) อย่าหลงตัวเองต่อไปเลยครับว่าคุณจะไม่ยึดมั่นในตัวตนได้ อย่าคิดครับว่าคุณจะปล่อยวางตัวตนได้จริงๆ ตราบเท่าที่ "คุณยังไม่เข้าใจตัวตนทั้งหลาย ในแต่ละมิติของคุณเองเลย" คุณย่อมไม่อาจเข้าถึงระดับที่เรียกว่า "อนัตตา" ได้เลยครับ ด้วยเหตุนี้ มันจำเป็นครับที่โลกจะได้รับการเลื่อนระดับจากมิติที่สามไปสู่มิติที่ห้าเสียที เพื่อให้คุณเข้าใจ "ตัวตนที่หลากหลายในทุกมิติ" ของคุณเอง ทั้งตัวตนที่มืดมิด, ตัวตนที่สว่างไสว, ตัวตนที่ดีงาม, ตัวตนที่เลวทราม, ตัวตนที่ถูกต้อง, ตัวตนที่ผิดพลาด ฯลฯ ทุกๆ ตัวตนครับ ทุกคนมีหมดนะครับ เพียงแต่จะเ้ข้าใจ เข้าถึงตัวตนของตนเองได้เท่าใด ก็เท่านั้นครับ ถ้ายังไม่ได้เลย ก็อาจยังอยู่แต่ในมิติที่สาม "ซึ่งยังล้าหลังและต่ำมากครับ" ดังนั้น จำเป็นครับที่คุณจะต้องเปิดตัวเอง ยอมรับทุกอย่างในตัวเอง ทุกด้าน ทุกมิติ ทั้งด้านดี, ด้านเลว, ด้านถูก, ด้านผิด, ด้านสว่าง, ด้านมืด ฯลฯ ของตัวเอง นั่นแหละ มันจึงจะช่วยให้คุณเลื่อนระดับไปสู่มิติที่ห้าได้อย่างแท้จริง


โปรดเข้าใจและอย่าใส่ร้ายว่าผมเป็นอื่น การเผยแพร่ของผมไม่มีเจตนาที่จะสั่งสอนให้ผู้ใดทำความเลว หรือความผิด แต่ประการใด ทุกอย่างคือการเรียนรู้ ที่คุณจะต้องผ่าน คุณไม่อาจบอกว่าคุณเป็นคนดีได้อย่างแท้จริง ถ้าคุณยังไม่เคยผ่านตัวตนที่เลวร้ายของคุณเอง และคุณก็ไม่อาจตัดสินใครว่าเลวได้ ถ้าคุณเองยังไม่เคยเลวเช่นนั้นมาก่อนครับ คนที่มีตัวตนที่เลวหรือผิด ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะเลวร้ายมากนะครับ เช่น บางคนก็แค่ปากเสียเท่านั้นเองครับ เขาทำได้แค่นั้น อย่าเพิ่งไปมองว่าเขาเลวร้ายเกินไปนะครับ เพียงแค่เขากำลังเรียนรู้กับตัวตนที่เลวหรือผิดของเขา เท่านั้นเอง และผมจำต้องบอกคุณว่ามันไม่จริงหรอกที่คุณคิดว่าคุณจะผ่านได้ นิพพานได้ โดยที่คุณยังไม่เคยเห็นตัวตนด้านเลว, ด้านมืด, ด้านผิด ฯลฯ ของคุณเลย สำหรับวันนี้ ผมค่อนข้างคุยซีเรียสไปนิด แต่มีสาระมากหน่อยนะครับ สวัสดีครับ


     

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

องค์ธรรมบิดา องค์ธรรมมารดา พระบุตร ชุดที่จะมาโปรดในปีหน้ามีลักษณะอย่างไร?

สวัสดีครับ อ่ะ วันนี้ขอนำเสนอเป็นทางการหน่อยนะครับ แต่ว่าไม่ได้ซีเรียสเกินไปนักครับ หัวข้อน่าสนใจมากครับ คือ "พลังงานขับเคลื่อนโลกในปีหน้า" นั้นจะเปลี่ยนไปอย่างไร? อย่างแรก ผมจำต้องบอกก่อนคือพลังในการขับเคลื่อนโลกแต่ละปี จะไม่เหมือนกัน และเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ครับ ซึ่งจะมีการหมุนเวียนเป็นวัฏจักร หนึ่งรอบเท่ากับ ๑๒ ปี บ้างในบางวัฏจักร หรือในบางวัฏจักรอาจมากหรือน้อยกว่านี้ก็ได้ครับ เอาละ ต่อไปคือ พลังในการขับเคลื่อนโลก พลังงานหลัก จะมาจาก "องค์ธรรมบิดา", "องค์ธรรมมารดา" และ "พระบุตร" นะครับ สามพลังหลักนี้ มีอิทธิพลต่อโลกมากครับ ซึ่งจะไม่ได้มาจากไหนไกล สวรรค์จะคัดเลือกจากเทพที่มนุษย์รู้จักนั่นแหละครับ สำหรับในปีหน้า เราจะได้ องค์ธรรมบิดาคือ "เทพซุส" องค์ธรรมมารดาคือ "เทพีไกอา" และ พระบุตรจะมีสององค์ ได้แก่ ๑. เทพโปรมีธีอุส ๒. เทพจักราศีกุมภ์ ทั้งสององค์จะถือ "ธาตุ" ตรงข้ามกัน คือ เทพโปรมีธีอุสถือธาตุไฟ และเทพจักราศีกุมภ์ถือธาตุน้ำ โดยปีหน้ายังไม่ใช่วาระที่โลกจะได้รับการจัดสรรบุญนะครับ (ต้องเป็นปีต่อไปครับ คือ พ.ศ. ๒,๕๕๗) ดังนั้น ในปีหน้าจึงยังเป็นปีของการเสวยวิบากกรรมของมนุษย์โลกอยู่ครับ โดยพระบุตรสององค์นั้นจะทำหน้าที่ "ตรงข้ามกัน" เทพโปรมีธีอุสจะทำหน้าที่ช่วยเหลือมนุษย์ "โดยฝืนลิขิตฟ้า-ชะตาสวรรค์" ผ่านการมอบพลังธาตุไฟให้ ส่วนเทพจักราศีกุมภ์จะทำหน้าที่ประทานวิบากกรรมแก่มวลมนุษย์ โดยมี "เทพจักราศีธนู" เข้่ามาเกี่ยวข้องด้วยครับ โดยเทพจักราศีธนูจะได้รับพิษหรือป่วยหนักทรมานอยู่ จนไม่อยากที่จะมีความอำมตะอีกต่อไป ก็จะประทานความเป็นอำมตะให้แก่เทพโปรมีธีอุส พร้อมทั้งวิบากกรรมที่ต้องนอนทรมานด้วยครับ (ยังผลให้เทพโปรมีธีอุสต้องรับวิบากกรรมนอนรับทัณฑ์ทรมานจากเทพซุส) กล่าวคือ คนที่อยู่ในราศีธนู หรือเข้าข่ายได้รับพลังจากจักราศีธนู จะทำหน้าที่ส่งงานสืบทอดต่อให้โปรมีธีอุส ผู้คิดใช้พลังธาตุไฟช่วยเหลือมนุษย์ แตนั่นคือการฝืนชะตาสวรรค์ครับ ส่วนเทพจักราศีกุมภ์จะได้รับการโปรดปรานจากเทพซุส ทว่า ท่านจะทำหน้าที่ประทานบาปเคราะห์ให้แก่มนุษย์นะครับ ผู้ที่เกิดในราศีกุมภ์ก็ดี, ผู้ที่รับพลังจากจักราศีกุมภ์ ก็ดี, ผู้ที่บำเพ็ญบารมีแบบราศีกุมภ์ก็ดี (เช่น บาเทนเดอร์, คนส่งน้ำให้เทพ ฯลฯ) จะเป็นผู้ทำหน้่าที่ประสานพลังกับเทพจักราศีกุมภ์ได้ครับ


บทบาทขององค์ธรรมบิดาที่สำคัญในปีหน้า ก็คือ การโปรดและช่วยเหลือเทพจักราศีกุมภ์ (เหล่าชายงาม, หรือชายขายเหล้า ขายน้ำ ทั้งหลาย) และเล่นงานเทพโปรมีธีอุส (เทพที่นำพลังธาตุไฟจากสวรรค์ลงมาช่วยมนุษย์) เพื่อควบคุมเกมให้ดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็นคือ ประทานบาปเคราะห์แก่มวลมนุษย์ก่อนในปีหน้า แล้วจึงมีเทพอีกชุดมาจัดสรรบุญให้ในปีถัดไป ส่วนบทบาทขององค์ธรรมมารดาคือ การปราบ "นายพรานนักล่าสัตว์" ไม่ใช่นายพรานจริงๆ นะครับ แต่เป็นผู้ที่ชอบล่าคนอื่น จับคนอื่นไปเป็นบริวารรับใช้ แล้วเกิดความหลงตัวเองว่าตนเป็นผู้ล่าที่จับคนอื่นได้เก่ง พระแม่ไกอาก็จะปราบความหลงตัวเองของบุคคลผู้นี้ ด้วยการใช้ "เทพจักราศีแมงป่อง" ให้ไปปล่อยพิษจนถึงแก่ความตายครับ หรือกล่าวง่ายๆ คนผู้นี้จะตายด้วยพิษครับ ซึ่งคนผู้นี้จะคิด "ล่าพระบุตร" คิดเอาพระบุตรมา่ช่วงใช้เป็นข้าทาสบริวาร แต่พระแม่ไกอาเห็นแล้วว่าเขาไม่อาจอยู่ในฐานะที่จะเหนือกว่าพระบุตรนั้นได้ ท่านจึงสั่งสอนครับ ดังนั้น ในปีหน้า "พระบุตร" องค์หนึ่งจะอยู่ข้างๆ องค์ธรรมบิดา และพระบุตรอีกองค์จะอยู่ข้างเหล่ามนุษย์ จะคอยคานอำนาจให้แก่กันและกัน โดยมีองค์ธรรมบิดาและองค์ธรรมมารดาช่วยสนับสนุนดังกล่าว เอาละ ปีหน้าเรายังคงต้องระวังเรื่องน้ำกันต่อไปครับ เพราะเทพที่ลงมาดูแลคือ "เทพจักราศีกุมภ์" ซึ่งมีพลังธาตุน้ำมาก (ปีที่แล้วที่ประเทศไทยน้ำท่วมหนัก ก็มีเทพพระจันทร์ผู้คุมธาตุน้ำบนโลก มาดูแลกระบวนการด้วยครับ) สุดท้ายนี้ ผมไม่ไ่ด้ทำหน้าที่ทำนายภัยพิบัติอะไรหรอกนะครับ เพียงแต่รายงานการทำหน้าที่ของ "มิติทิพย์" ในปีหน้า ไว้ล่วงหน้าให้ทุกท่านทราบ ก็เท่านั้นเอง ปีหน้า ยังคงไม่ใช่ปีของพระสุริยเทพ ยังไม่สว่างไสว เรายังต้องทนกันต่อไปอีกหน่อยนะครับ นั่นก็หมายความว่า "เราจะยังมีโอกาสมากขึ้นไปอีก ๑ ปี ในการที่จะพัฒนาตัวเองอย่างยิ่งยวด" นั่นเองครับ สำหรับใครที่ยังเลื่อนระดับไปได้ไม่มาก ยังมีเวลาครับที่จะเลื่อนระดับตัวเองให้ได้ยิ่งยวดในปีหน้า สำหรับบทความนี้ ผมขอจบลงเท่านี้ครับ    

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

คลื่นจังหวะชีวิตที่ซับซ้อนยุ่งเหยิงของคุณ อาจมาจากพลังโยงใยจากวัตถุต่่างๆ

อาวละ ได้เวลาเม้าท์ก่อนนอนของเราอีกแล้ว ก็ไม่มีอะไรมากนะครับ ผมจะมาเม้าท์ให้ฟังต่อเรื่อง "คลื่นพลังงานที่เชื่อมโยงกับวัตถุต่างๆ" เช่น มือถือ, ทีวี, คอมพิวเตอร์, รถยนต์, บ้าน, ที่ดิน ฯลฯ ซึ่งผมได้เคยเม้าท์ให้ฟังแล้วครับ เรื่อง "ผีมือถือ, ผีเว็บ" ไงละครับ ทีนี้ สรุปง่่ายๆ ก็คือ "วัตถุทุกอย่างล้วนมีพลังงานเชื่อมโยงในอีกมิติหนึ่งทั้งสิ้น" แต่มันจะเป็นพลังงานในรูปแบบใด? ในมิติใด? เช่น บางอย่างเป็นพลังที่เบาบางแต่เชื่อมโยงมาจากมิติของโลกทิพย์ เช่น แม่น้ำทุกสาย แม้ที่ดูเหมือนไม่มีพลังอะไร ก็จะมีพลังเชื่อมโยงไปถึง "จิตวิญญาณแม่พระคงคา" แน่ๆ ครับ แต่ถ้าแถวไหนของแม่น้ำมีคนตายแล้วจิตวิญญาณยังไม่ไปไหน ก็จะมีพลังเชื่อมโยงใน "ระดับใกล้ชิด" ทำให้เราเห็นหรือสัมผัสได้ง่ายกว่า ส่งผลกระทบ หรือมีอิืทธิพลต่อเราง่ายกว่าพระแม่คงคาครับ พอเข้าใจนะครับ คำว่า "พลังงานเชื่อมโยงระดับใกล้และระดับไกล" แต่ไม่ว่าจะเป็นวัตถุอะไร ล้วนมีพลังเชื่อมโยงถึงจิตวิญญาณในมิติอื่นๆ ทั้งสิ้นนะครับ ถ้าพลังเชื่อมโยงนั้นเป็นระดับไกล เราก็จะรู้สึกเหมือนว่าไม่มีอะไร ไม่มีการเชื่อมโยงของพลังอะไร หรือไม่มีความศักดิสิทธิ์นั่นเอง แต่แท้แล้วไม่ใช่นะครับ มันแค่ "ไกล" เลยแผ่วเบาหรือเราสัมผัสได้น้อย ก็เท่านั้น ส่วนที่ใกล้มากๆ ก็สัมผัสได้ง่ายกว่าครับ ทีนี้ พลังงานเหล่านี้ ส่งผลกระทบและมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตของเราทั้งหมดครับ อุปมาง่ายๆ เหมือนเราเป็น "นักร้อง" นะครับ เป็น "เลดี้ กาก้า" ก็ได้ รอบตัวเรามี "วงดนตรี" เครื่องดนตรีหลากหลายชิ้นอยู่ ต่างก็บรรเลงไปตามท่วงทำนอง ตามโน้ตของตน และเราก็ได้รับอิทธิพลจากสิ่งเหล่านั้น วัตถุทุกชนิดรอบตัวเรา ก็ล้วนส่งผลเป็นคลื่นพลังงานที่ทำให้เรามีชีวิตที่ซับซ้อนยุ่งเหยิงมากขึ้นหรือเรียบง่ายมากขึ้น ก็ได้ครับ กล่าวคือ ยิ่งมีวัตถุมากๆ ก็ยิ่งมีโอกาสได้รับพลังคลื่นความถี่จากอีกมิติหนึ่งรบกวน "คลื่นชีวิต" ของเราได้ง่ายขึ้น ผลคือ "ชีวิตของเราจะยุ่งยาก ซับซ้อนขึ้นครับ" แต่ถ้าเราได้รับคลื่นรบกวนนี้น้อยลง วิถีชีวิตของเรา ก็จะ "เรียบง่าย สงบ ราบเรียบ นิ่ง" มากขึ้น อย่างไรละครับ เอาละ นี่คือ หลักการง่ายๆ เบื้องต้นนะครับ


ต่อไป เราสามารถ "ปรับคลื่นพลังงานรบกวนเหล่านี้" ให้สะอาด สงบ เบาสบายได้มากขึ้นครับ เมื่อเราได้ชำระล้างพลังงานเก่าที่เชื่อมโยงอยู่กับวัตถุนั้นๆ และส่งผลกระทบเป็นคลื่นพลังงานรบกวนชีวิตเราอยู่ เมื่อเราทำได้สำเร็จ มันก็จะส่งผลกระทบต่อชีวิตเราน้อยลง เหมือนมันได้กลายเป็น "คอรัส" คอยประสานเสียงหนุนนำเรา ไม่ใช่เครื่องดนตรีที่คอยรบกวนการร้องเพลงของเราอีกต่อไป และเราก็จะมีวิถีชีวิตที่สงบ เรียบง่าย มากขึ้น นั่นเองครับ แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะสูญเสียวัตถุสิ่งของเหล่านั้นไปเลยนะครับ ยังมีอยู่ครับ แต่อยู่ร่วมกันได้ พลังเหล่านี้จะไม่ครอบงำเราให้ลุ่มหลง มืดบอด อีกต่อไปแล้วครับ สำหรับคืนนี้่ ขอจบเรื่อง "พลังงานที่เชื่อมโยงกับวัตถุต่างๆ" ก่อน ราตรีสวัสครับ

E-NGO ทั้งหลาย มามะจะบอกให้ จะจัดการผีเน็ต ผีมือถือกันยังไง?

มาเร้ว มามา E-NGO (electronic non-government organization หรือองค์กรกุศลที่ไม่ใช่หน่วยงานภาครัฐซึ่งทำงานผ่านทางอิเล็คโทรนิค) เจ้าข้าเอ้ย อิฉันได้เวลาขาเม้าท์ เม้าท์มันๆ กันอีกแล้วเจ้าค่า ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอกนะเจ้าคะ อูย ก็อีเรื่องเดิมนั่นแหละเจ้าคะ เรื่องผีขนุน เอ้ย ไม่ช่าย จิตวิญญาณที่เชื่อมโยงกับ "สื่อนำวิญญาณ" ทั้งหลาย เช่น มือถือ, อินเตอร์เน็ต, เว็บไซต์ ฯลฯ แล้วทำให้เรามีพฤติกรรม, มีความคิด, จิตใจ, อารมณ์คล้อยตามสิ่งนั้นๆ ไปได้ เราจะทำอย่างไรกันดีละเจ้าคะ? คุณผู้หญิงขา ... อิฉันนี่แหละเจ้าค่า ไปสืบมาหมดแล้วนะเจ้าคะ เลยทำให้รู้ไปหมดเลยเจ้าค่า ว่าจะจัดการอย่างไรกะเจ้าพวกนี้ โอ้ย เดี๋ยวจะสาธยายให้ฟังนะเจ้าคะ เป็นข้อไล่เรียงหน้าไปเลยเจ้าค่ะ


ข้อหนึ่ง : ใช้เครื่องมือต่างๆ "อย่างมีจรรยาบรรณ" ก็ของวิเศษ ของที่มีอิทธิพลต่อผู้คนมาก ยิ่งต้องมีจรรยาบรรณในการใช้มากนะคะ แม้ว่าเราไม่ใช่นักข่าว, แพทย์, ข้าราชการ ฯลฯ อะไร แต่เพียงแค่เป็นผู้ใช้นี่ก็ต้อง "รู้จักขอบเขตในการใช้" นะเจ้าคะ ขอบเขตที่ว่านี้ก็คือ จรรยาบรรณในการใช้ของวิเศษ (เช่น มือถือ, ทีวี, เน็ต ฯลฯ) นั่นเองค่ะ

ข้อสอง : ใช้เครื่องมือต่างๆ "อย่างสร้างสรรค์" ก็ของวิเศษเหล่านี้ เมื่อเราใช้ไปทางที่ผิด ก่อกรรมไม่ดีเข้า "ผีไม่ดีมันจะเข้าตัวเรา เจ้าค่ะ" เช่น ผีลูกกรอก (ที่ถูกทำแท้ง) อาจเข้าไปอยู่กะเด็กที่ติดเกมเจ้าค่ะ ทีนี้ละก็ เล่นเกมยังกะโดนสิง วันทั้งวันไม่ทำอะไรแล้วเจ้าค่ะ นั่นหละ เพราะใช้เครื่องมือไปทางไม่ดี ไม่ได้นำไปใช้สร้างสรรค์อะไรไงคะ

ข้อสาม : ใช้เครื่องมือต่างๆ "อย่างพอควร" ของทุกอย่างนะเจ้าคะ ถ้าใช้มากเกินไป มันก็เกินควรค่ะ แล้วปัญหามันก็จะตามาค่ะ ส่วนใหญ่ก็จะถูกของนั้นๆ ครอบงำ จิตวิญญาณที่เชื่อมโยงกับของนั้นๆ ครอบงำเอาได้นะคะ ดังนั้น อย่าไปใช้มากเกินค่ะ ใช้เท่าที่จำเป็น เช่น เล่นเน็ตทั้งวันนี่ ก็เสร็จค่ะ มันครอบงำเข้าแล้วนะเจ้าคะ เพราะใช้เกินพอดีค่ะ

ข้อสี่ : ใช้เครื่องมือต่างๆ "อย่างผู้มีปัญญา" คือ เข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องใช้หรือต้องมีสิ่งของเหล่านี้ ไม่ใช่ เห็นมันเจ๋งดี อยากได้ หลงก็เลยใช้ไปด้วยความลุ่มหลงนะเจ้าคะ อันนี้ ใช้ไม่ได้ มั้ยด้ายยย อย่างยิ่งเลยเจ้าค่ะ เช่น คนทำงานก็ใช้คอมพิวเตอร์ทำงานแต่คนไม่ทำงาน จะเอาไปเล่นเกม อันนี้ ก็เตือนไว้นะเจ้าคะ มันเหมือนเล่นกับไฟละค่ะ


อ้าวละ เดี๋ยวจะหาว่าอิฉันพูดมากเกินไป คุณผู้หญิงขา... ไม่ได้เม้าท์นะเจ้าคะ อิฉันไปสืบ ไปสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้านเขามาหมดแล้วเจ้าค่ะ เลยมารายงานให้คุณผู้หญิงทราบค่าาาา โอ้ย อย่าตกใจไปเลยนะคะ เรื่องพวกนี้ "ผีมันก็มีอยู่ทุกที่ละค่ะ" ทุกหย่อมหญ้า มีผีจองที่กันทั้งนั้น หนีไม่ไ่ด้หรอกค่ะ ถ้าเราไปหลงกะวัตถุอะไร ผีที่มันยึดโยงอยู่กะวัตถุนั้นๆ มันก็ครอบงำเราเท่านั้นเองแหละค่า แต่ถ้าเราไม่ไปหลงกะวัตถุอะไรมาก ใช้เท่าที่จำเป็น และใช้อย่างผู้มีปัญญาซะนะคะ ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ แรกๆ ก็อาจถูกครอบงำทำให้หลงไปได้บ้าง แต่พอเราใช้ได้ดี สร้างสรรค์ พลังงานห่วยๆ ก็ถูกชำระซักฟอกดีขึ้นเองค่ะ จิตวิญญาณที่ยึดโยงกะของนั้นๆ ก็ได้รับการสร้างใหม่ จะกำเนิดใหม่ได้เองแหละเจ้าค่ะ โอ้ย ตายแล้ว อิฉันพูดมากไปหน่อย ไม่เอา ไม่พูดแล้ว หม๋ายยยพูดดดด ไปแล้วนะเจ้าคะ บาย บายยย    

วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

โอวมายก็อด! "ผีสยองจองเว็บ" หรือคือตัวตนหลากมิติที่ตกค้างในเว็บ?

โอวมายก็อด อกอีแป้นจะแตกแล้วฮ่ะ ดู้ดู ดูนี่สิ ผีฮ่ะ ผีเต็มไปหมดเลย ยุบยิบ ยุับยับเต็มเว็บนั้น เว็บนี้ไปหมดเลย ยกเว้นเว็บเรานะฮ้า เพราะเว็บเรามีแต่ "ผีขนุนฮ่ะ" ว้าย ล้อเล่นน่ะฮ่ะ เอาละ เล่นมากแล้ว เข้าเรื่องกันได้ เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า มันลึกลับมากเลยนะเธอ เค้าจะมาเม้าท์ให้ตัวเอ้ง ตัวเองฟังกันว่า เว็บไซต์ต่างๆ เนี่ย มันมี "ผีประจำเว็บ" ฮ่ะ ว้าย ไม่ใช่ใครนี่ไหนนะฮ่ะ ตกลงเธอหรือเปล่า "ผีเฝ้าเว็บ" น่ะ? อ่ะ ล้อเล่น สรุปแว่ เอ้ย สรุปว่า ตัวตนในมิติทิพย์ที่ตาเปล่าเรามองไม่เห็น ซึ่งเชื่อมโยงกับเครื่องมือสื่อสารต่างๆ น่ะฮะ มันมีอยู่จริงๆ นะฮ่ะ อิฉันเนี่ยไปเจอมาแล้วเจ้าข้า เจ้านายขา... นี่อิฉันจะมารายงานนะเจ้าค่ะ นี่ไม่นานเลยค่ะ สดๆ ร้อนๆ เลยนะเจ้าค่ะ ผีแน่นอนค่ะ ผีค่ะ ผีขนุน, ผีทะเล, ผีกระเทย เอ้ย ไม่ใช่ "ตัวตนในมิติที่มองไม่เห็น" คร่ะ มันเชื่อมโยงอยู่กับเครื่องมือสื่อสารของเราทั้งหลาย เช่น มือถือ, อินเตอร์เน็ต, เว็บไซต์ต่างๆ ฮ่ะ เคยไหมฮะ ที่เข้าเว็บแล้วมันเหมือนมีอะไรๆ ยึดโยง โยงใยพัวพันให้เราออกได้ยาก เข้าแล้วเข้าอีก หรือพัวพันมันอยู่นั่นอ่ะค่ะ น่าแหละ น่านแหละ "พลังงานบางอย่าง" กำลังยึดโยงตัวเองอยู่นะ ตัวเ่อ้ง นอกจากนี้นะ มันยังมีความคิด, จิตใจ, อารมณ์, ทัศนคติ ฯลฯ ที่เฉพาะตัวนะ เช่น ไม่ว่าใครเข้าเว็บนั้นๆ จะต้องมีอาการแบบนั้น ออกมาคร่ะ ที่เขาว่า "เกรียน" น่ะฮะ เคยเห็นไหมฮะ บางเว็บนี่ ใครเข้าไปเกรียนทั้งนั้นเลยฮ่ะ ยากฮ่ะที่จะไม่ถูก "ผีเกรียนเข้าสิง" หรือว่าถูกเขาจูน ยึดโยงทางพลังงานให้มีอารมณ์, ความรู้สึกนึกคิด, คล้อยตามเขาไปค่ะ แล้วเป็นกันทั้งนั้นนะฮะ ไม่ใช่คนเดียว แรกๆ เราก็คิดว่าคงเป็น "พฤติกรรมเลียนแบบ" หรือว่า "ค่านิยมหรือกระแสแฟชั่นประจำเว็บ" แต่แท้แล้วมันมีมากกว่านั้นค่ะ เบื้องหลังการเกิดขึ้นของกระแสแฟชั่นหรือพฤติกรรมเลียนแบบประจำเว็บ มันมาจาก "พลังงานต่างมิติที่ขับเคลื่อนมันอยู่เสมอๆ" และ "วนเวียนอยู่ไม่ยอมไปไหน" เจ้าค่า อิฉันเลยมาเรียนให้คุณผู้หญิงทราบไว้ ณ ที่นี้เรยนะเจ้าค่ะ


เอาละ อิฉันขอสรุปง่ายๆ นะเจ้าคะ คือ ตัวตนหลากมิติมันมีมากมาย แม้แต่ในเครื่องมือสื่อสารเนี่ยเจ้าค่ะ มันก็มีเยอะแยะ หลายตัวตนเจ้าค่ะ บ้างก็มาจาก "จิตวิญญาณเจ้ากรรมนายเวร" หรือ "เงาตามตัว" ของคนเข้าเว็บ เข้าเว็บแล้วพัวพัน ไม่ออกไปได้ ติดอยู่กับเว็บ และทำให้คนติดเว็บ, ติดเน็ตนะคะ บ้างก็มาจาก "ภูติ" ของคนเล่นเว็บเองนั่นแหละค่ะ เฝ้าประจำเว็บไปเสียเลย เพราะจิตใจผูกพัน พัวพันกับเว็บไงละเจ้าคะ น่านแหละ ทีนี้ เรื่องมันไม่จบเจ้า่ค่ะ เพราะเจ้าตัวตนในมิติไซเบอร์เหล่านี้ ยังมีผล มีอิทธิพล และครอบงำ รวมทั้งดลจิตดลใจคนเข้าเว็บ ให้มีอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดอะไรๆ ได้นะเจ้าคะ ไม่เท่านั้น มันยัง "ตามออกมาจากเว็บ" ได้ด้วยแหละเจ้าค่า เจ้าข้าเอ้ย ... อกอีแป้นจะแตก! มันเป็นจั้งดั้ย ทำมัยมันจึงเป็นได้จังซี่ ข่อยสิบ่ฮู้บ่หัน มันไม่ใช่ดาว แม่ไม่เข้าใจความเป็นดาว เป็นไปได้ยังไงเนี่ย โอ้ย แต่นะเจ้าคะ มันก็เป็นไปแล้วเจ้าค่ะ ไม่อยากจะสาธยายเลย เดี๋ยวจบไม่ลงเจ้าค่ะ เอาเป็นว่ามันมีอยู่อย่างไร "คุณผู้หญิง" ก็ลองเข้าไปดูเองเถอะเจ้าค่ะ อิฉันไม่อยากจะพูดอะไรมากอีกแล้ว มันน่ากลัวอารายอย่างนี้คะ โอ้วววว มายก็อด! ไปแล้ว ไปดีกว่า ไปแล้วนะ บะบายยย