วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ตัวตนในอดีตของคุณ อาจอยู่ในร่างของคนอื่น?

สวัสดียามบ่ายวันเสาร์ครับ ไม่ทราบว่าเตรียมวางแผนไปเที่ยวไหนในวันหยุดกันหรือยัง? เอาละ ถ้ายังไม่ทราบ ก็นั่งอ่านบทความเล่นๆ ไปก่อนละกันนะครับ สำหรับสำหรับบทความนี้ จะขอกล่าวถึง "ตัวตนหลากมิติ" ซึ่งบางตัวตนของคุณอาจอยู่ในร่างของคนอื่นได้ เอ๊ ยังไง? ครับ นี่แหละ วิถีของการยกระดับจาก "มิติที่ 5 ไปสู่มิติที่ 6" คุณจะได้พบสิ่งมหัศจรรย์นี้ คุณจะพบ "ตัวตนบางมิติของคุณในตัวคนอื่น" ก่อนที่คุณจะกลายเป็น "แสงสว่างสากล" เมื่อคุณเข้าใจถึงภาวะ "เหนือตัวตนทั้งมวล" ซึ่งก็คือ ความเป็นหนึ่งเดียวกันของทั้งหมดทั้งมวล โดยไม่ต้องมีการแบ่งแยกว่าเป็นตัวตนของใคร ในช่วงที่คุณกำลังก้าวข้ามผ่านมิติที่ 5 ไปสู่มิติที่ 6 นี้ คุณจะได้พบ "ตัวตนบางมิิติของคุณในร่างคนอื่น" เช่น ตัวตนในอดีตของคุณเองบางตัวตนที่ตกค้างอยู่ในโลกนี้ อาจประสานอยู่ในร่างของคนอื่นได้ และคุณก็ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นหรือควบคุมตัวตนตัวนั้นได้ด้วย อ้าว ทำไมเป็นอย่างนั้น ลองติดตามดูครับ


มันน่าแปลกและน่าอัศจรรย์มากทีเดียว แต่มันจำเป็นที่คุณอาจจะต้องระลึกถึง "ตัวตนในมิติอื่นๆ ของคุณให้ได้ก่อน" ดังนั้น คุณจึงต้องผ่านมิติที่ ๕ ที่จะทำให้คุณรับรู้ถึงตัวตนมากมายในหลากหลายมิติของคุณ เช่น ตัวตนในมิติอดีต, ตัวตนในมิติอนาคต ฯลฯ เมื่อคุณรับรู้ได้แล้ว ก็อาจค้นพบตัวตนเหล่านี้ในร่างของคนอื่นและเมื่อคุณเปิดใจกว้างที่จะยอมรับและเข้าใจได้ คุณก็จะเลื่อนเข้าไปสู่ขอบเขตของมิติที่ ๖ ทันที ทีนี้ ผมมีอะไรให้คุณทดลองเล่นๆ สนุกๆ มากกว่านั้น นั่นคือ คุณก็อาจทดลองดูได้ว่า "ตัวตนตัวนั้นๆ ใช่ หนึ่งในตัวตนหลากมิติของคุณหรือไม่" เช่น คุณอาจเชื่อมโยงพลังงานไปสู่ตัวตนตัวนั้น, ทำงานผ่านตัวตนตัวนั้น (ในร่างคนอื่น) หรือแม้แต่ดึงเอาตัวตนตัวนั้นเข้ามาในร่างสังขารปัจจุบันของคุณ ก็สามารถทำได้ และเพื่อยืนยันถึงความเป็น "ตัวตนหลากมิติของคุณ" คุณจะได้ค้นพบประจักษ์พยานบางอย่างที่จะทำให้คุณมั่นใจได้ว่า "มันคือความจริงในระดับมิติที่สูงขึ้น" นั่นเอง


ในทางกลับกัน "ตัวตนต่างมิติของคนอื่น" อาจซ้อนอยู่ในร่างสังขารของคุณ อันเนื่องมาจาก "ผลของพลังงานเชิงซ้อน" ของโลก นั่นเอง และด้วยเหตุนี้ ทำให้คุณถูกปิดบังอำพรางไปด้วย "ตัวตนของคนอื่น" ได้ และทำให้คุณเข้าไม่ถึง "ตัวตนที่แท้ของคุณเอง" เช่น คุณไม่รู้ว่าในความเป็นจริงแล้ว คุณต้องการอะไรกันแน่? คุณแสวงหาสิ่งใดกันแน่? อะไรที่เป็นความสุขที่แท้จริงของคุณ? เพราะตัวตนที่แท้จริงของคุณอาจถูก "ฝังกลบ" อยู่ภายใต้ตัวตนของคนอื่น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณอยากเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ หรือพระเมสิอาร์มากๆ คุณอาจจะถูกตัวตนของท่านฝังกลบให้ซ่อนลึกอยู่ภายในตัวคุณเอง มันไม่อาจที่จะแสดงความเป็น "ตัวตนที่แท้้จริงของคุณ" ออกมาได้เลยเพราะการถูกพลังงานเชิงซ้อน ซ้อนทับไว้เช่นนี้ เอาละ... อย่าเพิ่งโวยวายโทษว่าเป็นความผิดของใคร สิ่งนี้จะมาไม่ได้ ถ้า "ใจของคุณไม่ต้องการ" แต่ถ้าใจของคุณเรียกร้องต้องการ อยากได้ อยากมี อยากเป็น แน่นอนว่าใจของคุณเองนั่นแหละ ที่ "จูน" เอาพลังงานเชิงซ้อนเหล่านั้นเข้ามา  


และเมื่อใดก็ตามที่ "ตัวตนต่างมิติของคุณ" ที่อยู่ในร่างคนอื่น ได้ัรับการชำระล้างและสร้างใหม่โดยคุณอีกครั้ง คุณก็จะพัฒนาตัวเองได้สูงขึ้น เลื่อนระดับย่อยๆ สูงขึ้นไปได้อีกก่อนที่จะถึงที่สุดของมิติที่ ๖ นั้น ดังนั้น "คนอื่นบางคนอาจเป็นเหมือนกระจกสะท้อนอดีตหรืออนาคต" ให้คุณก็เป็นได้? จงฮึกเหิมและกล้าหาญที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่เหนือความคาดหมายนี้ ผมเชื่อว่าคุณจะสนุกกับมัน สวัสดีครับ ...

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความคิดสร้างได้เพียงสมมุติ ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่้ต้องสร้าง?

สวัสดีก่อนนอนนะครับ สำหรับบทความนี้มีหัวข้อพิเศษมากที่บางท่าน อาจกำลังมีประสบการณ์หรือได้รับการสอนมาพอดีคือเรื่องของการใช้ "พลังความคิด" นะครับ อันนี้เป็นพลังจิตสายฝรั่ง เขาสอนมา เผยแพร่มาพร้อม "ระบบทุนนิยม" แท้จริงแล้วมันคืออะไร? มันก็คือการใช้พลังจิตแบบ "สวรรค์ชั้นที่หก" เป็นการสร้าง, การเนรมิตจากความคิดนะครับ ซึ่งมีสองแบบ ทั้งแบบสายมารและแบบสายเทพ (สวรรค์ชั้นที่หกมีทั้งแดนเทพและแดนมาร สองแดนมีกำแพงกั้นไม่ยุ่งเกี่ยวกัน) นี่ยังไม่ใช่ "พลังต่างดาว" นะครับ แต่ก็นับว่าเป็นวิทยาการที่สูงที่สุดในดาวดวงนี้แล้ว หลักการง่ายๆ คือ "สิ่งที่เราคิด, เราเชื่อนั้นจะกลายเป็นพลังก่อให้เกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นมาครับ" ดังนั้น ฝรั่งจึงสอนให้คนคิดบวกจะได้มีแต่สิ่งที่เป็นบวกออกมาอย่างไรละครับ เอาละ แต่ผมกำลังจะบอกคุณว่า "สิ่งที่เกิดจากความคิดเป็นได้เพียงสมมุติ" เท่านั้น ไม่ใช่ความจริงแท้ (วิมุติธรรม) บางท่านคิดว่าความจริง และทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นมานี้ก็คือ "ภาพสะท้อนที่มาจากความคิดของเรา" นั่นเอง เอาละ นั่นก็ใช้ได้เฉพาะ "สมมุติธรรม" นะครับ มันไม่ใช่ "วิมุติธรรม" 


วิมุติธรรม หรือ สัจธรรมความจริงแท้ เป็นสิ่งที่จริงอยู่แล้ว เพราะัมันก็คือ ความจริงไงครับ ดังนั้น มันจึงไม่ต้องถูกสร้างก่อน แล้วจึงจะเป็นความจริงได้ คนเราสร้างความจริงไม่ได้หรอกครับ ความจริงมันเป็นเช่นนั้นเองอยู่แล้ว สิ่งที่เราสร้างล้วนมีแต่สมมุติทั้งนั้นแหละครับ คือ สิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน ทนอยู่ไม่นาน ย่อมต้องถึงวาระสิ้นสลายไป นั่นเอง ดังนั้น ผมจึงบอกว่า "ความคิดสร้างได้เพียงสมมุติ" หรือสิ่งที่ไม่จีรังก็เท่านั้น แต่ความคิดไม่อาจสร้างความจริงแท้ (วิมุติธรรม) ขึ้นมาได้นะครับ แต่ถ้าคุณได้รับการสื่อสารเชื่อมโยงกับ "สวรรค์ชั้นที่หก" คุณก็จะได้รับ "วิทยาการที่ว่าด้วยการสร้าง, เนรมิต สรรพสิ่งจากความคิด" ก็จะเชื่อว่าความคิด, ความเชื่อ เป็นพลังงานที่ก่อให้เกิดสิ่งต่างๆ ได้นะครับ ซึ่งมันก็เกิดได้จริงจากอำนาจจิต ระดับสูงของดาวโลกนี้ แต่ว่าก็ไม่ได้สูงที่สุดในจักรวาลนี้หรอก เพราะดาวอื่นๆ มีวิทยาการที่สูงกว่านี้ครับ ดังนั้น หากท่านได้รับวิทยาการแบบนี้ อย่าเพิ่งคิดว่าได้รับมาจาก "ต่างดาว" ละครับ เพราะมันยังไม่ได้ออกนอกโลกเลย ยังอยู่ในระดับสวรรค์ชั้นที่หก นะครับ แต่ก็ยังไม่จัดเป็นมิจฉาทิฐิในทันที เพราะมันมีทั้งฝ่ายสัมมาทิฐิ (เทพ) และฝ่ายมิจฉาทิฐิ (มาร) ที่้ใช้วิทยาการนี้ครับ


เอาละ บางท่านอาจไปอ่านพบเจอวิทยาการแบบนี้ คือ สอนให้ใช้่ทั้งความคิดและความเชื่อ เพื่อสร้างความจริง, สร้างโลกอนาคต นั่นก็ให้ทราบไว้ว่ายังไม่ใช่วิทยาการต่างดาว เท่านั้นเอง มันมาจากในโลกนี้ละครับ (สวรรค์ั้ชั้นที่หก) ทีนี้ กลุ่มพลังงานที่เนรมิตสิ่งต่างๆ ได้นั้นจะมีอยู่ในสวรรค์สองชั้น คือ ชั้นที่ห้าและชั้นที่หก โดยชั้นที่ห้่าจะเนรมิตสิ่งต่างๆ เอง (คิดเองแล้วจึงได้รับ) ส่วนชั้นที่หกนั้น เพียงแค่คิดก็มีผู้เนรมติให้เราแล้ว โดยเราไม่ต้องเนรมิตเองเลย (ก้าวหน้าไปอีกขั้น) ฝากไว้ให้ท่านผู้อ่านพิจารณาครับ เผื่อไปอ่านพบเจอบทความไหนเข้าก็จะได้ทราบถึง "ต้นธาตุต้นธรรม" ต้นแหล่งที่มาของมันครับ ...   

Indigo เป็นเรื่องสากล ทุกคนก็เป็นได้?

จ๊ะเอ๋ ตื่นหรือยังเอ่ย มาเจอกันเช้าตรูเลยนะครับวันนี้ แบบว่าผมมีเรื่องสนุกๆ มาเม้าท์ให้ฟังอีกแล้ว ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ใหม่มาก ก้าวล้ำยุคสุดๆ แล้ว และหลายคนคงอยากศึกษาอยู่พอดี นั่นก็คือ เรื่องของ "อินดิโก้" (Indigo) ไงละครับ คำถามที่สำคัญมากคือ Indigo มีความเป็นสากลหรือไม่? ทุกคนสามารถเข้าถึงหรือเป็นได้หรือเปล่า?


อย่างแรก ขอปูพื้นฐานเรื่อง Indigo ก่อนนะครับ อย่างแรก Indigo ก็คือมนุษย์โลกที่มีเชื้อสายต่างดาวนั่นเอง ทว่า ถ้าเราพิจารณาจากจิต เราจะพบว่า "จิตทุกดวงมีที่มาร่วมกันทั้งจักรวาล" หรือก็คือ เป็นเชื้่อสายเดียวกัน ร่วมกันมา นั่นเองครับ ทีนี้ ถ้าเรามามองความหมายแคบ เราก็จะได้ความหมายของ Indigo ว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ ที่มาจากมนุษย์ต่างดาวแล้วเกิดในรูปมนุษย์ผ่านครรภ์ของมนุษย์โลกนั่นเอง ซึ่งเราจะพบได้มากขึ้นในปัจจุบัน พวกเขาจะมีอายุไม่มากนัก เพราะกระบวนการนี้ เพิ่งเริ่มต้นขึ้นไม่นาน จึงเป็นพวก generation ใหม่ มีอายุไม่เกิน ๓๐ ปี แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนที่อยู่ในเกณฑ์นี้จะเป็น Indigo นะครับบางคนเท่านั้นครับ ในคนที่เป็น Indigo จะฉายแววอัจฉริยะตั้งแต่เล็กๆ เลยครับ  


ทีนี้เรามามองดู Indigo ในมุมที่กว้างขึ้นกันบ้าง เราจะพบว่ายังมีคนที่เป็น Indigo ในแบบที่ไม่ได้เกิดจากครรภ์มารดาด้วย ได้แก่ (๑) คนที่มีการ "กำเนิดใหม่" แล้วเลื่อนระดับไปเรื่อยจนถึงระดับของมนุษย์ต่างดาว (๒) คนที่อยู่ในระดับมิติที่สูงมากพอจนเชื่อมโยงพลังของตนเอง เข้ากับตัวตนหลากมิติ และหนึ่งในตัวตนเหล่านี้่ก็คือ "มนุษย์ต่างดาว" ซึ่งกลุ่มหลังนี้ จะมีระดับอยู่ในมิติที่ 5-6 นะครับ ซึ่งหากเรามองในกรณีหลังนี้ เราจะพบว่า Indigo ก็มีความเป็นสากลครับ กล่าวคือทุกคนล้วนสามารถเป็นได้ หรือเข้าถึงได้ แต่ต้องผ่านกระบวนการ "กำเนิดใหม่", "การเลื่อนระดับ" หรือ "การเชื่อมโยงตัวตนหลากมิติ" ก็เท่านั้นเอง ทั้งนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่ผ่านกระบวนการเหล่านี้จะต้องเป็น Indigo กันหมดนะครับ ในคนที่เลื่อนระดับไปสูงมากๆ จนเลยพ้นระดับของโลกนี้แล้ว ก็ย่อมจะเืชื่อมโยงสัมพันธ์กับดาวอื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่พวกเขาก็อาจเลือกกลับลงมาอยู่ในมิติที่ไม่สูงเกินไป เพื่อปรับตัวเองให้เข้ากับมนุษย์โลกส่วนใหญ่ ที่อยู่ในระดับมิติที่ไม่สูงเกินไปนัก ก็ได้ เพราะการที่อยู่ในระดับมิติที่สูงเกินไป ทำให้คนเบื้องล่าง เอื้อมไม่ึถึงได้นะครับ และด้วยเหตุนี้ อาจทำให้พวกเขาเ่ก่ง แต่ไม่อาจที่จะช่วยเหลือหรือมีปฏิสัมพันธ์กับใครได้มากนัก เพราะความ "สูงเกินไป" กว่าที่มนุษย์โลกที่อยู่ในมิติเบื้องล่างจะเอื้อมถึงได้ อย่างไรละครับ 


อย่างไรก็ดี ใช่ว่ามนุษย์โลกทุกคนจะต้องเป็น Indigo กันหมด เพราะความเป็นมนุษย์โลก ก็มีความจำเป็นและสำคัญยิ่งยวดในการดำรงอยู่ในโลกใบนี้ครับ อีกทั้ง "ความสามารถพิเศษ" ของ Indigo บางอย่างก็ไม่จำเป็นสำหรับการดำรงอยู่เป็นมนุษย์โลกอีกด้วย ดังนั้น พระเจ้า ก็ดี, ธรรมชาติ ก็ดี จึงไม่ได้สร้างให้มนุษย์โลกทุกคนเป็น Indigo แต่แรก แต่กลับเปิดทางให้หลายคนสามารถเลือกทางเดินเองได้ครับ แล้วก็มีวิธีการต่างๆ ในการที่จะเป็น Indigo หรือไม่เป็น Indigo ไว้ นั่นเอง อย่าลืมครับว่าความสามารถพิเศษ ก็ไม่ได้มีแต่ด้านดีด้านเดียว และมันมักมาพร้อมความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ด้วยเสมอ สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ไม่มีความผิดในความรัก แม้ว่าคุณจะรักแฟนคนอื่น, รักกับเพศเดียวกัน หรือแม้แ่ต่รักกับปีศาจ ฯลฯ ?

ที่รักเธอจะหา "ความผิด" จากความรักได้อย่างไร? ในเมื่อความผิดนั้นอยู่ใน "ความผิด" และในความรักก็มีแต่ "ความรัก" ใช่แล้ว นี่คือ สิ่งที่ง่ายมากเลย "ความรัก" ก็อย่างหนึ่ง, "ความผิด" ก็อย่างหนึ่งถ้าเธอไม่ได้ปรุงแต่งผสมมันลงไปหรือผูกมัดมันไว้ด้วยกัน มันย่อมเป็นคนละสิ่งกันแน่นอน ยกเว้นแต่ว่าเธอจะทำลายความบริสุทธิ์ของความรัก ที่ได้เกิดขึ้นในหัวใจของเธอเองแล้วด้วยการใส่ความผิดบาปลงไปก็ดี หรือสิ่งอื่นๆ ลงไปก็ดี เช่น ความผูกพัน, ความหึงหวง, ความต้องการ, กามราคะ, ความเป็นเจ้าของฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคนละสิ่งกันทั้งสิ้น แต่ก็มีใครหลายคนพยายามปรุงแต่งส่วนผสมต่างๆ นั้นลงไปในความรัก!


ที่รัก เมื่อความรักที่บริสุทธิ์เกิดขึ้นในหัวใจของเธอแล้วโดยบริสุทธิ์ ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยสิ่งใด มันย่อมเป็นความรักที่บริุสุทธิ์ไม่ว่าเํธอจะรักใคร ไม่ว่าเธอจะรักคนมีเจ้าของแล้ว, เพศเดียวกัน, ปีศาจหรือรูปธรรมชีวิตต่างสายพันธุ์, รักแบบผิดจารีตประเพณี ฯลฯ ที่รัก อย่าลืมว่ามันก็เป็นเพียง "ความรัก" เท่านั้น และมันยังคงบริสุทธิ์ไร้ความผิดบาปอยู่เสมอ ตราบเท่าที่ "เธอไม่ปรุงสิ่งใด ใส่ลงไปในความรักนั้น" เช่น เมื่อเธอรักคนมีเจ้าของแล้วเธอไม่ได้ใส่การแสวงหา, ความต้องการเป็นเจ้าของ,    ความหึงหวง, กามราคะ, ความคาดหวัง ฯลฯ อะไรลงไปเลยมันจะเป็น "ความรักที่บริสุทธิ์" มันสมบูรณ์อยู่แล้วเธอไม่ต้องทำอะไรอีกกับความรักเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว "มันก็คือความรักที่ไร้เงื่อนไขอยู่แล้ว" ถ้าเธอไม่ใส่ "เงื่อนไข" ลงไปในความรักในภายหลัง แต่หลายคนมักใส่อะไรลงไปในความรักมากมายและพ่วงกันไปอย่างรวดเร็วจนแทบแยกไม่ออกว่า "ความรัก" ได้เกิดขึ้นก่อนแต่สิ่งที่ถูกปรุงแต่งเหล่านั้นใส่เข้าไปในภายหลัง ใช่แล้วที่รัก เธอสามารถรักได้ทุกสิ่ง และนี่แหละคือความรักของพระ้เจ้า เพราะพระเจ้ารักทุกสิ่ง ไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีเจ้าของแล้ว, เพศเดียวกัน, ปีศาจหรือรูปธรรมชีวิตต่างสายพันธุ์ ฯลฯ เมื่อใดที่เธอกำลังมีความรักแบบนี้ นั่นแหละ คือ "ปาฏิหาริย์ของพระ องค์กำลังนำทางเธอสู่ความรักของพระองค์" คือ ความรักแบบพระเจ้า นั่นเอง ดังนั้น เธอควรดีใจกับการเลื่อนระดับครั้งนี้ของเธอ จงรู้ไว้เถิดว่าคนที่เลื่อนระดับไปสู่มิติที่สูงได้ ล้วนมีความรักที่เข้าใกล้่ความรักของพระเจ้าทั้งสิ้น นั่นหมายความว่าทุกคนที่เลื่อนระดับได้ ล้วนแต่มีความรักที่ "เกินขอบเขตที่มนุษย์ในมิติที่สามจะยอมรับได้" กันทั้งนั้น เพราะตราบใดที่มันเป็นเพียงแค่ความรัก มันก็คือความบริสุทธิ์ ไร้ซึ่งความผิดบาปใดๆ เพราะเรากำลังพูดถึงความรัก ไม่ได้พูดถึงกามราคะ หรือการผิดประเวณีแต่อย่างใดเลย เธอคงแยกแยะสองอย่างนี้ได้นะ!


เอาละ ที่รักขอแสดงความยินดีกับเธอที่เธอสามารถมีความรักในระดับความถี่เดียวกันกับพระ้เจ้าได้ หรือไม่ก็ใกล้เคียงขึ้นมาแล้ว นั่นคือ รักข้ามขอบเขต, ข้ามจารีตประเพณีปกติของมนุษย์ในมิติที่สาม และหวังว่าเธอจะไม่ใส่เงื่อนไข หรือสิ่งใดลงไปปรุงแต่งความรักนั้นอีก ความรักที่ไร้เงื่อนไข เป็นความรักที่บริสุทธิ์ก็จะคงอยู่ สว่างไสวอยู่ในหัวใจของเธอต่อไป นั่นแหละ "ประตูสู่มิติที่สูงขึ้น" ได้เปิดรับเธอแล้วด้วยหัวใจที่อบอุ่นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักอันบริสุทธิ์ของเธอ นั่นเอง ...  

วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

คุณพก "ศาสนา" เข้านิพพานไม่ไ่ด้ คุณต้องทำลายศาสนาในตัวคุณก่อน!

โอ้ว บทความนี้เป็นที่แสลงใจของ "พวกคลั่งศาสนา" มากๆ นะครับ ถ้าคุณยึดติดกับศาสนามากๆ คุณอย่าอ่านเลย แต่ถ้าคุณเลื่อนระดับไปสู่มิติที่สูงกว่าศาสนาได้แล้ว เอาละ มันไม่เป็นปัญหาต่อคุณอีกต่อไป อย่างแรกที่คุณควรทราบคือ "ศาสนาเป็นเพียงองค์กรสมมุติทางโลกที่ไม่อาจนำเข้านิพพานได้" มันจะถูกใช้เพียงชั่วขณะหนึ่ง ดุจคนนั่งเรือถึงฝั่งแล้วก็คงไม่มีใครแบกเรือขึ้นฝั่งไปด้วยใช่ไหม? เอาละ ทีนี้ มันจะมีคนอีกพวกหนึ่งตามมา "ทำลายเรือทิ้งซะ" เพราะถ้าขืนยังปล่อยเรือเอาไว้ มันอาจไม่ถูกใช้ไปเพื่อการ "ข้ามฝั่ง" (นิพพาน) แต่มันอาจนำไปใช้ท่องไปในลำน้ำ ในอีกรูปแบบหนึ่ง เช่นกัน ศาสนาก็มีอนิจจัง และมีวาระหมดอายุ วาระเสื่อมลง และต้องถูกทำลายลงเช่นกัน (ที่ผมบอกนี้ไม่ได้ยุยงให้คุณไปทำนะ สวรรค์หรือธรรมชาติเขาจะสร้างตัวทำลายศาสนา คือ มาร มาให้เองแหละ) เืพื่อไม่ให้ศาสนาถูกนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น เช่น ใช้เป็นเครื่องมอมเมาให้คนเสพติด หลงใหล ทั้งๆ ที่ไม่อาจทำให้เกิดปัญญาหรือนิพพานได้ แต่อาจมีผู้ปกครองที่มีอำนาจ ใช้ศาสนาครอบงำผู้คนให้หลงเสพติดมันต่อไป ดังนั้น ในยามที่ยังมีพระศาสดาอยู่ ศาสนาก็ถูกใช้ดั่งเรือข้ามฟาก แต่เมื่อสิ้นนายท้ายเรือ (พระศาสดา) ไปแล้ว มันจะถูกใช้อย่างผิดทางได้


ดังนั้น จึงต้องมี "มาร" และคนอย่าง "พระเทวทัต" อยู่ร่วมในศาสนาไงครับ เคยสงสัยไหมว่าทำไมพระพุทธเจ้าไม่ตราศีลไว้ว่า "ผู้ใดทำสังฆเภทอันเป็นกรรมหนักมากนี้ ต้องอาบัติปาราชิก" ??? ไม่มีเลยครับ พระเทวทัตได้อยู่โดยไม่มีการให้สึกแต่ประการใด เพราะอะไร? ก็เพราะพระพุทธเจ้้าทรงรู้ว่าเพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงเกิด เพราะมีความจำเป็นที่ต้องทำลายเรือทิ้ง ก็ต้องมีพระเทวทัตและเหล่ามาร มาทำหน้าที่ไงครับ นี่คือ "ความจริงที่เหนือมิติที่สาม" หากท่านยังจมปลักอยู่ในมิติที่สามอยู่ ท่านจะหลงศาสนา กลายเป็น "พวกคลั่งศาสนา" ได้นะครับ ดังนั้น ผมจึงบอกคุณแต่แรกว่า "คุณพกศาสนาเข้า้นิพพานไม่ไ่ด้" คุณต้องทำลายศาสนา "ในตัวคุณก่อน" ไม่ใช่ศาสนาที่อยู่นอกตัวคุณนะ อันนั้น มันไม่ใช่ "ตัวคุณ ของคุณ" ไม่ต้องไปยุ่งกะของใครเขา ทำของเราเองนี่ คำว่า "ทำลายน่ะ" มันก็แค่ทำลายความยึดมั่นถือมั่น เท่านั้นเอง ไม่ใช่ไปทำลายรูปธรรม, นามธรรม, วัตถุใดๆ ก็หาไม่ เรื่องการทำลายศาสนาที่อยู่นอกตัว มันเรื่องของมารเขา ถ้าคุณไม่คิดจะเป็นมาร ก็ไม่ต้องไปทำ และไม่ต้องไปยุ่งงานของเขา ให้มาร เขาทำงานของเขาไป ส่วนเราก็ทำหน้าที่ของเรา มันก็แค่นั้นเอง   


เอาละ ดูจริงจังมากไปหน่อยสำหรับบทความ หุๆ กลับมาเม้า์ท์สบายๆ กันเหมือนเดิมได้แล้ว ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่ผมจะบอกไว้ให้คุณพิจารณาเองว่า "ผู้บรรลุอรหันต์ทุกท่่าน ล้วนอยู่นอกศาสนาทั้งสิ้น" ไม่มีพระอรหันต์รูปใด ตกอยู่ภายใต้กรงขังแห่งศาสนา หรอก เลื่อนระดับตัวคุณเองขึ้นไป แล้วคุณจะได้เห็นสิ่งที่สูงกว่า จากมุมมองที่สูงกว่า แล้วคุณจะเข้าใจในความหมายที่ผมได้พูดถึงนี้ สวัสดีครับ 

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แรงดึงดูดจากมิติที่ยิ่งใหญ่ อาจทำให้คุณเป็นได้แค่ "มดปลวก"?

ฮาโหลฮ่าเจอกันอีกแล้วค่ำๆ นะคร้าบ บังเอิ้ญ บังเอิญ มีเรื่องน่าสนใจเรื่องนึงจะมาเม้าท์ให้ฟังกันอ่ะครับคือ เรื่องของการเลื่อนระดับไปสู่มิติที่สูงมากๆ มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียอ่ะครับ เอ้าผมอยากถามคุณง่ายๆ อย่างนี้นะ ถ้าสมมุติคุณมีกำลังบุญอยู่ ๕๐ หน่วยคุณเลือกทางได้สองทาง ๑. เป็นคนอเมริกัน แต่ว่าระดับล่างมากๆๆ เลยนะครับ ๒. เป็นคนอัฟริกา แต่ว่าคุณจะกลายเป็นชนชั้นสูงมากๆๆ เลยอีกละ สรุปว่า คุณจะเลือกอะไร อันนี้ให้คิดเล่นๆ นะ เหมือนกันละครับ สมมุติเรามีบุญมีบารมีสัก ๕๐ หน่วย ถ้าเราเลือกไปสู่มิติที่ไม่สูงมาก เราอาจกลายเป็นคนที่มีบริวารมาก เป็นผู้นำคนมากมายแต่ถ้าเราเลือกไปสู่มิติที่สูงมาก เราอาจเป็นได้แค่ "บริวารชั้นล่าง" ของเขา ก็เท่านั้นเอง เอาละ ถ้าให้คุณเลือก คุณอยากจะเลือกแบบไหน? เห็นมั้ยละครับ ของทุกอย่างจะไปมองแต่ว่ามันสูงอย่างเดียวหรือมันยิ่งใหญ่อลังการอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองย้อนกลับมาที่ตัวเราด้วยว่า "เราเป็นยังไง" ถ้าเราทำได้แค่นี้ก็คือ ๕๐ หน่วย แล้วเลือกได้สองทางอย่างนั้น เราจะเลือกอะไร?


ทว่าในมิติที่สูงๆ นั้นเขาไม่บอกเราหรอกครับว่ามีอะไรไม่ดีหรือข้อเสียอะไรบ้าง เราจะรู้ก็ต่อเมื่อเป็นไปแล้วถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว ก็เท่านั้น ทว่า พวกเขาย่อมจะสร้างพลังดึงดูดให้น่าสนใจมากๆ เพื่อดึงดูดเราให้ขึ้นไปให้ได้ สร้างความยิ่งใหญ่อลังการเหนือชั้นไว้ล่อเรามากมาย แต่เขาก็ไม่ได้ผิดอะไรนะ มันไม่ใช่ความถูกผิดอะไรเลย มันเป็นงานที่เขาจะต้องทำอย่างนี้แหละ มันเป็นธรรมชาติของมันเอง ทีนี้ ตัวเรานั้นก็ลองย้อนกลับมาดูตัวเองนะครับ อย่างสมมุติผมน่ะ ถ้าไปอยู่ระดับมิติที่สูงมากๆ ก็แน่นอนเป็น "ลูกน้องที่ดี" ของท่านใดสักท่านหนึ่งในมิตินั้นๆ ไม่ใช่ว่าเราจะยิ่งใหญ่ในมิติที่สูงๆ ได้นะ เราทำมาจำกัด ต้องดูที่ "บุญบารมี" ที่เราทำไว้ด้วยครับ แต่ถ้าผมลงไปอยู่มิติที่ล่างมาก ก็อาจจะได้อะไรเยอะแยะมากมายเลยก็ได้ ทีนี้ ผมอาจจะเลือกมิติกลางๆ ก็คือ ไม่ต่ำเกินไปจนหลงทิศผิดทาง แบบหาแสงสว่างได้ยาก และก็ไม่สูงเกินไปจนเรากลายเป็นตัวกระจ้อยร่อย ทว่า ใครๆ ก็อยากได้บริวารเก่งๆ จริงไหมครับ ท่านที่เป็นใหญ่ในระดับมิติที่สูงๆ ก็ต้องพยายามที่จะสร้างพลังดึงดูดเราให้ขึ้นไปอยู่ในมิติที่สูงๆ นั้นให้ได้เขาก็จะได้เราเป็นบริวารเพิ่มไงครับ (ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร) มันเหมาะกับคนที่ชอบหา "ผู้นำที่ยิ่งใหญ่มากๆ อลังการสุดๆ" โดยไม่สนใจว่าตัวเองจะได้ระดับไหน แต่เอาผู้นำที่ยิ่งใหญ่สุดๆ อลังการสุดๆ เอาไว้ก่อน ประมาณนั้น


ดังนั้น ก็ลองพิจารณากันเอาเองก็แล้วกันครับ ว่าท่านจะเลือกอยู่ในมิติไหน ประมาณใด บางครั้ง เราแค่ไปเที่ยวชมมิติที่สูงๆ บ้างแก้เบื่อ ใช้ญาณหยั่งไปรู้บ้าง แก้เซ็ง มันก็เท่านั้นเอง แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไปยังมิติที่สูงนั้นจริงๆ หรอก สุดท้ายแล้วเราอาจจะเลือกอะไรที่พอดีตัวกะเราก็ได้ เหมือนกันการเลือกใส่เสื้อผ้าพอดีตัว นั่นแหละ ยกเว้นว่าเราจะไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้เลย เลยไม่ทันคิดพิจารณา ไม่ทันเลือก ไม่ทันรู้ว่ามันจะมีผลอย่างไร เห็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ อลังการมากๆ สูงสุดๆ ก็จะคว้าเอาไว้ก่อน แบบนั้น คนที่ไม่สูง ก็ไม่นับถือเป็นผู้นำ ก็เลยต้องไปหา "ผู้นำ" ในมิติที่สูงๆ มาคุมตัวเองให้ได้ มันก็เท่านั้นเอง เอาละ มันไม่มีอะไรมาก เม้าท์ให้ฟังเล่นๆ เผื่อเป็นประโยชน์แค่นั้นครับ สวัสดี...      

ปีศาจบำเพ็ญธรรมได้ไหม? ถ้าได้แล้วต่างจากคนอย่างไร?

อ่ะ มีความลับจะมาบอก แบบว่ามันลึกลับมั๊กๆๆ เลยอ่ะ คือ เรื่องการบำเพ็ญธรรมของปีศาจ อั๊ยย๊ะ ฟังแล้วโต๊ะจายโหมะเยย ปีศาจก็สามารถบำเพ็ญธรรมได้ด้วยเหรอ? ได้สิครับ แต่ไม่เหมือนกะคนนะครับ แล้วมันเป็นยังไงละ? เอ้า ก็จะได้เม้าท์ให้ฟังกันอยู่นี่ไงล่า โฮ่ๆๆ 


จิตวิญญาณที่มีระดับมิติที่สูงมากพอจะบำเพ็ญธรรมได้ ก็นับแต่ปีศาจขึ้นไปนะครับ ต่ำกว่านั้นบำเพ็ญธรรมไม่ได้มรรคผล ต้องตายพ้นไปจากชาติภพนั้นก่อนจึงบำเพ็ญธรรมได้ครับ เช่น เปรต, สัตว์นรก สองอย่างนี้ บำเพ็ญธรรมไม่ได้ สัตว์เดรัจฉานและอสุรกาย บำเพ็ญธรรมได้ครับ เพียงแต่ว่า พวกเขาจะมีวิธีบำเพ็ญต่างจากคน กล่าวคือ ต้องเข้าสู่วิถีเซียน สำเร็จเซียนก่อนจึงได้เข้าสู่ความเป็นมนุษย์ เมื่อสำเร็จเซียนแล้ว จิตวิญญาณดวงนั้นจะยังไม่มีร่างมนุษย์ เหมือนเซียนองค์ที่หนึ่ง (ที่ถอดจิตออกจากร่างแล้วร่างถูกเผาไป เลยต้องกลับเข้าร่างขอทานนะครับ) ดังนั้น เมื่อเขาสำเร็จเซียนแล้วก็ต้องหาร่างมนุษย์แล้วกำเนิดใหม่แบบ "โอปปาติกะ" นะครับ ก็จะเป็นมนุษย์ได้สมบูรณ์ เหมือนคนปกติได้ แถมยังมีความสามารถพิเศษกว่าคนปกติด้วยครับ


เอาละ แล้วปีศาจแต่ละชนิดเขาบำเพ็ญธรรม เหมือนคนมั้ย ต่างกันอย่างไร ต่างกันครับ แต่ละชนิดก็บำเพ็ญต่างกัน เช่น ปีศาจ "งูขาว" ก็มีพระโพธิสัตว์กวนอิมมาบอกวิธีบำเพ็ญธรรมให้ว่า "เมื่อเกิดความรักที่แท้จริง" เขาก็จะบรรลุเซียนได้เป็นมนุษย์ครับ, ปีศาจค้างคาว (ผีดูดเลือด) นั้นจะต้องดูดซับไอฟ้า ไอดิน จะดูดเลือดสัตว์ไม่ได้ จนกว่าจะสำเร็จเซียนครับ, ปีศาจอื่นๆ ก็มีวิถีความเป็นอยู่ และอิทธิฤทธิ์ต่างกันไปจำต้องเดินตามแนวทางของตนปรับนิดหน่อยเพื่อการบำเพ็ญธรรมครับ ทำให้วิถีการบำเพ็ญธรรมต่างกัน ปกติ ก็อาจแฝงร่างมนุษย์ก่อน หาสังขารมนุษย์ได้แล้ว ก็อาศัยร่างนั้นบำเพ็ญธรรมควบคู่กันไปครับแบบนี้ ค่อนข้างง่ายและมีโอกาสได้สูงกว่าครับ เพราะสามารถใช้่ร่างมนุษย์สร้างบุญบารมีช่วยส่งเสริมอีกแรง (บุญบารมีเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำได้ แต่ปีศาจทำได้ยากครับ) ในสัตว์เดรัจฉานก็บำเพ็ญธรรมได้ครับ เช่น สัตว์บางชนิดก็จำศีลนานๆ ก็ได้ตบะครับ สัตว์บางชนิดก็ให้ทานแก่มนุษย์ด้วยการให้เลือดเนื้อแก่มนุษย์ครับ ดังนั้น อย่าเพิ่งไปมองว่าการกินเนื้อสัตว์ เลวร้ายหรือผิดเสมอไปครับ บางครั้ง มันอาจเป็นวิถีทางการบำเพ็ญบารมีของสัตว์เดรัจฉานชนิดนั้นๆ ก็ได้ครับ 


เอาละ ปีศาจนอกจากจะบำเพ็ญเซียนจนได้เป็นมนุษย์แล้ว ก็ยังเป็น "เทพ" ก็ได้ครับ กรณีนี้บำเพ็ญง่ายกว่า น้อยกว่า แต่ได้ระดับต่ำกว่านะครับ เมื่อสำเร็จเป็นเทพแล้ว ก็ไม่ต้องมีร่างสังขารเป็นมนุษย์ก็ได้ครับ เป็นจิตวิญญาณที่มีตำแหน่งเป็นเทพ ก็เท่านั้นเอง เอาละ บทความนี้่เม้าท์ให้ฟังเล่นๆ เพลินๆ เป็นนิทานนะครับ ที่เหลือลองไปรู้เอง ก็จะได้รู้ในมุมที่แตกต่างจากผมนะครับ ขอจบลงเท่านี้ สวัสดีครับ   

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

บางตัวตน (กายทิพย์) ของคุณ หลงอยู่ในจักรวาลบ้างหรือเปล่า?

ฮัลโหล่ฮ่า วันนี้ หนูมาดีจะมาเม้าท์เรื่องหนุกๆ ให้ฟังกันตอนดึกๆ ตามเวลาประเทศไทยนะคะ หนูมาดี มีเรื่องสนุกมั๊กๆๆ เลยค่ะ คือ เรื่องตัวตนของมนุษย์โลกที่หลุดลอยไป ล่องลอยไปกลางที่ว่างของจักรวาลค่ะ พอเข้าใจนะคะว่าในกายสังขารของคุณมีตัวตนระดับทิำพย์มากกว่าหนึ่งตัวตนและบางตัวตนนั้นอาจหลงทางได้ค่ะ ปกติคนที่ไม่มีพลังจิตที่เรียกว่า "มโนมยิทธิ" จะทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ จิตวิญญาณหรือตัวตนระดับทิพย์เชิงซ้อนของเขา จะซ้อนอยู่ในกายของเขาค่ะ แต่ถ้าเขาได้มโนมยิทธิแล้วเขาไปได้ค่ะ ปัญหาคือ "ไปได้แล้วกลับถูกไหมละคะ?"  อืม หนูยกตัวอย่างนะคะ พระพุทธเจ้าเนี่ยแหละค่ะ ท่านเมตตาหวังดีก็เลยเตือนพระโมคคัลลานะ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์มากเลยค่ะ ว่าถ้าไปท่องจักรวาลนะ รีบกลับละ อย่าไปไกลมาก อะไรแบบนั้น แล้วก็เป็นอย่างที่ท่านเตือนจริงๆ พระโมคคัลลานะที่มีฤทธิ์มาก ยังหลงได้ค่ะ ก็ธรรมดาค่ะจักรวาลกว้างใหญ่ใครจะไม่หลงบ้างได้ละคะ แต่ท่านก็โชคดีได้พระพุทธเ้จ้าในจักรวาลอื่น ส่องแสงธรรมนำทางให้ค่ะ อันนี้ หนูมาดี แนะนำให้ท่านไปอ่านเอาเอง หนูขี้เกียจอ้างอิงข้อมูลค่ะ เพราะหนูไม่ใช่นักวิชาการ หนูคือ "ซุปเปอร์เม้าท์" ค่ะ อะโฮ่ๆๆๆ 


เรากลับมาเรื่อง "กายทิพย์หลงทางกลางจักรวาล" กันนะคะ อยากจะบอกให้ท่านระวังนิดหนึ่ง เพราะตอนนี้ แหม ใครก็เห่อของใหม่ค่ะ คิดว่าเฮ้ย มันทำได้ มันพูดได้ เผยแพร่ธรรมจักรวาลได้ ฉันไปอ่านๆ มั่งก็ทำได้เหมือนกัน เพราะอ่านง่ายเข้าใจง่ายดี ไม่เห็นจะยากเลย (เวลาไปอ่านของเขาที่เขาอธิบายง่ายๆ นะคะ) ก็เลยตั้งตัวเป็นครูสอนเรื่องจักรวาล มิติสูงๆ อะไรกันใหญ่ อะโฮ่ๆๆ ยังไม่เคยเจ็บตัว ไม่รู้หรอกค่ะ ว่าตอนที่จิตวิญญาณหรือกายทิพย์บางกายทิพย์ หลงอยู่ในจักรวาลนี้ ส่งผลต่อ "วิถีชีวิตจริง" ของตนเองอย่างไรต่อไป เพราะจิตวิญญาณที่หลงอยู่นั้น ถ้าเป็นพลังสายพรหม เขาอยู่ได้ค่ะ ลอยเท่งเต้งอยู่ ไม่กินอะไร มีฌานหล่อเลี้ยงจิตค่ะ แต่ถ้าเป็นจิตวิญญาณที่ไม่อาจทำแบบนี้ได้ละคะ ก็แย่หน่อยนะคะ ดังนั้น หนูมาดีจึงแนะวิธีัป้องกันตัวตนระดับทิพย์จรหลุดไปท่องจักรวาลโดยไม่รู้ตัวไว้ค่ะ คือ "การทำงานใช้กาย" นี่แหละค่ะ เช่น เป็นชาวนาก็ได้มันจะทำให้ตัวตนระดับทิพย์ต้องเชื่อมต่อกับตัวตนระดับสังขารได้ดีค่ะ แต่ถ้าวันๆ ไม่ค่อยทำงานอะไรเลย มีแต่นั่งสมาธิ (แบบพระ) อันนี้ ก็เสี่ยงมากหน่อยนะคะ เผลอจรไปได้ค่ะ 


เอาละ สรุปว่า การเผยแพร่เรื่องธรรมจักรวาล, ต่่างดาว, มิติที่สูงขึ้น ก็ทำได้ค่ะ แต่ต้องทำด้วยความเข้าใจและระมัดระวังด้วยนะคะ เช่น ถ้าคุณใช้การสื่อสารกับพวกเขา ไม่ได้มีตัวตนระดับทิพย์หลุดออกไป มันก็ไม่เสี่ยงนะคะ (แต่ใครจะรู้ละคะว่าคุณไม่พลาดเช่นนั้นไปได้ตลอด?) บางคนก็แค่แปลของคนอื่นมา อันนี้ ปลอดภัยค่ะ บางคนก็แค่ใช้ญาณหยั่งไปเฉยๆ ไม่ได้มีตัวตนระดับทิพย์หลุดออกไป อันนี้ก็ยังปลอดภัย แต่ก็ไม่แน่ค่ะ เพราะ "บางสิ่ง" อาจดึงตัวตนระดับทิพย์คุณออกไปหรือเมื่อตัวตนระดับทิพย์คุณออกไปแล้ว เขาเล่นงานคุณได้ ขณะท่องอยู่ในที่ว่างของจักรวาลนะคะ เอาละค่ะ ถ้าเจ๋งจริง เอาตัวรอดได้ ก็ไม่มีปัญหาค่ะ ประมาทหรือไม่ประมาทก็อยู่ที่ท่านเอง หนูมาดีบะบายค่ะ  

จอมยุทธ์มีจริงอ่ะป่าว ถ้ามีจริงแล้วหายไปไหน?

จอมยุทธ์มีอยู่จริงครับ พวกเขาก็คือ "นักการเมืองนอกกฏหมาย" ที่จะมีการเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยเริ่มต้นจาก รวบรวมผู้คนให้มากไว้ เช่น การตั้งสำนัก แล้วนำพาผู้คนไปเคลื่อนไหวทางการเมือง เช่น ในยุคก่อตั้งราชวงศ์หมิง จูหยวนจาง ก็ได้อาศัย "พรรคหมิงเจี้ยว" ช่วยให้ได้ครองอำนาจครับ อันนี้ ไปดูหนังเรื่อง "ดาบมังกรหยก" ก็แล้วกันง่ายดี ขี้เกียจอธิบายมาก ฮ่าๆๆ แต่เนื่องจากว่ามันเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งหลายครั้งก็อยู่นอกกฏหมาย และอาจจะขัดแย้งกับกลุ่มอำนาจเก่ามันก็เลยต้องเคลื่อนไหวแบบลับๆ เงียบๆ เรื่องราวของพวกเขาเลยไม่อาจได้รับการบันทึกไว้ใน "หน้าประวัติศาสตร์ของชาติได้" แต่กลายเป็น "นิทานเล่าสืบกันมา ถึงเกร็ดประวัติศาสตร์" เท่านั้น เช่น เรื่องตำราพิชัยสงครามงักฮุย (แม่ทัพที่เก่งมากรบชนะทุกครั้งแต่ถูกใส่ร้ายจนต้องถูกประหารชีวิต) ซึ่ง "กิมก๊ก" หรือ แคว้นจิน ต้องการมาก ถึงขนาดไล่ล่าหาจนกลายเป็นเรื่องมังกรหยก แล้วปรากฏว่าคนที่ได้ไปก็คือ "ก้วยเจ๋ง" ใช้ต้านทัพมองโกลในสมัยเซลุย เห็นจะได้ (เซลุึยคือรุ่นลูกของเจงกิิสข่าน) ตอนนั้นยังได้อยู่ต่อมาสมัยก้วยเซียง เข้าสมัยกุบไลข่านแล้ว ก้วยเซียงพยายามตั้งสำนักง้อไบ้ รวบรวมชาวฮั่น แต่ต้านไม่ไหว ถูกมองโกลฆ่าตาย จนกุบไลข่านก่อตั้งราชวงศ์หยวนได้ เอาละ สรุป นิยายกำลังภายในเรื่องมังกรหยก ก็คือ เกร็ดประวัติศาสตร์จีนที่เกี่ยวข้องกับ "การเมืองภาคประชาชน" ที่เึคลื่อนไหวอยู่นอก "กำแพงกฏหมายบ้านเมือง" นั่นเอง (ตอนนั้น ราชวงศ์ซ่งหรือซ้อง เสื่อมลงมาก จนทำอะไรไม่ได้เลย เจงกิสข่านขยายอิทธิพลรอบทิศ เรียกว่าใช้กลยุทธ์ "ป่าล้อมเมือง" ตัดรอนอำนาจหมดครับ)


ถามว่า "ชายยุทธ์มีจริงแล้วหายไปไหน?" คำตอบง่ายมากจ๊ะ ก็ถูกกวาดล้างไง ในสมัยฮ่องเต้ "เฉียนหลง" พระองค์ทรงทราบว่ายังมีกลุ่มคนที่เคลื่อนไหวอยู่นอกระบบ กำลังเปลี่ยนแปลงการเมือง และจะกระทบถึงความมั่นคงของราชวงศ์ตนเองได้ จึงปลอมพระองค์เข้าไปใน "เส้าหลิน" เพื่อศึกษาวิชาและสืบความจริงก่อน เมื่อทราบว่า "เส้าหลินเป็นเสาหลักของยุทธภพ" ก็เลยวางแผนกวาดล้างวัดเส้าหลิน (แต่พระองค์ก็สร้างวัดใหม่แทนที่ ฉลองอายุครบ ๖๐ ปีด้วยนะครับ ไม่ใช่ว่าพระองค์จะเลวร้ายหรือเกลียดพระไปหมด) ทีนี้ พอเส้าหลินล่มสลายแล้ว ต่อมา ก็เก็บกวาดส่วนที่เหลือ ไม่ยากแล้วครับ ตอนเก็บกวาดอย่างไรนี้ ให้ท่านไปดูหนังเรื่อง "จิ้งจอกภูเขาหิมะ" นะครับ สนุกดี ขี้เกียจอธิบายให้ฟัง ฮ่าๆๆ เอาละ ท้าวความนิดส์นึง ว่าวัดเส้าหลิน กำเนิดมาอย่างไร มาอย่างนี้ครับ "ฮ่องเต้เฮาบุ้งตี่" (ถ้านามผิดขออภัย แต่มีอยู่องค์หนึ่งแน่ละ) ก่อตั้งขึ้นมาครับ โดยท่านได้ตำราคัมภีร์ของท่านตั๊กม้อมาครับ เลยใช้โฆษณาเรียกศรัทธาให้คนมาบวชเรียนกันได้มากมาย กลายเป็นกองกำลัง "นอกเครื่องแบบ" ไปเลย (หลังจากนั้นราชวงศ์ถังสิ้นลง แผ่นดินจีนแตกเป็นแคว้นเล็กๆ)  บวชพระนี่ไม่หวังนิพพานกันหรอก เหมือนพระพม่าที่บวชหนีการล่าล้างของรัฐบาลทหารนั่นแหละ โฮ่ๆๆ เหมือนกันเปี้ยบเลย เขาเอาไว้เคลื่อนไหวทางการเมือง อันนี้ เหมือนใครก็ไปดู "สันติอโศก" เอา ละกัน นั่นละ ตัวอย่างของบ้านเรา โอ้ย จะว่าไปจอมยุทธ์มีออกเยอะแยะ "ตาถั่วมองไม่ออกเอง" ฮ่าๆๆ กลับมาเรื่องเส้าหลินซึ่งท่านตั๊กม้อไม่ได้มีเอี่ยวด้วยเลย เป็นพระอรหันต์จะไปยุ่งการเมืองในประเทศจีนเขาได้ไง (ท่านเป็นเชื้อสายราชบุตรทางอินเดียนะครับ) แต่หลังท่านมรณภาพแล้ว ท่านหุยเคอศิษย์ตัวจริงของท่าน รักษาไว้ได้แต่บาตรแล้วสืบทอดกันมา ๖ รุ่นจบที่ท่านเว่ยหลาง เท่านั้น ตำราคัมภีร์เลยตกสู่มือ "วัดเส้าหลิน" ไป เอาละ นี่เล่าย่อๆ ไปดูหนังจีนกันเอาเอง


ปัญหาคือ จีนเขาเป็นคอมมิวนิสต์ การพูดโป้งๆ ออกไปว่าจอมยุทธ์มีจริงจะกลายเ็ป็นเรื่องใหญ่มากๆๆ เพราะพวกเขาคือคนที่เล่นการเมืองนอกระบบอยู่ นั่นเอง เรื่องราวของจอมยุทธ์จึงต้องกลายเป็นเพียงตำนานหรือนิทานเล่าสืบๆ กันมาในกลุ่มประชาชนกลุ่มแคบๆ เท่านั้น ไม่อาจยกระดับขึ้นเป็นประวัติศาสตร์ของชาติได้ แล้วท่าน "กิมย้ง" ก็คงไปสืบสาวเกร็ดประวัติศาสตร์เหล่านี้ เรียบเรียงมาแต่งเติมเป็นนิยายกำลังภายใน ก็เท่านั้น เอาละ "ใครมีจิตวิญญาณของจอมยุทธ์" ดูหนังจอมยุทธ์จะทราบเองว่า "เคลื่อนไหวทางการเมืองแบบนอกระบบ" นั้น เขาทำกันอย่างไร? ไม่บอกให้โง่หรอกคร่ะ ฮ่าๆๆ ใครมีพรสวรรค์ก็บวกพรแสวงไปศึกษาค้นคว้ากันเอาเองเด้อ สิบอกไห่...   

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทำอย่างไรกับ "Parasite ghost" ผีพยาธิที่ติดมากับเครื่องมือเครื่องใช้่ต่างๆ

สวัสดีตอนค่ำครับบทความนี้อ่านกันเล่นๆ นะครับ อย่าคิดมากละ เป็นนิทานก่อนนอนก็แล้วกัน เดี๋ยวจะตกใจกันใหญ่เพราะเป็น "หนังผี" อ่ะ ซะงั้น แต่สำหรับท่านทั้งหลายที่เลื่อนระดับมาได้ขนาดนี้แล้ว คงไม่ใช่ปัญหานะครับ รับได้อยู่แล้ว สบายๆ ใช่มั้ยละครับ คือ มันเป็นเรื่องของอะไรดีละ ผมไม่รู้จะเรียกเจ้าตัวนี้ว่าอะไรดี มันเป็นเหมือนตัวหนอนยาวๆ มีหัวนิดๆ หางยาวๆ เหมือนพยาธิหรือหนอนอุปมาก็คล้ายแบคทีเรียในลำใส้เรานี่ละ ในยามที่มันเป็นแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโทษ ก็จะมี "ตาสีแดงๆ" แต่เวลาที่ได้รับการชำระล้างพลังงานได้ระดับหนึ่ง คิดว่าพอจะพ้นขีดอันตรายแล้ว ก็จะเปลี่ยนเป็น "ตาสีฟ้าๆ" เหมือนกับแบคทีเรียที่อยู่ในตัวเราได้ ปรับตัวได้ ไม่เกิดโทษนัก (ดีกว่าพวกแรกหน่อยหนึ่ง) อะไรประมาณนั้น แต่นี่ไม่ได้อยู่ในมิติแห่งสังขารนะครับ เป็นมิติทิพย์พวกนี้จะมีการเติบโตและพัฒนาการต่างจากผีอื่นๆ ทั่วไป มาแรกๆ ก็มีลักษณะแบบนี้ เหมือนพยาธิไปก่อน แต่พอได้รับพลังงานจากมนุษย์มากเข้าก็จะค่อยๆ เติบโต จนกระทั่งมีพัฒนาการมากพอที่จะ "แปลงร่างเหมือนมนุษย์" ได้ เมื่อเพ่งด้วย "ตาทิพย์" บางทีเราจะเห็นเขาเหมือน "กายมนุษย์" อยู่ชั้นนอกของคนๆ นั้น แต่แท้แล้วเป็นร่างแปลงนะครับ ไม่ใช่ร่างจริง และไม่ใช่ "จิตวิญญาณของเจ้าของร่าง" (จิตวิญญาณของเจ้าของร่างจะอยู่ชั้นในไปอีก เป็นกายทิพย์ชั้นในเข้าไป) เอาละ พวกนี้มาได้อย่างไรบ้างจะค่อยๆ เล่าเป็นนิทานครับ


เริ่มจาก พวกนี้ จะไม่มีฤทธิ์เท่าพวกอื่น เลยอาศัย "เกาะเี่กี่ยวอยู่กับอะไรที่พอจะอาศัยได้" เช่น คน, สัตว์, สิ่งของ ฯลฯ ต่างๆ (อาศัยว่าพวกมันตัวเล็กมากเลยรอดพ้นตาทิพย์และจิตสัมผัสได้ครับ) และสิ่งที่พวกมันต้องการเกาะเกี่ยวมากๆ คือ เครื่องมือเครื่องใช้ของมนุษย์ที่มีลักษณะรองรับพลังจิตได้มากๆ เช่น ทีวี, มือถือ, คอมพิวเตอร์ ฯลฯ นี่ เพราะพวกมันจะต้องรับพลังจิตจากคน ขณะที่คนใช้สิ่งของเหล่านี้นะครับ แล้วมันจึงจะเติบโตขึ้นมาได้ และพลังจิตที่พวกมันจะรับเพื่อใช้หล่อเลี้ยงตัวเอง จะต้องเป็น "พลังที่มีกิเลสเยอะๆ" ครับ เช่น ในคนที่ใช้มือถือโทรหาแฟนมากๆ อะไรแบบนี้ พวกนี้ก็จะชอบครับแต่ในคนที่ใช้มือถือคุยธรรมะกันมากๆ อันนี้เขาไม่ชอบ พลังงานมันต่างกันทำให้พวกเขาไม่สบายครับ เหมือนน้ำกะไฟ นั่นแหละ มันเข้ากันไม่ได้ ในคนที่ใช้สิ่งของต่างๆ อย่างไม่เข้าใจ, ตามกิเลส, ไร้จริยธรรม เจ้าพวกนี้ก็จะเติบโตได้ดีครับ เมื่อเติบโตแล้วจะยิ่งครอบงำให้คนใช้สิ่งของนี้ ให้แย่หนักลงอีกเช่น ยิ่งติดเกมมากยิ่งขึ้น, ยิ่งคุยโทรศัพท์นานยิ่งขึ้น, ยิ่งขี่รถมอไซต์ แว๊นท์บ่อยขึ้น, ยิ่งแชทนานมากยิ่งขึ้น ฯลฯ พอมองออกนะครับ มันจะทำให้ "พฤติกรรมการใช้เครื่องมือต่างๆ ของมนุษย์เป็นไปในทางที่แย่ลง" คือ แทนที่จะใช้อย่างผู้มีปัญญา ตามเหมาะ ตามความจำเป็น กลายเป็น "ลักษณะนิสัยในการใช้เครื่องมือที่ไม่ดี" ไป เช่น เอาคอมพิวเตอร์ไปเล่นเกมทั้งวัน แทนที่จะเอาไปใช้ทำงาน อะไรแบบนั้น นั่นละ ผลงานของเจ้าผีพยาธิเหล่านี้นี่เอง 


สุดท้ายนี้ ก็ถามว่า แล้วจะทำอย่างไรกับเจ้าพวกนี้ดีละ? คำตอบก็คือ เราก็ "ชำระล้าง" พวกเขาไง อย่ากลัว, อย่าตกใจ, อย่าเพิ่งมองเขาในแง่ร้ายแล้วปฏิเสธไปหมดละ นี่คือ โอกาสที่ดีที่เราจะได้พัฒนาความสามารถในการชำระล้างเพื่อการยกระดับของเราครับ (ยิ่งเราชำระล้างได้มากเท่าใด ก็จะยกระดับได้สูงมากเท่านั้น) เราก็ใช้เครื่องมือเหล่านี้ ในทางสร้างสรรค์ให้ได้ พยายามหลีกเลี่ยงการใช้่ไปในทางที่ไม่ควร เพื่อไม่ให้พลังจิตของเรากลายเป็นอาหารหล่อเลี้ยงเจ้าพวกนี้นะครับ เอาละ เล่านิทานให้ฟังกันเล่นๆ คลายเบื่อแก้เซ็ง ที่เหลือก็ต้องปล่อยให้ "รู้ได้ด้วยตนเอง" ละครับ เล่าให้ฟังได้เท่านี้ ไปก่อนละคร้าบ...  

อยู่กับรูปเคารพอย่างไร ไม่ตกเป็นทาสของซาตาน?

สวัสดียามเช้าครับ อ่ะ วันนี้ได้ประเด็นหนึ่งมาเม้าท์ละ คือ เรื่อง "รูปเคารพ" ซึ่งหมายรวมทั้ง เทวรูป, รูปปั้น, รูปหล่อ ฯลฯ ทั้งหมด ที่คนนำมาเคารพบูชานะครับ คำถามคือ เราควรจะอยู่กับสิ่งเหล่านี้อย่างไรดี แน่นอนครับ "ผู้มีปัญญาย่อมเห็นทางสายกลาง" ไม่ใช่พวกสุดโต่งที่คิดทำลายล้างรูปเคารพไปซะหมด ในขณะเดียวกันก็เข้าใจและไม่ถูกครอบงำโดยรูปเคารพนะครับ เช่น เขาก็ปรับตัวอยู่กับรูปเคารพได้ เหมือนกับคนอื่นๆ ในประเทศนั้น แต่เขาไม่ได้หลงนะึครับ ทีนี้ มาดูคนที่ "สุดโต่ง" กันบ้าง ว่าสุดๆ ไปทางไหนกัน มันก็มี ๑. พวกสุดโต่งแบบต่อต้านและคิดทำลายล้างไปเลย อันนี้ก็เหนื่อยหน่อยเพราะ้ต้องไปทะเลาะกับชาวบ้านเขา ที่เขาเชื่อถือกันแบบนั้น ๒. พวกสุดโต่งที่หลงยึดมั่นรูปเคารพมากเกินไป อันนี้ คงไม่ต้องอธิบายนะครับ เพราะคิดว่าท่านคงเข้าใจได้ไม่ยาก อ่ะ แล้วยังมีอีกพวกหนึ่ง คือ "สุดโต่ง" โดยการไป "ใส่ร้ายคนอื่นว่าเป็นพวกบูชารูปเคารพ" เช่น เห็นคนที่มีการปรับตัวอยู่ได้กับสิ่งเหล่านี้ (โดยไม่หลง) เหมาว่าเขาเป็นพวกบูชารูปเคารพไปด้วย (โดยไม่มามองให้ลึกซึ้งจริงๆ พอเห็นเขากราบไหว้ก็หาว่าเขาหลงไปซะแล้ว?) แล้วยังมีอีกพวกหนึ่ง ตัวเขาทำเหมือนไม่ได้บูชารูปเคารพ ไม่ไหว้ ไม่อะไร แต่ "ใจกลับเป็นพวกบูชารูปเคารพเต็มๆ เลย" อันนี้ ดูออกยาก ยังไงละครับ? เช่น ทำตัวเปลือกนอกเป็นคนไม่บูชารูปเคารพ แต่ในใจต้องการอย่างนั้น อยากได้อย่างนี้ แล้วก็ได้ประจำ ถามว่าได้เพราะอะไร? เพราะพลังงานในรูปเคารพนั่นหละที่ทำให้ มอบให้ แล้วเขาก็ยินดีรับเลย อันนี้ ก็มีนะครับ ดังนั้น เีี่ราจะไปเหมาเอาว่าคนที่ไหว้รูปเคารพ เขาหลง ก็ไม่ได้ เขาอาจจะไหว้ไปตามประเพณี ก็แค่นั้น ตรงข้าม คนที่ไม่ไหว้ แต่ใจมันหลงไปแล้วก็มี อย่างที่บอก เช่น เป็นพวกมีใจร้องขอสิ่งศักดิสิทธิ์ให้ช่วยทำอย่างนั้น อย่างนี้บ่อยๆ ทีนี้ พอสิ่งศักดิสิทธิ์ยังไม่ทันทำอะไรให้เลย ซาตานมาทำให้ก่อน เขาก็ยอมรับไปเลย ไม่ทันรอดูว่าเขาได้รับจากอะไร ด้วยความที่ประมาท คิดว่าตนไม่บูชารูปเคารพ และหลงตัวเองว่าตนมีบุญมากไงครับ ก็เลยคิดเอาว่าทุกอย่างที่ตนได้รับ มันมีสาเหตุมาจากผลบุญเสมอไป ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ เหมารวมอย่างนั้น ไม่ได้ครับ เพราะบางอย่างก็มีจาก "ภาคมืดหรือซาตาน" หยิบยื่นให้เหมือนกัน แล้วพอเขาไม่ทันพิจารณาก็หลงคิดว่าเป็นบุญของตัวเองแล้วก็เลยรับไปครับ 


เอาง่ายๆ นะ คนไทยเราก็กราบไหว้บูชารูปเคารพกันมากมาย ท่านว่าคนที่หลงกับคนที่ไม่หลงมีเท่าไร? มันก็ปนๆ กันนั่นแหละ ใช่ไหมละครับ เช่น ร. ๕ ก็ไหว้ "พระสยามเทวาธิราช" ทุกวัน เอาไว้ที่หัวนอนด้วย (ท่านอ่านประวัติได้เลย) แล้วเราดูทีวีก็ได้ คนไทยตั้งแต่รากหญ้าถึงยอดพีรามิด ก็ต้องคล้อยตามประเพณีไหว้รูปเคารพกันทั้งนั้น แต่เราจะไปทราบได้อย่างไรว่า "ใครหลง ใครไม่หลงละ" ใช่ไหมละครับ คนบางคนทำเป็นแสร้งไหว้ไปงั้นๆ เพราะต้องออกงาน ตามพิธีต่างๆ เดี๋ยวจะผิดไปจากคนไทย ทำเหมือนว่าไม่หลง แต่ที่ไหนได้ก็โดนเข้าเต็มๆ เลยก็มี คือ เปลือกนอกเหมือนไม่อยากไหว้ ทำแสร้งๆ ไหว้ไป แต่ในใจ "ร้องขอ" อยู่เรื่อยๆ ครับ ทำให้ภาคมืดหรือซาตานได้ช่อง เอานั่น เอานี่มาให้ประำจำ (สังเกตุว่าสิ่งที่เอามาให้ มันจะเกินไปหน่อยไม่ใช่ของเล็กๆ น้อยๆ อาหารเล็กๆ น้อยๆ เช่น ตำแหน่งสูงๆ ที่ไม่ควรจะได้รับ ก็ดันได้รับ) แล้วเขาก็ยินดีรับ แม้ว่าเปลือกนอกจะดูเหมือนไม่หลงเวลาไหว้รูปเคารพก็ตามแต่ "ใจเต็มไปด้วยการร้องขอ" แบบนี้ "หลงเต็มเปา" เลยครับ ไม่้ต้องไปว่าใครอื่นเลย ดูที่ผลออกมาสิครับ คนที่ไม่หลง ชีวิตมันก็ปกติ เรียบๆ ไม่มีอะไรพิเศษหวือหวา ต่อให้ไหว้ ก็ไหว้ไปตามประเพณี ไม่ได้ยึดอะไรหรอก ส่วนคนที่ไม่ไหว้ที่คิดว่าตัวเองไม่หลงนั้น ถ้าใจร้องขอ อยากได้เรื่อยๆ มันก็จะได้ "อะไรที่มากเกินกว่าที่ควรจะได้รับ" ครับ นั่นแหละ เปลือกนอกดูไม่หลง แต่ใจมันหลงเต็มเปาไปแล้ว แม้ไม่ไหว้รูปเคารพ แต่เสร็จซาตานไปแล้ว


เอาละ ทีนี้ เราจะอยู่กับรูปเคารพอย่างไรละ? ถ้าเรามีปัญญาเข้าใจซะอย่าง มันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ เราจะปรับตัวได้ เขาไหว้กันเราก็ไหว้ไปงั้นๆ ไม่ได้ใช้พลังจิต หรือร้องขออะไรๆ ก็เหมือนก็เราทำท่าอะไรสักอย่างหนึ่ง การยกมือขึ้นประนมนี่ มันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับการยกมือเกาหัว หรืออะไรต่อมิอะไรหลายท่า ถ้าไม่ยึดนะครับ แต่ถ้าหลงอยู่ แม้ไม่ได้ยกมือขึ้นไหว้รูปเคารพ แต่ใจร้องขอบ่อยๆ มันก็โดนภาคมืดหรือพวกซาตานครอบงำแน่นอนครับ ดังนั้น ถ้าคนไทยไหว้รูปเคารพโดยใจไม่ยึดนะ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าฝรั่งไม่ยอมไหว้รูปเคารพแต่ใจมันหลง นี่ ก็ต้องลองเอาไปคิดดูละ อย่าไปยึดติดแต่แค่ "ท่าทางที่เห็นคนยกมือขึ้นประนม" เท่านั้น มันสำคัญที่ "ใจ" ตะหากเล่า ...