วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2556

เคล็ดลับการฝึกลมปราณแบบ "ไม่หายใจ" จากพระธิเบต

ปกติ พี่ชายไม่่ค่อยเขียนเรื่องวิธีฝึกพลังจิตอะไรมากนัก เพราะไม่ค่อยดี ถ้าใครมาอ่านแล้วไปฝึกเอง ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมา ไม่มีึครูดูแล ก็จะมีปัญหา ลำบาก หาทางแก้ไม่ได้ครับ ก็เลยไม่ค่อยบอกวิธีมากนัก ทั้งที่พี่ชายก็เคยใช้หลายวิธีครับ แต่อย่าไปยึดตัววิธีเลยครับ เน้นเป้าหมายดีกว่าเพราะว่านะ "จิตตรงเป้าหมาย อะไรก็เป็นมรรค" ครับ เคยอ่านมาเรื่องของ "ปรศุราม" ที่เขา้ต้องเลือกระหว่าง "ผล" กับ "มรรค" น่ะครับ สุดท้าย ปรศุรามเลือก "มรรค" เขาเลยมีมรรควิธีในการฝึกจิตมากมาย แต่เขาก็ไม่บรรลุธรรมครับ เพราะเขาไม่ได้เลือกผลอย่างไรละครับ นี่พี่ชายจึงบอกว่าอย่าไปยึดมรรควิธีอะไรมาก ทำๆ แค่พอเป็นพิธี หรือทำปูพื้นฐานไปก็พอ แล้วทำจิตให้ตรงลัด ตัดทางอ้อม ตรงผล บรรลุธรรม ไปเลย ไม่อย่างนั้น จะเหมือนปรศุราม ที่มีมรรคมากมาย แต่ไม่ได้ผลที่จะบรรลุธรรมอะไรเลย เอาละ มาเข้าบทความของเราวันนี้กัน เป็นเรื่องของ "มรรควิธีลับของพระธิเบต" ที่พี่ชายได้มาจากอาจารย์ และนำมาฝึกต่อ จนได้แบบของตัวเองอีกอย่างหนึ่งต่างไปจากเดิม ดังต่อไปนี้


อย่างแรก ผมต้องขอปูพื้นก่อนว่า เรื่องนี้ผมได้มาจากอาจารย์ ซึ่งสอนให้ผมอีกทีท่านได้ไปเรียนรู้มาจากทางธิเบตแล้วจึงได้ถ่ายทอดใ้ห้ผม ท่านบอกว่าเป็นเคล็ดวิชา ท่านพูดเพียงว่า "ลองกลั้นหายใจสิ" เท่านี้ แหละครับ เพราะฉะนั้น ส่วนที่เป็นเคล็ดลับที่ผมได้จากอาจารย์ ซึ่งได้มาจากสายธิเบตอีกที ก็มีเพียงเท่านั้นเอง แต่สิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ เกิดจากการปฏิบัติของผมเอง ซึ่งถ้าท่านไหนไม่แน่ใจ ไม่เชื่อมั่น ก็ไม่ต้องทำตามนะครับ เอาแ่ค่เคล็ดวิชา "ลองกลั้นหายใจดูสิ" ไปคิดเอง ก็แล้วกัน ส่วนผมจะขออนุญาติอธิบายต่อไปถึงการฝึกของผม โดยผมได้ทดลองกลั้นหายใจดู แล้วรู้สึกถึงการเคลื่อนไหลของปราณภายใน ค่อนข้างชัดมากทีเดียว แต่ไม่ได้เคลื่อนไหลตามลมหายใจ ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้ผ่านรูจมูก แต่มันผ่้าน "ทุกรูขุมขน" นะครับ ผมฝึกแ่ค่สั้นๆ ไม่ได้ฝึกแบบทรมานตัวเอง ไม่ได้ทำทุกขกริยาครับ เพราะการทำแบบนั้น ไม่เกิดประโยชน์อะไร ผมเลยกลั้นหายใจเพียงสั้นๆ ไม่ให้มันเป็นอันตรายครับ จากนั้น ผมก็สังเกตุพบการเึคลื่อนของปราณผ่านรูขุมขน  จากนั้น ผมก็สงสัยอีกว่า ถ้าเราจะฝึกมากๆ ให้มากขึ้นจะทำอย่างไร? ก็ทำให้เกิดประกายความคิดขึ้นมาว่า ก็ฝึกระหว่างหายใจสิ คือ เวลาเราหายใจเราก็กลั้นหายใจไป สลับกันอย่างเป็นจังหวะ และอ่อนโยน ไม่ทำทุกขกริยา ทำให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเมื่อเราหายใจเข้าสุดๆ แล้ว ให้เรากลั้นหายใจชั่วครู่ เท่าที่เราพอไหว อย่าฝืน อย่าทำให้ทรมาน สำคัญมากครับ เพราะถ้าฝืนมากเกินไป พลังจิตจะดำได้ ทำแบบผ่อนคลาย สบายๆ เหมือนเรากำลังทำสปาให้ตัวเราเองเลยนะ พอกลั้นหายใจเราก็นึกเหมือนเราหายใจออกตามปกติ แต่ทีนี้ เราจะไม่ออกจากรูจมูก ให้เรานึกว่าออกทางรูขุมขนแทนครับ แผ่ซ่านไป ทั่วทุกรูขุมขนทั่วร่าง แล้วค่อยหายใจออกจริงๆ ทำหลายๆ ครั้ง มันจะรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง โล่งสบาย ภายในครับ จากนั้น ให้หายใจออกสุดๆ แล้วกลั้นหายใจไว้บ้าง ระลึกเหมือนว่าเรากำลังหายใจเข้าตามปกติ แ่ต่ไม่ได้เข้าทางรูจมูก ให้เข้าทางรูขุมขนทั่วร่าง แผ่ซ่านไป เราจะรู้สึกแช่มชื่น จากภายในเหมือนมีพลังธรรมชาติ ไหลเข้ามาครับ เอาละ ทำซ้ำๆ จนรู้สึกดีนะครับ แต่ให้เลือกทำในที่ๆ อากาศดีครับ


อย่างที่สอง ผมจะเริ่มเข้าสู่ระดับสูงขึ้นแล้วนะครับ หลังจากที่คุณได้ทดลองทำแล้ว รู้สึกดี ไปได้ ใช้ได้ คุณก็จะค่อยๆ พัฒนาต่อไปในขั้นสูง ซึ่งในขั้นสูงนี้ เราจะใช้ "จิตนำกาย" และใช้กายให้น้อยที่สุด ใช้กายให้ปกติที่สุด จนเหมือนว่ากายนี้มิได้ฝึก ไม่ได้ทำ ไม่ได้ยึดถือสิ่งที่ฝึกอยู่เลยครับ เอ๊ะ มันเป็นยังไง? ก็อย่างนี้่ครับ ตอนเราฝึกหายใจโดยไม่หายใจไปนั้น เรารู้สึกได้ถึงการเคลื่อนที่ของลมปราณผ่านทุกรูขุมขน ทั้งเข้าและออกใช่ไหมครับ ทีนี้ เราจะหายใจตามปกติ แต่เราจะใช้จิตนี่แหละ นำทางให้ลมปราณเคลื่อนแบบนั้น โดยไม่ต้องกลั้นหายใจเลย คือ หายใจปกติเลย แต่ทำให้รู้สึกเหมือนเราฝึกตอนนั้นละ เอาละ ง่ายดีไหม? ดังนั้น จิตของเราจะไม่รวมที่จมูกนะครับ เราจะรวมที่กลางกาย ที่หัวใจครับ เหมือนมีพระอาทิตย์อยู่ที่ดวงใจ หัวใจของเรา แล้วแผ่รัศมีสว่างออกทั่วทุกรูขุมขน เมื่อเราหายใจออก และพลังธรรมชาติของโลกไหลเข้ามาเมื่อเราหายใจเข้า รวมที่หน้าอก แค่นั้นเอง เอาละ ทีนี้ เมื่อเราฝึกจนชำนาญแล้ว เราก็จะไม่กำหนดสัญญาในใจเรา ให้จดจำหรือระลึกอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปเองตามธรรมชาติ แต่ให้มันเกิดขึ้นเองครับ เช่น เมื่อเราหายใจเข้า เราสัมผัสได้ถึงพลังธรรมชาติรอบตัวไหลเข้ามาที่หัวใจเรา เมื่อเราหายใจออกเราสัมผัสได้ถึงพลังแสงสว่างของเราที่แผ่ไปรอบตัวสู่ธรรมชาติ เราก็จะเหมือนมี "หัวใจดวงเดียวกับโลกหรือจักรวาล" ไงครับ แต่ถ้าเราแย่ เราหมดพลังมากๆ เราก็ใช้่วิธีปั้มพลังเข้าหัวใจเรา โดยกลับไปใช้วิธีที่เราทำได้ดีในขั้นต้นๆ ก็ได้ครับ และ้ถ้าเรารู้สึกอึกอัด พลังแปรปรวน หรือพลังงานไม่ดีอยู่ในตัวเรามาก เราก็ใช้วิธีหายใจออกเพื่อชำระล้างพลังภายในของเราให้สว่างไสวได้ครับ เท่านี้ เราก็จะใช้การหายใจที่ปกติได้ ซึ่งจะแตกต่างจากอานาปานสตินิดหน่อย ตรงที่ว่า อานาปานสตินั้น จิตจะรวมที่ปลายจมูก บางครั้ง เราฝึกจนชำนาญมากๆ จนเรารู้สึกเหมือนไปยืนอยู่ปลายจมูก มีลมพายุพัดโหมเข้ามา แทบตกใจแย่เลยครับ จริงๆ เราจิตเราไปรวม ไปรับรู้ตรงปลายจมูกนั้น เท่านั้นเอง ก็เลยตกใจเหมือนพายุพัดเข้าสู่ตัวเรา หรือบางคนก็รู้สึกถึง "ลมหายใจดับ" ที่เกิดจากการเข้าสมาธิลึก ทำให้ลมหายใจหยุดไปชั่วขณะ แล้วตกใจ นึกว่าจะขาดอากาศหายใจตาย เป็นไปได้เหมือนกันครับ แบบนี้ พี่ชายผ่านมาหมดแล้ว แหะๆๆๆ เลยไม่สนุกละ เปลี่ยนมาเล่นอีกแบบดูมั่ง ซึ่งไม่มีอะไรผิดหรอกครับ แค่เรามีเป้าหมายฝึกพละห้า แล้วมันได้ โดยไม่ทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพของเราตอนฝึก ก็โอเคละ


เอาละ วันนี้ พี่ชายมีเรื่องต้องไปลุย เอ้ย ไม่ช่าย ไปช่วยคนอื่นทางเว็บนิดหน่อย ติดตามสถานการณ์ทั่วไปจะได้ทันเหตุการณ์กะเขามั่งก็เลยมาเร็ว เคลมเร็ว กลับเร็ว จบเร็วอ่ะ พบกันใหม่ฉบับหน้าราตรีสวัสดิ์ครับ




1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ9 ตุลาคม 2556 เวลา 14:18

    หายใจเต็มปอดแล้วไม่หายใจ หรือหายใจออกให้ลมหมดปอดแล้วไม่หายใจอย่างใหนถูกครับ

    ตอบลบ

เม้าท์ด้วยคน