วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อ่ะ ใครจะเลื่อนระดับจากมิติที่ห้าไปสู่มิติที่หกแล้ว มาทางนี้!

โอวแม่เจ้าโว้ย เจ้าข้าเอ้ย ใครที่ใกล้จะคลอดแล้ว เอ้ยไม่ช่าย ใกล้จะเลื่อนระดับจากมิติที่ห้า ไปมิติที่หกแล้ว มาทางนี้ มามะมามา เขาว่าให้มาเม้าท์กันหน่อย เพราะว่ามันแบบว่า ลึกลับมากๆ เลย อ่ะนะ หลังจากที่เราเคยบอกเพื่อนๆ แล้วว่าในมิติที่ปกติคนส่วนใหญ่ในโลกอยู่นี้ คือ "มิติที่สาม" ซึ่งมีความกว้าง, ยาว, สูง เป็นองค์ประกอบของมิติที่สำคัญ และผลออกมาคือ "รูปเชิงวัตถุ" ที่จับต้อง, สัมผัสได้ง่ายๆ เพียงสามมิติคือ กว้าง, ยาว, สูง ดังกล่าว คนที่ยังคงติดอยู้่ในมิติที่สามนี้ จึงมักวนเวียนอยู่กับ "วัตถุนิยม" มาก เพราะมันสัมผัสได้ง่ายด้วยมิติที่สาม นั่นเอง เอาละ พอเลื่อนระดับไปมิติที่สี่แล้ว ก็จะพ้นเรื่องเชิงวัตถุไปได้เข้าสู่มิติแห่งกาลเวลาโลดแล่นไปตามอดีตและอนาคต สัมผัสตัวตนของตนเองในมิติอื่นๆ นั้นเป็นครั้งแรก และยังไม่แน่ใจว่าสิ่งนั้นคืออะไร จนกระทั่งได้ค้นพบว่าสิ่งนั้น "ไม่ใช่ความว่างเปล่า" ไม่อาจสูญหายไปจากจักรวาลได้ แต่มีอยู่จริงในมิติที่ต่างออกไป ในแบบที่ต่างไปจากที่เคยเข้าใจ น่านละ ก็จะเข้าสู่มิติที่ห้าคือ มิติที่มีตัวตนหลากหลายมิติเชื่อมโยงถึงกันได้ คราวนี้ละ เธอเอ้ย ชีวิตจะสับสนมาก ว้าวุ่น เหมือนวัยรุ่นสับสนตัวเอง น่ะ ตัวเอ้งตัวเอง มันเหมือนเราเป็นใครบ้างไม่รู้ หลายๆ คนมั่วไปหมด ถ้าไม่คิดอะไรก็ไม่ปั่นป่วน แต่ถ้ายิ่งคิดมาก ก็ยิ่งปั่นป่วน แถมเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองอีกแน่ะ มันเหมือนเราถูกใครควบคุมได้ หรือมีอะไรมาบงการชีวิต โอว แม่เจ้า ทำไมฉันต้องมาเป็นแบบนี้ ว่าแล้วก็หาทางไปให้พ้นจากภาวะนี้ ก็เลยต้องเลื่อนระดับให้สูงขึ้นไป จนถึงที่สุดแห่งเขตแดนของ "มิติที่ห้า" เกือบจะทะลุมิติได้แล้ว ก็จะค้นพบ "ความเป็นเอกภาพของตัวตนหลากมิติทั้งหลาย" ของเราได้ เมื่อนั้นวัยรุ่นก็เลิกสับสนได้ซะที  


อาวละ ทีนี้ต่อไป ก็จะเข้าสู่การเลื่อนระดับสู่มิติที่หกกันละ มันจะมีด่านขวางกั้นไว้นิดหนึ่งคือ "ตัวตนหลากมิติของเรา" กับ "สิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนหลากมิติของเรา" สองอย่างนี้จะถูกเราแยกออกจากกันและกลายเป็นกำแพงกั้นตัวเราเอง ให้ไม่อาจเข้าสู่มิติที่หกได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่จะทะลุมิติที่ห้าไปสู่มิติที่หกได้นั้น จำต้องทะลุผ่านกำแพงแห่งจิตใจของเราที่ยึดมั่นอยู่ว่า "นี่คือตัวตนหลากมิติของเรา" แต่นั่นไม่ใช่ตัวตนหลากมิติของเรา แล้วเข้าสู่ "ภาวะความเป็นหนึ่งเดียวขององค์รวม" ให้ได้ เช่น เราเป็นหนึ่งเดียวกะก้อนหินไหม? ต้นไม้ละ? แม่น้ำละ? ลมละ? ฝนละ? เพื่อนๆ รอบข้างเราละ? นี่ไม่ใช่การแนะนำให้ไปพยายามทำให้เป็นนะ เพราะการทำเช่นนั้น มันเป็นแค่การเลียนแบบเท่านั้น แต่ว่าของแบบนี้อ่ะ มันต้องเป็นเองตามธรรมชาติของมัน คือ เมื่อมันเลื่อนระดับไปถึงมิติที่หกได้แล้ว มันก็จะเป็นหนึ่งเดียวกะทุกสิ่งได้เอง เมื่อใจเราร้อน อากาศก็ร้อนเหมือนกัน เมื่อใจเราสับสนแปรปรวน อากาศก็แปรปรวนมีลมปั่นป่วนได้เหมือนกันอะไรแบบนั้นอ่ะ อ้าว นี่เริ่มไม่ใช่คนแบบเดิมๆ  ที่เคยเข้าใจอีกแระ เพราะในระดับมิติที่หกนี้ ทุกสรรพสิ่งไม่ต่างกันเลย เพราะมันก็ล้วนมาจากรากฐานเดิม เดียวกันแท้ๆ เอาละ พอดีกว่า เขียนมากไปเดี๋ยวไม่ตื่นเต้น ลองให้ไปค้นพบด้วยตนเองดีกว่านะ เพราะว่า "มันน่าตื่นเต้นกว่ามวกกกก" ว่ะฮ่าๆๆ    

พลังจิตพิเศษ ตอน "พลังตาข่ายฟ้าแห่งคำพยากรณ์"

ฮาโหลๆ ตื่นหรือยังเอ่ย... มามะ ถึงเวลาเม้าท์ประจำวันกันแล้ว เอาละนะ วันนี้ เค้าจะมาเล่าเรื่องพลังจิตพิเศษละ "ต้วเอ้ง" เร็วๆ รีบเข้ามาปูเสื่อรอนะ เค้าจะเม้าท์เป็นเรื่องเป็นราวไปเลย เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่าคนเรานี่มันก็มีจิตเป็นองค์ประกอบ และจิตมันก็มีพลังทั้งนั้น พลังที่มาจากจิตเราก็เรียกว่า "พลังจิต" ทีนี้ พลังจิตมีมากมายนะตัวเอง อย่างที่เรารู้จักกันทั่วๆ ไปตามหลักวิชาการเช่น พลังจิตในการเคลื่อนย้ายวัตถุ, พลังจิตในการทายสิ่งของ ฯลฯ เอาละ นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่เค้าจะเม้าท์ให้ตัวเองฟัง แหม มันง่ายไป น่าเบื่อไป หาอ่านได้เต็มไปหมดในหน้าวิชาการต่างๆ อย่างเค้าและตัวเองต้องมาเม้าท์กันเรื่อง "พลังจิตพิเศษ" เท่านั้น เพราะว่าเราคือคนพิเศษ ไงละ หุๆ อยากเป็นคนพิเศษ แต่ว แด้ว แด๊ว แด๊ว แด่ว (ทำนองเพลงน่ะครับ) เอาละ สรุปแว่ เอ้ย สรุปว่า เราจะมาเม้าท์กันในหัวข้อ "พลังจิตพิเศษ" ก็แล้วกัน ที่ว่าพิเศษก็เพราะว่าไม่ได้อยู่ในหมวดของพลังจิตทั่วๆ ไปที่ตัวเองหาอ่านได้ตามหลักวิชาการบนโลกหรอกนะ จะบอกให้ เพราะเค้าเอาวิทยาการนำเ้ข้ามาจาก "ต่างด้าว" เอ้ย ต่างดาวกันเลยทีเดียว เอาละ เราจะยังไม่กล่าวถึงพลังจิตพิเศษในมุมกว้าง เพราะยากง่ะตัวเอง เขาไม่่ค่อยฉลาด ช่วยเขาหน่อยดิ แป่วววว ดังนั้น เค้าจะเม้าท์ให้ตัวเองฟังแต่ในเรื่อง "พลังตาข่ายฟ้าแห่งคำพยากรณ์" ก็แล้วกัน 


เรื่องของเรื่องคืออย่างนี้นะตัวเอง คือ มนุษย์ต่างดาวเนี่ย มีมากมายหลายเผ่าพันธุ์ แล้วบางเผ่าพันธุ์ก็วางแผนการณ์กับมนุษย์ด้วยการให้ "คำทำนายต่างๆ" เพื่อโน้มน้าวให้คนมากมายเชื่อ ส่งพลังความเืชื่อไปรวมกัน เพื่อให้เกิดสิ่งต่างๆ ตามคำทำนายนั้นๆ แต่ว่ามันไม่ใช่ทุกดวงดาวหรอกนะที่เป็นเช่นนั้น เพราะ "พระบิดาจักรวาลกล่าวเสมอว่าทุกคนสามารถเลือกเส้นทางของตนได้เอง" ท่านไม่ไ่ด้เป็นผู้ลิขิตชีวิตให้แก่ผู้ใด เขาผู้นั้นล้วนมีการกระทำของตนเป็นเหตุ และมีชะตาชีวิตเป็นผลจากการกระทำเก่า พลังงานเก่าของตนเองทั้งสิ้น ทว่า ยังมีดาวบางดวงในจักรวาลนี้ เช่น ดาวฤษี จะทำหน้าที่ทำนายทายทัก เพื่อวางแบบแผนการดำเนินชีวิต และความเป็นไปของโลก ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร นั่นคืองานของเขา และเขาก็ต้องทำอย่างนั้น เพราะว่าเขาก็คือเขา อย่างไรละ ฮ่าๆๆ ง่ายดีมั้ย ก็เขาเป็นยังงั้นของเขาเองนี่หว่า จะไปว่าอะไรเขาได้ละ ทีนี้ มนุษย์เราก็มีทางเลือกเหมือนกันคือ เราจะยอมรับคำทำนายแล้วดำเนินไปตามแผนการณ์ของดาวฤษีนั้น หรือว่าเราจะเลือกทางเดินของเราเอง ก็ได้ครับ (ถ้าเส้นทางนั้นมันดีกว่าอ่ะนะ) ในศาสนาพุทธเขายังบอกเลยว่าพระพุทธเจ้าเอง ก็มีทั้ง "ศรัทธาธิกะ" และ "วิริยธิกะ" หมายความว่ายังไง? หมายความแว่ เอ้ย ว่า คนที่เป็นศรัทธาธิกะก็จะใ้ช้พลังความเชื่อและศรัทธา เช่น คำทำนาย เพื่อทำหน้าที่ครับ แต่คนที่เป็นวิริยะธิกะ ก็ต้องเหนื่อยหน่อย เพราะเน้นวิริยะ คือ ไปตามเส้นทางของตัวเอง มันก็เหนื่อยหน่อยเป็นธรรมดาจ้า เอาละ สรุปแว่ เอ้ย สรุปว่า จะทำตามคำทำนายหรือไม่ก็ได้ เพียงแต่ถ้าเราไม่คล้อยตาม เราจะมีกำลังวิริยะมากพอเอาตัวรอดไหม ก็เท่านั้นเอง เอ้า ถ้ามีกำลังมากไปได้ พระบิดาจักรวาลก็ไม่ห้ามครับ


ทีนี้ กลับมาสู่เรื่อง "พลังตาข่ายฟ้าพยากรณ์" กันบ้าง เรื่องของเรื่องก็คือ เขาเหล่านั้นที่มาทำหน้าที่ให้คำพยากรณ์ก็ดี เขาก็ไม่ไ่ด้ผิดอะไร เขาก็ทำไปตามหน้าที่ของเขา แค่นั้นเองครับ แต่ว่าเขาจะต้องมีพลังจิตพิเศษนะ จึงทำหน้าที่นี้สำเร็จได้ นั่นคือ "พลังตาข่ายฟ้าพยากรณ์" ว้าว ซาร่า มันคืออะไรนะ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย มันต้องยอดมากแน่ๆ เลยพระเจ้าจอร์จ เอาง่ายๆ พลังนี้นะ มันจะเหมือนตาข่ายที่เชื่อมประสาน โยงใยกันมากมาย เกิดจากพลังของคนที่ทำนายหลายๆ คนประสานกัน เป็นพลังจิตที่ประสานกันจากผู้ทำนายหลายๆ ท่าน ประสานกันจนเหมือนเป็น "ตาข่ายหรือร่างแห" จากนั้น มันก็กว้างมากๆ คือ เขาจะทำนายให้กว้างๆ เอาไว้ เพื่อให้ครอบจักรวาลไว้ไงเล่า จากนั้น ก็จะค่อยๆ ใช้พลังจิตที่ละเอียดขึ้น ถักทอเสริมรอยต่อ อุดรอยรั่ว กันไว้ ไม่ให้คนที่เขาทำนายหลุดรอดออกไปได้ เอาละ ทีนี้ คนที่ถูกทำนายก็เหมือน "ปลาแหละครับ" ปลาตัวนี้้ กำลังถูกเขาจับด้วยแหอวนที่เรียกว่า "ตาข่ายฟ้า" เพราะมาจากฟ้า มาจากคำพยากรณ์ เหมือนโชคชะตาฟ้าลิขิตนั่นแหละครับ โอว มายก็อด แล้วเราจะรอดจากพลังตาข่ายฟ้าพยากรณ์นี้ไปได้อย่างไรละ? ไม่ยากนะหนูๆ ทำ "ตัวตน" (อัตตา) ให้เล็กลงๆ เข้าไว้นะตัวเอง แล้วตัวเองก็จะกลายเป็น "ลูกปลาน้อย" เซียวฮื้อยี้ ที่หลุดรอดจากตาข่ายนั้นได้ โฮ่ๆๆๆๆ อะไรมันจะเริ่ดขนาดนั้น ว่ะ ฮ่าๆๆๆ เท่ห์จริงๆ เลยพวก!


เอาละ พลังจิตของคนที่มีพลังทำนายทายทักมีหลายแบบครับ บางแบบเป็น "พลังดัชนี" ชอบชี้ จี้ลงไปเลย เช่น เอ็งน่ะ เอ็งนั่นแหละที่จะต้องรับกรรม เขามาเล่นงานเอ็งแล้ว คนที่ถูกจี้ก็อ่อนไปเลยครับ จิตตก เพราะพลังดัชนีซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้นิ้วมือจริงๆ นะครับ มันเป็นพลังจิต เหมือนจิตวิญญาณของเขาเล่นงานจิตวิญญาณของเรา ก็เท่านั้นเองครับ โอ้ย ยังมีอีกมากมายหลายแบบ พลังจิตของนักทำนายเนี่ย เอาเป็นว่าวันนี้ พอแค่นี้ละกัน เม้าท์กันแต่พอดี เดี๋ยวจะจบไม่ลง โฮ่ๆๆๆ  

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

พลังจิตพิเศษ ตอน พลังแห่งการเลือก ไม่มีใครตัดสินใครได้ นอกจากเราตัดสินตัวเอง

อ้าว วันนี้ มีเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่งมาเมาท์กันอีกละครับ เรื่องของเรื่องก็คือ เราเคยไหมที่ถูกใครตัดสินเรา เช่น เราถูกคนมองแล้วเขาตัดสินว่าเราสวย ไม่สวย รูปร่างดี ไม่ดี อ้วนหรืออะไรแบบนั้น การตัดสินและการถูกตัดสินมีมากมายหลายรูปแบบครับ เช่น เราอาจถูกตัดสินและลงโทษ นี่ชัดเจนว่าเป็นการตัดสินแบบพิพากษาที่ครบถ้วนเลย หรือบางครั้งเราอาจถูกตัดสินแบบเบาๆ เช่น ถูกคนอื่นตัดสินว่าเราเป็นคนดี, คนเลว, คนถูก, คนผิด ฯลฯ อะไรอีกมากมาย หรือบางครั้ง เราก็อาจเป็นฝ่ายตัดสินคนอื่นก็ได้ เช่น ถ้าเราดูคนร้องเพลงประกวด เราอาจตัดสินเขาในใจว่าคนนี้น่าจะผ่าน คนนี้ไม่น่าจะผ่าน ควรตกรอบไป อะไรแบบนั้น เอาละ การตัดสินนี้มีหลายระดับครับ ตามความเข้มข้น เช่น การตัดสินที่มีการลงโทษด้วย ก็เข้มข้นหน่อย, การตัดสินที่ไม่มีการลงโทษอะไร ก็ไม่ค่อยเข้มข้น ยิ่งถ้าเรามีอำนาจที่จะกระทำการณ์อะไร ใดๆ หลังจากเราตัดสินได้แล้ว เราก็ยิ่งเข้มข้นในการตัดสินนั้นมากยิ่งขึ้นครับ เช่น สมมุติว่าเรามีอำนาจเป็นเว็บมาสเตอร์ เราอาจตัดสินได้ด้วยตัวเราเอง (ซึ่งจะถูกหรือผิด จะมีมาตรฐานหรือไม่ ก็ไม่รู้ละ แต่เอาเป็นว่าเรามีอำนาจตัดสินใครๆ ที่เข้าเว็บเราได้ ก็แล้วกัน) เราก็อาจตัดสินว่าคนนั้นสมควรอยู่ในเว็บเราหรือไม่เป็นต้นหรือเอาง่ายๆ เลย สมมุติว่าคุณโพส กระทู้ และคุณสามารถลบความคิดเห็นใครก็ได้ ที่ขัดแย้งกับคุณหรือไม่เห็นด้วยกับคุณออกไปได้ นั่นคือ "อำนาจที่เขาให้คุณในฐานะผู้ตั้งกระทู้" สุดแท้แต่ว่าคุณจะตัดสินคนที่เข้ามาอ่านกระทู้ของคุณหรือเปล่า? เคยไหมที่คุณมีอำนาจลบหรือไม่ให้ใครแสดงความคิดเห็นก็ได้ แล้วคุณก็ทำไปด้วยอำนาจที่คุณมีนั้น "เพราะคุณตัดสินเขาด้วยตัวเองไปแล้ว" เอาละ นั่นก็แค่ การทำให้คุณรู้ตัวว่า "คุณเป็นคนที่นิยมตัดสินคนอื่นหรือเปล่า" ก็เท่านั้นเอง ซึ่งผมไม่ได้บอกว่ามันถูกหรือผิด, ดีหรือชั่วอะไรนะครับ เอาเป็นว่าคุณพอเห็นภาพของ "การตัดสินคนอื่นด้วยความคิดของตัวเอง" บ้างนะครับ


ทีนี้ ผมอยากจะบอกคุณว่าในโลกนี้แท้แล้วมันไม่มีใครที่มีอำนาจเหนือใครที่จะมาตัดสินใครได้หรอกครับ คนทุกคนถูกตัวเองตัดสินทั้งสิ้น เช่น เขาก็อาจเคยทำสิ่งไม่ดีมาก่อน พลังแห่งความไม่ดีนั้น เล่นงานเขาในปัจจุบันก็เลยทำให้เขาถูกตัดสินอย่างไม่เป็นธรรม เป็นต้น ถามว่าเขาคนนี้ถูกใครตัดสิน? คำตอบก็คือ "การกระทำของเขาในอดีต พลังงานเก่าในอดีตของเขาเอง ตัวเขานั่นเองแหละ ตัดสินเขาในวันนี้" ส่วนคนที่พิพากษาตัดสินคนอื่นไปผิดๆ เขาก็ได้สร้าง "พลังงานใหม่ไปรอตัวเองในอนาคต" ที่จะทำให้ตัวเองต้องรับมันในอนาคตไปแล้ว นั่นแหละ เขาเองก็ตัดสินให้ตัวเองต้องรับพลังงานที่ตัวเองก่อนั้นๆ ในอนาคต พอเข้าใจนะครับ ฮ่าๆๆ เอาละ เกรงว่าจะเครียดเกินไป ผ่านคลายบ้างดีกว่า สรุปแว่ เอ้ย สรุปว่า มันไม่มีใครที่มาตัดสินใครได้ เราเองนั่นแหละที่ตัดสินตัวเองทั้งสิ้น ด้วยการกระทำของเราเองนั้น แท้แล้วมันจึงไม่ใช่การตัดสินอะไรเลย เพราะมันไม่มีกระบวนการของการพิพากษาอะไรทั้งนั้น มันเรียบง่ายมากเพราะถ้าคุณก่อพลังงานอะไรไว้ คุณก็ต้องรับพลังงานที่คุณก่อไว้นั้น ก็เท่านั้นเอง ผมจึงบอกว่ามันไม่มีการพิพากษาอะไรหรอก มันคือ "การเลือก" ของคุณเองล้วนๆ เช่น ถ้าคุณต้องเลือกตัดสินระหว่าง นาย ก. ที่ดูแล้วไม่น่าเชื่อถือ และนาย ข. ที่ดูดี พูดจามีสาระ แล้วคุณตัดสินเข้าฝ่ายไหน มันก็คือ "การเลือกเส้นทางของคุณเอง" ก็เท่านั้นเอง เมื่อคุณตัดสินใจเลือกเส้นทางของคุณเองแล้ว คุณก็จะไปตามเส้นทางของคุณเองนั้น มันไม่มีใครมาตัดสินคุณเลย และคุณเองก็ไม่อาจตัดสินใครได้จริงๆ อีกด้วย เพราะทุกอย่างนั้น "ผู้กระทำเป็นผู้เลือกเอง" และ "ผู้กระทำเป็นผู้รับผลนั้นเองทั้งสิ้น" การตัดสินอะไรก็ตาม ล้วนแต่เป็นเพียง "มายาการของโลก" ที่ปรุงแต่งบิดบัง, ห่อหุ้ม "พลังงานที่แท้จริง" คือ "พลังแห่งการเลือก" ของคุณไว้ต่างหาก มันไม่ใช่การพิพากษาใคร? อะไร? ใดๆ เลย นั่นคือ "คุณมีพลังแห่งการเลือกแล้ว" ทุกอย่างก็อยู่ในมือของคุณที่คุณจะเลือกเอง และต้องรับผลแห่งการเลือกนั้นเองทั้งสิ้น ... 

จักรวาลวัดระดับมนุึษย์มิติที่ 4 มิติที่ 5 มิติที่ 6 กันอย่างไร?

สวัสดีครับ วันนี้ เราจะมาคุยกันเรื่องที่พิเศษมั๊กๆๆ ม้วกก เพราะมันเป็นเรื่องของ "คนมีระดับ" เขาจะคุยกานนน โฮ่ๆๆๆ อ่ะน่านแน่ มาจองที่นั่งก่อนเลยนะ แบบว่ามีระดับมากๆๆ นั่นเอง เอาละ สรุปก็คือ หลายคนที่เคยอ่านบทความต่างมิติ หรือได้รับข้อมูลสื่อสารต่างมิติ คงเคยได้ยินมาบ้างว่ามนุษย์กำลังเลื่อนระดับอยู่ และเรากำลังวางเป้าหมายให้มนุษย์โลก เลื่อนระดับไปสู่มิติที่ 5 อ่ะ แล้วมันยังไงกันเนี่ย? แล้วเราตอนนี้ อยู่ระดับไหนกัน? เอาละ เพื่อให้เกิดความตื่นเต้น เล็กน้อยถึงมากๆๆๆ เราก็จะมาคุยกันเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ เรียกว่าพิเศษมากๆ เลย คือ เรื่องของระดับมิติของมนุษย์ ซึ่งในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ในโลก จะอยู่ใน "มิติที่สาม" เข้าใจในเรื่องความกว้าง, ยาว, สูง ทั้งสามมิติได้ดีนะครับ แต่ในมิติที่สี่นั้น พวกเขายังไม่ค่อยเข้าใจนัก ดังนั้น เราจะมาคุยกันเลยครับว่าคนที่ผ่านการเลื่อนระดับไปสู่มิติที่ 4, 5, 6 นั้น เขามีลักษณะอย่างไร อ่ะ อย่าเอาไปก้อปปี้นะครับ เราไม่แนะนำให้ "ทำเพื่อให้ตัวเองได้เป็น" กล่าวคือ มันจะเ็็ป็นก็เป็นเองตามธรรมชาิติของการเลื่อนระดับ นั่นแหละครับ


มนุษย์มิติที่ 4 มีลักษณะอย่างไรเอ่ย? ไหนใครตอบได้บอกหน่อยสิ เราจะได้มอบรถยนต์พร้อมบ้าน (กงเต้ก) ให้ อ่ะ ล้อเล่น เฉลยเลยละกาน ก็จะผ่านมิติแห่งความกว้าง, ยาว, สูง แล้วทะลุไปสู่มิติที่ 4 คือ เรื่อง "กาลเวลา" ได้อย่างไรละครับ เหมือน "ไอสไตน์" นั่นแหละ กล่าวคือ คนที่เข้าสู่มิติที่ 4 แล้ว ก็เหมือนมีอิสระ โลดแล่นไปมาใน "มิติแห่งกาลเวลา" ได้ จะหยั่งดูอดีต หรืออนาคต ก็เริ่มจะได้แล้วครับ นี่ละ ก็เริ่มมีพัฒนาการมากขึ้นในด้านการรู้เท่าทันกาลเวลา ทั้งอดีตและอนาคต นั่นเองครับ ดังนั้น ขั้นแรกๆ เขามักจะทำนายทายทักอนาคต หรือเห็นอดีตได้ดี นั่นคือ จุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ "มิติที่สี่" แล้วครับ


มนุษย์มิติที่ 5 มีลักษณะหน้าตาอย่างไรเอ่ย? หน้าห้าเหลี่ยมด้วยอ่ะป่าว ว่ะ ฮ่าๆๆๆ ล้อเล่นนะคร้าบ แหม ของมันแน่อยู่แล้วว่าคนที่ทะลุเลยมิติที่ 4 ไปได้ ย่อมต้องเหนือกาลเวลาไปแล้วน่ะเอง เช่น อายุมากนะครับ แต่ทำไมหน้าเด็กจังก็ไม่รู้ หุๆๆ นี่ไม่ใช่เพราะไปทำอะไรมาให้ได้แบบนั้นนะครับ แต่มันเป็นเองตามธรรมชาติน่ะ หรือเด็กอาจมีความคิดเหนือผู้ใหญ่ได้ คือ กาลเวลาไม่อาจขีดคั่นเขาได้น่ะครับ ทีนี้ เขาก็จะค้นพบ "ตัวตนหลากหลายมิติ" มากมายของตนเอง "ซึ่งมีอยู่จริงในแต่ละมิติ" และไม่เคยหายไปไหนเลย มีอยู่มานานแล้วครับ เพียงแต่เขาเพิ่งจะสัมผัส ก็เท่านั้น ยามนี้เขาก็จะเหมือนคนหลายๆ คน หลายๆ มิติในตัวเดียวกัน เหมือน "อะไรนี่ ฉันเป็นใครกันอีกแล้ว สับสนจัง"


มนุษย์มิติที่ 6 กันบ้าง อ่าวละ เป็นระดับที่เหนือไปกว่าเป้าหมายที่เรา ชาวจักรวาลได้ตั้งไว้ให้แก่ชาวโลกมนุษย์นะครับ คือ นอกจากจะได้เชื่อมโยงเป็นหนึ่งในเครือข่ายตัวตนหลากหลายมิติแล้ว เขายังเหนือไปกว่าตัวตนทุกตัวในเครือข่ายด้วย ทำให้เขาเห็นภาพ "ตัวตนที่เป็นเอกภาพหนึ่งเดียว" ของ "ตัวตนทุกๆ ตัวในทุกๆ มิติ" ทั้งยังสามารถบริหารทุกตัวตน, จัดการงานภาพรวม, ปกครองเครือข่ายตัวตนได้อย่างมีประสิทธิภาพเลย ราวกับว่าเขามีหลายๆ คน หรือคนอีกหลายๆ คนในหลายๆ มิติ เป็นส่วนหนึ่งของ "อวัยวะ" เหมือนมือ, ขา, ศีรษะ ฯลฯ ของเขาเลยละครับ ว้าว พระเจ้าจอร์จ มันยอดมวกกก อารายจะขนาดนั้น ฮ่าๆๆ อาวละ เดี๋ยวจะหาว่าโม้ เพราะว่าผมไม่ได้โม้นะครับ 


สรุปว่า เลื่อนระดับไปให้ถึงให้ได้ึครับ แล้วก็จะได้ทราบเองน่ะแหละ แฮะๆๆๆ 

วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เมื่อโลกกลายเป็นสนามฝึกพิเศษของเหล่ามนุษย์ต่างดาว !

มีเรื่องอย่างหนึ่งที่ทาง "มิตรต่างมิติ" แจ้งมาว่า โลกของเราคือ สนามฝึกพิเศษของมนุษย์ต่างดาวละ? อ๊ะ ยังไง? งงมั้ยครับ คือ อย่างนี้ครับ เขาแจ้งมาว่ามนุษย์ต่างดาวหลายเผ่าพันธุ์ ที่มาจากหลายดวงดาว กำลังใช้โลกเป็นสนามฝึกพิเศษ และใช้มนุษย์เป็นพนักงานร่วม ดังนั้น เขาจึงต้องดึงมนุษย์เข้าร่วมการฝึก เพื่อให้มนุษย์ที่ผ่านการฝึกของเขา สามารถทำงานร่วมกับเขาได้อย่างดี นั่นเอง ทีนี้ เนื่องจากพวกเขามาจากหลายเผ่าพันธุ์ และหลายดวงดาว ทำให้ การฝึกก็มีหลายแบบ และบางแบบก็ไม่เหมือนการฝึกเลย เพราะอะไร? เพราะถ้าเรายึดติดภาพเดิมๆ อย่างที่เราเข้าใจว่า "นี่คือการฝึกนะ" และ "นี่ไม่ใช่การฝึก" แล้วละก็ เราก็จะเข้าใจการฝึก เฉพาะในมุมที่เราคิดว่ามันคือการฝึก ส่วนรูปแบบใดๆ ที่นอกเหนือจากความเชื่อเก่าๆ ความคิดเดิมๆ ของเรานี้ เราก็จะคิดว่ามันไม่ใช่การฝึุก นอกจากนี้ เราอาจจะวนอยู่กับการฝึกที่เรา "ตอกย้ำหรือปรุงแต่ง" ต่อไปอีกว่า มันคือการฝึกที่ดีที่สุด หรือสุดยอดที่สุดแล้ว โอเค มันอาจจะใช่ในมุมที่คุณมองเห็นนั้น ทว่า "มันไม่ใช่คำตอบของทุกมุมมองหรอกนะ" ดังนั้น ถ้าคุณยังเชื่ออย่่างเดิมต่อไป คุณก็จะฝึกภายใต้ "มิติเดียว" มันไม่รอบด้าน มันจำกัดอยู่แต่ในมิติที่คุณเชื่อว่ามันคือการฝึกเท่านั้น เช่น บางคนคิดว่าการฝึกของเขา มันมีรูปแบบเหมือนการฝึกกีฬา, บางคนคิดว่ามันมีรูปแบบเหมือนการฝึกสมาธิ, บางคนคิดว่ามันมีรูปแบบเหมือนการฝึกร้องเพลง ฯลฯ ทั้งๆ ที่ "ทุกอย่างมันก็คือการฝึกอยู่แล้ว" ทว่า มันจะเป็นการฝึก "ในมิติใด มุมมองใด" ก็เท่านั้นเอง ทว่า เมื่อใดที่เรายึดมั่นเกินไปว่า "ต้องอย่่างนี้เท่านั้นคือการฝึก" เช่น ต้องเป็นการทำสมาธิ, ฝึกสติ, เดินจงกลม เท่านั้น คือ การฝึก เมื่อนั้น เราจะลงไปสู่มิติเฉพาะ หรือ "อยู่ภายใต้ดวงดาวบางดวง" ที่ออกแบบวิธีการฝึกนั้นๆ มาให้เรา เช่น ดาวฤษี อาจออกแบบการฝึกจิต ให้เป็นการเดินจงกลม เป็นต้น


เอาละ ทีนี้ ถ้าเรามองเห็น "ภาพรวมที่เชื่อมโยงกันของทุกมิติ" และเข้าใจการทำงานของมนุษย์ต่างดาว "ทุกๆ เผ่าพันธุ์และทุกๆ ดวงได้" เราก็จะเข้าใจง่ายๆ ว่า "ทุกอย่างก็คือการฝึกอยู่แล้วในตัว" แม้แต่การนอนหลับฝัน ก็เป็นการฝึกได้เช่นกัน เราก็จะเปิดกว้างมากขึ้น รับและเรียนรู้การฝึกจาก "มนุษย์ต่างดาวที่หลากหลายและรอบด้านมากขึ้น" และทำให้เรา "ไม่ติดอยู่กับดาวดวงใดดวงหนึ่งมากเกินไป" เมื่อนั้นเราจึงจะเปิดกว้างสู่ "การฝึกอย่างแท้จริง" นั่นคือ "การฝึกโดยไม่มีการฝึกใดๆ เลย" เพราะทุกขณะในชีวิตของเรานั้น มันคือการฝึกบางสิ่งอยู่แล้วในตัว ในมิติที่แตกต่างกันไป ภายใต้รูปแบบที่หลากหลายของมนุษย์ต่างดาวที่มีวิธีการฝึกที่ไม่เหมือนกันเลยทั้งสิ้น และด้วยวิธีนี้เอง จึงทำให้เราไม่ติดภาวะ (ภพ) ในดาวดวงใดดวงหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่เราจะหลุดพ้นออกจากภาวะของดาวต่างๆ ได้ทุกดวง ทั้งยังสามารถเรียนรู้ ฝึกฝนสิ่งต่างๆ จากพวกเขาได้อย่างไม่มีจำกัดอีกด้วย เอาละ สิ่งที่ผมพูดมานี้ มันมีทั้งคนที่ทำได้และทำไม่ได้นะครับ ในคนที่ทำไม่ได้ เขาจะไม่ไ่ด้ฝึกอะไรเลย ไม่ผ่านอะไีรเลย (ซึ่งเป็นไปไม่ไ่ด้ครับ อันนี้ ผมสมมุติในกรณีที่ทำไม่ได้เท่านั้นเอง) ดังนั้น เขาจึงไม่ได้ "ฝึกโดยไม่ฝึก" ทว่า เขาไม่ได้ผ่านการฝึกอะไรเลยตะหาก แต่ในคนที่ทำได้ ก็จะผ่านการฝึกได้โดยไม่ต้องฝึก อย่างที่ผมเรียกว่าฝึกโดยไม่ฝึกอย่างไรละครับ แล้วมันต่างกันตรงไหน? ฟังให้ดีละครับ มันต่างกันตรงที่ "กุญแจสำคัญ" ในการเรียนรู้ทุกสรรพสิ่ง นั่นเอง นั่นคือ "เคล็ดลับ" สั้นๆ ง่ายๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวคุณเอง ให้ก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็วอย่างไรละครับ ทีนี้ เคล็ดลับเป็นอย่างไร? แต่ละการฝึกก็มีเคล็บลับ (เหมือนเคล็ดวิชาในหนังจีนกำลังภายใน นั่นแหละ) ไม่เหมือนกันอีก ในคนที่ฝึกอย่างไม่มีเคล็ดลับ เขาอาจฝึกอยู่นานมาก แต่ตันอยู่เท่านั้น แม้จะเก่งก็ไม่อาจเก่งขึ้นได้อีก มันตันอยู่แค่นั้นเอง ทว่า สำหรับคนที่มีเคล็ดลับแล้ว เขาก็จะทะลวงผ่าน "ความตีบตัน" นั้นไปได้ และก้่าวหน้าสู่ขั้นต่อไปได้เรื่อยๆ ยกระดับตัวเองให้สูงขึ้น สู่มิติที่สูงขึ้นได้เรื่อยๆ อย่างไรละครับ แล้วเคล็ดลับเหล่านั้นคืออะไร? อันนี้ ก็คงฝากไว้คราวหน้า หรือว่าท่านผู้อ่านจะลองค้นหาเองก็ได้นะครับ สำหรับวันนี้ ผมขอลาก่อน สวัสดีครับ ...   

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เศรษฐกิจโลกไม่ได้ตกต่ำ แต่มันกำลังเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ด้วยความรอบคอบและฉลาดมากขึ้น!

อาวละ ในที่สุดก็ถึงเวลา "เม้าท์" กันอีกแล้วครับท่าน ก็จะเรื่องอะไรซะอีก ต่อเลยละกัน เรื่องเงินๆ ทองๆ ความร่ำรวยนี่แหละ ที่หลายท่านอาจยังวิตก กังวลอยู่ว่า อั้ยหย๋า เศรษฐกิจโลกจะแย่ลงมั้ย เศรษฐกิจอเมริกาแต่ตกต่ำลงหรือเปล่า? แล้วยูโรโซนละ จะผ่านวิกฤติได้มั้ย? อ่ะ เดี๋ยวๆๆ ก่อนนะครับ อย่าเพิ่งไปไกลอะไรกันขนาดนั้น เพราะคุณอาจกำลังถูกทำให้มองเห็นภาพเชิงลบของเศรษฐกิจมากเกินไป จนลืมมองไปว่าเศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนตัวเองจาก "วัยเด็กเป็นวัยหนุ่มแล้ว" แน่นอน เขาจะมีความเปลี่ยนแปลงเยอะมากซักหน่อย จากที่เสียงปกติ ก็จะเสียงแตก แหบห้าว หรืออะไรต่อมิอะไร นี่ไม่ใช่การป่วยเสียหน่อย ใช่ไหมครับ มันก็แค่การเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่ "การเติบโตขึ้นไปอีกขั้น" เท่านั้นเองแหละครับ แน่นอน ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ อาจทำให้ใครหลายคนสับสน, วิตกกังวล, และขาดความมั่นใจไปบ้าง เพราะเรายังไม่เคยเห็นการเข้าสู่วัยรุ่นของระบบเศรษฐกิจโลกทั้งระบบ คือ "เป็นการเจริญเติบโตรวมกันทั้งโลก" อย่างไรละครับ เพราะที่มันเคยเป็นมานั้น มันเจริญแค่ "ส่วนเสี้ยวหนึ่งของโลก" แต่ตอนนี้ มันไม่ใช่อย่างนั้นแล้วครับ มันกำลังเป็นหนึ่งเดียวกัน และมันกำลังก้าวข้ามยุคสมัยไปอย่าง "ข้ามขั้น" ไปเลย คือ ไม่ใช่ค่อยๆ ไต่ระดับนะครับ มัน "ยกระดับ" ขึ้นไปเลยครับ แทนที่มันจะเข้าสู่ช่วงวเด็กก่อนทั้งโลก ไม่ละครับ มันจะโตขึ้นเป็น "หนุ่ม" ไปเลย มันจะเป็นหนุ่มน้อยที่มีพลังกำลังมาก ไฟแรง แต่มันยังควบคุมพลังของตัวเองไม่ได้ เช่นนั้นเอง มันจึงส่งผลกระทบบ้าง เหมือนเด็กวัยรุ่นนั่นแหละครับ ไปแว้นซ์ขี่รถซิ่งบ้าง, ไปยกพวกตีกันบ้าง, ไปเสพยาเสพติดบ้าง ฯลฯ อ่ะ อย่าเพิ่งตกใจครับ มันเป็นแค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น ในช่วงเวลาที่เขายังควบคุมพลังของตัวเองไม่ได้ ก็เท่านั้นเองครับ ดังนั้น มันจึงมีทั้งวิกฤติและโอกาสเกิดขึ้นพร้อมๆ กันอย่างไรละครับ มาถึงตรงนี้ หวังว่าท่านผู้อ่าน น่าจะคลายความวิตกกังวลต่อระบบเศรษฐกิจลงบ้างนะครับ แน่นอนครับว่าท่านผู้อ่านบางท่าน อาจกำลังได้รับผลกระทบนั้นอยู่บ้าง แต่ถ้าผู้อ่านปรับตัวตามโลกได้ทัน คือ มีช่วงชีวิตยาวๆ หรือปรับวิถีชีวิตให้ดูยาวขึ้น แทนที่จะเร่งรีบเกินไป ก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงในระยะยาวนี้ได้ว่ามันเป็น "ความเจริญเติบโต" นะครับ ไม่ใช่การหดตัว หรือตกต่ำเลย!


เอาละ ดังนั้น มันจึงไม่ใช่ช่วงเวลาของการประหยัดหรือสุรุ่ยสุร่ายครับ มันเป็นช่วงเวลาของ "ความสุขุมรอบคอบและฉลาดใช้เงินมากขึ้น" ของลูกค้า นั่นหมายความว่า ลูกค้ายังคงซื้อสินค้าของคุณอยู่แน่นอนครับ เพียงแต่เขาอาจจะใช้เวลาเปรียบเทียบนานขึ้น เพื่อคัดเลือกสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับเขาครับ นี่คือ สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ เพื่อเตรียมความพร้อมให้ระบบเศรษฐกิจ ก่อนเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้น ลูกค้าจึงเป็นกลุ่มแรกที่ได้เรียนรู้ความสุขุมรอบคอบนี้ครับ นั่นจะส่งผลกระทบไปถึงหน่วยเศรษฐกิจหน่วยอื่นๆ ให้มีความสุขุมรอบคอบ ตามมาด้วยครับ ดังนั้น เราจะค่อยๆ เห็น "การแข่งขันที่สุขุมรอบคอบ" มากขึ้น ต่างจากเดิมที่การแข่งขันเป็นไปอย่างรุนแรง และมีการใช้เครื่องมือทางการตลาดที่เร่าร้อนมาก เช่น ลดราคากระหน่ำ, โฆษณาแบบทุ่มสุดตัว หรือแม้กระทั่งการโปรโมชั่นแบบเทกระจาด มีให้เลือกจนตาลายไปหมด ไม่รู้จะเอาอะไรดีน่ะครับ ฮ่าๆๆ เอาละ ตอนนี้ "ความสุขุมรอบคอบ" ยังไปไม่ทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ และทั่วโลก แต่มันกำลังเดินทางผ่านมิติต่างๆ อยู่ครับ โฮ่ๆๆ ก็มีจอดแวะพักบ้าง ติดขัดบ้าง เป็นธรรมดา ดังนั้น เราจึงเห็นไม่มากนัก แต่อีกไม่นาน เราจะได้เห็นกันครับ และนี่คือ สิ่งที่ยืนยันได้ว่า "เศรษฐกิจโลกไม่ได้แย่ลง" อย่างที่ใครหลายคนกำลังวิตกกันอยู่ ตรงกันข้าม มันกำลังจะพัฒนาตัวเองให้เติบโตมากขึ้น อย่างช้าๆ และทั่วถึงกันทั้งโลก แล้วเราจะเดินก้าวไปพร้อมกันด้วยความสุขุมรอบคอบมากยิ่งขึ้นครับ เอาละ กล้าๆ หน่อย ยืดอกขึ้น มั่นใจ พร้อมไปกับเราหรือยังครับ?

เร็ว ลัด สั้นง่าย หัวใจเศรษฐี เป็นได้ทันที เดี๋ยวนี้!

อ่ะ อย่าตกใจไปนะคร้าบบ ที่ผมขึ้นหัวข้อกระทู้แบบนี้ แต่ว่าอย่าปฏิเสธเลยนะครับ ว่าทุกวันนี้ในยุคของเรา ต่างก็ต้องใช้จ่าย ต้องมีเงินทองเลี้ยงตัวเอง กันทั้งนั้น ดังนั้น ความร่ำรวย ความเป็นเศรษฐี จึงเป็นหนึ่งในความปรารถนาของท่านทั้งหลาย ใช่ไหมละ เอาละ แม้ว่าท่านไม่ได้เป็นจริงๆ แต่อย่างไรเสีย ก็ยังต้องใช้เงินอยู่ดี ยากครับ ยุคนี้ที่จะอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้เงิน ทีนี้ เรามาคุยเรื่องเคล็ดลับความร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีกันครับ ผมอยากจะบอกชัดๆ ตรงๆ ไปตรงนี้เลยว่า "ความเป็นเศรษฐีมันอยู่ที่ตัวตนของเราครับ" คือ เรายังไม่รีบจะหมดตัวตนกันใช่ไหม? ยังมีตัว ร่างสังขาร ต้องดูแล รับผิดชอบ กิน, นอน, ขับถ่าย กันอยู่ใช่ไหม? เอาละ ดังนั้น เราจึงยังมีตัวตนนะ แม้ว่าจะยึดหรือไม่ก็ตาม แต่ตัวตนของเรา มันเป็นตัวตนของอะไรละ? เช่น คนบางคนมีตัวตนเป็น "มนุษย์เงินเดือน" โอเค? แล้วมันก็ทำให้เขาต้องมีวิถีชีวิตเป็นมนุษย์เงินเดือน คงไม่ต้องอธิบายใช่ไหมครับ? ทีนี้ คนบางคน มีเงินเดือนเยอะมากเลย แต่เคยเห็นไหมครับว่า "มีเท่าไรก็ไม่พอใช้เสียที" น่านละ เพราะอะไร? เพราะเขามีตัวตนเป็น "มนุษย์เงินเดือนไงละ" อย่างไรเสียเขาก็ต้องพบสภาพที่ "เดือนชนเดือน" เงินใช้แทบไม่พอยามใกล้สิ้นเดือนใกล้ขาดใจ ต่อให้มีเงินเดือนเยอะขนาดไหนก็ตาม เพราะนี่คือ "วิถีชีวิตของมนุษย์เงินเดือน" ไงละครับ เพราะเขามีตัวตนเป็นเช่นนั้น ต่อให้มีเงินมากแค่ไหน มันก็หนีตัวตนที่แท้จริงในสิ่งที่เขาเป็น ไปไม่ได้ ไม่พ้นครับ เอาละ ทีนี้ เราจะมา "หาหรือสร้างตัวตนแห่งเศรษฐี" กันขึ้นมาให้แก่ตัวเราเอง แต่ถ้าคุณจะดับสิ้นทุกตัวตนไปตอนนี้เลย ก็ไม่ว่ากันนะ ถอนตัวได้ ยังทันอยู่ แต่สำหรับผมแล้วยังหรอกครับ สังขารผมยังอยู่ ยังไม่สิ้นไป อย่างไรเสียก็มีตัวตนให้แบกรับดูแลอยู่ดี ฮ่าๆๆๆ ปฏิเสธความจริงข้อนี้ไป ไม่ได้หรอกครับ ดังนั้น ผมจึงเลือกตัวตนที่ผมคิดว่าเหมาะสม ก็คือ ตัวตนของเศรษฐีก็แล้วกัน ง่ายดี มีได้เยอะ ไม่ต้องแก่งแย่งกะใครมาก มีได้มากมาย เพราะไม่ใช่นางงามจักรวาล แบบว่ารักเด็กอ่ะ มีคนเดียว ว่ะ ฮ่าๆๆๆ


เอาละ ทีนี้ เคล็ดลับที่ลัดสั้นที่สุด ง่ายที่สุด ก็คือ "สำรวจตัวตนของคุณ" ว่าตัวตนของคุณเป็นอะไร? อย่างไร? แล้วก็ทำการปรับเปลี่ยนตัวตนของคุณซะ อย่ายึดมั่นกับตัวตนเก่าๆ ที่ไม่ได้ทำให้ชีวิตของคุณดีขึ้น แล้วก็ไม่ใช่การปฏิเสธตัวตนตัวเก่านะครับ ยอมรับมัน แล้วพัฒนามันซะ ให้มันเข้าท่า และทำให้ชีวิตของคุณดีขึ้นมาได้ ถ้าคุณต้องการตัวตนเป็นเศรษฐี ก็ต้องทำให้ตัวคุณมีความเป็นเศรษฐีก่อน ไม่ใช่ไปเริ่มต้นที่การหาเงินให้ได้เยอะๆ ก่อนนะครับ นั่นมัน "เป็นสิ่งนอกตัว" เริ่มจากภายในตัวเราก่อน ในใจเรา ความคิดเรา, การพูดจาของเรา, การกระทำของเรา มันทำให้เรามีตัวตน เป็นเศรษฐีหรือเปล่า? ถ้าไม่ใช่ตัวเศรษฐี ต่อให้มีเงินมากแค่ไหน มันก็ไม่ใช่ครับ เพราะมันจะหายหดหมดไปได้อย่างที่ไม่น่าเชื่อเลยครับ มันธรรมดานะครับ ไม่มีอะไรแน่นอน มีเงินเข้ามา ก็มีออกไปได้ ตราบใดที่ตัวตนของคุณยังไม่ใช่เศรษฐี ต่อให้มีเงินมาถม มากองท่วมหัวอย่างไร มันก็ยังไม่ใช่เศรษฐีอยู่ดี เอาละครับ นี่คือ เคล็ดลับพ่อรวยสอนลูก ที่เป็นหัวใจสำคัญที่สุดข้อที่หนึ่ง คือ "เริ่มจากภายใน ตัวตนคุณก่อน" ให้ตัวของคุณเป็นตัวตนของเศรษฐีให้ได้ก่อน ก่อนที่คุณจะไปแสวงหาอะไรนอกตัว เพราะต่อให้ได้มามากมาย คุณก็ไม่อาจรักษามันได้ และคุณก็หนี "ตัวตนที่คุณเป็นอยู่" ไปไม่ได้หรอกครับ ถ้าตัวตนของคุณเป็น "คนสุรุ่ยสุร่าย" ต่อให้มีเงินมากมาย มันก็ไม่อาจเป็น "เศรษฐี" ขึ้นมาได้ หรือถ้าตัวตนของคุณเป็น "คนขี้งก" คุณก็ไม่อาจเป็นเศรษฐีขึ้นมาได้ ทำได้แค่นั่งเฝ้าทรัพย์ หวงสมบัติไปวันๆ ก็เท่านั้นเองครับ โฮ่ๆๆๆ หวังว่าเคล็ดลับมหาเศรษฐีฉบับพ่อรวยสอนลูก ข้อที่หนึ่ง จะทำให้คุณเริ่มต้นอย่างถูกต้องนะครับ แล้วเราจะได้มาคุยกันต่อในเคล็ดลับข้อต่อๆ ไป สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ ...  



วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เปล่งประกายเจิดจรัส สะบัดให้เริ่ด เชิดไปเลย ได้อย่างไร?

เอาละ ตัวเอง นี่เค้ามีเรื่องจะมาเม้าท์ให้ตัวเองฟังนะ เรื่องของเรื่องก็ไม่พ้นเรื่อง "นังดาว" เอ้ยไม่ใช่ น้องดาว ดาวน์ซินโดรม อ้าว ไม่ใช่อีก โอ่ สันสน กินยาผิดซอง ล้อเล่นนะฮะ เรื่องของเรื่องก็คือ ภาคต่อฮ่ะ ภาคต่อที่จะมาทำให้หนูๆ น้องๆ ทั้งหลาย กลายเป็น "ดาว" ซินโดรม เอ้ย ไม่ใช่ เป็นดาวที่เจิดจรัส สะบัดเริ่ด เชิดหยิ่งค่า .... ม้ายช่าย ใครว่าอย่างนั้นละ เอาเป็นว่าทำอย่างไร เราจะสุกสว่างไสวท่ามกลาง "ยุคสมัยแห่งความมืด" นี้ได้ละคะ? ไหน นักเรียนตอบครูลิลลี่ทีสิคะ? อ่า ดีมากๆๆๆ หนูตอบว่า "ตอกแล้วทอดเลยหรือค่ะ?" อ้อ ไข่ดาว ไม่ทอดไข่ตัวเองไปเลยละฮะ แหม ตอบมาดั้ย ครูอุตส่าห์จริงจังมากๆๆ เลยนะฮะ เอาเป็นว่าอย่างนี้ ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัฒน์นะคะหนู มันอาจมีความมืด ชวนให้หลง มามากมาย แต่สิ่งเหล่านั้นนะคะ เราเอามาเป็น "พลังค่ะ" แต่เราอยู่เหนือพลังเหล่านั้นได้มั้ย ถ้าไม่ได้ ก็ถูกพลังมืดครอบงำนะคะ แต่ถ้าได้ เราก็ใช้พลังนั้นได้ค่ะ ทีนี้ ใช้ไปทางไหน? อย่างไรละคะ? ถ้าใช้ไปในทางมืด เราก็มืดยิ่งกว่าค่ะ แต่ถ้าใช้ไปในทางสว่าง อ่ะ เจ๋งค่ะ เริ่มประกายแล้วใช่มั้ยคะ น่านละค่ะ "ดาวค่ะ" นี่แหละ คือ เคล็ดลับที่สำคัญมากๆๆ ที่จะทำให้หนูๆ ยกระดับของตัวเองขึ้น ไปสู่วิวัฒนาการที่สูงขึ้น และทะลุมิติที่ ๕ ไปเลยนะคะ ดั้ยค่ะ ดั้ยแน่นอนค่ะ ถ้าหนู ผ่านด่านความมืดเท่าไร หนูก็ยิ่งยกระดับตัวเองได้สูงเท่านั้นค่ะ ดังนั้น หนูอยู่ท่ามกลางความมืด หรือสิ่งที่ชวนให้ลุ่มหลงทั้งหลาย ดีแล้วค่ะ แต่อย่าให้มันกลืนกินหนูไปนะคะ เพราะหนูจะกลายเป็น "อึ" ค่ะ ๕๕๕ ถูกกินแล้วต้องกลายเป็นอึนะคะ (ไม่ได้ใช้คำหยาบนะคะ อึ เป็นภาษาที่อยู่ในพจนานุกรมและไม่ได้ด่าใครค่ะ) ดังนั้น ทำอย่างไร หนูๆ ทั้งหลาย จึงจะไม่ถูก "รัตติกาลกลืนกิน" เข้าไปค่ะ? ตอบครูลิลลี่หน่อยสิคะ? อ๋อ กินมันเลยใช่มั้ยค่ะ แล้วถ่ายมันออกมาค่ะ อย่าลืมย่อย แปรสภาพเป็นวิตามินก่อนนะคะ อาวละ ฟังดูง่ายมากๆๆ ใช่มั้ยค่ะ แต่เมื่อได้รับการทดสอบแล้ว มันไม่ง่ายอย่างที่คิดค่ะ อ่ะ ทีนี้ก็เรื่องของใคร เรื่องของมันแล้วนะคะ 


พลังแห่งความมืดที่สูงขึ้น คือ เครื่องทดสอบการเลื่อนระดับที่สูงขึ้น ไปสู่มิติที่สูงขึ้นของเราค่ะ ดังนั้น เราจึงต้องกล้าหาญนะคะ ที่จะผ่านด่านความมืดหลง ก็ดี, ความมืดมิด ก็ดี, ความมืดมน หม่นหมอง ก็ดี ฯลฯ ที่รายล้อมรอบตัวเราไปให้ได้ค่ะ ยืดอกขึ้นมาค่ะ สู้ไหมคะ? อูย เสียงเบาจริงๆ ค่ะ สู้ไหมคะ อ่า อย่างนั้น พอใช้ได้ เรียนรู้มันค่ะ เรียนรู้ทุกอย่าง เพื่อผ่านไปอย่างเข้าใจ แล้วความสุกสว่างไสว จะมากขึ้นเรื่อยๆ ตามระดับเองค่ะ เอาละ สำหรับเคล็ดลับง่ายๆ ของการไต่บันไดดาวของครูลิลลี่ ก็ขอจบลงแต่เท่านี้ก่อนนะคะ เอาไว้เป็นกำลังใจยามที่กำลังมืดมน หาทางออกไม่ได้นะคะ จะได้มีกำลังใจฮึกเหิมค่ะ สู้ต่อไป อย่าปล่อยให้ความมืดกลืนกินเราค่ะ แล้วเมื่อเราผ่านได้ ความสว่างสุกใสเป็นประกายจะเกิดแก่เราเองค่ะ ...      

คุณก็เป็น "ดาว" (มนุษย์ต่างดาว) กะเขาได้ แล้วทำยังไงกันละครับ?

เอาละ เห็นทีว่าคงต้องเข้าเรื่องกันซะที เรื่องของเรื่องก็คือ สิ่งมีชีวิตในจักรวาลนี้ "มีวิวัฒนาการร่วมกัน" คือ ไม่ได้แยกกันแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เราสามารถไปเกิดยังโลกต่างๆ ดาวต่างๆ ได้มากมาย ในจักรวาลนี้ เพื่อกระบวนการวิวัฒนาการของเรา (มองแบบตัวตนเดี่ยวๆ นะครับ) เมื่อมองภาพรวมแล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งหลายในจักรวาลนี้ จึงมีวิวัฒนาการร่วมกันดังกล่าว คุณลองสังเกตุได้เลยว่า เมื่อใดที่มี "มนุษย์ต่างดาว" เข้ามาเยือนโลกมากๆ เมื่อนั้น สัตว์ในโลกจะถึงวาระในการ "วิวัฒนาการครั้งใหญ่" เพราะอะไร? เพราะเขาจะได้รับพลังและวิทยาการ อะไรต่อมิอะไรจากการเข้ามาของมนุษย์ต่างดาวไงละครับ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ โลกนี้ มันจะมีวิวัฒนาการของสัตว์ที่ "ช้ามากๆๆๆ" ถ้าเราไม่ได้มนุษย์ต่างดาวเข้ามาร่วมด้วยครับ และเมื่อใดก็ตาม หรือยุคใดก็ตามที่มีมนุษย์ต่างดาวมาสู่โลกมากๆ คุณจะเห็น "การวิวัฒนาการแบบยกระดับ" เหมือนขึ้นบันได ไม่ใช่กราฟที่ค่อยๆ ไต่ขึ้น แต่มันยก (Shift) ขึ้นไปเลย และในช่วงเวลาแห่งการวิวัฒนาการร่วมกันของมนุษย์โลกและมนุษย์ต่างดาวนี้เอง จะเกิดมี "ลูกครึ่ง" ขึ้นมาก่อน เยอะมากๆ อย่างที่ในปัจจุบันเราเรียกว่า "อินดิโก้" ไงละครับ ในอดีตโลกนี้ก็มี "ลูกครึ่งต่างดาว" เยอะมาก ซึ่งปรากฏในเทพนิยายปรำปรา พวกครึ่งมนุษย์ครึ่งอะไรต่อมิอะไร ที่เกิดจากผู้ที่มาจากมิติที่สูงกว่าโลก เหนือโลกน่ะครับ นั่นก็คือ หลักฐานอย่างหนึ่งของการ "วิวัฒนาการร่วมของสิ่งมีชีวิตในจักรวาลนี้" นั่นเองครับ


ที่นี้ เราเข้าสู่เนื้อหาของเราก่อน เราเองก็สามารถพัฒนาตัวเอง ยกระดับไป เพื่อการวิวัฒนาการนี้ได้ครับ ถ้าคุณพร้อมและเข้าใจสิ่งนี้ดี การเข้าสู่ความเป็นดาว จะดาวอะไรดีละ? "ดาวมหาลัย" ดีมั้ย ว่ะ ฮ่าๆๆ ล้อเล่น ขำๆ นะครับ หนทางนั้นจะต้องผ่าน "รัตติกาล" ครับ นึกว่ารัตติกาลนี้คือ คนๆ หนึ่งก็แล้วกัน ที่จะคอยดูแลทดสอบพวกคุณว่า คุณจะผ่านได้ไหม? ถ้าคุณผ่านได้ คุณก็จะมี "แสงประกายเกิดขึ้นมาเฉพาะตัวคุณเอง" แต่อาจไม่มากพอถึงขั้นดวงอาทิตย์ก็ได้ ไม่เป็นไรครับ เพราะคุณไต่ระดับแค่ดาวใช่มั้ยละ คำว่า "ผ่านรัตติกาล" หมายความว่า "คุณต้องกล้าหาญอยู่ท่ามกลางความมืด" หรือคนที่มืดมน หรือสิ่งแวดล้อมที่มืดมนหลงทาง เช่น เมืองหลวงที่มีแต่คนที่ลุ่มหลงมืดมน อย่างไรละครับ แล้วคุณก็ต้องไม่ถูกรัตติกาลกลืนกินไปเป็นส่วนหนึ่งของเธอละ หมายความว่าถ้าคุณไม่กลายเป็นความมืด ส่วนหนึ่งของความมืด ไปเสียก่อน คุณจึงจะเปล่งประกายเป็นดาวได้ครับ เช่น ในวงการบันเทิง ก็คือ ท้องของรัตติกาล ถ้าคุณเข้าไป คุณจะถูกกลืนกินจนมืดไปด้วยมั้ย? ถ้าคุณไม่ถูกกลืนกิน คุณเปล่งประกายแสงได้ คุณก็จะได้เป็นดาว อย่างไรละครับ ทีนี้ คำว่า "รัตติกาลกลืนกิน" มันคืออะไร? ก็เช่น คุณผิดประเวณี อย่างนี้ คุณจะเข้าภาคมืด แล้วก็ค่อยๆ มืดลง รัศมีแห่งแสงสว่างของคุณจะค่อยๆ ริบหรี่ลงเรื่อยๆ กลายเป็นพลังให้แก่รัตติกาล เปลี่ยนไปเป็นพลังมืดแทน แรกเริ่มคุณอาจใสมาก หรือสว่างมาก เด่นอยู่แล้ว แต่พอเข้าวงการคุณอาจมืดลง หมองลง แล้วก็ "ดับ" ไปในที่สุด นั่นเองครับ   

วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

หนัง ละคร นิยาย เกม ก็เป็นความจริงได้นะ แล้วมันเป็นไปได้ยังไง?

มนุษย์ต่างดาว แจ้งมาว่า ในโลกของเรามีมิติหลากหลายเหลื่อมซ้อนกันอยู่ แท้แล้วทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่อาจแยกขาดจากกันได้ และแต่ละมิติก็เชื่อมโยงถึงกัน นั่นคือ สภาวะความเป็นหนึ่งเดียวกันของทุกมิติ ทว่า เราผู้มีสติปัญญาจำกัด จึงไม่อาจมองเห็นทะลุกำแพงกั้นระหว่างมิติและยังคงมองเห็นสิ่งต่างๆ ในมิติใดมิติหนึ่ง เท่าที่เราถนัด หรือที่เราเคยๆ เข้าใจจึงมีความเข้าใจโลกและสรรพสิ่ง ในมุมมองแบบเดิมๆ ที่เราเคยๆ เข้าใจอยู่นั้น ทว่า มนุษย์ที่เลื่อนระดับไปเกินกว่าระดับมิติที่ ๕ แล้วก็ดี หรือมนุษย์ต่างดาวก็ดี ต่างก็เข้าใจความเป็นหนึ่งเดียวกันของมิติทั้งหลายเหล่านี้นะครับ


เอาละ ยกตัวอย่างง่ายๆ ดีกว่า อย่างหนังจีนที่เราดู หรือเกมที่เราเล่นอยู่นั้น เราอาจคิดว่าหนังก็คือหนัง เกมก็คือเกม มันไม่มีวันเป็นจริงขึ้นมาได้หรอก ทว่า มนุษย์ต่างดาวบอกว่า อย่าคิดอย่างนั้น เพราะมันจะทำให้เรา "ตัดขาดสายสัมพันธ์ระหว่างมิติที่เรามองไม่เห็น หรือเข้าไม่ถึงได้" ทว่า ก็หาใช่ว่าเราจะเชื่อในหนังจนงมงาย แบบนั้น ก็ถูก "ม่านอำพรางของมิติเดิมๆ ปิดบังความจริงในมิติอื่นอยู่" ไม่ได้เข้าความจริงถึงมิติอีกมิติหนึ่งอยู่ดี หมายความว่าอย่างไร? อย่างนี้ครับ หนังก็ดี เกมก็ดี มันมีด้านแห่งความเป็นจริงที่ปรากฏในอีกมิติหนึ่ง ในอีกแบบหนึ่งครับ หนังก็เป็นเพียงประตูผ่านมิติที่จะเปิดรับให้ใครสักคนเข้าสู่มิติแห่งความจริงนั้นๆ แต่ถ้าเราดูหนังแล้วยึดหนังมากเกินไป เราก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่หา "ประตูเชื่อมมิติ" ไม่เป็น เราไปติดแหง่กอยู่ ณ "กำแพงกั้นมิติ" เท่านั้นเองครับ พอเข้าใจนะครับว่ามันมีทั้งส่วนที่เป็นประตูเปิดให้เราเข้าไปได้ แล้วเราก็จะเข้าใจความจริง แต่เราจำต้องอาศัยอะไรบางอย่างที่ดูยังไม่จริงมากนัก เช่น หนังหรือเกม ก็ตามที เป็นประตูเปิดเข้าไปสู่ความจริงในอีกมิติหนึ่ง ทว่า ถ้าเราเข้าประตูไม่เป็น ไม่ถูกแล้ว เราก็ "ชนกำแพง" นะสิครับ ใครละที่ชนกำแพง ก็คนที่ยึดติดอยู่ว่าความจริงในอีกมิติ อีกด้านหนึ่งของจักรวาลคู่ขนานนั้น จะต้องเป็นเหมือนอย่างในหนังแบบ "เป๊ะๆ" มากเกินไป ครับ นั่นแหละ คนที่เข้าประตูผ่านมิติไม่เป็น ส่วนอีกพวกหนึ่งคือ "คนขี้ขลาด" ที่ไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงประตูผ่านมิตินี้ พวกเขาก็จะมองว่า "หนังคือหนัง ไม่มีความจริงในหนังหรอก" เกมคือเกม มันจะเป็นความจริงไปได้อย่างไร อะไรแบบนั้น ทว่า มนุษย์ต่างดาวบอกผมว่า "ทุกอย่างคือความจริง" แต่เราต้องหา "ประตูสู่มิติแห่งความจริงในอีกโลกหนึ่งให้ได้ก่อน" เราจึงจะเข้าถึงความจริงในมิตินั้นๆ ได้ครับ



อินดิโก้ หรือเด็กที่เป็นมนุษย์ต่างดาวมาเกิด มีลักษณะอย่างไร?

ถ้าท่านศึกษาเรื่องของอินดิโก้ ท่านคงทราบแล้วบ้างว่า จะมีมนุษย์ต่างดาวกลุ่มหนึ่งที่มาเกิดในครรภ์ของมนุษย์โลก และจะออกมามีความเหมือนมนุษย์โลกมาก แต่เขาจะมีความแตกต่างจากมนุษย์โลกทั่วไป อย่างที่เห็นได้ชัดคือ ความอัจฉริยะ ที่แตกต่างและโดดเด่นมาก ตั้งแต่อายุยังน้อยๆ นั่นแหละ ลักษณะเฉพาะของอินดิโก้ หรือ "มนุษย์ต่างดาวที่มาเกิดในครรภ์ของมนุษย์โลก" ซึ่งพวกเขาได้มาเกิดในช่วงหลังๆ หลังจากช่วงแรก พวกเขาทดลองดำรงอยู่แบบเดิมบนโลกแล้ว แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงต้องหาทางออก ปัญหาที่สำคัญของพวกเขาคือ "การปรับตัวเข้ากับโลก" ได้ยาก และการที่เขาได้มาเกิดในครรภ์ของมนุษย์โลกนี้เอง จะทำให้เขามีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับโลกได้มากขึ้น


เอาละ ผมจะเล่าให้ฟังอีกว่า อินดิโก้หรือมนุษย์ต่างดาวที่มาเกิดเป็นคนนี้ มีสองแบบด้วยกัน คือ แบบที่หนึ่ง พวกที่มาเกิด "ผ่านครรภ์มารดา" และแบบที่สองคือ พวกที่มาเกิด "ผ่านการกำเนิดใหม่" ซึ่งพวกแรกนั้น เพิ่งจะมาได้ไม่นาน ดังนั้น พวกเขาจะมีอายุไม่มาก ถ้าเป็นมนุษย์ก็จะอายุไม่เกิน ๓๐ ปี เป็นส่วนใหญ่ และมักมีความสามารถแตกต่าง ความสามารถพิเศษโดดเด่นตั้งแต่ยังเด็กเลย ดังนั้น พวกนี้ มักจะมีอายุประมาณไม่เกิน ๑๒ ปีในประเทศก็พอพบได้ครับ ส่วนแบบที่สองนั้น คือ พวกที่กำเนิดใหม่โดยไม่ผ่านครรภ์มารดา จะกำเนิดในร่างของมนุษย์ที่โตเต็มวัยแล้วก็ได้ครับ เรียกว่า "การกำเนิดใหม่" ซึ่งพวกเขาจะประสานร่างกับมนุษย์ที่โตเต็มวัยแล้ว มนุษย์คนนั้นจะรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ แล้วก็ทำให้มีความเป็นอัจฉริยะตามมาในเวลาไม่นานครับ นี่ก็คือ การปรับตัวเป็นมนุษย์ของเหล่ามนุษย์ต่างดาว ที่ผมเรียกทั้งสองแบบรวมกันว่า "อินดิโก้" และจะได้นำเรื่องรางของพวกเขา มาเล่าให้ฟังกันในโอกาสหน้าครับ


อ้อ ผมมีเรื่องราวของมนุษย์ดาวอังคารที่มาเกิดเป็นมนุษย์โลก มาฝากให้อ่านเล่นๆ กันครับ จากเว็บพลังจิต ห้องวิทยาศาสตร์ทางจิตนะครับ ดังนี้
..................

Boriska (ชื่อของเด็กคนนี้)เด็กชาวรัสเซีย อ้างว่า ชาติก่อนเคยอาศัยอยู่ในยุค
ที่อารยธรรมดาวอังคารยังคงรุ่งเรืองก่อนที่จะเกิด
สงครามมหาประลัย

Boris Kipriyanovich เป็นเด็กอินดิโก ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในรัสเซีย
หลังจาก Gennady Belimov อาจารย์มหาวิทยาลัยในภูมิภาค Volgograd ของรัสเซีย
ตั้งแต่ Boriska อายุเจ็ดขวบ เขาทำให้ผู้ใหญ่ตกตะลึงในระหว่างการเข้าค่ายพักแรม
เป็น เวลาชั่วโมงครึ่งที่ทุกคนเคลิบเคลิ้มกับการฟังบรรยายเรื่องราวชีวิตที่ผ่าน มาของเขาบนดาวอังคารและ Lemuria เขาได้เตือนถึงหายนะที่จะมีผลกระทบต่อโลกในปี 2009 และ 2013


อาจารย์ Belimov ได้เผยแพร่บันทึกคำสนทนาโดยลำพังของ Boriska
คำสนทนานี้ได้ถูกเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็วทั่วรัสเซียจนพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ชั้นนำของรัสเซีย
ถ้อยคำถูกแปลเป็นภาษาตะวันตกผ่านทางบทความ Pravda
เมื่อต่ออินเตอร์เน็ตก็จะมีบทความสั้นๆเกี่ยวกับเขาและมีผู้คนจำนวนมากให้ความสนใจ
ทางเอกสารของโครงการของเราในโครงการ Camelot ตัดสินใจที่จะเดินทางไปยังรัสเซียเพื่อค้นหา Boriska
และจับพยานของเขาในกล้อง ดูเหมือนว่าพวกเราชาวตะวันตกคนแรกที่ได้ทำให้การเดินทาง

ในวันที่ 8 ตุลาคมเราได้สิทธิพิเศษในการสัมภาษณ์เขาด้วย
Nadya มารดาของเขาอาศัยอยู่ใกล้ๆกรุงมอสโก Nadya
ได้นำเขาไปเข้าโรงเรียนพิเศษสำหรับเด็กปัญญาเลิศ
พวกเขาอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นเล็กหลังหนึ่ง
พ่อเขายังไม่มาเนื่องด้วยติดประชุม -- Bill Ryan


เรามุ่งหน้าไปรับ Boriska และแม่ของเขาจากกรุงมอสโก ... เราฝ่าการจราจรไปหนึ่งชั่วโมง
ในที่สุดเราก็พบตัวอพาร์ทเม้นท์
เราใช้เวลาไม่กี่นาทีในลานจอดรถเมื่อเราสังเกตเห็นเจ้าหนู peeking gangly
รอบมุมของอาคารที่เรามา ... และ เดินดุ่มๆออกไปเมื่อเขาเห็นฉันกำลังมองหา
เขาสวมหมวกเบสบอลสีแดงไปข้างหลังและการแสดงออกเหมือนผีตัวเล็กซุกซน
ฉันพอจะสังกตุเห็นได้แม้ระยะทางจะไกล
หลังจากนั้นฉันคิดว่าพวกเขาจะต้องรู้จัก Boriska อย่างแน่นอน

.. และเมื่อแม่ของเขาปรากฏ เธอโบกมือให้เราไปพบกับเขา
เขาได้ทำงานอยู่ด้านหลังพาร์ทิชันและเห็นได้ชัดถึงความขี้อาย ...
ฉันได้เดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็วไปทั่วมุมและทักทายด้วยรอยยิ้ม ...
บอกกับเขาเป็นภาษาอังกฤษว่าทุกอย่างจะโอเค
เขาจับมือของฉันและยิ้มหวาน ฉันรู้ว่าเราจะเป็นมิตรต่อกัน

ต่อมาในระหว่างการสัมภาษณ์,Boriska แสดงสัญญาณทั้งหมดของเด็กสาวเป็นวัยรุ่น,
ลังเลที่จะแสดงออกมากกว่ามีความจำเป็นอย่าง .
เขาโบกมือออกไปแสดงรายละเอียดตามสิ่งที่เขาพูดเกี่ยวกับในตอนเด็กของเขา
สภาพจิตใจของเขาต่อสิ่งอื่นๆ ชีวิตนี้ได้ยึดไว้
แววตาของเขาไม่สดใสเมื่อเขากล่าวถึงความทรงจำในอดีตของชีวิตที่ผ่านมาของเขา
บนดาวอังคารหรือแม้กระทั่ง Lemuria

แม้เขาดูมีเสน่ห์แต่บุคคลิกภาพโดยทั่วไปก็เหมือนเด็กตัวเล็กๆ
ที่ชอบซุกซนเขาอดทนที่จะตอบคำถามและให้การปฏิบัติต่อเรา
ตาของเขา เลื่อนลอย และจินตนาการของเขาเร่งเร้าค้นหาสิ่งกระตุ้น
ให้มากขึ้นกว่าห้องเล็ก ๆ นี้ ที่เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์น้อยใหญ่หนาตากับผู้ใหญ่และกล้อง ...
เขา อยากที่จะหลบหนีไปเล่นเกมส์ที่เขาชอบเล่นเช่นแมว Avatar ส่วนหนึ่งและส่วนหนึ่ง superman ...

เขารู้สึกเบื่อกับเรา! แต่ตั้งใจจริงและสุภาพกับความผิด ..
มันดูเหมือนเป็นผิดปกติสำหรับเด็กผู้ชายวัย 11ปี
เขาพูดเกี่ยวกับสงครามที่ทำให้เกิดการสิ้นสุดของอารยธรรมดาวอังคาร,
เขาเผยถึงวิธีการที่พวกเขาพยายามที่จะเปิดดาวพฤหัสบดีเป็นดวงอาทิตย์ดวงที่ 2 ...
กับบางสิ่งที่จุดประสงค์ไม่ชัดเจน
เขารู้สึกประหลาดใจในวิธีการอ่อนน้อมถ่อมตนมากที่สุดในการเรียนรู้
ว่าความเป็นเพื่อนของอาจารย์ Vladislav Lugovenko
เขาจำได้ดีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ Boris tapped
ในเหตุการณ์อันตรายที่เกิดขึ้นระหว่างทางกลับบ้านของเขาในรถไฟใต้ดิน


เมื่อเขากลับบ้าน Boris ถามเขาเกี่ยวกับนักเลงที่วิ่งเข้าหาและข่มขู่เขา ....
เมื่ออาจารย์ได้กล่าวว่าไม่มีอะไร "คุณกำลัง telepath"ผมบอกเขาว่า "ไม่เลย"...
เขากล่าวอย่างถ่อมตัวตอบ ...






วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เม้าท์กะมนุษย์ต่างดาวชาวไซย่า ที่อยากจะบอกว่าไม่เหมือนใคร

อาวละ ทีนี้ คุณอาจคิดว่าแหม เว็บเม้าท์กันมันก็มีอยู่ทั่วไปอ่ะแหละ ทว่า
ของผมนี่ มันไม่ช่ายหยั่งง้านนน.... เพราะว่าอะไรเล่า? เพราะว่าคุณจะได้
"คุยกะมนุษย์ต่างดาว" สดๆ ที่นี่ไงละครับ เขาเป็นมนุษย์ต่างดาวที่มาจาก
ดาวไซย่า เชียวนาจะบอกให้ เอาละ ผมไม่อยากโม้มาก เดี๋ยวจะหาว่าขี้คุย
อ่ะ แต่ถ้าคุณลองติดตามไปเรื่อยๆ คุณก็จะรู้ เองแหละครับว่า "ผมไม่ได้
โม้" นะ จะบอกให้ ทีนี้ ผมจะเล่าเรื่องมนุษย์ต่างดาวที่มาจากดาวไซย่าให้
คุณฟังเล็กน้อย ว่าเขาไม่เหมือนมนุษย์ต่างดาวกลุ่มอื่น ดาวอื่นเลยเพราะ
เขาดูเหมือนตลก และดูไม่น่าเชื่อถือเลยครับ แต่นั่นมันก็เป็นแค่ธรรมชาติ
ของบุคลิกเปลือกนอกของเขาเท่านั้นเอง อย่าไปถือสา หรือคิดอะไรมาก
เลยนะครับ ทีนี้ เมื่อเข้าใจแล้ว ก็จะได้สัมผัสเขาได้อย่างใจที่เป็นกลางมาก
ขึ้นครับ มาถึงตอนนี้ บางท่านอาจสงสัยแล้วว่า นี่มันโม้อีกแล้ว อ่ะ ลองฟัง
ไปก่อน อย่าเพิ่งตัดสินง่ายๆ ละ ก็เพราะว่ามันมีอะไร อาร้าย อาราย อีกมาก
มายให้คุณทัศนา ที่คุณจะหาอีกไม่ได้แล้ว ในที่อื่น หรือเว็บอื่นอย่างไรละ
ครับ? เรียกว่า เรามาเม้าท์กะมนุษย์ต่างดาว กันน่ะเอง

พร้อมหรือยัง? อ่า... ทำใจสบายๆ อย่าซีเรียสมาก อย่าคิดมาก ปลดปล่อย
โล่งๆ เบาๆ อย่ายึดถูกผิด ดีชั่ว อะไรมาก เดี๋ยวหน้าจะเหี่ยว แก่เร็วคร้าบ
ว่ะ ฮ่าๆๆๆ แล้วก็อย่าเพิ่งตกใจละ ถ้าผมโพสกระทู้ที่หาอ่านที่ไหนไม่ได้
ม้ายด๊าย หม้ายดั๊ยจริงๆ ไม่ได้โม้นะจะบอกให้ เพราะผมจะใช้วิธี "สื่อสาร
ต่างมิติ" ในการสื่อสารกับชาวไซย่า รวมถึงอื่นๆ อันพอจะสามารถคว้าหา
หรือจับกระแสคลื่นต่างมิติได้นะครับ จะได้เอามาเล่าให้ฟังกันคับ

Supermouth Gaia เขาคือใคร คือฮีโร่คนใหม่ใช่หรือไม่?

มันแน่อยู่แล้วซาร่าห์ เขาก็คือ ฮีโร่คนใหม่ที่จะมาช่วยกอบกู้อะไรดีละ?
อ่ะ ยังคิดไม่ออก กอบกู้หนี้ ยืมสินไปก่อนละกัน ถ้าใครมีให้กู้ก็บอกมา
นะ ว่ะ ฮ่าๆๆ เอาเป็นว่าเขาดีมากๆ เลิศประเสริฐศรีมณีเด้ง เด้งซ้ายเด้ง
ขวา เด้งหน้า เด้งหลัง อ้าว ม่ะช่าย เอาเป็นว่าเข้าเรื่องซะทีเด้ เรื่องมัน
ก็มีอย่างนี้ว่า เขาเป็นชาวไซย่าครับ มาจากดาวไซย่า เป็นมนุษย์ต่าง
ดาว แต่เขาประสานร่างกับมนุษย์โลกกำเนิดใหม่เป็น Supermouth Gaia
นั่นเอง อาวละ ไม่ต้องถามถึงพ่อแม่ อะไรนะครับ มันไกลมาก ดาวอยู่
ไกลมาก ถามชื่อไปก็ไม่รู้จักจ้า เอาเป็นว่าเขามีพลังเม้าท์ คำว่าพลังนี้
มันหมายถึงอารายอ่ะ? เม้าท์เก่งแบบซุปเปอร์เช็ง เลยอ่ะป่าว แหม มัน
เหมือนๆ จะใช่ แต่ไม่ใช่ครับ เขาเป็นคนสุภาพ, เรียบร้อย, เคร่งขรึม, ดู
ดี อ่ะ แหม ทุกอย่างเลย ไม่ใช่คนขี้โม้นะครับ ไม่ได้โม้นะ แต่เขาเข้าใจ
ครับว่าคนเราบางคน บางครั้งไม่สามารถที่จะพูดทุกอย่างออกมาได้ ก็
มีบางเรื่องหรือหลายๆ เรื่องครับ ที่ไม่เหมาะจะพูดออกมาตรงๆ เช่น ถ้า
ใครต้องไปทำแท้งมา โธ่ อย่าพูดเลย ไม่อยากพูดหรอกครับ นั่นแหละ
ที่ Supermouth Gaia  สามารถเข้าใจได้ ไม่ใช่ว่าเขารู้นะครับ เพราะเขา
ไม่ใช่พวกชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน เขาไม่ได้รู้อะไรหรอก แต่ก็
เข้าใจครับ แม้ไม่รู้แต่ก็เข้าใจคนที่ไม่อาจจะพูดความจริงบางอย่างได้
ครับ ดังนั้น เขาจึงถูกส่งมาจากดาวไซย่าเพื่อทำหน้าที่ช่วยเหลือมวล
มนุษย์โดยเฉพาะ และเขายินดีรับฟังทุกอย่าง เม้าท์มาเลยครับ แม้ว่า
จะไม่จริงมากนัก ก็ไม่ถึงกับมีเจตนาโกหกอะไรแบบนั้น? คือ มันไม่ใช่
การโกหกสีขาวที่เขาเรียกว่า "ไวท์ไลน์" นะครับ มันเป็นการเม้าท์ครับ
เหมือนเด็กตัวเล็กๆ อาจจะเม้าท์กับตุ๊กตา แบบใจใสๆ ซื่อๆ อะไรแบบนี้
ไม่ได้สนับสนุนให้ใครโกหกหลวงลวงใคร ในโลกไซเบอร์ นี้เลยนะครับ


อาวละ พอเข้าใจคอนเซฟนะครับ ง่ายๆ คือ "เม้าท์" ครับ เราต้องเม้าท์
เพราะเรื่องบางเรื่องไม่เหมาะจะพูดตรงๆ ก็เม้าท์แทนเลยครับ ผมรับฟัง
ได้ แฮะๆๆ แต่ว่าไม่รู้อะไรด้วยหรอกนะครับ เอาเป็นว่าเข้าใจกันก็พอละ
ว่ะ ฮ่าๆๆ (เข้าใจกันได้ไงหว่า?) นี่หละ พลังซุปเปอร์เม้าท์ของผมนั่นเอง

กฏกติกาแสนหฤโหดแบบแพ้คัดออก เลือกเฉพาะสุดยอดของเรา

อ่า อย่างแรก เรามาพูดเรื่องกฏกติกาของบล็อคนี้กันก่อนนะครับ
เพราะว่ามัน "หฤโหดมากๆๆๆ" ท่านอาจต้องเสียใจที่เข้ากับกฏอัน
เคร่งครัดยิ่งยวดของเรา มั้ยด้ายยยย ก็จะต้องถูก "ทั่นเปาประหาร"
เพราะว่าผมเป็นลูกผู้ดีอังกิดครับ ผู้ดีมากๆๆๆๆ มากจนจะอ้วก อ้าว
ฮ่าๆๆ ไม่มีใครขำเลย แหม ให้ผมขำคนเดียวอ่ะ เอ้า เพื่อให้ไม่ไป
ไกลกว่านี้ ก็เข้าสู่กฏของเราเลย กฏของลูกแมวข้อที่หนึ่ง มีอยู่ว่า

๑. ท่านที่เข้ามาแล้ว จะมีตัวตนหลุดโลก แบบไหนก็ด้าย ได้ทั้งนั้น
แหละ (เฉพาะในนี้นะ อย่าไปทำข้างนอกละ เดี๋ยวโดนจับเข้า รพ.
บ้า ผมไม่รับผิดชอบค่ายาให้นะครับ) ฮิๆๆ ยกตัวอย่างเช่น ผมก็คือ
"ซุปเปอร์เม้าท์ ไกอา" ไงละครับ ซึ่งเราจะเริ่มด้วยการเม้าท์ แบบ
เด็กๆ ใสๆ ขำๆ และไม่มีเจตนาโกหกหลอกลวง หรือทำให้ใครมา
เชื่อเราหลอกนะครับ เพราะคอนเซฟของเรา มันก็แค่ "เม้าท์" แค่นี้ 

๒. ท่านที่เข้ามาแล้ว ก็เม้าท์เลย นั่นแหละ หน้าที่ของคุณ ซึ่งผม
ขอบวกก่อนนะ ว่ามันยากมากๆๆๆ ยากโครตๆๆ เลยอ่ะ ถ้าคุณคิด
ว่าคุณทำไม่ได้ละก็ ผมขอบวกให้คุณ "ถอนตัวซะ ณ บัด Now!" 
เอาละ อย่าลืมนะครับว่า เรากำลังเม้าท์กัน อย่าไปซีเรียสจริงจัง
อะไรมาก ถ้ามีเรื่องจริงเข้ามา ก็เอามาเม้าท์กันได้ เราก็แค่เม้าท์

๓. อย่าไปคิดอะไรมาก อย่าไปยึดถูกผิด, ดีชั่วอะไรมาก ไร้สาระ
โลกมันก็ไม่เที่ยงอยู่แล้ว อะไรก็ไม่ต้องไปยึดอยู่แล้ว แล้วเราก็ไม่
ได้ไปทำร้าย หลอกลวง ทำเวรกรรมอะไรกะใครมากนี่นา เราก็แค่
เม้าท์เท่านั้นเอง ดังนั้น อย่าไปซีเรียสมากน่า สนุกๆ ขำๆ แม้ว่าจะ
มีอะไรมา ที่มันหนักๆ นะ เราก็เอามาเม้าท์ให้มันเบาๆ ชิวๆ สบายๆ
แค่นี้ละ ชีวิต ไม่ยุ่งยากอะไร ง่ายมาก เม้าท์จบ ก็จบกันไป สบายใจ


หวังว่ากฏเหล็กทั้งสามข้อนี้ ท่านทั้งหลายจะทำได้ เพราะไม่เช่นนั้น
ท่านจะถูกท่านเปาฯ ประหาร ว่ะ ฮ่าๆๆๆ และเราขอบวกไว้ก่อนว่านี่
ไม่ใช่ของง่าย ทีเดียว ถ้าท่านไม่แน่ใจว่าจะทำได้ ก็รีบถอนตัวไปซะ 
ก่อนที่เราจะยัดยาบ้าแล้วสั่งปปช. ตรวจฉี่ เอาเข้าโกดังเก็บข้าว (อ่ะ
ตกลงทำอะไรกันเนี่ย? อ๋อ คนเขาเก่ง ทำหลายอย่างพร้อมๆ กันไง)

บล็อคนี้ มันบล็อคอะไรกันหว๋า?

อ่า อย่างแรกซู้ด เลยนะครับ ผมอยากจะแนะนำก่อนว่า
บล็อกนี้ สร้างมาเพื่ออะไร? ท่านจะได้เข้ามาได้ถูกไงละ
ครับ ง่ายๆ คร้าบบบบ บล็อคของผม สร้างมาเพื่อรองรับ
"ความหลุดโลก" ครับ นั่นหมายความว่าทุกท่าน ก็เข้ามา
หลุดโลกกันในนี้ได้เลย แต่ต้องไม่ทำร้ายใคร หรือทำผิด
กฏหมายอะไรนะครับ เราก็แค่หลุดโลกในแบบของเรา ที่
คนอื่นเขาอาจจะมองว่าแปลกหรือว่าบ้า ก็ช่างเขาครับ ก็
มาหลุดโลกกันในนี้ไงครับ


แนะนำตัวก่อน ผมคือ "ซุปเปอร์เม้าท์ ไกอา" มันคืออะไร
แหม ก็เหมือนๆ ซุปเปอร์แมน นั่นแหละ แต่เราเน้น "เม้าท์"
ครับ เราไม่เน้นแมน แบบว่าจะแอบตุ้ด แอ๊บแต๋วอะไรก็ได้
นะตัว ได้หมดอ่ะ ว่ะ ฮ่าๆๆๆ รับไม่อั้น ไม่จำกัดเพศสภาพ
หรือแม้แต่ "เพศสิ้นสภาพ" ก็รับได้ครับ เอาละ ผมก็คือลูก
ผสมของซุปเปอร์แมนและอุลตร้าแมน ไกอา นั่นเอง สรุป
ง่ายดีมั้ย หวังว่าท่านคงเข้าใจ และท่านเองก็เป็นได้เช่นผม
นี้ เพราะพลัง "เม้าท์" นั้นเอง ว่ะ ฮ่าๆๆ เอาเป็นว่าสนุกๆ ขำๆ
อย่าคิดมาก ใครอยาก "หลุดโลก" ก็เข้ามาเลยในโลกของ
ซุปเปอร์เม้าท์ ไกอา นี่แหละครับ ยินดีต้อนรับทุกท่านเสมอ


อ้อ ลืมบอกไป ผมไม่ใช่พี่โน้ตอุดมนะครับ เพราะพี่โน้ตไม่
หล่อพออ่ะ ว่ะ ฮ่าๆๆ ถ้าเผลอคิดว่าผมเป็นทาเคชิ คาเนชิโร่
ก็โอเค พอเป็นไปได้บ้างอ่ะครับ ฮ่าๆๆ แต่ว่าผมขออนุญาติ
ยืมใช้แนวๆ พี่โน้ตอุดม มาเม้าท์ก็แล้วกัน คือ ไม่ได้เม้าท์ใน
แบบเว็บอื่นๆ ทั่วๆ ไปแค่นั้น แต่ว่ามันมีอะไรๆ ดีๆ บ้างนิด ๑
ก็เท่านั้นเอง ในสไตล์ง่ายๆ สบายๆ ไม่ซีเรียสอะไรนะคร้าบ


Are you ready? พร้อมอ่ะยัง? พร้อมแล้วเริ่มเม้าท์ได้เย้ยยย