วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การ Crossition เปลี่ยนเธอเป็นฉัน หวานมันส์ฉันคือเธอ?

โอ้ย ไม่ไหวคร่ะ ตีกันอีกแล้ว เห็นข่าวม็อบมาแล้วต้องหลบคร่ะ หลบมาอ่านกระทู้อิืฉันดีกว่า พัฒนาจิตใจ พัฒนาปัญญาไปค่ะ เราไม่รู้อะไรมากจะถูกสนทะพายเอา (ถูกหลอกจูงจมูกเหมือนควาย) ทำเพื่อใครก็ไม่รู้ แต่ทุกคนก็อ้างว่าทำเพื่อชาติกันทั้งนั้นแหละ ว่าแล้วก็โล๊ะมันไปจากหัวสมองซะ ทำใจให้ว่างๆ เปิดรับกับสิ่งดีๆ ที่จะช่วยพัฒนาตัวเราและนำไปสู่การพัฒนาโลกและจักรวาลนี้ร่วมกันต่อไปดีกว่าค่ะ เอาละ เม้าท์เรื่องคนอื่นพอหอมปากหอมคอ กลับมาเข้าเรื่องเราดีกว่าค่ะ...


สำหรับบทความนี้ จะกล่าวถึงการแลกเปลี่ยนพลังงานระหว่างบุคคลสองบุคคล ซึ่งผมจะขอใช้คำศัพท์เรียกว่า Crossition power นะครับ พลังงาน Crossition power ก็คือ พลังงานที่เกิดจากการที่คนสองคนได้รับพลังงานคนละชนิดแล้วรอเวลาที่จะสลับปรับเปลี่ยนกันให้ลงตัว เช่น นาย ก. อาจมีพลังหยาง (เพศชาย) มากเพราะออกกำลังกายมาก แต่เนื่องจากจิตใจของ นาย ก. อาจไม่สอดคล้องกับพลังหยาง เพราะเมื่อออกกำลังกายต่างจากการทำงานของจับกัง (ที่ทำเพื่อครอบครัว) แต่ทำไปเพื่อให้ "รูปร่างงาม" เป็นที่พอใจของผู้คนทั้งหลายที่พบเห็น หรือเมื่อต้องทำงานเดินแบบ ผลคือ พลังหยางที่เกิดขึ้นในตัวนาย ก. สามารถแลกเปลี่ยนถ่ายเทไปสู่คนอื่นที่มีจิตใจสอดคล้องมากกว่าได้ เช่น คนที่รูปร่างไม่งดงามแต่ไม่สนใจเรื่องนั้น ใจคิดทำเพื่อชาติบ้านเมือง (เป็นลักษณะจิตใจของคนที่มีพลังหยาง) คนผู้นี้สามารถได้รับพลังหยางจากนาย ก. ได้ในขณะเดียวกันพลังจากตัวคนผู้นี้บางอย่าง ที่เหมาะสมกับนาย ก. จะไหลถ่ายเทไปสู่ นาย ก. เป็นการแลกเปลี่ยนกัน นั่นเอง นี่เรียกว่าการ Crossition ในพลังงานระหว่างบุคคลสองคน 


การเกิด Crossition power นั้น เกิดได้บ่อยๆ และเป็นปกติมาก ไม่ต่างจากการที่พลังงานความร้อนถ่ายเทจากที่ๆ มีความร้อนมากกว่าไปสู่ที่ที่มีความร้อนน้อยกว่าเลย มันเป็นเรื่องของ "ความไม่แน่นอนของทุกสิ่ง" แม้แต่พลังงานก็ไม่มีึความเที่ยง ไม่อาจยึดเป็นตัวตนของตนได้ ก็จะเกิดการโยกย้ายถ่ายเทไปตามความเหมาะสม แต่ไม่่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นในคนได้อย่างไร้เหตุผลนะึครับ จำต้องมีเหตุปัจจัยบางอย่างทำให้เกิดขึ้น เช่น คนสองคนเปิดใจแลกเปลี่ยนความคิดกัน ทั้งสองคนล้วนมีพลังงานที่เหมาะสมกับอีกฝ่าย หรือมีใจน้อมเอียงไปทางพลังงานของอีกฝ่าย มันจึงจะเกิดการแลกเปลี่ยนกันได้ครับ ยกตัวอย่างเช่น นาย ก. มีพลังมารติดอยู่ (อาจด้วยเวรกรรม) แต่นาย ข. มีพลังเทพที่คุ้มครองอยู่เพราะชอบทำบุญ วันหนึ่ง นาย ข. จับผิดนาย ก. ว่าไม่ได้ทำประโยชน์อะไรเลย จิตของเขาจึงจ้องจับผิดอยู่อย่างนั้น ในขณะที่นาย ก. มีจิตที่ยืนหยัดอยู่ในความเชื่อมั่นในคุณงามความดีของทุกคน (เพราะเขาจนจึงไม่มีโอกาสสร้างผลงาน ความดีใดๆ แต่เขากลับเชื่อว่าทุกคนล้วนมีใจที่จะทำความดีทั้งนั้นถ้ามีโอกาสนะ) สุดท้าย ผลจะออกมาว่า "พลังเทพของนาย ข. จะไปสู่นาย ก. และพลังมารของนาย ก. จะไหลไปสู่นาย ข. ได้" อันนี้ เป็นไปตามธรรมชาติของจิตมนุษย์ ซึ่งมีผลต่อ "รูปแบบการเสวยบุญกรรม" ที่ต่างไปจากเดิมด้วย กล่าวคือ ผู้ที่ได้พลังมารคลุมชั้นนอกไป ก็มีการเสวยผลบุญกรรมแบบมาร แต่ผู้ที่ได้พลังเทพคลุมชั้นนอกไปก็มีการเสวยผลบุญแบบเทพ นั่นเอง


สุดท้าย พลังงานเหล่านี้ ปกติจะเปลี่ยนแปลงง่ายในระดับ "ชั้นนอก" เนื่องจากพลังงานในมนุษย์เป็น "พลังงานเชิงซ้อนหลากมิติ" มีความซับซ้อนมากและซ้อนอยู่หลายชั้น การเปลี่ยนแปลงจึงเกิดง่ายเฉพาะชั้นนอกสุด ส่วนชั้นในที่ลึกลงไป จะเปลี่ยนแปลงหรือแลกเปลี่ยนได้ยากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนเรามีเปลือกนอกที่ปรับเปลี่ยนไปตามสิ่งแวดล้อมได้ง่าย ปรับตัวเข้ากับคนหลากหลายกลุ่มได้ง่าย แต่จะไม่ถึงขนาดเปลี่ยนแปลงในระดับลึก นั่นคือ เบื้องลึกแล้วเขาก็ยังเหมือนเดิม แต่เปลือกนอกเท่านั้นที่เปลี่ยนไป วิธีนี้จึงไม่ใช่การชำระล้าง ด้วยไม่มีการเปลี่ยนแปลงของพลังงานทั้งระบบ นั่นเอง แต่นักพลังจิตอาจ ใ้ช้หลักการนี้ในการทำหน้าที่ต่างๆ เพื่อเสริมความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมที่แตกต่่างกัน ก็ได้ สำหรับบทความนี้ ขอจบลงเพียงเท่านี้ครับ

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

"ตัวตนภาคทำลาย" ที่แฝงอยู่ในองค์กรของท่าน อาจเป็นโชคให้แก่ท่าน?

โอ้ย แย่แล้วทำไงดี เดี๋ยวนี้จะไปไหนต้องพกเสื้อไปสองตัว ตัวหนึ่งสีแดง ตัวหนึ่งสีเหลือง เวลามีม้อบสีแดงเถือกแ่ห่มานะ เราก็สวมเสื้อสีแดง "อ่ะ รอดตาย" แต่เวลามีม้อบสีเหลืองเข้ามานะ เราก็รีบสวมเสื้อสีเหลืองปั้บ "อ่า ยิ่งกว่ายันต์ศักดิสิทธิ์หลวงพ่อรอดอีก" รอดตายได้จ๊ะ ใครไม่มีสีกะเขา หัวเดียวกะเทียมลีบ กลายเป็นตัวประหลาด กลายเป็นคนผิด คนเลว คนไม่รักชาติไป ไอ้ที่แบ่งพวกตีกันเหลืองแดง จนประเทศจะหายนะ กลายเป็นวีรบุรุษไป อ้าว พวกเขาไม่มีสีเลยต้องหนีเอาตัวรอดให้ได้นะจ๊ะ สิบอกไห่ จบข่าว ... วกกลับเข้ามาเรื่องของเราดีกว่าครับ บทความนี้ จะกล่าวถึงว่าทำไมต้องมีตัวร้ายหรือตัวตนภาคทำลายเข้ามายุ่งวุ่นวายกะชีวิตเราด้วย เอาละ ผมจะบอกให้ดังต่อไปนี้


เคยสงสัยไหมครับว่่าทำไมพระพุทธเ้จ้าจึงรับ "พระเทวทัต" ไว้ในพระศาสนาอย่างง่ายๆ ทั้งๆ ที่พระเทวทัตทำผิดมากมาย ทั้งพยายามที่จะทำร้ายพระพุทธเ้จ้า, ทำสังฆเภทให้เกิดในพระพุทธศาสนา ฯลฯ แต่พระองค์ก็ยังไม่ว่าิอะไรเลยสักคำ ตรงกันข้าม "พระน้านางปชาบดี" ที่เลี้ยงดูพระองค์มาแต่ครั้งยังเล็กอีกแท้ๆ พระองค์กลับไม่ยินดีที่จะให้พระน้านางฯ บวชเป็นภิกษุณี? ทั้งๆ ที่พระน้างนางฯ ก็ทำดีทุกประการ ไม่มีอะไรผิดพลาดเลย ให้ถือศีลยากๆ ก็ทำได้ทั้งหมดอีกด้วย เอาละ ถ้าคุณยังหลงตาบอดยึดติดความ "ถูก-ผิด-ดี-ชั่ว" อยู่ละก็ ยากครับที่จะเข้าใจในสิ่งที่ผมจะอธิบายนี้ได้เพราะว่ามันเหนือกว่าระดับมิติที่คุณยึดอยู่นะครับ อ้อ... ผมไม่ได้บอกให้คุณเป็นมิจฉาทิฐิไปหลงชอบฝ่ายอธรรมก็หาไม่นะ ที่ผมกำลังบอกอยู่นี้คือ "ความหลุดพ้นแ้ล้วจากธรรมสองฝ่ายทั้งธรรมะและอธรรม" ไม่ได้ยึดทั้ง "ถูก-ผิด-ดี-ชั่ว" แต่เข้าใจใน "ถูก-ผิด-ดี-ชั่ว" ดีกว่าคนที่ยึดอีกครับ นี่แหละ คำว่า "ปัญญา" มันไม่ใช่ความดี, หรือความถูกต้อง ไม่่่ใช่ทั้งความเลวหรือความผิด ไม่ใช่อย่างอื่นใด "นอกจากปัญญา" ครับ เพราะ "ปัญญาก็ืคือปัญญา" จะมาเป็น "ตา" (ชื่อเล่นของคุณปัญญา นิรันกุล) เป็นไปไม่ไ่ด้ เป็นยายก็ไม่ได้อีก เอาละ สรุปว่า มันไม่ได้เกี่ยวว่าอะไร "ถูก-ผิด-ดี-ชั่ว" หรอก แต่ว่าพระพุทธเจ้าท่านมี "ปัญญา" ในแบบที่สาวกคนอื่นๆ เขาไม่มีกัน ก็เลยทำให้พระอานนท์ไม่เข้าใจ และทำให้คนที่โง่กว่าพระอานนท์ได้เข้าใจโดยไม่รู้จักคิดหรือสงสัยอะไรเลย ฮ่าๆๆ เอาละ ผมจะมาเฉลยให้ฟังกัน แบบง่ายๆ, สั้นๆ, แบบบ้านๆ เหมือนชาวบ้านคุยกันเลยครับ 


สรุปก็คือ "ทุกสิ่ง, ทุกคนก็คือสิ่งศักดิสิทธิ์" เพียงแต่มีหน้าที่ที่ต่างกัน จึงต้องมาใน "รูปนาม" ที่ต่างกัน ก็เท่านั้นเองครับ เช่น มาในรูปนามแห่งมาร, อสูร, ปีศาจ, ศัตรู, ตัวชั่วร้าย, ตัวทำลาย, ตัวก่อกวน ฯลฯ ได้ทั้งหมดครับ เพราะอะไรถึงเป็นสิ่งศักดิสิทธิ์กันทุกคนละ? ก็เพราะว่าไม่มีใครที่ไม่มีหน้าที่ หรือไม่มีความจำเป็นต้องลงมาเกิด หรือมีชีวิตอยู่เป็นมนุษย์ไงครับ และเพราะเขาทำหน้าที่ที่ต่างกันนั้น เขาึจึงนับเป็น "สิิ่งศักดิสิทธิ์" ไงครับ นี่คือ "กฏแห่งความสมดุลอันเกิดจากองค์ประกอบย่อยที่แตกต่างและหลากหลาย" เท่านั้นเองครับ เอาง่ายๆ นะ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่เอาพระเทวทัต ศาสนาท่านจะสิ้นไปเร็วกว่านี้มากครับ แต่ถ้ายอมให้พระเทวทัตทำอะไรได้ตามใจทุกอย่าง เพราะความหลงละก็ "จบเร็วยิ่งกว่าครับ" ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงจำต้องมีพระเทวทัตไว้ ไว้ทำไม? เป็นธรรมชาติของความสมดุลแห่งความแตกต่างและหลากหลายครับ ไม่ใช่แต่พระพุทธเจ้านะครับ อย่างอื่นก็เหมือนกัน ถ้าคุณเห็นใครไม่ดีมากๆ ไล่ออกไปเรื่อยๆ บางทีองค์กรของคุณก็จะ "อายุสั้นลง" ได้ครับ ดังนั้น เราต้องเคารพภาคอื่นๆ ที่ทำงานตรงข้ามกับเราด้วยครับ ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องไม่หลงเขาไปเสียละครับ ทำหน้าที่ของเราให้ดีั ส่วนเขาก็ทำหน้าที่ของเขาไปไงละครับ


สุดท้ายนี้ "ตัวทำลายหรือตัวร้าย" ก็เป็น "ตัวตนหนึ่งในระบบองค์รวมหลากมิติ" ที่จะขาดไปไม่ไ่ด้ครับ แหม มีหนังเรื่องไหนไม่มีตัวร้ายบ้างละครับ ขาดได้ยังไง ต้องมีครับ ถึงจะครบรสชาติ, สมดุล และดำเนินไปได้อย่างที่ "โลก" ควรจะเป็นครับ ดังนั้น หวังว่าท่านคงจะเข้าใจในบทบาทของตัวตนที่เรียกว่า "ตัวร้ายหรือตัวทำลาย" ด้วยนะครับ ...

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การตกระัดับของ "นักเลื่อนระดับ" เป็นอย่างไร?

ขอแปลงร่างเป็นพี่โน้ต อึดม แว้บนะ อ๊ะ ได้แล้ว ... เปิดไมค์ยัง? ฮาโหลๆ โอเค ไ้ด้แล้วเดี๋ยวไมโครโฟนได้เลย ... "เมื่อวานเห็นไก่ย่าง น่ากินมากๆ พูดแล้วน้ำลายไหล (น้ำลายไหลได้แต่อย่าหางกระดิก เดี๋ยวถูกตรวจจับสัญชาติ) เพื่อนส่งมาให้ดูทางกูเกิ้ล อีกคนก็ตอบไปว่่า น่ากินจัง, อีกคนก็เอามั่ง ส่งมาให้กินมั่งดิ เออ อีห่า จะกินเสือกไม่บอกว่าจะให้ส่งทางอีเมลหรือทำพิธีเผากงเต็กไปให้ งั้นก็ไม่ต้่องกินมันละกัน ว่าแ้ล้วก็ถ่ายรูปตอนไก่ย่างกำลังเข้าปาก แช๊ะ! จะกินแล้วนะตัวเอง ... ภาพสุดท้าย ถ่ายอีกแช๊ะ เหลือแต่กระดูก เออ แล้วมรึงจะเอามาให้กูดูทำไมเนี่ย? แค่กินไก่ย่าง แม่งมันส่งรูปมาให้ใครดูไม่รู้ทั่วไปหมดเลย" ตัดบทจากเวทีเดี่ยวไมโครโฟนของพี่โน้ต อึดม มาเข้าบทความของเราแล้วกัน (เกี่ยวกันตรงไหนฟร่ะเนี่ย? อย่าคิดมาก ขำๆ น่า) เป็นเรื่องของการตกระดับของนักไต่ระดับครับ เรื่องราวไม่ยาก เล็กๆ สั้นๆ กวนโอ่งเล็กน้อย จะเม้าท์ให้ฟังก็แล้วกันครับ


เรื่องของการตกระดับ มันเกิดขึ้นได้กับนักไต่ระดับทั้งหลายครับ ซึ่ง "การตกระดับ" ก็เหมือนกับการลาพุทธภูมินี่แหละครับยกตัวอย่างเช่น นาย ก. เคยปรารถนาพุทธภูมิไว้่ ทำมาได้ ๗๕% แล้วเหนื่อยมาก ก็ลาพุทธภูมิได้ ผลคือ "เขาจะตกระดับ" ทันที ชีวิตจะดีขึ้น, ไม่ยากลำบากอย่างที่เคยเป็นมา ไม่ต้องเพียรบำเพ็ญผ่านการทดสอบอะไรมากมาย เรียกว่าอาศัยของเก่าที่ทำมา ๗๕% นั้นก็สบายตัวแล้วแต่จะไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งเท่านั้นเอง เอาเพื่อให้เห็นชัดขึ้น จะเม้าท์เรื่องพระพี่นางสุพรรณกัลยาให้ฟังก็แล้วกัน ในชาติันั้นเพราะบำเพ็ญบารมียิ่งยวดหนักมากได้ไปมากเลย ๘๐% กว่าแล้ว เรียกว่านำหน้าคนอื่นๆ (พระพี่นางฯ บำเพ็ญบารมีในตำแหน่ง "พี่สาวของพระพุทธเจ้า") ทว่า ด้วยความยากลำบาก "ตัวตนตัวหนึ่งซึ่งเป็นจิตวิญญาณ" (ในหลายๆ ตัว) ก็เลยท้อแท้ แล้วก็ถดถอยลงไป สุดท้ายก็ลาไปจากตำแหน่งพี่สาวครับ (ยังมีใครอีกมากมายที่บำเพ็ญในตำแหน่งนี้ที่รอให้เขาตกจากตำแหน่งก่อนครับ) เมื่อลาไปแล้ว เท่ากับว่าสละสิทธิ์ตำแหน่งพี่สาวพระุพุทธเจ้า จึงไม่มีเอี่ยวที่จะได้บุญจาก "เนื้อนาบุญ" แปลงนั้น เรียกว่าถูกตัดออกจากกองมรดกแห่งเนื้อนาบุญนั้น ทีนี้ ไม่ใช่ว่าจะหมดกรรมไปได้นะครับ กรรมของใครมันก็เท่าเดิมแหละครับ เพียงแต่พอไม่มีเนื้อนาบุญ ที่จะทำให้ได้ผลบุญเจือจางผลกรรมแล้ว ก็อยู่ไม่ได้ครับ ต้องเร่หา เร่เกาะผู้มีบุญบารมีคนอื่นไป สุดท้าย ก็ไม่พ้นต้องทำงานให้คนอื่นเหมือนเดิม เพียงแต่เปลี่ยนผู้นำไปก็เท่านั้นเอง (ไม่รู้ว่าฉลาดเกินไปหรือโง่กันแน่นะ?) สรุปง่ายๆ ว่าคนเราทุกคนมีกรรมของตัว เหมือนมีหนี้ติดตัวอยู่ก้อนหนึ่ง พอเราไปหาพึ่งผู้นำที่มีบารมีมากได้ เราทำได้ผลมาก เราก็จะสบายหน่อย กรรมเข้าตัวเราน้อย แต่ถ้าเราได้นาบุญที่ไม่ดี ถึงเวลาใช้หนี้ เราก็จะได้มรรคผลบุญไปใช้่หนี้ได้น้อย นึกว่าผู้นำเป็นตัวร้าย (เช่น หลงคิดว่าพระนเรศวรเป็นเหตุให้พระพี่นางฯ ต้องยากลำบาก) เลยไม่เอาแล้ว เปลี่ยนใจ กลายเป็นว่าเสียนาบุญดีๆ ไปเลย ยากลำบากยิ่งกว่าเดิมอีก อันนี้เตือนไว้ให้ระวัง


จริงๆ แล้วมีคนอยากเป็นพระพุทธเจ้ากันมาก แม้แต่ใส้เดือน, กิ้งกือ ก็อยากเป็นทั้งนั้น ไม่แปลกนะครับ เพราะจิตทุกดวงมาจาก "พุทธะ" ก็ต้องคิดถึงรากเหง้าที่มาของจิตตัวเอง จึงปรารถนาพุทธภูมิ ทว่า ถ้ามีความเข้าใจในคำว่า "พระพุทธเจ้าบนโลก" กับ "พุทธะ" ซึ่งคำว่าพุทธะนี้เป็นคำกว้างๆ รวมๆ ครับ รวมอะไรไว้บ้างละ ก็ได้แก่ ๑. พุทธะ อันเป็นลักษณะเดิมแท้ของ "จิตวิญญาณต้นกำเนิด" ของจิตวิญญาณทุกดวง แต่ไม่ใช่ลักษณะของจิตนะครับ จิตมีลักษณะเดียว ประภัสสรไม่เป็นอื่น ไม่ใช่อะไรทั้งนั้นแม้แต่พุทธะ แต่ถ้่าประสานกับวิญญาณได้เมื่อไร ก็เป็นพุทธะไ้ด้ครับ คือ สูงสุดของวิวัฒนาการของจิตในโลกนี้ ซึ่งทุกคนสามารถกลับคืนสู่ภาวะเดิมแท้นี้ได้ ๒. พุทธะ ที่เป็นเอกอันได้รับเลือกแล้วว่าให้มาตรัสรู้บนโลกใบนี้ในตัวตนแห่ง "มนุษย์โลก" (พุทธะอื่นๆ มีัตัวตนที่ไม่ใช่มนุษย์ และอยู่ดาวอื่น) ซึ่งแบบนี้มีอยู่น้อยมากๆ ไม่ใช่ลักษณะที่ทุกคนจะเข้าถึงหรือเป็นได้ ก็มีเฉพาะไม่กี่คนเหมือน ๑ ในเม็ดทรายในมหานที นั่นแหละ ! เพราะว่าต้องผ่านด่านทดสอบอะไรมากมาย ทำให้หลายคน "ลาพุทธภูมิ" ไปในที่สุด (แต่ก็ยังมีโอกาสได้ "พุทธะ" ได้นะครับ) ทีนี้ พอลาแล้ว ตกระดับลงมาแล้ว ชาติภพจะหดสั้นลง ความยากลำบากและแบบทดสอบจะหายไป จะมีเหลือแต่"กรรมเก่าตกค้าง" เอามาคิดหักลบกลบหนี้เพื่อชดใช้ให้หมดไป ก็เท่านั้น ดังนั้น ทันทีที่ลาพุทธภูมิ ก็ดี, ตกจากตำแหน่ง ก็ดี หรือลาจากตำแหน่งอื่น เช่น พี่สาวพระพุทธเ้จ้า, นางแก้วของพระพุทธเจ้า ก็ดี ฯลฯ ผลคือ "แบบทดสอบและความยากลำบากอื่นๆ หมดสิ้นไป" บุญเก่าที่ถูกกั๊กไว้ไม่ออกดอกผลเสียทีก็จะออกมาให้เต็มที่ตามใจหวัง พร้อมๆ กับกรรมเก่าที่จะประเดประดังเข้ามาเพื่อให้ชดใช้หนี้กรรมเก่าให้หมดด้วย (ตามมาในเวลาไม่นานนัก ดุจเงาตามตัว) ดังนั้น ในช่วงแรกของการลา, การตกระดับมันจึงดูเหมือนชีวิตดีขึ้นมากแต่ตอนหลังมันจะมีกรรมถาโถมเข้ามา แถมไม่เหลือนาบุญจะทำ, ไม่มีบุญหนุนรับที่นี้ก็จะ "หาที่พึ่งพิงไม่ได้" ต้องรับผิดชอบกรรมของตัวเอง โดยไม่มีใครช่วยได้เลย นอกจากจะหา "ที่พึ่งพาใหม่หรือนาบุญแปลงใหม่" ก็ถ้ามันไม่ได้ดีกว่าแปลงเก่า ก็เหนื่อยยาว ต้องเริ่มต้นทำใหม่อีก ไม่ได้ดีไปกว่าเดิมเลย เอาละ เม้าท์ให้ฟังกันเล่นๆ เท่านี้ ก็แล้วกัน เดี๋ยวจะเครียดมากไป อย่างไรก็แล้วแต่คุณจะเลือกเองก็แล้วกัน สวัสดีครับ ...     

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ตัวตนในมิติที่สูงขึ้น คือ "ตัวบุญบารมี" แต่ ตัวตนมนุษย์ คือ "ตัวกระทำ"

ว้าย... ตายแล้วเจ้าข้า คุณผู้หญิงเจ้าขา อกอีแป้นจะแตก ตูดอีปอยจะทะลัก! ข่าวด่วนคร่ะ ไปแอ๊บได้ยินมานะเจ้าคะ "คุณทีวี" บอกมาอ่ะค่ะ มันเป็นข่าวผัวฝรั่งใช้เมียไทยค้ายาบ้าข้ามชาติค่ะ ว้าย ตายแล้ว รับไม่ได้อย่างที่สุดเจ้าคร่ะ ทำไปได้ยังไง ทำไมไม่บรรจุหีบห่ออีแก่แม่งมันขายส่งออกนอกไปเลยละเจ้าคะ เดี๋ยวนี้โรงงานรีไซเคิลเขารับหมดค่ะ เก่าแก่แค่ไหนก็รับได้ค่า ... อ่ะ เม้า้ท์ข่าวนินทาชาวบ้านไปผ่อนคลายความเครียดเฉยๆ นะครับ อย่าคิดมว้าก เอาเป็นว่าเข้าเรื่องของเราเลยดีกว่าครับ นั่นก็คือ เรื่องของ "ตัวกระทำต่างมิติ" ที่มีหน้าที่ต่างกันครับ


ตัวตนมนุษย์ คือ "ตัวกระทำ" ตัวตนในมิติที่สูงขึ้น คือ "ตัวบุญบารมี" อันนี้ ควรเข้าใจให้ชัดนะครับ หมายความว่าอะไร? มันหมายความว่า ไม่ว่าเราจะสร้างบุญบารมีมากแค่ไหน แต่ตัวตนที่เป็น "ตัวบุญบารมี" ของเราก็จะดำรงอยู่แต่ "ในมิติที่สูงกว่า" เท่านั้น ไม่ลงมาเกิดหรอกนะ แต่ตัวตนที่เป็นมนุษย์ของเรานี่่ต่างหาก ที่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์และทำหน้าที่เป็น "ตัวกระทำบนโลก" ครับ ดังนั้น หากใครบางคนจะหลงคิดไปว่าเราคือผู้มีบุญบารมีมากแล้ว เลยไม่ทำอะไรเลย ก็สมควรจะตายไปซะ เพราะไม่มีประโยชน์อะไร รกโลกครับ ไม่ควรมาเกิดแต่แรกเลยด้วยซ้ำ ใช่ไหมละ? แต่ถ้าคุณมาเกิดมีตัวมีตนเป็นคนบนโลกแล้ว คุณก็ต้องทำหน้าที่เป็น "ตัวกระทำ" ครับ ไม่ว่าจะเป็น "กระทำโดยไม่กระทำ" หรือจะกระทำในรูปแบบอื่นใด ก็ตามครับ เพราะถ้าคุณมาเกิดเป็นคนแล้ว คุณก็ต้องมีหน้าที่บนโลกนี้ทั้งนั้นครับ ถ้าไม่มีหน้าที่บนโลกนี้ก็ไม่ต้องมาเกิดเป็นผู้เป็นคนกับเขาสิ ใช่ไหมครับ? เอาละ สรุปก็คือ ตัวตนมนุษย์ จะเป็นตัวกระทำสิ่งที่ควรกระทำบนโลกนี้ โดยมีตัวตนแห่งบุญบารมีที่อยู่ในมิติที่สูงขึ้นไป คอยดูแลอยู่ข้างบนอีกทีครับ 


ดังนั้น ไม่ว่าอดีตชาติหรือในมิติก่อนๆ อื่นใด คุณจะสร้างบุญบารมีมามากแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าคุณยังมาเกิดบนโลกมนุษย์อยู่ คุณก็ต้องมีหน้าที่ ต้องเป็นตัวกระทำอะไรสักอย่างหนึ่งครับ แม้แต่พระพุทธเจ้าที่ลอยบุญลอยบาปแล้ว ไม่เอาชาติภพต่อไป และพระอรหันตสาวกทั้งหลายที่พร้อมนิพพานแล้วต่างก็มีหน้าที่ต้องกระทำกันทั้งนั้น เพียงแต่ว่ากิจของท่านเหล่านี้ ไม่ได้มีกรรมมากพอจะต่อชาติสืบภพไปเท่านั้นเอง เรียกว่าใช้หมดในชาตินั้นๆ ได้ ดังนั้น การอ้างว่าตัวเองมีบุญบารมีมากแล้วเลยไม่ต้องทำอีก เป็นความคิดที่ิผิดนะครับ เพราะตราบใดที่ยังมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ยังมีหน้าที่ให้กระทำครับ นอกจากนี้ มันยังมีกฏอีกว่าไม่ว่าเราจะมีอดีตสร้างบุญบารมีมามากเท่าไรก็ตาม บุญบารมีนั้นก็อาจจะไม่สนองผลในชาตินี้เลย ถ้าเราไม่ทำอะไรเลยครับ เช่น ถ้าไม่บิณฑบาตรแล้ว เขาจะเอาข้าวมาทำบุญแล้วพระสงฆ์จะรับบุญได้ไหม มันต้องทำอะไรบ้างนิดหน่อยครับรองรับพลังบุญที่จะเข้ามาไม่เช่นนั้น มันก็จะไม่อาจเข้ามาได้เลยครับ มันจะไหลไปสู่ "ตัวตนตัวอื่นๆ ที่เป็นตัวกระทำ" ครับ ทั้งนี้ มันมีความยุติธรรมเท่าเทียมกันอีกว่า ไม่ว่าคุณจะอยู่ในจุดใด ยิ่งใหญ่หรือต่ำต้อยแค่ไหน? แต่การกระทำของคุณ ก็มีผลไม่ต่างกัน เหมือนคนเล่นเกมกระดานเล็ก กับกระดานใหญ่ ขนาดมันจะต่างกันเท่าไร ถ้าชนะได้ผลมันก็คือชนะเท่ากัน แต่ถ้าแพ้มันก็แพ้เท่ากัน ไม่ได้มีว่าชนะกระดานใหญ่แล้วจะได้ดีกว่ากระดานเล็กนะครับ ดังนั้น คุณจึงไม่จำเป็นต้องไปแก่งแย่งอำนาจ เพื่อให้ได้กระทำอะไรต่อมิอะไร อย่างใครเขา จุดใดก็ได้ ที่คุณสามารถทำหน้าที่ได้ ก็ทำไปเลยครับ ทุกอย่างรอบตัวเรา "มันก็แค่เครื่องปรุงแต่ง" เท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญมันไม่ได้อยู่ที่นั่น มันอยู่ที่ "การกระทำของตัวเราเอง" ครับ ไม่เช่นนั้น ก็จะ้เกิดความวุ่นวายเพราะการแก่งแย่งกันไงครับ


เอาละ สุดท้ายนี้ ผมขอกล่าวถึง "ความสัมพันธ์ของตัวบุญบารมีและตัวมนุษย์" ซึ่งอันที่จริงแล้ว "ทุกตัวตนในทุกมิติล้วนเกี่ยวเนื่องกันทั้งหมด" ทว่า ผมจะขอเจาะลงไปเฉพาะสองตัวตนนี้ก่อน เพราะมันจะใกล้ชิดกับมนุษย์และคุณจะสัมผัสได้ง่ายกว่า สรุปก็คือ ตัวบุญบารมีที่อยู่ในมิติที่สูงขึ้นไปของเรา จะเก็บบุญบารมีเราไว้ให้ ไม่เอาออกมาให้เราเรี่ยราดครับ เมื่อใดที่เราได้บุญบารมีแบบเรี่ยราด ฟุ่มเฟือย นั่นให้ทราบไว้ว่า "หนอนเจาะถังข้าวสาร" เราแล้วครับ บุญบารมีของเราจะเริ่มรั่วออกแล้ว จนกระทั่งหมดครับ เมื่อนั้น พลังของตัวบุญบารมีที่จะเชื่อมต่อกับเรา ก็หายแห้งหมดสิ้นไป แล้ว "ตัวกรรม-ตัวมืดมน" ก็จะเข้ามาครอบงำเราได้อย่างเต็มที่มากขึ้นครับ ดังนั้น เจ้าตัวกรรมหรือตัวมืดมนนี้ จึงเป็นตัวตรงข้ามกับตัวบุญบารมี ที่จะคอยเจาะให้บุญที่เราเคยมีอยู่นั้น รั่วไหลออกไป ผ่านการทำความดี ให้เรามากมายจนผิดปกติ เช่น ทำให้เราถูกหวยรวยโต, ทำให้เราได้นั่นได้นี่, ทำให้เรามีอำนาจมากมาย ฯลฯ อันมากเกินจริง อันเกินพอดี อันเ็ป็นไปในทางที่ฟุ่มเฟือยครับ ในขณะเดียวกัน "ตัวตนที่เป็นมนุษย์" ของเราก็ต้องทำหน้าที่ ทำกิจของเราครับ จึงจะมีสายสัมพันธ์ทางพลังงานที่เหนีียวแน่นกับ "ตัวบุญบารมี" ของเราได้ และยิ่งถ้าเราทำได้ดีมากขึ้น เราก็จะได้รับการยกระดับสูงขึ้นไปสู่ "ตัวบุญบารมี" ที่มีกำลังบุญบารมีมากกว่าตัวเดิมๆ ครับ นี่แหละคือ "การเลื่อนขั้น" ในทางตรงข้าม ถ้าเราเสื่อมลง เราก็จะเชื่อมสัมพันธ์ทางพลังงานกับตัวตนที่ต่ำลงไปได้เรื่อยๆ เช่นกันครับ สุดท้าย เราก็จะต้องไป "แทนที่ตัวตนตัวนั้น" ที่ได้เชื่อมโยงพลังงานมาสู่เราอย่างเหนียวแน่นครับ เืพื่อตัวตนตัวนั้นจะได้ปลดปล่อยตัวเองไปสู่สถานภาพใหม่ ที่ดีกว่า ไ้ด้เกิดเป็นมนุษย์เพื่อที่จะมาเข้าสู่กระบวนการ "ยกระดับตัวเอง" ให้สูงขึ้นไปกว่าเดิมอย่างไรละครับ สำหรับบทความนี้ ขอจบลงเพียงเท่านี้ สวัสดีครับ...

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

"พลังจิตระดับต่างดาว" ต่างจากพลังจิตระดับโลกอย่างไร?

มีคำถามจากน้องๆ มาเยอะเรย ถามโอปอลว่า "เราจะแยกแยะพลังจิตระดับต่างดาว กับพลังจิตที่อยู่ในโลกนี้ได้อย่างไรคะ?" ขอบคุณที่ถามเข้ามานะคะ พี่โอปอลจะตอบให้ค่ะ แต่ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด, เท็จจริงแค่ไหนนะคร่ะ โฮ่ๆๆ ถามมาเถอะค่ะน้องๆ พี่โอปอลรู้ทุกอย่างในจักรวาลนี้ ไม่รู้อย่างเดียวคือ "ทั้งหมดที่รู้นี่ จริงหรือเปล่า" ก็เท่านั้นละค่ะ ฮ่าๆๆ อ้าว เดี๋ยวจะนอกเรื่องไปใหญ่กลับเข้าสู่รายการของเรา เย้ย กลับเข้าสู่เนื้อหาของเราก่อนครับ คือ เรื่องพลังจิตระดับต่างดาว และระดับโลก สองแบบนี้ เราจะแยกแยะได้อย่างไร? จะอธิบายดังนี้่ครับ 


พลังจิตระดับต่างดาว ต่างจากพลังจิตระดับโลก ตรงไหน? ให้ดูตรงที่พลังจิตแบบนั้นมี "พื้นฐานสัจธรรมสากล" หรือไม่ครับ ถ้ามี ก็จะอยู่ในระดับ "พลังจิตสากลจักรวาล" ของดาวต่างๆ ที่พร้อมส่งออกไปยังดาวอื่น เช่น ถ้ามนุษย์โลกมีพลังจิตระดับนี้ได้ ก็พร้อมส่งออกไปช่วยเหลือดาวดวงอื่นได้เช่นกัน สำหรับดาวดวงอื่นแล้วพลังจิตของมนุษย์โลกแบบนี้ ก็คือ "พลังจิตระดับต่างดาว" สำหรับเขานั่นเอง ซึ่งหัวใจสำคัญของการได้รับ "สิทธิ์การส่งออกระดับสากลจักรวาล" อยู่ตรงที่จะต้องมี "พื้นฐานของสัจธรรมสากลจักรวาล" ก่อนครับ เพราะอะไร? เพราะจักรวาลนี้มีพลังงานดูแลอยู่ครับไม่ใช่จะปล่อยให้แตกระเบิดไปง่ายๆ โดยไร้เหตุผล (มีจิตจักรวาลดูแล) ดังนั้น ภายใต้การดูแลของผู้ดูแลจักรวาลนี้ จึงสร้างระบบคุ้มกันไว้ให้สำหรับดาวแต่ละดวง และทำให้พลังงานภายในดาวดวงนั้น "ที่ไม่เหมาะสมจะส่งออก" ไม่อาจที่จะส่งออกได้ครับคือ พลังงานบางอย่างก็ออกไปสู่จักรวาลได้เพราะ เ็ป็นพลังธรรมชาติ เป็นสากล ไม่มีปัญหาครับ แต่พลังงานบางอย่างจะถูกดึงดูดกลับโดยดาวเคราะห์ดวงนั้นๆ เอง หรือถูกควบคุมไว้ด้วย "เกราะคุ้มกันพิเศษของดาวดวงนั้นๆ" ดังนั้น พลังงานที่เข้ามาสู่ดาวโลกได้ ถ้ามาจากต่างดาว ก็มีอยู่สองแบบคือ ๑. พลังธรรมชาติทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษและไม่เป็นปัญหากับสมดุลจักรวาล ๒. พลังต่างดาวที่ผ่านระดับ สัจธรรมสากลแล้ว จึงจะได้รับการปลดปล่อยให้ออกมาได้ครับ ดังนั้น ผมจึงบอกว่า "พลังจิตระดับต่างดาว" ที่ท่านจะรับได้จากต่างดาวนั้นจะมีลักษณะดังนี้ คือ มีพื้นฐานของสัจธรรมสากลจักรวาลก่อน แล้วคำว่า "มีพื้นฐานของสัจธรรมสากลจักรวาล" นี่มันคืออะไร?


เอาละ เราก็มาศึกษาพร้อมๆ กัน ผมจะขยายให้ฟัง "สัจธรรมสากลจักรวาล" คือ สัจธรรมหนึ่งเดียว ไม่่ต่างกันทั้งจักรวาลนี้ครับ เช่น ในพระพุทธศาสนาก็มีหลายตัว ยกตัวอย่าง อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา นี่ก็ใช่สัจธรรมสากลจักรวาล ใช้ได้ทั่วจักรวาลครับ ทีนี้ ถ้าพลังจิตสายใดไม่มีพื้นฐานแบบนี้ ก็ "ส่งออกนอกไม่ได้" จะมีระบบพลังงานปกป้องไว้ไม่ให้ออกนอกดาวเคราะห์นั้นๆ ครับ เช่นกัน ในดาวโลกนี้ พลังจิตแบบไหนที่ไม่มีพื้่นฐานสัจธรรมสากลจักรวาล ก็แสดงว่าไม่ได้มาจากต่างดาว แต่มาจากในโลกเรานี่เองครับ เช่น การเนรมิตด้วยการคิดเอาเอง ใช้การคิด, พลังความคิด, พลังความเื่ชื่อ เพื่อสร้างความจริง อันนี้ มาจากสวรรค์ชั้นที่หกของโลกเราเองครับ ไม่ได้มาจากต่างดาว สำหรับพลังต่างดาวจะยกตัวอย่างนะครับ พลังจากดาวสุริยะทั้งหลาย เหมือนๆ กันคือ เมื่อเข้าถึงสัจธรรมสากลแล้ว แผ่พลังสว่างไสวออกก็จะไม่มีพลังด้านมืดแทรกเข้ามาได้ พวกเขาก็จะมีความเป็นอยู่ที่ดีได้ครับ เขาอยู่แบบนี้ คือ ใช้พลังจิตภาคสว่าง แผ่รัศมีออกเพื่อปกป้องตัวเองจากพลังงานที่ไม่ดี อันนี้ คือ พลังจิตสายดาวสุริยะ ไม่ได้มาจากในโลกนี้ครับ (ทำตนดั่งดวงอาทิตย์ฉะนั้น) สำหรับธรรมในดาวโลกนี้ พระพุทธเจ้าจะไม่สอนอย่างนี้ ท่านให้ปล่อยไปตามธรรมชาิติ ตามกรรม ตามจริง มีกรรมก็รับไป ไม่ต้องใช้่พลังจิตแผ่รัศมีสว่างออกเพื่อปกป้องตัวเองจากพลังที่ไม่ดีครับ เมื่อรับไปตามธรรมชาติ ตามกรรมมากพอแล้วจะจบ นิพพานในดาวโลกนี้่ได้เลย ไม่ต้องไปต่อในชาติภพไหนแล้ว แต่ถ้าท่านใช้พลังจิตของดาวสุริยะต่อ ท่านก็ต้องไปสู่ดาวสุริยะต่อนะครับ มีชาติภพต่อไป ยังไม่นิพพานครับ โอเคมั้ย


เอาละ ที่เขียนบทความนี้ไว้ก็เพื่อช่วยให้ท่านที่กำลังยกระดับและเริ่มจะสัมผัสและเรียนรู้การใช้พลังจิตสายต่างๆ อยู่ จะได้ทราบครับว่าสิ่งที่เราได้รับมา "มาจากต้นแหล่งกำเนิดภายในโลกหรือต่างดาวกันแน่" ถ้ายังไม่ใ่ช่พลังจิตที่มาจากสายต่างดาว จะได้ไม่ถูกสิ่งที่อยู่ในโลกหลอกเอานะครับ สำหรับบทความนี้ก็ขอจบลงเท่านี้ก่อน สวัสดีครับ ...

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สงครามของมนุษย์โลก และการมาของ "ร่างแห่งโพรมีธีอุส" ?

โอ้ววว รักเด็กค่ะ เด็กๆ น่ารักทุกคนค่ะ แบบว่าเดี๋ยวนี้ อิฉัน (ประเทศ ไทย) เนื้อหอมนะคะ ใครๆ ก็สนใจค่ะ เลยต้อง "รักเด็กอ่ะคร้า..." จุ้บ จู้บบบบ มามะ มงกุฎสวมเลยคร่ะ ตรงนี้แหละอ่ะคร้า ...


อ้า พอจินตนาการออกไหมครับ ประเทศไทยของเราตอนนี้ กำลังเนื้อหอม คนประเทศมหาอำนาจมาตอมถึงสองขั้วใหญ่ อเมริกามาก่อน ก็จะมีจีนตามมาด้วย เลยต้องเปรียบเทียบประเทศเราเหมือน "นางงามจักรวาล" กันแล้วละครับ หุๆๆ เอาละ สนุกกันพอหอมปากหอมคอ มาเข้าเรื่องของเราวันนี้ดีกว่า นั่นคือ อะไรเอ่ย? หนูๆ ทายสิว่าวันนี้ ครูลิลลี่จะมาเม้าท์นิทานเรื่องอะไร? เยส! กำมือแน่นๆ เหมือนกระทุ้งฟ้าแล้วก็กระแทกศอกลงมาแรงๆ นะคร่ะ "เยส" ใช่ค่ะ ถูกต้องแล้วค่ะ คือ นิทานเรื่อง "โพรมีธีอุส" มนุษย์ผู้ฝืนลิขิตสวรรค์ ขโมยไฟมาให้ชาวโลกค่ะ และผลที่ตามมาคือ มนุษย์ใช้ไฟไปอย่างไม่พร้อม ยังไม่พร้อมที่จะใช้ไฟ ยังไม่ได้เรียนรู้ให้ดีพอ ก็เลยใช้่ไปในทางที่ดีส่วนหนึ่ง ทางที่เสื่อมส่วนหนึ่งค่ะ และการใช้ไฟในทางที่เสื่อมก็ก่อให้เกิดอะไรขึ้นคะ ตอบครูลิลลี่หน่อยนะฮะ "เยส!" ถูกอย่างแรงค่ะ "ไฟสงคราม" นั่นเอง และนั่นแหละค่ะ การมาถึงของ "โพรมีธีอุส" นำมาซึ่งสิ่งที่เราเรียกว่า "ไฟสงคราม" อย่างที่เคยบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้และนะคะ แต่อย่าไปคิดว่าเป็นคำทำนายนะคะ ไม่ใช่ศาสดาพยากรณ์ค่ะ เป็นการรายงานข่าวสารต่างมิติเท่านั้นเองค่ะ 


เอาละ ทีนี้ เรามาทบทวนตัวละครในนิทานเรื่องนี้กันก่อนนะคะ ว่ามีใครกันบ้าง อย่างแรกก็ "เทพราศีธนู" ที่กำลังถูกพิษนอนทรมานอยู่ค่ะ จนถึงที่สุดก็ไม่อยากได้ความเป็นอำมตะแล้ว จึงยกความเป็นอำมตะนั้นให้แก่ "โพรมีธีอุส" ค่ะ แน่นอนค่ะว่าคนสองคนนี้ต้องได้พบกันแน่ ตัวละครต่อมาก็คือ "โพรมีธีอุส" ผู้ฝืนลิขิตสวรรค์ เพื่อให้ได้มาซึ่งความนิยมของคนมากมายและจะได้อำนาจจากประชาชน เขาก็เลยต้อง "ขโมยไฟจากสวรรค์" มามอบให้มนุษย์ค่ะ คนๆ นี้ จะได้อำนาจมาหมาดๆ เพียงเพราะ "เอาใจประชาชนโดยไม่สนว่าผลกระทบต่อมาจะเป็นอย่างไร" ขอให้มนุษย์โลกชอบเขาก็พอค่ะ เพื่อให้ได้อำนาจไงละคะ นั่นแหละค่ะ ใช่เลยค่ะ เขามาแล้ว และเมื่อทั้งสองได้พบกัน มันก็เลยดำเนินไปตาม "บทละคร" โลกคือละคร ... แบ่งเป็นตอน ตอน ... ตัวละครคือคนทุกคน ... อะไรแบบนั้นอ่ะค่ะ และฉากต่อไป ก็จะเป็นฉากที่โพรมีธีอุสมอบไฟให้มนุษย์โลกนะคะ เอาละ จุดนี้ มีทั้งโอกาสและวิกฤติเกิดขึ้นพร้อมๆ กันนะคะ นั่นคือ ใครได้รับไฟไปแล้วใช้ได้ ใช้เป็น ใช้สร้างสรรค์ ก็ปลอดภัยค่ะ แต่ถ้าทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะอะไรก็แล้วแต่ "ระัวังไฟจะกลายเป็นไฟสงคราม" นะคะ แต่ก็ไม่ต้องเครียดหรอกค่ะ ถ้าคุณถึง "ขั้นเทพ" ที่สูงกว่านั้นแล้ว มันก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรนะคะ มันอยู่ที่ "ระดับ" ค่ะ ดังนั้น อย่าเพิ่งตกใจไป ไฟสงครามจะไม่ลุกลามทั้งโลกค่ะ มันจะเป็นไฟลบ บางพื้นที่ และเป็นไฟบวกบางพื้่นที่ค่ะ โดยเฉพาะประเทศไทย โอกาสมีมากกว่าวิกฤติเยอะเลยค่ะ แต่ถ้าเป็นแถบฟิลิปปินส์, เวียดนาม, ญี่ปุ่น อันนี้ก็ไม่ทราบว่าอย่างไรนะคะ คิดเอาเองค่ะ อย่างที่บอกแล้วค่ะ ว่าไฟครั้งนี้ ให้ผลขึ้นอยู่กับผู้รับไปใช้ มีผลได้ทั้งดีและไม่ดีค่ะ ไม่ใช่ไฟที่จะลามทั่วโลก


เอาละ เมื่อพูดถึง "ร่างของโพรมีธีอุส" ก็ต้องพูดเกริ่นถึงร่างของเทพ อื่นๆ ด้วย เช่น ร่างของเทพซูส ที่จะมาทำหน้าที่ลงทัณฑ์โพรมีธีอุสในภายหลัง, ร่างของเทพราศีกุมภ์ที่จะควบคุมธาตุน้ำในปีหน้านะคะ ร่างของเทพกลุ่มดาวนายพราน ที่จะถูกพิษจากดวงแมงป่องแล้วตายไป ร่างของเทพีไกอา ที่จะคอยดูแลพระบุตรทั้งสองให้ทำหน้าที่ได้ตามบทละครแห่งจักรวาลนั้นๆ นะคะ เมื่อ ร่างเทพโพรมีธีอุส เคลื่อนไหวแล้ว ต่อไปก็คอยดู "ร่างของเทพราศีกุมภ์" ค่ะ ว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไป อย่าเพิ่งเบื่อหน่ายโลกเกินไป หรือว่าท้อแท้สิ้นหวังไปเสียก่อนนะคะ ปลุกพลังของคุณขึ้นมาค่ะ ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องทำในสิ่งที่ควรทำ ตามหน้าที่อันเหมาะสมของพวกเราเสียที สวัสดีค่ะ... 

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

"ตายแล้วเกิดใหม่ซะ" คือ หัวใจสำคัญในการเลื่อนระดับ?

โอว มายก็อด นี่ผมกลายเป็นศาสดาพยากรณ์หรือเจ้าลัทธิแห่งความตายไปแล้วหรือไร? ไม่นะ หม้ายยย ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้น อ้าว แล้วมันเป็นอีหยั๋งละ? บอกได้ไหม? ได้ จ่ายค่าบอกมาคนละสามหมื่น เย้ย ... ฮ่าๆๆ ใครจะจ่ายก็ได้นะ แต่ไม่จ่ายก็ไม่ได้ว่าอะไร เอ้า ไร้สาระเล็กน้อยถึงพอประมาณ แก้ความเครียด มาเข้าเรื่องเข้าราวกันดีกว่าครับ


ผมเคยเม้าท์เรื่องของลัทธิที่พาสาวกไปฆ่าตัวตายหมู่มาแล้วใช่ไหม? อย่างหนึ่งอยากให้ท่านทำใจให้เป็นกลาง อย่าเพิ่งมองพวกเขาว่าผิดหรือเลวไปหมด และอย่าเพิ่งไปมองว่าเขาถูกต้องละ เท่าที่ผมสัมผัสได้คือ เจ้าลัทธิก็สัมผัสมิติอื่นได้ และได้รับข้อมูลต่างมิติเหมือนกัน ที่พลาดไปก็คือ "การตีปริศนาธรรม" ครับ บางครั้งถ้าเราได้รับข้อมูลต่างมิติมาแล้วทำเลยอย่างที่เราเข้าใจ เราก็จะทำตามความเข้าใจ แต่ไม่ได้ทำตามปัญญานะครับ ความเข้าใจอย่างหนึ่ง มันเกิดขึ้นได้ครับ แต่อย่าเพิ่งใจร้อน รอให้มันจบแล้วดับไปเองตามอนิจจังก่อน รอให้สติมันตื่นตัว ประกายสว่างเกิดปัญญาลุกโชนแล้ว นั่นแหละ มันก็จะตีปริศนาธรรมคลี่คลายออกได้ไม่ยากครับ ส่วนเจ้าลัทธิที่พาคนไปฆ่าตัวตายหมู่นั้น ก็ได้รับปริศนาธรรมเหมือนผมเหมือนกันแหละ คือ ไปตายซะ เย้ย ม้ายช่าย ไม่ใช่อย่างนี้ คือ "การตายใน" ตายแล้วเกิดใหม่จากภายในครับ โดยภายนอกเราก็เหมือนเดิม นี่ต่างหาก ปริศนาธรรมที่ผมก็ได้รับจากการสื่อสารต่างมิติเหมือนเจ้าลัทธินั้นเหมือนกัน แต่ผมอาจโชคดีที่อยู่ในเมืองพุทธ มีพื้นฐานทางพุทธบ้าง เลยเข้าใจเรื่องการเกิดหลายรูปแบบ เช่น การเกิดแบบโอปปาติกะ ซึ่งต่อยอดไปสู่การกำเนิดใหม่ได้ และเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดครับว่า ถ้าคุณจะเกิดใหม่ได้ คุณก็ต้องผ่านการตายเสียก่อน ทีนี้ ถ้าเราตายทั้งตัว ท่าจะไม่เวิร์ก นะครับ ไม่ดีแน่ แต่ถ้าตายใน คือ จิตวิญญาณตายแล้วเกิดใหม่จากภายใน อันนี้ ก็พออยู่ในขอบเขตที่จะทดลองได้ครับ แล้วผลมันก็ได้จริงๆ คือ "การกำเนิดใหม่" ที่มาจากการตายภายใน แล้วเกิดแบบโอปปาติกะำกำเนิดครับ ซึ่งสิ่งนี้ "เป็นหัวใจสำคัญในการเลื่อนระดับ" เลย นั่นหมายความว่า "คุณไม่อาจจะเลื่อนระดับขึ้นได้เลย" ถ้าคุณไม่ผ่านการกำเนิดใหม่ และในการกำเนิดใหม่ "คุณต้องตายใน เสียก่อนครับ"


ยังมีหลายท่านที่ไม่ผ่านด่้านนี้ แต่พวกเขาก็ดูเหมือนไปสู่มิติที่สูงมากได้ เพราะอะไร? อย่างที่ผมเคยเม้าท์ให้ฟังแล้วว่าเพราะพวกเขาไม่ได้เลื่อนระดับไปทั้งตัว แต่ใช้ญาณชั้นสูงหยั่งขึ้นไปรู้ บ้างก็ดาวน์โหลดเอาข้อมูลที่อยู่ในมิติที่สูงลงมาติดตั้งในสังขารที่อยู่ในมิติที่สาม บ้างก็ติดตั้งซอฟแวร์ของระบบปฏิบัติการณ์ในมิติชั้นสูง ไว้ในสังขารที่อยู่ในมิติที่สาม ก็มีครับ นั่นคือ พวกเขายังทำไม่ได้จริง ยังเลื่อนระดับไม่ได้จริง แต่พวกเขาก็พูดหรือสื่อสารเรื่องราวในระดับมิติที่สูงได้ด้วยวิธีนี้เองครับ ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดอะไร เพราะพวกเขาต้องทำงานสื่อสารในมิติที่สูงนั่นเอง และมันจะปลอดภัยมากกว่าถ้าเขาไม่ใช้่ "ตัวตนระดับทิพย์" ของเขา ขึ้นไปยังมิติที่สูงบ่อยๆ เพราะความเหลื่อมล้ำกันของระดับตัวตนของเขาและมิติที่เขาขึ้นไปมันทำให้มี "ช่องว่าง-ช่องโหว่"  ที่จะทำให้เขาได้รับอันตรายได้ครับ แต่ถ้าเขาเลื่อนระดับไปสู่มิติที่สูงได้แล้ว เขาไม่้ต้องใช้วิธีใดเลย สิ่งที่เขาพูดและคิดด้วยตัวเขาเองนั่นแหละ ที่เป็น "ข้อมูลต่างมิติ" ทว่า มันก็มีข้อเสียครับคือเมื่อตัวตนของคุณเลื่อนระดับไปสู่มิติที่สูงแล้ว ก็จะกลายเป็น "สูงเกินเอื้อม" ครับ คนอื่นจะเข้าถึงคุณได้ยากขึ้น เอื้อมถึงคุณได้ยากขึ้นและคุณจะมีหมู่คณะร่วมงานบนโลกและในมิติที่สามน้อยลงได้ ในขณะที่หมู่คณะทำงานที่อยู่ในมิติที่สูงขึ้นนั้น กลับมากขึ้น ทว่า เขาก็ไม่มีสังขารเป็นคนด้วยสิ! 


สุดท้ายนี้ ก็อยู่ที่ท่านจะเลือกตามความเหมาะสมกับตัวของท่านแล้วครับ ว่าจะอยู่ตรงไหน? ระดับไหน? สูงเกินไปท่าจะไม่ดี เขาว่ายิ่งสูงก็ยิ่งหนาวนะ จะบอกให้ โฮ่ๆๆ แต่ถ้าต่ำเกินไป ก็จะถูกบดบังด้วยความมืดมิดได้ง่ายๆ ไม่มีโอกาสให้ชูช่อรอรับแสงสว่างกับใครเขาแล้ว พอดีตรงไหนก็แล้วแต่ท่านจะพิจารณากันเองก็แล้วกัน จบละ สวัสดีครับ... 


อย่าจมอยู่ในวิถี "ธรรมเสพติดหรือยาแก้" มันไม่ใช่นิพพานทั้งคู่

อ้าว วันนี้มาคุยเรื่องพื้นๆ ในพุทธศาสนาสักหน่อยนะครับ ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เรา "กลับสู่ความเป็นปกติ ธรรมดาได้" เวลาเราศึกษาอะไรที่ไปไกลเกินตัวมาก เช่น ไปยังมิติที่สูงมากๆ หลายครั้ง หรือหลายคน อาจไปแล้วกู่ไม่กลับได้ อาจหลงและหลุดไปเลย และนั่นคือ อันตรายอย่างหนึ่งครับ เมื่อถึงเวลานั้น ธรรมะพื้นๆ คือ ธรรมในพุทธศาสนาจะช่วยให้เรากลับสู่ปกติธรรมดาได้ครับไม่เช่นนั้น เราอาจจะมีสภาพไม่่ต่างจากเจ้าลัทธิบางคนในโลกนี้ ที่เคยพาสาวกฆ่าตัวตายหมู่มาแล้วนะครับ อั๊ยย่ะ อะไรจะขนาดนั้น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ เพราะมันเป็นความจริง ทั้งในอเมริกาและในญี่ปุ่น ก็มีหมดครับ ดังนั้น ในบทความนี้ เราจะกลับมาสู่พื้นฐานกันหน่อย Back to basic กันนะครับ เป็นเรื่องของ "ธรรมที่ไม่ใช่นิพพาน แต่เขาเอาไว้เป็นยาแก้ เป็นธรรมโอสถ แก้การยึดติดสภาวะธรรมอื่นๆ ครับ ดังจะเม้าท์่ต่อไปนี้


มีตัวอย่างหนึ่งที่ดีมาก อยากให้ท่านทั้งหลายลองพิจารณาดูครับ คือ คนนี้เขาก็ปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งเขาได้พบกับอาจารย์ที่เขาคิดว่าใช่ ถูกใจครับ เป็นอาจารย์ที่สอนธรรมะ แต่ว่ายังมีมานะทิฐิคิดเอาชนะเหนือผู้อื่นอยู่ (อันนี้ มาจากมุมมองผมคนเดียวนะ) กล่าวคือ อาจารย์มีทิฐิอย่างนี้ว่า "คนที่มีธรรมสูงสุด คือ คนที่ไปสู่ความไร้ ได้มากที่สุด" จากนั้นก็เลยสอนธรรมแบบไร้อย่างที่สุด เช่น แม้แต่ความว่าง ก็ไม่มี, แม้แต่ความไร้ ก็ไม่ใช่ ฯลฯ (เป็นความสุดโต่ง สุดขั้วในด้านความไร้อย่างหนึ่ง หรือสุดโต่งทางการไม่ยึดติดอย่างหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ใช่ธรรมกลางๆ หรือนิพพานนะครับ) อะไรแบบนั้น ซึ่งเข้าข่ายธรรมสุญตา ซึ่งไม่ใช่นิพพานนะครับ แต่เป็น "ยาแก้" สำหรับคนที่มีอะไรๆ เยอะไปหมด เช่น มีความรู้เยอะไปหมดแล้วยึดติดความรู้มากเกินไป, มีฤทธิ์เยอะแล้วหลงฤทธิ์กู่ไม่กลับ ฯลฯ เขาจะใช้ "ธรรมสุญตา" นี่ละ เป็นเหมือนยาแก้ ยาถอน ทำให้มันเป็นศูนย์ไปเลย แล้วคนๆ นั้นก็จะปลงตก หายจากความยึดมั่นถือมั่นได้ครับ ทว่า มันต้องใช้อย่างรู้แจ้งด้วย บังเอิญว่าอาจารย์คนนั้นใช้เพื่อแสดงความมีธรรมเหนือผู้อื่น อันเป็นไปด้วยอำนาจแห่งมานะทิฐิ คนที่มารับธรรม ก็ชอบ เหมือนกับว่าได้เจออะไรที่ไร้อย่างที่สุด, ไม่มีอย่างยิ่ง หรือไม่ยึดติดอย่างหามิไำด้ อะไรแบบนั้น โดยไม่เข้าใจถึง "สภาวะความเป็นสุญตา" ว่ามันก็คือภาวะหนึ่งเท่านั้น มันย่อมยังมีภพ มีชาติอยู่ และไม่่ใช่นิพพาน เพียงแต่มันใช้เป็นเครื่องแก้ความมี, หักลบกลบความมี, สลายความมีมากเกินไป เท่านั้นเอง พอไม่เข้าใจ เอาไปใช้โดยยึดถือว่าเป็นสรณะดังเช่นนิพพานไป (ทั้งๆ ที่สุญตาไม่ใช่นิพพานนะึครับ มันเป็นสภาวะธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น) ผลก็ออกมาครับ คือ ผู้รับธรรมเ้ข้าสู่สภาวะ "สุญตา" เขาเริ่มสูญเสียทุกๆ อย่างไปทีละน้อย จนแทบจะไม่เหลืออะไรเลย นั่นแหละ สภาวะธรรมที่เรียกว่าสุญตา เขาใช้แ่ค่นิดหน่อยเป็นเครื่องแก้ความมี หักลบกลบความมี มากเกินไปเท่านั้น ไม่่ใช่ให้จมปลักอยู่ในภาวะนี้ กรณีนี้ ผู้รับธรรมมีพลังจิต มันจึงมีผลจริงต่อชีวิตครับ พอจิตเขาตรงสู่ความไร้ อะไรก็ไม่ใช่แล้ว พลังจิตนั้นแหละก่อผลให้เกิดสิ่งนั้น คือ ความไร้ ชีวิตเลย ค่อยๆ หมดไม่เหลืออะไรเลยครับ พอเจอปัญหาแล้วไม่รู้หาทางออกอย่างไร ก็มาโพสกระทู้ให้ช่วยครับ ทว่าเราก็ช่วยเขาไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้ศรัทธาเราถ้าเราไปพูดขัดแย้งกับความเชื่อของเขาที่เขาเชื่ออาจารย์ของเขามาก่อนก็ไม่มีประโยชน์อีกครับ ผมก็เลยไม่สามารถช่วยเขาได้ครับ ก็เลยปล่อยไปตามกรรม


ยังมี "ธรรม" อันเป็นเครื่องแก้ หรือเข้าข่ายยาแก้ อีกมากมาย เหมือนยาแรงที่ใ้ช้รักษาโรค ที่ผู้ใช้ควรมีความรู้แจ้ง ว่าควรใ้ช้เท่าไร เมื่อไร มากน้อยเพียงใด ไม่ต่างจากแพทย์ผู้ชำนาญการใช้ยา ย่อมต้องรู้จักยาสารพัดชนิด ใช้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมได้หมด แต่หากใช้ผิดไปหลงคิดว่า "ยาแก้" หรือ "ธรรมวิถี" หรือ "มรรควิธี" อย่างหนึ่งอย่างใด เป็นสรณะอันแท้แล้ว ก็จะเกิดอาการเสพติดยาแก้, เสพติดธรรมโอสถ พอเสพยามากๆ เข้า ก็จะเกิดผลร้ายแรงตามมาในภายหลังได้ครับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ทั้งมรรควิธี, ธรรมโอสถ ฯลฯ ทั้งหลายล้วนมิใช่นิพพานเลย เป็นเพียงธรรมเครื่องแก้ อันตรงกันข้ามกับธรรมเครื่องติด ซึ่งบุคคลผู้เสพติดธรรมบางชนิด ควรได้รับการรักษาด้วยธรรมโอสถนั้น ควรได้รับยาแก้นั้นๆ "แต่พอเหมาะพอควร" แต่เมื่อได้รับอย่างไม่ถูกต้อง ก็กลายเป็นทุกข์, เป็นโทษได้ครับ อีกประการหนึ่ง เขาก็ไม่ได้มานับถืออะไรเรา เมื่อจิตเขาไม่มีศรัทธาตรงต่อเรา แต่เชื่อถืออาจารย์ของเขาแล้ว เราก็ไม่อาจจะช่วยได้ครับ เพราะคนเราจะรับธรรมได้ ใจต้องมีศรัทธาผู้ให้ธรรมนั้นก่อน อันนี้ ผมเลยได้แต่เขียนบทความเตือนใจไว้ให้อ่านกันครับ สำหรับบทความวันนี้ ขอจบเพียงเท่านี้ สวัสดีครับ