วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ของวิเศษทั้งห้า อันเกี่ยวเนื่องกับภารกิจ "พิชิตดาวแดง" มันคืออะไร?

โอ้ยยย มันต้อแต้ มันตาลาย มันเวียนหัว น้องทรายขอร้อง จาเปงลม โหมทำเว็บหนักไปหน่อย เลยตีหนึ่งก็ยังไม่ได้นอน เลยต้องเป็นจังซี่ เอาละ เวลามีน้อย บ่นให้ฟังมากไม่ได้ ขอเข้าเรื่องสำคัญก่อนเลยละกันครับ เรื่องของเรื่องจะกล่าวถึง "ของทิพย์วิเศษ" ที่สำคัญ อันคนที่ร่วมบารมีกัน "กู้วิบัติดาวแดง" (ตัวแทนแห่งพระยูไลทั้งห้าคน) นั้น จะต้องบำเพ็ญบารมีให้ได้ จึงจะทำกิจนี้ได้ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ครับ 


ปกติแล้ว ผู้มีบุญบารมีจะมีของทิพย์วิเศษอยู่ในกายทิพย์กันทั้งนั้นนะครับ โดยเฉพาะำพระโพธิสัตว์, พระยูไล แต่อันนี้ เป็นของทิพย์วิเศษที่ใช้ทำกิจร่วมกันในเรื่องนี้่โดยเฉพาะครับ เมื่อคนทั้งห้า บำเพ็ญบารมีพร้อมแล้ว เขาก็จะได้ของวิเศษทั้ง ๕ ไป คนละหนึ่งอย่าง ซึ่งอาจมีบอกไว้ในตำนานอันแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่นของโลก แต่โดยรวมแล้ว ของวิเศษทั้ง ๕ ชนิดนี้ จะมีลักษณะดังต่อไปนี้คือ


๑. หม้อยาทิพย์ บ้างก็อาจเรียกว่า "กระถาง" อะไรสักอย่าง มันจะใช้ในการปรุงยาทิพย์ เป็นเหมือน "พิษต้านพิษ" แก้ให้คนที่ฝึกจิตผิดไป ล้างกลับใหม่ให้กลายเป็นศูนย์ เช่น คนที่ฝึกสายร้อนมากไป ถ้าเจอสิ่งที่ตรงข้ามแล้วสลายกลายเป็นศูนย์ได้ ก็จะล้างสิ่งที่ฝึกมาผิดๆ นั้นออกไปได้ครับ วิธีนี้เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยคนก่อนรับธรรมต่อไปครับ

๒. ผนึกประสาน มันคืออะไรก็ไม่รู้ครับ ยังไม่เคยเห็นแต่เท่าที่สัมผัสได้คือ มันจะมีพลังพิเศษ ช่วยในการประสาน "สามจิต เจ็ดวิญญาณ" ให้กลับเป็นหนึ่งเดียวกันดังเดิม ทำให้คนที่ขาดๆ เกินๆ เป็นมนุษย์ได้สมบูรณ์ ซึ่งการเป็นมนุษย์สมบูรณ์นี่สำคัญมากครับ เพราะเป็นสิ่งที่จะต้องมีก่อนจะรับธรรม หากไม่มีความเป็นมนุษย์แล้วรับธรรมไม่ได้ครับ

๓. กระจกทิพย์ คือ สิ่งที่ใช้สะท้อนแสงจาก "สุริยเทพ" ปกติจะตกอยู่กับพวกของ "เทพจันทรา" บางครั้ง ก็อยู่กับ "เทพกระต่าย" ซึ่งทำกิจให้กับเทพจันทรา คนที่มีสิ่งนี้ จะไม่มีความเห็นอะไรของตัวเอง ได้แต่สะท้อนสิ่งอื่นๆ ให้คนดูเอาเอง แต่ว่า แม้มันจะดูเหมือนจริงมาก แต่มันก็ใ่ช่ภาพจริงครับ ภาพสะท้อนจากกระจก คือ ภาพเสมือน เท่านั้นเอง

๔. พิณทิพย์มั้ง คือ สิ่งที่ใช้สร้างคลื่นเสียง, พลังคลื่นเสียงแผ่ออกไป ทำให้ "ตะกอนตะกรัน" ที่เป็น "สันดอนสันดาน" ในใจคน ถูกทะลายออกไปได้ ใช้กำราบคนที่สันดานฝังแน่น แข็งทื่อ ไม่รู้จะทำอย่างไรให้หลุดออกไปได้ ก็ต้องใช้พลังคลื่นเสียงทิพย์สั่นสะเทือนช่วย ของจริงหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่รู้ เรียกก็ต่่างกันไปในแต่ละท้องถิ่นครับ

๕. หัวใจสุญตา คือ อะไรไม่ีูรู้อีกนั่นแหละ มันเหมือนเป็นหัวใจ หรือคือ แก่นธรรมที่ลึกซึ้ง อะไรประมาณนั้น แต่มีลักษณะเหมือน "ดวงแก้วมณีทิพย์" ทั่วๆ ไป แต่พลังข้างในดวงแก้วดวงนี้จะพิเศษ ไม่เหมือนพลังในดวงแก้วมณีดวงอื่นๆ ทำให้คนบรรลุธรรมได้ครับ คล้ายๆ "ปรัชญาปารามิตาหฤทัยสูตร" (พระสูตรแห่งหัวใจอะไรนั่นน่ะ?) ประมาณนั้น


คนทั้ง ๕ จะต้องบำเพ็ญบารมีจนได้ครอง "ของทิพย์วิเศษ" คนละ ๑ ชนิด จากนั้น ทั้ง ๕ ก็จะร่วมบารมีกัน ทำกิจนี้ จึงจะสำเร็จ และเคลียร์ปัญหา "ดาวแดงวิบัติ" ได้ อนึ่ง คนทั้ง ๕ นี้ จะเป็นเหมือน "ตัวแทน" ของพระยูไลทั้ง ๕ ผู้ถือของทิพย์วิเศษทั้ง ๕ นี้ครับ เมื่อท่านทั้งหมดร่วมมือกันโปรดสัตว์แล้ว เวรกรรมมากมายของปวงสัตว์ก็จะได้รับการเคลียร์, ชำระล้าง, ผ่อนหนักเป็นเบา และภัยพิบัติก็จะค่อยๆ ลดลงไปเองครับ ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าทั้ง ๕ คนนี้ จะได้พบเจอตัวจริงๆ กันหรือไม่ หรืออาจพบเจอกันแต่ "ตัวตนระดับทิพย์" หรือตัวตนในมิติอื่นๆ ก็ไม่ทราบนะครับ แต่มีลักษณะให้สังเกตุครับ คือ คนที่ถือหม้อยา ก็จะเป็นคนที่ดูไม่ได้เรื่อง หรือผิดเพี้ยนสุดๆ มาก่อน (เจอพิษธรรมะมาเต็มที่ แล้วเคลียร์ได้) คนที่ได้ "ผนึกประสาน" จะขาดๆ เกินๆ ในเรื่องของจิตหรือวิญญาณมาก่อน คนที่ถือกระจกทิพย์ ก็จะไม่มีธรรมของตัวเอง เอาแต่สะท้อนธรรมให้คนอื่นพิจารณาเอาเอง คนที่ถือพิณทิพย์ จะดูไม่ใช่คนกระทบกระทั่งรุนแรงกับใคร แต่มีพลังสั่นสะเทือนถึง "ก้นบึ้งในใจคน" ไ้ด้เลยครับ (นิ่มแต่แรง) คนที่ถือดวงแก้วมณี "หัวใจสุญตา" ก็จะใช้ใจเยอะ เรียนรู้พวก "ธาตุและหิน" สารพัดชนิดครับ (ตำนานจีนเขาเรียกว่า "หินเจ้าแม่หนี่วา") เอาละ บอกมาแค่นี้ คิดว่าบางท่านคงอาจได้พบเจอ หรือสัมผัสทางมิติใดบ้างแล้วก็เป็นได้ สำหรับบทความนี้ ผมขอจบลงเพียงเท่านี้ก่อน พบกันใหม่ฉบับหน้า ราตรีสวัสดิ์ครับ ...



วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เบื้องหลังของผู้ก่อให้เกิดภัยพิบัติแก่โลก ทั้งสองฝ่าย เขาเป็นอย่างไร?

โอ้ย วันนี้นึกมุขไม่ออก ไม่มีแดนซ์เซอร์มาออกแขกเสียด้วย จะกินกาแฟก็มุขเก่าแล้ว เอาเป็นว่า เข้าเรื่องเลยละกัน เป็นเรื่องของผู้ที่อยู่เบื้องหลังกระบวนการเกิดภัยพิบัติของโลกครับ มีหลายท่านทีเดียวแ่ต่ไม่ใ่ช่มนุษย์นะครับ มนุษย์เป็นเพื่อสื่อพลังงาน ที่พลังงานของท่านเหล่านี้ จะผ่านเข้ามาเืพื่อทำกิจเป็นครั้งคราวเท่านั้น แล้วก็หมดไป (มนุษย์หนึ่งคนจึงเป็นสื่อผ่านพลังได้หลายชนิด เหมือนเป็นร่างตัวแทนของเทพได้หลายองค์ นั่นเอง) ดังรายละเอียดที่จะเม้าท์ดังนี้


หลังจาก ลูซิเฟอร์ได้สร้างโลกให้เป็นสวรรค์ ทว่า มันเป็นการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับกฏแห่งกรรม กล่าวคือ เป็นการให้มนุษย์ได้รับเกินตัว เกินบุญที่ควรได้รับ แต่เขาไม่ได้ให้มนุษย์ฟรีๆ เพราะเขาแลกคืนกลับไปมากกว่าหลายเท่าตัวนัก และระบบแบบนี้เอง ทีุ่ส่งผลร้าย ให้ท้า้ยที่สุดแล้ว ปวงสัตว์ทั้งหลายจึงหลงโลกและจากโลกไปสู่ "ภพมืด" ไม่ได้ผุดได้เกิดอีก เป็นจำนวนมากมายนัก พระเจ้าจึงจำต้องทำลายล้างระบบของลูซิเฟอร์เสีย ก่อนที่ปัญหาจะยิ่งบานปลายไปยิ่งกว่านี้ และในกระบวนการทำลายล้างระบบของลูซิเฟอร์นั้น ก็คือ "ดาวหางชนโลก" ซึ่งถ้าไม่จำเป็นก็คงไม่มีใครอยากให้เกิด ดังนั้น พระ้เจ้าจึงเลือกผู้ทำหน้าที่ทำลายล้าง จากที่ "มือเบาๆ" มาก่อน หากยังไม่ดีขึ้น หรือยังแก้ปัญหาไม่ได้ ก็จำต้องเลือกเอาท่านที่มือหนักขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งที่ผ่านมานั้น "เทพยูเรนัส" ดูแลกระบวนการนี้อยู่ ตอนนี้กำลังจะหมดสิ้นวาระแล้ว จะมีเทพองค์ต่อไปที่มือหนักขึ้น มาทำหน้าที่แทน และองค์นี้เอง ที่มีพลังสามารถทำให้ "ดาวหางพุ่งชนโลก" ได้ ดาวดวงนั้นชื่อว่า "ดาวแดง" (ที่ผมตั้งชื่อเล่นง่ายๆ นะครับ) ผมเคยเห็นแล้ว และผมคิดว่าหลายคนคงเคยเห็นเหมือนกัน สุกสว่างเป็นสีแดงบนฟ้า เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการมาของเทพองค์นี้ ผมไม่แน่ใจว่าเทพองค์นี้คือ "ฮาเดส" หรือไม่? (ฮาเดสก็คือ เทพเจ้าดาวพลูโต ดาวแห่งความตาย นั่นเอง) แต่เขามีพลังมากแน่นอน และเป็นผู้มีจิตใจ "ยุติธรรม" มากที่สุด เขาชอบทำงานละเอียดยิบๆ ยิ่งงานเล็กละเอียดมากๆ ยิ่งถนัด อันนี้ตรงข้ามกับเทพซูส ที่ถนัดงานใหญ่ๆ มองอะไรกว้างๆ เป็นสำคัญ ทั้งสององค์จะเล่น "หมากชะตามนุษย์" กัน ถ้าท่านไหนได้ตัวหมาก มากก็จะได้ "วิญญาณคนตาย" ไปสู่ภพของตนมาก (คนตายไปอยู่กับเทพซูสจะได้ขึ้นสวรรค์ ไปอยู่กับเทพฮาเดสจะตกนรก) เรียกว่าเลือกสรรค์กันไปคนละส่วน ซึ่งนั่นหมายความว่า "คนจะตายมาก" แน่นอน 


ทว่า "ลูซิเฟอร์" พยายามบอกผมทั้งยังพยายามครอบงำด้วยแหละ ว่า โปรดสงสารช่วยโลกหน่อยเถอะ แถมยังแอบด่าผมด้วยว่าผมไม่มีจิตโอบอ้อมอารี ไม่ช่วยเหลือใครเลย เขาต้องการให้ผมช่วยไม่ให้โลกนี้ ได้รับภัยพิบัตินั่นเอง เพราะอะไร? ก็เพราะเขายึดครองโลกได้แล้ว ทั้งโลกคือของเขา (เฉพาะภพมนุษย์นะ) เขาสร้างทำระบบต่างๆ ไว้มาก เช่น ระบบทุนนิยม, วัตถุนิยม, บริโภคนิยม ฯลฯ และมันดีมากสำหรับพวกภาคมืด (ซึ่งพระเจ้ากำลังกวาดล้างอยู่) เขาว่าผมอยากเห็นคนตายเยอะๆ หรือไร? จึงไม่ยอมช่วยเลย (แหม จะให้ผมเป็นปรปักษ์กับพระเจ้าแล้วตกสวรรค์ไปอยู่ภพมืด เป็นขี้ข้าซาตานหรือไง?) ผมก็ดูว่าเมื่อพระเจ้าให้ผมมาเกิดยังโลก ย่อมต้องมีเหตุผลสิน่า? ถ้าพระเจ้าทำทุกอย่างได้ดีแล้ว ก็ไม่ต้องส่งผมมาเกิด จริงไหม? จะให้ผมทำลายรึ? ผมก็ไม่ทำ จะให้ผมเข้ากับลูซิเฟอร์รึ? ผมก็ไม่เอา มันต้องมีทางที่ดีกว่านี้ ทางสายกลางที่ไม่ทำให้คนหลงโลกมากไป ระบบของลูซิเฟอร์ ไม่ครอบงำคนแบบนี้ทั้งยังต้องอยู่และใช้โลกนี้ร่วมกันต่อไปได้อีกยาวสิน่า ว่าแล้ว ลูซิเฟอร์ก็บอกวิธีผม (ลูซิเฟอร์กินผลไม้แห่งการหยั่งรู้ไป ทำให้เขารู้หมดทุกอย่างนะครับ แต่การรู้มากใช่ว่าจะทำให้หลุดพ้นได้  เพราะยิ่งเขารู้มาก เขาิยิ่งทำกรรมมากครับ) เขาว่าจะมี "คนห้าคนที่มีบารมี" มาร่วมบารมีกันยิ่งยวดเพื่อช่วยโลก ทำคนเดียวไม่ได้ สองสามคนก็ไม่พอ ต้องห้าคนเลย เป็นเสมือนองค์แทนของพระพุทธเจ้าห้าองค์ในภัทรกัปนี้ เขาบอกว่าให้ไปดู "หนัง" (ให้ผมไปดูหนังครับ ตลกไหม แต่ไม่ตลกหรอก ลองฟังต่อดิ) เพราะทุกอย่างในโลกที่เขาสร้างขึ้น อยู่ในกำมือและการบงการของเขา หนังที่ทำทั้งของซีกโลกตะวันออกหรือซีกโลกตะวันตกก็ตามของเขาทั้งนั้น เขาเลยสื่อสารเรื่องราวต่างๆ ไว้ในหนังเหล่านี้ เขาบอกว่า "ผมคือคนที่ดูแล้วจะเข้าใจปริศนาทั้งหมดของเขาได้" คนอื่นอาจทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ไม่ได้เหมือนผม ผมก็ดูแล้ว ก็เข้าใจจริงๆ อ่ะแหละ แต่ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จอ่ะนะ 555 อย่างไรก็แล้วแต่ ผมไม่ไ่ด้เข้าข้างลูซิเฟอร์ แต่ไม่ได้เห็นด้วยกับการทำลายโลกหรอก มันต้องมีทางออกที่ดีกว่าเป็นทางสายกลางสิน่า!


ผมยังมีเวลาอีกปีหน้า "ดาวแดงวิบัติ" จะมาทำหน้าที่เต็มตัวแล้ว ส่วน "ดาวมฤตยู" ก็จะได้พักงาน แต่เรื่องการร่วมบารมีกันห้าคนนี่สิ ไม่ใช่จะไปหากันง่ายๆ ใครบ้างก็ไม่รู้ เอาเป็นว่า บทความฉบับนี้ ขอจบลงก่อน แบบห้วนๆ อย่างนี้อ่ะแหละ ถ้าได้ความเพิ่มเิติมอย่างไร จะมาบอกใหม่ ในบทความฉบับหน้า ก็แล้วกันนะครับ สวัสดีคร้าบ เจ้านายยย  




วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ดาวร้าย ทำลายโลก เขาเป็นใครกันบ้่าง มาจากไหนกันบ้าง?

"แม่ไม่เข้าใจดาว แม่ไม่เข้าใจดาว หนูเป็นดาวมหาลัย ..." ว่าแล้วก็ต้องทำท่าเชียร์ดีดดิ้ง เชียร์ดีดเด้อ เชิดหน้าขึ้น ยิ้ม ยืดอกขึ้น ยกแขนขึ้นกางกว้างๆ สามสี่ หนึ่ง สอง หนึ่งสอง หนึ่งสองสาม หนึ่งสอง หนึ่งสอง หนึ่ง อ่ะ อย่างง้าน อย่างงั้นแหละ น้อง "ดาวมหาลัย" เย้ย ใช่ซะที่ไหน ไม่ใช่เรื่องดาวมหาลัย เ็ป็นเรื่อง "ดาวร้าย" ที่ทำให้เกิดภัยพิบัติต่างหากละครับท่านผู้ชม ที่เราจะมาคุยกันในวันนี้ ก็เรื่องนี้แหละ เอ้า มัวนอกเรื่องอีกจนได้ แค่ขำๆ ครับ อย่าคิดมาก เข้าเรื่องของเราดีกว่า


"ดาวร้าย" ในที่นี้ ผมขอหมายถึง อะไรสักอย่างที่มีหน้าที่มาทำให้เกิด "ภัยพิบัติ" นะครับ ซึ่งมีหลายมือทีเดียว ไม่ใช่มีแ่ค่ตัวตนเดียว (ตอนแรกผมก็นึกว่ามีแค่หนึ่งเดียวที่ดูแลทั้งหมดและมีบริวารอีกทีครับ) แต่ ตอนนี้ ผมคิดว่ามีหลายท่านทีเดียว ที่ทำหน้าที่นี้อยู่ อย่างท่านแรกที่ผมเคยแนะนำให้รู้จักก็คือ "เทพยูเรนัส" หรือ "ดาวมฤตยู" ซึ่งเป็นเทพแห่ง "ฟ้ามืด" ครับ เอกลักษณ์ ก็คือ เขาจะมาทำให้ท้องฟ้ามืดมิดครับ ในคำทำนายของหลายๆ สำนัก, หลายๆ ท่าน ก็ได้กล่าวไว้ว่าจะมีวันที่ฟ้ามืดไป กี่วันๆ ก็ว่ากันไป ใช่ไหมครับ นั่นแหละ "การประกาศศักดาของเทพยูเรนัส" เพื่อให้สามภพนี้รู้ว่าเทพยูเรนัส กำลังจะมาและทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของตน พร้อมด้วยภัยพิบัติอีกชุดหนึ่ง ซึ่งไม่รวมเรื่อง "ดาวหางชนโลก" นะครับ เพราะหน้าที่ของผู้ที่ดูแลเรื่องนี้ แยกเฉพาะไปอีกท่านหนึ่งครับ ตอนนี้ผมยังไม่รู้จักเขาแน่ชัด ยังสัมผัสได้ไม่ชัดนะครับ ขอเรียกเป็นชื่อเล่นที่ผมตั้งเองก่อนคือ "ดาวแดง" ซึ่งเป็นดาววิบัติ นำภัยมาสู่โลกครับ (แต่ไม่ใช่ว่าเขาผิดหรือเลวร้ายนะ เขา็ก็คือ ธรรมชาิติอย่างหนึ่งที่จะมาทำหน้าที่ของตนครับ) อนึ่ง ดาวแดง นั้น มีพลังร้ายกาจยิ่งขึ้นไปอีกกว่าดาวมฤตยูเพราะหากเขาลงมือ นั่นอาจจะหมายถึง "สัตว์มากมายอาจสูญพันธุ์ไปเลยครับ" ทว่า เขาจะรอให้คนอื่นลงมือก่อน เรียกว่า เรียงคิวกันจากมือเบาๆ ไปหามือที่หนักขึ้นยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ครับ ตอนนี้ เราเคลียร์เรื่องของดาวมฤตยูได้มากพอแล้ว ต่อไป ดาวแดง จะมาดูแลกระบวนการต่อครับ ดูแลอย่างไร? คือ อย่างนี้ครับ ถ้าเราชาวมนุษย์รับกรรม เคลียร์กรรม เคลียร์พลังงานเก่าเราได้ หมด ก็ไม่ต้องถูกเขาเล่นงาน รอดตัวไปครับ แต่ถ้ามันไม่หมดและมากพอที่เขาจะลงมือ เป็นอันว่าเขาคงจะต้องลงมือครับ ดังนั้น หน้าที่ของเราก็คือ "เคลียร์กรรม เคลียร์พลังงานเก่า" ให้ได้มากที่สุดนั่นเองครับ


ในส่วนของการเคลียร์กรรม หรือเคลียร์พลังงานเก่า ก็ง่ายๆ ครับ คือ เราก็ต้องยอมรับกรรม, พลังงานเก่า ฯลฯ ไปคนละส่วนเท่าที่ใครทำมามากก็แบกรับมากหน่อย ใครทำมาน้อย ก็แบกรับน้อยหน่อยครับ แล้วก็นำไปสู่กระบวนการชำระล้าง เคลียร์กันไป ด้วยการรับกรรมนั่นแหละแต่ถ้าเราชำระล้างเป็น เคลียร์พลังงานเก่า มันก็จะเบาบางครับ เราจะรับได้ไหว ไม่ลำบากมากเกินไปครับ แต่ถ้าเราเคลียร์พลังงานเก่าไม่เป็น หรือเคลียร์พลังกรรมไม่เป็น มันอาจจะดูรุนแรงสักหน่อย ก็เท่านั้นเองครับ ส่วนรายละเอียดเรื่องการเคลียร์พลังงานเก่า หรือเคลียร์กรรมเก่าอย่างไรนั้น ผมจะยังไม่อธิบายในบทความนี้ แ่ต่ท่านสามารถหาได้เพิ่มเติมในบทความอื่นๆ ที่ผมเขียนเรื่องนี้ไว้โดยเฉพาะครับ เช่น ในบล็อก "บทความเก่า" (Cool mouth) ก็มีเขียนเรื่องการเคลียร์พลังงานเก่า หรือพลังกรรมเก่าไว้ ซึ่งหากหาไม่เจอ ผมจะค่อยๆ นำมาทยอยลงให้นะครับ โดยหลักการง่ายๆ ก็คือ "ทำกิจกรรมตามปกติ" นี่แหละครับ เพื่อให้มันเกิดการซักฟอก, ชำระล้างภายใน แต่ถ้าเราไปทำกิจด้วยจิตที่มืดมน มันจะชำระล้างไม่ไ่ด้ เหมือนเอาผ้าไปซักในน้ำที่สกปรก ย่อมไม่สะอาดขึ้นมาได้ ฉันใดก็ฉันนั้น แม้แต่การชำระล้างพลังงานเก่า หรือพลังกรรมเก่า จำต้องมี "ใจที่บริสุทธิ์" ขณะทำการชำระล้างครับ เช่น ทำงานไปด้วยใจใสๆ ซื่อๆ ไม่คิดอะไร ขยันทำไป ได้ไม่ได้ ไม่สน เขาจะให้เรามากน้อย ไม่สนใจ เราจะได้มากหรือน้อยก็ช่างมัน ทำๆ มันไป สักแต่ว่าทำๆ ไป เท่านั้นเอง มันจะทำไปด้วยใจที่ใสซื่อบริสุทธิ์ครับ แล้วมันจะทำให้เกิดกระบวนการชำระล้างให้เราได้ พลังงานเก่า, กรรมเก่า ก็จะถูกชำระกันในขณะที่เราทำงานนั่นเอง เช่น เราตั้งใจ, ขยันดีแล้ว กลับถูกคนไม่ชอบ อิจฉาว่าเราจะเด่นดีกว่า เขาเลยกลั่นแกล้งเรา อะไรแบบนั้น มันก็เป็นการชำระล้างพลังงานในตัว นั่นเอง กรรมเก่าๆ เราก็ถูกเคลียร์ไปด้วยการทำงานนั้น นั่นเองครับ


เอาละ สำหรับบทความฉบับนี้ยังไม่ขอกล่าวถึง "ดาวร้าย" มากไปกว่านี้ เอาไว้ผมได้ข้อมูลที่ชัดเจนและละเอียดมากขึ้นจะทยอยนำมาเม้าท์ให้ฟังอีัก ก็แล้วกันครับ สำหรับวันนี้ ราตรีสวัสดีคร้าบเจ้านาย ย ย ย ...




วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

三魂七魄 สามจิต เจ็ดวิญญาณ จึงครบเป็นมนุษย์สมบูรณ์เป็นไฉน?

โอ้ย อยากจะเป็นลม วันนี้ไปศึกษาธรรมของเต๋าเพิ่มมาครับ แล้วก็ปิ๊งเลย เลยเอามาขยายความต่อนับว่าเ็ป็น "สิ่งสำคัญมากๆ" ทีเดียวครับ มันเรื่องอะไรหรือ มันเป็นเรื่องของ "จิตและวิญญาณ" ที่อยู่ในร่างของมนุษย์ครับคือ มนุษย์หนึ่งคนจะเป็นตัวตนสมบูรณ์ได้ไม่เอ๋อ ไม่ติงต๊อง จะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า "ขวัญครบ" ครับ (คนไทยจะนับว่ามนุษย์สมบูรณ์มี ๓๒ ขวัญนะครับ ถ้าขวัญหาย ก็จะมีอาการ "เอ๋อหรือเหม่อลอย" ได้บ่อยๆ ต้องเรียกขวัญกลับคืนมาอย่างไรละครับ) ที่นี้คำว่าขวัญนี่เป็นคำไทยครับ มันหมายรวมกว้างๆ ทั้ง "จิตและวิญญาณ" นะครับ ผมไปศึกษาเต๋าเพิ่มมา เลยทำให้ได้คำที่แยกแยะชัดเจนไปกว่านี้่ได้ดี ก็คือ คำว่า "หุนและพั่ว" ครับ ดังที่ผมจะนำมาขยายความต่อ ดังนี้ครับ


เรื่องนี้ยากมากเลย เอาเป็นว่าผมจะพยายามอธิบายให้ง่ายที่สุด ก็แล้วกัน เริ่มจาก ในร่างมนุษย์ที่สมบูรณ์ ๑ รูปธรรมชีวิต จะมีสิ่งที่เีรียกว่า "ซันหุนซีพั่ว" (三魂七魄) หรือ "สามจิต-เจ็ดวิญญาณ" ได้แก่ 3 หุน(วิญญาณ)และ 7 พั่ว(วิญญาณ)ทั้งหุนและพั่วก็คือวิญญาณ (ข้างบนแปลให้ไม่ซ้ำว่า 3 จิต 7 วิญญาณ 3 หุน หมายถึง เทียนหุน(天魂วิญญาณฟ้า) ตี้หุน(地魂วิญญาณดิน)และ มิ่งหุน(命魂วิญญาณชีวิต) 7 พั่ว เจ็ดวิญญาณ หมายถึง ดีใจ โกรธ เศร้า กลัว รัก ร้าย โลภ ครับ (โอ้ย จะอ้วกแตก อ่านแล้วแมร่งผมยังงงสุดๆ เลยอ่า) เอาเป็นว่าขอสรุปง่ายๆ คือ จะเป็นคนสมบูรณ์ มันก็ต้องมีอย่างน้อย ๓ จิต ครับ ถ้ามีแค่ ๑ จิต มันไม่สมบูรณ์ และจะตายภายใน ๗ วัน จิตดวงสุดท้ายจะออกจากร่างภายใน ๗ วันครับ เพราะไม่มีจิตอื่นๆ ช่วยคุ้มครองและประสานมากพอที่จะดำรงความเป็นมนุษย์ ในบางคน ใกล้ถึงฆาตแล้ว ก็มีจิตเหลืิอดวงเดียว ไปเจอพระพุทธเจ้า ท่านก็โปรดจะบรรลุธรรมได้ง่าย ที่เขาเรียกว่า จิตหนึ่ง ในอีกความหมายหนึ่ง (จิตหนึ่งในอีกความหมายหนึ่งหมายถึงจิตทุกดวงเป็นจิตประภัสสรคือส่วนของจิตนั้นล้วนบริสุทธิ์ ไม่มีอื่น มีลักษณะหนึ่งเดียว คือ บริสุทธิ์ประภัสสรเท่านั้น) ซึ่งในความหมายนี้ เขาจะใช้ยามโปรดธรรมให้คน ที่มีิจิตเหลือเพียงดวงเดียว เช่น หญิงบ้าคนหนึ่งที่เสียลูกและผัวไปแล้วกลายเป็นบ้า เพราะ จิตจรหลุดไป ขวัญหาย ขวัญกระเจิง เพราะเสียใจมากเกินไปครับ นั่น เขาเรียกว่าจิตหนึ่ง ซึ่งเป็นนานพอควร ที่ไม่ตายภายใน ๗ วัน ด้วยอาจจะมีจิตดวงอื่นมาครอบงำอีกที ทำให้เ้ป็นเช่นนั้นครับ แต่ในคนที่ไม่เป็นเช่นนี้ สามารถบรรลุธรรมได้โดยไม่ต้องทำให้จิตในกายเหลือดวงเดียวนะครับ คนไทยนับขวัญ (ขวัญเป็นคำกว้างมาก) ถึง ๓๒ นู้น คนจีน (เต๋า) นับให้เพียง ๓ จิต ๗ วิญญาณเท่านั้นเอง แต่ไม่มีใครที่เขาบอกหรอกครับว่า "จิตในร่างมนุษย์ต้องมีดวงเดียว" โอเคนะ ...


ทีนี้ ถามว่า มันจะลดลงได้ไหม? ได้สิครับ ที่เรียกว่า "ขวัญหาย" ไง มันมีหลายคนเลยครับ เช่น พระที่อยากเป็นอรหันต์มากๆ แล้วเขามีทัศนคติเชิงลบกับ "ความโกรธ" ไม่เห็นว่านี่คือ ธรรมะ ธรรมชาติ เขาก็ไปทำให้มันหายไป หมดไป ทำยิ่งยวด จนวิญญาณที่เรียกว่า "โกรธ" มันหายไปเลย วิญญาณที่มี ๗ ก็ลดลงแล้ว ทำไปเรื่อยๆ ก็ไม่เหลือสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณตามมุมมองของเต๋าครับ เขาจะดูเหมือนคนดีมากๆ แต่มันไม่ใช่มนุษย์ปกติครับ มนุษย์ปกติเราไม่ใช่อย่างนี้้ แม้ผู้มีปัญญา, พระอรหันต์ ก็มีกิเลสได้ครับ มันคือ ธรรมชาติอย่างหนึ่งเท่านั้น ซึ่งไม่อาจเหนือพระอรหันต์หรือผู้มีปัญญาได้เลย นี่ละ ผมจึงต้องเอามาให้ท่านศึกษากันต่อ เพราะอะไร? เพราะหลายคนเข้าใจผิด ไปฝึกจิตกันผิดๆ เสียสภาพความเป็นมนุษย์ปกติไปแล้ว ในเมื่อมันไม่ใ่ช่มนุษย์อันเป็นธรรมชาติดั้งเดิม มันจะเป็นอรหันต์ได้อย่างไร? เอาง่ายๆ เลย พวกซาตานนี่ เขาชอบเลยละ เขาจะมาแลกเอาวิญญาณพวกนี้ไป แล้วเขาก็จะให้พวกนี้เป็นพระอรหันต์ (ของเก๊) ตามที่เขาปั้นแต่งให้ ทำให้ได้นั่นนี่ เยอะแยะเลยครับ พระอรหันต์เหล่านี้ ต้องทำตัวเหมือนพระอิฐ, พระปูน ปั้นหน้านิ่งอยู่ตลอดเหมือนไม่มีกิเลสเลยอย่างนั้น มันไม่ใช่ธรรมชาติของมนุษย์หรอกครับ อันนี้ เีรียกว่า "เสียวิญญาณ" ไปแล้ว ทำให้ความเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์ครับ อันนี้ ผมไปศึกษามาจากเรื่อง "เทพกระบี่พิชิตมารภาค ๔" ฮ่าๆๆ ยังไม่ฉายในบ้านเราหรอก แต่เขาเอาสัจธรรมของเต๋ามาแทรกเข้าไว้ฉลาดจริง ทำใ้ห้น่าสนใจ น่าศึกษาครับ เอาละ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ ผมไม่สนหรอก ปฏิบัติได้ก็จะทราบเองแหละครับ สำหรับบทความฉบับนี้ ขอจบลงเพียงเท่านี้ ...



   

วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทราบได้อย่างไรว่า ของที่ได้มาจากบุญเราจริงๆ หรือซาตานเอามาแลก?

อ๊ะ วันนี้ นึกมุขไม่ออก ไม่พูดพล่ามทำเพลงละ เข้าเรื่องเลยละกาน "กาแฟเนเจอร์กีฟ" อ้่าวเฮ้ย ม่ายช่าย คนละเรื่องกันแล้ว "ตะลุ่ม ตุ้ม แป๊ก" (มุขแป๊ก!) เอ้า นอกเรื่องไปจนได้ จอดๆๆ แล้ววกๆ กลับมา มาเรื่องของเราดีกว่า อันนี้มันเป็นเรื่องของการแยกแยะระหว่างบุญกับสิ่งที่ซาตานเอามาแลกนะครับ ลองดูในรายละเอียด มีดังต่อไปนี้ครับ 


มีวิธีแยกแยะได้ไม่ยากครับ ระหว่างสิ่งที่ได้มาด้วย "บุญเราจริงๆ" กับ "สิ่งที่ได้มาจากซาตานแลก" ให้สังเกตง่ายๆ อย่างนี้ อะไรที่มาโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ, ไม่ได้เจตนา, ไม่ได้อยากได้แต่มันก็ดันมาเอง เข้าข่าย "วิบากกรรม" แต่มันก็เป็นสิ่งที่ดีนะ นี่เรียกว่า "วิบากกรรม" กรรมดี น่ะครับ ซึ่งเชื่อขนมกินไ้ด้เลยว่า "บุญหรือที่เรียกอีกอย่างว่าวิบากกรรมดีนี้" ไม่มีใครอยากได้ หรือเจตนาจะได้ มาก่อนทั้งนั้นครับ เพราะอะไร? เพราะมันไม่ได้มาจาก "มโนกรรมปัจจุบัน" เลยอย่างไรละครับ ความคิด ความตั้งใจ เจตนา หรืออะไรๆ อันเกี่ยวกับจิตใจของเรานี่ ไม่ได้ไปคิดอยากได้ หรือข้องแวะจะเอามันเลยจริงๆ ไม่มีมโนกรรมเกิดขึ้นในปัจจุบันเลย แต่มันก็ดันมาได้ นี่ละ เขาเรียกว่า "วิบากกรรม" แต่มันไม่ใช่สิ่งเลวร้ายนี่นา ก็เลยเรียกว่า "วิบากกรรมดี" (หรือบุญ) ไงละ ผมจะยกตัวอย่าง "บุญ" ให้นะครับ ผมมีหลานชายคนหนึ่ง ไม่ใช่ญาติกันโดยตรง คนๆ นี้ เป็นเด็กวัยรุ่น กำลังกะล่อน แต่ไม่เคยยุ่งเรื่องผู้หญิงเลย วันหนึ่ง ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมานั่งรอ นอนรอ อยู่บ้าน โดนแม่ไล่ก็ไม่ยอมไปไหน บอกว่าจะมารอเขาให้ได้ พอเขากลับมาถึงบ้านแล้ว มันก็ปล้ำผู้ชายครับ แล้วก็แจ้นไปฟ้องพ่อว่า "พ่อมันปล้ำหนู" ฝ่ายชายเลยต้องเอาเงินเอาทอง ไปให้เขา แล้วทำพิธีขอกันง่ายๆ ไป อยู่กันไม่ึถึงเก้าเดือนมังครับ ลูกก็คลอดแล้วครับ บังเอิญหลานชายคนนี้ เขาไม่รู้ว่าลูกในท้องนี่ มันต้องอุ้มท้องนานกี่เดืิอนครับ เป็นอันว่า เออ เป็นบุญของมัน (หรือกรรมของมันก็ไม่รู้) ได้เมียโดยไม่ได้ก่อกรรมเอามาเลย 


เอาละ ทีนี้ มาดูสิ่งที่มาจาก "ซาตานเอามาแลกกันบ้าง" มันจะมีความแตกต่างจากบุญแน่นอน ชัดเจนเลยครับคือ "มันจะเริ่มต้นมาจากจิต ใจเราอยากได้" หรือ "มโนกรรมปัจจุบัน" เราเกิดแล้วก่อน เช่น ใจคิดว่าอืม อยากสร้างวัดนะ หรือสร้างวัดถวายเป็นพุทธบูชา ก็คงดีนะ นี่ละ พระที่หลงตัวเองคิดว่าตัวเองอรหันต์แล้ว ก็มี "มโนกรรมปัจจุบัน" กันแบบนี้มากเลย (อรหันต์เก๊นะครับ) แล้วซาตานมันรู้ใจ มันก็เอามาให้เพื่อแลกกับบางสิ่งบางอย่าง (ที่อาจจะได้มาจากการบำเพ็ญธรรมน่ะครับ) อะไรก็แล้วแต่ที่มัน "แหม มาได้ดังใจ" หรือตามใจเราจริงๆ นี่ละ อย่าไปรับมัน เพราะถ้ารับมันแล้ว ก็เท่ากับเรายอมรับ "การแลกเปลี่ยนกับซาตาน" แล้วครับ แล้วให้สังเกตดีๆ นะครับว่าเมื่อใดที่เรารับ เราก็จะต้องแลกเปลี่ยนจริงๆ เช่น เราได้งานใหม่ แต่เราต้องย้ายที หรือไปอยู่ที่อื่่น เราได้ที่ดิน แต่เราอาจต้องละทิ้งครอบครัวไป อะไรแบบนี้่ นี่ละ การแลกเปลี่ยนไงครับ แสดงว่าอะไรรู้ไหม? แสดงว่าสิ่งเหล่านี้ มันไม่ใ่ช่บุญของเราครับ ทีนี้ เราลองคิดดูว่า "มันคุ้มไหมถ้าจะแลก" เช่น ระหว่างครอบครัวกับ "การงานที่ดี" หรือ "ที่ดินมากมาย" หรือ "สมบัติสักก้อนใหญ่ๆ" ไม่รู้นะครับ ผมตอบแทนใครไม่ได้ ว่าคุ้มหรือไม่ ท่านก็ลองพิจารณากันเอาเอง ของบางอย่าง เราไม่รู้ตัวว่าเราต้องแลก หรือเราต้องเสียมันไป แต่มารู้ภายหลังก็เมื่อเสียมันไปแล้วครับ ก็ถ้าจะให้มีการแลกเกิดขึ้น เราก็ควรฉลาดพอที่จะแลกแล้วไม่ขาดทุนนะครับ นี่ไม่ได้ห้ามแลกกับซาตานนะครับ แต่ว่า เตือนไว้ว่ามันเล่ห์เหลี่ยมมากครับ มันค้ากำไรเกินควร เอาสิ่งเล็กน้อยมาให้เรา แต่กลับเอาของที่มีค่ามากๆ จากเราไปครับ ทว่า คนปัจจุบันก็ยังยอมแลกกับซาตานง่ายๆ  นะครับ โดยเฉพาะแลกกับตำแหน่ง, อำนาจ ฯลฯ พวกเขาไม่รู้ว่าต้องสูญเสียอะไรเป็นการแลกเปลี่ยนครับ อย่างเช่น ตำแหน่งนายก แลกกับพี่ชายไหม? อะไรแบบนั้น รู้ตัวอีกทีก็ไม่อาจกลับมาเป็นเหมือนพี่น้องกันได้เหมือนเดิมอีกแล้ว ผมเองก็โดนล่อให้แลกครับ คือ ใจผมก็อยากได้ ก็มีนี่ครับ ธรรมดามนุษย์เราครับ แล้วก็มีคนเอามาให้ เราก็ไม่คิดว่าจะเอาของเขานะ พอรับมาแล้ว ก็เสียบางอย่างไปครับ ชั่วคราว พอเราได้สติ เข้าใจแล้ว กลับไปบำเพ็ญบารมีใหม่ให้แกร่งขึ้น มันกลับมาได้นะครับ อาจเพราะสิ่งที่ซาตานเอามาแลกนั้น มันมีค่าน้อยมากๆ ก็เลยส่งผลกระทบต่อพลังบุญผมให้ลด ได้ไม่มากครับ ผมเลยเสียไปแค่ชั่วขณะเท่านั้นเอง นี่ ผมก็เตือนท่านเอาไว้เป็นอุทาหรณ์นะครับ


สรุป สุดท้ายนี้ ผมอยากแนะนำสั้นๆ ว่า อะไรที่ได้หรือมาตามใจอยาก ไม่ต้องไปรับครับ เพราะมันเริ่มต้นจาก "มโนกรรมปัจจุบัน" ของคุณไปแล้ว ถ้าคุณรับ มโนกรรมปัจจุบันของคุณ ก็สำฤทธิืผล หมายถึงว่าคุณได้ทำมโนกรรมปัจจุบันนั้น ให้เกิดผลกรรมปัจจุบันแล้ว และนั่นคุณจะต้องรอรับผลของมันต่อไปครับ ส่วนอะไรที่มาเองโดยไม่ได้อยากจะได้ อันนั้น ก็ "ยอมๆ รับไปเถอะครับ" เพราะอะไร? เพราะมันเ็ป็นวิบากไงครับ คำว่า วิบาก คือ เราไม่ได้อยากได้, ไม่มีเจตนาจะเอา แต่มันก็ยังมาให้เราอีกครับ แต่พอดูๆ ไปแล้ว มันก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายนี่หว่า? เช่น อาหารที่เราไม่ได้ชอบแต่ดันมีคนเอามาให้เราอยู่นั่น ก็กินๆ ไปเถอะนะครับ นั่นแหละ "วิบากกรรม" มันไม่ได้มาตามใจเราสั่ง ใจเราเจตนา ใจเราทำกรรมปัจจุบันอะไรเลย "มันก็เลยไม่ตรงใจเรา" อย่างไรละครับ ก็ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น "แม่ค้าหนูสั่งข้าวผัดกะเพราะนะ" สักพักยายแกก็เอาข้าวผัดมาให้เฉยเลย เราก็รับไปซะ กินไปเงียบๆ ซะ หุบปากซะ ไม่ต้องไปบ่นอะไรเขา เราไม่ได้ทำกรรมอะไร ทั้งมโนกรรมก็ไม่ไ่ด้อยากจะกิน วจีกรรมก็ไม่ได้สั่งให้ทำซะหน่อย ดันทำให้เราจนได้ นี่ละ ที่เขาเรียกว่า "อาหารเจบริสุทธิ์" จะมีได้เฉพาะผู้มีธรรมถึงระดับเท่านั้น เทพเทวดาเขาจะจัดสรรมาให้เอง ทั้งๆ ที่เราไม่ได้สั่งนี่ละ กินเข้าไป ก็ไม่มีกรรมละ ต่อให้มีเนื้อสัตว์ก็สบายใจได้ นี่ละ "วิถีชีวิตของคนมีบุญ"  อะไรก็ไม่ได้ดั่งใจเล้ย เขาเรียกว่ามีบุญแท้ ใจอยากได้อย่างหนึ่ง ก็ไม่ได้ ไปได้อีกอย่างหนึ่งแทนเรียกว่าทำกรรมไม่ึขึ้น ไม่ได้ตามมโนกรรม นับว่าเป็นผู้มี "ศีลบารมีแก่กล้า" มาแต่หนหลัง ก็เลยทำกรรมไม่ขึ้น นั่นเอง เอาละ บทความฉบับนี้ ขอจบเพียงเท่านี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ ...




วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เมื่อเสียงสวรรค์บอกผมว่า "จงทำให้มนุษย์โลกเป็นสัตว์สังคม"!

ฟังดูแปลกๆ นะครับ ถ้าเราได้ยินเสียงสวรรค์บอกว่า "จงทำให้มนุษย์โลกเป็นสัตว์สังคม" ผมคิดว่าหลายคนก็ต้องแย้งว่า "มนุษย์โลกก็เป็นสัตว์สังคมอยู่แล้วนี่" ใช่ไหมครับ? แต่ถ้าเราเข้าไปดูดีๆ เีราจะพบครับว่า "เหตุปัจจัยต่างๆ กำลังทำให้ทิศทางเปลี่ยนไปครับ" เช่น การที่เรามีเงิน แล้วจะทำอะไรก็ได้ตามกรอบของกฏหมาย บางทีเราก็ไม่ค่อยแคร์ใคร ไม่ค่อยแคร์สังคมหรอกครับ อีกทั้ง "วัตถุปัจจัย" ก็หนุนให้เราเป็น "ปัจเจกชน" มากกว่าเป็นสัตว์สังคมครับ เมื่อประกอบกันแล้วทุกๆ ปัจจัย ทั้ง "วัตถุปัจจัย", "บรรทัดฐานปัจจัย" และ "จิตสำนึกปัจจัย" มันเลยยิ่งทำให้มีปัจจัยมากมาย ที่ขับดันให้มนุษย์โลกกำลังจะกลายเป็น "ปัจเจกชนมากกว่าที่จะเป็นสัตว์สังคม" ครับ โดยเฉพาะ ความเจริญที่มาพร้อม "ทุนนิยม" นี่คือ "ปัจจัยหลัก" เลย ดังนั้น การที่ผมได้ยินเสียงสวรรค์บอกเช่นนี้ "ผมว่าไม่มั่วนา?" มันมีเหตุผลละครับ เพราะถ้ามนุษย์เป็นปัจเจกชนกันมากๆ สังคมโลกก็คงพังทลายอยู่ไม่ได้ เพราะเห็นแก่ตัว ตัวใครตัวมัน กันอย่างไรละครับ ดังนั้น ผมคิดว่าไม่ผิดแน่


ทีนี้ ถามว่า เมื่อได้ยินอย่างนี้หมายความว่า จะทำให้ประเทศไทยเป็น "สังคมนิยม" หรือเปล่า? ผมคิดว่า "ไม่ใช่เลยครับ" ถ้าเราคิดลวกๆ ก็อาจทำงานลวกๆ แล้วทำให้มันเป็นสังคมนิยมไปซะ ง่ายดี ขึ้เกียจคิด ปล่อยให้จีนฮุบประเทศเราไปเลย ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ใช่ไหมครับ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นสิครับ ถ้าเราเป็นคนละัเอียดอ่อนและทำการบ้านต่อก็จะพบว่า "มันไม่จำเป็นต้องเป็นระบอบสังคมนิยมหรือประชาธิปไตย" คือ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับระบบระบอบนะครับ จริงอยู่ว่า ระบอบสังคมนิยมช่วยเราได้มาก ทำให้เราสร้าง "สัตว์สังคม" ได้ง่ายมาก แต่ก็ใช่ว่าไอ้ระบอบเดิมนี่ มันจะทำไม่ได้นะครับ เพราะอย่างที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน คนเริ่มรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน เป็น "สังคมเสื้อแดง", "สังคมเสื้อเหลือง", "สังคมธรรม" ซึ่งแตกแยกออกไปอีกว่า สายไหน, ครูอาจารย์เป็นใคร, หลวงปู่, หลวงพ่อองค์ใด ฯลฯ ไม่เข้ากันอีกครับ ซึ่งก็ไม่เป็นไร ก็เป็นธรรมดาครับที่จะมีหลายกลุ่มก้อนได้ ขอให้เป็นสัตว์สังคม ก็ถือว่าใ้้ช้ได้แล้วระดับที่หนึ่ง ระดับต่อไปคือ "เมื่อมีหลายกลุ่มก้อนแล้ว อยู่ร่วมกันได้หรือไม่? อย่างไร?" เช่น แม้จะตีกันบ้าง แต่ประเทศก็ไม่พังละนะ อันนี้ก็ "โอเค" ไม่ว่ากัน (แต่ผมคงไม่ไปตีกับใครด้วยอะนะ) สรุปก็คือ ณ เวลานี้ เรากำลังเดินเปลี่ยนทิศทาง จากการเร่งพัฒนาแบบทุนนิยม กลายเป็น "ถูกถ่วงความเจริญทางทุนนิยมไว้ก่อน" แล้วหันมาสร้างสิ่งที่เรียกว่า "สัตว์สังคม" แทนอย่างไรละครับ ซึ่ง ผมกำลังดูความเจริญเติบโตของมันว่าสังคมย่อยๆ เหล่านี้ จะเติบโตไปอย่างไร? เหมือนในป่าไหม? ที่มีเสือ, ช้าง, ม้า, วัว ฯลฯ โขลงใคร โขลงมัน แต่ก็อยู่ร่วมกันได้ แม้ว่าจะมีการ "กินกัน, ล่ากัน" ก็ตามที เอาเหอะนะถ้าอยู่ร่วมกันได้ก็นับว่า "ผ่านขั้นที่สอง" ทีนี้ เราก็จะมาดูต่อในรายละเอียดที่ผมอยากจะเรียกว่า "ขั้นที่สาม" ต่อไป ซึ่งเป็นรายละเอียดที่จะตกแต่งสิ่งที่มันเริ่มก่อร่างสร้างตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อนแล้วนี้ ให้สวยสดงมงามอย่างไร?


ซึ่งในขั้นตอนที่สาม ของการตกแต่งรายละเอียดนี้เอง ที่เราจะมีการ "กระทบกระทั่ง" บีบเค้น (ทุกขัง) กันมาก เพราะอะไรครับ? เพราะไม่มีอะไรที่ดีไปกว่า "เพชรตัดเพชร" หรือ "สังคมกระทบสังคม" สะท้อนกันไปมา เพื่อปรับปรุงกันและกันให้ดีขึ้น ให้พัฒนาขึ้นไปอีกแล้ว หากไม่ถึงขั้นตีกันตายหรือประเทศล่มสลาย ก็ไม่ว่ากัน ผมยอมรับได้ แต่ผมไม่ได้ไปทำด้วยอะนะ เพราะผมมีหน้าที่คอยดูแลกระบวนการแกะสลัก (เพชรตัดเพชร) นี้ ก็ดีออกนี่ครับ สังคมคนเสื้อเหลืองว่าคนเสื้อแดง คนเสื้อแดงก็เก็บเอาไปพัฒนาตัวเองได้ ในขณะเดียวกัน สังคมคนเสื้อแดงว่าคนเสื้อเหลือง คนเสื้อเหลืองก็เอาไปพัฒนาตัวเองได้ เช่นกันครับ เพียงแต่ "อย่าขี้โกง" เช่น ตีหัวเขาได้ แต่ห้ามไม่ให้เขาตีหัวตัวเองกลับ อันนี้ "ขี้โกงครับ" ผมไม่นิยมลำเอียงเช่นนั้น เราอยู่ในสังคมที่เปิดกว้าง ไม่ใช่บ้านเรา ที่มีแต่บ่าวไพร่ให้เราสั่งชี้ใช้อย่างไรก็ได้นี่ครับ ดงนั้น เราต้องใจกว้าง แฟร์ๆ หน่อย ถึงเวลาเราเล่นงานเขาได้ "ทีเอ็งข้าไม่ว่า ทีข้าเอ็งอย่าโวย" อะไรประมาณนั้น ชกกันก็ให้มีกฏกติกา อยู่ในเวทีก็ต้องแฟร์ๆ ครับ คนดูเขาจะได้ดูได้นานๆ ไม่เบื่อกันไปเสียหมดก่อนครับ สำหรับบทความนี้ ขอจบเท่านี้ สวัสดีครับ ...


   

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ภัยพิบัติไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าต้องการ ท่านไม่ได้เคลียร์พลังงานเก่าด้วยวิธีนี้?

โอ้ย หม๋ายก้อด นึกมุขไม่ออก ขำไม่ออกน่ะ ตัวเอง จะแปลงร่างเป็นกระเทย ทำมุกแบบตลกคาเฟ่ ก็ไม่มีอารมณ์แบบนั้นอ่า วันนี้ มีแต่ความจริงจังมาก ถึงมากที่สุด เอ้า ช่างมัน ธรรมะ ธรรมชาติ มันเป็นแบบนี้ จะไปฝืนมันเพื่ออะไร? ว่าแล้วเลยไม่มีมุกขำๆ หรือฝืดๆ มาเ่ล่นละครับ เข้าเรื่องจริงจังกันไปเลย วันนี้ ว่าด้วยเรื่อง "ภัยพิบัติ" ว่าไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าต้องการหรอกครับ (ดังนั้น ถ้าใครได้รับสื่อสารมาว่าพระเจ้าต้องการให้มนุษย์โดนแบบนี้ละก็ นั่นแสดงว่า "โดนหลอก" เข้าให้ละครับ) เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราก็เข้าเรื่องกันเลย ดังต่อไปนี้ครับ


มูลเหตุที่มนุษย์้ต้องรับสิ่งที่ไม่ดี ทางพุทธเรียกว่ากรรม ทางพลังจักรวาลเรียกว่า "พลังงานเก่า" ซึ่ง "พระเจ้า" ก็ดี, "พระบิดาจักรวาล" ก็ดี ไม่ได้ต้องการให้มนุษย์โลกเคลียร์กรรมด้วย "ภัยพิบัติ" เลยครับ ดังนั้น คนที่คิดว่ามนุษย์เลว ทำกรรมชั่วมาก สร้างพลังงานเก่าที่ไม่ดีเอาไว้มาก เลยสมควรจะได้รับภัยพิบัตินั้น "คิดผิด" นะครับ ถามว่าผิดอย่างไร? คำตอบคือ "การเคลียร์พลังงานเก่าหรือกรรมเก่าก็ดี" นั้น มันไม่ควรเคลียร์หรือรับแบบ "ภัยพิบัติ" ครับ เพราะมันจะทำให้คนไม่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน เช่น โดนภัยพิบัติตายไปหมดเลย แล้วเขาก็จะไม่ได้เคลียร์กรรม เคลียร์พลังงานเก่าที่ค้างอยู่ระหว่างกันเลยครับ คือ ทุกคนตายเองไปหมด ไม่มีการเคลียร์กรรมหรือสร้างกรรมผูกกันให้เป็น "สัตว์สังคม" นะสิครับ ตายแบบนั้น โอกาสกลายเป็น "ปัจเจก" ก็มีเยอะสิครับ ซึ่งไม่ใช่ประสงค์ของสวรรค์เบื้องบน สิ่งที่สวรรค์ประสงค์คือ ต้องการให้เราเคลียร์กรรม, พลังงานเก่า ด้วยการใช้ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง "มนุษย์ด้วยกัน" นะครับ เพราะนี่คือ วิถีของสัตว์สังคม ไม่ใช่ตายไปโดยไม่เกี่ยวข้องกัน มีพลังงานอะไร มีภัยธรรมชาติมาทำให้ อันนั้น เหมาะกับคนที่เข้าสู่วิธีปัจเจกฯ นะครับ ไม่ใช่วิถีการตายของ "สัตว์สังคม" ครับ ถ้าตายด้วยสงคราม หรือมีสงครามฆ่ากันตาย อันนั้น ไม่แปลกครับ เป็นวิถีกรรมหรือการเคลียร์กรรม ในแบบสัตว์สังคมครับ ต่างคนต่างมีส่วนร่วมทั้งหมดครับ ไม่ใ่ช่รออยู่เฉยๆ ให้อะไรไม่รู้ เอาความตายหมู่มาให้แบบภัยธรรมชาติครับ


ดังนั้น แนวคิดเรื่อง "ภัยพิบัติทางธรรมชาติ" จึงเป็นแึค่ "น้ำจิ้ม" ครับ ให้มาเรียกน้ำย่อย เพื่อเตือนสติให้คนตื่นจากการหลงโลก แล้วหันมาทำิสิ่งที่ควรทำ ตามหน้าที่ของตน อันแตกต่างกันไปครับ เราจะอาศัยภัยธรรมชาิติเหล่านี้ "เป็นตัวหลัก" ในการเคลียร์กรรม, ชำระล้างพลังงานเก่า ไม่ได้หรอกครับ มันจะทำให้ปวงสัตว์กลายเป็นปัจเจกฯ ไปหมด สัตว์จะไม่มีปฏิสัมพันธ์ทางกรรมระหว่างกันเลย เพราะไม่้ต้องมาทำอะไรต่อกันแล้ว ต่างคนต่างตายไปในภัยพิบัติ นั่นไม่ใช่วิถีของสัตว์สังคมครับ แต่มันอาจเกิดขึ้นได้ครับ และเกิดได้มากเมื่อ "มนุษย์โลกเข้าสู่วิถีปัจเจกฯ กันมากขึ้น" แต่ถ้าเราออกจากวิถีปัจเจกฯ แล้วเข้ามาสู่ "วิถีสัตว์สังคม" ให้มากขึ้น ภัยพิับัติก็จะลดลงเองครับ เพราะสวรรค์หรือธรรมชาติก็ดี จะไม่ต้องลงมือเองมาก มนุษย์โลกจะเคลียร์กันเองครับ พลังงานที่รุนแรง ที่ขับเคลื่อนให้เกิดภัยพิบัติ ก็จะไม่ถูกปล่อยให้ขับเคลื่อนโลกอย่างอิสระ จนกลายเป็นพลังขับเคลื่อนโลกให้กลายเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติอีกต่อไป แต่มันจะไหลถ่ายเทเข้ามาสู่ "ตัวมนุษย์" แทนและมันจะขับดันให้มนุษย์ทั้งหลาย กระทำกรรมต่อกัน, เคลียร์หนี้กรรมต่อกัน หรือชำระล้างพลังงานเก่าที่เกี่ยวข้องตกค้างต่อกัน ไปในที่สุดครับ ดังนั้น ถ้าจะบอกว่าสงคราม คือ ธรรมดาของมนุษย์โลกนี้ ก็ใช่ครับ แ่ต่ถ้าจะบอกว่า "ภัยพิบัติทางธรรมชาิติ" คือ สิ่งที่เหมาะสมกับการเคลียร์กรรม หรือพลังงานเก่าของมนุษย์โลกนี้แล้ว นั้น "คงไม่ใช่ครับ" ดังเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นครับ สวัสดี ...