วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

การผสมพันธุ์ของดวงดาว และเมล็ดพันธุ์แห่งดวงดาว (มนุษย์) ดำเนินไปอย่างไร?

วันนี้ กะจะหามุขอะไรมาอีกตามเคย และก็ยังคงนึุกไม่ออกอีกตามเคย แป๋วววว แป๊ก เอาละ ไม่มัวพูดพล่ามทำเพลงนอกเรื่องนอกราว เพราะวันนี้ หัวข้อของเรามันทันสมัยและก้าวล้ำไปในมิติที่สูงมากทีเดียว ก็เลยต้องย่อย่นเวลากันเสียหน่อยนึงค์ เป็นเรื่องของการผสมพันธุ์ของดวงดาวครับ ออกจะอีโรติกนิดๆ อายุไม่เกิน ๑๘ ปี ไม่ควรอ่านมากนะครับ เพราะเราไม่มีฝ่ายเซ็นเซอร์ด้วยสิ สรุปแล้วก็ดูเองละกันครับ ว่ามันเ็ป็นอย่างไร เพราะอธิบายไปก็ลำบาก ทำเองก็รู้เองแหละครับ ???


อย่าเพิ่งแปลกใจเกินไปละคุณได้ยินไม่ผิดหรอกผมกำลังจะเม้าท์เรื่อง "ดวงดาวผสมพันธุ์กัน" แล้วให้ลูกออกมาเป็นมนุษย์หลากหลายเผ่าพันธุ์ดาว โดยเริ่มต้นจาก "ดาวพ่อ" ก่อน คำว่า ดาวพ่้อ คือ ดาวต้นกำเนิดแหล่งพลังงานที่มากพอ "ปลดปล่อยออกมาสู่ดาวแม่" ได้ เป็นดาวฝ่ายหยาง เป็นผู้เริ่มต้นให้พลังงาน ซึ่งพลังงานที่ปลดปล่อยออกมาเพื่อการกำเนิดนี้ จะต้องเป็นพลังงานในกลุ่ม "รูปธรรมชีวิต" โดยเฉพาะ จึงจะให้กำเนิดรูปธรรมชีวิตสืบต่อกันไปได้ครับ ทีนี้ "ดาวแม่" ก็จะทำหน้าที่เป็นผู้รับ หรือฝ่ายรับพลังงาน (หยิน) เมื่อพลังงานกลุ่มที่เป็นรูปธรรมชีวิต ได้รับการปลดปล่อยมาจาก "ดาวพ่อ" แล้ว ก็จะลงมาที่ดาวแม่เช่นโลกเป็นต้นจากนั้นจะเกิดการผสมผสานของพลังงานที่อยู่ในโลก ทำให้ "รูปธรรมชีวิต" ที่จุติลงมาที่ดาวโลกนี้นั้น มีการ "ให้กำเนิด" รูปธรรมชีวิตใหม่ๆ เพิ่มขึ้นได้ แต่มันไม่ใช่การคลอดบุตรเหมือนอย่างที่เราเข้าใจกันนะครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ การคลอดบุตรทั้งหลาย อาจมาจาก "รูปธรรมชีวิต" จากดาวพ่อ สมมุติว่า ๑ ล้านหน่วย มันก็จะวนเวียนกันอยู่แค่ ๑ ล้านหน่วย เวียนเกิดเวียนตายกันไปใช่ไหม? ถ้าไม่มีการผสมพันธุ์ระหว่างดวงดาว ทว่าในความเป็นจริงมันไม่ใช่เช่นนั้น เพราะมันมีการ "ให้กำเนิด" รูปธรรมชีวิตเพิ่มขึ้นจากเดิมด้วย ทำให้จำนวนรวมของรูปธรรมชีวิตมากขึ้นกว่า ๑ ล้านหน่วย สมมุติ นาย ก. ถูกส่งมากจากดาวพ่อที่ชื่อว่า "ดาวสุริยะ" พอมาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกแล้ว "พลังงานบางส่วนในตัวของเขา" จะเป็นผู้ให้กำเนิด "รูปธรรมชีวิต" ในระดับพลังงานได้อีก สมมุติว่าได้ ๑ ตัวตน   ส่วนนี้จะเป็น "ของดาวโลก" จะอยู่บนโลกก่อน เพราะืถือว่าให้กำเนิดที่โลกครับ (ดังนั้น โลกจึงเป็นฝ่ายรับพลังงานจึงเป็นหยินไงครับ) ทีนี้ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด "ตัวตนตั้งต้นส่วนเดิม" ของนาย ก. ก็จะได้กลับสู่ดาวพ่อหลังภารกิจบนโลกเสร็จสิ้น (แต่มันอาจผ่านร่างสังขารหลายร่างนะครับ เพราะร่างสังขารหนึ่งๆ ของมนุษย์มีอายุขัยสั้น นั่นเอง)


คำถามก็คือ "แล้วตัวตนที่ถูกให้กำเนิดบนดาวโลกนี้" จะเป็นอย่างไรต่อไป? คำตอบก็คือ เขาก็จะเจริญเติบโตและวิวัฒนาการผ่านสังขารมากมายเพื่อกลับไปสู่ "ตัวตนดั้งเดิม" กลับไปให้มีระดับที่สูงเหมือนกับตัวตนดั้งเดิมครับ เพราะตัวตนที่ถูกให้กำเนิดบนดาวโลกนี้ จะไม่ได้มีวิวัฒนาการเทียบเท่าตัวตนดั้งเดิมในทันที สมมุติ นาย ก. อยู่ในระดับมิติที่ ๑๐ เวลาให้กำเนิดตัวตนบนดาวโลก ก็จะต้องเริ่มต้นในจุดที่เป็นมาตรฐานของโลกครับ คือ "มิติที่สาม" เท่านั้นเอง ดังนั้น ตัวตนที่ถูกให้กำเนิดบนดาวโลกนี้ จึงมีลักษณะดังนี้ ๑. นับเป็นเชื้อสายของไกอา ๒. เริ่มต้นจากระดับมิติที่สาม ๓. ยังต้องวิวัฒนาการในดาวโลกอีกนานผ่านหลายสังขาร ๔. ที่สุดแล้วจะกลับไปมีสภาพเหมือนตัวตนดั้งเดิมที่ให้กำเนิดตนเอง และเพื่อให้ ไม่ลืมตัวตนดั้งเดิมที่ให้กำเนิดเขามา จึงต้องมี "ภาคมืด" ที่ถูกส่งลงมาจาก "ต่างดาว" มาวางระบบจำลองที่คล้ายกับ "ดาวพ่อ" ไว้ให้ (แต่ไม่ใช่ของจริง เป็นของปลอมทำเทียมเลียนแบบเท่านั้น) เพื่อให้เหล่าเมล็ดพันธุ์แห่งดวงดาวเหล่านี้ ได้มีความปรารถนาอยากไปให้ถึงฝั่งฝัน คือ "ดาวดวงนั้น" หรือก็คือ "ดาวพ่อ" นั่นเอง ดังนั้น ท่านไม่ต้องแปลกใจเลย ถ้าซาตานลูซิเฟอร์จะมาวางระบบอะไรมากมาย แล้วสร้างเวทีประกวด ให้คนแย่งกันเป็น "ดาวดวงนั้น" มันเป็นปริศนาธรรมครับ ที่มีผลถึง DNA ของเราทีเดียว พอเราได้ยินว่า "ดาวดวงนั้น" หรือ "ได้เกิดเป็นดาวเสียที" หรือ "เวทีแจ้งเกิด" อะไรประมาณนี้ มันจะ effect กับความรู้สึกของเราอย่างยิ่ง ไปถึงกึ๋นถึงใส้ถึงพุึง ทะลุทะลวงไปยัง DNA เลยละครับ ก็เพราะอะไรละ? ก็เพราะว่ามันคือ "ต้นกำเนิดของมวลมนุษย์" อย่างไรละครับ


เอาละ ขณะที่ผม "ซุปเปอร์เม้าท์ ไกอา" สุดหล่อ! กำลังรายงานความเคลื่อนไหวอย่างฉับไว ทันสถานการณ์อยู่นี้ ท่านทั้งหลาย กำลังอยู่บน "ดาวแม่" คือ "ไกอา" หรือ โลกนี้ นั่นเอง และท่านกำลังได้รับการเตรียมความพร้อมอย่างที่สุด เพื่อการวิวัฒนาการไปสู่ "ต้นกำเนิดเดิมของพวกเรา" เหล่าผู้ที่มีเชื้อสายมาจาก "ดาวพ่อ" อันไกลโพ้นนั้น ลองดูสิ ดาวดวงนั้น บนฟากฟ้าที่สวยงาม ประกายระยิบระยับ ราวกับจะเชื้อเชิญให้ผมและคุณกลับไป ราวกับเป็นสัญญาณเรียกรวมพลของพวกเราอย่างนั้น ใช่แล้ว หนูน้อย ดาวพ่อกำลังพูดกับเรา เพื่อให้เราไม่หลงลืมต้นกำเนิดของตัวเอง แล้วกลับคืนสู่รากเหง้่าของเรา นั่นเอง เอาละ สำหรับนิทานอาหรับราตรีวันนี้ สนุกกันพอสมควร ดึกมากไปเด็กๆ อาจตื่นสาย เจ้านายจะด่าเอา วันนี้ขอจบลงเพียงเท่านี้ พบกับบทความที่หาอ่านที่ไหนไม่ได้อีก ในฉบับหน้า ราตรีสวัสดิ์ครับ




วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นภาคมืดได้ แล้วกลายเป็นไปได้อย่างไร?

โอ้ย วันนี้ นึกมุขได้อย่างหนึ่ง แ่ต่ืลืมไปหมดแระ "แป๊ก" งั้นก็เข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน เป็นเรื่องเล็กๆ เหมือนเดิม แต่อยากเน้นย้ำเพราะสำคัญมากครับ คือ เรื่องการพลาดท่าเข้าสู่ภาคมืด ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 


ตอนแรกผมก็ิคิดว่าพระโพธิสัตว์คงไม่เป็นพวกภาึคมืด ทว่า แล้วผมก็ต้องคิดใหม่ครับ เมื่อค้นพบว่ามันไม่จริงเสมอไปยังมีพระโพธิสัตว์บางกลุ่มที่กลายเป็นภาคมืดด้วยครับ บางครั้ง ถ้าคุณติดต่อสื่อสารกับมิติทิพย์ได้ หรือเห็นกายทิพย์ของพระโพธิสัตว์ คุณก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปไปว่าเขาเป็นภาึคสว่างละ เพราะบางครั้ง เขาอาจทำงานให้ภาคมืดก็ได้ เรื่องนี้ เกิดขึ้นกับตัวผมเอง กล่าวคือ ผมสูญเสียจิตวิญญาณโพธิสัตว์ไปเพราะักรรมตัดรอน (ทำกรรมผิดประเวณีครับ) แล้วผมก็สูญเสียไป ทำให้สภาพผมในตอนหลังจากที่สูญเสียจิตวิญญาณโพธิสัตว์ไปนั้น มีสภาพคล้ายซอมบี้มากๆ (เสียจิตวิญญาณที่ดีไป แล้วได้แบบที่ห่วยมาแทน) ชีวิตผมถูกต้อนเข้าระบบของภาคมืด ได้มีชีวิตเหมือนคนกรุงทุกอย่าง ไ้ด้เรียนปริญญาตรี, ได้ทุน, จบมาก็มีงานทำ ฯลฯ แต่ชีวิตผมไม่มีความสุขที่แท้จริงเลย จนเมื่อผมรับวิบากกรรมอันแสนทรมานมานานเป็น ๑๐ ปี ก็หมดสิ้นลง ผมถูกกลั่นแกล้งให้ต้องออกจากงาน แต่เจ้านายไม่ต้องการให้ออก เขายื่นเงื่อนไข ให้ผมปรับตัวเองก็ทำงานต่อได้ แต่ผมไม่เอา ยอมรับกรรม ลาออกครับ แล้วผมก็มาปฏิบัติธรรมให้พ้นทุกข์ ตอนนั้นผมตกต่ำถึงขีดสุด เกือบจะเป็นขอทานเชียวละ ก็ผ่านไป ๕ ปี เห็นจะได้ ผมก็หลุดออกจากชีวิตที่มืดมนนั้นครับ แล้วมันก็เกิดปรากฏการณ์ประหลาดคือผมสัมผัสได้ถึง "จิตวิญญาณโพธิสัตว์ที่ผมสูญเสียไป" เขากลับมาแต่ไม่อาจประสานร่างผมได้ เขาพยายามกลับคืนร่างสังขารของผมแต่ใจผมปฏิเสธด้วย (ปฏิเสธความรู้สึกเดิมๆ อันเกี่ยวเนื่องพัวพันกันจิตวิญญาณดวงนั้น) บางครั้ง เขาก็ประสานกับคนรอบข้าง หรือคนที่ผมคุยด้วยครับ ผมรู้สึกได้ทันทีเพราะจำเขาได้แม่น (เขาก็คือ ผมในภาควิญญาณนี่นา) จนในที่สุด มันก็มีช่องทางที่เขาประสานกับผมได้ (เวลาจะประสานกันได้ ต้องมีใจสอดคล้องร่วมกันในเรื่องหนึ่งเรื่องใดมากพอ) เขาก็กลับคืนมาแต่ผมสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เปลี่ยนไป คือ "พลังมืด" ครอบงำเต็มจิตวิญญาณดวงนี้ และผมต้องชำระล้างเขานานพอควรเลย กว่าเขาจะหลุดพ้นจากความมืดมนนั้นๆ ได้ ข้อแตกต่างจากการชำระล้างจิตวิญญาณโพธิสัตว์กับจิตวิญญาณอื่นๆ คือ "จิตวิญญาณโพธิสัตว์ไม่ต้องกำเนิดใหม่ ก็ได้" แค่ชำระล้างก็พอครับ แล้วผมก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเดิมๆ ที่กลับมาอีกครั้ง


นอกจากนี้ มันยังทำให้ผมรู้ว่ายังมีจิตวิญญาณโพธิสัตว์อีกมาก ที่้ต้องเข้าไปอยู่ในภพมืดและเป็นพวกภาคมืดยกตัวอย่างง่ายๆ ครับ เช่น ในยามที่คุณบำเพ็ญบารมีมากๆ เกือบจะเต็มแล้ว มันก็ท้อแท้ มันเห็นคนอื่นเขาได้อะไรมากมาย แต่เรากลับถูกหลงลืมบ้าง ถูกกลั่นแกล้งบ้าง ทำให้ไม่ได้อะไรเลย ถ้าเรายอมรับชะตากรรมแล้วทำดีต่อไป เราก็จะได้บารมีเต็มครับ แต่เหตุการณ์ไม่เป็นเช่นนั้น ภาคมืดจะหล่อเลี้่ยงให้คนได้มีจิตวิญญาณโพธิสัตว์ก่อนแล้วบีบให้อยากได้เหมือนคนอื่นเขา บีบให้เราไปร้องขอ, เรียกร้อง หรือแม้แต่เดินขบวนเรียกร้องสิ่งต่างๆ ก็จะเข้าทางเขา แล้วเขาก็จะใช้ร่างมนุษย์ที่เป็นพวกของเขา มาให้เราได้สิ่งที่เรา้ต้่องการ แต่นั่นคือ วิถีของการแลกเปลี่ยนครับ เราจะต้องจ่ายไม่ใช่ได้มาฟรีๆ แต่จ่ายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เงินทอง (ซาตานไม่ไ่ด้นิยมเงินทองแบบมนุษย์นะครับ) พอเราถลำลึกเข้าไปมากๆ เข้า เราก็จะมีหนี้ติดตัวมากมาย จนถอนตัวไม่ขึ้น สุดท้าย เราก็จะต้องจ่ายเป็นจิตวิญญาณให้แก่ภาคมืด (หรือซาตาน นั่นเอง) นั่นแหละ วิธีที่ภาคมืดได้ิจิตวิญญาณพระโพธิสัตว์ไป ซึ่งตอนนี้ "โดนกันเยอะมากครับ" เพราะว่าพระโพธิสัตว์ลงมาเกิดเพื่อทำกิจค้ำจุนพระศาสนาที่จะหักกลางนั้นมีจำนวนมาก และมีบางส่วนที่ตกเป็นเหยื่อของภาคมืด ไม่ทันเล่ห์กลอันนี้ครับ ถามว่าทำไม ภาคมืดนิยมจิตวิญญาณของพระโพธิสัตว์? ก็เพราะเวลาใช้จิตวิญญาณของพระโพธิสัตว์ทำงาน มันจะได้ผลมากๆ ต่อปวงสัตว์ทั้งหลายครับ เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาโปรดสัตว์อะไรแบบนั้น ปวงสัตว์ก็จะไม่รู้ว่านี่คือเล่ห์กลของภาคมืด เขาก็จะเชื่อและยอมโดยง่าย สุดท้าย ปวงสัตว์มากมายก็ถูกต้อนเข้าสู่ภพมืดครับ ไม่ได้ไปผุดไปเกิดเลย ทว่า เปลือกนอกในระดับโลกสมมุติ มันจะดูเหมือนว่าคนเหล่านี้ประสบความสำเร็จในชีวิตมากครับทำให้คนอื่นๆ ต้องอยากได้ตามบ้าง ก็จะหลงแห่ตามๆ กันไป ในที่สุด มันก็เป็นวงจรอุบาทว์ที่ร้ายกาจที่สุดเลย (เอาพวกภาคมืด มาทำให้ดัง คนอยากได้อย่างนั้นก็ถลำตัวเข้ามา แล้วก็เอาคนที่ถลำตัวเข้ามานี่แหละ ทำให้ดังเพื่อดึงคนต่อๆ ไปอีก เป็นห่วงโซ่ ที่หมุนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นั่นเอง)


สิ่งสำคัญที่สุดที่จะหลุดพ้นจากเงื้อมมือของภาคมืดได้ก็คือ การที่เรา "อดทนรอบุญที่แท้จริงของเรา" ไม่ไปคาดหวัง, ตรึกในใจถึงเจตนาที่จะรับ, ร้องขอหรือก่อกรรมใดๆ ให้ได้มาซึ่งสิ่งใดๆ ครับ อันนี้ ต้องระวังให้มากเพราะแค่คิดภาคมืดก็รู้ความคิดเราและพร้อมเอาสิ่งที่เรา้อยากได้มาให้เราครับ เื่มื่อใดที่เรายอมรับ นั่นหมายความว่า "เจตนาจะเอา" ของเราได้สมบูรณ์ใน มโนกรรมและกายกรรมแล้ว มันก็เข้าเงื่อนไขที่เราแลกกับเขาทันที ของบางอย่างมาถึงเราด้วยการให้ก็จริง แต่มันก็อาจมาจากการที่เรานึกคิดอยากได้ก่อน ภาคมืดเขาก็สนองตอบให้เรา อย่างนี้ เราต้องหลีกเลี่ยง อย่าเพิ่งรับครับ จนกว่ามันจะกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า "วิบากกรรม" คือ เราหนีไม่พ้นจริงๆ ต้องรับแล้ว ต้องยอมรับสิ่งนั้นๆ ก็ค่อยรับได้ ไม่เป็นอะไรแล้ว (รับในตอนนั้น รับแบบไม่มีความอยากได้แล้ว) อันนี้ มาเตือนด้วยความปรารถนาดีครับ แต่คงไม่ทันละ เพราะโดนกันไปเยอะเหลือหลายทีเดียว เอ้า นึกว่าฟังนิทานอาหรับราตรีกันอีกเช่นเคยละกันไม่มีอะไรมาก จบเท่านี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ! 




วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มหัศจรรย์พลัง "กระจกทิพย์" เหนือล้ำ เกินคำบรรยาย!

โอว นี่ผมเป็นอะไรเนี่ย? บางช่วงเวลาก็ไม่มีอะไรจะทำเล้ย ได้แต่ง่วงเอาง่วงเอา แถมหลับกลางวันแบบหลับลึุกโคตรๆ เลย ยังกะตายแล้วฟื้นเลยอ่ะ (หลับกลางคืนก็ปกติ เหมือนหลับธรรมดาไม่เป็นแบบนี้) ในบางช่วงเวลาก็มีงานยัดเยียดพร้อมๆ กันมา ๓ - ๕ อย่าง ยังกะจะแยกร่างเราให้ได้ กลายเป็นคนๆ เดียวเหมือนคนหลายคนไปเลย งงที่สุด หลังๆ ผมคงจะได้ชื่อเรียกเวลาพวกนี้แล้วว่า "เวลาไสยาสน์" บ้าง, "เวลาแยกร่าง" บ้าง, "เวลาแปลงร่าง" บ้าง ฯลฯ เอ้า ใครเป็นแบบนี้บ้างเอ่ย ยกมือขึ้น (พรึ้บพรั้บๆๆ เต็มไปหมดเลย) แสดงว่าเราไม่ได้มีคนเดียว โฮ่ๆๆ (คิดเอง เออเอง อ่า คนอะไร หล่อเป็นบ้าเลย) เอ้า ไร้สาระไปได้ เข้าเรื่องของเราในวันนี้ กันดีกว่านะครับ เรื่องของเราในวันนี้ ยังไม่ไปไหนไกล ยังเป็นเรื่องของทิพย์วิเศษทั้ง ๕ ตอนจบครับ คือ เื่รื่องของกระจกทิพย์ ซึ่งเป็นของทิพย์ชนิดสุดท้ายแล้ว ดังนี้ครับ


กระจกทิพย์ เป็นของทิพย์วิเศษที่มีพลังแตกต่างจากพลังอื่นๆ อย่างมากคือ มันไม่ได้ใช้พลังของตัวเองหรือพลังของร่างสังขารเ็ป็นสำคัญ  แต่มันสามารถ "สะท้อนพลัง" ของคนอื่นๆ ออกไปได้หรือใช้พลังของผู้ที่จู่โจม เล่นงานตัวเขาเองได้ ซึ่งมันมีอานุภาพมากๆ ครับ ไม่ว่าพลังอะไรมันก็สะท้อนได้หมดเลย เวลาเราที่เจอใครที่มีกระจกทิพย์นะครับ ก็จะน่ารำคาญมากเลย เพราะเขาไม่ยอมใช้พลังตัวเองแถมยังสะท้อนพลังเรากลับมาได้อีกด้วยแก้ยังไงก็แก้ไม่หายครับ สุดท้ายเลยต้องใช้การบำเพ็ญบารมีให้เหนือกว่าแล้วเอามาเป็นของเราเสียเลย มันถึงจะจบ แล้วมันก็จะเอากระจกทิพย์มาเล่นงานเราไม่ได้อีกอย่างไรละครับ 


ถ้าเราจะสังเกตให้ดีนะครับ คนที่มีกระจกทิพย์นี่ ไม่ค่อยออกความคิดเห็นของตัวเองด้วย คือ ไม่แชร์ ไม่บอก ไม่ให้อะไรใครเลย แถมคอยแต่จะเอาความคิดคนอื่นไปใช้ได้ด้วย (โคตรขี้โกงเลยไหมละ) ทว่า คนเราถ้าทำอย่างนั้นบ่อยๆ ประจำๆ สุดท้าย ก็จะไม่ได้บุญบารมีให้ตัวเขาเองนะครับ เขาก็จะค่อยๆ ตกต่ำลงได้ เพราะเป็นผู้รับแต่ของเขาอย่างเดียว พอเขาตกต่ำลงแล้ว ถ้าเขายังทำวิสัยเดิมๆ ทำตัวแบบเดิม ก็จะถูกพลังมารแทรกได้ครับ เสี่ยงมากเลย บางคน ไม่ได้มีของทิพย์แบบนี้ เวลาเขาเสื่อมลง เขาจะตกระดับมาทีละขั้นๆ ยังไม่ลงพรวดไปถึงมารนะครับ แต่คนที่ติดนิสัยใช้ของทิพย์แบบนี้ มีโอกาสสูงทีเดียวที่จะกลายเป็นมาร ถ้าหมดสิ้นวาระบุญที่ไ่ด้ครองกระจกทิพย์นี้ครับ


ดังนั้น ผู้ที่จะถืิอครองกระจกทิพย์ อันเป็นของทิพย์วิเศษชนิดนี้จึงต้องมีบุญบารมีหนุนหลังไว้มาก ไม่เช่นนั้น ก็เสียไปได้เมื่อหมดวาระบุญนะครับ และมันไม่ค่อยอยู่ที่ใครนานๆ มันจะเปลี่ยนมือไปได้เรื่อยๆ ครับ ดังนั้น การได้มันมา จึงอาจจะไม่ยาก ถ้าคุณมีบุญถึงและมีจิตใจคล้ายกับของชนิดนี้ (เช่น ในกลุ่มคนที่ฝึกไทเก็ก) แต่การรักษาไว้ ยากมาก กว่าครับ นอกจากนี้ การใช้่ของทิพย์ชนิดนี้นานๆ ทำให้คุณมีนิสัยเป็น "ผู้รับ" ไม่ใช่เชิงรุก เพราะจะรับพลังจากผู้อื่นก่อนตลอดเวลา และจะไม่มีการชิงรุกใช้พลังของตัวเองเลย นานวันเข้า ก็จะติดนิสัยชอบรอที่จะรับอย่างเดียวได้ ซึ่งถ้าคุณพร้อมเข้านิพพานแล้ว และพร้อมรับได้ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหาอะไรนะครับ แต่ถ้าคุณยังไม่ถึงเวลาที่จะนิพพาน  การอยู่อย่างผู้รับแบบนี้ อาจส่งผลให้คุณมีปัญหาในการเวียนว่ายตายเกิดไปข้างหน้าได้เช่นกัน ดังนั้น กระจกทิพย์ึจึงไม่อาจอยู่กับใครได้นานไงครับ มันจึงเปลี่ยนมือได้ง่ายๆ ถ้าเทียบกับของทิพย์ชนิดอื่นๆ แล้ว เช่น เกราะเำพชร เป็นของที่บำเพ็ญได้ยากมากๆ ใครได้ไปแล้วก็ไม่ค่อยเปลี่ยนมือ หาคนรับช่วงต่อได้ยาก เพราะบำเพ็ญได้ยากครับ


นอกจากนี้ เมื่อใดที่มีผู้ใช้กระจกทิพย์ "ปีศาจกระต่าย" ก็จะเริ่มทำกิจของมันด้วยเช่นกัน คือ "การทำยาเสพติด" (ของทิพย์นะครับ) ทำให้ผู้คนทั้งหลายต้องกลายเป็นผู้ติดสิ่งเสพติดกันมากมาย ทั้งยาเสพติดตามกฏหมายและที่ไม่ได้ระบุไว้ตามกฏหมาย ก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น เช่น การเสพติดสื่อ, เสพติดเน็ต, เสพติดมือถือ ฯลฯ ได้ทั้งหมดเลย ดังนั้น ถ้าผู้ถือกระจกทิพย์ ไม่ได้นำกระจกทิพย์มาส่องแสงสว่างให้ผู้คนได้พ้นไปจากความลุ่มหลง, การเสพติดแล้วละก็ มันก็จะกลายเป็นภัยต่อคนมากมายได้อย่างน่ากลัวทีเดียว อย่างในประเทศไทยตอนนี้ก็มีการแพร่ระบาดของยาเสพติดอย่างหนัก และไม่มีวี่แววว่าจะหาทางแก้ไขได้ แม้จะมีการจับกุมไปเท่าไรก็ตาม เพราะแม้เราจะจับคนขายได้ แต่ถ้าคนซื้อยังต้องการไม่เลิก ก็จะมี "คนขายหน้าใหม่ๆ" เข้าสู่วังวนของการค้ายาเสพติดนี้ ทั้งหมด ก็ล้วนมาจากพลังปราณเสพติดของปีศาจกระต่าย นั่นเอง (ลองคิดดูสิครับ ขนาดออกข่าวว่ามีกระเทยเอายาบ้ายัดใส่รูทวารหนักมาเพื่อส่งขาย คนซื้อยังเอาไปซื้อดมกันได้อ่า?)


มาเล่าถึงประวัติของ "กระจกทิพย์" นี้หน่อยนะครับเรื่องมันเกิดมานานแต่ครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงเป็นพระบรมโพธิสัตว์อยู่เลย ในชาติที่ท่านได้เกิดเป็นกระต่ายและได้ถวายเนื้อให้มนุษย์กิน พระอินทร์ได้สลักรูปกระต่ายไว้บนดวงจันทร์ ในชาตินั้นเองที่ท่านบำเพ็ญบารมีแก่กล้าจนเกิดเป็น "กระจกทิพย์" ขึ้นมาด้วย กระจกทิพย์อันนี้ ได้รับการรักษาไว้โดยเทพพระจันทร์ และใช้สะท้อนพลังแสงของพระสุริยเทพ ให้เข้าสู่โลกในยามค่ำคืน เพื่อใ้่ช้เป็นแสงสว่างให้สัตว์ทั้งหลายในเวลากลางคืนครับ ดังนั้น กระจกทิพย์นี้ จึงเป็นของพระพุทธเ้จ้าซึ่งกระจกทิพย์นี้จะยังไม่นิพพาน จนกว่าจะทำหน้าที่เสร็จก็จะนิพพาน จะไม่มีให้ใครเอาไปใ้่ช้ก่อกรรมหรือสร้างบุญบารมีได้อีกครับ เฉกเช่นเดียวกันกับของทิพย์วิเศษอีกหลายชนิด เช่น "พระขรรค์หัวใจคาวี" ซึ่งเกิดเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้ายังบำเพ็ญบารมีเป็นพระโคที่ชื่อ "คาวี" และมีพระศรีอาร์ฯ บำเพ็ญบารมีเป็นเสือที่ชื่อ "หลวิชัย" (พระศรีอาร์ฯ ได้ดาบหัวใจเสือด้วยในชาตินั้น) ดังนี้ ธรรมของพระพุทธเจ้าจึงคล้ายกับเชิงรับมากกว่าเชิงรุก, คล้ายแสงจันทร์มากกว่าแสงอาทิตย์ และวันที่ท่านเกิด, ตรัสรู้, นิพพาน ล้วนสอดคล้องกับพระจันทร์เต็มดวงทั้งสิ้น


เอาละ วันนี้ ก็เม้าท์นิทานอาหรับราตรีมาไม่น้อยทีเดียวเป็นตัวสุดท้ายของหมวด "ของทิพย์วิเศษทั้งห้า" แล้ว จะได้จบๆ เรื่องของทิพย์ทั้งห้านี้เสียที จะได้ไม่เป็นมหากาพย์ยาวยืดเยื้อไปเสียก่อน ซึ่งผมคิดว่าคงมีน้อยท่านมากๆ ที่จะได้สัมผัสของแบบนี้ แ่ต่ถ้ามีบุญวาสนาได้มัน สัมผัสมันก็จะได้มีข้อมูลเบื้องต้น อย่างที่ผมได้บอกไว้น่ะครับ รู้ไว้ก่อนเวลาเจอจริงจะได้มีสติ รู้เท่าัทัน สำหรับวันนี้ ผมขอจบเพียงเท่านี้ครับ ไว้พบกันใหม่ในบทความฉบับหน้า นอนหลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์ครับ ...




วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สิ้นสุดปีปฏิทินมายาแล้ว จะได้ปฏิทินใหม่จากใคร และจะเป็นอย่างไรต่อไป?

อ๊ะ วันนี้ นึกมุขตั้งนาน ยังไงก็นึกไม่ออก แปลกจริง ทำไมตลกเขานึกมุขกันได้ดีจังนะ เราได้แต่ข้อมูลแบบนี้ เอ้า ได้อย่างไหนก็เขียนไปอย่างนั้นละกันครับ เข้าเรื่องของเราในวันนี้เลยละกัน เรื่องปฏิทินมายาน่ะครับ คือ ที่ผมได้รับข้อมูลมานั้น ไม่ใช่วันสิ้นโลกนะครับ แต่ว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงเิชิงพลังงาน ซึ่งผมจะได้อธิบายต่อไปนี้ครับ


เรื่องสิ้นสุดปีปฏิทินมายานั้น สอดคล้องกับข้อมูลสื่อสารต่างมิติของผมอยู่มากอย่างหนึ่งครับ คือ ผมได้ข้อมูลมาว่าพลังงานใหม่จะมาแล้วพลังงานเก่าจะหมดวาระ เทพจะเปลี่ยนชุด ทั้งผมยังได้ข้อมูลเทพชุดใหม่ด้วย แต่เป็น "เทพประจำปี" เท่านั้นครับ ไม่มีประจำเดือนและประจำวัน ผมเลยไม่อาจทำปฏิทินแบบวัน, เดือน, ปี ชุดใหม่ เต็มทั้งชุดได้ (แต่ผมสงสัยว่าจะต้องมีคนในโลกนี้บางคน ได้รับข้อมูลนั้นแน่ เขาคงไ่ม่ให้ผมรู้ทั้งหมด เลยแยกส่วนครับ) กล่าวคือ เทพชุดใหม่ก็หมดวาระลงไปพร้อมการสิ้นสุดของปฏิทินมายา เทพประจำปีชุดใหม่ จะมีสองระดับนะครับ คือ ๑. ระดับดาวเทพ ๒. ระดับเทพนักษัตร หรือให้เข้าใจง่ายๆ คือ แต่ละปีจะมี "ดาวเทพทรงเทพนักษัตร" มาดูแลโลกหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปเป็นประจำครับ โดย "ดาวเทพ" มีทั้งหมด ๑๑ องค์ต่อหนึ่งชุด (และมีชุดนี้ชุดเดียวยาวไปจนกว่าจะสิ้นวาระครับ) ส่วนเทพนักษัตรมี ๑๒ องค์ในหนึ่งชุด ดังนั้น ดาวเทพจะไม่ทรงเทพนักษัตรองค์เดิมซ้ำๆ เพราะตัวเลขชุด ไม่เท่ากัน (๑๒ องค์) คลาดเคลื่อนกันไป ๑ เท่านั้น หมายความว่าอะไร? ก็หมายความว่าเมื่อครบรอบ ๑๒ ปีแล้ว รอบต่อไป (ซึ่งมี ๑๒ ปี) ดาวเทพ จะเลื่อนเคลื่อนไปทรงเทพนักษัตรองค์อื่น เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ สมมุติ ผมมี คน ๒ คน คือ นาย ก., นาย ข. และมีม้าสามตัว ม้า ๑, ม้า ๒ และม้า ๓ ให้ผลัดกันขี่ ก็จะได้ว่า รอบที่หนึ่ง นาย ก. ขี่ม้า ๑, นาย ข. ขี่ม้า ๒ รอบต่อไป นาย ก. ก็ขี่ม้า ๓ และนาย ข. ก็ขี่ม้า ๑ พอนึกภาพออกนะครับ นั่นแหละ ท่านจะประสานกันโดยเปลี่ยนไปทรงเทพนักษัตรไปเรื่อยๆ เพราะความที่คลาดเคลื่อนกันไป ๑ เท่านั้น นั่นเอง อนึ่ง รายนามของเทพระดับเทพนักษัตรนั้น ผมไม่อาจเผยแพร่ทางเน็ตได้ เพราะอาจารย์ห้ามไว้ครับ


สำหรับปีหน้า ผมได้เคยบอกแล้วว่าจะมีองค์ธรรมมารดาคือ "เทพีไกอา" ซึ่งตอนนี้ เราได้ "ประธานาธิบดีหญิงของแรกของเกาหลี" แล้ว คอยดูต่อไปครับ ว่าบทบาทของผู้นำท่านนี้จะส่งผลกระทบต่อทั้งโลกอย่างไร รับรองว่าไม่ใช่แค่ภายในประเทศแน่นอนครับ ผมบอกท่านไม่ได้ว่าดาวเทพใด ขี่นักษัตรองค์ไหน (เพราะอย่างที่บอกว่าอาจารย์ห้าม) ผมบอกได้เพียงว่า "องค์ธรรมมารดา และองค์ธรรมบิดา" คือ ท่านไหน ก็เท่านั้น คือ ได้บอกท่านแล้วว่าองค์ธรรมบิดา ก็คือ เทพซูส ซึ่งจะส่งผลให้ "เทพฮาเดส" หรือ "เจ้านรก" เข้ามามีบทบาทครับ ทีนี้ ให้ลองดูบทบาทของ "ผู้นำจีนสีเจี้ยนผิง" สิครับ เขาเหมือนเปาบุ้นจิ้นไหม? นั่นแหละลักษณะของเจ้านรก (เทพฮาเดส) จะรักความยุติธรรม และไม่ชอบการโกงกินจะทำการจัดการกับคนที่โกงกินหรือข้าราชการที่ไม่ดีครับ นั่นก็คือ "ร่างตัวแทนร่างหนึ่งของเทพฮาเดส" นั่นเอง แล้วทีนี้มาดู "ฝั่งอเมริกา" บ้าง โอบาม่า ผู้นำไฟแห่งการค้าขายมาสู่เอเชียผิดเวลา จะส่งผลให้มนุษย์เอาไฟไปใช้ในทางที่ผิดได้ เช่น นำไปใช้ทำสงครามได้ครับ เขาก็คือ "ร่างตัวแทนของโปรมีธีอุส" นั่นเอง พอจะเห็นภาพแล้วใช่ไหมละครับ ว่าสงครามมหาเทพใกล้เข้ามาทุกทีได้อย่างไร? คอยดูต่อไปครับ ตัวละครจะ่่ค่อยๆ ปรากฏทีละน้อย แล้วถ้าคุณไม่ได้ทำอะไรเลย ได้แต่ดู ก็จะไม่ได้อะไรเลย เสียดายชาติเกิดครับ ฮ่าๆๆ ร่วมเล่นกะเขาบ้างก็ได้นะครับ ในบทไหน ผมก็ไม่รู้ ลองเองรู้เอง เล่นบทไม่เหมาะสมกับตัวเอง ก็เจ็บเองน่ะแหละครับ


เอ้า หวังว่าท่านคงเคลียร์เรื่อง "วันสิ้นโลก" กันซักที ว่ามันไม่ใช่เรื่องของโลกสิ้น เพียงแต่เปลี่ยนพลังงานขับเคลื่อนโลกเป็นชุดใหม่ มันก็เลยต้องทำปฏิทินแบบใหม่ ก็เท่านั้นเอง ของเก่าก็ปล่อยไป ใ้ช้ไม่ได้แล้ว ทำใหม่ทีนี้ ก็ไม่ทราบทั้งหมดหรอกครับ ผมทราบแค่พลังงานในแต่ละปีเท่านั้น ก็ทำเหมือนกัน มีเสาทำจากแก้วเสาหนึ่งเล็กๆ แล้วก็ทำ "จักร" ง่ายๆ ครับ ทำจากกระดาษแข็งติดด้วยกระดาษสีทอง ก็ใช้ได้แล้ว จากนั้น ก็ทำเป็นรูปจักร เขียนนามของเทพทั้ง ๑๒ หรือทั้ง ๑๑ องค์ลงไป เราก็จะได้จักรสองอัน อันหนึ่งเป็นจักรดาวเทพ อีกอันก็จักรเทพนักษัตรไงครับ เวลาเราจะคำนวณและทำนาย ก็หมุนไปจักรละ ๑ ครั้งต่อปีเราก็จะเห็นแล้วว่า "ดาวเทพองค์ไหนทรงเทพนักษัตร" องค์ไหน? ใช่ไหมละครับ เอ้าละ เม้าท์มายาว นิทานอาหรับราตรีในคืนนี้สมควรจบลงได้ เดี๋ยวน้องๆ หนูๆ จะนอนดึก ตื่นสาย เ้จ้านายลงโทษเอา ช่วยไม่ได้นะเออ ขอจบเพียงเท่านี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ ...  



วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คุณเลือกได้ที่จะเป็น "วีรบุรุษอายุยืน" หรือ "วีรบุรุษอายุสั้น" ???

มีเรื่องมาเมา้ท์เล่นๆ แก้เครียดแก้เซ็งก่อนเข้าเนื้อหาหนัก เรื่องมีอยู่ว่าเพื่อนคนหนึ่งไปเที่ยวอินเดีย พอไปนอนโรงแรม มันไม่ค่อยถูกใจ ไปกินอาหาร มันก็กินแทบไม่ได้ แล้วก็เลยต้องรีบหา "ร้านอาหารไทย" บ้าง, สถานที่แบบไทยๆ บ้าง ฯลฯ เืพื่อนอีกคนรำคาญ เลยบอกว่ามึงไม่ต้องมาอินเดียแล้ว กลับไปเที่ยว "พาหุรัด" ดีกว่า "ไอ้ห่า" จบแค่นี้อ่า ไม่ตลกอะไร ฝืดชะมัด พยายามเป็นตลกแล้ว แต่ไม่เวิร์กซักกะที สงสัยไม่ใช่งานของเรา เอ้า งั้นก็มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ เนื้อหาบทความในวันนี้ แทรกเรื่อง "ของทิพย์วิเศษทั้งห้า" คล้ายเป็นการคั่น   โฆษณาเล็กน้อย คือ เรื่อง "วีรบุรุษ" น่ะครับ ที่ผมหยิบเอาเรื่องนี้มา ก็เพราะว่าเห็นความเฉื่อยชา, รักสบาย และมักง่าย อันเป็นจุดอ่อนของคนไทยเรา ก็เลยจะแก้ไขและพัฒนาให้เราก้าวทันต่างชาติ ถ้าเราก้าวไม่ทันเขา มันจะกลายเป็นความซวยเอานะครับ เอ้าเข้าเรื่องเลยครับ 


บางคนอาจคิดหรือมองว่า "คนที่สละชีพเพื่อคนอื่นคือฮีโร่" นั้นดีแล้ว แต่ผมมองว่ามันก็ดีอ่ะนะ แต่ยังไม่ดีที่สุด ถ้าเป็นผม คงไม่ใจร้อนเลือกแบบนั้นครับ ผมมองว่า "วีรบุรุษ" ก็มีทั้งที่ "อายุสั้น" และ "อายุยืน" ถ้าให้ผมเลือกผมก็เลือก "วีรบุรุษอายุยืน" ดีกว่า (แต่ไม่ต้องอายุยืนเกินไปนะ แก่เกินไป ไม่ไหวอ่ะ ไปสวรรค์ดีกว่า เอาแค่พอดีๆ ก็พอ) ไม่ใช่ "ควาย" นี่ครับ จะได้อยากอายุสั้น แต่เอ๊ะ แปลกนะ ในโลกนี้ก็ยังมีคนอีกมากมายเหลือเกินที่ชอบ "วีรบุรุษอายุสั้น" หรือชอบเป็น "วีรบุรุษ" อายุัสั้นเสียเอง เช่น เวลามีคนหลอกให้เราไปตาย แล้วบอกว่า นี่คือการพลีชีพเพื่ออะไรสักอย่างหนึ่งที่มันดูดีมาก สูงส่งมากๆ เลย เช่น นี่คือ การพลีีชีพเพื่อพระเจ้านะ, นี่คือ การพลีชีพเพื่อประเทศชาิตินะั, นี่คือการพลีชีพเพื่อประชาธิปไตยนะ, นี่คือ การพลีชีพเพื่อ... นะ ฯลฯ ก็แห่กันไปตายเยอะทีเดียว โอเคๆ มันก็ดูดี คุณเป็นฮีโร่ แต่ผมอยากให้คุณเป็นทั้ง "ฮีโร่" และ "คนมีวิสัยทัศน์" มองอะไรยาวไกล ไม่คิดอะไรสั้นๆ ด้วยอ่ะครับ มันดีกว่าไม่ใช่หรือ? นั่นคือ "คุณกล้าหาญเสี่ยงตาย" ก็ดีแล้วแต่คุณจะเป็นคนขี้ขลาดมากๆ เลย ถ้า "ไม่กล้าหาญที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ" เมื่อกล้าหาญที่จะเสี่ยงตายได้ ก็ต้องกล้าหาญที่จะมีชีวิตอยู่ต่อด้วยสิครับ ไม่ใช่ขี้ขลาด ไม่กล้ามีชีวิตอยู่ต่อ เลยรีบๆ คิดสั้น เอาตัวรอดไปตายเสียเร็วๆ เืพื่ออะไรต่อมิอะไร ตามแต่เขาจะเอาสิ่งนั้นมาอ้างหลอกสนทะพายใช้คุณเ็ป็นเครื่องมือของพวกเขาแค่นั้น เอาง่ายๆ  นะ ผมคิดว่า "มีเพื่อนๆ เยาวชนสามจังหวัดชายแดนใต้มากมาย" ที่มีความคิดว่า "ข้าพร้อมพลีชีพเพื่ออะไรสักอย่าง" เพราะความกล้าหาญ แต่มันเป็นความกล้าแค่ครึ่งเดียวนะครับ กล้าเผชิญหน้ากับความตาย แล้วก็ไปทำภารกิจเสี่ยงตาย ก็โอเค นั่นคือ "ครึ่งทางเองครับ" ที่เหลือคือ "ต้องกล้าหาญที่จะมีชีวิตอยู่ยาวนานอย่างสง่าผ่าเผยด้วย" ไม่ใช่หลบๆ ซ่อนๆ เพราะไปทำความผิดมาเลยกลัวเขาจะตามจับตัวนะครับ อย่าลืมว่าเพื่อนๆ ทำผิดกฏหมายไปแล้ว คดีมันมีอายุความยาวนานในบางคดี มันนานเป็น ๑๐ - ๒๐ ปีเลย เพื่อนๆ จะต้องกลายเป็นคนที่อยู่ในบัญชีดำ ขึ้นบัญชีดำที่ไม่รู้ว่าจะถูกรื้อค้นคดีมาเล่นงานอีกเมื่อไร ถ้าเพื่อนๆ กำลังมีครอบครัวดีอยู่ แล้ววันหนึ่ง เขาย้อนหลังมาจับตัวไป เพราะคดีมันยังไม่หมดอายุความ แล้วเพื่อนๆ จะเสียใจ ที่ทำให้คนในครอบครัวต้องทุกข์ทรมาน ลูก, เมีย ก็ขาดเสาหลัก ขาดพ่อ ขาดที่พึ่งนะครับ เอาละนี่ผมแค่สมมุติเท่านั้นแค่จะบอกว่า "เป็นวีรบุรุษอายุยืน" ดีกว่า "วีรุบุรุษอายุสั้น" ก็เท่านั้นเองแหละครับ ไม่ได้มีอะไรมากครับ


อ่า คิดว่าเริ่มฉลาด ปลดสนทะพายทิ้งกันได้แล้ว ใช่ไหม? งั้นก็มาเข้าคำถามต่อไปกันเลย นั่นคือ "แล้วทำอย่างไรจึงจะเป็นวีรบุรุษที่อายุยืน ไม่ใช่วีรบุรุษอายุสั้นละ?" ยอดเยี่ยมคำถามดีมาก (พูดเอง ถามเอง ชมตัวเองอ่ะ?) ง่ายๆ อย่างแรก "เปลี่ยนที่ใจเราก่อนครับ" เมื่อใจเราเกิดมีศรัทธาต่ออะไรก็แล้วแต่เช่น พระเจ้า ก็ดี, ผืนแผ่นดิน ก็ดี ฯลฯ เราอย่าเพิ่งรีบวิ่งแจ้นไปตายเพื่อสิ่งนั้น พระเจ้า-สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้บ้าเลือดอยากให้เราไปตายเร็วๆ อย่างนั้นหรอกครับ ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่สร้างมนุษย์มาให้มีอายุขัยเฉลยประมาณ ๗๐ ปีใช่ไหมครับ? ใจมีศรัทธาก็ดีแล้ว ต่อไปก็คือ เราจะทำเืพื่อสิ่งที่เราศรัทธานั้นได้อย่างยาวนานได้อย่างไร? ไม่ใช่ทำงานครั้งเดียวแล้วตายไปเลย อันนี้ ไม่เวิร์ก อ่ะครับ อย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะเด็กๆ ได้ดูหนังทางช่อง ๗ บ้างไหม เมื่อวันจันทร์หรือไงนี่ เรื่อง "ตำนานดาบคิงอาเธอร์" ตอนที่แม่ทัพหนุ่มผู้ภักดี ได้รับดาบจากเด็กมาแล้ว เขาก็ทำหน้าที่แบบพร้อมพลีชีพเลย จนเขาเหมือนจะตายแล้ว เด็กก็บอกกับแม่ทัพหนุ่มว่า "ข้าขอปลดคำสาบานของเจ้า ขอให้เจ้าจงมีชีวิตอยู่ต่อไป" แล้วแม่ทัพหนุ่มคนนั้น ก็มีกำลังใจอยู่ต่อไป ไม่ตายอย่างอัศจรรย์อ่ะ เห็นไหมละครับ วีรบุรุษไม่จำเป็นต้องอายุสั้นครับ แต่การที่เราจะไม่อายุสั้นได้นั้น เราต้องมี "กำลังใจ" มีพลังใจที่จะอยู่ต่อด้วย ไม่ใช่ไปหลอกคนทั้งหลายว่า "เฮ้ ไม่ต้องมีพลังอะไรมากหรอก แค่เด็กหรือผู้หญิง ก็เป็นฮีโร่ได้ แค่กล้า ไม่กลัวตายแล้วก็พลีชีพซะ" อันนี้ "มันกำลังหลอกให้เราไปตายแล้วละครับ" เราต้องมี "พลัง" ครับ มีพลังใจที่จะอยู่ต่อไปด้วย มีแรงบันดาลใจที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีงามเพื่อสิ่งที่เราศรัทธานั้นด้วยครับ เห็นไหม "พลังนั้นจำเป็นแค่ไหน" มาดูถูกว่าไม่ต้องมีพลังอะไรก็ได้ ใครก็เป็นฮีโร่ได้ ไปพลีชีพซะ อะไรแบบนั้น ไม่เวิร์กนะครับ ใครอยากโดนหลอกไปตายก็เอา ผมไม่อยากตายแบบควายตัวหนึ่งอ่ะครับ อย่างน้อย ก็ไม่ใช่ฮีโร่ที่ขี่ควาย (หรือถูกควายขี่) ต้องเป็นฮีโร่ที่ขี่ม้าขาวสง่างาม อายุยืนสิครับ


เอาละ เรื่องของการหลอกลวงให้คนไปพลีชีพตอนนี้กำลังแพร่ระบาดมากอันเป็นผลจาก "พลังของซาตานผู้ถือดาบเพชร" ซาตานตนนี้เขาชอบ "ตัด" ครับ ไม่ว่าจะเป็น "ตัดแบ่งแผ่นดินเพื่อแบ่งแยกดินแดน" ก็ดี, "ตัดกิเลส" ก็ดี, "ตัดใจ" จากอะไรๆ ก็ดี, "ตัดช่องน้อยแต่พอตัว" ก็ดี ฯลฯ แล้วเขาก็ชอบการปฏิเสธครับ เขาต่อต้านระบบ, ต่อต้านสังคม และถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากจะล้มล้างระบอบระบบให้หมดไปเลยอ่ะ ก็ไม่ได้ว่าอะไร ว่าเขาจะถูกหรือผิดนะครับ มันมีทั้งสองมุม เขาก็มีมุมมองในแบบของเขา มีเหตุผลของเขาเหมือนกัน ก็แล้วแต่ท่านจะมองตามเขาไหม? แต่ถ้ามองตามเขาก็ต้องพร้อมพลีชีพนะครับ ส่วนผมนั้นมองไปอีกแบบครับ เอาละ วันนี้นิทานฯ ขอจบเท่านี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ




วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มหัศจรรย์พลัง "เกราะเพชร" คู่ปรับ "ดาบเพชรเจ็ดสี" ???

เอาละ เห็นหัวข้อวันนี้ อย่าเพิ่งคิดไปว่าผมจะเอานิทานพื้นบ้านไทยมายำมั่ว ผสมกันเสียก่อนละ (แต่ถ้าจะคิดอย่างนั้น ใครจะไปห้ามได้ละ) ไม่ได้มีเจตนาจะเอานิทานพื้นบ้านไทยมายำผสมกันเป็นเรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่ว่ามันเกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง แล้วก็อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ได้หลายอย่าง ก็เท่านั้นเอง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมก็ขอเชิญท่านเข้าสู่เรื่อง "เกราะเพชรเจ็ดสี" เลยก็แล้วกันนะครับ


เกราะเพชร มักจะตกอยู่แก่ท่านที่บำเพ็ญบารมีมากจนพลังงานภายในเกิดการแยกตัวออกหลายๆ ชั้นหลายๆ กายทิพย์ไม่อาจประสานกันได้  เมื่อบุญบารมีถึงก็จะไม่ตายชะตายังไม่ถึงฆาตแต่จะกลับมาเป็นมนุษย์สมบูรณ์ได้ จะต้องได้รับ "เกราะเพชร" เมื่อสวมเกราะเพชรแล้ว จึงจะมีความเป็นมนุษย์สมบูรณ์ คือ ประสานเอาพลังงานหลายๆ ชั้นที่แยกตัวออกกลับมาดังเดิมได้หรือกายทิพย์หลายๆ กายที่แยกกระจายไปกลับเข้าที่ได้หรือ "จิตวิญญาณ" หลายดวงที่อาจจรออกจากร่างให้กลับมา ยังร่างสังขารเดิมได้ ไม่เช่นนั้น ตัวตนหลายๆ ตัว หรือพลังงานหลายๆ ระดับชั้น หรือจิตวิญญาณหลายๆ ดวงก็จะแยกกันอยู่ ไม่ทราบว่าจะไปอยู่ภพไหนหรือมิติใดตามแต่เหตุปัจจัยของแต่ละภาคส่วน เกราะเพชรจึงแก้ปัญหานี้ได้ และเมื่อได้เกราะเพชรแล้ว กลับทำให้การใช้พลังในสังขารที่มีหลายตัวตน, หลายกายทิพย์, หลายชั้น ทำได้ดียิ่งขึ้น ราว กับเป็นคนหลายๆ คน ในคนเดียวกัน เมื่อใช้พลังของตัวตน ตัวหนึ่งก็จะเป็นแบบหนึ่ง มีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง แต่พอเปลี่ยนไปใช้อีกแบบ ก็กลายเป็นมีความสามารถอีกแบบไปทั้งหมดรวมเป็น ๗ แบบ เหมือนวันทั้งเจ็ด หรือรุ้งเจ็ดสี เกราะเพชรเป็นสิ่งที่ไม่มีอาวุธทิพย์ใดที่จะทำลายได้ จำต้องมีอาวุธทิพย์ระดับเพชรเหมือนกัน จึงจะต่อกรกันได้ เช่น "ดาบเพชร" ซึ่งผู้ที่มีดาบเพชร จะสามารถตัดเอาส่วนใดๆ ในร่างสังขารของคนไปก็ได้เช่น เอาเฉพาะ "ตัวตนหรือพลังงานบางชั้น" ไป (ไม่รู้ว่าตัดได้ยังไง?) สมมุติ คุณมีจิตวิญญาณ ๓ ดวงในร่างหนึ่งๆ เวลาเขาตัดไป เขาจะเอาไปอันหนึ่งหรือสองอันก็ได้ ทำให้คุณเหลือเพียงหนึ่งหรือสองจิตวิญญาณ (เดิมมีสามนี่?) คุณก็จะเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม บางสิ่งหายไปได้ เช่น เหมือนเป็นคนไม่มีความโลภก็ได้ ตรงนี้ละ "พระอรหันต์ปลอม" โดยหลอกกันเยอะมาก โดนหลอกจนไม่เป็นมนุษย์ไปแล้ว สูญเสียความเป็นมนุษย์ไป นึกว่าขจัดกิเลสได้ด้วยปัญญาสว่างไสว แท้แล้วไม่ใช่ แท้แล้วไม่แจ้งในธรรม ตามืดบอด ยังไม่เห็นกิเลสเป็นธรรมกลางๆ แล้วมีปัญญาอยู่เหนือกิเลสให้ได้ แต่ไปมี "อคติ" หรือ "ความคิดเชิงลบ" กับกิเลสไปเลย บ้างไม่จบเท่านี้ ยังเอาทัศนติเิชิงลบที่มีต่อกิเลส ไปไล่จับผิดคนอื่น ทำให้เขากลัว และจิตตก บ้างก็ห่อเหี่ยวไปเลย ยอมจำนนว่าท่านเยี่ยมจัง เรามีกิเลสมาก ซึ่งอันนี้ ทำให้เกิด "การแพร่ระบาดของอคติที่มีต่อกิเลส" ไปในที่สุด


ด้วยเหตุนี้ "เกราะเพชร" จึงเป็นอาวุธทิพย์ปราบ "ดาบเพชร" และเป็นสิ่งตรงข้ามกัน ในขณะที่เกราะเพชรกำลังทำหน้าที่ ประสานให้คนได้กลับเป็นมนุษย์สมบูรณ์ครบทุกภาคส่วน, ตัวตน, ชั้นพลังงาน ฯลฯ แต่ดาบเพชรจะทำหน้าที่ "ตัด" ไปเรื่อยๆ เรียกว่า "ตัดกิเลส" บ้าง "ตัดสังโยชน์" บ้าง พอมันช่วยให้คนที่อยากเป็นพระอรหันต์ ตัดได้ดังใจแล้ว มันก็เอาส่วนที่เขาตัดออก ไปเป็นบริวารของมัน (จิตวิญญาณในส่วนที่ถูกตัดออกจะถูกจับไปเป็นทาสของซาตานที่ครองดาบเพชร) นี่ จึงเกิดอรหันต์ปลอมเต็มบ้าน เต็มเมือง ถ้าเกิดปัญญาแจ้งในนิพพานจริง, แจ้งในธรรมจริง, แจ้งในกิเลสจริง ไม่ต้องตัดอะไรหรอกครับ ไม่มีอะไรจะให้ตัดเพราะมีแต่ธรรมล้วนๆ จะตัดธรรมะอะไรไปทำไมกัน? แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น เพราะตอนนี้ "โรคอคติต่อกิเลส" กำลังระบาด มันก็มีอำนาจมาก ครอบงำให้คนมีอคติ มีความคิดเชิงลบต่ออะไรก็ได้ ที่มีในตน ธรรมชาติในตัวเราเอง เพื่อให้เราัตัดเอาส่วนนั้นออกมา (จริงๆ ไม่ต้องไปตัดมันครับ ยอมรับมันซะ อย่างที่มันเป็นทั้งหมด ยอมรับว่าทุกอย่าง คือ ความจริง คือ ธรรมะ คือ ธรรมชาติ คือ ชีวิต) เช่น ถ้าเราเห็นว่าการมีครอบครัว ลุ่มหลงรักใคร่ เป็นความหลง ความทุกข์ เราก็ไม่ต้องไปตัดหรอก เราก็พิจารณาว่า "อ้อ ก็สัตว์มีกรรม ถึงได้เป็นเช่นนี้เอง" ถ้าเราบ้างละ มีบ้าง อยู่ๆ ก็มีมาให้เรา เราก็ปล่อยไปตามกรรม ไม่ได้มีเจตนาจะเอา หรืออยากอะไร แต่เข้าใจในเรื่องกรรม ก็แค่นั้นเอง ไม่ไ่ด้ตัดอะไร แต่มีปัญญาแจ้งในสิ่งนั้นๆ แล้ว ก็ไม่้ต้องตัด ไม่ต้องปฏิเสธอะไร ยอมรับทุกอย่าง ก็ทุกสรรพสิ่ง คือ ธรรมะอยู่แล้ว ถ้าเรามีปัญญาแ้จ้งจริง เราไม่ต้องกลัวกิเลส หรืออะไร มันก็ทำอะไรเราไม่ไ่ด้ เราอยู่เหนือมันอยู่แล้ว แล้วเราจะต้องไปตัดหรือปฏิเสธทำไม?


เอาละ นิทานอาหรับราตรีก่อนนอนวันนี้ เม้าท์มาไม่น้อย ยาวพอควรเลย ผมขอจบเพียงเท่านี้ ก็แล้วกัน นอนหลับฝันดี ราตรีสวัสดีครับ



วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

อาถรรพ์ "จิตวิญญาณ" คุ้มครอง "ของทิพย์วิเศษทั้งห้า" มีอะไรบ้าง

อั๊ยย่ะ ถึงเวลามานั่งหน้าจอคอมฯ เปิดเน็ตฟังผมเม้า์ท์แบบไร้เสียงกันอีกแล้ว วันนี้ ยังไม่ไปไหนไกล ยังอยู่เรื่องเดิมแ่ต่เพิ่มมุมมองไปอีกมุมหนึ่ง ให้รอบด้านมากขึ้นครับ คือ มุมมองในด้านที่เราควรไม่ประมาทและควรระวัง เวลาได้ของทิพย์วิเศษมาครองนะครับ มันเ็ป็นเรื่องของอาถรรพ์และภูติผีหรือเทพทั้งหลาย ที่เกี่ยวข้องกับของทิพย์วิเศษน่ะครับ เอาละ ไม่อยากนอกเรื่องเสียเวลา วัยรุ่นใจร้อนต้อง รวบลัด, เร็วกระชับ, สั้นง่าย, ทันใจ ใช่ไหมละครับ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่านะครับ 


ของทิพย์วิเศษทุกชนิดล้วนมี ๑. อาถรรพ์ ๒. จิตวิญญาณคุ้มครอง เมื่อผู้ใดได้ครอง ก็ไม่อาจเลี่ยง ๒ อย่างนี้ เข้ามาพัวพันได้ หรือแม้แต่ก่อนได้ครอง ก็จะได้พบเจอจิตวิญญาณคุ้มครองของทิพย์วิเศษเหล่านี้ คือ พวกเขาอาจเป็น ผี, เทพ, อสูร หรือปีศาจ ก็แล้วแต่ ตามแต่เหมาะสม พวกเขามีหน้าที่ดูแล คุ้มครองและหวงไว้ ไม่ให้ใครได้ของทิพย์วิเศษทั้ง ๕ นี้ไปครองได้ หลายคนที่อยากได้ครองของทิพย์วิเศษ มักต้องอาถรรพ์หรือถูกกระทำโดยจิตวิญญาณคุ้มครองเหล่านี้ได้ ซึ่งผมจะได้เม้าท์ต่อไปว่ามันมีอะไรบ้าง ที่้ต้องเม้าท์นี่ก็เพราะว่าผมยังไม่อาจที่จะรู้ได้ทั้งหมด มันเหมือนโดนปิดบังไว้บางส่วน แต่บางส่วนค่อนข้างชัด จึงไม่อาจการันตีอะไรได้ เอาเป็นว่าให้เป็น "ข้อมูลเบื้องต้น" ก็แล้วกัน แล้วแต่ท่านผู้อ่านที่รัก จะนำข้อมูลเหล่านี้ไปทำอะไรต่อไปนะครับ


๑. บาตรทิพย์ มี "นางงูขาว" คุ้มครองอยู่ เป็นปีศาจงูที่บำเพ็ญธรรม มีทั้งอิทธิฤทธิ์และความงามชวนให้่หลงไหล คนที่ไม่หลงไหลและเต็มเปี่ยมด้วยความเมตตาเท่านั้น จึงจะได้ครองบาตรทิพย์วิเศษนี้ไ้ด้ เมื่องูขาวแผลงฤทธิ์จะส่งผลให้เกิดโรคระบาดได้ หรือไม่เช่นนั้นก็น้ำท่วมหรือภัยแล้งได้ครับ (โรคระบาดมาจากปราณพิษของปีศาจงูขาว)

๒. พิณทิพย์ มี "มังกรฟ้า" คุ้มครองอยู่ เป็นเทพอสูร ที่มีทั้งอิทธิฤทธิ์และเล่ห์เหลี่ยมเหนือชั้น คนที่มีปัญญาไม่น้อยกว่ามังกรฟ้า ทั้งยังมีจิตที่กว้างใหญ่ไพศาลพร้อมทำเพื่อปวงสรรพสัตว์เท่านั้นจึงได้ครอง เมื่อมังกรฟ้าแผลงฤทธิ์ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองรุนแรงแบบล้างบาง ถอนรากถอนโคนกันเลย แต่ไม่ถึงขั้นเป็นสงครามนะครับ

๓. เกราะเพชร มี "จิ้งจอกเก้าหาง" คุ้มครองอยู่ เป็นปีศาจหรืออสูรที่มีทั้งอิทธิฤทธิ์และเล่ห์เหลี่ยม ทั้งยังแปลงร่างเป็นสาวงามได้ด้วย ผู้จะได้ครอง จึงต้องมีทั้งเมตตา, เนกขัมบารมี, ปัญญาบารมี ครบสมบูรณ์ เมื่อจิ้งจอกเห้าหางแผลงฤทธิ์ มีสองแบบ ๑. จิ้งจอกไฟ ทำให้เกิดเป็นสงครามได้ ๒. จิ้งจอกหิมะ ทำให้บ้านเมืองล่มจมเพราะึความหลงครับ

๔. แก้วมณีสุญตา มี "ทายาทหนี่วา" คุ้มครองอยู่ เป็นเทพที่มีร่างเป็นงูครึ่งหนึ่ง แปลงร่างเป็นสาวงามได้ทั้งยังมีอิทธิฤทธิ์ไม่ใช่น้อย คนที่จะได้ครอง จำต้องมีครบทุกอย่างทั้งใจกว้าง, เมตตา, ปัญญา ฯลฯ ถ้าทายาทเทพหนี่วา (ผู้ดูแลของทิพย์วิเศษ) แผลงฤทธิ์ ธาตุในโลกทั้งหลายจะแปรปรวน ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆ ได้ครับ

๕. กระจกทิพย์ มี "ปีศาจกระต่ายขาว" คุ้มครองอยู่ เป็นปีศาจที่มีฤทธิ์มาก ปรุงยาเสพติดให้คนหลงติดได้ทั้งยังแปลงร่างเป็นสาวงามทำให้คนหลงไหลได้้ด้วย คนที่จะได้ครองต้องมีจิตตรง ศรัทธาตรงธรรม ถ้าปีศาจกระต่ายขาวแผลงฤทธิ์จะทำให้ "ยาเสพติดแพร่ระบาด" อย่างหนักครับ ทำให้คนหลงตาบอด โลกจะถูกความมืดเข้าครอบงำครับ


นอกจากนี้ จิตวิญญาณที่คุ้มครองของทิพย์วิเศษ จะมีฤทธิ์คล้ายๆ กับของทิพย์วิเศษนั้นๆ แต่จะด้อยกว่าของทิพย์วิเศษๆ จะเล่นงานพวกเขาได้ เช่น กระจกทิพย์ใช้ส่องให้เห็น "ร่างจริงของปีศาจกระต่าย" ได้ อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณคุ้มครองของทิพย์วิเศษเหล่านี้ จะไม่ไปไหน จะติดตามของทิพย์วิเศษ หรือผู้ที่ถือครองของทิพย์วิเศษนี้ ไปเสมอๆ เหมือนเงาตามตัว หรือไม่ก็แม้ว่าอยู่ห่างๆ แต่การกระทำของพวกเขาก็ส่งผลในทางตรงกันข้ามกับผู้ใช้ของทิพย์วิเศษเหล่านี้ได้บ่อยๆ เช่น พิณทิพย์ใช้โปรดสัตว์ ทำลายสันดอนสันดานที่นอนเนื่องอยู่นานให้ึึคนได้ ในขณะที่มังกรฟ้ากลับอาศัยสันดอนสันดานที่หนุนเนื่องเหล่านั้นของผู้คน เป็นเครื่องมือในการบงการและควบคุมคนที่ลุ่มหลงเหล่านั้น เมื่อใดมีผู้ืถือครองพิณทิพย์หรือใช้มัน มังกรฟ้า ก็จะขยับเขยื้อนทำกิจของตนด้วย และหากผู้ถือครอง ไม่ระวังหรือพลาดท่า ก็จะถูกจิตวิญญาณเหล่านี้ครอบงำได้ ทำให้ กลายเป็นร่างของจิตวิญญาณเหล่านี้ ทำกิจตามที่จิตวิญญาณเหล่านี้ต้องการ และบงการช่วงใช้ให้ทำได้ และนี่แหละ คือ "อาถรรพ์ของของทิพย์วิเศษ" นั้น ที่ร้ายแรงกว่านั้น คือ เมื่อใดที่จะเกิดการเปลี่ยนมือ เจ้าของเดิมมักจะถูก "จิตวิญญาณคุ้มครองของทิพย์วิเศษ" เล่นงาน ถึงขั้นตายไปเลย ก็มี เช่น บาตรทิพย์ ถ้าถือครองอยู่ บาตรทิพย์นี้จะทำให้แม้ได้รับพิษก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้าเมื่อใดเสียไปให้คนอื่นแล้ว ก็จะถูกพิษจนตายได้ ทว่า ก่อนที่จะได้ของทิพย์วิเศษเหล่านี้มาครอง ส่วนใหญ่ จิตวิญญาณซึ่งคุ้มครองจะทดสอบเราก่อนครับ เช่น ทดสอบว่าเรามีเมตตาจริงไหม? เขาก็จะดูว่า เรารักเขาบ้างหรือเปล่า (กล้ารักกับผีไหมละ?) แ่ต่ถ้าเรารักแล้วลุ่มหลงหรือมีกามกับเขา เขาก็จะครอบงำเราไปเลย ดังนั้น จึงต้องมีเมตตาก็พอครับ แต่บางอย่างก็ทดสอบใจว่าเราใจกล้าไหม เ่ช่น  กล้าเสี่ยงตายไหม กล้ายอมตายไหม ถ้ากล้้าแล้วไม่ตาย ถึงจะได้ครับ


ดังนี้ ก็เม้าท์ให้ฟังเป็นนิทานอาหรับราตรี ก่อนนอนอีกเช่นเคย อ้อใคร ยังไม่้ได้ดูหนังเรื่องอะไรนะ จำไม่ได้แล้ว ใครจำได้ช่วยบอกที ทางช่องไทยพีบีเอสน่ะครับ ก็ลองดูนะครับ ดีจัง เขาว่าชิงออสก้าด้วย แต่ไม่ไ่ด้เพราะเจอหนังทุนใหญ่ อลังการเข้าไป แต่เนื้อเรื่องไม่ธรรมดา สุดยอดมากเลย ทีวีเขาบอกว่ามันเป็นเรื่องของ "คนหนุ่มรุ่นใหม่" ที่ไม่เื่ชื่อนิทานบ้าบอก่อนนอนของพ่อ แต่แล้วเขาก็กลับไปเืพื่อค้นหาความจริง ในความจริงนั้น แม้ว่าจะแตกต่างจากนิทานที่พ่อเล่า ทว่า มันทำให้เขาเห็นสิ่งที่เหนือกว่าความจริง ซึ่งนั่นคือ "มุมมองเชิงบวก" ที่มีต่อโลก, ผู้คน และชีวิตครับ เอาละ วันนี้ เม้าท์มาพอควรแล้ว ขอจบลงเพียงเท่านี้ก่อน พบกันใหม่บทความหน้า ราตรีสวัสดิ์ครับ ...