วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ชัยชนะใน "สงครามศักดิสิทธิ์" จะมาด้วยการแสดงแสนยานุภาพแห่งความเป็นอารยชนตามคำสอนของพระศาสดา

อย่างแรก พี่ชายอยากพูดถึง "ความหมายของสงครามศักดิสิทธิ์" เสียก่อน ซึ่งคิดว่าหลายท่านอาจรู้แล้ว หรือเข้าใจว่ารู้ดีมากๆ แล้ว ก็อาจจะถูกครับ แต่อาจจะยังไม่ทั้งหมดก็ได้ ที่แน่ๆ คือ จะมีเกิดขึ้นในยุคนี้ครับ พร้อมๆ กับเรื่อง "การพิพากษา" นั่นแหละครับ หลังจากนั้นจะตามมาด้วย การกำเนิดใหม่ อะไรประมาณนั้น สรุปง่ายๆ คือ สงครามศักดิสิทธิ์ จะเป็นสงครามมหาเทพ เกิดขึ้นในมิติของจิตวิญญาณ แต่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโลกได้ เช่น โลกร้อน, น้ำท่วม, อากาศแปรปรวน ฯลฯ ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้อาวุธมาสู้รบกันโดยตรงครับ ใช้พลังจิตครับ เช่น การสื่อสารทางเว็บนี้ พี่ชายก็ใช้่พลังจิตเช่นกัน สู้กับอะไรบางอย่าง บางที มันก็เล่นพี่ชายเสียแทบเข้าเน็ตไม่ได้เลย จู่ๆ จะใช้เน็ต ก็มีใครก็ไม่รู้ บ้าบอ มาเอ็ดตะโรคุยกันดังลั่น ทั้งๆ ที่ไม่เคยมี ไม่เคยเป็น แต่ดันมาเป็นตอนพี่ชายจะทำงาน อะไรแบบนั้น นี่ไง มันมีอะไรอีกมากมายหลายอย่างครับ ที่ทำให้เรารู้ได้ว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว และทำคนเดียว มีอะไรบางอย่างที่พยายามขัดขวางเราอยู่ด้วย และสิ่งนั้นไม่ธรรมดาครับ เอาละ เข้าเรื่องของเราดีกว่า เป็นเรื่องของสงครามศักดิสิทธิ์โดยตรง ตามข้อมูลที่พี่ชายได้รับนะครับ


อย่างที่สอง พี่ชายอยากพูดถึง "ผู้ก่อความไม่สงบ" ที่สามชายแดนภาคใต้ ซึ่งพี่ชายมองเขาเหมือน "ผู้หญิงที่มีค่าสูง" อย่างไรหรือครับ? เพราะเขาไม่ยอมมอบกาย มอบใจ ให้ใครง่ายๆ ไม่ว่าจะผ่านมากี่สมัยของการปกครอง ถ้าผู้ปกครองประเทศไม่ดีพอ ไม่มีค่ามากพอ พวกเขาก็ไม่ยอมรับ ไม่สนใจ ไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติง่ายๆ พี่ชายชอบแบบนี้ครับ เสป็กพี่ชายเลย พวกผู้หญิงใจง่าย ท้องไปแล้ว ทำแท้งไปแล้วไม่รู้รอบ พี่ชายคงไม่อยากจะรักอ่ะ เปรียบเทียบกับใครอีกหลายคนที่เห็นผู้นำคนนั้น ผู้นำคนนี้ ก็หลงรักเขาได้ง่ายๆ ช่างใจง่ายจริง พี่ชายไม่ชอบเลย อย่างนั้น ใครจะอยากเอามาเป็นภรรยา ใครอยากจะรักละ โอ้ย เดี๋ยวเป็นภรรยาเราแล้ว อาจจะไปหาผัวใหม่อีกหลายผัวก็ได้ ใช่ป๊ะ ดังนั้น พี่ชายจึงว่า "ผู้ก่อความไม่สงบ" เหมือนสาวพรหมจรรย์ใจแข็ง และมีคุณค่ามาก ตรงกับเสป็กของพี่ชายพอดีเลยละ พี่ชายชอบ ฮ่าๆๆ แต่เสียดายไปนิดหนึ่ง พวกเขาตีค่าตัวเองต่ำเกินไป เขาจึงยอมตายง่ายเกินไป เขายอมพลีชีพง่ายเกินไป เขาคิดว่าเพียงแค่ได้พลีชีพเพื่อภารกิจ ก็คือ "คุณค่าสูงสุดแล้ว" แต่พี่ชายมองว่าไม่ใช่ เขามีค่ามากกว่านั้น และชีวิตของพวกเขา ยิ่งมีค่ามากขึ้นทุกวินาทีที่หายใจอยู่บนโลก เพราะพี่ชายเชื่อว่าเขาจะร่วมใจกันพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอนของเขาให้เจริญรุ่งเรือง แสดงแสนยานุภาพแห่งพระศาสดาที่สอนให้พวกเขาเป็นชนชาติที่มีศาสนา มีอารยธรรมไม่ได้เอาชนะกันด้วย "ความป่าเถื่อน" แต่เอาชนะกันด้วย "สงครามศักดิสิทธิ์" และการสู้กับแบบ "วิถีแห่งชนชาติอารยะ" คือ ชนชาติที่พัฒนาแล้ว เช่น การพัฒนาชุมชน, สังคม แข่งกัน ทำให้คนทั้งหลายยอมสยบ ยอมรับในความสามารถทางการเมืองการปกครอง เพราะทำให้ชุมชนของตนได้ยกระดับสูงขึ้น จนเป็นที่ยอมรับแก่คนทั่วไป นั่นแหละ "ชัยชนะั" ของ "ชนชาติที่มีอารยะธรรม ศาสนาเป็นชนชาติที่เจริญแล้ว" ไม่ใช่ชัยชนะของคนป่าเถื่อนที่เอาชนะผู้อื่นได้ด้วยการฆ่าฟัน หรือทำให้ยอมจำนนด้วยการขู่ให้กลัว อันแสดงถึง "คำสอนของพระศาสดา" ที่เหนือชั้นกว่าศาสนาอื่นๆ อย่่างไรละครับ นี่ต่างหาก ชัยชนะในสงครามศักดิสิทธิ์ ดังนั้น พี่ชายจึงไม่อยากเห็นเขาพลีชีพเร็วเกินไป จนไม่อาจได้มีโอกาสร่วมกันสร้างความเจริญให้กับชุมชนของพวกเขาในอนาึคต


อย่างที่สาม พี่ชายเห็นด้วยที่พวกเขาไม่ยอมจำนนต่อใครง่ายๆ เพราะพวกเขาไม่ได้เรื่องจริงๆ พี่ชายก็ไม่ได้มีความศรัทธาอะไรกับคนพวกนี้เลยเหมือนกันแหละ แต่ที่พี่ชายทำอาจจะไม่เหมือนเขานิดหนึ่ง ตรงที่ พี่ชายจะปกป้องรักษาชีวิตตัวเองให้ได้ก่อน พี่ชายเชื่อว่ามันเป็นสิ่งพื้นฐานที่ ถ้าเราทำได้แล้ว เราจะรักษาปกป้องผืนแผ่นดิน, ศาสนา หรือสิ่งอื่นๆ ที่เรารักได้ครับ ดังนั้น เราจึงต้องรักษาชีวิตของเราไว้ให้นานๆ ด้วย ไม่ใช่พลีชีพโดยง่าย ดีครับ พี่ชายชื่นชมที่เขารักศาสนาหรือดินแดนของเขาถึงขนาดยอมพลีชีพ แต่จะต้องไม่พลีชีพไปอย่่างไร้ค่าสิครับ ถ้าืำทำได้ผลมาก อย่างที่ระเบิดตึกเวิล์ดเทรด ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอเมริกาได้ แหม อย่างนั้นคุ้มครับ อย่างนี้ไม่คุ้มเลย พี่ชายเห็นตายกันไปทั้งสองฝ่าย แต่มันยังไม่ได้ผลอะไรมากเลยนะ สู้พวกคนจีนไม่ได้ ไม่ได้พลีชีพ ใช้เงินเข้าไปเล่นในตลาดโลก ทำเอาอเมริกาหน้ามืดได้เหมือนกัน แบบนั้นดีกว่า พี่ชายว่าถ้าจะทำสงครามศักดิสิทธิ์อ่ะนะ เอาให้มันได้ผลมากๆ แล้วรักษาชีวิตไว้ยาวๆ อย่ารีบตายเร็วเกินไป ชีวิตเรายังมีค่า ทำอะไรได้อีกมาก เราต้องเล่นเกมกันอีกยาวครับ อย่าเล่นเกมสั้น มันตายเร็วเกินไป นี่พี่ชายก็สู้อยู่ พี่ชายก็ทำสงครามศักดิสิทธิ์นี้ ร่วมในสงครามนี้ด้วย แต่ไม่ใช่แบบโบราณคร่ำครึ ล้าหลังป่าเถื่อนนะครับ สู้ด้วยปัญญา สู้ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ไงครับ เราต้องสู้ต่อไป และเราต้่องได้รับชัยชนะ มันจะต้องเป็นชัยชนะที่แสดงถึงความมีอารยชนของเราด้วยครับ ไม่เช่นนั้นใครจะมายอมรับเรา เมื่อเราใช้ความป่าเถื่อน และกำลังเขาเอาชนะผู้อื่น? ถ้าเราอยากให้เขายอมรับในเอกราชของเรา เราต้องแสดงถึงความมีอารยธรรมของชนชาติของเรา ของศาสนาของเรา จนทำให้พวกเขายอมจำนนต่อเราให้ได้สิครับ นั่นแหละ พี่ชายจึงจะยอมรับว่านั่นคือ "ชัยชนะอย่างแท้จริง" ในสงครามศักดิสิทธิ์ครั้งยิ่งใหญ่ ครั้งนี้ครับ ถ้าเป็นพี่ชายนะ พี่ชายจะไม่แบ่งแยกดินแดน เพราะอะำไร? เพราุะถ้าแบ่งแยกแล้ว มันจะกลายเป็น "รัฐกันชนเล็กๆ" ที่ไม่มีอะไรคุ้มครองเลย ทหารก็น้อยผู้คนก็น้อย ไม่เอาหรอก โดนมาเลเซียหลอกให้แยกประเทศ แล้วจะถูกกลืนภายหลังน่ะสิ มาเลเซียเขาต้องการปัตตานี เพราะที่นั่นคือ อาณาจักรลังกาสุกะเก่า อันเป็นต้นกำเนิดของชนชาติมลายู ซึ่งเริ่มต้นเป็นพุทธนะครับ มาเปลี่ยนเป็นมุสลิมทีหลัง ถ้าเขากลืนได้ เขาจะฟื้นฟูประวัติศาสตร์ ถึงตอนนั้นจะขัดแย้งกับมุสลิมต่อ (ประวัติศาสตร์เก่าเป็นพุทธมาก่อนไงครับ) ดังนั้น การแบ่งแยกเป็นรัฐเล็กๆ มันไม่รอดหรอก ถ้าจะให้ดีต้อง "ตั้งตัวเป็นเมืองหลวง" สิครับ เพราะถ้าได้เป็นเมืองหลวงของไทย ก็จะได้ทั้งภาษีทั้งประเทศมาบริหารและได้กองทัพทุกกองทัพมาอยู่ในมือ แค่นั้น ความมั่นคงเกิดแน่นอนครับ 555 จริงไหม? จะเป็นเอกราชทั้งที จะตัดตัวเองให้เล็กทำไม เป็นหัวมังกรไปเลย ทั้งตัวตัวใหญ่ๆ นั่นแหละ ถึงจะอยู่รอดได้ ใช่ไหมละครับ


เอาละ เม้าท์มายาวมากเลย เกรงจะเครียดกันไปเสียก่อน อย่าคิดมากเด้อ เม้าท์ให้ฟังเล่นๆ และจบลงเพียงเท่านี้ก็แล้่วกันครับ อรุณสวัสดิ์  




วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เคล็ดลับในการถ่ายเท แลกเปลี่ยน พลังงานเชิงซ้อนสามชั้นในตัวมนุษย์

วันนี้พี่ชายรักชาติไปทำหน้าที่ผู้บริโภคที่ดีมา เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อวานก่อนลองเข้าไปหาข้าวราดแกงราคาถูกกินดู เออ ก็หาได้นะ ราคาจานละ 15 บาท วันต่อมาซื้อไ้ด้ 10 ได้กับหนึ่งอย่าง มีข้าวพอควรไม่น้อยเกินไป ขายที่โรงอาหารโรงเรียนประถมน่ะครับ นี่ถ้าพี่ชายไม่ลองทำตัวเป็นผู้บริโภคเสียเอง ก็คงไม่ทราบนะครับว่า ยุคนี้เราต้องเจอกับปัญหาเศรษฐกิจหนักแค่ไหนกัน? เอาละ มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า วันนี้เรื่องพลังงานในตัวเราที่สามารถโยกย้ายถ่ายเทได้ หมายความว่า แม้เราจะมีพลังมากแต่ก็เสียไปได้ครับ ดังต่อไปนี้ครับ

อย่างแรก พี่ชายอยากจะปูพื้นฐานง่ายๆ เกี่ยวกับพลังงานในตัวมนุษย์ แบบพลังเชิงซ้อน ขอจำแนกออกเป็น ๓ ระดับง่ายๆ ก็แ้ล้วกัน ได้แก่

๑. พลังชีพพื้นฐาน คือ พลังชีพที่ทุกคนมีอยู่เป็นพื้นฐาน แต่อาจต่างกันในรายละเอียด เช่น ความมากน้อย, สมดุล, คุณภาพของพลังชีพชนิดต่างๆ เช่น พลังเอี๊ยง, พลังกุณฑาลินี, พลังฟื้นสภาพ ฯลฯ

๒. พลังแฝง คือ พลังงานที่ไม่ใช่พลังชีพพื้นฐานของมนุษย์ แต่แฝงอยู่ร่วมในตัวมนุษย์เสริมให้มนุษย์คนนั้นมีพลังมากขึ้นได้ ซึ่งพลังแฝงเหล่านี้ มีทั้งพลังด้านสว่างและด้านมืด ส่งผลทั้งดีและไม่ดีได้ทั้งสิ้น

๓. พลังระดับสูง คือ พลังงานที่อยู่นอกตัวมนุษย์ ไม่ใช่ของตัวตนนั้นๆ โดยตรงแต่เชื่อมโยงถึงกัน ซึ่งพลังงานนี้เชื่อมโยงมาจากตัวตนในชั้นที่สูงขึ้น ตัวตนภาคสว่าง หรือเทพเบื้องบน เป็นต้น ซึ่งเป็นพลังที่ดี

พลังทั้งสามระดับมีความเหนียวแน่นกับแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน โดยพลังชั้นที่หลวมที่สุด คือ "พลังงานระดับสูง" ที่มาจากเทพคุ้มครองเราเป็นต้น คำว่า หลวม หมายถึง สูญเสียได้ง่ายที่สุดครับ เช่น ถ้าใจเราเป๋ไปทางมารแล้ว เราก็สูญเสียพลังเชื่อมโยงกับเทพที่คุ้มครองเราได้ครับ และคนอื่นอาจรับสายสัญญาณนั้นไปแทนเราได้ พลังงานที่สูญเสียง่ายระดับสอง รองลงไปคือ "พลังแฝง" ซึ่งส่วนใหญ่มาจากพลังงานที่ไม่ค่อยดีนัก และอยู่ภาคพื้นดินเป็นสำคัญ (พลังที่มาจากภาึคพื้นดิน มีทั้ง ๑. พลังธรรมชาติ ซึ่งค่อนข้างบริสุทธิ์และดี ๒. พลังจากภพมืด ซึ่งไม่ค่อยดีนัก และไม่ค่อยสะอาด) พลังแฝงนี้ สูญเสียได้ง่ายรองลงไป และพลังที่สูญเสียยากที่สุด คือ "พลังชีพพื้นฐาน" ซึ่งถ้าสูญเสียมากเกินไป อาจส่งผลให้ป่วยหรือตายได้เลยครับ อนึ่ง เราต้องไม่ลืมกฏธรรมชาติข้อที่ว่า ไม่มีอะไรเที่ยง และไม่อาจยึดตัวตนของตนได้เสมอไป ด้วยนะครับ นั่นหมายความว่าพลังงานของเราไม่ว่าระดับใด ก็ไม่เที่ยง และไม่อาจยึดเป็นของเราได้ตลอดไปหรอกนะครับ เพื่อให้ท่านเข้าใจมากขึ้น ผมขอยกตัวอย่างคนที่สามารถดูดซับพลังจากตัวมนุษย์ด้วยกันได้ ให้ท่านเข้าใจมากขึ้นก็แล้วกัน เช่น ในผู้ที่มีพลังดูดซับระดับ "ปราณภูติอุดร" ปกติจะดูดซับได้ทั้งสามระดับถ้าเขาไม่โหดเกินไป เขาจะดูดซับพลังแ่ค่ระดับที่สาม (พลังงานระดับสูงหรือพลังเทพคุ้มครอง) ซึ่งส่งผลให้เราไม่ถึงกับตาย แต่ไม่มีพลังเทพคุ้มครองเราเท่านั้น เราจะเสี่ยงต่อการถูกมารครอบงำได้ง่ายๆ ครับ ในผู้ที่มีพลังดูดซับระดับพลัง "เก้าอิม" จะดูดซับพลังแฝง พลังธรรมชาติ  ได้ ปกติจะไม่ดูดซับพลังจากมนุษย์ เขาจะดูดซับพลังจากธรรมชาติครับ โดยเฉพาะพลังเย็นจากพวกหินแร่ ทำให้ลมปราณมีลักษณะแข็งเย็น (ที่เรียกว่า "อิม") ส่วนผู้มีพลังดูดซับระดับ "มหาเวทย์ดูดดาว" ก็จะดูดซับพลังชีพคนอื่นเป็นสำคัญ ซึ่งนับว่าค่อนข้างโหดที่สุดครับ


อย่างที่สอง พี่ชายอยากเม้าท์ให้ฟังเรื่องทำอย่างไร เมื่อเราทราบว่าพลังงานไม่เที่ยง ไม่อาจยึดเป็นตัวตนของตน และบางทีอาจมีคนที่มีพลังดูดซับพลังจากมนุษย์ด้วยกันได้อยู่? ก็ไม่ต้องตกใจหรือแตกตื่นไปครับ บางคนก็เลี่ยงที่จะพูดคุย, สนทนา ฯลฯ กับคนๆ นั้นไป ทว่า ก็ไม่ใช่ว่าจะรอด เพราะเขามีวิธีหลากหลายในการดูดซับพลังครับ เช่น มองตา, จับมือ, ดูรูปของเรา, คิดถึงเรา ฯลฯ โอ้ยแล้วแต่ความสามารถจะทำได้ อย่างอ่านงานเขียนของเรานี่ เขาก็ดูดซับพลังเราไปได้ครับ พี่ชายไม่หวงเลย ทุกวัน พี่ชายก็หมดแรง 555 ไม่ใช่ไม่โดนหรอกครับ โดนตลอดแหละ หมดแรงไปเฉยๆ ยังกะจะตาย จะสลบไปเลย หลับไปเลย แต่ไม่ใ่ช่ปัญหาครับ ถ้าเราเข้าใจหลักการของพลังงานและความไม่เที่ยง ไปแล้วก็มาได้ หมดแล้วก็เพิ่มพูนใหม่ได้ ลองดูหลวงจีนกวาดลานสิ โดนดูดพลังไปเท่าไร? ไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะคนที่เขาฝึกมาเพื่อ "ให้" โดยเฉพาะก็มี กล่าวคือยิ่งเขาให้ ยิ่งเขาถ่ายทอด พลังภายในของเขาก็ยิ่งเพิ่มพูน ไต่ระดับสูงขึ้นได้เรื่อยๆ ครับ แต่เราก็ต้องเข้าใจตัวเราเองในเวลาที่เราหมดแรง หมดพลังด้วย ว่าเราควรจะทำอย่างไร? ดังนั้น ปัญหาจึงไม่ใช่เรื่องโดนดูดพลังแล้ว แต่มันเป็นเรื่องของการเข้าใจความไม่เที่ยง, ไม่ใช่ตัวตนของตน ของพลังงานต่างๆ มากกว่า เช่น เราเข้าใจหรือยังว่าพลังของเรา เมื่อไหลออกไปแล้ว มันก็ไหลมาได้ หมดแล้ว ก็เพิ่มใหม่ได้ ฯลฯ ได้อย่างไร? นั่นละ ถ้าปัญญาแ้จ้ง เข้าใจได้ มันก็หมดปัญหา พลังงานของเราจะโยกย้าย ถ่ายเท ไปไหน เข้าหรือออก อย่างไร ไม่ต้องกลัวอีกละ สบายๆ ยิ่งไปกว่านั้น จะรู้จักการ "ให้" และการ "รับ" ด้วย เช่น รู้ว่าเราควรให้พลังใดแก่ผู้ใด เราควรรับพลังงานใด จากใคร เป็นต้น พี่ชายได้พลังระดับชั้นสูงๆ จากคนหลายคนเลย เป็นพลังเทพเบื้องบน คุยๆ กับใครแล้วเขาก็ไม่เข้าใจสิ่งที่เทพประจำตัวเขา พยายามสื่อกับเขา แต่พี่ชายกลับเป็นคนรับรู้ได้แทนเขาเสียอย่างนั้น บางครั้งได้รับรู้แล้วก็ทำตัวเป็นสะพาน บอกเขาด้วยภาษามนุษย์ทางอ้อมๆ ไป ช่วยเทพในการสื่อให้เจ้าตัวได้รู้เรื่องที่เทพประจำตัวเขาต้องการจะบอกเขา ก็เท่านั้นเอง


สรุป คือ พลังงานจะมีหรือหมดไม่ใช่ปัญหา ตราบเท่าที่ยังไม่ถึงที่ตาย พลังงานใหม่มาได้ครับ หมดแล้วหมดไป ของใหม่ก็มาเอง สำคัญอยู่ที่ว่่า "ขณะพลังผ่านมาทางเรา" เราได้ใช้่พลังนั้นทำอะไร? หรือก็แค่เอามันไว้เฉยๆ ให้ภูมิใจเล่นไปอย่างนั้น (พลังดีๆ นะ) แต่พอพลังงานไม่ดีผ่านปั๊บ ก็ไม่อยู่เฉยละ ทำมันเลย อ้าว เป็นงั้นไป ทีนี้ มันก็ขับดันเราให้ทำแต่สิ่งไม่ดี สิ่งดีๆ ไม่ยอมทำอ่ะสิ? เอาละ ให้เราจินตนาการอย่างนี้ เราล้วนเหมือนกับ "หญ้าต้องลม" พลังงานรอบตัวเราเหมือนกับลม พัดเราไป ทางดีบ้าง ทางเลวบ้าง ทีนี้ เราจะไหลตามลมไหนไปละ? ถ้าเราไหลไปตามลมไหน ลมนั้นก็จะไหลมาสู่เราเรื่อยๆ อ่ะนะ แปลกดี อันนี้ ไม่เหมือนหญ้า เป็นเรื่อง "กฏของการจูนกันทางพลัง" อ่ะ มนุษย์นี่แปลก เหมือนภาชนะว่างเปล่่า จะเป็นอะไร หรือเป็นเครื่องรองรับอะไรก็ได้แล้วแต่ "จิต" และ "พฤติกรรม" อะไรที่ประพฤติซ้ำๆ ก็จะเหนี่ยวนำเอาพลังเช่นนั้นมาสู่ัตัวเรื่อยๆ เอง เอาละ เม้าท์มายาวละ เดี๋ยวน้องๆ หนูๆ จะง่วงเกินไป เห็นทีต้องลาก่อน ราตรีสวัสดิ์ครับ ...




วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รักข้ามภพและการพลิกกลับของมิติครั้งใหญ่ ปีศาจจะกลายเป็นมนุษย์!

มีเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่งในชีวิตของพี่ชาย คือ พี่ชายมีความรักที่ไม่เหมือนคนทั่วไป เดิมทีพี่ชายก็ปกติ แต่แล้วก็ถูกสถานการณ์บางอย่างบีบให้แปลกไปเรื่อยๆ จนในที่สุด พี่ชายก็ถูกคนให้พี่ชายสัญญาอะไร บางอย่าง ส่งผลให้พี่ชายมีแฟนเป็นคนไม่ได้ นี่เป็นปีที่ ๗ ของสัญญาแล้ว ยิ่งกว่านั้นพี่ชายก็ถูกบีบให้ต้องแต่งงานด้วย พี่ชายต้องแต่งงานกับป้ายวิญญาณ แต่พี่ชายก็ไม่เสียใจ เพราะเชื่อว่าทุกอย่างมีเหตุผลในตัวมันเอง เมื่อวานไปเซเว่น มีผู้หญิงคนหนึ่งน่ารักเหมือนตุ๊กตาหมี ให้อั่งเปาพี่ชายมา ไม่รู้จักกันหรอก แค่อยากให้ เขาก็ให้น่ะครับ ไม่คิดอะไรมาก และไม่คิดเป็นอื่น การได้ให้ ก็เป็นสุขแล้ว แค่นั้นเอง เอาละ เม้าท์นอกเรื่องพอเป็นพิธีออกแขกแบบลิเกไทย มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า วันนี้เป็นเรื่องของการพลิกกลับมิติสองมิติ ซึ่งมันซับซ้อนมาก แต่จะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ นะครับ ถ้าพร้อมแล้วก็เชิญทัศนาได้เลย


อย่างแรกที่พี่ชายอยากบอกเป็นเบื้องต้นคือ หลังกึ่งกลางพุทธกาลนี้ พุทธบริษัทหมดสิ้นแล้วจะมีก็แต่สัตว์สี่เหล่าใหญ่ที่ไม่ใช่มนุษย์ ได้แก่ ยักษ์, มาร, เทพ, พรหม เข้ามาดูแลพระพุทธศาสนาแทน และพวกเขาก็จะได้นิพพานในท้ายที่สุดด้วย พี่ชายอยากเตือนซ้ำๆ และพี่ชายได้บอกเรื่องนี้แล้วซ้ำๆ เื่พราะอะไร? เพราะมันสำคัญมากทีเดียว อย่างไรหรือ? คืออย่างนี้ สามภพนี้ต้องมีสมดุล สัตว์ทั้งสามภพจะมีปริมาณที่สมดุล ไม่มากไม่น้อยเกินไป ในแต่ละภพ ทั้งโลกมนุษย์, นรก และสวรรค์ ทว่า หลังกึ่งกลางพุทธกาลนี้ เนื่องจากเป็นวาระที่อมนุษย์ทั้งสี่เหล่าใหญ่จะมาค้ำจุนพระพุทธศาสนา และพวกเขาไม่อาจกระทำได้ ถ้าไม่มีสังขารแห่งมนุษย์ เพราะพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าทรงสร้างไว้ในโลกมนุษย์ พวกเขาจึงต้อง "กลับมิติ" จากมิติทิพย์มาเป็นมนุษย์ด้วยการกำเนิดใหม่ และส่งผลให้มนุษย์จำนวนมาก จะต้องไปแทนที่พวกเขา คือ "กลับเ็ป็นอมุนษย์" การแทนที่กันนี้เป็นไปตามกฏของดุลยภาพของสามภพ สรุปง่ายๆ คือ อมนุษย์จะได้กำเนิดใหม่เป็นมนุษย์ ส่วนมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่งจะต้องกลายเป็นอมนุษย์แทน พี่ชายจึงเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "การพลิกกลับของมิติครั้งใหญ่" อันเป็นไปเพื่อให้ "สัจจะ" ทั้งหลายที่ติดค้างกันอยู่ได้ชำระ หมดสิ้นไป เมื่อได้ทำกิจตามสัจจะนั้นแล้ว ทุกท่านที่ถูกผูกมัดกันด้วยสัจจะ ก็จะได้รับการปลดปล่อย หลุดพ้นจากพันธนาการ และได้นิพพานได้ในที่สุด นั่นเอง ซึ่งพี่ชายเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ "ติดอยู่ในสัจจะ" หลายชาติภพนั้น มันเป็นสัจจะในเรื่องของความรักและการแต่่งงานครับ พี่ชายมีสัจจะกับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ทำให้ต้องมาทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งในการพลิกมิติครั้งนี้ แต่การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดจะเป็นไปอย่างแนบเนียน จนตาเนื้อของมนุษย์ดูไม่ออก เฉพาะนักปฏิบัติธรรมขั้นสูงจริงๆ เท่านั้นครับ จึงจะดูออก (ขนาดมีตาทิพย์แล้วยังโดนหลอกเลย) โปรดอย่า่ถามว่าพี่ชายเป็นใครเมื่อในอดีต และโปรดอย่าถามว่าในอดีตพี่ชายเคยรักใคร 555 ขอร้องเป็นเพลงสักหน่อยครับ อย่าคิดมากครับ จะได้ไม่เครียดเกินไป 


อย่างที่สอง อาจมีคนคิดว่าอย่างนี้ ไม่เป็นการโหดร้ายหรืออยุติธรรมต่อมนุษย์หรอกหรือ? ที่ปล่อยให้มนุษย์ไปเป็นปีศาจแทนที่เหล่าปีศาจเหล่านั้น คำตอบคือ ไม่มีใครบังคับใครนะครับ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับการเลือกของคนทุกคนเอง เช่น มีอำนาจกองอยู่ ไม่มีใครเอา บางคนก็รีบแย่งฉวยคว้าเอา เมื่อเขาได้อำนาจเกินตัว ได้บุญเกินตัว เสวยบุญเกินตัว เขาก็หมดบุญที่จะได้เป็นมนุษย์ จิตวิญญาณหลุดจรจากร่างไปเป็นปีศาจในอีกมิติหนึ่ง ร่างสังขารที่เหลือก็จะตกเป็นของปีศาจที่จะมาบำเพ็ญธรรม ค้ำจุนพระพุทธศาสนาครับ แต่ถ้าเขาพอใจในความเป็นมนุษย์ธรรมดาพื้นๆ เรียบง่าย ไม่มีอะไรพิเศษมาก เขาก็จะรอดพ้นไปครับ ดังนั้น พี่ชายจึงอยากเตือนซ้ำๆ อีกครั้งด้วยความหวังดีว่าอย่าไปหลงอะไรทางโลกในยุึคนี้มาก "มันเกินตัว เิกินบุญ" โอเึค แรกๆ เราก็มีบุญเสวยมันได้ละ เราไม่ทันสังเกตุเห็นความผิดปกติอะไร แต่พอมีความเพลิดเพลินจนหลงไปแล้วไม่่ต่างอะไรกับชูชก มันก็จะเริ่มออกฤทธิ์นะครับ คือ เมื่อบุญเราหมด แต่เราลงจากอำนาจหรือตำแหน่งก็ไม่ได้ เรายังต้องทำต่อไปเพื่อไม่ให้ทุกอย่างสลายกลายเป็นศูนย์หรือตกอยู่ในมือคนอื่น ตอนนี้ละ เราไม่มีบุญเหลือแล้ว เราจะเริ่ม "ติดหนี้่" ครับ เราจะติดหนี้ภาคมืดและต้องแลกด้วย "จิตวิญญาณ" ทำให้ความเป็นมนุษย์ของเราลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดสิ้นไป ไม่เหลือเลย ซึ่งถ้าใครตกอยู่ในภาวะเช่นนี้ ก็จะไม่ได้ผุดได้เกิดอีก และไม่ได้นิพพานด้วย จะไปอยู่ในภพมืดครับ (ในไตรปิฎกเรียกภพมืดนี้ว่าอันตรภพ ซึ่งหลายท่านบอกว่ามันไม่ใช่ภพที่ถูกต้อง แต่มันก็มีอยู่จริงๆ ครับ) ดังนั้น หากไม่อยากตกอยู่ในสภาพนั้น ก็อย่าถลำลึกลงไปในวังวนของการบริโภคมากเกินตัวเลยครับ แต่มันก็ดีกับคนที่อัตตามากๆ สอนยาก มีบุญเยอะ ต้องตัดรอนบุญให้หมดเกลี้ยงตัวก่อน จะได้หมดความถือตัวถือตนครับ เขาวางระบบไว้อย่างนี้ ให้ตกลงสู่ภพมืด ทรมานเกือบสองพันปี ถึงจะได้เห็นแสงสว่าง จิตตรงนิพพานแล้ว เขาจะมาโปรดทีหลัง ถ้าใครอยากได้นิพพานแบบนี้ ก็เอาครับ ไม่ได้ห้ามเช่นกัน แต่พี่ชายไม่เอา พี่ชายมีวิถีเข้าินิพพานแบบ "สุขวิปัสโก" ไม่ใช่ทุกข์แบบนี้อ่ะ


สรุปง่ายๆ คือ อมนุษย์สี่เหล่าใหญ่ที่ทำหน้าที่ดูแลพระพุทธศาสนามานานแล้วก็จะได้รับการโปรดให้ "กำเนิดใหม่เป็นมนุษย์" ส่วนมนุษย์ที่หลงโลกมากๆ ก็จะหมดโอกาส หมดบุญที่จะได้เกิดอีกในสามภพ จะต้องตกลงสู่ภพมืดของซาตาน ทุกข์ทรมานประมาณสองพันปีมนุษย์ก็จะได้รับการโปรดให้ได้นิพพานได้ การสลับกันแบบนี้ทำให้เกิดสมดุลของจำนวนสัตว์ในสามภพ นั่นเอง ในกระบวนการนี้ มีลูซิเฟอร์ดูแลในภพมืดด้วย มีพี่ชายช่วยฉุดพวกที่มาจากภพมืดให้ได้เป็นมนุษย์ จากนี้ไปก็จะมีอีกหลายท่านนำพามนุษย์เหล่านั้นตรงสู่พระพุทธองค์ จึงจะได้นิพพานในลำดับต่อไป หน้าที่ที่สำคัญมากมีอยู่ ๒ จุด ซึ่งยากมากครับ คือ ๑. จุดที่อมนุษย์จะได้เป็นมนุษย์ และ ๒. จุดที่มนุษย์จะได้รับธรรมจากพระพุทธองค์ ที่ไม่มีัขันธ์ห้าแล้ว บางครั้ง พี่ชายก็ไปช่วยตรงจุดที่ ๒ แต่ขอบอกว่ามันเงียบมากเลยครับ นั่งรอ นอนรอ รอแล้วรออีก ก็แทบหาคนมาถึงไม่ค่อยได้เลย 555 เอาละ พี่ชายเลยต้องโดดลงมาอยู่ตรงตำแหน่งที่ ๑ ช่วยให้ปีศาจ-อมนุษย์ได้เป็นมนุษย์ส่วนลูซิเฟอร์ ก็จะเอามนุษย์ไปเป็นปีศาจ เป็นบริวารของเขาในภพมืดครับ จึงสมดุลแบบนี้เอง เอาละ เม้าท์มายาวมากเลย เด็กๆ จะงงกันเอา เอาไว้ต่อในบทความหน้าก็แล้วกันนะ จะได้ไม่มึน สำหรับวันนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ ...



วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อี้จิงหยินหยางที่ทำให้คุณสมบูรณ์เป็นมหาบุรุษเพศโดยไม่จำเป็นต้องง้อคู่

นึกขึ้นได้ว่ามีคนเคยปรึกษาพี่ชายว่า ไปรักไปชอบคนอื่น แล้วถูกเขาหลอกเอา ต้องอกหักเสียใจบ่อยครั้ง พี่ชายอยากแนะนำครับว่า ให้ๆ ไปเถอะครับ มีความสุขกับการที่เราได้ทำเพื่อคนที่เรารู้สึกดี ก็พอแล้ว เขาจะทำอะไรตอบกลับเรามาหรือไม่ ก็ไม่ต้องไปสนใจตรงนั้น อย่าเอาหัวใจและความสุขของเราไปขึ้นอยู่กับใคร แล้วเห็นคนไหนดูดี ดูน่ารัก อยากรักก็รักเลย อยากทำอะไรดีๆ ให้เขา เขาโอเค เขารับได้ ก็ให้ไปครับ ไม่ต้องเสียดาย ไม่ต้องหวังอะไรกลับมาก็ได้ เรียกว่าการกระจายรายได้ ก็ได้ครับ ใครที่รวยแล้ว ก็ให้ซะบ้าง เด็กๆ หน้าตาดีๆ ชอบเขา พอใจเขา ก็ให้ได้ครับ มันเรื่องของเรา เราจะให้ใคร ให้แล้วมีความสุข พอละ จบละ ไม่มีเหตุผล ไม่ใช่ฟีลลิ่งครับ 555 แหม ลืมบอก ไปคนที่มาปรึกษาพี่ชายว่ามักอกหัก ถูกเขาหลอกนี่ พี่ชายระลึกได้ว่าอดีตชาติเขาเป็นผู้หญิงสวยมากๆ เลย พี่ชายส่งเขาไปเมืองๆ หนึ่งไปหลอกเจ้าเมืองให้หลงอ่ะครับ ชาตินี้เขาเกิดมาเป็นเกย์อ่ะ แล้วหน้าตาไม่เป็นพิมพ์นิยมเกย์เท่าไร เหมือนผู้หญิงไปหน่อย แต่พี่ชายก็สงสาร เพราะเขาเป็นคนดีครับ จิตใจดี เลยต้องทำหน้าที่เป็นเพื่อน รับฟังเขามาระบายความในใจอยู่ช่วงหนึ่ง เยอะมากๆ เลย แต่ก็ไม่เป็นไรครับ พี่ชายยินดีฟังเพื่อนบ่นครับ 555 อย่าไปคิดอะไรมาก เรื่องจริงป่าวก็ไม่รู้ ใครจะไปบอกเราได้ว่าที่เราระลึกได้นี่มันจริงอ่ะป่าวละ จริงไหม มาๆ เข้าเรื่องของเราดีกว่า บทความวันนี้เป็นเรื่องของพลังหยินหยางที่อยู่ในระบบอี้จิงอีกที เรียกว่า อี้จิงหยินหยาง เพื่อความสมบูรณ์แห่งความเป็นมหาบุรุษเพศ อันเป็นเพศดั้งเดิมแท้ก่อนจะเสื่อมลง แล้วแยกเป็นเพศหญิงและเพศชาย รายละเอียดเป็นอย่างไร ลองอ่านดูแล้วกันครับ  


อย่างแรก อย่าเพิ่งคิดว่าพี่ชายเ็ป็นเจ้าลัทธิเพศที่สามละ มันไม่ใช่เพศที่สามอย่างแน่นอนครับ เพราะเราไม่ได้เสื่อมลงทางเพศ แต่เรากำลังเจริญขึ้นต่างหาก กล่าวคือ เริ่มเดิมทีนั้น มนุษย์มีแต่ "มหาบุรุษเพศ" นะครับ อันเป็นเพศเดียวกับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงและพุทธะทั้งหลาย ทว่่า ต่อมาเกิืดความเสื่อมทางพันธุกรรมขึ้น ทำให้มนุษย์แยกเป็นเพศหญิงและเพศชาย และต้องกำเนิดผ่านกาม ไม่อาจกำเนิดด้วยวิธี "โอปปาติกะกำเนิด" ได้ดังเดิมอีก โอ้ว ว้าว บรรพบุรุษของมนุษย์นี่ ไม่ธรรมดานะครับ กำเนิดได้เองไม่ผ่านการมีกาม เป็นการกำเนิดที่บริสุทธิ์อันเป็นไปเช่นเดียวกันกับการกำเนิดของพุทธะทั้งหลาย และพระเยซูก็เป็นเช่นนี้ครับ โอเค? ดังนั้น พี่ชายจึงได้นำมาเม้าท์เรื่องนี้ให้ฟังกันโดยเฉพาะเลย คือ "มหาบุรุษเพศ" ที่ไม่ใช่เพศชายและเพศหญิง และยิ่งไม่ใช่เพศที่สาม, เกย์, ไบ, เลสเบี้่ยน, ทอม หรือกระเทย แต่อย่างใดเลย ซึ่งมหาบุรุษเพศทั้งหลาย ล้วนสามารถดำรงอยู่ได้บนโลกนี้โดยไม่ต้องมีคู่นะครับ เช่น พระพุทธเจ้า ก็ไม่ต้องมีพระพุทธเจ้าหญิงมาคู่ด้วยน่ะ โอเคมั้ย และเราทั้งหลายก็สามารถไปถึงความเป็นมหาบุรุษเพศ อันเป็นเพศดั้งเดิมของเราทุกคนได้ครับ แม้ว่าผู้หญิงจะมีกรรมทำให้มีสังขารเป็นสตรีเพศก็ตาม แต่ในระดับจิตวิญญาณก็สามารถที่จะเข้าถึงซึ่งความเป็นมหาบุรุษเพศได้ และเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นอีก พี่ชายจะยกตัวอย่่างครับว่ายังมีท่านที่มีความเป็นมหาบุรุษเพศอยู่ แต่ยังไม่ใช่พุทธะก็มี เช่น พระโพธิสัตว์ทั้งหลายนะครับ แต่สำหรับระดับชั้นของพรหมฤษี เช่น พระนารายณ์, พระพรหม, พระศิวะ นี่ ยังมีความเป็นเพศชายอยู่ครับ ส่วน "เซียน" เป็นมหาบุรุษเพศเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องมีคู่ อนึ่ง ท่านที่เข้าถึงความเป็นมหาบุรุษเพศแล้ว จะแต่งงานมีคู่ หรือไม่มีคู่ก็ได้ืทั้งนั้นครับ ไม่มีปัญหาแต่อย่างใดเลย แต่สำหรับท่านที่ยังไม่ถึงซึ่งความเป็นมหาบุรุษเพศ จะไม่อาจอยู่คนเดียวได้ สุดท้าย ก็ต้องแต่งงานมีคู่ครับ หรือถ้าไม่แต่งงานก็ต้องมีแฟนไปเรื่อยๆ อยู่เป็นโสดไม่ได้หรอกครับ ธรรมชาติแห่งเพศนั้นๆ มันไม่เอื้ออำนวยอ่ะครับ


อย่างที่สอง คือ วิธีที่จะทำให้ท่านสามารถพัฒนาตัวเองไปสู่ความเป็น "มหาบรุษเำพศ" ให้ได้ ซึ่งตอนนี้ พ่อและแม่ของพี่ชาย ก็ได้เข้าถึงกันหมดทั้งคู่แล้ว พ่อกับแม่ไม่จำเป็นต้องนอนมุ้งเดียวกัน แยกกันนอนน่ะครับ ทุกวันแม่จะนอนไปเปิดวิทยุฟังธรรมไป ถ้านอนคู่กัน ทำไม่ได้อ่ะครับ ส่วนพ่อ เมื่อก่อนพ่อจะปรับตัวนอนคนเดียวได้ยาก ขี้กลัวบ้าง คิดเยอะ นอนไม่ค่อยหลับบ้าง แต่เดี๋ยวนี้พ่อก็ทำได้แล้ว ไม่ได้บังคับนะครับ เป็นไปเองตามธรรมชาติ ทั้งสองคนไม่มีปัญหาถ้าจะต้องอยู่คนเดียวอ่ะครับ สบายใจได้ พร้อมกับอนิจจังทุกสิ่งละ ทีนี้ เราก็มาดูกันนะครับว่าวิธีใดที่ช่วยทำให้เราพัฒนาตัวเองไปสู่ความเป็นมหาบุรุษเพศได้ พี่ชายคิดว่าคงมีเยอะอ่ะ ขี้เกียจเขียนทั้งหมด คนอ่านจะอ่านแย่อ่ะ ขอยกตัวอย่างสักอย่างหนึ่ง ดีกว่านะครับ ง่ายดี เอาเป็นแรงบันดาลใจ ที่เหลือก็ไปหาเพิ่มเติมเอาเองตามแต่บุญวาสนาของแต่ละท่านนะ ก็คือ วิธีแบบเซียนครับ ใช้การฝึกพลังภายในแบบอี้ิจิง เพื่อเข้าถึงซึ่งความเป็นมหาบุรุษเพศ ที่พี่ชายเรียกว่า "อี้จิงหยินหยาง" นี่ละ อ้อ มีบางคนเขาจะเหมารวมพลังบางชนิดเข้าด้วยกัน เช่น เอี๊ยงกับหยางเป็นอันเดียวกัน อะไรแบบนั้น แต่ที่จริงแล้ว ถ้าฝึกอย่างละเอียดก็จะทราบว่าไม่เหมือนกันนะครับ เพียงแต่อยู่ในกลุ่มเดียวกันเท่านั้นเอง โอเค? ทีนี้ พลังหยินหยาง ก็ไม่ใช่พลังอิมเอี๊ยง และไม่ใ่ช่พลังธาตุน้ำกับธาตุไฟ คนละอย่างกันนะ พลังหยินหยางเป็นพลังที่เกี่ยวข้องกับความเป็นชายและหญิงโดยตรงครับ ซึ่งถ้าฝึกอย่างสมดุลแล้วก็จะเข้าถึงซึ่งความเป็น "มหาบรุษเพศ" ได้นั่นเอง เมื่อสำเร็จแล้ว จะทำให้เราเข้าใจทั้งผู้ชายและผู้หญิงได้ ราวกับเราเป็นเขาไม่แตกต่างกันเลยละ เวลาฝึกทำอย่างไร? เอางี้ดีกว่าบอกทางเน็ตแล้วไปฝึกเอง มันไม่ดีนะ ถ้าฝึกผิดพลาดมากลายเป็นทอม เป็นกระเทย เดี๋ยวจะหาว่าพี่ชายไม่เตือน 555 หาครูบาอาจารย์ที่สอนได้ ให้เขาสอนและดูแลนะครับ ไม่ยาก บอกเขาว่าเราสนใจฝึกพลังหยินหยาง เพื่อเข้าสู่ความเป็นมหาบุรุษเพศ อะไรแบบนั้น จะปลอดภัยไร้กังวลมากกว่าครับ ส่วนท่านใดที่มั่นใจในความเป็นเพศชายมาก ไม่สนใจเรียนรู้พลังหยินและความเป็นหญิงเลย ก็อาจเสียใจภายหลัง ถ้าท่านหมดบุญเมื่อไร ท่านก็ไม่พ้นต้องไปเกิดเป็นผู้หญิงเหมือนกันแหละครับ ของแบบนี้ ไม่เที่ยง ก็เปลี่ยนไปตามบุญบารมีแต่ถ้่าท่านได้เข้าถึงซึ่งความเป็นมหาบุรุษเพศแล้ว ท่านก็จะเกิดในสังขารของเพศชายเท่านั้น ไม่เป็นสตรีเพศครับ ยกเว้นกรณีมีปณิธานยอมมาเกิดเป็นสตรีเพศเอง เช่น พระโพธิสัตว์ภาคหยินทั้งหลาย ท่่านก็ยอมมาเกิดเป็นผู้หญิงได้ครับ (ถ้าจำเป็น)


เอาละ พรุ่งนี้วันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักที่เกิดมาจากนักบุญผู้ยอมตายเพื่อให้คนได้แต่งงานกันแล้วรอดชีิวิตไป คุณอยากมีความรักแบบไหนก็เลือกเอา ความรักแบบนักบุญวาเลนไทน์ไหม? (ท่านโสด ไม่ได้แต่งงานนะครับ เพราะเป็นนักบุญ เหมือนนักบวชนั่นแหละ) หรือจะไปแสวงหาความรัก แบบหนุ่มสาวที่ร้องขอให้นักบุญวาเลนไทน์ ช่วยทำพิธีแต่งงานให้ จะเป็นแบบไหน ก็เลือกเอา เพราะทุกแบบ ก็มีหน้าที่ที่ต่างกันครับ ไม่ว่าจะเป็นแบบมีคู่แ่ต่งงาน เพื่อทำหน้าที่เป็นพ่อและแม่ เลี้ยงดูลูก ให้กำเนิดมนุษย์แบบปัจจุบันต่อไป หรือจะเป็นแบบความรักในระดับมิติที่สูงขึ้น อย่างนักบุญวาเลนไทน์ และมีหน้าที่ที่จะกระทำต่อเพื่อนมนุษย์อีกมากมายไม่จำกัดแต่เพียงว่าเขาเป็นลูกของตนหรือไม่ คุณ! เลือกได้ครับ เม้าท์มายาวแล้ว เห็นทีควรจบเสียที ราตรีสวัสดิ์   




วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ป้องกันพลังตีกลับทวนทิศ ด้วยเทคนิกง่ายๆ ดังนี้

โอว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนขึ้นแล้ว เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝน อ๊ะ ก็เตรียมตัวให้พร้อมด้วยละครับ จะได้ไม่ป่วย ไม่เป็นหวัดเอา พลังของพระอาทิตย์เพิ่มขึ้นจริงๆ พี่ชายไปอ่านเจอคนๆ หนึ่งใช้ตาเนื้อเพ่งดวงอาทิตย์ ก็ไม่เลว แต่พี่ชายมีเคล็ดลับดีกว่านั้นครับ คือ "ใช้ตาที่สาม" รับพลังซะเลย ง่ายๆ ครับ หลับตาทำสมาธิ ท่ายืนหรือนั่งก็ได้ เหมือนเพ่งกสิณหรือเปิดตาที่สามน่ะหละ แต่หันหน้าไปหาดวงอาทิตย์ มันจะรู้สึกสว่างๆ ใช่ไหม นั่นละ ใช้ได้ละ ไม่มีความจำเป็นต้องเิปิดตาเนื้อดูโดยตรงก็ได้ หรือจะเปิดจักระที่เจ็ด (กระหม่อม) รับพลังโดยตรงก็ได้ แบบนี้เจ๋งกว่า เพราะทำงานกลางแจ้งไปตามปกติ ไม่ต้องนั่งหลับตาทำสมาธิ ก็รับพลังจากพระอาทิตย์ได้ครับ (จักระที่เปิดแล้วรับพลังได้เลยครับ) แบบที่เปิดตาเนื้อดู, บางคนย่างตัว, บ้างทรมานร่างกายนั้น พระำุพุทธเจ้่าไม่แนะนำนัก เป็นแบบฤษีโบราณครับ สุดท้าย ก็ได้ฤทธิ์เหมือนกัน แต่คนละแบบ แล้วแต่จะเลือกเอาเองครับ เอาละ เข้าเรื่องของเราดีกว่า วันนี้ เรื่องเคล็บวิชาลับในการป้องกันพลังโคจรผิดทิศ หรือพลังตีกลับทวนทิศ ซึ่งไม่ยากเท่่าไรครับ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 


อย่างแรก พี่ชายขอปูพื้นฐานเบื้องต้นให้ก่อนดังนี้ กล่าวคือ ในการฝึกพลังพิเศษอะไรก็แล้วแต่ ไม่มีอะไรที่โรยด้วยกลีบกุหลาบหรือราบรื่นไม่มีอุปสรรคเลย มันมีการฝึกที่ผิดเพี้ยนหรือปัญหาที่เกิดขึ้นจากการฝึกได้เสมอครับ เช่น การถูกพลังตรงข้าม, ต่างรูปแบบ, ไม่คุ้นเคย เข้าแทรก, การปะทะกันของพลังภายใน, การโคจรพลังที่ผิดพลาด ฯลฯ ซึ่งกว่าจะฝึกสำเร็จนั้น "ความผิดพลาด" เกิดขึ้นได้ก่อน มากมายครับ ในบทความนี้ พี่ชายจะเม้าท์เรื่องความผิดพลาดในการฝึกที่เรียกว่า "พลังตีกลับ" หรือ "ย้อนทวนทิศ" ซึ่งบางอย่างไม่อันตรายมาก แต่ในบางอย่างก็อันตรายมากครับ เช่น ทำให้คนแก่กลายสภาพเป็นเด็ก, ชายกลายเป็นหญิง, คนแข็งแรงกลายเป็นอ่อนแอขี้โรค ฯลฯ ดังนั้น จึงสำคัญมากครับที่ผู้อ่านจะต้องมีครูอาจารย์ที่ดี ดูแลอย่างใกล้ชิดและเคร่งครัดมาก (และท่านจะดุมากครับ ถ้่าพบว่าเราผิดพลาด ด้วยมันแก้ยากครับ ถ้าพลาดไปแล้ว) แต่ถ้าผู้อ่าน อ่านผ่านเฉยๆ ไม่ได้จะทำ หรือฝึกจริงๆ ก็ไม่เป็นไรครับ เอาละ มาเม้าท์กันเรื่อง "พลังตีกลับและย้อนทวนทิศ" ดีกว่า มันส่งผลได้หลายอย่างครับ เช่น ทำให้พลังที่มีมาก สูญเสียไปจนหมดก็ได้ (ตีกลับจากได้รับเป็นสูญเีสีย) หรือมันอาจทวนทิศดึงดูดพลังไม่ดีเข้ามาแทรกได้ เช่น พลังมาร, พลังด้านมืดต่างๆ ซึ่งอันนี้ อันตรายมากครับ เพราะมันแก้ยาก โดนเข้าไปแล้ว ครูบาอาจารย์ก็ช่วยได้ยากครับ เพราะมันจะดื้อด้าน ไม่ฟังครูอีกแล้ว 


อย่างที่สอง พี่ชายจะเม้าท์ละเอียดลงไปอีกนิดเรื่องนี้ครับ ต่อจากในบทวามที่แล้ว ที่พี่ชายแนะนำการฝึกพลังพิเศษแบบ "อี้จิง" หรือการใช้พลังสองอย่างคู่ตรงข้ามกัน โคจรไปทางเดียวกัน, ไม่ปะทะกันเอง, ไม่ปั่นป่้วน ฯลฯ ก็จะหมุนวนอย่างมีระเบียบดี ทว่า ถ้าเกิดผิดพลาดขึ้นมา มันก็จะเกิดปัญหาที่เรียกว่า "อี้จิงทวนทิศ" ได้ครับ มันเป็นอย่างไร ก็คล้ายๆ กับคนที่ฝึกพลังธรรมจักรแล้วมันตีกลับทวนทิศ นั่นหละครับ แต่ต่างกันตรงที่ว่า พลังธรรมจักรหมุนวนจากพลัง ๑ ชนิดแต่พลังอี้จิงหมุนวนจากพลังคู่ตรงข้าม ๒ ชนิด เท่านั้นเอง ปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาหลังอี้จิงทวนทิศคือ คนๆ นั้นจะมีอัตตาสูง ครูบาอาจาีรย์จะช่วยสอนหรือแก้ไขอะไรให้ ไม่ไ่ด้อีกแล้ว เขาอาจมีพลังมาก แต่พลังนั้นไม่ใช่พลังที่ดีหรือถูกต้องตามแบบเดิมอีกต่อไป เขาอาจรู้สึกเหมือนได้ค้นพบพลังงานชนิดใหม่ๆ ที่อาจารย์ไม่ได้สอน แต่ไม่รู้เลยว่าบั้นปลายพลังนั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายเขาและผู้อื่นอย่างไรบ้าง นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราจำต้องมาค้นหา "เคล็ดวิชาลับ" เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งไม่ยากนะครับ เพราะเราจะใช้ "ใจนำกาย" มิใช่ "กายนำใจ" อย่าลืมครับว่าเราฝึกพลังภายใน ไม่ได้เน้นพลังกาย ดังนั้น "สำคัญที่ใจ" นะครับ ซึ่งมีเคล็ดลับต่างๆ เืพื่อป้องกันพลังตีกลับทวนทิศดังต่อไปนี้ 

๑. ปล่อยตามธรรมชาติ อย่าห้าม อย่าขวาง อย่ากดข่ม เพราะหากทำเช่นนั้นแล้ว พลังจะตีกลับได้ เช่น พอมีความรัก ก็ข่มใจไว้ ห้ามใจว่ามันผิด มันไม่ดี อะไรแบบนั้น พลังจะตีกลับกลายเป็นตรงข้ามได้ครับ ขอให้เข้าใจว่าทุกอย่างคือ ธรรมชาติ กิเลสก็เป็นธรรมชาติ และเราไม่ได้มีแต่กิเลส เรามีสติและปัญญาทำงานอยู่ด้วย เมื่อมันดำเนินไปตามธรรมชาติ มันจะ "พอดี" ของมันเอง ปล่อยให้มันดำเนินไปครบองค์

๒. ระบายพลังอย่างฉลาด ในกรณีที่พลังมีมากเกินไป และขับดันให้ไปทำสิ่งที่ผิดได้ เช่น มีกิเลสกำเริบมาก, โกรธรุนแรง ฯลฯ เราก็อย่าเพิ่งไปทำอะไรอย่างใจเราตอนนั้นมาก ให้เบี่ยงเบนพลังลงไปในจุดที่ปลอดภัยต่อตนเองและผู้อื่น แทนที่จะปล่อยพลังขับดันไปอย่่างโง่ๆ จนกลายเป็นโทษต่อตนเองและผู้อื่น เราก็ปลดปล่อยอย่างฉลาดแทน

๓. ซักฟอกพลังงาน ในบางกรณี พลังงานที่เป็นโทษบางอย่างอาจจะขับดันร่างกายหรือจิตใจอยู่ แต่เราไม่ห้าม ไม่กดข่ม เราปล่อยให้พลังนั้นออกมาตามธรรมชาติ แต่อาจเกิดเหตุร้ายได้ ดังนั้น เราก็จะปล่อยพลังออกไปสู่ "กระบวนการซักฟอกภายใน" แทน มันจะทำให้พลังที่ออกมานั้น ใสสะอาดมากขึ้น ไม่เป็นโืทษ แต่พลังจะไม่ถูกใช้ทำกิจ

๔. โคจรต่อเนื่อง หรือถ้าเราเข้าทาง ตรงทางแล้ว เราก็ควรทำต่อไปอย่างต่อเนื่อง ความต่อเนื่องนี่เองที่จะช่วยป้องกันไม่ให้พลังตีกลับได้ เหมือนเราปั่นจักรยานไปข้างหน้าเรื่อยๆ นั่นแหละ ก็จะช่วยให้พลังไม่ถูกตีกลับได้ แต่ถ้าเราขาดความต่อเนื่อง ก็จะเกิดช่องโหว่ ทำให้พลังอาจถูกตีกลับได้ ดังนั้น เมื่อเราเห็นทางชัดเจนแล้วก็ควรแน่วแน่ต่อไป

๕. รับการช่วยเหลือ โดยการรับการช่วยเหลือจากท่านที่มีการโคจรพลังอย่างถูกทิศทาง ให้ใช้พลังของเขา ช่วยขับดันพลังของเราให้กลับมาโคจรถูกทิศทางอีกครั้ง ซึ่งไม่ยากเลย เหมือนเราเชื่อฟังและคล้อยตามใคร จิตเราก็จะเหนี่ยวนำพลังให้เคลื่อนตามเขาไปในทิศทางนั้นๆ แต่ถ้าเราต่อต้านหรือปะทะ พลังของเราจะยิ่งตีกลับทวนทิศ


อนึ่ง บางคนจะนิยมฝึกพลังพิเศษเป็นกลุ่ม แล้วมาแลกเปลี่ยนพลังภายในให้แก่กันและกัน เพื่อช่วยเหลือกันปรับความสมดุลของพลังภายใน ซึ่งก็ดีเหมือนกัน แต่ก็ต้องระวังด้วย เพราะถ้าผิดพลาดก็อาจจะเกิดปัญหาได้ เช่น ถ้าคนหนึ่งเป๋ออกนอกทาง ผิดทิศไปแล้ว อีกคนก็ช่วยปรับให้ตรงทางได้ ก็ดีไป แต่ถ้าชวนให้คนอื่น เป๋ออกนอกทาง ผิดทิศไปด้วย อันนี้ จะแย่ไปใหญ่ อย่างไรก็ดี การมีเพื่อนผู้ฝึกพลังที่คอยช่วยเหลือกัน จะดีกว่าการฝึกคนเดียวมาก โดยเฉพาะในบางครั้งที่ใครบางคน เกิดปัญหาพลังตีกลับ ทวนทิศ ก็จะได้ช่วยเหลือกันได้ทันท่วงที ก่อนที่จะเกินเยียวยา เพราะช้าเนิ่นนานไป จะยิ่งแก้ยากครับ เม้าท์เรื่องการฝึกพลังภายในมากไป บางคนที่ไม่ไ้ด้ฝึกอยู่หรือไม่ชอบการฝึกอะไรแบบนี้ อาจเบื่อได้ แต่ก็จำเป็นต้องเม้าืท์ละครับ เห็นหลายท่านยังเป๋อยู่ หากหลงทิศผิดทางแล้วแก้ได้ยาก ก็จะกลายเป็นปัญหาได้ เลยต้องยกเรื่องราวเหล่านี้มาเม้าท์กันเสียหน่อย เอาละ นี่ก็คงถึงเวลานอนหลับพักผ่อนกันแล้วครับ เห็นทีควรจบลงเท่านี้ ราตรีสวัสดิ์



วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทะยานสู่ระดับที่สูงขึ้นด้วยการ "ปรับดุลยภาพแห่งพลัง" ด้วยวิธีพิเศษ

บทความนี้มีเรื่องเกี่ยวกับการใช้ "อี้จิง" มาเป็นหลักในการพัฒนาพลังพิเศษด้วยครับ ทว่่า แตกต่่างจาก "มวยอี้จิง" ที่หลายๆ ท่านอาจได้มีโอกาสไปเรียนรู้, ฝึกฝน, หรืออ่านมานะครับ เพราะผมไม่ได้เผยแพร่เรื่องมวยหรือการต่อสู้โดยร่างกายเลย และยังมีสิ่งที่เหล่านักมวยอี้จิง ฝึกแล้วไม่ได้รับการถ่ายทอด เพราะสูญหายไปครับ ฮั่นแน่ สนใจละสิ ไม่ใช่อะไรหรอก มันก็คือ "เคล็ดวิชาอี้จิง" นั่นเอง ซึ่งสูญหายไปนานแล้ว และผมจะช่วยกู้คืนมาให้ท่านได้ศึกษากันต่อไปครับ อ๊ะเป็นยังไง น่าสนใจแค่ไหน เกี่ยวข้องกับหัวข้อวันนี้ เรื่อง "การปรับดุลยภาพแห่งพลัง" เพื่อการเลื่อนสู่ระดับที่สูงขึ้นอย่างไร ลองติดตามอ่านกันครับ


อย่างแรก ผมอยากปูพื้นฐานเรื่องพลังพิเศษต่อจากบทความที่แล้วคือ  หลังจากเราได้รับการปลุกพลังให้ตื่นขึ้นพร้อมใช้งานได้แล้ว สิ่งต่อไปที่เราควรเข้าใจอีกคือ "การปรับดุลยภาพของพลังพิเศษ" อย่างที่ผมก็ได้บอกแล้วว่าพลังพิเศษมีหลายชนิด และจำเป็นที่มันต้องมีสมดุลในตัวเรานะึครับ เพราะถ้าพลังพิเศษในตัวเรา เสียสมดุลเมื่อไร เราจะป่วยหรือมีอาการผิดปกติทางจิตใจได้ครับ เช่น ถ้าพลังร้อนเพิ่มขึ้น เราอาจจะใจร้อนเกินไป หรือเป็นโรคร้อนในได้ครับ บางท่านไม่เข้าใจเรื่องนี้ ไปฝึกพลังพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป เช่น ฝึกให้มองโลกแต่ในแง่ดีอย่างเดียว มันเสียสมดุลในตัวเองครับ ผลเสียจะตามมาภายหลังได้ ดังนั้น ปรมาจารย์ด้านพลังพิเศษที่มีความเข้าใจ จึงให้ศิษย์ปรับสมดุลของพลังงานเป็นพื้นฐานก่อน ที่เรียกว่า "อี้จิง" ที่เราเห็นเป็นสัญลักษณ์ "วงกลมขาวดำหมุนเวียน" อยู่ นั่นแหละครับ คนจีนโบราณเรียกว่าอี้จิง สมัยใหม่กลายเป็นวิชาเฉพาะไปแล้วแต่ดั้งเดิมมันเป็นแค่สัญลักษณ์ ซึ่งนำไปใช้อะไรได้เยอะแยะครับ เอาละ เราจะมาเริ่มวางระบบอี้จิง ในร่างกายของเราก่อน สมมุติว่าในร่างกายของเรามีพลังที่แตกต่างกัน ๒ ชนิด โคจรอยู่ ถ้าเราโคจรผิด มันจะปะทะกัน ทำให้เกิดปัญหาภายในได้ เช่น ร้อนกับเย็นปะทะกันภายใน เคยเป็นไหมครับ บางทีร้อนๆ หนาวๆ ยังไงชอบกล เหมือนๆ จะหนาว พอห่มผ้าก็ร้อนอะไรแบบนั้น นั่นละ พลังงานโคจรไม่ดีปะทะกันภายใน นี่ยังไม่มากเท่าไร ถ้ามากกว่านี้ จะเป็นไข้ได้ หนาวสั่นแต่ตัวร้อนอะไรแบบนั้น แต่ถ้าเราโคจรพลังงานได้ดี พลังสองชนิดที่ต่างกันจะหมุนไปแบบไม่ปะทะกัน เวียนเหมือนสัญลักษณ์อี้จิง เมื่อก่อนนี้ผมไม่รู้นะ ฝึกพลังสองอย่าง แล้วปะทะกันจนแย่ ต่อมาก็เลยต้องสลายพลังซึ่งตรงข้ามกันแล้วปั่นป่วนภายในเสียหมด หมดแรงเลยครับ ทั้งแรงกายแรงใจ ฮ่าๆๆ สลายหมดเลยแต่ก็ช่วยให้รอดจากปัญหาพลังงานปะทะกันภายในได้ (เกือบมีสภาพเหมือน "เยิ่นหว่อสิง" มหาเวทย์ดูดดาวแล้วสิครับ) เอาละ ทีนี้เรามาเริ่มต้นใหม่ รับระบบอี้จิงเข้าไปก่อน แล้วค่อยใช้รูปแบบอี้จิง รองรับพลังที่แตกต่างกัน หมุนเวียนโคจรให้ถูกที่ ถูกทาง ก็จะใช้พลังงานสองอย่างที่ตรงกันข้ามได้อย่างสมดุลครับ


อย่างที่สอง ผมจะพูดเรื่องที่สูงขึ้นไปอีกขั้นแล้วคือ การโคจรพลังงานที่ต่างกันสองชนิดแบบอี้ิจิง เพื่อปรับระดับเลื่อนขั้นสูงขึ้่นไปเรื่อยๆ นะครับ หลังจากที่ท่านทราบแล้วว่าการฝึกพลังอย่างหนึ่งอย่างใด ชนิดเดียวนั้นทำให้เสียสมดุล ทำให้ต้องฝึกสองอย่างตรงข้าม คานสมดุลกันอย่างนี้ ทีนี้ มันก็จะมีระดับอีกครับ ถ้าคุณทำได้ผ่านด่านแรก มันจะหมุนสูงขึ้นไป (อุปมานะครับ) ทำให้คุณพัฒนาขึ้น เอาง่ายๆ นะ สมมุติคุณฝึกพลังร้อน-เย็น ผ่านด่านแล้ว มันจะพัฒนาสูงขึ้นไปเอง พลังอื่นที่คุณไม่เคยรู้จักมันจะมาเองครับ เช่น มาหาเราผ่านร่างมนุษย์ที่มีพลังนั้นๆ เพื่อมาสู่เราในแบบใดแบบหนึ่ง เช่น คนที่อยากสอนเรา อยากจะถ่ายทอดให้เรา ฯลฯ เราก็จะได้ัรับพลังพิเศษแบบใหม่นี้จากเขาได้นะครับ ซึ่งมันจะเป็นพลังงานคู่ตรงข้ามที่สูงขึ้นไปอีกขั้นจากพลังร้อน-เย็น เช่น พลังหยิน-หยาง เป็นต้น มันจะเปลี่ยนคู่พลังตรงข้ามไปเรื่อย เมื่อเราปรับระดับสูงขึ้นครับ เราจะได้ทราบว่าโลกนี้มีพลังอะไรให้เราได้เรียนรู้บ้าง จนกระทั่งเข้าสู่พลังงานระดับสูงๆ ที่เรียกว่าพลังฟ้า-ดิน แต่ก่อนจะไปถึงขั้นนั้น ก็เอาขั้นล่างๆ ให้ผ่านก่อนครับ ถ้าฐานไม่แน่น บินสูงไป ตกแล้วจะเจ็บหนักได้ อ้อ มีเคล็ดลับอย่างหนึ่งที่อยากให้ผู้อ่านระวังไว้นะครับ คือ การเซ็ตระบบพลังอี้จิงนั้น ไม่เที่ยง ไม่จีรังนะ อาจเปลี่ยนแปลง เพี้ยนไปภายหลังได้ตลอดเวลา เช่น เวลาที่เราได้ปะทะพัวพันกับใครบางคนตลอด เช่น มีแฟน แล้วแฟนมีพลังธาตุไฟอยู่ มันจะส่งผลให้ระบบอี้จิงของเราเพี้ยนไป กล่าวคือ แทนที่ระบบพลังอี้จิง จะอยู่ในตัวเราคนเดียวอย่างสมบูรณ์ มันจะกลายเป็นอยู่ใน "คนสองคน" คือ เราและแฟนแทนครับ ถ้าเป็นแฟนกันดีกันได้ อยู่กันได้ไม่มีปัญหา ก็โอเค แต่ถ้าพลาดขึ้นมา มีเรื่องขัดแ้ย้ง จนแยกจากกันขึ้นมา เกิดปัญหาได้ครับ คือ รวมกันอยู่สองคน ระบบพลังอี้จิงทำงานสมดุลดี คนหนึ่งใจร้อนคนหนึ่งใจเย็น อะไรประมาณนั้น แต่พอขาดคนหนึ่งไปปั๊บ เสียเลยครับ สมดุลมันเพี้ยนไปเลย ระบบอี้จิงก็พังอีตอนนี้ละ ดังนั้น อย่าฝากชีวิตไว้กับคนอื่นเลยนะ ฝึกระบบพลังอี้จิงในตัวเราให้ได้ก่อน อย่าเพิ่งไปพัวพันแบบคนคู่อย่างนั้น พลาดแล้วจะเสียใจภายหลังครับ เช่นกัน ถ้าคุณกำลังฝึกพลังพิเศษ แล้วมีอาจารย์ที่ดูแลอยู่แค่คนเดียว สิ่งที่จะเกิดกับคุณได้คือระบบพลังอี้จิงที่สมดุลระหว่างคุณและอาจารย์ เช่น อาจารย์มีพลังร้อน คุณอาจมีพลังเย็นได้ นี่ก็จะทำให้ระบบพลังอี้จิงของคุณพังทลายได้ ดังนั้น ถ้าคุณจะมีใครสักคนมาเกี่ยวพันกับชีวิตคุณมากๆ มันก็ควรเป็นคู่ๆ ครับ คือ มาเป็นคู่ๆ ถ้ามีอาจารย์ก็มีสองคนคู่กัน ก็ดีครับ ผมเองก็มีแบบนั้นเหมือนกัน แต่หลังๆ ก็มีคนมาพัวพันฝึกอะไรๆ ด้วย ทำให้ระบบพลังอี้จิงแทบจะเจ๊งได้เช่นกัน แต่ถ้าคุณไม่พร้อมจะฝึกระบบพลังอี้จิงแบบนี้ ยังชินกับการพึ่งพาคนอื่น อยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ ขาดคู่ไม่ได้ อันนั้นก็ฝึกอย่างอื่นดีกว่าครับ ระบบพลังอี้จิงที่ผมแนะนำแก่ท่านนี้ คงไม่เหมาะสมสักเท่่าไร


สุดท้ายนี้คือเคล็ดลับในการปรับสมดุลของพลังงานครับ สมมุติว่าคุณมีปัีญหาพลังพิเศษภายในบางชนิดหรือหลายชนิด ไม่สมดุล ก็จำต้องปรับสมดุลของพลังงานครับ ทีนี้ มันจะนำไปสู่ "จุดดุลยภาพใหม่" ซึ่งอาจจะเลื่อนระดับสูงขึ้น หรือตกต่ำลงก็ได้นะครับ เช่น คุณฝึกพลังไฟเยอะมากๆ เลย เกินล้นเลย แล้วคุณมาเจอใครบางคน ในช่วงที่คุณนั้นมีพลังไฟมากเกิน และเริ่มมีปัญหาคุมมันไม่ไ่ด้แล้ว คุณอาจได้รับการปรับสมดุลให้พอดีได้ แต่แบบไหนละ? เ่ช่น พลังไฟส่วนเกินของคุณก็อาจลดลงก็ำได้ แบบนี้เรียกว่า "ลดระดับลง" แต่สมดุลมากขึ้น ในขณะที่บางคนก็เลื่อนระดับขึ้นครับ พร้อมทั้งสมดุลด้วย เรียกว่าปรับไปสู่จุด  "ดุลยภาพใหม่ที่สูงขึ้น" นั่นแหละ คือ สิ่งที่ผมแนะนำให้คุณไปให้ถึงให้ได้ ซึ่งผมคงจะบอกคุณตรงๆ ไม่ได้ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดีครับ ก็เมื่อไรที่คุณจับเคล็ดได้แล้ว คุณจะทราบเองว่าการปรับสมดุลไปสู่จุดที่สูงขึ้น เพื่อการเลื่อนระดับอย่่างสมดุล นั้นเป็นอย่างไร เอาละ เม้าท์เรื่องพลังพิเศษมายาวเลย บางท่านอาจงงได้ถ้าเม้าท์มากเกินไป 555 เอาเป็นว่า เล็กๆ น้อยๆ เป็นน้ำจิ้ม แต่เบื้องต้นก็แล้วกัน ที่เหลือไปหาครูบาอาจารย์ก่อนนะครับ ค่อยฝึก อ่านตำราแล้วฝึกเอง ไม่มีครู มันไม่ค่อยดีนะครับ อันตราย เดี๋ยวจะหาว่าพี่ชายไม่เืตือน ราตรีสวัสดิ์ครับ  




วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

จังหวะและลีลาชีวิตแบบไหน ที่จะช่วยปลุกพลังพิเศษคุณให้ลุกโชน?

อย่างแรก ผมขอปูพื้นฐานเรื่อง "การปลุกพลังชนิดต่างๆ" ก่อนนะครับ ว่าเริ่มเดิมทีนั้น เรามีพลังอยู่ภายในทั้งนั้นครับ แต่มันอาจไม่แสดงตัว หรือไม่ได้ทำหน้าที่ของมัน มันเหมือนหลับไหลอยู่ในตัวเรานี่ละครับ ทีนี้ เมื่อมี "สิ่งกระตุ้นบางอย่าง" เช่น ไฟใหม้, ตกใจสุดขีัด ฯลฯ มันก็จะตื่นขึ้นมาทำงานได้ครับ เราเรียกว่า "พลังถูกปลุกขึ้น" ครับ ทีนี้ ถ้าเราจะทำการปลุกพลังในตัวเราขึ้นมาละครับ ให้สามารถควบคุมได้แต่ไม่ใช่ปล่อยให้เอาตัวไปอยู่ในที่กำลังถูกไฟใหม้นะครับ นี่แหละ ที่ผมจะอธิบายต่อไป มันคือ เทคนิกในการปลุกพลังภายในของเรา ถ้าไม่มีตัวนี้ ต่อให้ฝึกกำลังภายในไปร้อยๆ ปี ก็ได้แต่ท่าทางเปลือกนอกแค่นั้นครับ ดังนั้น เทคนิกในการปลุกพลังภายใน จึงสำคัญมากๆ และแต่ ละวิธีจะช่วยปลุกพลังภายใน "ต่างชนิด" กันด้วยครับ (พลังมีหลายชนิด แต่ละชนิดถูกปลุกขึ้นด้วยวิธีที่แตกต่างกัน) ซึ่งบางท่านอาจจะมีพลังซึ่งได้รับการกระตุ้นแล้วตื่นขึ้นเอง จากการใช้ชีวิตตามปกติ หรือตกอยู่ในสถานการบางอย่าง แต่ในบางท่านอาจได้รับการสั่งสอนหรือมีอาจารย์ช่วยปลุกพลังให้ ในบางคนที่พลังตื่นขึ้นเองโดยไม่รู้ตัวและไม่สามารถควบคุมพลังได้ ก็จะถูกพลังขับดันไปให้ทำสิ่งที่ไม่ดีได้


อย่างที่สอง ผมขอเข้าสู่วิธีการปลุกพลังแต่ละชนิด แค่เป็นตัวอย่างนะครับ ที่เหลือแล้วแ่ต่บุญวาสนาของแต่ละท่านเองที่จะค้นพบต่อไป

๑. ตกอยู่ในอันตราย : เช่น ไฟใหม้, โจรปล้น ฯลฯ จะช่วยปลุกพลังในการเอาตัวรอด เป็นพลังชีพซึ่งอยู่ในคนทุกคน ปกติคือ กุณฑารินีเย็น จะใช้ในการต่อสู้ แบบหลังชนฝา หมดทางหนี แต่ขอสู้ตายกันไปข้าง

๒. มีอารมณ์เพศ : หรือถูกกระตุ้นทางเพศ จะช่วยปลุกพลังชีพในการสืบพันธุ์ได้ พลังนี้จะถูกใช้ไปในการสืบพันธุ์ แล้วหมดไปเรื่อยๆ ทำให้คนที่ใช้พลังนี้มากๆ จะแย่ลง, แก่เร็ว และสูญเสียพลังไปได้มากครับ

๓. ติดเชื้อโรคแบบอ่อนๆ : หรือถูกฉีดวัคซีน จะช่วยปลุกพลังในการเผาผลาญฆ่าเชื้อโรค ปกติคือ พลังเอี๊ยง ทำให้ตัวร้อน, เป็นไข้ จนกว่าเชื้อโรคจะตายหมด ไข้จะลดลงเอง ไข้อ่อนๆ ทำให้พลังนี้แก่กล้าขึ้น

๔. ได้รับพิษไม่มากนัก : หรือกินอาหารที่มีสารพิษ ไม่สะสมมากเกินไป ตับทำงานสม่ำเสมอเหมือนได้ออกกำลังกาย ทำให้ประสิทธิภาพของตับสูงขึ้น เมื่อได้รับพิษ ก็จะมีพลังภายในต้านพิษได้ระดับหนึ่ง

๕. ผจญหนาว-ร้อน : หรืออยู่ในที่อากาศสูงหรือต่ำมากกว่าปกติ จะทำให้พลังอิม-เอี๊ยง ถูกกระตุ้นได้ ถ้าพลังถูกกระตุ้นและทำงานได้ดี ก็จะส่งผลดีต่อร่างกาย หรือนำไปใช้ในด้านอื่นๆ นอกเหนือจากปกติได้

๖. เสียเลือด-บาดเจ็บ : การบาดเจ็บหรือเสียเลือดบ้าง จะช่วยกระตุ้นให้เกิดพลังฟื้นฟูสภาพ พลังนี้จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายฟื้นฟูสภาพให้กลับมาปกติดังเดิม ถ้าไม่บาดเจ็บ-เสียเลือดเลย พลังนี้จะอ่อนแอได้

๗. ความท้าทายใหม่ๆ : ถ้าถูกระทบด้วยสิ่งแปลกใหม่ หรือได้รับการกระตุ้นด้วยสิ่งแปลกใหม่ จะส่งผลให้พลังบางชนิดตื่นขึ้น พลังชนิดนี้ ทำให้อยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และทำให้แก่ช้าลง ปกติคือ "พลังทารก" 

๘. คลื่นเสียงและดนตรี : เช่น เพลงที่เร้าอารมณ์, ถูกใจวัยรุ่น ฯลฯ ก็อาจกระตุ้นให้พลังบางอย่างในตัวของพวกเขา ตื่นขึ้น และขับดันให้พวกเขายกพวกตีกัน ก็ได้ครับ (อันนี้ เพราะเขาควบคุมพลังไม่ได้)

๙. พลังจากมนุษย์ด้วยกัน : เช่น อาจารย์ใช้พลังในตัว ปลุกพลังในตัวลูกศิษย์ให้ตื่นขึ้น หรือถ่ายทอดพลังบางอย่างให้เล็กน้อยแล้วสอนให้ฝึกเพิ่มพูนพลังเหล่านั้นเอง ก็สามารถรับพลังไปพัฒนาต่อได้เช่นกัน

๑๐. ได้รับพลังจากภายนอก : เช่น พลังจักรวาล, พลังธรรมชาติ อาจด้วยเหตุบังเอิญ เป็นต้น ก็สามารถกระตุ้นพลังภายในบางอย่างให้ตื่นขึ้นได้ เช่น คนที่มีพลังมากตอนเทศกาลกินเจ ซึ่งไม่ใช่พลังของตน


เอาละ ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนั้น แค่ยกตัวอย่างเท่านั้น แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่ "พลังชีพพื้นฐานในตัวมนุษย์" ที่มีอยู่ในมนุษย์ทุกคนเท่านั้น มันยังมี "พลังธรรมชาิติ" ที่ไม่ได้อยู่ในตัวมนุษย์ แต่อยู่ในธรรมชาติ ก็เช่น พลังธาตุดิน, ธาตุน้ำ, ธาตุลม, ธาตุไฟ, พลังผลึกหินแร่ ฯลฯ ซึ่งปกติไม่มีในตัวมนุษย์ แต่มนุษย์โลกสามารถเปิดรับพลังงานเหล่านี้ไปใช้ได้ นอกจากนี้ ก็ยังมี "พลังจักรวาล" ที่มาจาก "นอกโลก" อีกหลายชนิด ที่ถ้าเราสามารถเปิดรับ, เลือกรับ, เรียนรู้ ฯลฯ ก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากมายอีกเช่นกัน สรุปแล้วพลังงานที่ผมแนะนำทั้งหมด  คือ สามกลุ่มใหญ่ๆ แต่ละกลุ่มใหญ่ๆ ประกอบด้วยพลังอีกหลายชนิด

๑. พลังชีพในตัวมนุษย์ : คือ พลังพื้นฐานในการดำรงชีพ มีในทุกคน
๒. พลังธรรมชาติในโลก : คือ พลังธรรมชาติในโลก มีอยู่ในโลก
๓. พลังจักรวาลนอกโลก : คือ พลังที่มาจากนอกโลก ดาวต่างๆ

ทั้งสามกลุ่มนี้ ไม่เหมือนกัน พลังชีพในตัวมนุษย์ สามารถปลุกให้ตื่นขึ้นได้เอง จากภายใน ถ่ายทอดและให้คนอื่นได้ แต่พลังอีกสองชนิด จะมาจากภายนอก ที่ได้จากการรับเข้ามาเท่านั้น ไม่มีอยู่ในตัวมนุษย์มาก่อน ส่วนเทคนิกในการปลุกพลังแต่ละชนิดนั้น ปรมาจารย์แต่ละท่าน จะมีเคล็ดลับเฉพาะตัว แต่ปรมาจารย์บางท่าน ก็ไม่รู้เลย และไม่เคยปลุกพลังให้ศิษย์เลย, ไม่เคยถ่ายทอดพลังให้ศิษย์เลย หรือไม่เคยเคล็ดลมปราณให้แก่ศิษย์เลย ก็มีครับ ดังนั้น ผมจะไม่บอกไปมาก กว่านี้ เดี๋ยวจะเป็นการ "แย่งปรมาจารย์คนอื่นที่เขาทำมาหากินกันอยู่ อันเป็นการผิิดกฏชาวยุทธ์นะครับ" เพื่อไว้หน้าปรมาจารย์เหล่านั้น ที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกมากมาย ก็ขอไม่บอก และขอให้ท่านที่สนใจ ไปเรียนหรือรับโดยตรงจากปรมาจารย์แต่ละท่านตามแต่บุญวาสนาที่มีอยู่ กันเองก็แล้วกัน ก็ขอแนะนำเบื้องต้น พื้นๆ ตื้นๆ ก็เพียงเท่านี้


เอาละ เม้า้ท์มายาวไม่น้อย เดี๋ยวจะเยิ่มเย้อเกินไป ขอรวบลัดตัดความ สั้นๆ ง่ายๆ จบเอาดื้อๆ แบบนี้เลยละกัน เริ่มจะง่วงแล้ว จะได้ไปนอนกันละนะ ที่เหลือก็เก็บเอาไปฝันต่อเองละกันครับ ราตรีสวัสดิ์คร้าบ...