วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2556

เมื่อพระเจ้าสร้างมนุษย์แบบใหม่ ๒ แบบคือ "อัศวินแห่งแสง" และ "Transformer"

ตายละสิหว๋า พี่ชายได้รับแบบทดสอบที่ยากจริงๆ เมื่อมีเด็กช่างกลมาทำงานที่บ้านพี่ชาย (พ่อแม่จ้างมา) แล้วทำท่าว่าเขาจะสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปละ เขาไม่มีจิตสำนึกรู้ถูกผิดดีชั่วอ่ะ เหมือนที่พี่ชายเคยเจอเด็กช่างกลจี้เอาเงินมาแล้ว (งง เอ็งเป็นนักเรียนทำไมมาจี้เอาเงินคนอื่น ไม่ละอายแก่ใจ ในเสื้อผ้าที่สวมใส่ชุดสถาบันหรือไงหว๋า?) ซึ่งแรกๆ พี่ชายก็คิดว่าคงเป็นความใสซื่อมั้ง ไม่รู้อะไรดีชั่ว แต่เฮ้ย นี่มันก็ไม่เด็กแล้วนา? โตจนจะมีลูกได้แล้วอ่ะ? ทำไปทำมา พี่ชายพิจารณาแล้วก็เลยเข้าใจว่า ท่าทางจะสูญเสียจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์เข้าให้แล้ว จึงไม่เหลือมโนธรรม ไม่มีจิตสำนึกรู้อะไร ถูกผิดดีชั่ว (ต่างจากการไม่ยึดติดในความถูกผิดดีชั่วนะครับ มันคนละอย่างกัน) เลยกลายมาเป็นบทความในวันนี้ ให้ลองอ่านกันดู แล้วเอาไปพิจารณาเองครับ

อย่างแรก พี่ชายจะขออธิบายความหมายของคำว่า "อัศวินแห่งแสง" ก็คือ พวกที่ "ใสหุ้มเกราะ" ที่พี่ชายได้พูดถึงมาแล้ว นั่นเอง พวกนี้มาจากจิตวิญญาณกลุ่มใส จากเบื้องบนส่งมาทำกิจบนโลก อาศัยบาปกำเนิดหรือกิเลสจากการมีกามของพ่อแม่เป็นเชื้อเกิดแล้วมาชำระล้างทีหลัง ก็จะได้รับ "ชุดเกราะ" ห่อหุ้มเพื่อ "กำเนิดใหม่" กับอีกแบบหนึ่ง คือ Transformer คือ พวกที่สูญเสียจิตวิญญาณในร่างจนหมด ไม่มีความเป็นมนุษย์เหลืออีกแล้ว มีสภาพเหมือนหุ่นยนต์ ไร้ความรู้สึก ไร้จิตสำนึกใดๆ จากนั้น จึงได้รับ "จิตวิญญาณภาคมืด" เข้าไปแทนที่ ก็คือ ถูกแลกเปลี่ยนวิญญาณ กลายเป็น "คนของภาคมืดเต็มตัว" นี่เอง คนพวกนี้ จะไร้จิตสำนึกใดๆ ทำดีก็ได้ ชั่วก็ได้ แล้วแต่สิ่งแวดล้อมมันจะพาไปทางไหนก็ได้ทั้งนั้น พอมีเพื่อนๆ ชวนไปตีกัน ก็ตีกัน พอถูกจับออกทีวี เขาบอกให้ขอโทษ ก็ขอโทษ เฉยเลย แต่ในใจ ไม่มีความรู้สึกนึกคิดหรือจิตสำนึกอย่างที่พูดหรือกระทำเลย เหมือน "หุ่นยนต์" ที่ถูกพลังอะไรก็ได้ ขับเคลื่อนไป ทำดีทำชั่วได้หมด ไม่มีจิตสำนึกเลย น่ะเอง อาวละ พี่ชายจะได้เม้า้ท์เรื่องมนุษย์ ๒ แบบนี้ที่พระเจ้าสร้างมา ให้เราได้รู้จักกันต่อไป ซึ่งในบทความก่อนๆ พี่ชายได้เม้าท์เรื่องของมนุษย์กลุ่มแรกคือ "พวกใสหุ้มเกราะ" หรือ "อัศวินแห่งแสง" ไปมากแล้ว ต่อไป พี่ชายจะค่อยๆ เม้าท์เรื่องราวของพวก Transformer ต่อละกัน (หลักจำง่ายๆ คือ พวกอัศวินแห่งแสง จะมาจากเบื้องบน ที่มีความใสบริสุทธิ์มาก่อนแล้วอาศัยบาปกำเนิดมาเกิดแล้วผ่านการชำระล้างภายหลัง ส่วนพวก Transformer คือ พวกที่มาจากเบื้องล่างแล้วสูญเสียจิตวิญญาณให้ภาคมืดไปเลยต้องเป็นหุ่นยนต์ให้เขาเชิด) 


อย่างที่สอง พี่ชายขอเม้าท์เรื่องราวของ Transformer ให้มากขึ้น จะได้เข้าใจคนกลุ่มนี้ให้มากขึ้นครับ (พี่ชายเคยเป็นมาทั้งสองแบบอะละ พระเจ้าให้พี่ชายไปเป็นดู จะได้รู้ไงครับ) ซึ่งถ้าผู้อ่านยังนึกภาพไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นอย่างไร พี่ชายจะยกตัวอย่างของจริงให้ดูเลย จะได้ไปดูต่อกันเองทางทีวีช่องต่างๆ ก็มีครับ เช่น กลุ่มนักเรียนช่างกลตีกันแต่ไม่รู้อะไรถูกผิด ไม่มีหิริโอปตัปปะ ซึ่งเป็นจิตสำนึกมูลฐานแห่งความเป็นมนุษย์ พวกเขาไม่มีจิตสำนึกความเป็นมนุษย์นะครับ ใครลากพาไปทำดี ทำชั่วอะไร ไม่มีการคิด ทำไปเลย ทำได้หมด พอทำแล้วก็มาขอโทษอย่างไม่มีความรู้สึกอะไรแท้จริงกับคำพูดเหล่านั้นด้วย คือ ไร้จิตสำนึกนั่นเองแต่อย่าเพิ่งมองว่าำพี่ชายไปด่าเขานะไม่ใช่คำด่าครับ มันเป็นคำจริง พวกเขาสูญเสียจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ไปหมดจนมีแต่ร่างเปล่าๆ เหมือนหุ่นยนต์ จากนั้น จิตวิญญาณภาคมืดก็อาศัยในร่างของพวกเขาแทน พวกเขาจึงไม่มีความคิดของตัวเองอะไรเลย ถูกลากจูงไปทำอะไรก็ได้ ดีก็ได้ ชั่วก็ได้ ได้หมดทุกอย่าง ไม่รู้อะไรดีชั่วเลย ซึ่งมันไม่ใช่วิสัยปกติของมนุษย์ครับ เพราะมนุษย์ปกติทุกคนจะมีความรู้สึกผิดบาป, ชั่วดี กันทุกคนนะครับ มันคือ จิตสำนึกปกติของผู้ที่เป็นมนุษย์ครับ ทีนี้ พอเขาสูญเสียจิตวิญญาณมนุษย์ไปหมดแล้วเช่น เขาอยากได้เรียนช่างกล แต่ซาตานจะแลกเอาวิญญาณเขา เขาก็ไม่รู้ พอเขาได้เรียน เขาจะถูกรับน้องแปลกๆ และวิธีการรับน้องเหล่านั้นละ ที่ทำให้เขาตายไปกลายเป็นคนใหม่ ไม่เหมือนเดิมอีก เขาได้รับอะไรมาจากที่นั่น มันคือ "จิตวิญญาณภาคมืด" ครับ เขาก็จะไหลไปตามแต่สถาบันจะลากพาไป โดยไม่มีจิตสำนึกของตัวเองจะบอกตัวเองได้ว่า "เอ้ย ที่มันทำร้ายร่างกายคน เป็นนักเลงนี่หว่า ไม่ใช่นักเรียนแล้ว" นี่ เขาไม่รู้ครับ คิดไม่ได้ด้วย เพราะเขาไม่มีจิตสำนึกจริงๆ ไม่ใช่คำด่านะ มันคือความจริงเลย เขาเป็นเหยื่อซาตานและร่างของเขาก็ถูกภาคมืดยึดครองแล้วเรียบร้อย พอเข้าใจไหม พี่ชายจึงเรียกว่า Transformer ไงครับ เพราะพวกเขาเหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกบังคับให้ไปทางใดก็ได้


เอาละ บทความวันนี้ เม้าท์เท่านี้ก่อนละกัน บทความหน้า เราจะมาดูเรื่องของ Transformer กันต่อว่า พวกเขาจะทำอย่างไรต่อไป จึงจะหลุดพ้นจากสภาวะนี้ได้ ซึ่งอย่าเพิ่งตกใจครับ พวกเขามีทางออกนะครับ ถ้าจะให้พี่ชายสรุปสั้นๆ คือ พวก  Transformer จะบำเพ็ญตามเซียนองค์ที่แปด คือ พวกเขาจะมีจิตวิญญาณภาคมืด หรือ "อมนุษย์" ในร่างก่อน เมื่อบำเพ็ญเซียนสำเร็จก็จะได้เป็นมนุษย์สมบูรณ์ ก็จะรู้ว่าอะไรคือความเป็นมนุษย์ จิตสำนึกแห่งความเป็นมนุษย์ที่ไม่ต้องให้ใครมาสอน เราก็รู้เองได้เป็นมูลฐานนั้นมีอะไรบ้างนะครับ เอาละ ในวันนี้ พี่ชายค่อนข้างมีธุระนิดหน่อย ต้องรีบจบแล้ว ราตรีสวัสดิ์ครับ



วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556

สี่อัศวิน และการดำเนินไปสู่หนทางของนักรบแห่งแสงสว่าง

ใกล้่วันพิพากษาตัดสินแล้วว่า ใครจะไ้ด้ยึดครองเืมืองหลวงของไทย ระหว่างพรรครัฐบาล, พรรคฝ่ายค้าน หรือว่า "ผู้สมัครอิสระ" ที่มีทั้งอิสระจริง และแบบมีเบื้องหลังโยงใย ฮ่าๆๆ อย่าซีเรียสครับ อะไรมันจะเกิด มันก็ต้องเกิด พระเขาสอนกันมาอย่่างนั้น แหม จะว่าไปนะ ถ้ารัฐบาลได้ทั้งเมืองหลวง และภาคใต้นะ ทีนี้ละ ไม่ต้องคิดแล้วว่ามันจะสนุกขนาดไหน เอ้า กลับมาเรื่องของเราดีกว่า เดี๋ยวคนอ่านจะเครียดเกินไป วันนี้เรื่องต่อจากบทความที่แล้ว เล่าเรื่องอัศวินแห่งแสงสว่างที่มีัลำดับขั้นของพัฒนาการ ๔ ขั้น อธิบายเพิ่มเติมให้มากขึ้น ดังนี้


อย่างแรก พี่ชายอยากจะปูพื้นฐานนิดหนึ่ง กล่าวคือ พี่ชายใช้คำว่่าสี่อัศวินนั้น หมายถึง คนที่ใสแล้วได้รับการห่อหุ้มเกราะในความหมายของพี่ชายนะครับ ไม่ใช่ความหมายอื่น ดังที่ได้บอกแล้ว ในบทความก่อน พี่ชายขอย้อนซ้ำง่ายๆ อีกครั้ง ถึงบุคคล ๔ ประเภท ดังนี้ครับ

๑. ใสหุ้มกรรม คือ คนที่ภายในใสมากๆ แล้วถูกอำนาจแห่งวิบากกรรมห่อหุ้มภายนอก ทำให้ดูแปลกผิดปกติทางร่างกายหรือจิตใจได้นะครับ เช่น ถ้าถูกเจ้ากรรมนายเวรที่เป็นมารเล่นงาน ก็จะดูเหมือนบ้าๆ หรือดูผิดเพี้ยนไปได้ ถ้าถูกเจ้ากรรมนายเวรที่เป็นพวกชั้นต่ำเล่นงาน ก็อาจทำให้ป่วย นอนซมได้ เรียกช่วงนี้ว่าช่วงชำระวิบาก หรือช่วงแห่งการชำระล้างบาปของตัวเราเองก็ได้ (ล้างบาปไม่ได้หมายความว่าลบล้างความผิดบาปนะครับ โปรดเข้าใจด้วย) ช่วงนี้ ตันตระยานมักให้เก็บตัวก่อน ภายหลังจึงเกิดเป็น "นิกายลับ" ขึ้น ตามแนวคิดการเก็บตัวนี้

๒. ใสหุ้มพรหม คือคนที่ภายในใสมากๆ แล้วถูกอำนาจแห่งวิบากกรรมห่อหุ้มภายนอกแต่เป็นวิบากกรรมส่วนดีหน่อย เข้ามาบำเพ็ญบุญบารมีร่วมกับคนๆ นั้นครับ ทำให้ดูเหมือน X-men มีพลังพิเศษ เช่น เ็ป็นคน ทรง มีญาณหยั่งรู้ ทำนายทายทักคนได้ อะไรแบบนั้น เคยเห็นไหมละ คนที่เคยย่ำแย่ ป่วยแย่ แล้วต่อมา ก็กลายเป็นคนทรง แล้วดีขึ้นน่ะ มันก็พัฒนามาจากขั้น "ใสหุ้มกรรม" นั่นแหละ ช่วงนี้ เรียกว่่า สบายตัวขึ้น ออกมาพบปะกับผู้คนได้แล้ว เพราะวิบากกรรมเบาบางลงเริ่มมีบุญเข้าแล้วครับ หรืออีกมุมหนึ่งก็คือ ชดใช้กรรมด้วยการทำกิจต่างๆ นั่นเอง

๓. ใสหุ้มเซียน คือ คนที่ภายในใสมากๆ แล้วไม่ถูกอะไรครอบงำ ทว่า ตรงสู่นิพพานได้เอง คล้ายๆ ว่าเกือบจะตรัสรู้เองเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าอะไรแบบนั้น (ถ้าตรัสฯ ผิดเวลาละยุ่งเลย สามภพจะแปรปรวนอ่ะ) เขาก็เลยต้องใช้ "พลังแห่งชุดเกราะเซียน" หุ้มไว้ก่อน ป้องกันไม่ให้กลายเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าไป แบบนี้ ใสโคตรๆ เกือบจะรู้ธรรมเท่าๆ กับพระปัจเจกพุทธเจ้าเลย ทว่าเพราะไม่ได้รับธรรม ไม่ได้ต่อสายธรรมตรงต่อพระพุทธเจ้าก็เลยยังไม่ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล เราจะนับว่าเขาเป็นเซีัยนก่อนนะครับ ปกติ พวกนี้จะอยู่เฉยๆ ไม่ทำกรรมอะไรครับ

๔. ใสหุ้มพระ คือ คนที่ภายในใสมากๆ แล้วได้รับธรรม ได้ต่อสายธรรมตรงจากพระพุทธเจ้าก็จะบรรลุธรรมอย่างแท้จริงเป็นพระอรหันต์ได้ซึ่งมักจะตามมาด้วยการบวชเป็นพระครับ ดังนั้นผมจึงใช้คำเรียกง่ายๆ ว่า "ใสหุ้มพระ" คือ ความเป็นพระมันไม่ใสหรอก มันก็เป็นตัวตนอะไรสักอย่างหนึ่งอ่ะนะ แต่ว่ามันก็แค่ "เปลือกนอก" ที่ห่้อหุ้มสิ่งที่ใสๆ นั้นให้มีสถานภาพอยู่ร่วมกับผู้คนในสังคมได้ ก็เท่านั้นเอง ซึ่งท่านเหล่่านี้จะเป็นพระแท้ ทั้งโดยสมมุติและวิมุติ ไม่ใช่แ่ค่ได้บวชแล้วห่มผ้าเหลือง

เอาละ พี่ชายได้แนะนำให้รู้จักบุคคลทั้ง ๔ แบบแล้ว ซึ่งสามารถที่จะพัฒนาไปได้เป็นขั้นๆ ครับ กล่าวคือ จากแบบที่ ๑ ไป ๒ ไป ๓ แล้วไป ๔ ครับ พวกที่บวชพระตั้งแต่เล็กๆ เติบโตมาทางสายพระ ไม่่ค่อยได้ทำกรรมทางโลกอะไร เมื่อใสแล้วมักมีช่วงที่ ๑ สั้นๆ เช่น แค่ช่วงเร่งปฏิบัติธรรม อาจพบว่ามีมารแทรก มารครอบงำ หรือเจ็บป่วยบ้าง แล้วก็จะเข้าสู่ช่วงที่ ๒ ได้ไม่ยากครับ เช่น สายพระป่าทั้งหลาย ซึ่งมักจะติดอยู่ในขั้นที่ ๒ นี้มาก คือ สร้างบุญบารมีร่วมกับเทพพรหมเสียมาก ก็เลยไม่ก้่าวหน้าไปสู่ขั้นที่ ๓ ครับ ส่วนพวกที่อยู่ขั้นที่ ๓ มักจะสันโดษ มากๆ ไม่ค่อยได้คลุกคลีเข้าสังคมกับใครเขา จนเมื่อรู้แจ้งชัดแล้วว่ามันไม่ใช่วิถีแห่งพระพุทธศาสนา มันเป็นวิถีปัจเจกฯ ก็จะเคลื่อนต่อไปยังขั้นที่ ๔ คือ แสวงหา "สายธรรม" ของพระพุทธเจ้าในลำดับต่อไป


อย่างที่สอง พี่ชายอยากบอกว่่าในยุคนี้ คนไทยจำนวนมากครับ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะอะไร? เพราะว่าพวกเขามาจากเบื้องบน พวกเขาเคยใสมาก่อน แล้วลงมาเกิดเพื่อช่วยกิจครั้งสำคัญในยุคกึ่งกลางพุทธกาลนี้ เมื่อถึงวาระ พวกเขาจะกลับไป "ใสได้เหมือนเดิม" พอเข้าใจไหมครับ เริ่มจากเขาใสมาก่อนแล้วเขาก็อาศัย "บาปกำเนิด" มาเกิด อาศัยกามกิเลสกำเนิด ปราณที่ไม่บริสุทธิ์ของพ่อและแม่มากำเนิด เขาก็เลยได้รับกิเลส บาปกำเนิดไปช่วงต้นๆ พอถึงจุดหนึ่ง พวกเขาจะได้รับการ "ชำระล้างภายใน" ตามธรรมชาติ ตามระบบร่างกาย ตามการใช้ชีวิต ตามปกติครับ จากนั้น พวกเขาก็จะ "ใสปิ๊ง" เหมือนเดิม และที่นี้แหละที่พวกเขาเริ่มอยู่ร่วมกับมนุษย์โลกได้ยากแล้ว ใสเหมือนมนุษย์ต่างดาว จนแตกต่างจากคนอื่นๆ มากเกินไป กระบวนการหุ้มเกราะก็จะเริ่มขึ้นครับ โดยมีพลังชุดเกราะมาให้เราได้ใช้เป็นขั้นๆ ไปเริ่มจากขั้นที่ ๑ ไปจนถึงขั้นที่ ๔ นั่นแหละ แล้วแต่ว่าจะมีอายุยาวไปถึงไหนแต่ถ้าตายก่อนก็จบอ่ะครับ จบขั้นไหน ก็ได้ขั้นนั้น ไม่จำเป็นว่าทุกคนจะจบในขั้นที่ ๔ หรอกนะครับ ทีนี้ ก็ลองมาดูพวก X-men กันมากๆ หน่อย คือคนที่อยู่ในขั้นที่ ๒ นั่นเอง พวกนี้ มักมีอาชีพหรือการงานที่ดีนะครับ ตามแบบของพลังชุดเกราะที่ได้รับครับ เช่น บางคนก็เป็นหมอดู ดูดวงได้เงิน มีชีวิตอิสระ ไม่ต้องขึ้นกับใคร บางคนก็เป็นหมอนวด หมอรักษาโรคแผนโบราณไป ก็มีครับ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่พวกเขาจะได้ทำกิจร่วมกับเทพพรหมต่างๆ เพื่อการชำระล้าง และการเกิดใหม่นะครับ กล่าวคือ เทพพรหมที่มาร่วมบารมีด้วย จะมาำชำระล้างตัวเองโดยการทำกิจร่วมกับเราจนหมดหน้าที่ไปครับ เขาก็จะตรงต่อนิพพานไป แต่เราจะได้บารมีไปต่อครับ (ดีใจไหม คุณได้ไปต่อนะ!) ซึ่งในการทำกิจทั้งหลายช่วงนี้ "ล้วนไม่ได้ตรงต่อนิพพาน" อะไรหรอกนะครับ เช่น การที่พระสร้างวัดนั้น ก็ไม่ใช่วิถีทางตรงต่อนิพพานหรอกครับ มันเป็นแค่กระบวนการ "ชำระล้าง" อย่างหนึ่ง ชดใช้ และเคลียร์กรรมกับเทพพรหมทั้งหลายอย่างหนึ่งเท่่านั้นเอง ก่อนที่เทพพรหมเหล่านั้น ท่านจะเข้านิพพานไป เพราะท่านไม่อยากไปต่อแล้ว อยากตรงต่อนิพพานกันละ ว่างั้นเหอะ เทพพรหมเหล่านี้ ก็เลยต้องหาร่างสังขารมาร่วมทำกิจ บำเพ็ญบารมี เพื่อชดใช้กรรมทำหน้าที่ของตนให้หมดสิ้นไป จะได้หมดภาระ ปลดเปลื้องภาระของตนให้หมดสิ้นเสียที ก็เท่านั้นเองครับ


และด้วยเหตุนี้ จึงทำให้มนุษย์หลายคนกลายเป็น X-men ครับ แต่ว่าหลายคนก็ใช้พลังงานมากเกินไป ทำให้ช่วงท้ายๆ ของชีวิต ได้รับผลกรรมมากได้ครับ โดยเฉพาะท่านที่ได้รับพลังพิเศษมาก่อน ทั้งๆ ที่ยังไม่ใสมากนัก (ซึ่งแบบนี้ก็มีครับ เรียกว่า "เป็นพาหะของพลังงาน") ก็เมื่อมีคนรับช่วงเอาพลังชุดเกราะเหล่านั้นไปแล้ว พวกเขาจึงหมดกิจ หมดภาระไปได้ แต่ถ้ายังไม่มีใครรับช่วงต่อไป พวกเขาก็ยังต้องฝืนที่จะต้องทำกิจนั้นๆ ต่อไป และด้วยการฝืนกำลังมากเกินไปนี่เอง ทำให้พวกเขาต้องยากลำบากในช่วงท้ายของชีวิตนะคับ เอาละพี่ชายเม้าท์มายาวแล้ว เริ่มง่วง ต้องขอตัวไปพักผ่อนก่อนครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ ...



วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เคล็ดลับ ๔ ประการ ที่จะทำให้คุณครอบครองพลังพิเศษจากชุดเกราะอัศวินแห่งแสงสว่าง!

มีเรื่องประหลาดมาเม้าท์ให้ฟังครับ เมื่อวานแมวพี่ชายหายไปตัวหนึ่ง แล้วอีกตัวมันก็ไปหาเพื่อนมันในตู้เก่าๆ จนพี่ชายสงสัยเลยตามไปหาบ้าง มันก็ตามพี่ชายไปหาเพื่อนมันครับ แล้วก็พบว่ามันถูกกักตัวอยู่ที่บ้านของเพื่อนบ้าน (คงอยากเลี้ยงมัน แต่ไม่รู้ว่าแมวมีเจ้าของมังอ่ะ) สุดท้าย เขาก็ยอมคืนแมวมาครับ ต่อมาวันนี้ เงินพี่ชายหายไปอีก มันอยู่บนบ้านซึ่งมีคนขึ้นบ้านพี่ชายแค่สามคนในวันนี้ ก็พอเดาไม่ยากอ่ะ เลยสรุปได้ว่าพี่ชายมีวาระต้องถูกขโมยอะไรบางอย่าง ดีแล้ว เงินแค่ห้าร้อยบาทครับ หายไปเท่านั้น ดีกว่าแมวหาย ฮ่าๆๆ ทำให้พี่ชายถูกจูนด้วยพลังสามแบบ คือ ๑. พระนารายณ์องค์ปราบราหู ๒. พระสุริยเทพองค์โปรดราหู ๓. พระศิวะองค์ใช้ราหูทำลายล้าง พี่ชายเฉยๆ กับพลังสามแบบนั้น รู้สึกเฉยๆ ที่เงินหายครับ ไม่โกรธ ไม่อะไรทั้งนั้นอ่ะ เข้าใจแบบใสๆ สว่างๆ เลย ตกเย็นเลยทำ "แกงมัสมั่นไก่" ครั้งแรกในชีวิต โอ้ว้าว อร่อยว่ะ ฮ่าๆๆ ผีแขกสิงกรูแล้วมึงเอ้ย (ขำๆ นะครับ) มะมาเข้าเรื่องของเราดีกว่า วันนี้ เรื่องของพลังงานชั้นนอกที่ครอบคลุมตัวเราหลังจากเราใสมากๆ แล้ว ซึ่งพี่ชายขอเรียกว่า "พลังชุดเกราะอัศวินแห่งแสงสว่าง" มันมาได้อย่างไร? เอาละ ลองอ่านดูละกันนะ 


อย่างแรก พี่ชายอยากจะปูพื้นฐานก่อนว่าคนเราทุกคน มีจิตที่บริสุทธิ์ และธรรมอันบริสุทธิ์ประกอบกันขึ้นมาเป็นตัวตน เมื่อมันประกอบด้วยธรรมหลายๆ อย่าง มันเลยกลายเป็นไม่บริสุทธิ์ไป เ่ช่น เมื่อเรามีจิตที่บริสุทธิ์ และมีิกิเลสจรด้วย ผสมกัน ออกมาเลยดูเหมือนว่าไม่บริสุทธิ์ แท้แล้ว มันเป็นเรื่องของความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์น่ะหรือ? มันอาจจะใช่ถ้าเราตัดสินมันด้วยการมองแบบผิวเผินเช่นนี้ คือ พอมันไม่ผสมกับอะไร เราก็ว่ามันบริสุทธิ์ แต่พอมันผสมกับอะไรๆ มันก็กลายเป็นไม่บริสุทธิ์ อันนี้เป็นเพียงเรื่องความเข้าใจตื้นๆ ทางโลกเท่านั้นเองครับ ซึ่งก็ใช้ได้ระดับหนึ่ง ระดับปุถุชนครับ เอาเป็นว่าผมจะพูดจากระดับนี้แล้วค่อยๆ ไต่ไประดับที่สูงขึ้น ละเอียดขึ้นก็แล้วกัน ทีนี้ พอแยกส่วนดูแล้ว แต่ละส่วนล้วนบริสุทธิ์ในตัวมันเอง แต่พอรวมกัน ก็กลายเป็นมันไม่บริสุทธิ์ไป นี่คือ มุมมองจากตื้นๆ ก่อนนะครับ ทำให้เราได้คนสองแบบ คือ ๑. คนที่มีส่วนผสมออกมาแล้วบริสุทธิ์ ใสๆ ซึ่งเราจะนับเอาจากการที่กิเลสของเขา ดับลง หมดลง ชั่วระยะหนึ่งนั้น ๒. คนที่มีส่วนผสมออกมาแล้วไม่บริสุทธิ์ ไม่ใส ซึ่งเราจะนับเอาจากที่เขายังมีกิเลสอยู่นะครับ โอเค? เอาอย่างนี้ก่อนเป็นพื้นๆ นะครับ ทีนี้ ผมจะเล่าถึงคนที่ใสมากๆ บริสุทธิ์มากๆ ซึ่งมีได้ เกิดได้ครับ ผมจะไม่เรียกว่าเขาบรรลุธรรมอะไรหรือไม่นะครับ เอาเป็นว่าใสพอที่จะบรรลุธรรมพร้อมรับธรรมเต็มที่ก็แล้วกัน ช่วงเวลานี้เอง ผมอยากเรียกว่า "ช่วงแห่งการรับเกราะอัศวิน" ก็แล้วกัน ถ้าสมมุติ คุณใสมากแล้วได้รับธรรมจากพระพุทธเจ้า คุณก็จะมีโอกาสบรรลุธรรม ผมเรียกว่า "ใสห่มเหลือง" แล้วกันครับ ถ้าคุณไม่ได้รับธรรมตรงจากพระพุทธเจ้าละ? คุณอาจรับอย่างอื่นแทน ก็เพราะว่าภาวะใสแบบนี้ ไม่จีรัง เป็นอนิจจัง ไม่อาจยึดนั่นเองครับ เช่น คุณอาจได้รับธรรมจากสายอื่นๆ แทน สายพรหมฤษีไหม? สายเซียนไหม? ได้ทั้งนั้นแหละครับ ซึ่งมันไม่เหมือนกัน ผมขอเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าการรับ "ชุดเกราะอัศวินแห่งแสงสว่าง" ก็แล้วกันครับ อย่าไปเรียกว่าการบรรลุธรรมอะไรเลย มันจะทำให้เราหลงตัวเอง แล้วไปทะเลาะกับชาวบ้านเขาเสียเปล่าๆ ฮ่าๆๆ นี่แหละ เรื่องที่ผมจะมาเม้า้ท์ให้ผู้ชมได้ฟังกันในวันนี้ ว่าถ้าเราใสมากๆ แล้ว เราไม่ได้ตรงสู่นิพพาน ไม่รับธรรมจากพระพุทธเจ้า เราจะรับ "ชุดเกราะ" อะไร อย่างไรได้บ้าง?


อย่างที่สอง ต่อไป ผมจะเม้าท์ว่าเมื่อเราใสบริสุทธิ์มากๆ แล้วเรายังไม่ภึงวาระนิพพาน ไม่ได้รับธรรมจากพระพุทธเจ้า ไม่ได้เป็นอริยบุคคล ก็สามารถรับธรรมสายอื่่นได้ พลังธรรมนั้นจะปกคลุมอยู่ชั้นนอกสุดของกายเราอีกที ผมจึงเรียกว่า "ชุดเกราะ" นั่นเอง (เป็นการอุปมา ไงครับ)  ทีนี้ ชุดเกราะนี้ มีพลังพิเศษครับ มีคุณสมบัติพิเศษด้วย แต่มันมีหลายอย่างจริงๆ อย่่างที่ผมจะนำมาเม้าท์ให้ผู้ชมฟังกันทั้งสิ้น ๔ แบบดังนี้

๑. แบบถูกแทรก คือ การที่เราใสบริสุทธิ์มากๆ แล้วเราไม่ทันทำอะไร ก็โดนบางสิ่งแทรกหรือครอบงำเราอีกที อันนี้ เข้าข่ายวิบากกรรม ให้เราต้องรับ มักมาเล่นงานเรา ส่งผลด้านลบ เช่น เจ้ากรรมนายเวรครับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพลังมาร เนื่องจากมีพลังอำนาจมากพอแทรกได้

๒. แบบทำเอง คือ การที่เราใสบริสุทธิ์มากๆ แล้วเราทำกิจแบบพระปัจเจกฯ ไปเลย คือ คิดเอง ทำเอง รู้เอง แล้วไม่ตรงนิพพาน เช่น พอจิตใสมากๆ แล้วคิดว่าบรรลุอรหันต์แล้วก็คิดสร้างวัด แบบนี้ จะได้รับพลังจากชุดเกราะ "สายพรหมฤษี" ที่ส่งมาจากพระผู้สร้าง เช่น พรหม

๓. แบบปัจเจกฯ คือ การที่เราใสบริสุทธิ์มากๆ แล้วเราทำกิจแบบพระปัจเจกฯ ไปเลย คือ คิดเอง ทำเอง รู้เอง แล้วตรงนิพพานเฉยเลย ซึ่งเกิดขึ้นได้ครับ แต่เราไม่ใช่พระปัจเจกฯ นะครับ เราจะได้พลังเซียน เช่น การที่ใสมากๆ แล้วเขียนธรรมทิ้งไว้ คล้ายท่านเล่าจื้อ เช่นนั้น

๔. แบบรับวิบาก การที่เราใสบริสุทธิ์มากๆ แล้วเราปล่อยวางทุกๆ กิจแบบพระอรหันต์แท้ๆ ไปเลย ไม่คิดเอง ไม่ทำเอง แล้วปล่อยให้เป็นไปตามอำนาจแห่งวิบากกรรม รอวิบากกรรมมาซัดพาไปว่าเราจะทำกิจอะไร ก็จะได้รับพลังนั้นเป็นชุดเกราะหุ้มอยู่ภายนอก เช่น พระอรหันต์

ซึ่งทั้งสี่แบบนี้ สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้นครับ มันมักมาทำให้เราหลงไปว่าเราใสแล้ว บรรลุธรรมแล้ว จากนั้นพอเราหลง เราก็เผลอรับพลังไปครอบคลุมเปลือกนอกเอาครับแบบใดแบบหนึ่งใน ๔ แบบนี้ ถ้าเป็นไปตามแบบที่ ๔ ก็ตรงทางพระพุทธศาสนาตรงนิพพานครับ ซึ่งพระพุทธองค์และพระอรหันต์ทั้งหลาย ล้วนเป็นเช่นนี้ไม่ต่างกัน บรรลุธรรมแล้ว ย่อมปล่อยวางทุกกิจจนกว่าจะมีผู้มานิมนต์เชิญให้ไปทำกิจอันควรทำครับ ทว่า หลายท่านใสมากๆ แล้ว ไปไม่ถึงดวงดาว ยังไม่บรรลุธรรมจริงๆ ยังไม่ได้ต่อสายธรรมจากพระพุทธศาสนาจริงๆ แต่โดนไอ้สามแบบแรกครอบงำไปก่อน แบบที่โดนแทรกเพราะวิบากกรรมนั้น ยังไม่มาก ยกตัวอย่างเช่น ท่านที่สอนแนวธรรมกายแต่หลายท่านบอกว่านี่คือหลงทางนั่นแหละ ท่านนี้จิตใสมากเกือบถึงแล้ว แต่ัยังไม่ทันจะได้ต่อสายธรรม "มาร" ก็เข้าแทรกก่อน ขวางไว้ ไม่ให้ได้บรรลุธรรม ส่วนท่านอื่นๆ อีกหลายท่านโดยเฉพาะ "สายพระป่า" จะหลงไปเป็นแบบที่สอง คือ "แบบทำเอง" ยังไม่ทันบรรลุธรรมจริงๆ ใสมากๆ แล้ว ยังไม่ได้ต่อสายธรรมจากพระพุทธเจ้า ถูกหลอกให้หลงว่าบรรลุธรรมแล้ว ก็เลยคิดเองทำเอง ส่วนใหญ่ก็ชอบสร้างวัดครับ (คิดเอง ไม่ได้ถูกเชิญให้ทำนะ) ลองสังเกตุดีๆ มีพลังพรหม พลังฤษีอยู่เพี้ยบเลย วันๆ เอา แต่นั่งสมาธิเพลินเชียว ส่วนผมก็ไม่รีบนิพพานเหมือนกันแต่เป็นแบบที่สามครับ ผมเลยเข้าใจว่าใครไปไม่ถึงดวงดาวบ้าง อย่างไรละครับ


เอาละ การที่เราจะได้รับ "พลังชุดเกราะอัศวิน" มันอยู่ที่เราใสบริสุทธิ์ทั้งตัวใหม? ไม่ใช่แค่มีจิตประภัสสรนะครับ อันนี้ มีอยู่แล้วทุกคนแหละ แต่ถ้าเราใสทั้งตัวได้ ก็พร้อมรับพลังชุดเกราะอัศวิน แบบใดแบบหนึ่งในสี่แบบดังกล่าวนั้น ทั้งนี้จะไ้ด้รับแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าเราทำตัวไปทางไหนดังที่ได้อธิบายไว้ข้างต้นครับ โอเคนะ? ไม่ยากใช่ไหม? ทีนี้ ก็แล้วแต่ทางใครทางมันแล้วละครับว่าจะเลือกชุดเกราะอัศวินแบบใด สำหรับวันนี้พี่ชายเม้าท์มายาวพอควรแล้ว ขอจบก่อน ราตรีสวัสดิ์ครับ




วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วิวัฒนาการของพลังงานไปสู่ "พลังชีพ" และกลายเป็น "ชีวิต" ?

โอ้ย เดี๋ยวนี้เป็นอะไรนะ เปิดทีวีก็ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ เปิดเน็ต ก็ไม่รู้ว่าจะไปเล่นเว็บอะไรดี มือถือก็แทบไม่ได้ใช้มาไม่รู้กี่เดือนแล้วจนทางบริษัทส่ง SMS มาให้โปรโมชั่นเราเติมเงินซะเร็วๆ เต็มไปหมด ทั้งฟรีค่าโทร, ทั้งอะไรต่อมิอะไร เต็มไปหมด งงจริงๆ ไม่รู้จะโทรไปคุยอะไร กับใครดี ฮ่าๆๆ ตลกมะ? สงสัยพี่ชายจะขำอยู่คนเดียวนี่แหละ เอาละ มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า วันนี้ มาด้วยเรื่องการวิวัฒนาการของพลัง ที่ไม่เหมือนกับการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต มันเป็นแค่การเปรียบเทียบเฉยๆ น่ะครับ แต่คล้ายกันทีเดียว เป็นอย่างไรละ? ก็ลองอ่านดูครับ


อย่างแรก พี่ชายขอปูพื้นฐานก่อนด้วยคำสองคำ ๑. พลังงาน คือ อะไรที่มีศักยภาพพอจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ พี่ชายขอเรียกว่า "พลังงาน" เช่น ไม้ที่ถูกเปลี่ยนเป็นถ่านได้ ก็ต้องมีพลังงานเข้ามาเกี่ยวข้องครับ ๒. ชีวิต คือ อะไรที่นอกจากจะเกิดและตายได้แล้ว ยังสามารถกระทำกิจต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ด้วยเพราะมันมีความคิด, จิตใจ, อารมณ์, ความรู้สึกฯลฯ เป็นต้น ส่วนคำว่า "พลังชีพ" ก็คือ พลังงานที่อยู่ในสิ่งมีชีวิต หรือมาจากสิ่งมีชีวิตโดยตรง ซึ่งมันจะมีคุณสมบัติบางอย่างคล้ายสิ่งมีชีวิตด้วย เช่น คล้ายมีความคิด, จิตใจ, อารมณ์, การรับรู้ ฯลฯ ได้ แต่ไม่ใช่เพราะมันมีจิตนะครับ แต่เพราะมันมีลักษณะอันหลงเหลือสืบเนื่องมาจากสภาวะของการมีชีวิตเป็นสัตว์มาก่อน อะไรแบบนั้น ดังนั้น หากเราจะพิจารณาพลังงานแล้ว จะทำให้่มีพลังงานหลายชนิด หลายประเภท ซึ่งพี่ชายขอแบ่งชนิดไว้ เป็นดังนี้

๑. พลังที่ไร้ชีวิต คือ พลังงานทั่วๆ ไป ที่ไม่มีชีวิต ไม่ได้รับคุณลักษณะบางอย่างจากสิ่งมีชีวิตเข้ามาด้วย เช่น พลังไฟฟ้า, พลังความร้อน ซึ่ง เป็นพลังงานที่วิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบัน รู้จักมากที่สุดกว่าชนิดอื่นๆ

๒. พลังชีพ คือ พลังงานที่อยู่ในสิ่งมีชีวิต, เกิดจากสิ่งมีีชีวิต หรือได้รับการสืบทอดคุณลักษณะบางอย่างจากสิ่งมีชีวิตมา ทำให้มีคุณลักษณะพิเศษเพิ่มขึ้นมา คล้ายว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตไปด้วย เช่น พลังปราณชีพ

๓. พลังมีที่มีชีวิต คือ พลังงานที่มีชีวิต หรือเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งมีชีวิต ทั้งในมิติแห่งวัตถุสสารและในมิติแห่งพลังงานหยาบ และพลังงานละเอียด (มิติทิพย์) เช่น จิตวิญญาณ ก็จัดเป็นพลังงานที่มีชีวิตด้วย

สิ่งที่เราจะพิจารณาต่อไปคือ การเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการของพลังงานจากพลังงานในข้อ ๑ ไป ๒ ไป ๓ (จากหยาบไปละเอียด) และจากพลังงานในข้อ ๓ ไป ๒ ไป ๑ (จากละเอียดไปหยาบ) ซึ่งมันเป็นไปได้ทั้งสองทางครับ หมายความว่า พลังงานหยาบ เช่น พลังไฟ อาจแปรเปลี่ยนไปสู่พลังชีพที่ละเอียดขึ้นได้ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในสิ่งมีชีวิต หรือส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณได้ นี่คือ การวิวัฒนาการของพลังงานจากหยาบไปละเอียด และพลังงานละเอียด เช่น พลังจิตในมนุษย์ อาจวิวัฒนาการไปสู่พลังงานที่หยาบขึ้นได้ เช่น พลังจิตอาจแปรสภาพเป็นพลังชีพ (พวกพลังชี่กง) แล้วแปรสภาพให้หยาบลงอีก เป็นพลังไฟ ก็ได้ เหมือนอย่างที่เราเห็นคนบางคน ใช้พลังภายในจุดไฟเพื่อเผาอะไรๆ ได้น่ะครับ มันก็คือ วิวัฒนาการของพลังงานนั่นเอง


อย่างที่สอง พี่ชายจะเม้าืท์ต่อให้ลึกและละเอียดขึ้นไป ถึงเรื่องราวของการวิวัฒนาการของพลังงานเหล่านี้ ว่าพวกมันต้องผ่านอะไรมาบ้าง และต้องมีชีวิตที่โลดดผน ผจญภัยอย่างไร แต่ไม่อาจจะเม้าท์ได้หมดนะครับ มันจะยาวเกิน ขอเป็นแค่น้ำจิ้ม เอาไว้ให้ใครหลายๆ คนได้เป็นแรงบันดาลใจในการค้นหารายละเอียดที่ลึกซึ้งขึ้นกว่านี้ ด้วยตนเอง ดีกว่าครับ อย่างที่ยกตัวอย่างไปแล้วว่าบางกรณี พลังงานอาจแปรสภาพจากที่ละเอียดไปหยาบได้ จากพลังจิตกลายเป็นพลังไฟได้ หรืออาจจะแปรสภาพพลังงานจากหยาบเช่น พลังไฟ ไปเป็นพลังชีิพในตัวมนุษย์ ก็ได้เช่นกัน หรือถ้าใครยังไม่้เห็นภาพ พี่ชายอยากให้นึกภาพของสถาปนิกที่ใช้พลังความคิด สร้่างสรรค์สิ่งต่างๆ แล้วก็ขับดันให้เกิดสิ่งต่างๆ เป็นรูปธรรมออกมาตามความคิดนั้นๆ พอเห็นภาพการแปรสภาพของพลังงานนี้แล้วนะครับ เอาละ ในผู้ที่ฝึกแปรสภาพพลัง จนมีความชำนาญดีแล้ว เขา็ก็สามารถแสดงตัวอย่างให้เราเห็นการแปรสภาพพลังงานนั้นๆ ได้ แต่บางครั้งก็ยากเกินไปที่จะแสดงให้เห็นได้ครับ เพราะพลังหลายชนิดเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น เช่น พลังจิต เราก็มองไม่เห็น ใช่ไหมครับ มันจึงแสดงให้ดูได้ยาก บางอย่่าง เกิดขึ้นได้จริงตามการแปรสภาพพลังงานของเรา เช่น บางคนอาจใช้พลังจิตในการนึกถึุงเมืองที่ตัวเองอยู่ ที่สวยงามตามที่เขาต้องการ แล้วมันก็อาจจะเกิดขึ้นตามพลังจิตของเขานั้นๆ ได้ อย่างนี้ เราก็ไม่อาจสรุปหรือชี้ชัดได้ว่า สิ่งที่เกิดนั้นมาจากพลังงาน พลังจิตของเขาคนนั้นจริงๆ ซึ่งพลังจิตของเขาอาจขับดันผ่านวัตถุิสิ่งของและบุคคลให้สร้างสิ่งนั้นๆ ขึ้นมาก็ได้ (แต่เราก็ไม่อาจพิสูจน์และสรุปได้ชัดเจน) ในบางท่าน ซึ่งเข้าใจหลักการนี้ดี และนำไปใช้แล้ว เช่น การนึกถึงภาพของตัวเองที่ประสบความสำเร็จในการขายตรง ร่ำรวย เป็นเศรษฐีนี อะไรแบบนี้ ซึ่งคนที่สามารถแปรสภาพพลังงานไปสู่พลังหยาบที่เป็นรูปธรรมเชิงวัตถุได้ ก็จะส่งผลให้เกิดขึ้นจริงได้ แต่ในคนที่มีปัญหา หรือไม่อาจจะแปรสภาพของพลังงานให้ไปสู่ความเป็นรูปธรรมเชิงวัตถุได้ มันอาจจะไม่เกิดสิ่งนั้นขึ้นมาจริงๆ ทว่า นั่นก็ไม่อาจพิสูจน์ได้อีกว่า การแปรสภาพพลังงานจากละเอียดไปหยาบ จนเกิดผลเป็นรูปธรรมเชิงวัตถุนี้ จะเป็นความจริงหรือไม่? แต่อย่างหนึ่งที่เราทราบดีและพิสูจน์ได้คือ วิธีนี้ ไม่มีค่่าใช้จ่ายเพิ่ม ไม่ต้องซื้อหาอะไรเพิ่มเติม ไม่มีต้นทุน ก็ใช้ได้ดีครับ


เอาละ อย่าลืมว่าพลังงานไม่สูญหายไปไหน และไม่อาจเพิ่มขึ้นมาได้อย่างไร้เหตุผลนะครับ หมายความว่าถ้าเราแปรสภาพพลังจิตพลังชีพของเราไปเป็นพลังในรูปธรรมเชิงวัตถุมากเกินไป มันอาจจะส่งผลให้พลังชีพเราลดลง ก็ได้ ดังนั้น ถ้าเรารู้จักการเพิ่มพลังงาน เพื่อปรับให้เกิดความสมดุลแล้ว ก็ไม่น่ามีปัญหามากนัก แต่ถ้าเราทราบเพียงเรื่องเทคนิคการแปรสภาพพลังจิตเป็นรูปธรรมเชิงวัตถุแล้วละก็ อาจส่งผลให้เราใช้พลังชีพมากเกินไป จนพลังชีพแห่งความเป็นมนุษย์ลดลงจนไม่เหลือความเป็นมนุษย์ ก็ได้ครับ แต่เราอาจยังไม่ตาย เพราะเราอาจได้รับ "พลังชีพในกลุ่มที่ไม่ใช่มนุษย์" (พลังชีพของอมนุษย์) มาหล่อเลี้ยงชีวิตเราต่อไป ทำให้เรามีสภาพเป็น X-men ได้ โดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งหลายคนกำลังเป็นเช่นนี้ครับ เพราะใช้พลังมากเกินไป และทำให้เกิดรูปธรรมเชิงวัตถุมากเกินไป แต่ไม่ทราบวิธีเสริมเพิ่มเติมพลังงานหรือแปรสภาพพลังงานให้กลับมาสมดุลได้ ดังเดิม เอาละ หมดเวลาที่จะเม้าท์แล้ว เอาไว้วันหลัง จะได้เม้าท์ักันเรื่องนี้ต่อ แ้ล้วแต่ดวงนะครับ สำหรับวันนี้ พี่ชายต้องขอตัวไปพักก่อนนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ




วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

จูนคลื่นพลังความถี่อย่างไร จึงขับเคลื่อนให้สังคมดำเนินไปได้ด้วยมือคุณ!

จุ๊ๆ อย่่าเอ็ดไป พี่ชายมีเรื่องสาวสวยข้างบ้านมาเม้าท์ละ เมื่อก่อนเธอจะร้องเพลงอย่่างมีความสุขทุกวัน แต่เดี๋ยวนี้ เธอเลิกร้องแล้ว หันไปร้องไห้แทน ถามว่า "ทำไม?" ตอบว่า เธอถูกแกล้งให้ออกจากงานทั้งที่ไม่ได้ทำผิดอะไร เธอคิดว่าอย่างนั้น แต่พี่ชายว่าเธอทำผิดมากเลยละ เช่น เธอสวยเกินไป, เธอดีเกินไป, เธอขยันเกินไป, เธอเก่งเกินไป, เธอซื่อตรงเกินไป โอเคมะ อ้าว แล้วอย่่างนี้ มันผิดตรงไหนอ่ะ? พี่ชายขอตอบว่า "มัน ผิดปกติอ่ะ" ปกติ บ้านเมืองนี้ เขาไม่เป็นกันอย่างนี้ไงละ ก็เลยผิดปกติ ผิดมาก ผิดไปจากคนอื่นๆ เขาอ่านะ ปกติบ้านเมืองนี้ มีแต่คนโกงกิน, เล่นพรรคพวก, หน้าไหว้หลังหลอก, เห็นแก่ตัว, ไม่สนใจชาวบ้าน, ทำงานเช้าชามเย็นชาม, ขี้เกียจไปวันๆ, เอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่คนอื่น, ไร้ซึ่งความรับผิดชอบ ฯลฯ นี่แหละ ความผิดของเธอ อ้อแล้วเดี๋ยวนี้ เขาไม่ดูหนังแผ่นกันแล้วแบบว่ามันเชยอ่ะ อ้าว ถ้าไม่ดูหนังแผ่นแล้วจะให้ดูอะไร? โหลดจากเน็ตเหรอ? ป่าวอ่ะ อ๊ะ อะไรที่มันใหม่กว่าเน็ตอีกละ? อ้อ ก็เปลี่ยนจากดูหนังแผ่น มาดู "หนังแท่ง" กัน มั่งสิจ๊ะ เอาละ มาเข้าเรื่่องของเราวันนี้ดีกว่า วันนี้ ว่ากันด้วยเรื่องพลังคลื่นที่ขับเคลื่อนสังคม ให้ดำเนินไปตามใจเราได้ด้วยอ่ะ อั๊ยย่ะ มียั่งงี้ด้วยเหรอ? อ้อ มีสิ ลองอ่านดูเอง เดี๋ยวก็รู้เองแหละ ดังต่อไปนี้จ้า ...


อย่างแรก พี่ชายจะปูพื้นฐานก่อนว่าพลังงานกรรมนั้นเป็นคลื่นพลังจิตชนิดหนึ่งที่ถูกจูนมาได้ด้วยจิตใจของเราเองนะครับ และพลังคลื่นบางชนิด ก็เป็นพลังคลื่นมวลรวมหรือคลื่นกรรมที่เกิดจากการกระทำของคนจำนวนมากๆ ทำร่วมกันไว้ ถ้าเราจูนคลื่นพลังชนิดนั้นๆ ได้จะทำให้พลังคลื่นนั้นส่งผลต่อคนจำนวนมากๆ ได้ครับ เช่น พลังคลื่นกรรมในอดีตที่คนเคยทำสงครามร่วมกันไ้ว้ ถ้าจูนมาได้จะขับดันให้คนจำนวนมาก ทำสิ่งที่คล้ายสงคราม หรือเป็นสงครามจริงๆ เลยก็ได้ อย่างการประท้วงของคนจำนวนมากๆ ก็เป็นผลจากคลื่นกรรมแบบ "สงคราม" เหมือนกันนะครับ เดี๋ยวนี้ เราต้องจูฯพลังคลื่นในอดีตเหล่านี้มาใช้น่ะครับ เพราะพลังงานในปัจจุบันเราอ่อนลงมากแล้ว เราใช้กันจะหมดไม่ต่างจากน้ำมันน่ะแหละึีครับ โอเค? นั่นคือ เหตุผลที่ใครบางคนต้องจูนเอาคลื่นพลังงานในอดีตมาใช้อย่างไรละ ซึ่งมันจะเดินทางมาถึงเวลา ณ ปัจจุบัน ในไม่ช้าหรอกครับ แต่เราต้องจูนมันมาก่อน เหมือนเปิดทีวี หรือวิทยุน่ะแหละ เราต้องเลือกคลื่น เลือกช่อง เลือกสถานีก่อน แล้วก็จะได้ยินเสียงสัญญาณต่างๆ ได้ภายหลัง ส่วนพลังคลื่นอนาคตนั้น พี่ชายไม่อยากแนะนำให้ไปจูนเอามาใช้กัน เพราะส่งผลให้เราไม่เหลืออะไรใช้ในอนาคตครับ ฮ่าๆ เดี๋ยวกลายเป็นว่าอนาคตจะไม่เหลือพลังอะไรให้เราใช้เลย จะซวยไป ส่วนพลังในอดีตไม่เป็นไรครับ ใ่ช้ได้ มันเหมือนของเก่าเก็บของเราเองน่ะแหละครับ ที่เหลือคือ เราจะจูนคลื่นพลังงานอะไร อย่างไีร? จึงจะนำมาใช้่ได้ตามที่เราต้องการ อย่างหนึ่งที่ควรทราบก่อนคือ "แหล่งพลังงานของเราเอง" ที่เราทำไว้เอง จากอดีตที่กำลังเดินทางมาถึง ณ เวลาปัจจุบัน นั้น เราสามารถเลือกใช้ได้ตามโอกาสแต่บางโอกาสเราไม่อาจเลือกได้ครับ และเมื่อเราเลือกมันแล้ว เราจะปฏิเสธมันภายหลังก็ยากแล้วครับ ดังนั้น การรู้ให้แจ้ง หรือเข้าใจมันให้ดีเสียก่อนที่เราจะจูนมันมา เป็นสิ่งที่พี่ชายแนะนำครับ


อย่างที่สอง พี่ชายจะเข้าสู่เนื้อหาการจูนคลื่นพลังงานในอดีตมาใช้นะครับ เช่น ถ้าใครระลึกได้ว่าอดีตชาติเราได้ทำสงครามไว้ เราทำตัวให้คล้ายกับชาตินั้นๆ มันจะจูนมาได้ครับ เช่น เล่นเกมต่อสู้, เกมสงคราม ฯลฯ จะส่งผลให้จิตของเราจูนพลังงานในชาติที่เราทำสงครามมาได้ครับ พลังงานที่ถูกกักเก็บไว้ ณ ที่แห่งใดในจักรวาลก็ดี (ปกติ จะอยู่ในโลกนี้นี่แหละ) ในมิติใดก็ดี ถ้าได้รับการ "เปิดผนึก" หรือที่เรียกว่า "การปลดปล่อย" เรียบร้อยแล้ว ก็จะถูกจิตเราจูนมาได้ครับ แต่ถ้าพลังนั้น ยังไม่ถูกเปิดผนึกหรือไม่ถูกปลดปล่อย สิ่งที่เราทำนั้น ก็ไม่เป็นผลอะไรมากนัก สิ่งนี้เราเรียกว่า "กระแสทางโลก" ก็ได้ครับ เช่น เมื่อใดที่คนชอบแบ่งพรรคพวกปะทะกันมากๆ มันก็จูนพลังงานเหมือนครั้งยามสงครามเข้ามา ทำให้คนป่วย เป็นโรคได้นะครับ พลังเหล่านี้ แต่ทำให้คนอยากเข้ามาเที่ยวประเทศเราได้เยอะขึ้นด้วยเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราตั้งรับอย่างไร? ถ้าตั้งรับไม่ดี ก็เหมือนกองทัพโดนทะลวงฟัน มันก็ป่วยได้ครับ แต่ถ้าตั้งรับได้ดี มันก็ปลอดภัยแถมได้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในประเทศของเราด้วย ความเจริญมั่งคั่งก็จะเข้ามาด้วยครับ อย่างที่มีคนชอบเล่นเกมยิงๆ ฆ่าๆ กันนี่ ก็ใช่เลย จูนพลังคลื่นกรรมเมื่อครั้งทำสงครามมาครับ สิ่งเหล่านี้จะส่งผล, มีอิทธิพลของผู้คนทั้งหลายในทางโลกอย่างมากนำไปสู่การเกิด "กระแสใหม่ๆ" ขึ้นมามากมาย โดย ที่เราไม่จำเป็นต้องไปยึดอำนาจ, สั่งงาน, ทำโฆษณา-ประชาสัมพันธ์อะไรเลยครับ ยกตัวอย่าง กระแสของนักร้องชื่อดัง "ไซ" ของเกาหลีก็จูนเอาพลังยุคสงครามของ "เจงกิสข่าน" มาครับ มันเป็นคลื่นพลังไม่น้อยเลย ส่งผลกระทบให้เกิดกระแสทั่วโลก เห็นไหมครับ ถ้าเรารู้จักใช้่ รู้จักเคล็ดลับการจูนพลังงาน เราจะดังได้ัทั่วโลกขนาดนั้น โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเสียเงินทำโฆษณาอะไรมากมายเลย เพราะคนที่รับเอาพลังงานเหล่านั้นไปแล้วขับเคลื่อนต่อ คือ คนที่เกี่ยวข้องกันมาในอดีตชาติ เขาอาจเป็นแค่คนเล่นเน็ต แล้วเข้ากระทู้ของไซ มากมายก็เท่านั้นเอง นี่ก็คือ อานุภาพที่ยิ่งใหญ่ของการจูนพลังคลื่นเหล่านี้ครับ


สรุปแว่ เอ้ย สรุปตุ้บตั้บว่า จิตของเราสามารถจูนเอาพลังงานในอดีตมาใช้่ได้ ถ้าพลังงานในอดีตนั้นเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก จะส่งผลให้คนจำนวนมากได้รับผลกระทบไปด้วย ไปในทางใดทางหนึ่งแล้วแต่เราต้องการได้ครับ ถ้าเราเลือกจูนคลื่นพลังงานในอดีตของเราได้อย่างชาญฉลาด เช่น ถ้าเรามีอดีตชาติมากมายหลายชาติ บางชาติก็เกี่ยวพันกับคนจำนวนมากๆ บางชาติก็เกี่ยวพันกับคนจำนวนน้อยๆ ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เราต้องการเลือกพลังงานในชาติไหนละ? มาขับดันให้ปัจจุบันของเราดำเินินไปอย่างที่ควรจะเป็น? แต่อย่าเพิ่งไปคิดว่ามันจะต้องเหมือนอดีตชาตินะครับ พลังงานเหล่านี้เป็นแค่พลังงานขับดัน ที่มีรูปแบบเดิมๆ เกี่ยวข้องอยู่ มันไม่ใช่โครงสร้างปัจจุบัน สิ่งที่เรามีอยู่ ณ ปัจจุบันคือโครงสร้าง เหมือนโครงรถน่ะ ส่วนพลังงานในอดีตมันก็เหมือนน้ำมันน่ะแหละ ส่งผลให้บางอย่างคล้ายกัน แต่รูปแบบเปลี่ยนไปได้นั่นเอง พอเข้าใจนะ เอาละ เม้า้ท์มายาวขี้เกียจละ นอนกันดีกว่าเนอะ อย่าลืมกินนมก่อนนอนนะจ๊ะเด็กๆ ราตรีสวัสดิ์คร้าบบบ ...



วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สิทธิพิเศษในการก่อกรรมทำชั่วของ "เ้จ้ากรรมนายเวร" ที่เหนือเรา?

อ่า วันนี้พี่ชายเห็นข่าวเด็กถูกลูกหลงช่างกลไร้ความรับผิดชอบต่อสังคม ทำเอาเกือบตาย จนต้องพิการนิ้วขาด ๖ นิ้ว พี่ชายเองก็เคยโดนเด็กช่างกลจี้ครับ เขาอ้างว่าเป็นพี่ใหญ่ของสถานบันฯ แล้วมาล็อกคอผม เอาปืนปากกาจี้ แล้วเอาเงินไปครับ (โจรหรือนักศึกษา?) พี่ชายโดนมากะตัวละ อย่างนี้จริงๆ แต่เขาก็คงมีเหตุผลของเขาอ่ะนะ ว่าทำเพื่อสถาบัน เป็นพี่สถาบัน แต่ผมก็บอกแล้วว่าผมไม่ได้เรียนที่เดียวกับคุณนะ ผมเอาหัวเข็มขัดให้ดู เขาก็เห็น แต่ก็ยังทำครับ เลยกลายเป็น "ข้อสงสัยของพี่ชาย" และแล้ว สัญญาณตอบรับจากต่างมิติก็ต่อตรงมาบอกเรื่องราวเฉลยให้เราฟังว่าเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนี้ กลายเป็นบทความพิเศษในวันนี้คือเรื่อง "สิทธิพิเศษของเจ้ากรรมนายเวร" ในการทำสิ่งผิด หรือทำชั่วได้ครับ อ่ะ เป็นยังไง? (ขอโทษที่้ต้องใช้คำว่าทำผิด ทำชั่วนะครับ เพราะมันเป็นภาษาที่ชาวบ้านเข้าใจ แต่ระดับลึกซึ้งแล้ว ไม่ได้มีใครทำผิด หรือถูก ดีหรือชั่วนะครับ) เรื่องเป็นอย่างไร? แล้วทำไมจึงทำได้อย่างนั้น เชิญอ่านรายละเอียดดังนี้


อย่างแรก พี่ชายอยากบอกก่อนว่าโลกของเราช่วงกึ่งกลางพุทธกาลนี้ จะมีช่วงเวลาช่วงหนึ่งที่เขาเรียกว่า "ช่วงแห่งการพิพากษา" หรือถ้าจะใช้ภาษาพุทธ ก็คือ "ช่วงเวลาแห่งการชำระวิบากกรรม" ซึ่งมันได้รับการเตรียมมาอย่างเป็นพิเศษยาวนานแล้ว กล่าวคือ ปกติ การชำระวิบากกรรมนั้น จะมีในแต่ละคน ในช่วงเวลาที่ต่างกันออกไป แต่ยุคนี้ ในช่วงเวลานี้เท่านั้นที่พิเศษมาก เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เบื้องบนได้กำหนดไว้ว่าเป็น "ช่วงเวลาแห่งการพิพากษา" โดยตรง หมายความว่า เขาจะเปิดให้เจ้ากรรมนายเวรสามารถเล่นงานจำเลยที่เคยทำร้ายตนเองในอดีตได้ เป็นการเปิดเสรีครับ ให้เต็มที่เลย ใครอยากเอาคืนใคร เอาเลย แค่ช่วงเวลาช่วงหนึ่งเท่านั้น ไม่มากไปกว่านี้ เมื่อหมดช่วงเวลานี้่ เขาจะไม่เปิดเสรีแล้วครับ หมายความว่าอย่างไร เอาง่ายๆ เคยเห็นไหมที่บ้านเมืองเหมือนไม่มีขื่อมีแปร ใครจะทำความผิดอะไรก็ทำได้โดยง่าย แล้วไม่ค่อยถูกจับ ช่างกลตีกัน หรือยิงลูกหลงไปโดนใคร ตำรวจก็จับตัวไม่ได้ กลายเป็นอภิสิทธิชน ใช้พวกมากลากไป ในวงการเมืองก็มีคนที่ทำผิดแล้วไม่้ได้รับโทษ คนเสื้อแดงแห่กันไปเต็มบ้านเต็มเมือง พอผิดร่วมกันมากๆ ก็กลายเป็นลงโทษไม่ได้ไปในที่สุด  ซึ่งเมื่อก่อนไม่เป็นเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าใครอยากจะทำผิด ทำเลว ทำอะไรก็ทำได้ ใช่ไหม? น่านละ ที่พี่ชายจะบอกว่า "มันเป็นช่วงเวลาแห่งการพิพากษา" นั่นเอง ใครอยากเอาคืนใครที่เคยทำกรรมไว้กับตน เขาก็เปิดให้ทำช่วงนี้แหละเต็มที่เลย ถ้าหมดช่วงเวลานี้ไปแล้ว เทพเขาก็จะมาคุ้มครอง ทำให้เจ้ากรรมนายเวรเล่นงานคู่แค้นของตน ไม่ได้ นี่เราจึงเห็นโลกปั่นป่วน และบ้านเมืองคล้ายๆ จะเข้ากลียุคอะไรแบบนี้ ทีนี้ พอเข้าใจแล้วนะ ถ้าพี่ชายบอกว่า "ช่วงเวลาแห่งการพิพากษา" มันคืออย่างนี้ ไม่ใช่ว่าเราจะต้องขึ้นศาลหรอก แต่มันเปิดเสรีให้คนที่มีเวรกรรมต่อกัน จัดการกันเองเลย นั่นแหละ พิพากษากันเองเลย ง่ายดี เพราะมันเยอะจัด ใครจะไปเปิดศาลไหว ต่อให้ ๑๐ ท่านเปาฯ ก็ตรวจคดีได้ไม่หมดหรอกครับ จะเคลียร์กรรมให้ปวงสัตว์จำนวนมากๆ ให้ได้ในเวลาจำกัด ก็เลยต้องใช้วิธีเปิดเสรีทางการชำระกรรม โฮ่ๆๆ คล้ายๆ กับการเปิดเสรีการค้าและเปิดเสรีทางเพศหรือเปล่า? คงไม่ใช่อ่ะนะ


อย่างที่สอง พี่ชายจะพูดถึงเรื่อง "อภิสิทธิชน" และ "สิทธิพิเศษ" ของเจ้ากรรมนายเวร ที่ลงมาทำกิจในการณ์นี้โดยเฉพาะอย่างที่เราเห็นละครับ พวกเขาดูเหมือนเหิมเกริมและได้ใจ เพราะเบื้องบนเปิดให้เขานะ เต็มที่เลย แต่เราก็ต้องเข้าใจด้วยว่า อดีตชาติ เหล่าเจ้ากรรมนายเวรเขาก็โดนเล่นงานมามาก ไม่ใช่น้อยๆ เขาเลยตามมาทำหน้าที่ เอาคืน อย่างนี้ พอหมดช่วงเวลานี้ไป หมดยุคนี้ไป มันก็จะกลายเป็นยุคของคนอื่นๆ ออกมาสร้างสรรค์สิ่งดีงามครับ เรียกว่า "ชาวศรีวิลัย" ก็ได้อ่ะ ใครที่หลบๆ เก็บตัวไว้ก่อน หมั่นพากเพียรบำเพ็ญเต็มที่รอเวลาเหมาะควรแล้ว ก็จะออกมาทำหน้าที่ในช่วงต่อไป ซึ่งจะไม่ต้องทำหน้าที่ในด้านการชำระวิบากกรรมแล้วครับ หมายความอย่างไร? หมายความว่าจะมี "ปวงสัตว์หลายชุด" ชุดที่ทำหน้าที่ "พิพากษา" จะเคลียร์กรรมกัน จนหมดไป ก็จะหมดยุคของพวกเขา พวกเขาจะหมดอำนาจแล้วจากไปในแบบต่างๆ เองครับ ต่อมา ก็จะเข้าสู่ยุค "ชาวศรีวิลัย" ซึ่งก็จะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เก็บตัว เพียรบำเพ็ญมานานแล้ว ออกมาสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามครับ เรียกว่า "ยุคชาวศรีวิลัย" เหมือนรุ่งอรุณยามเช้า ที่ปรากฏขึ้นหลังคืนอันมืดมิด อย่างไรอย่างนั้นเลยละ ดังนั้น เมื่อเราเห็นคนในยุค "พิพากษา" เขาทำอะไรกัน ผิดบ้าง ชั่วบ้าง ไม่ดีบ้าง ก็ไม่ต้องไปสนใจ ปล่อยเขาไปครับ เขาทำหน้าที่ตามยุคสมัยของเขา เคลียร์กันไปให้จบ เราก็ไม่ต้องไปยุ่ง พวกเขาเคลียร์กันหมดแล้ว เราก็ค่อยออกมาทำหน้าที่ของเราต่อไป ส่วนคนยุคก่อนเรา อาจจะตายไปเยอะครับ ค่อยๆ ตายไปบ้าง เหมือนผู้ก่อการร้ายน่ะแหละ ที่ค่อยๆ ทำหน้าที่เล่นงานคน ตามใจพวกเขา ได้สมใจแล้ว แก้แค้นแล้ว ชำระวิบากกรรมหมดแล้ว เขาก็อาจตายไปครับ หมดยุคไป เหมือนเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้คนสุดท้ายอ่ะ มันมีอยู่ยุคหนึ่ง เหมือนยุึคทมิฬ มันจะเป็นไปอย่างนั้น สักช่วงหนึ่งครับ ช่วงที่ "เทพจันทรา" ผู้ปกครองโลกยุคมืดทำหน้าที่อยู่ (สตรีเพศเป็นผู้นำ) แล้วมันก็จะผ่านไป ฟ้าสว่างไสว พระอาทิตย์จะกลับมาส่องสว่างครับ แล้ววันนั้น ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง


เอาละ พี่ชายพูดเรื่องนี้ เพื่อให้พวกเราเข้าใจว่าทำไม เราจึงเห็นคนทำสิ่งไม่ดีบ้าง ความชั่วบ้าง ทำผิดบ้าง เยอะแยะ เกลื่อนบ้านเมืองแต่ไม่เห็นจะถูกลงโทษเลย อะไรแบบนั้น แถมมันช่างยั่วยุให้เราอยากทำตามบ้างจัง อะไรอย่างนั้น ก็ให้รู้ไว้ครับว่าเป็นยุคของเขา ช่วงเวลาแห่งการพิพากษาเท่านั้นเอง หมดช่วงเวลานี้เมื่อไร ทุกอย่างก็จะไม่เหมือนเดิมครับ ดังนั้น แม้น้องเนยรักษ์โลก จะไม่ทน แต่พี่ชายรักชาติ จะอดทนต่อไปครับ แหะๆๆ มันไม่ใช่ฟีลลิ่งของพี่ชายรักชาติอ่ะ เลยมามุกนี้ เอาละ เม้าท์มายาวพอสมควรแล้ว เด็กๆ จะง่วงนอน คุณผู้ชายก็จะถูกคุณภรรยาเกาหลังแกร๊กๆ "นอนๆๆๆ" พี่ชายมาแย่งเวลา "Have Py เอ้ย Happy" ของครอบครัว มากไปไม่ดี ราตรีสวัสดิ์ครับ




วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รักโลกแตก-กามโลกแตก มีจริงไหม? อะไรมันจะขนาดนั้น?

อั๊ยย่ะ วันนี้ ใกล้มาฆบูชาเข้ามาแล้ว ผู้คนออกจากเน็ตไปทำบุญกันได้ รู้สึกยังกะแมงเม่าออกจากจอมปลวกในคืนก่อนฝนตกเลยอ่ะ ฮ่าๆๆ ล้อเล่นขำๆ ครับ อย่าคิดมากเข้าเรื่องของเราวันนี้ดีกว่าพอดีผมได้รับสารต่างมิติ ให้ช่วยสื่อสารเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อะไรแบบนั้นหน่อย อั๊ยย่ะ ทำไม ต้องเป็นผมด้วยละเนี่ย? แหม ผมไม่ใช่กูรูเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ซะหน่อยนะ คริๆ ล้อเล่น ไม่ว่ากันครับ สารมาแบบไหน เราก็ส่งต่อไปให้แบบนั้นอ่ะ ไม่ว่ากัน เพื่อไม่ให้เสียเวลา มาเข้าเรื่องเราเลยดีกว่า ดังต่อไปนี้ครับ


อย่างแรก อยากจะอธิบายก่อนว่่าบทความนี้จะพูดถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่ส่งผลต่อโลกถึงขั้นล้างโลก หรือโลกแตกกันเลยว่าอย่างนั้น กล่าวคือ พี่ชายได้รับข้อมูลต่างมิติให้ช่วยดูแลเรื่องนี้ครับ เขาบอกมาว่าโลกนี้ อาจถูกทำลายได้ด้วยพลังจิตของมนุษย์ ที่หนักไปทางโลภ, โกรธหรือ หลงก็ดี ในแบบที่ต่างกันไป เช่น ถ้ามนุษย์มีความโกรธมากๆ ก็จะมีไฟและความร้อนมากในโลก เผาผลาญโลกได้ครับ แต่ถ้ามนุษย์มีความโลภมากๆ แผ่นดินไหวได้ ยุบได้ เป็นภัยพิบัติทางดินครับ แต่ถ้ามนุษย์มีความรักใคร่ที่ผิดแล้ว "ภัยน้ำ" จะมาเยือนครับเช่น ไร้ความรัก เป็นคนเืลือดเย็น ก็จะทำให้โลกหนาวเหน็บเต็มไปด้วยน้ำแข็ง แต่ถ้ามีความรักมากเกินไป หลงเกินไป น้ำจะท่วมเหมือนในหนังนางพญางูขาวอ่ะ ดังนั้น เขาจึงฝากให้พี่ชายช่วยสอนและนำทางคนเรื่องความรักความใคร่อะไรประมาณนั้นเสียหน่อยอ่ะครับ ซึ่งมันไม่ใช่ของง่ายเลย อย่างแรก เขาจัดสรรให้พี่ชายมีความรักแบบผิดๆ ทุกอย่าง ให้ลองดูอ่ะ แล้วให้เรียนรู้ว่าผลเป็นอย่างไร ตอนนี้ พี่ชายเริ่มเข้าใจมากขึ้นละ เช่น การผิดประเวณีแบบเ็ป็นค่านิยมของทั้งเมือง ก็จะส่งผลให้เกิดน้ำท่วมเมืองนั้นๆ ได้ครับ (ผิดประเวณีหมายถึง การมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ได้แต่งงานกัน เช่น ฟรีเซ็กส์, การอยู่กันก่อนแต่ง) การมีคู่หลายคนไม่ผิด ถ้าแต่งงานเรียบร้อยนะครับ เช่น ชาวมุสลิมแต่งงานกับหญิงมุสลิมสี่คน ไม่ผิด ไม่ส่งผลให้โลกวิบัติครับ แต่ผู้หญิงแต่งกับผู้ชายมากกว่า ๑ คนไม่ได้ จะผิดประเวณี ส่งผลให้โลกมีภัยเช่นกัน นี่พี่ชายไม่ได้บ้าสิทธิ์ผู้ชายนะครับ เบื้องบนเขาคำณวนผลกฏแห่งกรรมมาให้อย่างนี้แล้ว ให้พระพรหมลงมาประทานจารีตประเพณีต่างๆ ให้แก่มนุษย์มายาวนาน แต่ปัจจุบันมันเปลี่ยนไปหมดครับ หายนะเลยมาเยือน พี่ชายก็ต้านทานไม่ได้ อย่างง่ายๆ พี่ชายจะพูดว่าตามธรรมชาติ   เขาให้ผู้ชายแต่งงานกับผู้หญิงได้มากกว่า ๑ คน ไม่ผิด ไม่มีปัญหานะ แต่ผู้หญิงต้องรักเดียวใจเดียว มีสามีสองคนไม่ได้ นี่ จะเกิดอะไรขึ้น? พี่ชายก็จะโดนพวกลัทธิคลั่งสิทธิสตรีเล่นงานเอา โดนรุมครับท่าน ก็พวกเขาครองอำนาจอยู่เต็มไปหมดตอนนี้ พูดไม่ได้ครับ ต้องหุบปากเงียบ ปล่อยให้โลกมีภัยพิบัติต่อไปเพราะการกระทำที่ผิดของมนุษย์


อย่างที่สอง พี่ชายจะลงรายละเอียดเป็นเรื่องๆ ข้อๆ ดีกว่า ง่ายดี ด้วยมันมีรายละเอียดเยอะครับ เรื่องรักๆ ใคร่ๆ นี้ หลักใหญ่ใจความมีดังนี้

๑. ความรัก ไม่ผิด หากเป็นเพียงความรักเฉยๆ ไม่ได้ทำผิดประเวณีนะ ความรักไร้ขอบเขต รักได้หมด ไม่ว่าจะเป็นใครหรืออะไร รักกับคนเพศเดียวกัน, กับสัตว์, กับอมนุษย์, กับนางฟ้า, กับปีศาจ ก็ไำด้ ทั้งนั้น เพียงไม่ทำผิดประเวณี รู้จักที่จะรักและปรับตัวอยู่อย่างไร เมื่อมีรัก เท่านั้น

๒. การช่วยตัวเอง ส่งผลให้เข้าสู่วิถีปัจเจกฯ ได้ หากบำเพ็ญธรรมขั้นสูงด้วย จะเสี่ยงที่จะกลายเป็นพระปัจเจกฯ ผิดเวลา และจะส่งผลให้โลกเกิดภัยพิบัติอย่างที่ไม่คาดคิด ดังนั้น ศีลจึงห้ามภิกษุทำ อนึ่ง คนที่ห่างไกลธรรม สำเร็จความใคร่เองได้ แต่คนมีธรรมมาก ไม่ควรทำ

๓. การผิดประเวณี คือ มีกามกับคนที่ไม่ใช่ภรรยา และไม่ได้มีหน้าที่ให้กามแก่ตน เช่น ฟรีเซ็กส์, อยู่กันก่อนแต่ง ฯลฯ ทำให้เกิดภัยพิบัติน้ำท่วมได้ โดยเฉพาะตามเมืองใหญ่ๆ ที่มีความเจริญทางวัตถุมากๆ จะมีการอยู่กันก่อนแต่ง มีกามก่อนแต่งมาก ทั้งหมดนี้ คือผิดประเวณี

๔. การซื้อบริการ คือ การจ่ายเงินก่อนแล้วซื้อบริการทางเพศจากคนที่ได้รับจัดสรรแล้วว่าให้ขายบริการทางเพศได้ตามความเหมาุะสม เช่น หมอนวด ที่ได้รับวิชานวดมาว่าให้นวดบำบัดความใคร่ได้ อย่างนี้ ทำแล้วไม่มีปัญหา แต่อย่่าเกินวิชาครู เิกินกว่านั้น ก็จะเป็นความผิดได้

๕. การนวดบำบัด คือ การที่คนได้วิชานวดบำบัดความใคร่มา แล้วจึงทำให้อีกคน ไม่ผิด แม้ไม่ได้ซื้อบริการก็ตาม เป็นการช่วยเหลือคนได้ ให้เขาไม่ต้องเข้าวิถีปัจเจกฯ และไม่ผิดประเวณี แต่ต้องไม่ทำเกินไปกว่าการนวดบำบัดความใคร่ ครูสอนนวดให้วิชามาเท่าไร ทำเท่านั้น

๖. จำนวนคู่ครอง คือ ผู้ชายแต่งงานกับผู้หญิงได้มากกว่า ๑ คน แต่ผู้หญิงต้องมีสามีคนเดียว รักเดียวใจเดียว ยกเว้นว่าหย่าแล้วแต่งงานใหม่ จึงจะมีสามีคนที่สองได้ ไม่ผิด ผู้หญิงหลายใจไม่ได้ ผู้ชายมีรักมากได้ ไม่ผิด ไม่เรียกว่าหลายใจ นี่คือ ธรรมชาติสร้างมาให้อย่างนี้

๗. อย่าห้ามรักใคร่ คือ หากมีความรัก ความใคร่ ขึ้นมาแล้ว อย่าห้าม การห้ามจะส่งผลให้เกิดธาตุน้ำแข็งมากขึ้น และทำให้โลกมีหิมะหรือน้ำแข็งมากขึ้น หนาวเย็นขึ้นได้ (หากคนจำนวนมาก หรือคนมีพลังจิตทำ) เรียนรู้ตามธรรมชาติ ปรับตัวให้ได้เมื่อมีความรักใคร่แบบใดก็ตาม

๘. อย่าเย็นชา คือ ไร้ความรู้สึกหรือไร้อารมณ์ เช่น ยอมนอนกับคนที่เราไม่มีความรัก ทำได้ แต่ไม่มีอารมณ์หรือจิตใจร่วมด้วยเลย ส่งผลให้เกิดพลังธาตุน้ำแข็งมากขึ้นได้เช่นกัน การมีกามกับผู้หนึ่งผู้ใดแล้วไร้ความรู้สึกสัมพันธ์ เลิกกันได้ง่ายๆ นั้น ไม่ใช่วิถีของมนุษย์โลกปกติ

๙. พลังตีกลับทิศ คือ บางคนเมื่อรักเขามากๆ แล้ว ไม่สมหวังหรือผิดไปจากที่ใจปรารถนา จะทำให้พลังภายในตีกลับทิศ เป็นตรงกันข้ามได้ เช่น จากพลังธาตุไฟ กลายเป็นธาตุน้ำแข็ง หรือจากรัก กลายเป็นแค้นได้ จะส่งผลกระทบต่อโลกในภาพรวมได้ต่อไป จึงต้องระวังด้วย

๑๐. การแต่งงาน หากนอกเหนือจากจารีตประเพณีเดิมแล้ว จะต้องมีผู้มีบารมีรับรองในผลการแต่งงานนั้นเช่น การแต่งงานระหว่างเพศเดียว กัน ซึ่งเป็นการผิดประเวณี คนเราสามารถจดทะเบียนอยู่ร่วมครอบครัวเดียวกันได้ หากมีความจำเป็นจริงๆ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นการแต่งงาน 


โอ้วว เม้าท์ยาวอีกแล้ว ฮ่าๆๆ สรุปแว่ เอ้ย สรุปว่า บางครั้งความรักใคร่แบบปกติ มันก็เป็นไปได้ยาก พี่ชายเข้าใจครับ แต่เมื่อใดที่มันเริ่มออกนอกกรอบแล้ว เราก็ลองดูว่าจะปรับให้มันอยู่ร่วมกับชาวโลกเขาอย่าง ไร ความพอดีนั้นบอกยาก เคร่งเกินไป ไม่พอดี หย่อนเกินไปก็ไม่พอดี อีก อ้าว นั่นแหละ มีปัญญาเมื่อไรก็รู้ถึงความพอดีได้เองน่ะครับ แต่ว่าจะไปจำกัดเฉพาะว่าให้พอดี เท่านั้น เท่านี้ คงไม่ได้อ่ะครับ มันต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่แตกต่างกันด้วย เอาละ วันนี้ ผมขอจบลงเท่านี้ ก็แล้วกัน วันหยุดใกล้มาฆบูชา เกรงว่าจะมีธุระกันหมด ราตรีสวัสดิ์ครับ