วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มหัศจรรย์แห่ง "หม้อยาทิพย์" ที่แม้แต่ผู้มีฤทธิ์ยังต้องแย่งชิงกัน?

ในที่สุด "วันนี้ที่รอคอย" ก็ผ่านไปแล้วนะครับ สำหรับบางคนก็ผ่านไปพร้อมกับความคิดที่ว่า "ฮ่าๆๆ เป็นไงละไอ้พวกบ้าคำทำนาย หน้าแตกเลยสิมรึง" บางคนก็ผ่านไปพร้อมความคิดที่ว่า "นี่ไงละ ผลงานของเราผู้ใช้พลังจิตปกป้องโลกเอาไว้ เลยทำให้คำทำนายไม่เป็นจริง" แต่บางคนก็ผ่านไปพร้อมกับความคิดว่า "กูไม่สนอะไรทั้งนั้นโว้ย เรื่องตัวกูของกู ยุ่งพออยู่แล้ว ยังเสือกมีเวลาว่างไปคิดฟุ้งซ่านอีก" บ้างก็ผ่านไปพร้อมกับความคิดที่ว่า "อารายกันเหยอ? ไม่เห็นรู้เรื่องอะไรกะเขาเยย" (พูดไปพร้อมน้ำลายยืดไป) สำหรับผมก็ผ่านไปด้วยดีครับ พร้อมได้บล็อกใหม่เพิ่มมาอีกรวมเป็น ๑๒ บล็อก ครับ (แหม ช่างสอดคล้องกับเลข ๑๒/๑๒/๑๒ ซะจริงๆ) แล้วท่านละผ่านมาได้อย่างไรกันบ้าง ก็โพสให้กันอ่านบ้างก็ได้นะครับ เอาละ เล่นมาเยอะวันนี้ เข้าเรื่องดีกว่า 


อ่า อย่างแรกก็อย่าเพิ่งคิดว่าผมกำลังโฆษณาขายเครื่องรางของขลังอยู่ละ เพราะมันไม่้มีความจำเป็นต้องทำอย่างนั้น ผมเขียนเอาไว้ก็เพื่อให้เป็น "มรดกโลก" ก็เท่านั้นเองให้ได้ศึกษาร่วมกันทั้งโลกต่อไปครับ  กล่าวคือ เรื่อง "พลังหม้อยาทิพย์" นี้ บางท่านเห็นว่าเป็นแค่หม้อยาที่ใช้รักษาโรคทางทิพย์เฉยๆ เลยคิดว่าไม่ได้มีอะไรพิเศษ สู้มีดหมอคงไม่ได้ อ๋า อย่าเพิ่งคิดอย่างนั้นครับ ไม่เช่นนั้น มันคงไม่ใช่ "สุดยอด" ของ "ของวิเศษแห่งภัทรกัป" นี้ ที่ต้องถูกนำมาใช้ในกิจพิเศษช่วงกึ่งกลางพุทธกาลเป็นแน่แท้ จะอธิบายอย่างไรดีละ? เพราะว่ามันไม่อาจยึดมั่นได้ว่าจะต้องใช้อย่างไร หรือเอาไปทำอะไร อย่างเช่น คุณมีมีดเล่มหนึ่ง คุณเอาไปหั่นผัก ก็ได้, เหลาดินสอ ก็ได้, ฆ่าคน ก็ได้ ฯลฯ ใช่ไหมละครับ เช่นกันครับ ของวิเศษ ก็เหมือนกัน เอาไปใช้ทำอะไรๆ ได้มากมายเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของสิ่งนั้นๆ ครับ อย่างเช่น นำไปใช้รักษาโรคทางทิพย์ให้แก่คน โดยเฉพาะพวกที่โดนปราณพิษ แล้วแก้ไม่หาย รักษาที่ไหนไม่หาย เป็นต้น ทว่า มันไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะครับ เพราะมันสามารถนำมาใ้ช้ในทาง "ปราบ" ได้ด้วย เช่น ในคนที่มีพลังปราณพิษมาก มันสามารถดูดพลังปราณพิษของคนเหล่านั้นไปแล้วสลายจนหมดสิ้นได้ ทำให้คนเหล่านั้น ที่เคยเก่งกาจ มีฤทธิ์จนคนอื่นๆ ไม่กล้าหือ ก็จะไม่อาจดำรงคงสภาพเดิมได้ บางคนจากเดิมก็เคยทำผิด แ่ต่ไม่ได้รับโทษมานาน พอเจอแบบนี้ไปเข้า ฤทธิ์เสื่อมไปครับ มันก็เลยโดนจับ โดนเล่นงาน โดนวิบากกรรมถึงตัวไปในที่สุดได้ นั่นเอง เห็นไหมละครับ ของบางอย่าง มันดูเปลือกนอกเหมือนว่าไม่มีอะไรพิเศษนัก ไม่ได้มีฤทธิ์เดชอะไรมาก ทว่า อย่าประมาทไปเชียวละ


เอาละ เพื่อให้คุณเห็นภาพ ผมจะเล่าเรื่องตามตำนานให้ฟังก็แล้วกัน "หม้อยาทิพย์" ซึ่งเกิดจากผลแห่งการโปรดสัตว์ด้วย "บาตร" ของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ยังไม่นิพพาน ยังไม่หมดวาระหน้าที่ ยังต้องทำหน้าที่ของมันต่อไปจนกว่าจะสิ้นอายุพุทธกาล เมื่อครั้ง พระพุทธองค์ทรงได้รับมานั้น "มันเป็นของทิพย์ที่เกิดจากกระเพาะพญานาคตนหนึ่งที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว" ด้วยพญานาคเป็นสัตว์ทิพย์ที่มีพิษร้าย มากกว่าพิษสัตว์ใดๆ ทั้งมวล ดุจบรรพบุรุษของงูพิษทั้งหลาย ดังนั้น หม้อยาทิพย์นี้ จึงมีอานุภาพไม่ธรรมดา และได้สืบทอดต่อๆ กันมาจน ถึงมือของท่าน "ตั๊กม้อ" แล้วได้สืบทอดต่อเนื่องกันไปอีก หลายรุ่นจนถึงรุ่นของท่านเว่ยหลาง ที่ได้รับบาตรนี้แทนเครื่องหมายบ่งบอกถึงการสืบทอดสายธรรมเซนของท่านตั๊กม้อ จากนั้น ท่านไม่อาจหาคนที่สืบทอดสายเซนได้อีกจึงไม่ได้ยกให้ผู้ใดสืบทอดต่อ ในช่วงเวลานั้นมีพระอยู่สองรูป คือ ๑. หลวงจีนฟาไห่ ผู้มีอภิญญามาก แต่ไม่ได้บรรลุธรรมอะไรเลย และคิดว่าตนจะต้องปราบมาร ๒. หลวงจีนนิรนาม ซึ่งภายหลังได้บรรลุธรรม เพราะปล่อยวางเรื่องการถือครองบาตรไป ทั้งสองรูปได้แย่งชิงบาตรกัน แต่แล้วบาตรก็ตกไปอยู่ในมือของหลวงจีนฟาไห่ (ด้วยการใช้ฤทธิ์มากกว่าแย่งชิงมา) หลวงจีนฟาไห่หลงตัวเองคิดว่าตนคือ ผู้สืบทอดธรรมสายเซนแล้ว (แท้แล้วไม่ใช่ เพราะผู้ที่ได้สืบทอดสายธรรมนี้ จะต้องได้รับบาตรจากท่านเว่ยหลางเอง ไม่ใช่ไปใช้ฤทธิ์แย่งชิงของเขามา) จนเมื่อ "นางปีศาจงูขาว" หรือ "พญานาคขาว" แปลงกายเป็นหญิงงามและได้รับคำแนะนำจากเจ้าแม่กวนอิมว่าเมื่อใดที่นางมีความรักแท้ จึงจะบำเพ็ญสำเร็จได้กลายเป็นคน ได้มาพบเจอกับหลวงจีนฟาไห่ๆ จึงตามปราบ ในท้ายที่สุด หลวงจีนจึงสำนึุกตนได้ว่าตนไม่ใช่ผู้มีธรรมเลย หลังจากที่ปราบนางงูขาวไปได้ ทั้งๆ ที่นางงูขาวนั้นได้กลับกลายเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์แล้ว นั่นเอง


เอาละ นั่นเป็นเพียงนิทานหรือตำนาน ก็เท่านั้นเอง ผมเล่าให้ฟังกันก่อนนอน เหมือนเทพนิยายอาหรับราตรี ก็แล้วกัน ไม่ต้องคิดมาก 555 เอาละ สำหรับบทความฉบับนี้ขอจบลงก่อน ไว้พบกันฉบับหน้าครับ ...  



6 ความคิดเห็น:

  1. ตัวเองเค้าขอโทษนะ

    ตอบลบ
  2. เรื่องการแย่งชิงบาตรของพระพุทธเจ้านี้ มีมานานแล้ว เพราะอะไร? เพราะท่านเคยใช้บาตรนี้ปราบพญานาคร้ายตนหนึ่งมาแล้ว (ก็เลยเป็นที่หมายปองไงครับ) ตอนแรก ท่านอธิษฐานซ่อนบาตรแล้ว แต่พระอชิตะก็ไปหาเจอแล้วได้ไป นั่นเป็นเพียง "วัตถุ" นะครับ ไม่ใช่ "บาตรทิพย์ของจริง" บาตรทิพย์ของจริงยังอยู่กับท่านเสมอแม้ว่าท่านจะเปลี่ยนบาตรไปแล้วก็ตาม จนเมื่อถึงวาระก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน ผู้ที่ถวายพระกระยาหารมื้อสุดท้าย นั่นเอง เป็นผู้ได้รับสืบทอดบาตรทิพย์ไปแบบไม่รู้ตัว แต่พระพุทธองค์ทรงทราบแล้ว ก็เลยรู้วาระที่ท่านจะปรินิพพานทันที เพราะอะไร? เพราะบาตรทิพย์นี้ ต่อให้มีพิษร้ายใดๆ ใส่ลงไปก็สลายหมด (แต่ถ้าไม่มีบาตรทิพย์แล้วฉันอาหารมีพิษ ก็จะถึงแก่ปรินิพพานครับ) ครั้งนั้น นายจุนทะ ไปเก็บเห็ดมา ชื่อว่า สุกรมัทวะ แปลว่า "เห็ดที่ต้องเก็บโดยใช้หมูป่านำทาง" เพราะมันหายากมากๆ และคนหาอย่างไรก็ไม่เจอ ต้องใช้หมูป่าหาครับ ถึงจะเจอ บังเอิญ นายจุนทะก็ไม่รู้ว่าอันไหนคือ "สุกรมัทวะ" ก็เก็บเอามาโดยความไม่รู้ ก็มีเห็ดพิษติดมาด้วยครับ และนั่นคือสาเหตุการดับขันธ์ของพระพุทธองค์ๆ ก็ทรงให้พระอานนท์ปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพื่อไม่ให้คนทำทาน เสียใจ จะได้บุญเต็มที่ครับ เมื่อท่านฉันแล้ว ท่านก็มีอาการทันที ไม่ใช่อาการป่วยครับ แต่เป็นอาหารเป็นพิษ ทั้งอาเจียนเป็นเลือดและถ่ายเป็นเลือดด้วย เรื่องนี้ พระอานนท์ก็รู้ทั้งหมดเพียงคนเดียว แ่ต่พูดไม่ได้ ได้แต่ร้องไห้อาลัยพระพุทธองค์ ก็เท่านั้นเองครับ


    (คุณคิดว่าพระอานนท์จะรู้สึกอย่างไร? ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าพระพุทธองค์ก็ทรงรู้ว่าฉันอาหารนั้นแล้วจะเป็นอย่างไร? แต่ก็ยังทรงฉันเพื่อให้คนๆ นั้นได้บุญ แถมยังไม่ให้บอกใคร ให้เอาหลักฐานไปฝังดินอีกด้วย!)

    ตอบลบ
  3. บาตรนั่น ไม่ใช่ว่าจะสร้างได้หลายอันงั้นเหรอ ผุ้ใดมีพลังจิตถึงพร้อมทั้งมีความเมตตา ก็สามารถสร้างได้ไม่ใช่เหรอ

    ตอบลบ
  4. ครับ เข้าใจถูกแล้ว ว่าบาตรทิพย์ (หรือหม้อยาทิพย์ ประจำองค์ไภษัชฯ)
    สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยบารมี เกิดขึ้นได้เรื่อยๆ แต่ในที่นี้ จะมีเพียงหนึ่ง
    เดียวเท่านั้น ที่ใช้ในกิจ "กึ่งกลางพุทธกาล" นี้ครับ นั่นก็คือ บาตรที่เป็น
    ของพระพุทธองค์สืบทอดต่อๆ กันมา ใครได้ครอง ทั้งสามภพจะเคารพ
    นับถือในฐานะ "ผู้สืบทอดพระศาสนา" ครับ


    ส่วน บาตรทิพย์อื่นๆ ก็จะไม่ได้มีบทบาทมากขนาดนั้นครับ ...

    ตอบลบ
  5. งั้นบาตรอันหลักอยู่ที่ท่านงั้นเหรอ???

    ตอบลบ
  6. ไม่รู้อยู่ที่ไหนหรอกครับ ผมก็ได้แต่เสนอความคิดเห็นพื้นฐานเท่านั้น

    ตอบลบ

เม้าท์ด้วยคน