วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556

เทคนิกการดึงพลังบุญเข้า ตามหลักกฏแห่งแรงดึงดูดและพลังไซยาร์

มีเรื่องของ "น้องเนย" จะมาเม้าท์ให้ฟัง น้องเนยบอกว่าเมื่อก่อนน้องเนยไม่ได้สนใจธรรมะเท่าไร แต่วันหนึ่งน้องเนยจึงได้รู้ว่าธรรมะนั้นมันงดงาม ยิ่งกว่าดอกไม้ล้านแสนชนิด หมื่นหลากสีสัน บนสรวงสรรค์ขนาดไหน เมื่อน้องเนยได้ถามอาจารย์สอนธรรมท่านหนึ่งว่า "ธรรมะคืออะไร?" แล้วอาจารย์ท่านนั้นไม่ตอบ ได้แต่ส่งกระจกให้น้องเนย ก็พอน้องเนยได้ส่องกระจกเท่านั้นแหละ น้องเนยก็รู้ฉับพลันว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าช่างสวยสดงดงามเสียนี่กระไร แล้วจากวันนั้นมาน้องเนย จึงรักพระธรรมมาตลอดเลย เอาละ พี่ชายเม้าท์เรื่องของน้องเนยให้ฟัง เล่นๆ พอสมควร เข้าเรื่องของเราดีกว่า วันนี้ เป็นเรื่องของวิธีการดึงเอาพลังบุญเข้ามาสู่ตัวเรา ตามกฏของแรงดึงดูดและพลังไซย่าร์ ซึ่งมีรายละเอียดต่อเนื่องจากบทความอื่นๆ ที่แล้วมา ดังต่อไปนี้


เทคนิคง่ายๆ ที่จะทำให้พลังบุญเข้ามาสู่ตัวคุณ ก็คือ ให้คุณเปิดใจให้กว้างๆ ใสๆ ไว้แล้วถ้ามีอะไรเข้ามาในชีวิตที่มันอาจไม่ตรงใจ หรือไม่ชอบใจ อย่าปฏิเสธ อย่าปิดรับเด็ดขาด ให้เปิดรับเลย รับไว้ก่อน มันเป็นพลังบุญต้นทาง เดี๋ยวมันจะมีบุญไหลตามมาอีกเหมือนแม่น้ำไหลเป็นสายๆ นึกออกไหม ต้นน้ำมันอาจขุ่นๆ เราอาจไม่ชอบ แต่ถ้าเราไปปฏิเสธมัน ไม่เอามันปิดรับมันเสียแล้ว มันก็จะตามมาอีกไม่ได้ เราต้องเปิดทางให้มันเข้ามาก่อน ให้พลังบุญนั้นเข้ามายังตัวเราก่อน เช่น เขาเอาของมาให้เรากิน แต่เป็นของที่เราไม่ชอบเอาเสียเลย ก็อย่าปฏิเสธครับ รับไว้ก่อน กินพอเป็นพิธีนิดหน่อยก็ได้ แต่อย่าไปปฏิเสธนะครับ แล้วพลังบุญมันจะค่อยๆ ไหลเข้ามาเองเรื่อยๆ เป็นสายน้ำเลยครับ ทีนี้่ ผมจะขอสรุปเป็นข้อๆ เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ ดังต่อไปนี้ครับ


๑. เชื่อว่าคนเราทุกคนล้วนมีบุญ ซึ่งเป็นความจริงอยู่แล้ว กล่าวคือ คนเราทุกคนย่อมมีวิบากกรรมทั้งสิ้น และวิบากกรรมทั้งหลาย ย่อมมีทั้
งด้านดี (บุญ) และด้านร้าย (บาป) ดังนั้น ไม่มีใครที่ไม่มีบุญ แต่การมีบุญก็ไม่เที่ยง ย่อมมีเกิดและดับได้ตามวาระ เป็นธรรมดาอีกด้วย

๒. เชื่อว่าแม้เราเองก็มีบุญของตัว ซึ่งเป็นความจริงอยู่แล้ว ไม่ใช่แต่คนอื่นหรือหลักการทั่วไป แต่ตัวเราเองก็มีบุญไม่ต่างจากผู้อื่น เห็นเขามีบุญ ได้เสวยผลบุญ เรายินดี แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีหรือไม่ได้ คนเรามีบุญต่างกัน เสวยผลบุญในวาระที่ต่างกัน ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน

๓. มองเห็นสิ่งที่เข้ามานั้นเป็นบุญซึ่งเป็นความจริงอยู่แล้วเพราะวิบากกรรมต่างๆ ที่เข้ามาสู่ตัวเรานั้น ย่อมมีทั้งสองด้าน แต่เราจะไม่เพ่งจมอยู่กับด้านไม่ดี เราจะเปิดรับด้านดี คอยสังเกตุด้านดี ทำให้จิตใจเราเชื่อมโยงกับพลังบุญ พลังด้านดีอยู่อย่างต่อเนื่อง ดังน้ำไม่ขาดสาย

๔. เลือกรับหรือมองสิ่งดีๆ ที่เข้ามา ซึ่งเป็นความจริงที่เราเลือกได้ แต่ไม่เที่ยง ไม่ใช่เลือกได้ตลอดเวลา เวลาใดที่เราเลือกได้ เราก็เลือกสิ่งที่ดี ซึ่งมีอยู่เรื่อยๆ เพียงแต่บางครั้งเรามัวมองหรือเลือกบางสิ่งมากไป จนลืมมองสิ่งดีๆ ที่ใกล้ตัวและรอให้เรารับอยู่เสมอโดยไม่ต้องแย่งใคร

๕. เปิดใจกว้างให้มากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนลูกโป่งที่พองโต ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำได้ การเปิดใจยิ่งกว้าง ยิ่งทำให้เราเปิดรับอะไรได้มาก เมื่อเราคัดเลือก, กลั่นกรองเป็นแล้ว จูนสิ่งดีๆ ติดได้แล้ว เราก็ใช้พลังดึงดูดให้เข้ามา โดยการทำให้ใจกว้างๆ ไว้ ก็จะยิ่งมีสิ่งต่างๆ เข้ามามาก

๖. อย่าปฏิเสธอะไร ถ้าทำให้เป็นนิสัยได้จะดี แม้ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือไม่ ก็ตาม, ชอบหรือไม่ ก็ตาม ฯลฯ รับไว้่ก่อน รับไว้เฉยๆ ก็ได้ แล้วเชื่อว่ามันต้องเ็ป็นสิ่งที่ดีแน่ๆ แม้ว่ามันจะดูแย่หรือเลวร้ายก็ตาม เพื่อจุดพลังด้านบวกให้จูนติดกับสายพลังบุญอย่างต่อเนื่อง ไม่เป๋ออกไปทางอื่น

๗. หลีกเลี่ยงพลังงานด้านตรงข้าม ถ้าจำเป็น แทนการปฏิเสธ เราจะใช้การหลีกเลี่ยงหรือเบี่ยงเบนแทน แต่จะไม่ใช่การปฏิเสธ เช่น ถ้ามีคนเอาสิ่งที่ไม่ควรรับอย่างยิ่งอย่างยาเสพติด มาให้เรา เราก็อย่าไปปฏิเสธ เช่น เอาสิ แต่ว่าน้อยไป รอให้มากกว่านี้ ค่อยเอามาให้นะ 

๘. เชื่อมต่อพลังงานด้านบวกให้แผ่ขยายออกไป จากตัวเราสู่คนอื่นๆ เหมือนไฟฟ้าที่มีการต่อวงจรและสายไฟฟ้า เพื่อหล่อเลี้ยงหรือทำให้เกิดพลังร่วมที่ใหญ่ยิ่งขึ้น ซึ่งบางครั้งเราอาจช่วยจุดพลังบวกให้ผู้อื่น แต่บางครั้ง เราอาจต้องขอให้ผู้อื่นช่วยจุดพลังบวก ให้เราก็เป็นได้

๙. เคลียร์ระบบพลังงานให้ปกติ คือ เป็นพลังบวกอยู่เสมอ หากได้รับพลังด้านตรงข้ามสะสมมากไป จำเป็นต้องหาวิธีขจัดออกให้ถูกต้อง ก็จะทำให้ระบบพลังงานไหลเวียนได้อย่างสะดวก แต่จะไม่ทำให้เป็น ๐ เพราะจะทำให้พลังไฟฟ้าขั้วบวก หมดพลัง และกลายเป็นไม่มีไป

๑๐. ปลุกพลังไฟฟ้าขั้วบวกของคุณและผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งตัวคุณเองก็ปลุกพลังขั้วบวก และผู้อื่นก็ปลุกพลังขั้วบวก หรือต่างฝ่ายต่างก็ปลุกพลังขั้วบวกให้แก่กัน ก็ได้ เพื่อให้เกิดพลังขั้วบวกมวลรวม อันจะส่งผลให้ทุกๆ คนได้รับประโยชน์จากพลังขั้วบวกนี้อย่างไม่มีขีดจำกัด


อนึ่ง พึงเข้าใจว่าการใช้พลังขั้วบวกนี้่ ไม่ใช่การ "คิดเชิงบวก" หรือที่ภาษาฝรั่งเรียกว่า Positive thinking แต่น่าจะตรงกับคำที่ฝรั่งเรียกว่า "กฏของแรงดึงดูด" มากกว่า เพราะรายละเอียดต่างกันจริงๆ เราจะไม่เน้นให้คิดครับ เราเหมือนคนโง่ ไม่มีสมองจะคิดยังได้เลยครับ ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด แม้เราจะคิดไม่เป็น คิดไม่เก่ง แต่เราสามารถมีพลังขั้วบวกได้ครับ ถ้าจะให้ดี ก็เลิกคิดมาก จะยิ่งดีครับ ดังนั้น สำหรับท่านที่คุ้นเคยกับการใช้ "ความคิด" อาจจะไม่ค่อยถนัด กับการใช้พลังขั้วบวกนี้เท่าใดนัก เพราะท่านอาจจะเผลอกลับไปใช้วิธีแบบการคิดเชิงบวก เช่นเดิม เอาละ บทความสำหรับวันนี้ ก็มากพอสมควรแล้ว จะได้ไม่เสียเวลานอนดูดนม เอ้ย กินนมแล้วนอน ของเด็กๆ ทั้งหลาย ก็ขอยุติจบลงแต่เพียงเท่านี้ พบกันใหม่บทความหน้า ราตรีสวัสดิ์ครับ


8 ความคิดเห็น:

  1. พลังไซย่าแบบ ดราก้อนบอล น่ะครับ ผมควรทำยังไงดี หรือว่าจะให้คิดสมมุติเป็นดาวเบจิต้าก่อนน่ะครับ ตอบหน่อยนะะ คุณต้นหลิว

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ผมจะแนะนำอย่างอื่นมากกว่าการคิดนะครับ การคิดเป็นวิถีเสี่ยงเข้าทางมารมากครับ จนกว่าคุณจะสัมผัสพลังของเขาได้ คุณก็จะได้เรียนรู้จากสิ่งที่ได้สัมผัสนั้นนะครับ นั่นน่าจะเสี่ยงพลาดน้อยกว่า เหมือนอยากรู้ว่าเกลือเค็มอย่างไีร จำต้องสัมผัสรสดูนะครับ

      ลบ
    2. ไร้เดียงสาจัง.................. :)

      ลบ
    3. คุณต้นหลิว ช่วยแนะนำวิธีหน่อยได้มั้ยครับ

      ลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ16 มกราคม 2556 เวลา 13:19

    ยังไม่เข้าใจ คิดบวกมันจะเป็นมารได้ไง

    เช่น เรื่องนั้นดูแล้ว คนส่วนใหญ่ ด่ากันตรึม

    เราพยายามหาแง่มุมดีๆ ในเรื่องนั้นที่คนด่ากัน

    อย่างนี้ ไม่บวกหรือ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. แรกๆ ก็ไม่หรอกครับ แต่พอเราฝืนธรรมชาติมากๆ ยึดแต่ทางบวกมากไป ในขณะที่ความเป็นจริงมันมีทั้งสองด้าน เราก็พยายามจะมองแต่ด้านบวก ใช่ไหม? นั่นละ จุดเริ่มต้นของ "มิจฉาทิฐิ" จะเกิดตอนนี้ (มิจฉาทิฐิ คือ ความคิดเห็นอันขัดแย้งกับความจริง เช่น โลกมีทั้งบวกและลบ แต่เราจะเอาแต่ด้านบวก)

      ลบ
  3. ตอบของผมด้วยครับ คุณต้นหลิว เอาแบบละเอียดนะครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ตอบได้แต่ส่วนที่ผมสัมผัสได้น่ะครับ แบบอย่างเบจิต้า ผมไม่ได้ัรับอย่างนั้น ตอบไม่ได้ครับ

      ลบ

เม้าท์ด้วยคน