วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

พลังแห่งความพอใจหลังรักสูญสลาย ที่คุณอาจสับสนกับ "พลังแห่งรัก"

หลายคนคงเคยได้ยินมาบ่อยๆ ว่าให้ทำในสิ่งที่รัก หรือรักในสิ่งที่ทำ บ้างก็สอนกันมาว่าให้ใช้พลังแห่งรักกับทุกๆ สิ่ง อะไรแบบนั้น ซึ่งผมกำลังจะบอกคุณว่า "คุณกำลังเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะใช้พลังงานแบบผิด" ยังไงหรือ? อย่างนี้ครับ คนบางคนไม่ได้ทำให้กิเลสลดลง และไม่ได้เอากิเลสไปใช้ประโยชน์ แต่เขากำลังเลี้ยงไข้, เลี้ยงกิเลส จึงทำให้กิเลสยิ่งพอกพูนขึ้นไปใหญ่ เช่น เขาอยากเป็นดารามากๆ เขาบอกว่าเขารักในการเป็นดารา และเมื่อเขาได้เป็นดารา เขาจึงทำในสิ่งที่รัก และรักในสิ่งที่ทำ และเขาก็คิดว่า "นี่ละ ฉันทะ" นี่ละคือ ความรักอันถูกทาง ซึ่ง "ไม่จริงนะครับ" มันคือ "ความหลง" ครับ หลงเต็มเปาไปเลย และหลายคนหลงแบบนี้เยอะมากๆ จนคิดว่าตัวเองมีอิทธิบาทสี่ดี เพราะทำในสิ่งที่รัก หรือรักในสิ่งที่ทำ อะไรแบบนั้น โอ้ย ถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ พระพุทธเจ้าคงไม่ต้องตรัสรู้ให้เหนื่อยยากอ่ะครับ เพราะสัตว์โลกมันก็เป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น "ถ้าเขาเลือกได้นะครับ" ถ้าเลือกได้ทุกคนก็เลือกที่จะสนองกิเลสตัวเอง สนองตัณหา ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ของตัวเองกันหมด แล้วมันคงกลายเป็นอิทธิบาทสี่กันหมดแล้วสิครับ? แต่นี่มันไม่ใช่อย่างไรละครับ อย่างที่ฝรั่งสอนมา มันก็เหมือนเกือบๆ จะใช่ แต่มันยังไม่ใช่จริงๆ หรอกครับ "ฉันทะ" นั้น ไม่ใช่ "สนองกิเลสตัณหา ความอยาก, ความรัก, ความชอบ" ของตน ให้เสริมเพิ่มตัวตนของตนไปกันใหญ่ เช่นนั้น ไม่ใช่วิถีทางเผาผลาญกิเลสแล้วครับ เอาละ แล้วจริงๆ มันเป็นอย่างไร ผมก็จะอธิบายให้ฟัง


"ฉันทะ" มันไม่ใช่ "ความรักแบบทางโลก" ไม่ใช่นั้น พระพุทธเจ้าก็ใช้คำว่า "ความรักทางโลก" หรือ รักแบบโลกๆ หรือคนที่มีความรักแบบโลกๆ ก็คงมีฉันทะกันทั้งนั้น ไม่ต้องมาตรัสรู้ให้ยากเย็น แต่ฉันทะคือ "ความพอใจหลังภาวะตัณหาและวิภาวะตัณหาดับลง" หรือ หลังจากที่เรามีความรักหรือความไม่รัก อยากไม่อยาก ชอบไม่ชอบ ก็แล้วแต่ แล้วมัน "ดับหมดทั้งสองฝั่งฝ่าย" ไม่ใช่ทั้งสองฝั่งฝ่าย จากนั้น เราก็ยังต้อง "ทำหน้าที่ของตนเองต่อไป" ทำเหมือนไม่มีความรู้สึกรักหรือไม่รักอีกแล้ว แต่ไม่ใช่รู้สึกเป็นลบเพราะถูกบังคับให้ทำนะครับ มันจะ "พอใจ ยอมรับความเป็นจริงได้" แล้วจึงทำหน้าที่ไป อย่างผู้ที่พร้อมยอมรับความจริง นั่นแหละ เช่น ไม่ได้อยากเป็นคนรับใช้ แต่ก็พร้อมยอมรับความจริง ทำใจได้ แล้วทำงานไปด้วย "ความพอใจจิตผ่องใส"  อันนี้แหละ "ฉันทะ" แท้ๆ เกิดแล้ว แต่ถ้าทำไปด้วยใจขุ่นมัว, หมองใจ ก็ยังไม่เกิดฉันทะได้ หรือทำไปด้วยความรักความชอบทางโลก อันนั้น ไม่ใช่ "ฉันทะ" ซึ่งเป็นเรื่องทางธรรมอย่่างแน่นอน สมมุติก็ได้ เหมือนคุณรักชอบใครอยู่ หรือรักชอบที่จะกระำทำสิ่งใดอยู่ แล้วถูกห้าม หรือขวางกั้นทำให้ไม่ได้ทำ จนคุณจบแล้ว พอแล้ว หมดแล้ว ซึ่งพลังหรือความต้องการ, ความรัก อะไรใดๆ แล้วคุณก็ยังต้องทำอะไรไปด้วยจิตที่ไม่ได้เป็นบวกหรือลบ แต่เพราะคุณคิดได้ ปลงตก เข้าใจ จิตคุณจึงผ่องใส แบบนี้ละ เขาเรียกว่า "ฉันทะ" เวลาคุณทำงานไป คุณจะรู้สึกได้เลยว่า "เหมือนถูกเผาผลาญภายในทำให้ความอยากมันไหม้หมดสิ้น" พูดง่ายๆ คือ หมดอยากแล้ว ไม่เหลืออยากแล้ว แต่จิตไม่ได้ขุ่นข้องหมองมัวนะครับ มันผ่องใส ด้วยใจที่ยอมรับได้ ปลงตกจริงๆ น่ะแหละ ทำงานไปแบบอาการปลงๆ อ่ะ นั่นแหละ กิเลสมันจะถูกเผาไปจนวอดวายหมดไปเองเลยกับการทำงานนั่นแหละ เขาเรียกว่าฉันทะ


ทีนี้ ผมเลยเรียกเป็นชื่อเล่นๆ ในแบบของผมว่า "พลังรักสลาย" ก็แล้วกัน คือ มันจะเกิดขึ้นหลังความรัก, ความหลง, ความชอบ, ความอยากได้, อยากมี, อยากเป็น มันดับสลายลงแล้วเราก็ยังต้องทำงานของเราต่อไป นั่นแหละ "ฉันทะ" คุณเอ๋ย ใครทำได้อย่างนี้ อายุยืนเป็น ๑๒๐ ปีแน่ะครับ พระพุทธเจ้าบอกไว้ว่าได้อิทธิบาทสี่นี่แหละ จะอยู่ให้ถึงตั้ง ๑ กัป ก็อยู่ได้ เพราะอะำไีรละ ลองคิดดูเอง มันเคยรักนะ แต่มันหมดไปแล้ว สลายไปหมด ซังกะตายยังกะศพ พอผ่านด่านตรงนั้นมาได้ มันก็เหมือนเอาชนะความตายได้แล้ว มันผ่องใสขึ้นมาอีกครั้งด้วยจิตที่เป็น กลาง ไม่บวก ไม่ลบ อะไรกับมัน เหมือนคนหมดเรี่ยวแรง กำลังใจแล้วฮึดสู้ขึ้นมาได้ใหม่นั่นแหละ แล้วมันจะไม่สุดยอดได้อย่างไร เพราะคนที่ทำได้แบบนี้ "มันน้อยยิ่งนัก" นอกจาก รักอะไรไม่เป็น แล้วหลงว่ามีความรัก แล้วคิดว่าได้ฉันทะ อะไรแบบนั้น อย่่างนี้เยอะแยะ ยังไม่ใช่ของจริง อย่างที่ฝรั่งสอนนั้น "ยังไม่ละเอียด" อาจพลาดได้นะครับ


เอาละ เม้าท์เรื่องธรรมะก่อนนอนมากไป จะเครียดเอา เดี๋ยวเด็กๆ บ่นว่าไม่สนุก นิทานอะไร ไม่เห็นสนุกเลย ฮ่าๆๆ ก็สลับๆ กันไปนะครับ ในบางวันก็สนุกๆ เบาๆ บางวันก็อาจมีสาระขึ้นมาได้เหมือนกัน สำหรับวันนี้ อย่าลืมกินนมก่อนนอนนะเด็กๆ นอนหลับฝันดี ราตรีสวัสดีครับ



  

5 ความคิดเห็น:

  1. บอกได้รึยังครับ พลังไซย่าแบบเบจิต้าอ่าครับ เพราะผมอยากจะฝึกและลองจนไม่ไหวแล้วอ่า

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่รู้นะครับ ของผมคนละแบบกัน คนละแนวกันครับ

      ลบ
  2. ช่วยหาให้ผมได้ไม๊ครับ คุณต้นหลิว

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ23 มกราคม 2556 เวลา 14:37

    "พลังรักสลาย" โดนที่สุดเลยอ่ะ
    สิ่งที่เคยรักเคยพึงใจ สิ่งที่เคยเป็นอุดมคติสูงส่งอันยึดถือไว้เพื่อจะไปให้ถึง มันเหือดหายไปหมด

    "มันเคยรักนะ แต่มันหมดไปแล้ว สลายไปหมด ซังกะตายยังกะศพ พอผ่านด่านตรงนั้นมาได้ มันก็เหมือนเอาชนะความตายได้แล้ว มันผ่องใสขึ้นมาอีกครั้งด้วยจิตที่เป็น กลาง ไม่บวก ไม่ลบ อะไรกับมัน เหมือนคนหมดเรี่ยวแรง กำลังใจแล้วฮึดสู้ขึ้นมาได้ใหม่นั่นแหละ แล้วมันจะไม่สุดยอดได้อย่างไร เพราะคนที่ทำได้แบบนี้ "มันน้อยยิ่งนัก" "

    ยังกะซากศพ ไร้วิญญาณ จะไปตามหาวิญญาณตัวเองกลับมาจากไหน ในเมื่อมันพังทลายไปหมดแล้ว แต่ในใจลึกๆ ก็แจ่มใส มีความสุขดีกับสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เพราะนี่ไงล่ะ อิสรภาพที่เราค้นหามานานแสนนาน แต่อีกใจก็สับสนงงงันกับสิ่งที่เกิดขึ้น ได้แต่คิดว่า จะกลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมได้อย่างไร ในเมื่อ passion ที่เคยมีมันหายหดไปหมดแล้ว มันไม่อยากทำอะไรๆ ในแบบที่เคยอยาก

    ต้องกลับมาทบทวนดูว่า เมื่อภาพฝันหายไปหมด เราจะอยู่กับความจริง (ที่ไม่จริง) นี้ได้อย่างไร?
    ยังงงอยู่ว่าจะลุกขึ้นมาจากหลุุมได้อย่างไร?

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ23 มกราคม 2556 เวลา 14:47

    ไปเข้าคอร์ส เพื่อจะหาสิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเรากลับคืนมา
    ได้ค้นพบ "โพธิจิต" สิ่งที่ทำให้เราฝึกฝนปวงศาสตร์ทั้งหลายเพื่อจะนำวิชามาใช้ช่วยคน

    แม้มันจะมิได้มีอยู่ตั้งแต่แรก แม้มันจะเป็นสิ่งที่เรารับแรงบันดาลใจจากคนอื่น
    และแม้ว่ามันจะต้องสร้างขึ้นมา เพื่อปลุกใจให้มีชีวิตอยู่ต่อไป
    เราก็จะทำ
    เพื่อลุกขึ้นมาจากหลุมนั้นให้ได้!!

    ตอบลบ

เม้าท์ด้วยคน