วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มัวทำบุญหวังผล รอชาติหน้าไปทำไม? ทำ Whole in once กันไปเล้ยยย


ฮาโหลๆ ยามบ่ายแก่ๆ ในวันหยุดแบบนี้ หลับกันไปหมดแล้วหรือยัง ถ้ายังขอเสียงกรี๊ดหน่อย อ้ายยยย มันต้องอย่างนี้สิ ไม่มีสักแอะเลยอ่ะ ว่ะ ฮ่าๆๆ เอ้า มาเข้าเรื่องกันดีกว่า บทความนี้ ผมจะมาเม้าท์ให้ฟังเรื่อง “การทำบุญหวังผล รอชาติหน้าได้รับ” กับ “การทำ ทั้งหมด ณ ฉับพลัน” ว่ามันต่างกันยังไง ขี้เกียจพูดมาก ผมถามคุณตรงๆ เลย คุณเคยไหมที่ได้รับอะไร แบบที่ตัวเองไม่ได้ก่อกรรมให้ได้มา อยู่ๆ มันก็มาเอง เอ้าง่ายๆ เสียงเพลงที่คุณไม่ได้เปิด ไม่ได้ต้องการ แล้วจู่ๆ มันก็มาจาก “คนข้างบ้าน” บ้าง, “คนข้างห้อง” บ้าง ฯลฯ ถามหน่อย คุณรู้สึกอย่างไรครับ? โอ้ย ถามดั้ย ก็รำคาญกันทั้งนั้นแหละ ใช่มั้ยฮะ แต่น้อยคนถึงน้อยมากๆ ที่จะคิดว่า “อ่า นี่เป็นบุญของบุญชูจริงๆ อยู่ดีๆ ก็ได้ฟังเพลงฟรีแล้วว่ะ” ใครขืนไปคิดแบบนั้น เขาคงว่า “ไอ้นี่มันบ้านนอกจัดเลยว่ะ คงไม่มีแม้แต่วิทยุจะเปิดฟัง?” ทว่า ไอ้คนแบบนี้แหละ ที่มันรู้จักคำว่า “พอใจในผลบุญเก่าที่ตนได้กระทำมา” ส่วนคนแบบแรก (ที่รำคาญนั้น) จัดอยู่ในกลุ่ม ไม่ยินดีกับผลบุญเก่าที่ตนเองสร้างมา อ้าว ทำไมเป็นยังงั้นละครับ? ง่ายๆ ครับ “ไม่เที่ยงไง” ก็อีเวลาคุณทำบุญนั้นมันชาติไหนเล่า? มันอดีตชาติมาแล้ว ตอนนั้นกิเลส, ความชอบ, รสนิยม ฯลฯ ของคุณมันก็อีกแบบหนึ่ง แต่ตอนที่คุณได้เสวยผลบุญนั้น กิเลส, ความชอบ, รสนิยม ฯลฯ ของคุณในชาตินั้นๆ มันก็อย่างหนึ่ง “มันเปลี่ยนไปแล้ว สายไป เธอควรเก็บใจไว้ ให้กับคนที่เขารอเธออยู่เหมือนเดิม ...” อ้าว ร้องเป็นเพลงไปซะนั่น นั่นแหละ ก็เพราะว่ามันเปลี่ยนไปแล้วอย่างไรละคร้าบบบ


เอาละ สรุปง่ายๆ นะ สมมุติว่า ณ ชาตินี้ คุณเกิดเป็นผู้หญิงนะ ชอบดาราผู้ชายหนึ่ง โอ้ แม่เจ้า มันหล่อ, ขาวใส, ล่ำบึ้ก, น่ากินไปทั้งตัวเลย (พูดแล้วน้ำลายจะไหล ฮ่าๆๆ) สมมุตินะ แค่สมมุติให้คุณลองจินตนาการเท่านั้น โอ้ย อย่าบรรเจิดเกินเลยเถิดไปซะก่อนละ แล้วพอคุณเกิดความปรารถนา อีตอนทำบุญใหญ่ ก็ทำด้วยใจที่มันปรารถนาแบบนั้นพอดี คือ อยากได้แบบนี้เป็นคู่ แล้วบังเอิ้ญ บังเอิญ ชาติต่อไปของคุณดันเกิดเป็น “ผู้ชาย” พ้นจากกรรมที่ต้องเกิดเป็นหญิงแล้ว ทีนี้แหละ แม่เจ้าโว้ย ปัญหามันก็เกิดสิคร่ะ ฮ่าๆๆ ถ้าเขาคนนั้นก็เกิดเป็นผู้ชายเหมือนกัน น่ะฮ่ะ ทีนี้ อกอีแป้นจะแตกแล้วค่ะ ทำไงดีละเจ้าคะ? ก็มันทำบุญมายังเงี้ย จะเอาไงละ? เอ้า เอาก็เอา ว้าย อารายนะตัวเอ้ง เสวยบุญกันไปเลยเจ้าคร่ะ แซ้ปเว้อร์ มั้ยเจ้าคะ? ฮ่าๆๆ แหม ถ้ามันมีกรรมนะ กรรมจะบังตามันให้มันหลงชอบเขา ตามืดมัว มันก็แฮปปี้กันทั้งสองฝ่ายนะคะ แต่ถ้ามันไม่มีกรรมบังตา มันก็เห็นโล่งโจ้งเจ้าค่ะ อั๊ยย๊ะ อะไรน่ะ แท่งเบ่อเร่อเลย กูจะอ้วกแตก ไอ้ห่าเอ้ย เล่นเอากูเสียวหลังวาบๆ อะไรแบบนั้น ใช่มั้ยละ ฮ่าๆๆ นี่ละน้าคนเรา กิเลส, รสนิยม ของแต่ละชาติ มันก็ไม่เหมือนกัน แต่ดัน ไปทำบุญกำหนดเอาไว้ ให้มันได้อย่างนั้นที่ต้องการในชาตินั้นๆ ไว้ มันก็เลยต้องมาเสวยกัน กินกันเองละคร่ะ แซ้ปเวอร์มั้ยละเจ้าคร่ะ ไอ้คนที่หลงด้วยกรรมบังตา มันก็คงโอ อ่ะค่ะ แต่คนที่มันไม่มีกรรมบังตาละคะ โอ้ย เล่นเอากู เดินขาลากเลยมึง เหี้ยเอ้ย ทำกูได้ ไอ้ห่านี่ ๕๕๕ โอ้ย แม่เจ้า จินตนาการเลยเถิดเข้าป่าไม้เดียวกันไปไหนแล้วเนี่ย?


เอาละ สรุปแว่ เอ้ย สรุปว่า อย่าไปทำมันเลย ไอ้บุญหวังผลเอาชาติหน้าหน่ะนะ ทำมันซะในปัจจุบันนี้แหละ แต่ไม่ใช่แบบ “พวกหลงยึดติดปัจจุบันขณะ” นะจ๊ะ แบบนั้นมันยังไม่พ้นวังวนของกาลเวลา ไม่พ้นมิติที่ 4 เลย ไม่ใช่ “อกาลิโก” นะตัวเอง ไอ้แบบที่ทำกรรมเพื่อให้ได้ผลเสวยในชาตินี้เลยอ่ะนะ แบบนั้นมันพวก “กรรมฟาสฟู้ด” สั่งเร่งเร็วด่วนจี๋ เหมือนอาหารตามสั่ง สั่งแล้วก็ต้องได้เลย อย่าช้า ไอ้แบบนี้ก็ไม่ใช่นะจ๊ะตัวเอง ไอ้ที่บอกว่า “ทั้งหมด ณ ฉับพลัน” นั้น มันไม่ใช่แบบนี้ มันไม่ได้ยึดติดกับกาลเวลาใดๆ เลย ไม่ได้ยึดติด ไม่ได้ผูกมัดตัวเองกับปัจจุบันขณะ อ้าวแล้วมันเป็นแบบไหนกันเล่า? เอาละ ไว้ตัวเองเลื่อนระดับไปถึงระดับมิติที่ 7 ก็จะรู้เองแหละ ยิ่งอธิบายมาก ยิ่งเลอะเทอะไปเปล่าๆ เอาเป็นว่าแค่แนะนำให้รู้ทาง ที่เหลือก็ไปเองแล้วกันนะจ๊ะ พึ่งตัวเองด้วยจ๊ะ โตแล้วนะจ๊ะ ไม่ใช่เด็กๆ สำหรับบทความนี้ ขอจบเท่านี้ก่อน บะบายจ้า...  

ค้นหา "ตัวตน" หลากมิติของคุณ เพื่อแผ่ขยายขอบเขตพลังแห่งการเชื่อมโยง!

สวัสดีเช้าตรู่วันหยุดนะครับ วันนี้มีเรื่องเบาๆ แต่พิเศษนิดหน่อยมาเม้าท์ให้ฟังละ คือ เรื่องทำอย่างไร เราจึงจะขยายขอบเขตของพลังในการเชื่อมโยงตัวตนหลากมิติของเราออกไปให้กว้างไกลยิ่งๆ ขึ้นไปได้เพราะถ้ายิ่งเรามีพลังที่ขยายออกไปมากเท่าไร นั่นก็หมายความว่า "เรายิ่งเติบโตในอีกทางด้านหนึ่ง" ด้วยครับ ผมจะอุปมาอย่่างนี้ ถ้าตัวคุณเหมือนพีรามิดนะ เวลาคุณเลื่อนระดับขึ้นไป คุณพัฒนาตัวเองไปใน "แนวตั้ง" คุณอาจไปได้เร็วก็จริง แต่พีรามิดของคุณ มันก็จะผอมและแหลมเปี๊ยบ ในขณะที่อีกคนหนึ่ง เขาอาจทำได้ดีกว่่า คือทั้งขยายในแนวตั้งและแนวนอน พีรามิดของเขา นอกจากจะก่อได้สูงแล้วยังมีขนาดใหญ่ด้วย แน่นอนเขาย่อมมีความมั่นคงกว่าจริงมั้ยครับ


ดังนั้น จึงไม่ใช่เพียงแต่การเลื่อนระดับเท่านั้น แต่คุณควร "แผ่บารมี" ของคุณออกในแนวนอนด้วย คุณอาจกลายเป็นคนที่เก่งมาก เพราะเลื่อนระดับไปได้สูงมาก ในเวลาอันสั้น แต่นั่นหมายความว่าคุณอาจกลายเป็น "พระปัจเจกพุทธเจ้า" ไป คือ เก่งมากแต่สำเร็จได้เพียงคนเดียว ทว่า นี่ก็ไม่ใช่ความผิดหรือความเลวร้ายอะไรนะ มันเป็นแค่ทางเลือกหนึ่ง ก็เท่านั้น แต่ถ้าท่านไม่ต้องการเช่นนี้ ท่านต้องการคนอื่นๆ ให้ร่วมเดินทางไปกับท่านให้ได้ด้วย มันก็จำเป็นครับที่ท่านจะต้องทำ การเลื่อนระดับ ควบคู่กันไปกับ "การแผ่บารมี" ด้วย เอาละ ในบางคนจะมุ่งเน้นแต่แผ่บารมี แต่ไม่มีการเลื่อนระดับเลยก็มี เขาก็จะกลายเป็นคนที่ได้รับการนิยมชมชอบมากในหมู่ชนระดับล่าง แต่เขาจะไม่อาจมีความเข้าใจและวิถีชีวิตแบบ "ระดับสูง" ได้อย่างแท้จริง มันก็เหมือนคนที่ยิ่งใหญ่ "แต่ไปไม่ถึงฝั่ง" นั่นแหละครับ เพราะอะไร? อาจเป็นเพราะ "สัมภาระ" เยอะเกินไปก็ได้มังครับ ดังนั้น การแผ่บารมีควบคู่ไปกับการเลื่อนระดับ จึงเหมือนการก่อสร้างพีรามิดที่สมดุล ทั้งด้านความสูงและความกว้าง นั่นเอง ซึ่งผมจะได้อธิบายต่อไปนะครับ


ทีนี้ เรามาเข้าสู่ "เทคนิกในการแผ่ขยายขอบเขตพลังแห่งการเชื่อมโยง" กับตัวตนหลากมิติกันบ้าง เพราะสิ่งนี้จะช่วยในการแผ่ขยายบารมีของคุณได้ นั่นเอง เช่น ถ้าคุณค้นพบว่ามีตัวตนหลากมิติของคุณอีกตัวหนึ่ง อยู่ที่ อเมริกา แล้วคุณเชื่อมโยงพลังงานไปถึงเขาได้ คุณก็จะแผ่ขยายพลังงานได้กว้างไกลไปถึงอเมริกาโน่น มันเหมือนการเชื่อมต่อสัญญาณที่มีสถานีรับส่งสัญญาณ หลายๆ สถานี นั่นละครับ ซึ่งในช่วงแรกนี้ เป็นการยากที่คุณจะเชื่อมโยงกับตัวตนหลากมิติที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเครือข่ายของคุณแบบมิติที่ 6 เขาทำกัน ดังนั้น คุณจึงควรเริ่มต้นจากมิติที่ 5 ให้ได้ก่อน คือ เชื่อมโยงกับตัวตนหลากมิติของคุณเอง ก่อนที่จะแผ่ขยายไปสู่ตัวตนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ตัวตนในเครือข่ายของคุณ บางท่านจะ "ลัดขั้นตอน" คือ เชื่อมโยงพลังงานไปยังตัวตนมากมายที่ไม่ใช่ตัวตนในเครือข่ายของตน เช่น การที่คนๆ หนึ่งขึ้นเวทีร้องเพลง มีคนห้อมล้อมและเชื่อมโยงพลังงานกับเขามาก เขาจะได้รับพลังงานจากคนเหล่านั้นมาก และทำให้เขาดูเหมือนว่าไปได้ไกล มีชีวิตที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทว่า ม้ันเป็นการลัดขั้นตอน แม้จะให้ผลดีดังใจต้องการในระยะสั้น แต่มันจะมีผลร้ายตามมาภายหลังได้ครับ สุดท้าย ถามว่าคุณจะค้นหา "ตัวตนหลากมิติของคุณ" เพื่อเชื่อมโยงได้อย่างไร? คำตอบก็ไม่ยากครับ คุณอาจดูจากสื่อต่างๆ ทีวี, วิทยุ, หนัง, ละคร, เกม, นิยาย, หนังสือ ฯลฯ อะไรก็ได้ที่ทำให้คุณ "สัมผัสถึงตัวตนอีกมิติหนึ่งของคุณได้" มันก็จะช่วยให้คุณค้นหา "ตัวตนหลากมิติอื่นๆ" ของคุณได้อีก เช่น ถ้าคุณค้นพบว่ามีคนที่อเมริกาเป็นเครือข่ายตัวตนหนึ่งของคุณ ผ่านการดูหนัง เท่านี้ละ คุณก็เชื่อมโยงพลังงานกับเขาได้เลย แต่ถ้าคุณไม่อาศัยสิ่งเหล่านี้ ก็ยากเหมือนกันครับ ที่จะค้นหา "ตัวตนหลากมิติ" ของคุณได้ สวัสดี...   

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การเลื่อนระดับไปได้จริงๆ กับการไม่ได้เลื่อนระดับแต่ใช้ญาณหยั่งขึ้นไปรู้ ต่างกันอย่างไร?

ข้อแตกต่างอย่างยิ่งระหว่างการเลื่อนระดับจริงๆ ของคุณกับการไม่ได้เลื่อนระดับขึ้นไปจริงๆ แต่คุณอาจใช้ญาณหยั่งรู้หรือได้รับข้อมูลต่างมิติมานั้นก็คือ ตัวของคุณจริงๆ จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปหรอก ถ้าคุณไม่ได้เลื่อนระดับขึ้นไปจริงๆ แต่คุณก็แค่ “รู้” มันเท่านั้น ดังนั้น ถ้าคุณเลื่อนระดับขึ้นไปจริงๆ ได้เมื่อไร ชีวิตของคุณก็จะเปลี่ยนแปลงไป “จริงๆ” ไม่ใช่แค่ปรัชญาหรือทฤษฎี และคุณก็มั่นใจได้เลยว่าการเปลี่ยนแปลงนั้น มันจะดีขึ้นแน่นอน เพราะคุณเลื่อนระดับขึ้นไปไงละ ไม่ได้ตกต่ำลงเสียหน่อย เอาละอย่างไรก็ดีในโลกของคุณจะมี “คนกลุ่มหนึ่งที่จะได้รับข้อมูลหรือได้ญาณหยั่งรู้ขั้นสูง” รู้เรื่องราวของการเลื่อนระดับเหล่านี้ก่อน แต่เขาอาจจะยังไม่ใช่คนที่เลื่อนระดับขึ้นไปได้จริงๆ หรอกนะ พวกเขาแค่มาเปิดทาง บอกทาง ให้คนอื่นๆ ก่อนก็เท่านั้นแต่พวกเขาเองยังไม่ได้เลื่อนระดับขึ้นไปจริงๆ ซึ่งก็ไม่ได้ผิด หรือเลวร้ายแต่อย่างใด เพราะพวกเขาก็ต้องทำหน้าที่ เพื่อการเลื่อนระดับของเขาเองเหมือนกัน นั่นหมายความว่า เขาจะเลื่อนระดับได้ก็ต้องทำหน้าที่สื่อสารข้อมูลดังกล่าว นั่นเอง อีกประการ ข้อมูลที่ได้จากการใช้ญาณหยั่งรู้แต่ไม่ได้เลื่อนระดับขึ้นไปจริงๆ นั้น จะเป็นข้อมูลที่ค่อนข้าง “ไม่เป็นรูปธรรม” และเข้าใจได้ยาก ก็ด้วยการหยั่งรู้ในระดับจิตนั่นเอง ไม่ใช่การสังเกตจาก “ชีวิตจริง” เพราะเมื่อใดก็ตามที่เขาเลื่อนระดับไปได้ในชีวิตจริงแล้ว เขาก็ไม่ต้องใช้ญาณหรือดูทางในอีกต่อไป เขาจะดูตัวเขาเอง ดูจากชีวิตจริงของเขาเองได้เลย ซึ่งมันอาจจะมีบางอย่างที่อธิบายต่างกันบ้างเล็กน้อย แต่มันก็คือสิ่งเดียวกันนั่นแหละ แต่คุณต้องไม่ลืมว่า “มนุษย์ที่มีร่างสังขารแล้วเลื่อนระดับขึ้นไป” กับ “ตัวตนในมิติทิพย์ที่อยู่ในระดับมิติที่สูง” นั้นแตกต่างกันมาก สิ่งที่ตัวตนในมิติที่สูงเช่น มิติที่ 7 บอกมานั้น เป็นสภาวะของ “ตัวตนในมิติอื่นที่ไม่ใช่ร่างมนุษย์โลก” เช่น มิติทิพย์ ทั้งหลาย ในขณะที่เมื่อคุณเลื่อนระดับขึ้นไปได้แล้ว ตัวตนที่เป็นมนุษย์โลกของคุณนั่นแหละ ที่จะแสดงลักษณะของสิ่งที่เป็นอยู่ในมิติที่สูงขึ้นนั้นเอง ดังนั้น มันจึงมีความแตกต่างกันได้บ้าง ด้วยเหตุผลดังกล่าวมานี้


เอาละ อย่างไรก็ตาม ผมยังแสดงจุดยืนชัดเจนว่า “การเลื่อนระดับขึ้นไปจริงๆ เป็นสิ่งที่เรา ชาวสากลจักรวาลต้องการให้คุณเป็น มากกว่า การใช้ญาณหยั่งรู้เฉยๆ หรือการได้รับข้อมูลต่างมิติเพียงเท่านั้น” เพราะสิ่งนั้น มันแค่ “ข้อมูลและการรู้” แต่มันยังไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงๆ เกิดขึ้นจริงๆ นั่นเอง ทว่า เราก็ยังจำเป็นที่จะต้องมี “ผู้หยั่งรู้” คอยบอกทาง เพื่อให้ “นักปฏิบัติ” ได้รับข้อมูลและสามารถเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางที่เรามุ่งหวังไว้ได้ แต่สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดก็คือ “ข้อเท็จจริงจากนักปฏิบัติจริง” ซึ่งมันจะแตกต่างจากข้อมูลต่างมิติแน่นอน เพราะในโลกนี้ ยังไม่ค่อยมีคนเลื่อนระดับไปสู่มิติที่สูงได้มากเท่าใดนัก การมี “มนุษย์โลกเป็นตัวอย่าง” ให้เราได้ศึกษา จึงดีกว่า และบางอย่างอาจพบว่าแตกต่างจากตัวตนในระดับสูงที่ไม่ได้อยู่ในมิติของมนุษย์โลก ก็ได้ เช่น ตัวตนในมิติที่ 7 ระดับทิพย์ อาจเป็นตัวตนที่ไร้ลักษณ์ มีเหมือนไม่มี ไม่มีรูปธรรมที่แน่นอนชัดเจน ทว่า มนุษย์โลกอย่างคุณจะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร? ในเมื่อพวกคุณยังต้องใช้ร่างสังขารทำงานอยู่ร่วมกับมนุษย์โลกคนอื่นๆ ที่ยังอยู่ในระดับมิติที่ต่ำกว่า เช่น ในมิติที่สาม ที่ยังต้อง “มองเห็นเป็นรูปธรรมสามมิติ” อยู่ ดังนั้น เมื่อมนุษย์โลกอย่างพวกคุณ ได้เลื่อนระดับไปสู่มิติที่ 7 แล้ว จึงไม่อาจมีสภาวะเป็นเหมือน “ตัวตนในมิติทิพย์” ได้ ทว่า มันไม่ต่างกัน เพราะในระดับนี้ “รูปธรรมเปลือกนอก ไม่ใช่ตัวชี้วัด” ใดๆ ได้อีกเลย ทว่า คุณจำเป็นต้องเข้าใจถึง “ระดับของพลังงาน” ให้ดีว่าพลังงานในระดับมิติที่ 7 นั้น มีลักษณะคลื่นความถี่แบบใด ถ้าคุณพัฒนาไปจนมีคลื่นความถี่ที่สอดคล้องกันได้แล้ว นั่นแหละ คุณจึงจะเลื่อนระดับไปได้สำเร็จ ดังนั้น คุณจึงไม่จำเป็นต้องทำตัวเหมือน “ตัวตนในมิติที่ 7” จริงๆ ก็ได้ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ในความเป็น “มนุษย์โลกของคุณ” แต่มันเป็นไปได้ “ในวิถีชีวิตจริงของคุณ” ซึ่งสอดคล้องกันด้วยคลื่นความถี่เดียวกันในระดับมิติที่ 7 นั้น นั่นเอง หาใช่ความเหมือนเพียง “เปลือกนอก” ไม่ ...  

พร้อมหรือยังที่จะทำ Whole in once (ทั้งหมด ณ ฉับพลัน) กับเราในอีกไม่นานนี้?

ฮาโหลๆ ยามเย็น เริ่มหมดแรงกันหรือยังครับ หลังจากทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เรามาพบกันอีกแล้วนะครับ และเช่นเคย เราก็มาเม้าท์กันเหมือนเดิมหละครับ โฮ่ๆๆ เอาละ สำหรับบทความนี้ ผมอยากจะเม้าท์เรื่องความแตกต่างของระดับมิติที่ 5-6-7 ให้ละเอียดขึ้นอีกโดยจะเริ่มจาก ในระดับมิติที่ 5-6 ที่เหมือนกันก่อนคือ “ตัวตนหลากมิติ” แต่ต่างกันตรงที่ระดับ “ความกว้าง” เท่านั้นเอง กล่าวคือ ในระดับมิติที่ 5 นั้น ขอบเขตความกว้างของตัวตนหลากมิติ มีอยู่เฉพาะตัวตนในกลุ่มของตนเองเท่านั้น แต่เมื่อผ่านไปสู่ระดับมิติที่ 6 ได้แล้ว แม้ว่าไม่ใช่ตัวตนที่อยู่ในกลุ่มของตนก็สามารถเชื่อมโยงได้ เช่น ตัวตนในกลุ่มอื่นๆ ก็ไม่ต่างจากตัวตนในกลุ่มของตน


ทีนี้ ลองมาดู “พลังในการเชื่อมโยง” บ้าง ว่ามันแตกต่างกันอย่างไร? เอาละ สำหรับพลังในการเชื่อมโยงนั้น ไม่ได้แตกต่างกันที่ระดับของมิติ แต่แตกต่างกันที่ลักษณะการเชื่อมโยงเท่านั้น คือ ๑. การเชื่อมโยงแบบนำเข้า ๒. การเชื่อมโยงแบบนำออก ๓. การเชื่อมโยงสองทาง มีสามแบบนี้ ในคนที่เชื่อมโยงแบบนำเข้าอย่างเดียวเขาจะรู้สึกเหมือนว่าเขาเป็นใครไม่รู้หลายคนเพราะอะไร ก็เพราะว่าพลังงานของ “ตัวตนหลากมิติ” มากมายหลายตัวตนถูก “เชื่อมโยงแบบนำเข้า” มานั่นเอง แต่ในคนที่มีพลังเชื่อมโยงแบบนำออกอย่างเดียว เขาจะไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย ตรงข้ามเขาจะรู้สึกเป็น “ตัวของตัวเองมาก” ไม่เหมือนมีตัวตนหลากมิติอะไรเลย ทว่าพลังงานของเขาได้ถูกนำออกแล้วเชื่อมโยงไปสู่ “ตัวตนหลากมิติ” อีกมากมาย ดังนั้น เขาจะสงสัยว่าทำไม คนๆ นั้นจึงมีความคิดเหมือนเขาได้ หรือว่า เอ๊ะ นี่เขาคิดก่อนนี่ ทำไมความคิดของเขาไปโผล่ที่คนๆ นั้นได้ นี่ก็เพราะ “พลังงานที่เชื่อมโยงแบบนำออก” แผ่มาจากตัวเขาไปสู่ตัวตนหลากมิติ นั่นเอง


เอาละ กลับมาดูขอบเขตของการเชื่อมโยงกับตัวตนหลากมิติ ในระดับมิติที่ 5 และระดับมิติที่ 6 กันบ้าง ว่าแตกต่างกันอย่างไร? ก็ไม่ยากครับ ถ้าเป็นการเชื่อมโยงแบบนำเข้า ในระดับมิติที่ 5 เขาย่อมจะนำเข้าพลังงานจากตัวตนหลากมิติได้ “เฉพาะตัวตนในกลุ่มของเขาเท่านั้น” แต่ถ้าในระดับมิติที่ 6 แล้วละก็ เขาย่อมจะนำเข้าพลังงานจากตัวตนหลากมิติที่ไม่ใช่ตัวตนในกลุ่มของเขา ก็ได้ ในทางกลับกัน ถ้าเป็นการเชื่อมโยงแบบนำออกบ้างละ สำหรับในระดับมิติที่ 5 แล้ว เขาย่อมจะส่งพลังเชื่อมโยงไปได้กว้างไกลเฉพาะตัวตนหลากมิติของตัวเองเท่านั้น แต่ในระดับมิติที่ 6 นั้น เขาย่อมส่งพลังเชื่อมโยงไปได้กว้างกว่าตัวตนหลากมิติของตัวเอง กล่าวคือ เขาสามารถส่งพลังเชื่อมโยงไปสู่ตัวตนหลากมิติอื่นๆ ที่ไม่ใช่ตัวตนในกลุ่มของตัวเองได้ด้วย


ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวบรรยายลักษณะของมิติที่ 5-มานี้ ยังเป็น “การทดลอง” อยู่ และคุณก็ยังเป็นได้แค่ X-men ที่ยังไม่ผ่านการทดสอบ และยังไม่อาจออกจากห้องแล็ปได้ คุณก็จะยังไม่สามารถมีชีวิตที่อิสระได้มากนัก คุณจะรู้สึกได้ถึง “การถูกขังกรอบ” ซึ่งเป็นกรอบที่คุณเองก็มองไม่เห็น แต่รู้สึกได้ว่ามันมีอยู่จริง จนกว่าคุณจะสอบผ่านเข้าสู่มิติที่ 7 ได้ คุณจึงจะมีอิสระขึ้นได้ ทีนี้ เราลองมาดูในระดับมิติที่ 7 กันบ้าง ในระดับนี้ มันไม่ใช่แค่การเชื่อมโยงแล้ว แต่มันจะเป็น “ทั้งหมด ณ ฉับพลัน” (Whole in once) ซึ่งคุณจะถูกจัดสรรให้ลงตำแหน่งที่เหมาะสมสักหนึ่งตำแหน่งเพื่อ “ทั้งหมด ณ ฉับพลัน” และคุณก็ยังไม่สูญเสียการเชื่อมโยงกับทั้งหมด อยู่ดี ทีนี้ คุณไม่จำเป็นต้อง “เป็นทีละตัว ไปทีละมิติ ทำทีละช่วงเวลา” อีกต่อไปแล้ว คุณทำมัน ณ ทีนี่ เวลานี้ได้เลย แล้วมันก็จะเป็น “ทั้งหมด ณ ฉับพลัน” ไปเอง นั่นคือ มันจะเกิดการเชื่อมโยงกันทั้งหมด ณ เวลาปัจจุบันของคุณที่คุณกระทำ ไม่ต้องไปเล่นทีละตัว, ทีละเวลา, ทีละมิติ อีกต่อ ไปแล้ว สบายดีมั้ยละ ฮ่าๆๆ ไม่รู้เหมือนกันนะ เพราะเวลาผิดพลาดขึ้นมา มันก็จะส่งผลกระทบถึง “ทุกตัวตน” ได้ ทันทีเช่นกัน ดังนั้น เมื่อถึงระดับมิติที่ 7 แล้ว คุณจึงต้องมีตำแหน่งเทพแล้วละ และจะต้องมีความรับผิดชอบสูงขึ้นกว่าเดิมด้วย ทีนี้ คุณพร้อมหรือยังที่จะทำ Whole in once ในฐานะและตำแหน่งอันหนึ่งอันใดที่ไม่ได้รับจากทางโลก แต่ได้รับจากสรวงสวรรค์?

เกมชีวิตที่ลิขิตโดยเทพ (ในร่างมนุษย์) คุณก็มีส่วนกำหนดอนาคตของโลกได้

สวัสดียามเช้าครับ วันนี้เรามาเม้าท์กันต่อเรื่องของมิติที่ 7 ละกัน อย่างที่ได้อธิบายไว้บ้างแล้วว่ามิตินี้เป็นมิติของเทพเดินดิน, เทพในร่างมนุษย์ การกระทำของพวกเขาจะไม่ใช่การลองผิด ลองถูก แต่จะเป็น “ตัวแทนของสวรรค์” และเป็นการกระทำที่ได้รับการยอมรับจากสวรรค์แล้วว่าให้เดินเกมนั้นได้ ภายใต้ขีดจำกัดที่ว่า “อำนาจไม่ได้อยู่ในมือใครคนหนึ่ง” แต่จะกระจายอยู่ในคนหลายคน เพื่อคานอำนาจซึ่งกันและกันอย่างสมดุล สมมุติ นาย ก. เป็นเทพในร่างมนุษย์ที่ควบคุมธาตุไฟในโลกได้ ก็จะมี นาย ข. เป็นเทพในร่างมนุษย์ที่ควบคุมธาตุน้ำในโลกได้ มาคู่กันเพื่อคานดุลยภาพกัน นั่นเอง ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงต่างๆ บนโลก จะเป็นไปโดยท่านที่อยู่ในระดับมิติที่ 7 นี้ อย่างสมดุล ผมเลยเรียกง่ายๆ ว่า “เกมชีวิตที่ลิขิตโดยเทพในร่างมนุษย์” นี่ไงละครับ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เราก็มาเม้าท์กันเรื่องนี้เลย ก็แล้วกัน


ในระดับมิติที่ 7 นี้ จะมีเทพในร่างมนุษย์ที่จะอยู่ในระดับ “ตัวกระทำ” เหมือนตัวละคร ที่ต้องเล่นบทบาทต่างๆ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโลกครับ แล้วเขาจะต้องมีความเป็นตัวของตัวเองอย่างมาก เปลี่ยนไปอย่างอื่นไม่ได้ เช่น ถ้าเขาถือธาตุไฟ จะให้เขาเป็นคนใจเย็นไม่ได้นะครับ ไม่เช่นนั้น เขาจะไม่อาจใช้พลังของเขาได้เลย และสูญเสียพลังธาตุไฟไปหมดได้ ดังนั้น ก็เป็นธรรมดาครับ ที่เราจะเห็น “เทพในร่างมนุษย์” ที่ดูเหมือนเอาแต่ใจตัวเองหน่อย หรือไม่ยอมเปลี่ยนแปลงธรรมชาติในตัวเอง นี่ไม่ใช่แบบมนุษย์ในมิติที่ 3 หรอกนะครับ มันสูงกว่านั้นและมันเป็นความจำเป็นของระดับมิติที่ 7 ครับ คือ “อย่าสูญเสียธรรมชาติของตัวเอง” จงเป็นอย่างที่คุณเป็น จงเป็นตัวเองตามธรรมชาติที่คุณเป็นนั้น เพราะจะมีคนอื่นๆ เข้ามาช่วยคานอำนาจให้คุณเองครับ แต่ถ้าคุณสูญเสียธรรมชาติของคุณไป ก็จบเห่ คุณก็จะทำหน้าที่ไม่ได้แล้วครับ


ในกระบวนการนี้ ยังมีท่านที่อยู่ในระดับมิติที่สูงขึ้นกว่า ขึ้นไป คอยดูแลอยู่ด้วย เหมือนผู้กำกับอีกที เพื่อให้เรื่องราวดำเนินไปอย่างสมดุล เพราะการเปลี่ยนแปลงในโลก จำเป็นต้องดำเนินไปอย่างสมดุลครับ ในขณะที่ “ตัวกระทำ” ไม่อาจทำแบบนั้นได้ตัวกระทำแต่ละตัวต้องมีความเป็นตัวของตัวเอง ตามธรรมชาติที่ตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ดังที่บอกแล้ว คนที่ควบคุมธาตุไฟ ก็ต้องเป็นไฟ คนที่ควบคุมธาตุน้ำก็ต้องเป็นน้ำ ผมเลยอยากเรียกยุคนี้ในบางครั้งว่า “สงครามมหาเทพ” ก็ได้มันเท่ห์ดีเพราะมันจะมีเทพในร่างมนุษย์หลายคนที่ใช้พลังปะทะกันครับ พวกเขาอาจมีความคิดเห็น, การพูด, การกระทำที่ขัดแย้งกัน ยังกะจะก่อสงครามเลยแล้วมันจะทำให้พลังในตัวของเขาถูกปลดปล่อยออกมา ยังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ครับ อันนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับนิทานปรัมปราที่เราเคยอ่านครั้งยังเด็กนะครับ แต่ว่า “มันก็คือความจริงในมิติที่ 7” ครับ ... 

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กิเลสเที่ยง หรือความดับเที่ยง?

ผู้มีมิจฉาทิฐิท่องไปในความเที่ยง ไม่หลุดพ้นวังวนแห่งความเที่ยงออกมาได้ ย่อมมีกระแสความคิด ตรึกไปเช่นนี้ว่า “กิเลสเที่ยงหนอ” ดังนี้ เราจึงต้องกระทำการดับ, การละ, การตัด ฯลฯ ซึ่งกิเลสนั้น ด้วยว่ากิเลสนั้นเที่ยง ไม่อาจดับสูญ จึงมีทิฐิว่าจะต้องกระทำกรรมใดๆ เพื่อเป็นไปตามประสงค์อันเกิดขึ้นจาก “ความคิดปรุงแต่ง” ดังกล่าวนานัปการนั้น



ผู้มีสัมมาทิฐิหลุดพ้นแล้วจากความเที่ยง ไม่หลงวนจมปลักในความเที่ยงนั้น ย่อมมีกระแสความคิด ตรึกไปเช่นนี้ว่า “แม้กิเลสก็ไม่เที่ยงหนอ” พระศาสดาแสดงธรรมอันเป็นเช่นนั้นเอง เป็นสัจธรรมแท้มิต้องปรุงแต่งใดๆ เพิ่มเติม มิต้องกระทำกรรมใดๆ สืบต่อไปอีก “กิจจบแล้วหนอ, พรหมจรรย์สิ้นแล้วหนอ" มิได้มีประสงค์ใด หรือความคิดปรุงแต่งใดๆ หลังสดับธรรมนั้นอีก


ผู้มิได้สดับฟังธรรมแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมไม่อาจมีปัญญาสว่างชัดว่าแม้กิเลสก็ไม่เที่ยง ทั้งยังไม่เกิดความคิดขึ้นว่า “ตนจักต้องกระทำการดับหรือตัดกิเลส” ย่อมไม่เคยได้สดับแม้คำว่า “กิเลส” ก็ดี, “ความเที่ยง-ไม่เที่ยง” ก็ดี ฯลฯ เขาย่อมแตกต่างจากบุคคลทั้งสองดังกล่าวข้างต้น แม้ไม่เคยสดับฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ย่อมกระทำกรรมดังเดิม มิได้ “กระทำกรรมใหม่” เพื่อความดับ, การตัด, หรือความสิ้นไปแห่งกิเลสแต่ประการใด


เช่นนี้แลท่านทั้งหลาย พึงพิจารณาเองว่า “กิเลสเที่ยงหรือ?” ... (๑)


ผู้มีมิจฉาทิฐิว่า “ความดับเที่ยง” ไม่หลุดพ้นวังวนแห่งความเที่ยงออกมาได้ ย่อมมีกระแสความคิด ตรึกไปเช่นนี้ว่า “ความดับแห่งกิเลสนี้เที่ยงหนอ” ดังนี้ เราจึงถึงซึ่งความเป็นพระอรหันต์ได้ด้วยการละ, การตัด, การดับไปซึ่งกิเลสนั้น ด้วยว่าความดับแห่งกิเลสนั้นเที่ยง ไม่อาจเกิดขึ้นได้อีก จึงมีทิฐิว่า “จิตอรหันต์นี้เที่ยงหนอ” ความผ่องใสแห่งจิตนี้เที่ยงหนอ, ความไร้กิเลสนี้เที่ยงหนอ “จิตอรหันต์” นี้เที่ยงหนอ มีลักษณะเที่ยงดังนี้ เป็นเช่นนี้ ดังนี้เองหนอ ...


ผู้มีสัมมาทิฐิหลุดพ้นแล้วจากทิฐิว่า “ความดับเที่ยง” ไม่หลงวนจมปลักในความดับเที่ยงนั้น ย่อมมีกระแสความคิด ตรึกไปเช่นนี้ว่า “แม้ความดับแห่งกิเลสก็ไม่เที่ยงหนอ” เมื่อใดมีดับ เมื่อนั้นมีเกิด, เมื่อใดมีเกิด เมื่อนั้นมีดับ ไม่เกิด ไม่ดับ มีเพียงนิพพาน จึงมีทิฐิว่า “จิตอรหันต์นี้ก็ไม่เที่ยงหนอ” จิตอรหันต์นี้ มิใช่นิพพานหนอ จิตอรหันต์นี้มิใช่ธรรมให้ยึดมั่นได้หนอ ...


ผู้มิได้สดับฟังธรรมแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมไม่อาจมีปัญญาสว่างชัดว่าแม้ความดับแห่งกิเลสก็ไม่เที่ยง ทั้งยังไม่เกิดความคิดขึ้นว่า “จิตอรหันต์เป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนี้” ย่อมไม่เคยได้สดับแม้คำว่า “จิตอรหันต์” ก็ดี, “ความดับไปแห่งกิเลส” ก็ดี ฯลฯ เขาย่อมแตกต่างจากบุคคลทั้งสองดังกล่าวข้างต้น แม้ไม่เคยสดับฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ย่อมกระทำกรรมดังเดิม มิได้ “เกิดความรู้ใหม่” ว่าจิตอรหันต์นั้นเป็นเช่นนั้น เช่นนี้ เที่ยงแท้แน่นอน แต่ประการใด


เกิด-ดับ เป็นของคู่กัน เมื่อยังมีเกิด ก็ต้องมีดับ, 
เมื่อดับแล้ว ย่อมมีเกิด
เมื่อใดพ้นแล้วจาก “วังวนเกิด-ดับ” นั้น 
เกิด ย่อมไร้, ดับ ย่อมไม่มี
นั่นแหละ ธรรมที่เรียกว่า 
“ไม่เกิด ไม่ดับ นิพพาน ...”
เช่นนี้แล้ว “กิเลสจะดับเที่ยงได้อย่างไร?” ...(๒)

เตรียมพร้อมสู่ “ยุคแห่งเทพ” ตอนที่ ๑ : ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพลังเทพ

เอาละ ไหนๆ เราก็จะเตรียมพร้อมเข้าสู่ “ยุคแห่งเทพ” และการเลื่อนระดับสู่มิติที่ 7 กันแล้ว เราก็มาปูพื้นฐานความเข้าใจเกี่ยวกับ “พลังเทพ” กันหน่อยนะครับ เพราะมีคนมากมายที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับเทพ ถามว่าทำไมเข้าใจผิดได้ละ? คำตอบง่ายมากเลยครับ “จงจำไว้ว่า ที่ใดมีเทพ ที่นั่นมีมาร” เป็นของคู่กันครับ เมื่อใดที่พลังเทพเชื่อมโยงมาสู่ท่านแล้ว พลังมารก็จะตามมาด้วยครับ และพลังมารนี่แหละที่คอยครอบงำ ดลจิตดลใจให้เราเข้าใจผิดเกี่ยวกับเทพ คอยยุยงส่งเสริมให้เรามองเทพอย่างผิดๆ อยู่ตลอดเวลา สารพัดวิธี มากมายเหลือคณานับ มันเลยกลายเป็นความเข้าใจผิดของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับเทพ มากมายหลายประการเลย ผมอยากจะเตือนทุกท่านว่าถ้าท่านไม่พร้อม ใจไม่กว้างพอ และไม่มีศรัทธาตรงต่อเทพจริงๆ “จงอย่าประสานเชื่อมโยงหรือคิดติดต่อกับเทพเลยครับ” เพราะทุกครั้งที่ท่านทำ จะมีมารมาคอยคุมและยั่วยุ ดลจิตดลใจอยู่ตลอดให้ท่านเข้าใจผิดได้มากมาย และคนส่วนใหญ่ มากกว่าครึ่ง เชื่อมารมากกว่าเทพครับ นี่คือความจริง 


ดังนั้น เมื่อท่านคิดติดต่อกับเทพ ท่านอาจพลาดและกลายเป็นเหยื่อของมารในที่สุด ดังนั้น “อย่าทำเลยครับ ถ้าคุณไม่พร้อม และใจไม่กว้างพอ” เพราะมารมักมาในรูปแบบที่ท่านนิยมชมชอบ, ท่านเชื่อถือศรัทธาและเทพมักมาในแบบที่ท่านไม่นิยมชมชอบ หรือไม่เชื่อถือศรัทธา เอาละ ผมจะช่วยบอกท่านสักนิดแล้วกันเพื่อให้ท่านเข้าใจพลังสายเทพว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจผิดเกี่ยวกับพลังสายเทพมากขนาดไหน เป็นตัวอย่าง พอสังเขป ดังต่อไปนี้ ...


๑.    เทพที่ประสานพลังกับมนุษย์ จะมาจากเทพชั้นล่างคือชั้นที่หนึ่ง ดังนั้น จะไปเทียบกับเทวดาชั้นที่หก อย่างมาร เป็นไปไม่ได้ คนหลายคนหลงใหลมาร เพราะเขามาจากที่สูง เขาจึงมีมารยาทดี เป็นผู้ดีมากๆ น่าเชื่อถือ น่าเคารพ ศรัทธามากๆ ทว่า เขาคือ มาร แต่เทพที่มาจากชั้นล่างๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับชนชั้นล่างที่เซอร์ๆ พูดจาเหมือนคนบ้านนอกๆ  ดุดัน ไม่มีมารยาทอะไรแบบนั้น ทว่า เทพก็คือ เทพนะครับ หลายท่านถูกมารครอบงำได้เพราะใจห่างจากเทพ ด้วยเหตุนี้ เพราะหลงใหลแต่เปลือกนอกของ “ดงผู้ดี” นั่นเอง

๒.   เทพส่วนใหญ่มีพลังธาตุไฟ น้อยมากจริงๆ ที่จะมีพลังธาตุน้ำ ดังนั้น เทพทั้งหลายจะมีพลังที่ร้อนแรง, รุนแรง, ดูดุดัน, ดูก้าวร้าว และดูเหมือนนักเลงได้ คนส่วนใหญ่ก็จะตำหนิและมองว่า “เป็นตัวร้าย เป็นคนเลว” โดยที่ยังไม่ทันดูให้ลึกซึ้งก่อน เพราะตัดสินคนจากเปลือกนอกไปแล้ว นั่นเอง คนมากมายจึงหลงมารและถูกมารครอบงำได้ง่ายเพราะมาร ดูเหมือนคนดี, พูดจาดี, ไม่มีกริยาก้าวร้าว, ไม่มีอารมณ์รุนแรงออกมา (เก็บแค้นได้ดี)

๓.   เป็นธรรมดาของจิตวิญญาณ ที่จะมีพลังแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ ฝืนหรือผิดไปจากธรรมชาติไม่ได้ เช่น เทพที่มีธาตุไฟ ย่อมเป็นคนดุดัน, ก้าวร้าว, อารมณ์ฉุนเฉียวรุนแรง แต่เขาไม่ใช่คนเลว ต้องมองลึกๆ ครับ อย่าหลงแต่เปลือกนอกของคน และเป็นธรรมดาของมาร ที่จะมีเปลือกนอกดูน่าเชื่อถือ, น่าเคารพ, น่าศรัทธา, น่ารักใคร, น่าเลื่อมใส ธรรมชาติเหล่านี้ ถ้าท่านไม่เข้าใจ ดูไม่ออก ก็จะถูกมารหลอกเอาได้ครับ

๔.   เทพไม่ใช่พรหมฤษี และมีลักษณะต่างจากพรหมฤษีมาก คนหลายคนหลงยึดติดเหนียวแน่นกับ “ภาพลักษณ์ที่น่าเลื่อมใสของพรหมฤษี” พอมาพบเทพ, สัมผัสพลังเทพ ก็จะมีจิตต่อต้าน และมองว่าเทพเลวร้าย ดุร้าย หรืออารมณ์รุนแรง โกรธง่าย ซึ่งต้องเข้าใจว่าเขาไม่ใช่อรหันต์ ไม่ใช่ฤษี จะเอา “มโนภาพ” ของฤษี หรืออรหันต์มาใช้กับเทพ ไม่ได้ คนที่ยึดติดเช่นนั้น ถ้าพบเทพแล้วมีจิตเป๋ออกไป จะเข้าทางมารๆ จะครอบงำได้ ทันทีครับ

๕.   เทพไม่ใช่พระโพธิสัตว์ ไม่จำเป็นต้องผ่อนปรนมีเมตตา ช่วยใครต่อใคร แต่ต้องทำตามหน้าที่ตรงไปตรงมา นอกคอกไม่ได้ ดังนั้น ถ้าเห็นเทพไม่ช่วยเหลือคน ไม่ช่วยเหลือใคร ก็อย่าเพิ่งคิดว่าเขาเป็นมารไปซะละ อย่าปล่อยให้ “มารครอบงำหรือดลใจได้บ่อยๆ” ถ้าคุณเกิดความคิดอะไรขึ้นในหัว อย่าเพิ่งเชื่อทันที เพราะนั่นอาจมาจากมารดลใจได้ ให้ลองพิจารณาก่อนสักครู่ ให้รอบคอบ แล้วจึงค่อยตัดสิน อย่าเชื่อความคิดตัวเองง่ายไป


เอาละ ที่ผมยกตัวอย่างมานี้ เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น จงจำไว้ว่า “มารมักดลจิตใจท่านในเรื่องที่ท่านมักเชื่อได้ง่ายและยึดมั่นถือมั่นอยู่แล้ว” เพราะการดลใจแบบนี้ ง่ายดี เช่น ถ้าผมจะหลอกคุณให้ผิดใจกับพระรูปหนึ่งที่ดีมาก แต่มีเปลือกนอกเป็นคนไม่สุภาพเรียบร้อย ผมก็เอาจุดนี่ละ ไปดลจิตดลใจคุณให้คุณคล้อยตามได้ง่ายๆ ใช่ไหมละ? ดังนั้น “อย่าเชื่อในสิ่งที่คุณคิดมากเกิน ไป” แต่ “จงเชื่อในสัญชาติญาณแห่งความดีงามเบื้องลึกของคุณ” จะดีกว่านะครับ สวัสดี ...

ยุค “เทพเดินดิน” กำลังใกล้มาแล้วและคุณอาจเป็นหนึ่งในนั้น?

หลายท่านคงเคยอ่านนิยายปรัมปราเกี่ยวกับเทพเจ้าโบราณ เช่น เทพกรีก กันบ้างนะครับ ท่านคงจะเห็นอย่างหนึ่งว่าเทพเหล่านั้นกับมนุษย์อยู่ร่วมกันบนโลกทั้งยังพูดคุย และกระทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันได้มากมาย แม้กระทั่งรบกันครับ นั่นคือ “ความจริงในยุคหนึ่งของโลก” ที่ถ่ายทอดผ่านมาในรูป “นิยายปรัมปรา” นะครับ ซึ่งความจริงนี้ ไม่ได้เลือนหายไปไหน และสามารถที่จะเกิดขึ้นได้อีกครั้งครับ และมันได้เกิดขึ้นแล้วในยุคของเรานี่เอง กล่าวคือ จะมีมนุษย์ที่ยกระดับตัวเองไปได้ถึงมิติที่ 7 ไม่ใช่คนเดียวนะครับ หลายคนครับ ตรงนี้อยากบอกไว้ก่อน “อย่าหลงตัวเองละ” เวลาเข้าสู่มิติที่ 7 ได้แล้ว เพราะมันอาจไม่ใช่ท่านคนเดียวที่เข้ามาได้ ธรรมชาติจะจัดสรรให้คนหลายคนได้เช่นกันครับ เพื่ออะไร? เพื่อคานดุลยภาพของอำนาจไงละครับ โลกนี้มันจะให้คนใดคนหนึ่งใหญ่อยู่คนเดียว “มันเป็นไปบ่ได้” ครับ นี่คือ สัจธรรมข้อหนึ่ง ไม่เช่นนั้นโลกมันเบี้ยวแน่ครับ เพราะถูกกระทำด้วยน้ำมือของคนๆ เดียวที่มีอำนาจมากที่สุดคนนั้น ด้วยเหตุนี้ ธรรมชาติย่อมจัดสรรให้มีคนหลายคนได้เข้าสู่มิตินี้พร้อมๆ กันครับ พวกเขาก็จะคอยคานดุลยภาพของอำนาจให้แก่กันและกัน ยกตัวอย่างเช่น คราวใดที่มีคนที่เข้าสู่ความเป็นเทพไกอา, ก็มีคนที่เข้าสู่ความเป็นเทพยูเรนัส (ราตรี), คนที่เข้าสู่ความเป็นเทพซูส (ทิวา) และคนที่เข้าสู่ความเป็นเทพสุริยะ มันจะตามกันมาเป็นชุดๆ เลยครับ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีแค่คนเดียว ทว่า คนเหล่านี้เขาจะบำเพ็ญบารมี เกี่ยวข้องกันมานะครับ ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องมากหรือน้อย ทางใดก็แล้วแต่ ต้องมีเกี่ยวข้องกันแน่ครับ มันเป็น “พลังของการจูนกันในระดับเครือข่าย” ยกตัวอย่างเช่น นาย ก. กับนาย ข. อยู่สำนักเดียวกัน ถ้านาย ก. สำเร็จเป็นราตรี นาย ข. ก็มีโอกาสสำเร็จเป็นทิวาครับ มันจูนกันเลย ด้วยพลังที่เชื่อมโยงเกี่ยวข้องนั่นแหละ ดังนั้น ถ้าคุณอยากจะเลื่อนระดับไปในมิติที่ 7 ได้ง่ายๆ คุณก็ต้องเข้าหาคนที่กำลังเลื่อนเข้าสู่มิติที่ 7 เช่นกัน เขาอาจได้ก่อนคุณหรือคุณได้ก่อนเขาก็ตามที ไม่สำคัญ แต่มันจะช่วยฉุดดึงกันขึ้นไปพร้อมๆ กันได้ครับ


ในระดับมิติที่ 7 นี้ ผมบอกได้เลยครับว่า “ไม่มีแค่คนเดียว” แน่นอน มันมีมากกว่าหนึ่งคนที่คอยคานอำนาจกันดังกล่าว เพราะสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า “พระพุทธเจ้า” นะครับ (พระพุทธเจ้าจะเกิดบนโลกเพียงหนึ่งเดียวในแต่ละยุคเท่านั้น) มันคือ มิติแห่งเทพ และในมิติแห่งเทพนี้ มันจะมีเพียงหนึ่งเดียว “เป็นไปไม่ได้” คนอีกมากมายจะค่อยๆ เข้าสู่มิตินี้ และมีชีวิตไม่เหมือนคนทั่วไป เช่น ไม่ได้ทำงานทำการ เหมือนคนปกติ ก็อยู่ได้ และมีความสามารถหรือพลังจิตขั้นสูงทีเดียวครับ ซึ่งพวกเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แต่ล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้นครับ เช่น คนที่เป็นเทพแห่งพายุ เขาอาจไม่รู้ตัวว่าเขาเป็น และการกระทำหรืออารมณ์ของเขานั้นแหละ ทำให้เขามีพลังทำให้เกิดพายุต่างๆ ได้ครับ ไม่ได้ล้อเล่นนะครับถ้าท่านเข้าสู่มิติที่ 7 นี้ได้จริงๆ มันก็เกิดขึ้นได้จริงๆ ครับ ทีนี้ เพราะการเกิดขึ้นนั้น มันเกิดขึ้นเป็น “ชุด” นะครับ มันก็เลยเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ตัวอย่าง ขณะที่ นาย ก., นาย ข, นาย ค กำลังบำเพ็ญบารมีอยู่ก็ได้พบกันทางใดก็แล้วแต่ (ทางเน็ตก็ได้) พวกเขาจะพูดคุยหรือมีพลังจิตประสานกันไปมาในแบบของตัวเอง เช่น เถียงกันไปมา คนหนึ่งกลายเป็นคนที่ชอบปกปิดความลับของตัวเอง (ที่ตนทำผิดไว้) คนนี้จะเข้าทาง “เทพราหู” ครับ, คนหนึ่งคิดจะเปิดเผยให้ได้รู้กันทั่ว คนนี้จะเข้าทาง “เทพสุริยะ” ครับ, อีกคน ไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่ต้องปกปิด และไม่ผิดเปิดโปงใครเพราะยอมรับด้วยใจกว้าง คนนี้เข้าทาง “เทพทิวา” ครับ (ฟ้าใส หรือเทพซูส) มันจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กันนะครับ ไม่ใช่คนเดียวแน่นอน และพวกเขาก็จะทำหน้าที่คานดุลยภาพอำนาจกันต่อไป นั่นคือ คนที่เข้าสู่ระดับมิติที่ 7 ได้แล้วครับ ซึ่งบางคนเข้าถึงได้ง่ายด้วยอาจเป็นเพราะเขามีระดับมิติที่สูงอยู่ก่อนแล้ว เช่น เด็กอินดิโก้ ทั้งหลาย ก็ได้เข้าถึงมิติที่สูงกว่ามิติที่ 3 กันตั้งแต่เกิดแล้วครับ ถ้าคนไหนมาจากมิติที่ 6 ไม่ต้องทำอะไรมากเลย ต่ออีกนิดหนึ่งก็ถึงมิติที่ 7 แล้วครับ เห็นไหม มันไม่ได้ยากอย่างที่คิดครับ แต่ตอนจะลงตัวเป็นเทพแบบไหนนี่ ยากหน่อย บางคนคิดว่าตัวเองตรงธรรม ไม่เอาเทพเลย เข้าจะเอาแต่ธรรม แต่ความเป็นจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้ครับ เหมือนการจะเป็นอรหันต์จะต้องเป็นรูปธรรมชีวิตก่อน จะเป็นก้อนหินแล้วลัดไปสู่อรหันต์เลย คงไม่ได้ละครับ นั่นมัน “ยึดติดปรัชญาเกินไป” จนไม่เข้าใจความเป็นจริงของโลกจริงๆ ครับ เอาละ ผมว่าพล่ามมามาก พอหอมปาก หอมคอ หอมหัวใหญ่ ด้วย อ้าวไม่ต้อง ฮ่าๆๆ ไว้พบกันบทความหน้า เช้านี้ สวัสดีครับ ...      

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เมื่อมนุษย์ในมิติที่สาม กำลังถูกทำให้ "แบนเป็นแผ่นกระดาษ" ?

ฮาโหลๆ กลับมาพบกันอีกครั้งก่อนนอนนะครับ (ตามเวลาประเทศไทย) อันนี้ มันก็เป็นเรื่องของคนที่อยู่ในมิติที่สาม ซึ่งเป็นพื้นฐานปกติของมนุษย์ทุกคนตั้งแต่เกิดมาบนโลกนี้นะครับ ทว่า อั้ยย๊ะ มันกำลังมี "กระบวนการทำให้วิวัฒนาการของมนุษย์ถดถอยลง" ครับ ยังไงหรือ? อย่างนี้ครับ มนุษย์มิติที่สามเนี่ย มันกำลังจะถูกครอบงำและทำให้กลายเป็นมนุษย์มิติที่สองไป แล้วถอยๆๆๆๆ ไปจนกลายเป็นขยะ อั้ยย๊ะ แย่มาก ถึงมากที่ซู้ดดดด เลย เพราะมันกำลังทำให้คนมีโลกทัศน์แคบลง ใจแคบลง อะไรต่อมิอะไรหดจุ๊ดจู๋ลงไปเรื่อยๆ ครับ อันนี้ มันเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกะงานของผมเลยละ เพราะเรากำลังช่วยกันเลื่อนระดับโลกให้มีวิวัฒนาการสูงขึ้น แต่คนอีกพวกหนึ่งกำลังทำตรงข้าม ให้มนุษย์ต่ำๆๆๆ ลง แล้วพวกเขาก็จะได้ "ครอบงำ, ยึดอำนาจ, บวกครองโลก" ได้ง่ายๆ ไงละครับ เอาละ เข้าคำถามเลยดีกว่า ถามแว่ เอ้ย ถามว่า การทำให้มนุษย์มิติที่สาม (ปกติ) เสื่อมถอยลงไปถึงมิติที่สองนั้น ทำอย่างไร? ไม่ยากครับ มันก็ทำให้คนที่เคยเข้าใจหรือเห็นโลกแบบ "สามมิติ" กลายเป็นมองโลกแบบ "สองมิติ" หรือเห็นอะไรแค่ "สองสิ่งแตกต่าง" มีขั้ว มีข้าง ไงละครับ เช่น แบ่งแยกว่าเราคือคนดี แต่ศัตรูเราคือคนชั่วนะ แล้วครอบงำ สอนให้คนทั้งหลายได้ปัญญาหดจุ้ดจู๋ รู้แต่ว่าไอ้นั้นมันชั่วมากๆๆๆ และฉันดีมากๆๆๆ รู้แค่เนี้ย มันทำให้ประชาชนหูหนวก ตาบอด และวิวัฒนาการถดถอย ระวังนะกรรมมันจะสนอง ทำให้เผ่าพันธุ์ตระกูลตัวเอง เกิดมาปัญญาอ่อน มีวิวัฒนาการถดถอยเอาไม่ต้องไปใส่ร้ายป้ายสีใครเลย ตัวเองนั่นแหละ ทำกรรมไว้ รับซะดีๆ เถอะ โฮ่ๆๆๆ พูดไปเรื่อยเปื่อย ไม่ไ่ด้ด่าใครนะครับ ไม่ได้ด่าท่าน ท่านก็ไม่ต้องไปรับ โฮ่ๆๆ (ใครทำ คนนั้นก็รับไป) 


มันแย่มากๆๆ เลยครับ ที่เขาทำให้ประชาชนคิดได้แค่นั้น จากที่เคยมีโลกทัศน์ปกติ เห็นสามมิติ กลายเป็นเห็นโลกแค่สองมิติ มีแบ่งแยกเป็นขั้วเป็นข้าง ฝ่ายตัวเองก็ว่าตัวเอง ดีเลิศ ประเสริฐศรี หาที่ตำหนิมิได้ ใครอย่ามาหลบหลู่เชียวนะ แต่ถ้าเป็นฝ่ายตรงข้ามก็ใส่ร้ายเขา ยัดเยียดให้เขาเป็นตัวเลว โอ้ย แม่เจ้า งี่เง่าคร่ะ น้ำเน่ามากๆๆ คนที่เขาเลื่อนระดับไปสู่ระดับที่ 4-6 เขาีู้รู้หมดแล้ว ไอ้ละครน้ำเน่าเนี่ย ก็เขาเข้าใจหมดแล้วว่า "คนเราทุกคนมีทุกอย่างในตัว" มันไม่ได้มีแต่ด้านดีหรือชั่วด้านเดียว โอ้ย ผีบ้า ใครมันจะมีชีวิตแบนแต๊ดแต๋ได้ยังงั้น ใครจะไปบ้า ทำดีหรือชั่วได้อย่างเดียวอย่างนั้น หยุดเถอะครับ ถ้าใครกำลังก่อกรรมหนักกับมวลมนุษยชาติ ด้วยการครอบงำและทำให้วิวัฒนาการมวลรวมของพวกเขา "ถดถอยลงไปกว่ามิติที่สาม" โดยทำให้เขาเห็นหรือเข้าใจแค่ว่า "ฉันดี ศัตรูฉันเลว" แบ่งขั้วแยกข้าง มีอยู่แค่เนี้ย? ล้าหลังมากๆๆๆๆ ต่ำมั้กๆๆๆ เจ้าคร่ะ หยุดทำร้ายประชาชนและกระบวนการวิวัฒนาการของมวลมนุษยชาติด้วยการครอบงำเช่นนั้นเถอะคร่ะ ขอร้อง คุณแม่ขอร้องคร่ะ ก่อนจะถูกธรรมชาติลงโทษเอานะคร่ะ เดี๋ยวจะหาว่าอิฉันไม่เตือนคุณผู้หญิงคร่ะ ราตรีสวัสดิ์ ...

เปิดประตูสู่มิติที่ 7 : มิติแห่งยอดมนุษย์อุลตร้าแมน (มิติแห่งเทพในร่างมนุษย์)


แอ่น แอน แอ๊นนนน ในที่สุด เราก็มาถึงประตูทางเข้ามิติที่ 7 กันได้ซะทีนะครับ อ่ะ? ตามมากันทันหรือเปล่า? ไม่รู้ละ วันนี้ใครทัน ก็ได้ไป ใครไม่ทัน ก็ต้องรอรถไฟขบวนถัดไปนะครับ ก่อนจะเข้าสู่ประตูมิติที่ 7 กัน เรามาทบทวนกันนิดส์นึง ว่าก่อนหน้านี้ เราผ่านอะไรมาบ้างนะเคอะ เอ้า สรุปง่ายๆ คือ เมื่อคุณเริ่มก้าวออกจากมิติที่ 3 ไปแล้ว เริ่มตั้งแต่มิติที่ 4 ไปจนถึงมิติที่ 6 ผมจะขอเรียกคุณเป็นนิคเนมว่า X-men ก็แล้วกัน พูดง่ายๆ คือ คนที่เลื่อนระดับไปได้อยู่ระหว่างมิติที่ 4-6 ก็คือ X-men หรือ มนุษย์ทดลอง ที่ถูกบวกพลังพิเศษเพิ่มเข้าไปในแต่ละขั้น ทำให้มีความพิเศษกว่ามนุษย์ในมิติที่ 3 แต่มนุษย์ทดลอง ก็คือ “การทดลอง” ดังนั้น มันจึงยังมีการ “ลองผิด-ลองถูก” อยู่เสมอ (ในขณะที่มนุษย์ในมิติที่ 3 จะขี้ขลาด ไม่กล้าลองผิด-ลองถูกเลย) คือ ยังไม่ได้รับการทดสอบจนผ่านแล้ว ก็ยังต้องทดลอง ลองผิด ลองถูกกันต่อไป จนเมื่อผ่านการทดสอบแล้ว จึงเข้าสู่มิติที่ 7 ได้ ซึ่งตอนนี้ ผมอยากจะเรียกคุณเป็นนิคเนมว่า “อุลตร้าแมน” ก็แล้วกัน หรือก็คือ “เหนือมนุษย์” นั่นเอง ฮ่าๆๆ บางท่านจะเรียกมิตินี้ว่า “มิติแห่งเทพ” ทว่า แล้วมิติที่ 3 ถึง 6 ไม่มีเรื่องเทพหรือไร? ไม่ใช่เลย มิติที่ 4-6 ก็เริ่มเชื่อมโยงกับตัวตนในระดับที่เรียกว่าเทพได้มากมายแล้ว แล้วทำไม มิติเหล่านี้ไม่ถูกนับว่าเป็นมิติแห่งเทพ? ก็เพราะมันเป็นการเชื่อมโยงกันเฉยๆ แต่ตัวคุณ ณ ปัจจุบันนั้น ยังไม่ได้รับตำแหน่งเทพ และยังไม่ได้รับ “กิจจากสวรรค์” อย่างไรละ เมื่อคุณยังเป็น X-men อยู่ คุณจะลองผิด ลองถูก เพื่อการพัฒนาตัวของคุณเอง คุณอาจทำสิ่งที่ดี ที่คุณคิดว่าถูกแล้ว แต่ว่ามันอาจไม่ได้สอดคล้องกับธรรมชาติหรือโองการสวรรค์นักหรอกครับ ผมถึงบอกว่ามันยังเป็นการลองผิด ลองถูกอยู่ไง ความดีอะไรก็แล้ว แต่ที่คุณทำในระดับมิตินี้ ยังไม่ใช่ความดีที่แท้จริง มันยังเป็น “ความดีแบบทดลอง” อยู่ คือ ดีมั่ง ไม่ดีมั่ง ปนๆ กันไปไม่ได้ทำด้วยปัญญาหรือความรู้แจ้งเห็นจริงหรอก ก็เมื่อคุณผ่านการทดสอบแล้วเข้าสู่มิติที่ 7 ได้จริงๆ ก่อน คุณจึงจะทำสิ่งที่ดีได้แท้จริง ถูกต้องตรงตามโองการสวรรค์ สอดคล้องกับธรรมชาติได้จริงๆ นั่นคือ ณ จุดนี้ คุณจะไม่ได้ลองผิด ลองถูกอีกต่อไปแล้ว แต่คุณจะรับโองการสวรรค์ ทำสิ่งที่ดีและถูกต้องจริงๆ ซึ่งไม่ใช่ความดีหรือความถูกต้องในแบบมนุษย์คิดกัน หรืออย่างคนในมิติที่ต่ำกว่านี้เข้าใจได้นะครับ บางอย่างมันอาจถูกมองว่าเลวร้ายหรือผิดในสายตามนุษย์ ที่อยู่ในมิติที่ต่ำกว่านี้ก็ได้ แต่บางครั้ง มันคือ ความดีตามโองการสวรรค์ครับ

ดังนั้น ถ้าคุณเข้าสู่มิติที่ 7 คือ “มิติแห่งเทพในร่างมนุษย์” แล้ว มันไม่ใช่ว่าแค่คุณติดต่อกับเทพได้แล้วคุณจะถึงมิตินี้ซะหน่อย แต่มันหมายความว่าคุณได้รับการยอมรับแล้วจากระดับมิตินี้จริงๆ และผู้ที่มีพลังอำนาจในระดับมิตินี้ ผู้ดูแลมิตินี้อยู่ จะดูแลคุณเอง จะให้โองการสวรรค์แก่คุณเอง เพื่อให้คุณทำหน้าที่ได้ถูกต้อง ตรงทางในระดับมิติที่ 7 จริงๆ ไม่ใช่ในระดับต่ำๆ อย่างที่มนุษย์มองหรือเข้าใจกันนะครับ ดังนั้น เมื่อคุณอยู่บนโลกในร่างสังขารของมนุษย์นี้ก็ตาม แต่ในอีกฐานะหนึ่ง คุณก็คือ “เทวทูต” หรือ เทพสวรรค์ในร่างมนุษย์ ผู้ที่ทำหน้าที่ตามโองการสวรรค์ ไม่ได้หลงคิดไปเองว่าไอ้นั่นดี ก็ทำ ไอ้นี่ชั่ว ไม่ทำ อะไรแบบนั้น ไม่ใช่การคิดปรุงแต่งไปเองครับ แบบนั้นมัน “ต่ำมากๆๆๆ” นะจ๊ะตัวเอ้ง ต่ำที่สุด โฮ่ๆๆๆ ดังนั้น เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ ผมก็เรียกคนที่เข้าสู่มิติที่ 7 นี้ว่า “อุลตร้าแมน” ก็ได้ หรือ “เทวทูต” ก็ได้ และตอนนี้ คุณไม่ใช่ X-men อีกต่อไปแล้ว คุณไม่ใช่มนุษย์ทดลอง ตัวประหลาดอะไรอีกแล้ว แต่คุณคือ บุคคลที่มีค่ามากๆ ที่สวรรค์ยอมรับและยินดีอย่างยิ่ง กับการพัฒนาและเลื่อนระดับของคุณนี้ หวังว่าคุณหลายๆ คนจะพยายามมาให้ถึงจุดนี้ให้ได้นะครับ เพราะว่า “ตำแหน่งว่างยังมีอีกเยอะแยะครับ” โฮ่ๆๆๆ ... 

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เผยความลับสุดยอด "เคล็ดวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็น" พลังอันดับหนึ่งของยุทธภพอยู่นี่แล้ว!

มาพบกันอีกแล้วครับดึกๆ ก่อนนอน มาทำไมเอ่ย มาร้องเพลงตับกันดี มั้ย? อ้าว ตับ ๆๆๆๆ ป้าบ ๆๆๆๆ อ้าวเอ๊ะ ไม่ช่ายนี่ ล้อเล่นนะตัวเอ้ง เค้ามาเม้าท์แค่เม้าท์เท่านั้นแหละเรื่องอะไรดีละ เรื่องพลังเปลี่ยนเส้นเอ็นดีกว่า เพราะว่าเขาไม่รู้ข้อมูลความจริงอะไรเลย ดังนั้น เขาจึงเม้าท์ได้ยังไงละตัวเอ้ง เอาละ ถ้าใครแสลงใจ ฟังต่อไม่ได้ ก็ไม่อ่านละนะ ถ้ารับไม่ได้ มั้ยดั้ย หม๋ายด๋ายยย กะ "การเม้าท์" ละก็ ถอนตัวยังทัน แต่ถ้ารับได้ ก็อ่านต่อไปครับ เพราะต่อไปนี้จะเป็น "การเม้าท์" ล้วนๆ เลย


เอาละ ผมจะพาคุณขึ้นยานผ่านกาลเวลา ย้อนไปหา ปรมาจารย์ตั๊กม้อ ในชั่วพริบตา อ่ะ มาถึงแล้ว เจอตัวแล้ว ยิ้มแหง๋อยู่นั่นไง อ๊ะจ๊ะ ฮาโหล อาจารย์ มาดึกๆ นี่จะมาสนทนากะอาจารย์แหละเรื่องเคล็ดวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็น สุดยอดของยุทธภพ ไม่มีอะไรเทียบเทียมได้ เอาละนะ สรุปเลยละกันว่า มันคือ วิชาที่เปลี่ยนสิ่งที่ไม่ดี ให้กลายเป็นพลังที่ดีได้ ก็เท่านั้น ง่ายจะตาย แต่ไม่ค่อยมีใครทำได้หรอก ว่ะ ฮ่าๆๆๆ ที่เรียกว่าเปลี่ยนเส้นเอ็นเพราะเริ่มต้นจากออกจากสมาธินานๆ ปวดเมื่อย เอ็นแข็งไปหมด เลยใช้วิธีแบบโยคะของอินเดียมาเป็นพื้นฐาน ในที่สุดก็กลายเป็นวิชาสุดยวดดด มว้ากกกก ที่ใครๆ ก็อยากจะได้กัน มันไม่ได้เปลี่ยนเส้นเอ็นอะไรในตัวเราหรอกนะ แต่มันเปลี่ยนพลังภายในที่ไม่ดี ให้กลายเป็นดีได้ ใช้ประโยชน์แก่ปวงสัตว์ได้ ซึ่งปรมาจารย์เองก็ได้ใ้ช้ในการศึกษาวรยุทธ์ หรือ "อวิชชา" ที่โหดร้ายต่างๆ ของคนในยุคนั้น แล้วเปลี่ยนเป็น "วรยุทธ์เส้าหลิน" ที่ดีมีประโยชน์ไป ในตำราดั้งเดิมจึงมีบันทึกสองส่วน คือ ส่วนที่เป็นวรยุทธ์ที่ปรมาจารย์ได้พบว่าเป็นของไม่ดี (เช่นวิชาเก้ามัจจุราชที่จางซานฟงแอบฝึกตอนเป็นเณร) และอีกส่วนก็เป็นวิชาที่ปรมาจารย์ใช้หลักเปลี่ยนเส้นเอ็นแก้ไขให้เป็นวิชาที่เกิดประโยชน์แล้ว นั่นเอง นั่นก็คือ ผลอย่างหนึ่งที่ได้จากเคล็ดวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็น เท่านั้นเอง เอาละ บางท่านก็เคยได้ฝึกมาในอดีตชาตินะคร้าบ เพราะเคยเกิดเป็นเจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน ก็มี แต่หลายท่านฝึกแล้วไม่เก่งเลย เพราะอะไร? เพราะยึดอยู่แต่พลังด้านดี มันก็เลยไม่มีพลังด้านลบหรือด้านร้าย มาเป็นปัจจัยพื้นฐานในการเปลี่ยนให้เป็นของดี มันเลยไม่พัฒนาไง ดังนั้น ใครที่ฝึกแล้วจำต้องอยู่ในที่ๆ เต็มไปด้วยพลังด้านลบหรือด้านร้าย ก็จะเปลี่ยนให้เป็นพลังด้านดีได้ ทำไปเรื่อยๆ ก็จะแก่กล้าขึ้น เก่งขึ้นเองครับ มันจึงเหมาะกับคนที่ไม่ยึดความบริสุทธิ์เกินไปกล้าลุยโคลนไปโปรดสัตว์ไม่ใช่ไม่ยอมแปดเปื้อนอะไรเลย ก็หาไม่ ซึ่งพลังด้านลบมีได้มากมายครับอย่างเช่น เฉียวฟง มีตำราเปลี่ยนเส้นเอ็นอยู่กับตัว ได้ฝึกด้วย แต่ไม่พัฒนาครับ เพราะอะไร เพราะเขายึดแต่คุณธรรม ไม่กล้าลุยโคลนครับ พอ "อิวถานจื่อ" ได้คัมภีร์ไป แล้วเขาต้องรับพิษจากคนรักที่มอบให้อยู่ตลอดกลายเป็นเก่งโคตรๆ เลยในระยะเวลาอันสั้น นี่ละ เปลี่ยนเส้นเอ็นมันต้องอยู่กะั สิ่งที่ไม่ดีอย่างนี้ มันจึงจะำพัฒนาครับ ไม่งั้นฝึกสิบปี ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกครับ งั้นๆ แหละแต่ถ้ายิ่งอยู่กะพลังที่ไม่ดีทั้งหลายไ่ม่ใช่แค่พลังพิษนะครับ "พลังอวิชชา" ทุกอย่าง จะยิ่งแก่กล้าขึ้น พัฒนาขึ้นครับ


เอาละ ถึงเวลาบอกเคล็ดวิชากันแล้ว ฟังดีๆ นะครับ ... รางวัลเลขท้ายสามตัว เลขที่ออก ... ต้อดๆๆๆๆ อ้่าว มะช่าย ฮ่าๆๆ เคล็ดวิชาคือ มันก็คือ ... คือ ... "กิเลสคือโพธิ" จบ แ่ค่นั้นแหละ ใครตีหวยได้ แ้ก้ปริศนาออก ก็ได้ไป บอกแค่นี้แหละ ไม่บอกต่อแล้ว เดี๋ยวเก่งกว่าเค้านะตัวเอง โฮ่ๆๆๆ กิเลส โลภ, โกรธ, หลง, อวิชา ฯลฯ อะไรๆ ก็ตามไม่มีสาระ       ก็มันไม่เที่ยงอยู่ในตัวมันเองอยู่แล้ว แล้วมันจะเปลี่ยนไม่ได้ ได้ไงละ คนที่ยึดอยู่ว่ากิเลสมันไม่ดี เป็นลบ กิเลสเที่ยง ไปนั่งดับ นั่งตัด มันก็เหนื่อยไป แค่นั้นแหละ เรียกว่า "โง่ดักดาน..." ว่ะ ฮ่าๆๆๆ นี่ไม่ได้ด่านะ แต่ว่า "ยิ่งกว่าด่าอีก" เพราะมันหลับอยู่ ไม่ตื่นซะทีอ่ะ เลยต้องยิ่งกว่าด่า มันจะได้ตื่นๆ กันซะที อ้าวละ ไม่อยากพูดมาก ของดีมีน้อย เอาแค่นี้ก็พอแล้ว ไปทำให้มันได้ผลกันก่อนละกัน ราตรีสวัสดิ์ครับ... 

ด้านลบของบุญ และ "พลังเหนือบุญ"

สวัสดียามเย็นครับ มีเกร็ดเล็กๆ มาเม้าท์กันอีกแล้วคราวนี้เป็นเรื่องบุญ ที่หลายคนก็ชอบทำกันจังเลย อยากจะบอกว่า แท้จริงแล้ว "กรรมทั้งหลาย ไม่มีดีและชั่ว ในตัวมันเอง" นะครับ เราไปยึดเอง ปรุงแต่งเองว่านี่ดี นั่นชั่ว เลยเกิดมีกรรมดีกรรมชั่วขึ้นมา แท้แล้วมันก็มีเพียงก็แค่ "กรรม" เฉยๆ ทีนี้ เวลาเราอยู่ในมิติที่ต่ำ เช่น มิติที่สาม เราจะยึดติดความถูก-ผิด, ดี-ชั่ว ฯลฯ มาก เราก็จะเห็นกรรมมี กรรมดี, กรรมชั่ว และกรรมกลางๆ อะไรแบบนั้น แท้แล้วถ้ามองรอบด้าน รอบมิติเราจะเห็นว่าทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ล้วนมี "สองด้านทั้งนั้นครับ" คือ กรรมดีก็มีทั้งด้านดีและด้านเสีย, กรรมชั่วก็มีทั้งด้านดีและด้านเสีย ไม่ต่างกันครับ ยกตัวอย่างเช่น เวลานาย ก. มีกรรมดีสนองผลมาก นาย ก. อาจหลงตัวเองกู่ไม่กลับ ในขณะที่ถ้านาย ก. ได้รับกรรมชั่วบ้าง นาย ก. ก็จะสำนึกตนแล้วเกิดปัญญาขึ้นมาได้ ก็มี, บางสถานการณ์ ถ้านาย ก. มีแต่กรรมชั่ว นาย ก. อาจไม่มีปัจจัยอะไรช่วยเหลือใครได้เลย เป็นได้แค่คนธรรมดาที่ได้แต่มองคนอื่นตกยาก ลำบากเหมือนตนเท่านั้น ถ้านาย ก. ได้รับกรรมดีบ้าง นาย ก. ก็จะมีโอกาสช่วยคนได้ เห็นไหมครับว่าทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว มันมีทั้งสองด้าน คือ ทั้งด้านดีและด้านเสีย ดังนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ล้วนไม่มีใครที่ต้องการบุญนั้นหรอกครับ สิ่งที่พระพุทธเ้จ้าทั้งหลายทำสืบๆ กันมาคือ "ทานบารมี" ไม่ใช่ "บุญ" นะครับ มันคนละอย่างกัน แบบฟ้ากะเหวเลย กล่าวคือ "บุญนี่มันเป็นผลของกรรมดี" แต่ "ทานบารมีเป็นกำลังจิตแห่งการสละได้" ครับ ยกตัวอย่าง พระราชาคนหนึ่งอาจมีอำนาจและเงินมากมายเขาเอาอำนาจและเงินไปสร้างอะไรมากมายเพื่อจะให้ได้บุญเยอะๆ ก็ทำได้ นี่เรียกว่า "ทำบุญมาก" ครับ ในขณะที่พระราชาอีกองค์กลับสละอำนาจและราชบัลลังก์ออกบวช นี่แหละเรียกว่า "ทานบารมี" ครับ ท่านเลยไม่มีบุญเท่ากับองค์แรก (ดูเหมือนองค์แรกจะฉลาดกว่านะครับ เพราะไม่สละอำนาจ เพื่อที่จะใช้อำนาจมาลงทุนสร้างบุญให้ได้เยอะๆ) ทว่า ผู้ที่จะได้ตรัสรู้ได้ ย่อมเป็นองค์ที่สอง (ที่สละอำนาจนั้น) ไม่ใช่องค์แรกครับ เข้าใจไหมครับ คำว่า "ทำบุญ" กับ "สร้างทานบารมี" มันต่างกันอย่างไร? ทีนี้คนที่ทำบุญมากๆ ก็อาจจะมีคนชอบมาก เพราะเป็นคนใจบุญ สร้างผลงานมาก มีผลงานอวดโชว์ใครได้เยอะ แต่ความเป็นจริงก็คือ "ไม่ใช่ทานบารมี" ครับ และจะไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าครับ มันคนละเส้นทางกัน ไม่เช่นนั้น พวกเศรษฐีที่ทำบุญกับพระพุทธเจ้ามากๆ แข่งกันทำบุญนั้น คงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเ้จ้ากันมากมายแล้ว แต่นี่มันไม่ใช่นี่ ใช่มั้ยละครับ


เอาละ หวังว่าท่านจะแยกแยะระหว่าง "บุญ" กับ "ทานบารมี" ได้ ยังมีอีกคำว่า "ความดี" ครับ เจ้าตัวนี้ มันเป็นเหมือนเครื่องปรุงที่ขาดไม่ได้ในการทำบุญเลย พอทำบุญแล้วก็จะต้องปรุงด้วยเจ้า ความดี นี้ลงไปทุกทีสิน่า ซึ่งผมกล่าวแต่แรกแล้วว่าในระดับมิติที่สูงกว่ามิติที่สามนั้น เขาพ้นจากกรงขังแห่งความดีและชั่ว, ถูกและผิดไปนานแล้ว แต่ถ้ายังมีคนที่อยู่ในมิติที่สามนี้อยู่ ก็ยังไม่พ้นถูกปรุงแต่งด้วยคำว่า ความดี ไม่ก็ความชั่ว ไปเรื่อยๆ ไม่จบไม่สิ้นแม้แต่การทำกรรมก็ปรุงต่อไปทั้งฝ่ายกรรมดีและกรรมชั่ว ทีนี้ ลองดูคนที่มี "บุญมาก" กับคนที่มี "ทานบารมีมาก" กัน ว่าเขาต่างกันอย่างไร? คนที่มีทานบารมีมาก เขามีพลังจิตที่สละได้มากมายครับ แต่คนที่มีบุญมาก อาจสละอะไรไม่ได้เลย แต่เขาก็ทำบุญเยอะ เช่น พอมีเงินก็เอาไปลงทุน แล้วแบ่งกำไรมาทำบุญได้มากมาย แต่ถ้าให้เขาสละทรัพย์สมบัติไปหรือ? ไม่มีทางครับ เขาทำไม่ได้ เพราะเขาไม่มีทานบารมี นั่นเอง ส่วนคนที่มีทานบารมี เขาสละได้ตั้งแต่ยังไม่ได้รับ เช่น พี่น้่องสองคน กำลังแย่งสมบัติพ่อกัน คนที่มีทานบารมีมากก็สละได้ทันทีครับ ก็เลยไม่มีเงินไปสร้างบุญ ส่วนคนที่เอาสมบัติไป ไม่ได้ทานบารมี แต่มีเงินมาก สามารถเอาเงินสร้างบุญได้มากมายครับ ด้วยเหตุว่า "ทานบารมี" เป็นสิ่งที่ทำได้ยากกว่าการทำบุญ ผลจึงทำให้พระพุทธเจ้านั้น เกิดได้ยาก มีน้อยจริงๆ ครับ ลองดูก็ได้คนในโลก จะมีสักกี่คนที่จะโง่พอจะเสียสละละครับ? หลายคนก็ฉลาดเกินไป (จนไม่อาจเป็นพระพุทธเจ้าได้) คิดว่าเอาสมบัติและอำนาจไว้ในมือตนก่อน แล้วเอาไปสร้างคุณงามความดี, ผลงานอวดโชว์ผู้คนให้ลุ่มหลงว่าคนดีเหลือหลาย และสร้างบุญได้อีกมากมาย แต่สุดท้าย "ตกกระป่อง" ล่วงแท่น ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้ากะเขาครับ


อ่ะ พล่ามมาเยอะแล้ว มีคนขัดแย้งในใจก็มาก จบไปเลยดีกว่า ฮ่าๆๆ         

วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เคล็ดลับสุดยอดพลัง "ซุปเปอร์เม้าท์" ง่าย, เร็ว, ลัด, สั้น และเหนือชั้นกว่าใครๆ

เอาละ เมื่อท่านได้อ่านบทความเกี่ยวกับการฝึกโดยไม่ฝึกมาแล้ว จากระดับมิติที่สาม เห็นทีผมควรจะเม้าท์ต่อเผื่อใครในที่นี้ มาอ่านแล้วเบื่อเพราะเลื่อนระดับไปสูงกว่ามิติที่สามตั้งนานแล้วนะครับ ดังนั้น บทความนี้เลยมีมิติที่สูงขึ้นกว่าบทความก่อนเล็กน้อย มันเป็นเรื่องของ "พลังเม้าท์" ครับ อ้าว เอ๊ะ ? แล้วมันคืออะไร? เหมือนการโกหกมั้ย ม่ายช่ายยย โกหก ก็คือ โกหกสิ จะต้องหาคำศัพท์ใหม่มาเรียกมันไปทำผรือราย อ้าว แล้วมันเหมือนกับการนินทาหรือจับกลุ่มคุยกันในวงสนทนาหรือเปล่า? โอ้ย ไม่ใช่ อุตส่าห์หาคำศัพท์ใหม่มาให้ มันก็ต้องเป็นของใหม่สิ "พลังงานใหม่" จ๊ะ ไม่ใช่พลังงานเก่า ห่วยแตก พูดไร้สาระ นินทากันไปวันๆ ผิดศีลข้อมุสา ไปเรื่อยๆ แบบนั้น มนุษย์ต่่างดาวชาวไซย่า เขาไม่ทำ ทำไปทำไมละ ต่ำจะตาย เอาไว้ให้คนงี่เง่าที่อยู่ในระดับต่ำเขาทำกันไปละกัน เอาละ เฉลยเลยดีกว่านะ ง่ายๆ มันคือ "พลังงานใหม่" ที่ไม่ได้ไกลตัวเรามากเลยเอาง่ายๆ นะคุณลองนึกย้อนไปใน "วัยเด็กที่ใสซื่อไร้เดียงสา" ดู ในตอนที่เรายังเด็กไม่ถูกยัดเยียดและปรุงแต่ง ความถูก-ผิด, ดี-ชั่ว, จริง-เท็จ และเรายังไม่รู้จักการโกหกเลยด้วยซ้ำ แล้วเด็กผู้ชายอาจเม้าท์กะตัวตุ๊กตา "ซุปเปอร์แมน" ของเขา ก็ดี, เด็กผู้หญิงคุยกะตุ๊กตาหมีของเขา ก็ดี ฯลฯ มันไม่ใช่การโกหกเลยครับ แต่นั่นคือ กระบวนการพัฒนาสมองและสติปัญญาของเด็กๆ นะครับ ถ้าเด็กไม่ได้เล่นอย่างนั้น คงปัญญาอ่่อนละครับ ไม่ใช่บ้าครับ คนที่จะบ้าจะปัญญาอ่อน คือ คนที่เป็นเด็กไม่เป็นครับ คนที่เป็นเด็กเป็น คือ "คนอัจฉริยะ" ครับ โอเค? พอเข้าใจนะ


เอาละ ทีนี้ผมขอเลื่อนระดับ "ต่ำๆๆๆ" ลงมาพูดในมิติที่สามบ้าง เผื่อใครเข้ามาอ่านแล้วแสลงใจ ไม่รู้เรื่อง จะหาเรื่องตีกะผมได้ ผมจะบอกให้ว่าศาสนาพุทธเอง ก็กล่าวถึง "จินตมยปัญญา" ครับ ว่าคือ ปัญญาที่เกิดจากการจินตนาการ อันใกล้กับภาวนามยปัญญา มากกว่าสุตตมยปัญญาเสียอีก คนที่มัวจมปลักอยู่กับความรู้มาก ก็ได้แค่สุตมยปัญญาแหละครับ เรียกว่า "โง่ดักดาน" โง่จมปลักวัวควายไปตลอดกาลแหละครับ โฮ่ๆๆ พูดขนาดนี้แล้ว ถ้ายังไม่ตื่นอีกก็ไม่ใช่ปลาเป็นแล้วตายไหลตามน้ำไปได้เลย ที่ธิเบตก็มี "การใช้ศิลปะเพื่อทำสมาธิ" เช่น การวาดภาพพระโพธิสัตว์และพุทธะต่างๆ นั่นแหละ การทำสมาธิืในระดับจินตมยปัญญา ซึ่งไปไกลกว่าสุตมยปัญญามากเลยนะครับ แถวฝรั่งเขาก็พูดกันโดยไอสไตน์กล่าวว่า "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้" โอ้ย เขารู้กันทั่วโลกแหละครับ ใครยังโง่ดักดาน จมปลักวัวปลักควายอยู่กับการท่องจำ ความรู้มาก (สุตมยปัญญา) ก็เอา เขาไปไหนต่อไหนกันแล้ว ยังหลงอยู่แค่ตรงนั้น ก็เอาครับ สรุปง่ายๆ ก็คือ ไม่ว่าจะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ดี, แนวคิดของไอสไตน์ ก็ดี, การฝึกสมาธิแบบทิเบตโดยใช้ศิลปะ ก็ดี หรือแม้แต่แนวคิดปัจจุบันที่ส่งเสริม "ความคิดสร้างสรรค์" ก็ดี "ตรงกันหมด" ครับ ว่าจินตนาการเป็นสิ่งสำคัญมากก่อนที่จะเกิด "ปัญญาที่แท้จริง" ได้ครับ เอาละ ไม่อยากพูดมาก เยอะขนาดนี้ ไม่เข้าใจก็ไม่รู้จะอธิบายอะไรอีกครับ


กลับมาพูดถึง "พลังซุปเปอร์เม้าท์" ในระดับมิติที่สูงขึ้นกว่ามิติที่สามกันบ้าง ว่าทำอย่างไร? อย่างที่บอกไปแล้วว่าถ้าคุณใช้อิทธิบาทสี่ คุณจะทำอะไรก็ได้ เกิดสมาธิ, สติ, กรรมฐานได้ทั้งนั้น ดังนั้น ถ้าคุณวาดภาพ มันก็ได้เหมือนกัน ทีนี้ ถ้าคนไม่มีอุปกรณ์ละ? ไม่มีเงินซื้อสีละ? ก็นี่เลย "ซุปเปอร์เม้าท์" ไปเลยครับ เม้าท์ๆๆๆ ออกไปเลย ไม่ต้องสนใจว่ามันจะถูกหรือผิด จริงหรือเท็จอะไรทั้งนั้น เราเม้าท์ของเราเองเฉยๆ ไม่ได้ไปหลอกลวงใครนี่นา? เราเม้าท์ด้วยจิตที่ใสซื่อบริสุทธิ์นะครับ ไม่ได้มีเจตนาอะไรทั้งสิ้น ปลดปล่อยไปกะการเม้าท์นั่นแหละ เท่านี้เอง โคตรจะง่ายเลย ใครเม้าท์ทางเสียงไม่ไ่ด้ พูดไม่ไ่ด้ เม้าท์ทางจิตก็ได้ ไม่เห็นจะยาก นี่ผมก็เม้าท์อยู่ มีเสียงที่ไหนละ เห็นมั้ย โฮ่ๆๆๆ...    

"อิทธิบาทสี่" บาทฐานอันนำไปสู่ "อิทธิวิธี" นั้นเป็นไฉน?

สวัสดีีครับ วันนี้ มีบทความที่เสริมเพิ่มเติมจากบทความที่แล้วครับ คือ เรื่องของอภิญญา ซึ่งอภิญญานี้ บางท่านจะแ่บ่งออกเป็นสองส่วน คือ ๑. อภิญญาเล็ก ก็คืออภิญญา ๕ นั่นเอง ซึ่งเป็นของสาธารณะ มีได้ในคนทั่วไป แม้ไม่ใช่พระอริยเจ้าครับ ๒. อภิญญาใหญ่ คือ อภิญญาตัวที่หก หรืออาสวขยญาณ ซึ่งมีเฉพาะในพระอริยเจ้าครับ ทีนี้ ผมจะกล่าวถึงเฉพาะส่วนอภิญญาเล็กก่อน แล้วเจาะลงไปอีกเฉพาะ "อิทธิวิธี" ก็แล้วกัน โดยผมจะพูดถึงหลัก "ฝึกโดยไม่ฝึก" ที่ผมเคยกล่าวไว้แล้วในบทความก่อนๆ คำว่าฝึกโดยไม่ฝึกนั้น หมายถึง เราไม่ต้องออกจากงาน ลางานไปฝึกสมาธิที่ไหน เราก็ทำกิืจวัตรประจำวันปกติของเรานี่แหละ แล้วมันก็ได้ "ผลเป็นอภิญญาเล็ก ก็ดี, อภิญญาใหญ่ ก็ดี" ได้ทั้งนั้นแหละครับ เพราะถ้าพูดกับแบบระดับมิติที่สามคือ อ้างอิงเอาในตำราพุทธก็ได้ มันก็คือ "หลักการของอิทธิบาทสี่" นั่นเอง ซึ่งธรรมข้อนี้ ผู้เจริญดีแล้ว ได้ฤทธิ์มากถึงขั้นยืดอายุตัวเองได้เลยครับ พระพุทธเ้จ้าท่านรับรองเองว่าผู้ใดเจริญอิทธิบาทสี่ดีแล้ว ประสงค์จะอยู่ให้เลยกัปก็ได้นะครับ (แต่ต้องได้อรหันต์ด้วยมังครับ) นั่นคือ แค่อิทธิบาทสี่นี่แหละได้หมดเลยครับทั้งปัญญา ทั้งอภิญญา ทั้งอรหันต์มันได้ทั้งหมด โดยไม่ต้องลาจากงาน หาเวลาไปเข้าวัด ห่มขาวก่อนค่อยมาเดินจงกลม อะไรแบบนั้นเลย อันนี้ มันเหมาะกับคนยุคปัจจุบันที่สุดแล้ว ด้วยเพราะเราไม่่ค่อยมีเวลาว่างออกจากงานไปฝึกอะไรกันนนานๆ ไงครับ


เอาละ อย่าเพิ่งคิดว่าผมจะมาเืทศน์เรื่องอิทธิบาทสี่ละ มันน่าเบื่อไป โฮ่ๆๆ อย่างผมต้องเม้าท์สิครับ ว่าแล้วก็เม้าท์เลยละกันว่าไอ้อิทธิบาทสี่นี่นะ มันก็คือ ธรรมอันเป็นบาทฐานไปสู่อิทธิฤทธิ์, อิทธิวิธีได้ มันคือ ตัวเป้ง ตัวพ่อ ตัวแม่ ของอภิญญาเลยละ ก่อนจะให้กำเนิดอภิญญา (ตัวลูกออกมา) มันเป็นตัวการใหญ่เลยที่ทำให้คลอดอภิญญา, ปัญญา และอะไรต่อมิอะไรมาได้ทั้งนั้นแหละ ดังนั้น คนฉลาด ไม่ต้องไปเสียเวลาออกจากกิจวัตรประจำวัน ทุกอย่าง ใช้เป็นบาทฐานได้หมด ไม่ต้องไปนั่งแยกแยะว่าเวลานี้ ฉันฝึกสมาธินะ เวลานี้ ฉันออกจากสมาธิแล้ว พักแล้ว อะไร โอ้ย ไร้สาระ เสียเวลาฝึกไปเปล่าๆ ปรี้ๆ งี่เง่าสิ้นดี ก็อิทธิบาทสี่นี่แหละ ทำได้ทุกเวลา ทั้งหลับและตื่น มันก็ทำได้ ถ้าคนเราเข้าใจ มีปัญญาซะอย่าง อ้อแล้วเราก็อย่าไปตีวงแคบให้อิทธิบาทสี่ มีเฉพาะในคนที่มีอาชีพละ พระไม่มีอาชีพ ท่านก็ปฏิบัติในอิทธิบาทสี่นี้ได้กันเยอะแยะตาแปะก่าย นอนทุกวัน มันก็เป็นอิทธิบาทสี่ได้ กินข้าวทุกวัน มันก็เป็นอิทธิบาทสี่ได้ หายใจทุกวัน มันก็เป็นอิทธิบาทสี่ได้ มันได้ทั้งนั้นแหละ "ทุกกิจกรรม" ถ้ามันมี "ฉันทะ" ในสิ่งที่ตนเองทำนะ เช่น ฉันเลี้ยงปลาคาร์ฟ เพราะฉันรักมัน อาศัยเริ่มต้นจากที่เรารักมันนี่แหละ เป็นจุดเริ่มต้น "ถ้าเรายอมรับตัวเอง ทุกอย่างในตัวเอง" ไม่ว่าจะการกระทำใดๆ กิจกรรมใดๆ มันก็เกิด "ฉันทะ" ขึ้นมาได้ แล้วเจ้าตัว "วิริยะ" นี่ไม่ต้องไปทรมานกาย ไม่ต้องไปทำทุกขกริยานะ คนที่ฉลาดในการทำกรรมฐาน ย่อมทำความสบายให้เกิดในกรรมฐาน ก็ทำให้มันสบายๆ ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก ยิ่งไปทำให้ทรมานตัวเองมาก ขยันเกินเหตุ มันทุเรศนัยตาว่ะ ฮ่าๆๆๆ บ้าเกิน คิดว่าตัวเองดีมาก เก่งมาก ขยันมาก เลยกลายเป็นว่า "กรรมฐานอืด กรรมฐานติดหล่ม กรรมฐานบรรทุกของหนัก" เกินไป ไม่ต้อง โง่เกิน ทำให้มันสบายๆ ไปเรื่อยๆ ทำสม่ำเสมอ ทำประจำ ไม่ต้องทำให้มันมากเกินไป ไม่ต้องทำเยอะแยะอะไร ได้เมื่อไรก็เมื่อนั้น แต่สม่ำเสมอนะ ไม่ใ่ช่้ว่าเลิกแล้ว ตูไม่ทำอีกแล้ว อะไรแบบนั้น เช่น หายใจอยู่ทุกวัน ก็ง่ายๆ ทำได้เลย นี่ ถ้าหยุดหายใจก็ตายสิน่า ดังนั้น ง่ายมาก พอใจมั้ย ถ้าไม่อาจทำอะไรได้อีกแล้ว แต่ยังไม่ตาย ก็เอาฉันทะลงไปในกิจกรรมหายใจ นั่นแหละ มันหายใจอยู่เรื่อยๆ สม่ำเสมออยู่ มันก็เป็นวิริยะเอง ไม่ต้องไปเร่งให้มันหายใจมากๆ เยอะๆ ยากๆ อุดรูจมูกนั้น ไปรูจมูกนี้ อะไรของมัน ทำให้มันเรียบๆ ง่ายๆ สบายๆ เบาๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปคาดหวังอะไรของมัน นั่นแหละวิริยะแล้ว ที่นี้ก็จิตรวมเป็นหนึ่งดีในกิจกรรมที่ทำมั้ย ละ ถ้าจิตรวมเป็นสมาธิดี ก็คือ "จิตตะ" นั่นแหละ จิตรวมดีแล้วจะยกธรรมอะไรขึ้นมาพิจารณา "มันก็ได้ืั้ทั้งนั้น" นั่นแหละ วิมังสา แล้วละ


โอ้ย ทำกันง่ายๆ เวรี่อีซี่ส์ มั๊กๆๆๆ พูดแล้วจะหาว่าโม้ แต่ไม่ได้โม้นะครับ เอาเป็นว่าใครอยากทรมานตัวเอง อยากเหนื่อยแล้วไม่ไ่ด้อะไร ชอบทำอะไรงี่เง่าเนานานแล้วไม่ไ่้ด้ผล ก็เรื่องของมัน ทำไป แต่ถ้าใครรักตัวเองหน่อย ไม่ยาก บอกขนาดนี้แล้ว ยิ่งกว่าใบ้หวยอีก เอาละ ไม่อยากพูดอะไรมากแล้ว เปลืองเวล่ำเวลา ไปดีกว่า สวัสดีครับ ...