วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556

ระเบิดพลัง "ซุปเปอร์ไซย่าร์" ด้วยวิถีที่แตกต่่าง มาดูกันว่ามันเป็นอย่างไร?

จริงๆ แล้ว ไม่่ค่อยอยากจะเขียนบทความนี้สักเท่าไร เพราะคนชอบมาหาว่าผมบ้าน่ะครับ แต่เพราะมีคนขอมา ก็เลยเอ้า จัดให้ เพื่อคนอ่านนะครับ แต่ผมก็เขียนบทความแปลกๆ มาจนถึงขั้นนี้แล้ว ไม่กลัวใครมาว่าบ้าอีกแล้วครับ โฮ่ๆๆ ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว ลุยได้ทุกอย่างอยู่แล้วครับ เอาละ มาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่า วันนี้ เป็นเรื่องของวิถีแห่งการระเบิดพลังซึ่งแตกต่างกันได้ อย่างไร ก็ลองอ่านดูนะครับ


อย่างแรก เ้ข้าใจกฏอย่างหนึ่งก่อนครับเรื่อง "ซุปเปอร์ไซย่าร์" หรืออะไรสักอย่างที่มันสุดยอดมากๆ ปกติ ย่อมมีเพียง ๑ เดียว หรือที่เขาเรียกว่า The one นั่นแหละ แต่ทุกอย่างมีข้อยกเว้นเสมอครับ นี่ก็คือ อีกกฏหนึ่งเหมือนกัน (กฏของข้อยกเว้น) เหมือนฝนนอกฤดู ก็เกิดได้ใช่้ไหมครับ สรุป ก็คือ ปกติแล้ว "ซุปเปอร์" ย่อมมีเพียง ๑ เดียว แต่มันก็อาจมีได้มากกว่า ๑ ในกรณียกเว้นบางประการ นั่นเอง เอาละ เรามาเข้าเรื่อง "วิถีแห่งการระเบิดพลังซุปเปอร์ฯ" กันดีกว่า แต่ก่อนอื่นผมต้องบอกนิดนะครับว่าคำว่า "ซุปเปอร์ไซย่าร์" อันคือ "ปริศนาต่างมิติ" ที่อาจจะหมายถึงอะไรสักอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง อย่าไปยึดมั่นว่ามันจะต้องเป็นอย่างไร เหมือนในการ์ตูนหรือไม่? ผมขอใช้คำเหมือนในหนังการ์ตูนเืพื่อให้คนเข้าใจง่ายๆ เพราะอาจได้เคยดูการ์ตูนมาแล้วนั่นเอง


ต่อไปที่ควรเข้าใจคือ "ซุปเปอร์ไซย่าร์" แ่ต่ละคน จะต้องรู้สิ่งหนึ่งซึ่งเหมือนกันคือ "การระเบิดพลัง" นะครับ และเขาจะระเบิดพลังหลายครั้ง แต่ละครั้งจะทำให้เขาพัฒนาสูงขึ้น ที่เรียกว่า "การเลื่อนระดับ" นั่นแหละครับ เขาจะระเบิดพลังไปเรื่อยๆ จนกว่าจะุถึงระดับที่เขาถูกเรียกว่า "ซุปเปอร์" ไงละครับ เอาละ ทีนี้ มีเรื่องหนึ่งที่คุณควรเข้าใจคือ "แต่ละคนมีวิธีระเบิดพลังไม่เหมือนกัน" เอาง่ายๆ นะครับ โงกุน ระเบิดพลังได้ด้วย "การกระตุ้นจากศัตรู" ถ้าโงกุนไม่มีศัตรูเลย เขาก็จะเป็นได้แค่ตัวตลก ขำๆ ไร้สาระ ไปวันๆ เท่านั้นแหละ เขาไม่มีใจที่จะไปทำร้ายใคร ไม่นิยมการต่อสู้ จะต่อสู้เฉพาะยามจำเป็นเท่านั้น มีใจที่รักสงบ และสันติภาพมากๆ ส่วน "โกฮัง" จะระเบิดพลังได้ด้วย "ความโกรธ" เขาจะต้องโกรธถึงขีดสุดก็จะระเบิดพลังเป็นซูปเปอร์ได้ ในขณะที่ "เบจิต้า" ระเบิดพลังได้ด้วยวิธีของเขาเองอีกแบบหนึ่ง ซึ่งต่างจากโงกุนและโกฮัง สรุปง่ายๆ ว่า "มนุษย์เราทุกคน มีวิธีระเบิดพลังที่ต่างกัน" ซึ่งคุณจะต้องค้นพบมันด้วยตัวเอง และธรรมชาติจะจัดสรรให้คุณไปถึุงจุดนั้นให้ได้ด้วยตัวของคุณเอง แต่ขอบอกไว้สักอย่างหนึ่งนะครับ มันไม่ใช่เรื่องการโกรธแล้วทำร้ายร่างกายใคร จึงเรียกว่ามีพลังระดับซุปเปอร์นะครับ เอาง่ายๆ อย่างบางคน เขาก็ต้องมีแรงบันดาลใจจากอะไรสักอย่าง เขาจึงจะมีพลัง ระเบิดพลังออกมาใช้สร้างสรรค์งานของเขาได้ แต่บางทีที่เขาไม่มีพลัง ไม่มีไอเดียเลย คือ ระเบิดพลังไม่ได้ ไม่ออก ก็มีครับ งานของเขาจะแย่มาก ห่วย หรือฝืดไปเลย พอเข้าใจนะครับว่่าพลัง ไม่ได้มีแต่พลังเชิงลบ หรือพลังที่ใช้ในการทำลายเท่านั้น มีพลังเชิงบวก พลังแห่งการสร้างสรรค์ด้วย


วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้คุณค้นพบ "วิถีแห่งการระเบิดพลัง" ก็คือ คุณจำต้องยอมให้ตัวเอง "ตกอยู่ในสถานการณ์ที่คุณอาจไม่อยากอยู่เลย" สถานการณ์ที่คุณไม่ต้องการนั้น อาจเป็นตัวกระตุ้นให้พลังของคุณได้รับการกระตุ้นจนถึงขั้น "ระเบิด" ขึ้นมาได้ ซึ่ง "ตัวกระตุ้นให้เกิดการระเบิดของพลัง" นั้น ไม่เหมือนกัน และคุณต้องค้นหามันเองให้ได้ ก็เช่น เอี้ยก้วยกับเซียวเล่งนึ้ง ระเบิดพลังด้วยความรักก็มี เห็นไหมละว่าแต่ละคนถูกกระตุ้นด้วยพลังที่แตกต่างกัน เป็นตัวจุดฉนนวนให้เกิดการระเบิดขึ้นของพลัง ที่แตกต่างกัน รีบๆ ค้นหาให้พบเร็วๆ เข้าละ มันจะยิ่งทำให้คุณมีเวลามากขึ้นที่จะระเบิดพลังหลายๆ ครั้ง จนกว่าจะถึงระดับ "ซุปเปอร์ไซย่าร์" และกว่าจะระเบิดพลังได้ครั้งหนึ่ง คุณจะต้องมีพลังภายในสะสมมากพอควรก่อน เมื่อมากพอแล้วจึงจะระเบิดพลังออกมาได้ เมื่อระเบิดพลังไปแล้ว พลังของคุณจะลดลง ทำให้จะต้องสะสมพลังใหม่ ในจำนวนที่มากขึ้นไปกว่าเดิมอีก เพื่อจะไต่ระดับให้การระเบิดพลังครั้งต่อไปของคุณ พัฒนาสูงขึ้นจนถึงระัดับซุปเปอร์ไซย่าร์อย่างไรละครับ นอกจากนี้ ยังมีบางคนที่มีระบบพลังงานที่ไม่เหมือนคนอื่นๆ เหมือนมีห้องเครื่องระเบิดพลังหลายๆ อัน แยกกันอยู่ ทำให้เขาสามารถระเบิดพลังได้หลายวิธี แต่ละวิธีจะให้พลังไม่มาก และใช้ได้บ่อยๆ เรื่อยๆ ก็มีนะครับ เอาเป็นว่าถ้าคุณไปถึงจุดนั้นแล้วก็จะทราบว่ามันคือเรื่องของพลังงานที่ไร้จำกัด เหมือนดินเหนียวที่จะปั้นให้มันเป็นอะไร ดำเนินไปอย่างไร ก็เท่านั้นเอง ไม่มีสาระอะไร


สิ่งที่ผมแนะนำคุณได้คือ "ปล่อยให้ตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่คับขันหรือสถานการณ์ที่ไม่อยากอยู่อย่างที่สุดบ้าง" แล้วคุณอาจจะค้นพบว่า "พลังภายในตัวของคุณ ได้รับการกระตุ้น และระเบิดออกมานั้น" เป็นอย่างไร ยกตัวอย่างง่ายๆ เลย บางครั้ง ผมจะเหมือนเป็นศูนย์ไม่มีพลังอะไรเลยเหมือนคนตายแบบไร้จิตวิญญาณเลยนะครับ แล้วพอถูก หมาเห่าแรง ไล่กัด พลังกุณฑาลินีเย็นจะตื่นขึ้นไล่จากก้นกบขึ้นมาถึงไขสันหลังแล้วแยกไปทางแขนขวาและซ้าย (น่ากลัวมากๆๆๆ ผมยังกลัวตัวเองเลย) บางทีผมดูภาพโป๊ครับ กระตุ้นพลังได้เหมือนกันคือ พลังหยางจะตื่นขึ้น ทำให้จากเดิมหมดอาลัยตายอยากแล้ว ก็ทำให้มีแรงบันดาลใจเขียนเรื่องราวต่างๆ และทำงานต่อไปได้ บางทีผมก็จะอยู่ในที่เย็นแล้วพลัง "เอี๊ยง" ก็ตื่นขึ้น มันจะร้อนที่ท้องน้อยก่อนที่จะค่อยๆ แผ่ออกไปส่วนอื่นๆ ให้อบอุ่นขึ้น (คนจีนก็ทำเยอะ เช่น ไปว่ายน้ำในทะเลสาบน้ำแข็งไงครับ) บางทีผมก็จะเกิดความรักขึ้น ไม่ใช่กับใครนะครับ มันเป็นความรักในอดีตชาติมั้ง ระลึกได้แล้วหัวใจจะอบอุ่นมีพลังมากๆ ทำงานได้ เป็นพลังสาย "ดัชนีเอกสุริยัน" นะครับ วันๆ ผมจะต้องกระตุ้นพลังทุกวันเลยเพราะผมจะใช้พลังเหล่านี้เขียนบทความให้ท่านอ่านกันอย่างไรละครับ เมื่อก่อน เคยเปิดจักระเจ็ดรับพลังจากจักรวาล โอว มาเยอะมากๆ เลย เขียนได้เยอะมากๆๆ แต่ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองนัก แถมได้พลังปลอมปนแทรกเข้ามาเยอะ ต้องมานั่งเคลียร์ออกทุกที หลังทำงา่นเสร็จแล้ว ปล่อยไว้ไม่ได้ ดินพอกหางหมู แล้วจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ แก้ไม่ไ่ด้ภายหลังนะครับ เดี๋ยวนี้ ใช้พลังแบบเซฟๆ แล้ว เมื่อก่อนใช้เยอะมากๆ ตอนนี้ก็ออมแรงหน่อย แฮะๆๆ ก็อย่างที่เห็นแหละครับ บทความของผมมันจะเบาขึ้น ไม่อัดแน่นมากเหมือนเมื่อก่อนสักเท่่าไรนัก ปรับไปตามคนอ่านครับ จะได้ตามกันทัน 


เอาละ คืนนี้ ก็น่าจะพอควรกับใครบางคนที่รออ่านอยู่ ได้เป็นอะไรที่เล็กๆ ไปพัฒนาต่อนะครับ ไม่ได้บอกทุกอย่างละเอียดไปหมด แต่ให้ไปค้นพบด้วยตัวเองดีกว่าครับ มันไม่เหมือนกัน ลองเข้าสู่ภาวะที่พลังถูกปลุกให้ตื่น จนถึงขั้น "ระเบิดพลัง" ดูสิครับ แล้วจะเข้าใจได้เองไม่ยากเลย สำหรับวันนี้ คงต้องลาก่อน กินนมก่อนนอนนะเด็กๆ สวัสดี!



วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556

พลังแห่งรัก ที่มีอานุภาพไม่แพ้พลังขั้วบวก นั้นต้องไม่มีการแลกเปลี่ยน

อ้าววันนี้ "องค์ตลก" ไม่ลง เลยไม่มีเรื่องตลกมาเล่น หมดมุขไปเสียเฉยๆ ซะอย่างนั้น ไว้รอองค์ตลกลงก่อน ค่อยฟังเรื่องตลกกันนะครับ วันนี้ ผมจำเป็นต้องเม้าท์เรื่องพลังฉันทะ ที่เกิดขึ้นหลังรักสลายให้ฟังอีกสักนิด เพื่อให้ท่านได้รับพลังที่ถูกต้อง ไม่ใช่พลังแทรกอย่างอื่นๆ เพราะคำว่า "พลังแห่งรัก" นั้น มันกว้างมาก จนเปิดช่องให้พลังแทรกเข้ามาแทนที่ได้เยอะเลยครับ เอาละ ลองมาดูกันว่าแท้จริงเป็นยังไง


พูดถึงพลังแห่งรักกันต่ออีกนิดนะครับ เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดของใครหลายคน ที่อาจจะได้รับรู้ข้อมูลมาไม่ละเอียดเท่าใดนัก อย่างที่ได้บอกแล้วว่าพลังแห่งรักจะเกิดได้หลัง "กิเลสตัณหา" ดับลงก่อนนะ จึงจะเกิดเป็น "รักแท้" ที่ไม่ใช่ "รักเพราะกิเลสเจือปน" ขึ้นมาได้ ต่อไป ก็ยังต้องเป็นรักที่ไม่หวังผลตอบแทน แหม อันที่จริงออกจะหวานแหว๋วยังกะในหนังรักเกาหลีออกจะตายไป ใครชอบก็เลียนแบบตามนั้นได้เลยอ่ะ ง่ายดีไหม? เหมือนนิยาย เหมือนฝัน แต่ว่าทำให้มันเป็นจริงสิ จะได้ไหม? ส่วนใหญ่ไม่หรอกครับ เจอกันชอบกันแล้ว ต่างชอบกันให้กันได้ง่ายๆ เพื่ออะไร? เพื่อตัวเองก็มีความสุข และแฟนของเราก็มีสุข อะไรแบบนั้น มันก็แลกเปลี่ยนเหมือนกันแหละครับ จะมีไหม ใครที่รักเขานะ รู้ว่าเขารักเราด้วย มีอะไรกันก็ได้นะ ต่างก็มีสุขทั้งคู่ แต่ก็ไม่ทำ ปล่อยให้คนที่ตนรักไปมีอะไร ไปมีสุขกับคนอื่นแล้วตัวเองไม่ได้อะไร เห็นไหมละ ความเป็นจริงมันมักต่างจากนิยายใช่ไหม? กี่คนละที่จะทำตามหนังได้ ทั้งๆ ที่จริงมันไม่ยากเกินไปหรอกถ้า่เราจะทำ เพราะมันเป็นเรื่องของการกระทำของเราเอง ไม่ใช่การกระทำของคนอื่นใด คนส่วนใหญ่เป็นอย่างไร? ไปดูหนังเกาหลีซึ้งๆ ด้วยกัน แล้วก็ไม่ได้เป็นเหมือนในหนังหรอก แต่พอใจกันแล้วก็ได้เสียกัน เหมือนต่างได้ความสุขจากกัน มันก็คือ การแลกเปลี่ยนกันอย่างหนึ่งนั่นแหละครับ อย่างนี้ ไม่ใช่ความรักอย่างที่ผมแนะนำนะครับ มันมีแต่พลังด้านมืดครับ ไม่ใช่ความรักที่ไม่หวังผลตอบแทน เอาละ ถ้าคุณเข้าใจและทำ ได้แล้วอย่างหนึ่ง เอาง่ายๆ คุณทำได้กับคนที่คุณรัก คุณรักเขาโดยที่ไม่ได้อะไรกลับคืนมา ไม่หวังผลตอบแทน ยอมให้เขาไปมีความสุขกับคนอื่นได้ คุณก็จะเข้าใจ "ความรักที่ไม่หวังผลตอบแทน" และไม่มีการแลกเปลี่ยน คล้ายๆ ในหนังรักโรแมนติกอะไรอย่างนั้นเลยละครับ


ความรักที่มีผลตอบแทนและมีการแลกเปลี่ยนนั้น จะนำมาซึ่ง ช่องให้ "ภาคมืด" แทรกเข้ามาได้ เช่น เมื่อคุณรักในอาชีพหมอ เพราะเป็นสิ่งที่ทำแล้วมีเงินเดือนมั่นคง, มีเกีัยรติ์, มีตำแหน่งสูง, สังคมยอมรับ ฯลฯ นั่นคือ "มีสิ่งแลกเปลี่ยน" แล้ว เมื่อนั้น "ภาคมืด" ก็จะเข้ามาแทรกให้คุณได้รับสิ่งต่างๆ ได้ แต่มันจะเป็นการแลกเปลี่ยน เช่น บางครั้ง คุณอาจต้องทำสิ่งที่ขัดกับจรรยาบรรณบ้างเช่น เปิดคลีนิกในเวลาราชการ การผ่าตัดแปลงเพศให้ชายบางคนที่ยังไม่ควรได้รับ การเลือกปฏิบัติต่อคนไข้ที่มีเงินจ่ายต่างกัน ฯลฯ เยอะแยะไปครับ ที่เป็นช่องโหว่ให้ภาคมืดเข้ามาแทรกได้ ซึ่งหลายคนไม่รู้ตัว และคิดว่าตัวเองบริสุทธิ์มาก ไม่มีอะไรแทรกหรือผิดเลย ซึ่งไม่จริงหรอก ก็แค่เขาอาจไม่เห็นตัวเองว่าตัวเองพลาดไปจุดไหนบ้างก็เท่านั้น แล้วพอเขารวย, ได้เงิน, ได้สิ่งต่างๆ ตามที่เขาต้องการแล้ว "การแลก" ก็สำฤทธิ์ผล สุดท้าย ก็ต้องแลกด้วย "จิตวิญญาณ" ในที่สุด ไม่เหลือจิตวิญญาณแห่งความเป็นคน เคยสังเกตไหม ใครบางคนที่เหมือนไม่เหลือจิตใจเหมือนคนไปแล้วน่ะ มีนะ ถ้าคุณสังเกตดีๆ บางคนดูดีมากเลย ดีทุกอย่างและดูเพอร์เฟคมาก แต่นั่น "ไม่ใช่ตัวเขา ตัวเดิมเลย" เป็นตัวใหม่ที่มาจากภาคมืด ปั้นแต่งมาให้อย่างดี แต่ตัวเดิมของเขา (จิตวิญญาณเดิม) ก็ถูกภาคมืดเอาไปเสียแล้ว นี่แหละผลแห่งการแลก มันก็เป็นเช่นนี้และยังมีผลเสียที่ตามมามากมายอย่่างคาดไม่ถึง (แ่ต่ขอไม่อธิบายในที่นี้)


เอาละ เรามาเข้าเรื่อง "ฉันทะ" ซึ่งนอกจากจะเป็นสิ่งที่เกิดอย่างเป็นกลาง, บริสุทธิ์ หลังกิเลสตัณหาดับลงแล้ว ยังต้องไม่มี "ประโยชน์แลกเปลี่ยน" ตามมาด้วย กี่คนครับที่จะทำได้ ไหนยกมือขึ้นสิครับ? พรึ้บๆ พรั้บๆๆ (เสียงนกบิน) ไม่มีเลยสักคน ฮ่าๆๆ ไม่แปลกหรอก มันก็ปกติของสัตว์โลกนี่แหละ เป็นเ่ช่นนี้ น้อยครับ หายากยิ่งคนที่ทำโดยไม่ได้รับอะไรตอบแทนกลับมาจริงๆ มันเหมือนคน "โง่และบ้า" แหละครับ ที่ทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ทำไปทำไม ก็ไม่รู้ แล้วเมื่อไรจะหยุด ก็ไม่รู้ อ้าวแล้วทำไมต้องทำด้วยเนี่ย? ก็ไม่รู้เหมือนกัน คนทั่วไปก็สงสัยว่าคนนี้ ทั้งบ้าและโง่มากๆ อะไรแบบนั้น (ในสายตาของชาวโลก) แต่นี่แหละมันเป็น "ฉันทะแท้ๆ" ซึ่งมันจะกลายเป็นพลังสุดยอด แสนพิเศษ ที่ไม่แพ้พลังไซย่าร์เลยทีเดียวเชียวนะจะบอกให้ แต่คนส่วนใหญ่ ไม่สนใจนะครับ เพราะมันดูไม่ขลังเหมือน "มีดหมอ" อะไรแบบนั้น ซึ่งเดี๋ยวนี้ มันมีโฆษณาให้ใช้เงินแลกมาได้ง่ายๆ ด้วย เรื่อง "ฉันทะ" ที่ผมบอกว่่านี่คือพลังพิเศษก็จะไม่มีใครสนใจมองว่าเป็นเรื่องหลอกเด็กให้ทำความดี อะไรแบบนั้น โฮ่ๆๆ ก็ดีครับ ผมจะได้เป็น "สุดยอด" คนเดียว โฮ่ๆๆๆ ไม่ต้องมีใครมาแย่งตำแหน่งนี้ไปครอง เอ้า แต่ถ้าไม่พูดบอกไว้ เดี๋ยวคนจะว่าเอาตามหลังได้ว่า "ผมหวงวิชา" ในเมื่อให้ "เคล็ดวิชาลับสุดยอด" แล้ว ก็แล้วแต่ท่านผู้ชมละครับ เราไม่อยากอวดว่าของเราดี มันมีฤทธิ์เดชมากแค่ไหน? ไปดูโฆษณาพวกเครื่องลางของขลังที่เขาทำกันเกลื่อนบ้าน เกลื่อนเมืองเอาเถอะครับ ได้ง่ายๆ จ่ายตังค์ก็ได้เอามาครองแล้ว แบบผมนี่ มันยาก เพราะมันต้องพากเพียรทำไปเรื่อยๆ จน กว่าจะเห็นผลได้ บางคนก็ "หมดศรัทธา" หาว่าผมโกหก ขี้โม้ ไม่เห็นมีพลังพิเศษอะไรเลย ไปเสียก่อนแล้วก็ไม่เป็นปัญหาอะไร นั่นคือปกติของโลกครับ ของดีๆ แบบสุดยอด มันไม่ได้กันเกร่อหรอกครับ ไม่ใช่สิ่งที่ทำทีหนึ่งเป็นร้อยเป็นพันชุดแล้วให้ใครก็ได้ ที่มีเงิน บูชาเอาไปก็ได้ เสียที่ไหนกัน ตัวเองทำเอง เกิดผลแก่ตัวเอง ไม่มีการแลกบูชาด้วยเงินแต่อย่างใดครับ ของมันดีจริง ศักดิสิทธิ์จริง เหนือชั้น ไม่ต้องมีโฆษณามากครับ เหมือน "หลวงจีนกวาดลาน" นั่นแหละ ดูไม่เห็นมีอะไรพิเศษเลย อยู่วัดเส้าหลินเหมือนพระแก่ๆ กวาดลานวัดไปวันๆ ก็ไม่เห็นจะโดดเด่น มีชื่อเสียง โด่งดังอะไรกับเขา แต่ความจริงอาจจะไม่ใช่ย่อยๆ หรือด้อยกว่าใครที่เขาว่าเก่งๆ กันเลยนะ จะบอกให้ 


หลายคนได้รับการจัดสรรตามธรรมชาติให้ได้เรียนรู้สิ่งนี้ (พลังฉันทะ) แต่เขาพลาดไปเล็กน้อย กล่าวคือ เขาถูกจัดสรรให้ต้่องทำในสิ่งที่พ้นไปจากความรักหรือเกลียดไปแล้ว เคยอยากทำ เคยรักที่จะทำ แต่มันก็พ้นจากจุดนั้นไปแล้ว ก็ยังต้องทำงานต่อไป เสียดาย พลาดท่าไปก็นิดเดียวเอง คือ "ไปทำเพื่อผลประโยชน์ตอบแทน" เสียอย่างนั้น เขาเลยไม่ได้ "พลังฉันทะ" ตัวนี้ เคยเห็นไหมครับ ใครหลายคนที่ทำงานไม่ใช่เพราะรักในงานที่ทำอะไรหรอก ความรักในงาน มันดับไปนานแล้ว หมดไฟไปนานแล้ว ก็ทำไปอย่างนั้นแหละ "เพื่อเงิน" อ่ะ ง่ายๆ ครับ มันเป็นความจำเป็นของการดำรงชีพแบบมนุษย์ ยุคปัจจุบันครับ นี่แหละ เลยพลาดไม่ได้ฉันทะไป ได้เงิน, ได้อำนาจ, ได้ตำแหน่ง, ได้อย่างอื่น ฯลฯ แทน เลยไม่ได้ฉันทะ เพราะจิตตรงไปเอาอย่างอื่นแทน จิตไม่ได้ตรงไปสู่ธรรม เลยไม่ได้ธรรมตัวนี้น่ะครับ เอ้า ก็ไม่ไำด้ผิดอะไร ธรรมชาติของมนุษย์ส่วนใหญ่ครับ ถึงบอกว่า "พลังฉันทะนี้มันเป็นสิ่งที่สุดยอด เหมาะกับคนจำนวนน้อย" ไงละครับ เอาละ เรื่องพลังฉันทะ นี่พูดมาหลายตอนละ เนื้อหาไม่มาก แต่อยากเน้นให้เยอะๆ ก็เพราะมีความจำเป็นมากครับ หลายคนเข้าใจผิด และพลาดไป เลยไม่ได้สิ่งนี้ จำต้องเม้าท์ทีละน้อย วันละหน่อยอ่ะครับ (จริงๆ ก็นึกอะไรอย่างอื่นไม่ออกด้วยน่ะ โฮ่ๆๆ) วันนี้ ขอจบเท่านี้ละกัน เบาๆ สบายๆ นะครับ จะได้พักผ่อนวันหยุดครับ อ้อ เด็กๆ อย่าลืม "กินนมก่อนนอน" สวัสดีครับ



วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

พลังแห่งความพอใจหลังรักสูญสลาย ที่คุณอาจสับสนกับ "พลังแห่งรัก"

หลายคนคงเคยได้ยินมาบ่อยๆ ว่าให้ทำในสิ่งที่รัก หรือรักในสิ่งที่ทำ บ้างก็สอนกันมาว่าให้ใช้พลังแห่งรักกับทุกๆ สิ่ง อะไรแบบนั้น ซึ่งผมกำลังจะบอกคุณว่า "คุณกำลังเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะใช้พลังงานแบบผิด" ยังไงหรือ? อย่างนี้ครับ คนบางคนไม่ได้ทำให้กิเลสลดลง และไม่ได้เอากิเลสไปใช้ประโยชน์ แต่เขากำลังเลี้ยงไข้, เลี้ยงกิเลส จึงทำให้กิเลสยิ่งพอกพูนขึ้นไปใหญ่ เช่น เขาอยากเป็นดารามากๆ เขาบอกว่าเขารักในการเป็นดารา และเมื่อเขาได้เป็นดารา เขาจึงทำในสิ่งที่รัก และรักในสิ่งที่ทำ และเขาก็คิดว่า "นี่ละ ฉันทะ" นี่ละคือ ความรักอันถูกทาง ซึ่ง "ไม่จริงนะครับ" มันคือ "ความหลง" ครับ หลงเต็มเปาไปเลย และหลายคนหลงแบบนี้เยอะมากๆ จนคิดว่าตัวเองมีอิทธิบาทสี่ดี เพราะทำในสิ่งที่รัก หรือรักในสิ่งที่ทำ อะไรแบบนั้น โอ้ย ถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ พระพุทธเจ้าคงไม่ต้องตรัสรู้ให้เหนื่อยยากอ่ะครับ เพราะสัตว์โลกมันก็เป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น "ถ้าเขาเลือกได้นะครับ" ถ้าเลือกได้ทุกคนก็เลือกที่จะสนองกิเลสตัวเอง สนองตัณหา ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ของตัวเองกันหมด แล้วมันคงกลายเป็นอิทธิบาทสี่กันหมดแล้วสิครับ? แต่นี่มันไม่ใช่อย่างไรละครับ อย่างที่ฝรั่งสอนมา มันก็เหมือนเกือบๆ จะใช่ แต่มันยังไม่ใช่จริงๆ หรอกครับ "ฉันทะ" นั้น ไม่ใช่ "สนองกิเลสตัณหา ความอยาก, ความรัก, ความชอบ" ของตน ให้เสริมเพิ่มตัวตนของตนไปกันใหญ่ เช่นนั้น ไม่ใช่วิถีทางเผาผลาญกิเลสแล้วครับ เอาละ แล้วจริงๆ มันเป็นอย่างไร ผมก็จะอธิบายให้ฟัง


"ฉันทะ" มันไม่ใช่ "ความรักแบบทางโลก" ไม่ใช่นั้น พระพุทธเจ้าก็ใช้คำว่า "ความรักทางโลก" หรือ รักแบบโลกๆ หรือคนที่มีความรักแบบโลกๆ ก็คงมีฉันทะกันทั้งนั้น ไม่ต้องมาตรัสรู้ให้ยากเย็น แต่ฉันทะคือ "ความพอใจหลังภาวะตัณหาและวิภาวะตัณหาดับลง" หรือ หลังจากที่เรามีความรักหรือความไม่รัก อยากไม่อยาก ชอบไม่ชอบ ก็แล้วแต่ แล้วมัน "ดับหมดทั้งสองฝั่งฝ่าย" ไม่ใช่ทั้งสองฝั่งฝ่าย จากนั้น เราก็ยังต้อง "ทำหน้าที่ของตนเองต่อไป" ทำเหมือนไม่มีความรู้สึกรักหรือไม่รักอีกแล้ว แต่ไม่ใช่รู้สึกเป็นลบเพราะถูกบังคับให้ทำนะครับ มันจะ "พอใจ ยอมรับความเป็นจริงได้" แล้วจึงทำหน้าที่ไป อย่างผู้ที่พร้อมยอมรับความจริง นั่นแหละ เช่น ไม่ได้อยากเป็นคนรับใช้ แต่ก็พร้อมยอมรับความจริง ทำใจได้ แล้วทำงานไปด้วย "ความพอใจจิตผ่องใส"  อันนี้แหละ "ฉันทะ" แท้ๆ เกิดแล้ว แต่ถ้าทำไปด้วยใจขุ่นมัว, หมองใจ ก็ยังไม่เกิดฉันทะได้ หรือทำไปด้วยความรักความชอบทางโลก อันนั้น ไม่ใช่ "ฉันทะ" ซึ่งเป็นเรื่องทางธรรมอย่่างแน่นอน สมมุติก็ได้ เหมือนคุณรักชอบใครอยู่ หรือรักชอบที่จะกระำทำสิ่งใดอยู่ แล้วถูกห้าม หรือขวางกั้นทำให้ไม่ได้ทำ จนคุณจบแล้ว พอแล้ว หมดแล้ว ซึ่งพลังหรือความต้องการ, ความรัก อะไรใดๆ แล้วคุณก็ยังต้องทำอะไรไปด้วยจิตที่ไม่ได้เป็นบวกหรือลบ แต่เพราะคุณคิดได้ ปลงตก เข้าใจ จิตคุณจึงผ่องใส แบบนี้ละ เขาเรียกว่า "ฉันทะ" เวลาคุณทำงานไป คุณจะรู้สึกได้เลยว่า "เหมือนถูกเผาผลาญภายในทำให้ความอยากมันไหม้หมดสิ้น" พูดง่ายๆ คือ หมดอยากแล้ว ไม่เหลืออยากแล้ว แต่จิตไม่ได้ขุ่นข้องหมองมัวนะครับ มันผ่องใส ด้วยใจที่ยอมรับได้ ปลงตกจริงๆ น่ะแหละ ทำงานไปแบบอาการปลงๆ อ่ะ นั่นแหละ กิเลสมันจะถูกเผาไปจนวอดวายหมดไปเองเลยกับการทำงานนั่นแหละ เขาเรียกว่าฉันทะ


ทีนี้ ผมเลยเรียกเป็นชื่อเล่นๆ ในแบบของผมว่า "พลังรักสลาย" ก็แล้วกัน คือ มันจะเกิดขึ้นหลังความรัก, ความหลง, ความชอบ, ความอยากได้, อยากมี, อยากเป็น มันดับสลายลงแล้วเราก็ยังต้องทำงานของเราต่อไป นั่นแหละ "ฉันทะ" คุณเอ๋ย ใครทำได้อย่างนี้ อายุยืนเป็น ๑๒๐ ปีแน่ะครับ พระพุทธเจ้าบอกไว้ว่าได้อิทธิบาทสี่นี่แหละ จะอยู่ให้ถึงตั้ง ๑ กัป ก็อยู่ได้ เพราะอะำไีรละ ลองคิดดูเอง มันเคยรักนะ แต่มันหมดไปแล้ว สลายไปหมด ซังกะตายยังกะศพ พอผ่านด่านตรงนั้นมาได้ มันก็เหมือนเอาชนะความตายได้แล้ว มันผ่องใสขึ้นมาอีกครั้งด้วยจิตที่เป็น กลาง ไม่บวก ไม่ลบ อะไรกับมัน เหมือนคนหมดเรี่ยวแรง กำลังใจแล้วฮึดสู้ขึ้นมาได้ใหม่นั่นแหละ แล้วมันจะไม่สุดยอดได้อย่างไร เพราะคนที่ทำได้แบบนี้ "มันน้อยยิ่งนัก" นอกจาก รักอะไรไม่เป็น แล้วหลงว่ามีความรัก แล้วคิดว่าได้ฉันทะ อะไรแบบนั้น อย่่างนี้เยอะแยะ ยังไม่ใช่ของจริง อย่างที่ฝรั่งสอนนั้น "ยังไม่ละเอียด" อาจพลาดได้นะครับ


เอาละ เม้าท์เรื่องธรรมะก่อนนอนมากไป จะเครียดเอา เดี๋ยวเด็กๆ บ่นว่าไม่สนุก นิทานอะไร ไม่เห็นสนุกเลย ฮ่าๆๆ ก็สลับๆ กันไปนะครับ ในบางวันก็สนุกๆ เบาๆ บางวันก็อาจมีสาระขึ้นมาได้เหมือนกัน สำหรับวันนี้ อย่าลืมกินนมก่อนนอนนะเด็กๆ นอนหลับฝันดี ราตรีสวัสดีครับ



  

วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2556

โลกนี้ไม่มีใครต้อยต่ำ เพียงแต่คุณจะทำให้พลังของคุณโดดเด่นขึ้นมาได้อย่างไร?

มีเรื่องน้องเนยมาเม้าท์อีกแล้วเพราะน้องเนยใฝ่ฝันที่จะไปอินเดียมาก หลังจากที่น้องเนยรู้ว่าที่อินเดียมีข่าวสตรีถูกข่มขืนบ่อยๆ เธอบอกว่าจะไม่ไปไหนหรอก แึ่ค่นั่งรถโดยสารเล่นไปเล่นมาเท่านั้น เอาละ ขำๆ วันละนิดจิตแจ่มใส พี่ชายขอเข้าเรื่องของเราดีกว่า ในบทความนี้เป็นเรื่องของ "คนบนโลกที่ไม่มีใครต่ำต้อย" ทุกคนโดดเด่นเป็นดาวได้ ก็เมื่อเขารู้วิธีที่จะทำให้พลังของเขาโดดเด่นขึ้นมา อย่างถูกวิธีนะครับ ไม่ใช่อยากได้เลยแลกเปลี่ยนกับภาคมืด มันก็ได้เหมือนกัน แต่ไม่คุ้มหรอกครับ อ้าวแล้ว ทำอย่างไรละ พลังของเราจึงจะโดดเด่นเป็นดาวกับเขาได้? นี่ละ วันนี้พี่ชายจึงมาแนะนำเคล็ด (ไม่) ลับ ดังต่อไปนี้


มันคือความจริงอีกประการหนึ่งว่า "ไม่มีใครต่ำต้อยเพียงเพราะสิ่งที่เขาเป็นหรอก" เช่น เขาเป็นคนพิการ, เขาเป็นเด็กกำพร้า, เขาเป็นแค่แรงงานต่างด้าว หรือเขาเป็นเพียงคนรับใช้ไม่รู้หนังสือ ฯลฯ มันไม่ใช่เรื่องว่าเขาเป็นอะไร เพราะธรรมชาติสร้างให้เรามาเป็นในสิ่งที่ต่างกันอยู่แล้ว ทุกอย่าง ทุกคน ทุกตำแหน่ง จึงมีคุณค่าในตัวเอง เพียงแต่จะดึงเอาพลังของตัวเองออกมาใช้จนโดดเด่นเป็นดั่งดวงดาวได้อย่่างไรต่างหาก นี่คือ สิ่งที่เราควรสงสัย เช่น ถ้าเราเป็นคนตกงาน หางานทำไม่ได้ เราก็ไม่ต้องไปหลงคิดแต่ว่าคนมีงานทำเท่านั้นจึงถูกต้องหรือดี ไม่จำเป็นนะครับ คนไม่มีอาชีพ ไม่มีงานทำ ก็มีคุณค่าได้ ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราก็จะเลิกทำตัววุ่นวาย, ว้าวุ่น, สับสน กับการหางานทำให้ได้ เพราะเราไม่มีงานทำ และัมัวแต่น้อยเนื้อต่ำใจอยู่นั่น แล้วหันมาทำกิจของตัวเองที่ตนพอทำได้จริงในชีวิตจริง ณ ปัจจุบัน ไม่ใช่ ณ อนาคต (เช่น งานที่ทำได้ ณ เวลาปัจจุบัน ไม่ใช่งานที่รอให้เขาเรียกตัวไปทำ อะไรแบบนั้น) เมื่อเราทำให้มันดีขึ้น มันก็จะโดดเด่นและกลายเป็นดั่งดวงดาวดวงหนึ่งเองนั่นแหละครับ ผมเรียกวิถีนี้ว่า "วิถีต่างดาว" ครับ


วิถีต่างดาวนั้น มันมีองค์ประกอบสองส่วนที่สำคัญ คือ "ดาว" หมายถึง คุณค่าโดดเด่น เป็นประจักษ์ เป็นเอกลักษณ์ หาใครแทนไม่ได้ (ดาวแต่ละดวงมีเพียงหนึ่ง ประจำตำแหน่งของตนเท่านั้น ไม่มีสำรองอีก) และคำว่า "ต่าง" ซึ่งหมายถึง ความแตกต่าง, ความหลากหลาย และอะไรๆ ที่ไม่ใช่โลก หรือเหนือพ้นแล้วไปจากการยึดติดโลก ก็ลองเอาความหมายทั้งหมดมารวมๆ กันดูนะครับ นั่นคือ "วิถีต่างดาว" ที่ผมจะแนะนำคุณ ดังนั้น มันจึงเปิดกว้างอย่างท้องฟ้า หรือจักรวาลเลยครับ เหมือนคนเราทุกคน อยู่ตำแหน่งอะไร ทำงานอะไร ก็สามารถทำตัวให้มีคุณค่าหาใครแทนที่ไม่ได้ เหมือนกันนะครับ เราไม่จำเป็นต้องไปเป็น "ดาวดวงเดียว" ดวงนั้น หรือแย่งกันอยู่แต่ตำแหน่งดาวดวงเดียว มีตำแหน่งดาวบนท้องฟ้า หรือในจักรวาลนี้มากมายเหลือคณานับ ยิ่งกว่าำจำนวนสิ่งมีชีิวิตบนโลก เสียอีกครับ ดังนั้น เราได้ทำให้ตัวเราได้ไปสู่จุดที่เรียกว่า "ดาวประจำตำแหน่ง" ของตัวเราเองหรือยังละครับ เช่น บางคนเป็นแค่คนรับใช้ แต่ได้พัฒนางานตัวเองมากแค่ไหน หรือว่าวันๆ เอาแต่แอบเปิดดูทีวีตอนเจ้านายไม่อยู่ แค่นั้นหรือ? หรือว่าได้ลองค้นหาวิธีสารพัดอย่างในการทำให้บ้านนั้นดีขึ้น น่าอยู่ขึ้น จนได้ค้นพบเคล็ดลับมากมาย เก็บไว้ใช้กับตัว ไม่ว่าจะใช้กับบ้านเจ้านายหรือว่าบ้านของตัวเอง ผมบังเอิญได้ดูทีวีช่องดีมาก เป็นรายการที่ใช้รายการของญี่ปุ่นมาแปลให้เราดูอีกที เกี่ยวกับ "แม่บ้าน" สุดยอดครับ แม่บ้านท่านนี้ ดูเหมือนแม่บ้านมากๆ ไม่ได้มีอะไรที่ดูอวดใครได้ ทว่า มันไม่จริงอย่างนั้น เพราะเขาคือคนที่มีคุณค่ามาก สามารถใช้อะไรๆ ทำงานบ้าน พัฒนางานบ้านได้อย่างดีทีเดียว "บ้าน" จึงกลายเป็นดั่งห้องแล็ปทดลองของเธอ ที่ทำให้เธอค้นพบวิธีใหม่ๆ ในการจัดการบ้านมากมาย เจ๋งไปเลยไหมละ นั่นหละ เหตุผลว่าทำไม ญี่ปุ่นจึงเป็นประเทศที่พัฒนาไปอย่่างรวดเร็ว เพราะคนทุกคน เห็นคุณค่าในงานของตนเอง และทำมันอย่างดีที่สุด แม้บางคนจะดูเหมือนไม่มีคุณค่าอะไรมาก เป็นแค่แม่บ้าน ทำงานอยู่กับบ้านไปวันๆ เท่านั้นเอง? แ่ต่ใครจะไปรู้ละครับว่า "เคล็ดลับเล็กๆ" ที่แม่บ้านใช้อยู่ อาจกลายเป็นวิธีลดต้นทุนในกระบวนการผลิตระดับอุตสาหกรรม ก็ได้ ถ้านึกภาพไม่ออก เอาง่ายๆ เลย ปลากระป๋อง สูตรเด็ด ขายดีเทน้ำเทท่า อาจจะได้มาจาก "แม่บ้าน" ที่บ้าน ที่ทำได้อร่อยจนสามีติดใจ ก็ได้ ใครจะไปรู้!


ดังนั้น ผมจึงมองว่าแม้แต่แม่บ้านที่ทำงานอยู่ในบ้าน ก็มีคุณค่าและมีความสำคัญไม่ต่างไปจากการเป็นนายกหรอก ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับ "จิตใจ" ของเรามากกว่า เช่น ถ้าใจเราทำงานโดยคิดแต่เรื่องส่วนตัวหรือคนในครอบครัวตัวเองเท่านั้น ต่อให้เป็นนายก ก็จะเป็นนายกที่ทำเพื่อประโยชน์ของคนในตระกูลได้เท่านั้น แ่ต่ถ้ามีจิตใจที่กว้างขวางก็จะกลายเป็น "มหาบุรุษ" หรือ "รัฐบุรุษ" ก็ได้ แม้จะทำหน้าที่เพียงแม่บ้าน ก็ตาม (ในระดับอุตสาหกรรม อาจต้องใช้เงินทุนมหาศาลในการทำวิจัยคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ แต่แม่บ้าน อาจทดลองทำกับข้าวสูตรใหม่ๆ ได้ด้วยต้นทุนต่ำ และไม่เสียทิ้งไปเปล่าประโยชน์เลยและอาจกลายเป็นการแก้ไขปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศหรือของโลก) ปัจจุบัน คุณจะเห็นได้ว่าคำว่า "ดาว" เริ่มขยายความหมายกว้างขึ้น ก็ไม่จำกัดเฉพาะแค่ดารา, นักร้อง เท่านั้น แต่อาจเป็นคนธรรมดา ใครก็ได้ที่ทำหน้าที่ได้โดดเด่น มากพอที่จะเรียกว่า "ดาว" เดี๋ยวนี้ คนที่ดูไม่มีชื่อเสียงมาก่อน ไม่ใช่ดารา, นักร้อง ฯลฯ บางคน กลับกลายเป็นข่าวดัง ทำอะไรมีคนจับตามอง และกลายเป็นข่าวได้เหมือนกัน ทว่า ในประเทศของเรา เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ผมคิดว่าในอนาคตจะเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นกว่านี้ครับ อย่างไรก็ดี การโดดเด่นเป็นดาว เป็นที่รู้จักนี้ อาจได้มาด้วย "วิถีภาคมืด" เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น ผมจึงแนะนำให้คุณอย่าหลงไปกับกับดักเหล่านั้น และเป็นดาวที่แท้จริงให้ได้ ด้วยวิถีทางของคุณเอง ไม่ใช่ดาวที่ถูกปั้นแต่งด้วยอำนาจของภาคมืดครับ 


เอาละ บทความนี้ เป็นเพียงการจุดประกายความคิดให้คนเปิดใจกว้างขึ้นในการที่จะเห็นคุณค่าของคนทุกคน และงานทุกงาน แม้ว่ามันจะไม่มีรายได้ ไม่ถูกเรียกว่าอาชีพใดๆ ก็ตาม เพราะว่าสิ่งที่ไม่ใช่อาีชีพนี่ละ มันมักจะกลายเป็น "บรรพบุรุษต้นกำเนิดของอาชีพใดๆ" ทั้งนั้น ก็อย่างเช่น อาชีพหมอ ในอดีตนั้น ไม่ใ่ช่อาีชีพครับ เป็นแ่ค่คนธรรมดาที่รู้จักการรักษาโรคได้ แต่จะมาเปิดโรงหมอน่ะหรือ? ใครจะมีเงินมาให้เราละครับ? ในเมื่อยุคนั้น คนยังไม่ได้มีรายได้ เ็ป็นตัวเงินกันมากอย่างนี้ คนในยุคนั้นจึงเป็น "หมอจริงๆ" ไม่ใช่ "พนักงานรักษาโรค" หรือ "คนรักษาโรคแลกเงิน" อะไรแบบนั้น เอาละ ไม่อยากรบกวนเวลานอนของเด็กๆ มากไป บทความวันนี้ ขอจบลงเท่านี้ สวัสดีครับ




วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556

เทคนิกการดึงพลังบุญเข้า ตามหลักกฏแห่งแรงดึงดูดและพลังไซยาร์

มีเรื่องของ "น้องเนย" จะมาเม้าท์ให้ฟัง น้องเนยบอกว่าเมื่อก่อนน้องเนยไม่ได้สนใจธรรมะเท่าไร แต่วันหนึ่งน้องเนยจึงได้รู้ว่าธรรมะนั้นมันงดงาม ยิ่งกว่าดอกไม้ล้านแสนชนิด หมื่นหลากสีสัน บนสรวงสรรค์ขนาดไหน เมื่อน้องเนยได้ถามอาจารย์สอนธรรมท่านหนึ่งว่า "ธรรมะคืออะไร?" แล้วอาจารย์ท่านนั้นไม่ตอบ ได้แต่ส่งกระจกให้น้องเนย ก็พอน้องเนยได้ส่องกระจกเท่านั้นแหละ น้องเนยก็รู้ฉับพลันว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าช่างสวยสดงดงามเสียนี่กระไร แล้วจากวันนั้นมาน้องเนย จึงรักพระธรรมมาตลอดเลย เอาละ พี่ชายเม้าท์เรื่องของน้องเนยให้ฟัง เล่นๆ พอสมควร เข้าเรื่องของเราดีกว่า วันนี้ เป็นเรื่องของวิธีการดึงเอาพลังบุญเข้ามาสู่ตัวเรา ตามกฏของแรงดึงดูดและพลังไซย่าร์ ซึ่งมีรายละเอียดต่อเนื่องจากบทความอื่นๆ ที่แล้วมา ดังต่อไปนี้


เทคนิคง่ายๆ ที่จะทำให้พลังบุญเข้ามาสู่ตัวคุณ ก็คือ ให้คุณเปิดใจให้กว้างๆ ใสๆ ไว้แล้วถ้ามีอะไรเข้ามาในชีวิตที่มันอาจไม่ตรงใจ หรือไม่ชอบใจ อย่าปฏิเสธ อย่าปิดรับเด็ดขาด ให้เปิดรับเลย รับไว้ก่อน มันเป็นพลังบุญต้นทาง เดี๋ยวมันจะมีบุญไหลตามมาอีกเหมือนแม่น้ำไหลเป็นสายๆ นึกออกไหม ต้นน้ำมันอาจขุ่นๆ เราอาจไม่ชอบ แต่ถ้าเราไปปฏิเสธมัน ไม่เอามันปิดรับมันเสียแล้ว มันก็จะตามมาอีกไม่ได้ เราต้องเปิดทางให้มันเข้ามาก่อน ให้พลังบุญนั้นเข้ามายังตัวเราก่อน เช่น เขาเอาของมาให้เรากิน แต่เป็นของที่เราไม่ชอบเอาเสียเลย ก็อย่าปฏิเสธครับ รับไว้ก่อน กินพอเป็นพิธีนิดหน่อยก็ได้ แต่อย่าไปปฏิเสธนะครับ แล้วพลังบุญมันจะค่อยๆ ไหลเข้ามาเองเรื่อยๆ เป็นสายน้ำเลยครับ ทีนี้่ ผมจะขอสรุปเป็นข้อๆ เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ ดังต่อไปนี้ครับ


๑. เชื่อว่าคนเราทุกคนล้วนมีบุญ ซึ่งเป็นความจริงอยู่แล้ว กล่าวคือ คนเราทุกคนย่อมมีวิบากกรรมทั้งสิ้น และวิบากกรรมทั้งหลาย ย่อมมีทั้
งด้านดี (บุญ) และด้านร้าย (บาป) ดังนั้น ไม่มีใครที่ไม่มีบุญ แต่การมีบุญก็ไม่เที่ยง ย่อมมีเกิดและดับได้ตามวาระ เป็นธรรมดาอีกด้วย

๒. เชื่อว่าแม้เราเองก็มีบุญของตัว ซึ่งเป็นความจริงอยู่แล้ว ไม่ใช่แต่คนอื่นหรือหลักการทั่วไป แต่ตัวเราเองก็มีบุญไม่ต่างจากผู้อื่น เห็นเขามีบุญ ได้เสวยผลบุญ เรายินดี แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีหรือไม่ได้ คนเรามีบุญต่างกัน เสวยผลบุญในวาระที่ต่างกัน ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน

๓. มองเห็นสิ่งที่เข้ามานั้นเป็นบุญซึ่งเป็นความจริงอยู่แล้วเพราะวิบากกรรมต่างๆ ที่เข้ามาสู่ตัวเรานั้น ย่อมมีทั้งสองด้าน แต่เราจะไม่เพ่งจมอยู่กับด้านไม่ดี เราจะเปิดรับด้านดี คอยสังเกตุด้านดี ทำให้จิตใจเราเชื่อมโยงกับพลังบุญ พลังด้านดีอยู่อย่างต่อเนื่อง ดังน้ำไม่ขาดสาย

๔. เลือกรับหรือมองสิ่งดีๆ ที่เข้ามา ซึ่งเป็นความจริงที่เราเลือกได้ แต่ไม่เที่ยง ไม่ใช่เลือกได้ตลอดเวลา เวลาใดที่เราเลือกได้ เราก็เลือกสิ่งที่ดี ซึ่งมีอยู่เรื่อยๆ เพียงแต่บางครั้งเรามัวมองหรือเลือกบางสิ่งมากไป จนลืมมองสิ่งดีๆ ที่ใกล้ตัวและรอให้เรารับอยู่เสมอโดยไม่ต้องแย่งใคร

๕. เปิดใจกว้างให้มากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนลูกโป่งที่พองโต ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำได้ การเปิดใจยิ่งกว้าง ยิ่งทำให้เราเปิดรับอะไรได้มาก เมื่อเราคัดเลือก, กลั่นกรองเป็นแล้ว จูนสิ่งดีๆ ติดได้แล้ว เราก็ใช้พลังดึงดูดให้เข้ามา โดยการทำให้ใจกว้างๆ ไว้ ก็จะยิ่งมีสิ่งต่างๆ เข้ามามาก

๖. อย่าปฏิเสธอะไร ถ้าทำให้เป็นนิสัยได้จะดี แม้ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือไม่ ก็ตาม, ชอบหรือไม่ ก็ตาม ฯลฯ รับไว้่ก่อน รับไว้เฉยๆ ก็ได้ แล้วเชื่อว่ามันต้องเ็ป็นสิ่งที่ดีแน่ๆ แม้ว่ามันจะดูแย่หรือเลวร้ายก็ตาม เพื่อจุดพลังด้านบวกให้จูนติดกับสายพลังบุญอย่างต่อเนื่อง ไม่เป๋ออกไปทางอื่น

๗. หลีกเลี่ยงพลังงานด้านตรงข้าม ถ้าจำเป็น แทนการปฏิเสธ เราจะใช้การหลีกเลี่ยงหรือเบี่ยงเบนแทน แต่จะไม่ใช่การปฏิเสธ เช่น ถ้ามีคนเอาสิ่งที่ไม่ควรรับอย่างยิ่งอย่างยาเสพติด มาให้เรา เราก็อย่าไปปฏิเสธ เช่น เอาสิ แต่ว่าน้อยไป รอให้มากกว่านี้ ค่อยเอามาให้นะ 

๘. เชื่อมต่อพลังงานด้านบวกให้แผ่ขยายออกไป จากตัวเราสู่คนอื่นๆ เหมือนไฟฟ้าที่มีการต่อวงจรและสายไฟฟ้า เพื่อหล่อเลี้ยงหรือทำให้เกิดพลังร่วมที่ใหญ่ยิ่งขึ้น ซึ่งบางครั้งเราอาจช่วยจุดพลังบวกให้ผู้อื่น แต่บางครั้ง เราอาจต้องขอให้ผู้อื่นช่วยจุดพลังบวก ให้เราก็เป็นได้

๙. เคลียร์ระบบพลังงานให้ปกติ คือ เป็นพลังบวกอยู่เสมอ หากได้รับพลังด้านตรงข้ามสะสมมากไป จำเป็นต้องหาวิธีขจัดออกให้ถูกต้อง ก็จะทำให้ระบบพลังงานไหลเวียนได้อย่างสะดวก แต่จะไม่ทำให้เป็น ๐ เพราะจะทำให้พลังไฟฟ้าขั้วบวก หมดพลัง และกลายเป็นไม่มีไป

๑๐. ปลุกพลังไฟฟ้าขั้วบวกของคุณและผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งตัวคุณเองก็ปลุกพลังขั้วบวก และผู้อื่นก็ปลุกพลังขั้วบวก หรือต่างฝ่ายต่างก็ปลุกพลังขั้วบวกให้แก่กัน ก็ได้ เพื่อให้เกิดพลังขั้วบวกมวลรวม อันจะส่งผลให้ทุกๆ คนได้รับประโยชน์จากพลังขั้วบวกนี้อย่างไม่มีขีดจำกัด


อนึ่ง พึงเข้าใจว่าการใช้พลังขั้วบวกนี้่ ไม่ใช่การ "คิดเชิงบวก" หรือที่ภาษาฝรั่งเรียกว่า Positive thinking แต่น่าจะตรงกับคำที่ฝรั่งเรียกว่า "กฏของแรงดึงดูด" มากกว่า เพราะรายละเอียดต่างกันจริงๆ เราจะไม่เน้นให้คิดครับ เราเหมือนคนโง่ ไม่มีสมองจะคิดยังได้เลยครับ ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด แม้เราจะคิดไม่เป็น คิดไม่เก่ง แต่เราสามารถมีพลังขั้วบวกได้ครับ ถ้าจะให้ดี ก็เลิกคิดมาก จะยิ่งดีครับ ดังนั้น สำหรับท่านที่คุ้นเคยกับการใช้ "ความคิด" อาจจะไม่ค่อยถนัด กับการใช้พลังขั้วบวกนี้เท่าใดนัก เพราะท่านอาจจะเผลอกลับไปใช้วิธีแบบการคิดเชิงบวก เช่นเดิม เอาละ บทความสำหรับวันนี้ ก็มากพอสมควรแล้ว จะได้ไม่เสียเวลานอนดูดนม เอ้ย กินนมแล้วนอน ของเด็กๆ ทั้งหลาย ก็ขอยุติจบลงแต่เพียงเท่านี้ พบกันใหม่บทความหน้า ราตรีสวัสดิ์ครับ


วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

ทฤษฎีวิวัฒนาการของ "ชาล ดาร์วิน" ยังไม่ถูกนัก เรามาดูทฤษฎีใหม่กันดีกว่า

เด็กๆ คงรู้จัก "ชาล ดาร์วิน" ดี เจ้าของทฤษฎีวิวัฒนาการไงครับ ถ้านึุกไม่ออกก็ต้องลองนึกถึงภาพ ลิงที่ค่อยๆ ยืนตัวขึ้นแล้วเดินเรียงแุถวกัน ในที่สุดก็กลายเป็นคน นั่นเอง เอาละ ผมชอบเขามากเลย เพราะแนวคิดของเขามัน "ยาวไกล" ดี ทำให้รู้จักสัตว์โลกในระดับยาวไกล ฝึกให้เราสนใจที่จะมองที่มาของเราแต่อดีตหนหลัง และก้้าวต่อไปในอนาคตข้างหน้า สรุปก็คือ ผมชอบเขาแหละครับ แต่ว่านะ คนเรามันก็มีแนวคิดของตัวเองเหมือนกัน ซึ่งแนวคิดของผมเรื่องวิวัฒนาการนั้น แตกต่างไปจากชาว ดาร์วินนะครับ อ๊ะ เด็กๆ อย่าเพิ่งคิดว่าผมจะมาเล็กเชอร์ยากๆ อย่างเดิมครับ ผมเน้นคำอธิบายที่ง่าย เด็กที่ไม่ได้เก่ง อะไร ก็อ่านแล้วเข้าใจเหมือนกัน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ครับ


อย่างแรก ผมอยากให้ลองดูจุดสังเกตในทฤษฎีของ "ชาล ดาร์วิน" ที่ขัดแย้งกันเอง ทำให้ผมคิดว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการของ "ชาล ดาร์วิน" ยังไม่ถูกนัก มีหลายประการ ซึ่งผมจะไล่เป็นข้อๆ ไปนะครับ ดังนี้ครับ

๑. ถ้าลิงเกิดก่อนมนุษย์ลิงก็น่าจะฉลาดกว่ามนุษย์ไปแล้ว? ใช่ไหมละ แต่ปัจจุบัน มนุษย์ก็ฉลาดกว่าลิง ซึ่งมันขัดแย้งกับทฤษฎีวิวัฒนาการที่ว่าสิ่งที่เกิดมาก่อนและวิวัฒนาการมาเรื่อยๆ ก็น่าจะมีพัฒนาการที่ดีกว่า ซึ่งจุดนี้เอง ทำให้ผมคิดว่า "บรรพบุรุษของมนุษย์" เกิดก่อนลิง

๒. ถ้าแมลงสาบมีอายุมากกว่าคน แมลงสาบก็น่าจะฉลาดกว่าคนนะสิ ซึ่งมันไม่จริง ทำให้ผมคิดว่าที่จริงแล้ว แมลงสาบก็แค่ไม่ค่อยเปลี่ยนไปจากเดิม ทำให้เรารู้สึกว่ามันคือสัตว์ดึกดำบรรพ์ ส่วนคนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทำให้คนใหม่อยู่เสมอ แต่ไม่ไ่ด้แปลว่าคนเกิดทีหลังแมลงสาบ

๓. ถ้าสัตว์เซลเดียวเป็นต้นแบบของสรรพชีวิตทั้งมวล มันก็จะน่าเกิดการวิวัฒนาการไปมากกว่าเป็นสัตว์เซลเดียว แต่ทุกวันนี้ เรายังเห็นสัตว์เซลเดียวก็ยังคงเป็นสัตว์เซลเดียวเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ที่จริงคือ การวิวัฒนการระดับวัตถุ น่าจะเกิดจากระดับพลังงานมาก่อน

๔. สัตว์ที่เป็น "ต้นแบบ" หรือมีพลังงานภายในที่เปลี่ยนแปลงมากๆ จนขับดันให้เกิดการวิวัฒนาการนั้น ก็ควรจะดู "ใหม่ที่สุด" โดยไม่มีการใช้วิทยาศาสตร์ดัดแปลงพันธุกรรม (อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้) เช่น มนุษย์ จะดูใหม่เสมอ เพราะมีพลังงานภายในที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ


เอาละ แค่สี่ข้อนี้ก่อนก็แล้วกันนะครับ ที่ทำให้ผมเสนอแนวคิดขัดแย้งกับทฤษฎีวิวัฒนาการของ "ชาล ดาร์วิน" และผมขอเสนอแนวคิดใหม่ในเรื่องการวิวัฒนาการ ซึ่งมาจากความคิดของผมเอง ทั้งสิ้น ๑๐ ข้อครับ อาจจะแตกต่างไปบ้างจากที่ท่านเคยเรียนรู้มาจาก ชาล ดาร์วิน แ่ต่ไม่ถึงกับยากหรือแปลกเิกินไปกว่าที่จะเข้าใจนะครับ เพราะผมยังเน้นความง่าย ต่อการเข้าใจอยู่เสมอ เอาละ รายละเีอียดมีดังนี้ครับ


๑. การวิวัฒนาการเกิดจากระดับพลังงานไปสู่ระดับสสาร ไม่ใช่เกิดในระดับสสารไปสู่ระดับสสาร (เช่น จากลิงไปสู่มนุษย์) เฉกเช่นเดียวกับการวิวัฒนาการของ "ดาวโลก" ที่เกิดจากแรงขับดันระดับพลังงานจึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับสสารให้เห็นได้ เป็นลำดับต่อไป 

๒. พลังงานที่เป็น "ต้นแบบ" ในการวิวัฒนาการจะอยู่ในสสารที่มีการเปลี่ยนแปลงเสมอๆ หรือทำให้เราเห็นว่า "ใหม่" อยู่เสมอ เช่น มนุษย์ จะมีการเปลี่ยนแปลงและดูใหม่อยู่เสมอ ดังนั้น ภายในตัวมนุษย์จึงน่าจะมี "พลังงานที่เป็นต้นแบบ" ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับสสาร

๓. สัตว์บางชนิดไม่มี "พลังงานต้นแบบ" ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ภายใน จึงไม่ใช่สัตว์ที่เป็นตัวทำให้เกิดการวิวัฒนาการไปสู่สัตว์ชนิดอื่นได้มันจึงแค่ "ผลจากการวิวัฒนาการ" ของสิ่งอื่นเท่านั้น มันไม่ใช่ "ตัวต้นเหตุ" ของกระบวนการวิวัฒนาการในดาวโลกนี้ เช่น แมลงสาบ เป็นต้น

๔. กระบวนการวิวัฒนาการระดับสสารเป็นการเกิดแบบร่วมกัน ไม่ใช่สาเหตุของกันและกัน เช่น ลิงไม่ให้เป็นต้นเหตุให้เกิดมนุษย์ เพราะทั้งลิงและมนุษย์ก็วิวัฒนาการมาจากระดับพลังงานทั้งสิ้น ทั้งสองสิ่งเกิดร่วมกัน ไม่ใช่เหตุและผลของกันและกัน (มนุษย์ไม่ใช่ผลของลิง)

๕. ไม่มีการทดลองใดยืนยันได้ว่าสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไประดับสสารจะส่งผลให้เกิดการวิวัฒนาการระดับสสาร เช่น ลองเอาปลาไปเลี้ยงในที่ๆ น้ำน้อยๆ หลายๆ รุ่น แล้วปลาจะมีพัฒนาการอะไรทำให้มีลักษณะที่คล้ายกบขึ้นมาได้เลย ดังนั้น สิ่งแวดล้อมจึงไม่ใช่สาเหตุ

๖. จากการทดลองในห้องปฏิบัติการ (Lab) เราสามารถดัดแปลงและทำให้เกิดพันธุกรรมใหม่ๆ เช่น การทำ GMO ได้ด้วย "การใช้พลังงานกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงสสาร" แต่ไม่มีการทำ GMO ใดซึ่งสำเร็จได้ด้วยการ "เปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม" โดยรอบสิ่งมีชีวิตนั้นๆ

๗. พบการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ในสิ่งมีีชีวิตที่ได้รับการกระตุ้นโดยรังสี (พลังงาน) แต่เราไม่เคยพบการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมเชิงกายภาพ ดังนั้น แนวคิดที่ว่า "สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดวิวัฒนาการ" จึงไม่น่าจะจริง

๘. มนุษย์ยังคงมีวิวัฒนาการสูงสุดอยู่เสมอในโลกนี้ ดังนั้น จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ว่ามนุษย์จะวิวัฒนาการมาจากลิง แล้วมนุษย์จะกลายเป็นอะไรที่เหนือกว่านี้ต่อไปละ? ซึ่งมันไม่มีจริง ดังนั้น ต้นแบบพลังงานที่วิวัฒนาการไปสู่สิ่งอื่นๆ น่าจะอยู่ในตัวมนุษย์ แล้วเสื่อมลงไปมากกว่า

๙. พลังงานต้นแบบ ซึ่งเป็นต้นแบบไปสู่การวิวัฒนาการในระดับสสารไม่น่าจะมาจาก "สัตว์เซลเดียว" แล้วพัฒนาสูงขึ้นไป แต่น่าจะอยู่ในตัวมนุษย์ แล้วเกิดการวิวัฒนการแบบ "เสื่อมถอยลง" มากกว่า ดังนั้น จึงไม่ปรากฏมีสิ่งมีชีวิตอื่นในโลกที่เกิดจากโลกและฉลาดกว่ามนุษย์

๑๐. พลังงานกระตุ้นวิวัฒนาการ จะต้องเป็นพลังงานที่ละเอียดมากจึงจะกระตุ้่นให้เกิดการกลายพันธุ์และวิวัฒนาการได้ เช่น รังสีแกมมาแต่ไฟและความร้อนธรรมดา ไม่อาจกระตุ้นให้เกิดการวิวัฒนาการได้ ซึ่งสิ่งนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วอย่างชัดเจนในห้องแล็ป GMO ต่างๆ นี่เอง


เอาละครับ สิบข้อ ของทฤษฎีวิวัฒนาการของผม ซึ่งค่อนข้างใหม่มาก แต่ว่ามันก็มีข้อพิสูจน์และยืนยันได้แล้วนะครับ เช่น การใช้รังสีแกมม่าเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม ในห้องแล็ป GMO แต่เราไม่เคยเห็นการวิวัฒนาการในห้องแล็ปที่ควบคุมสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดการวิวัฒนาการของไวรัสหรือสัตว์เซลเดียวได้เลย เอาละ อย่าซีเรียสนะครับ มันก็แค่ "อีกทฤษฎีหนึ่ง" ก็เท่านั้นเอง สำหรับเด็กๆ มันอาจจะดูยากหรือหนักสมองไปนิดในคืนอันแสนเหนื่อยล้าจากการงานนี้ นึกเสียว่าเปลี่ยนจากนิยายอาหรับราตรี เป็นนิยายวิทยาศาสตร์ไซไฟ ก็แล้วกัน หุๆๆ เอาละ เม้าท์มายาวมากแล้ว เดี๋ยวจะกวนเวลานอนของเด็กๆ ไป พบกันใหม่บทความหน้า นอนหลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์ครับ



วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

สุดยอดพลังระดับ "ราชัน" ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในล้าน!

ไปเห็นใน "ยูถุ้ย" เอ้ย ยูทูป มา คลิปผู้หญิืงกับพระป่าเถียงกันในรถไฟฟ้า่ค่ะพี่ชายรับไม่ได้ พระป่าก็บอกว่าึควรสละที่นั่งให้แก่เด็ก, สตรี, คนชรา และพระ เป็นต้น ประมาณนั้น ส่วนผู้หญิงก็รับไม่ได้กับที่พระป่าใ้ช้ภาษาไม่สุภาพค่ะ พี่ชายก็รับไม่ได้ค่ะ ทำไมคะ ทำไมไม่เิอื้อเฟื้อที่นั่งให้ "กระเทยและสาวประเภทสอง" บ้างละคะ ทีสตรียังได้เลยค่ะ พี่ชายรับไม่ได้ค่ะ และน้องเนยของพี่ชาย ก็จะไม่ทนด้วย เอาละ เม้าท์กันเล็กน้อย เข้าเรื่องของเราดีกว่านะจ๊ะตัวเอง เนื้อหาของบทความนี้ ก็คือ เรื่อง "พลังระดับราชัน" ซึ่งมีเพียงหนึ่งในล้านเท่านั้น มีดังนี้


อย่างแรก อยากจะเม้าท์ให้ทราบก่อนว่าพลังงานบางชนิด เป็นกลุ่มพลังงานที่คนทั้งหลายสามารถรับได้เหมือนๆ กัน เป็นล้านๆ คนเลย ก็ได้ครับ แต่มันจะมีระดับชั้นของพลังงานไม่เท่ากัน โดยจะมีพลังที่เรียกว่า "ระดับราชัน" อยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นจากทั้งหมดของกลุ่มพลังงานนั้นๆ เหมือนกับผึ้งรังหนึ่งจะมีพญาผึ้งแค่ตัวเดียวนะครับ ทีนี้ โดยลักษณะพื้นฐานของพลังงานแล้ว จึงมีลักษณะที่คล้ายกันเป็นกลุ่ม หรือมีคนที่ได้รับพลัง, ความสามารถพิเศษ ในลักษณะเดียวกันได้ แต่คุณสมบัติและระดับความสามารถ จะไม่เท่ากัน สูงสุด จะอยู่ที่พลังของราชัน นั่นเอง และหลายครั้งเราจะพบว่าคนที่ได้รับพลังระดับนี้ ก็จะได้เป็นหัวหน้าหรือเจ้าขององค์กร, ระบบ ฯลฯ อะไรสักอย่างนะครับ


ดังนั้น ในการเลือกใช้พลังบางท่านอาจไปได้ดีกับพลังบางชนิดแล้วพัฒนาความสามารถของตนขึ้นไปตามลำดับ จนกว่าจะถึงชั้นราชัน ก็ได้ครับ เหมือนคนที่ทำงานอยู่ที่เดียวตลอด ไม่เปลี่ยนงานไปไหน เลยอย่างไรละครับ ทว่า บางคนอาจเปลี่ยนแปลงกลุ่มพลังงานที่ใช้ ไปใช้พลังงานอย่างอื่นแทนก็มี ซึ่งเขาก็อาจจะต้องเริ่มต้นในการที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ แต่ก็ไม่ยากเกินไปครับ ถ้าผ่านการฝึกฝนและการใช้พลังงานบางกลุ่มมาแล้ว พลังงานกลุ่มอื่นๆ ที่ต่างกัน ก็ใช้หลักการไม่ต่างกันนะครับ อย่่างเช่น ในคนที่ย้ายงานจากบริษัทหนึ่งไปสู่บริษัทหนึ่ง อะไรประมาณนั้นนะครับ ในแต่ละบริษัทหรือองค์กร จะมีพลังงานที่หนุน, รักษา, ค้ำจุน ฯลฯ มันอยู่ครับ เข้าไปทำงานก็จะได้รับสืบทอดพลังงานเหล่านั้นมาได้ บางทีจะได้รับจากระดับตื้นๆ ต้นๆ ก่อนนะครับ จนกว่าจะไต่ระดับไปถึงขั้นพลังระดับราชัน หรือบางคนอาจเปลี่ยนไปรับพลังงานกลุ่มใหม่แทนก็ได้ครับ ซึ่งพลังงานทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงได้ ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้ครับ ทั้งนี้ พลังงานที่อยู่ในบริษัท, องค์กร ฯลฯ ต่างๆ มักเ็ป็นกลุ่มพลังงานมืด ส่วนพลังงานธรรมชาติของโลกที่ไม่ใช่กลุ่มพลังงานมืดจะหายากกว่า หรือหาไม่ได้  ในระบบ, องค์กร, บริษัท ต่างๆ มักจะอยู่ตามธรรมชาติ เช่น ถ้ำ, เกาะ, ป่าเขา, หน้าผา ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลและมีอิทธิพลต่างกันครับ


ดังนั้น การได้รับ "พลังงาน" จึงสามารถได้รับมาจากหลายแหล่งมาก เช่น จากคนสู่คน ถ่ายทอดให้แก่กัน, จากธรรมชาติไหลถ่ายเทไปยังบุคคล ฯลฯ เป็นต้น การได้รับการถ่ายทอดพลังงานแบบไหน จะทำให้เรามีลักษณะหรือได้รับอิทธิพลตามนั้นไปได้ครับ เช่น พลังงานจากที่ทำงาน ทำให้เรามีลักษณะเป็นคนทำงาน, พลังงานตามถ้ำ อาจทำให้เรามีชีวิตเหมือนฤษีที่อยู่ตามถ้ำได้ แต่ที่แตกต่างมากกว่าพลังงานในแบบอื่นๆ คือ "พลังจักรวาล" ที่จะส่งตรงมาจากจักรวาล ซึ่งอยู่นอกโลก ทำให้ผู้ืี่ที่ได้รับไปแล้ว มีพฤติกรรมเหมือน "คนหลุดโลก" ได้ คือ จะทำตัวไม่เหมือนปุถุชนคนทั่วไปในโลก อาจทำหน้าที่ตามแบบอันแตกต่างไปจากคนทั่วไป และอาจมีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับโลก ก็ได้ บางครั้ง การเปลี่ยนแปลงกลุ่มพลัง อาจทำให้เราสูญเสียสภาวะผู้นำได้ เช่น ถ้าเราเปลี่ยนไปใช้พลังงานในกลุ่มที่มีระดับสูงขึ้น จากเดิมที่เราอาจไต่ระดับไปชั้นรองราชันได้แล้ว อีกนิดเดียวเราจะได้รับพลังงานระดับราชัน แต่เราเปลี่ยนไปรับพลังงานในกลุ่มที่เหนือกว่าแล้วเริ่มต้นเรียนรู้ใหม่แทน เราก็จะตกอันดับ กลายเป็นเหมือนพวกตัวเล็กตัวน้อยได้ เช่น เดิมเป็นรองผู้อำนวยการ เกือบจะได้เป็นผู้อำนวยการอยู่แล้ว แต่พอเปลี่ยนไปเล่นการเมือง ก็อาจจะต้องกลายเป็นได้แค่เพียง "สมาชิกพรรค" เท่านั้น เริ่มต้นจากไม่มีตำแหน่งสำคัญอะไรในพรรคก่อน เป็นต้น นี่คือ ผลกระทบอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนพลัง


เอาละ ท่านไหนที่จะเปลี่ยนกลุ่มพลังงานหรือจะใช้พลังงานกลุ่มเดิมเพื่อไต่เต้าไปให้ถึงระดับ "ราชัน" ก็แล้วแต่จะพิจารณากันเองนะครับ ทุกอย่างก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวมันเองทั้งนั้น ผมก็คงจะแนะนำได้เพียงข้อมูลเบื้องต้นอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้ "พลังระดับราชัน" มันมีให้เลือกเยอะนะครับ เหมือนการได้เป็นเจ้าของกิจการ มันก็มีกันได้เยอะ เป็นกันได้เยอะครับ เคยได้ยินสุภาษิตจีนว่า "เป็นปากหมา ดีกว่าเป็นตูดมังกร" อะไรประมาณนั้น (หากผิดพลาดต้องขออภัย) แต่ใครจะไปชอบหรือเลือกอะไร ก็แล้วแต่ท่านแล้วกันครับ สำหรับบทความวันนี้ ก็ไม่มีอะไรมาก มาเร็ว เคลมเร็วครับ โฮ่ๆๆ ยังไม่ถึงเวลานอน สวัสดีครับ