วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

เคล็ดลับการยกระดับประเทศไปสู่ "ประเทศมหาเศรษฐี" ด้วยวิธีต่างมิติ?

บทความที่แล้ว ผมได้กล่าวถึงมูลเหตุที่ทำให้บางประเทศมีคนรวยมาเกิดเยอะ หรือบางประเทศมีคนจนมาเกิดเยอะแล้วนะครับ ทีนี้ ผมก็จะขอเข้าประเด็นคือ "ทำอย่างไร ประเทศของคุณ จะมีระดับมาตรฐานค่าครองชีพสูงขึ้น" หรือ รวยขึ้นทั้งประเทศอะไรแบบนั้น อันนี้ไม่จำกัดว่าประเทศไหนจะเอาไปใช้นะครับ ยกให้หมดทั้งโลก ถ้าไม่รังเกียจหรือหาว่าผมบ้าไปก่อน โฮ่ๆๆ จิงเกิ้ลเบลๆ จิงเกิ้ล ออนเดอะเวย์ เย้ย ไม่ช่าย ซาต้าครอส นอกเรื่องซะแล้ว มาๆ กลับเข้าเรื่องก่อน คือ วันนี้ ผมจะบอกเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ เป็นตัวอย่างในการสร้าง "ค่านิยม" ให้เกิดขึ้นในสังคมของท่าน เพื่อขับดันให้ประเทศร่ำรวย อ้อ เราจะสร้างแค่ค่านิยมพอนะครับ ประเพณี, วัฒนธรรมอะไรที่ซับซ้อน มันต้องใช้เวลานานครับ ไม่อาจหวังผลระยะสั้นได้ เอาแค่ค่านิยมก่อนนะครับ ซึ่งมีเคล็ด (ไม่) ลับ อยู่หลายข้อทีเดียว ดังรายละเอียดต่อไปนี้ครับ 


๑. เปลี่ยนจากรักสมถะเป็นรักการพัฒนาตัวเอง คือ แทนที่จะพอใจในสิ่งที่ตนมี ก็เปลี่ยนมาแข่งกันพัฒนาตนเองแทน โลภตรงนี้แทนครับ

๒. เปลี่ยนจากรักสงบเป็นรักเข้าสังคม คือ แทนที่จะชอบปลีกวิเวกอยู่เงียบๆ สงบๆ กลายเป็นชอบเข้าสังคม ชอบออกสังคมเยอะๆ ครับ

๓. เปลี่ยนจากรักเชิงรับเป็นรักเชิงรุก คือ แทนที่จะรอให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามธรรมชาติแล้วยอมรับมัน ก็ทำหน้าที่ของตนเองก่อนเลย

๔. เปลี่ยนจากรักคนมีฤทธิ์เป็นรักคนมีไฟ คือ แทนที่จะนิยมศรัทธาคนมีฤทธิ์ขลังๆ (แบบพระ) ก็เปลี่ยนมานิยมคนมีไฟทำงานเยอะๆ แทน

๕. เปลี่ยนจากรักคนใจเย็นไม่โกรธเป็นรักคนโกรธเป็น คือ แทนที่จะนิยมคนไม่โกรธ ก็หันไปนิยมคนที่รู้จักโกรธ บริหารความโกรธเป็น 

๖. เปลี่ยนจากรักพรรคพวกเป็นรักความจริงแทน คือ แทนที่จะนิยมให้พวกมากลากไป เปลี่ยนมาเป็นนับถือความจริง มาก่อนพรรคพวก

๗. เปลี่ยนจากรักตัวบุคคลเป็นรักคุณค่่าในตัวคนแทน คือ แทนที่จะให้ตัวคนสำคัญกว่างานที่เขาทำ ก็ให้งานที่เขาทำ มาก่อนตัวบุคคล

๘. เปลี่ยนจากรักการปฏิเสธเป็นรักการยอมรับแทน คือ แทนที่จะตัดสิ่งที่คิดว่าไม่ดีออกไป ก็ยอมรับทุกอย่าง เพราะมองว่าทุกอย่าง O.k.

๙. เปลี่ยนจากการเรียกร้องเป็นการนำเสนอแทนคือ แทนที่จะประท้วงเรียกร้องอะไรๆ ก็หันมานำเสนอสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสังคมรวมๆ แทน

๑๐. เปลี่ยนจากเสพติดมาเป็นเสพปล่อยแทน คือ แทนที่รับอะไรแล้วจะเสพติดมัน หลงมัน ก็หันมาเสพเพื่อย่อยอย่างเข้าใจแล้วปล่อยไป

๑๑. เปลี่ยนจากบ้าฤทธิ์มาเป็นบ้าคุณค่าแทน คือ แทนที่จะทำอะไรไปด้วยฤทธิ์เดชขับดันทำสิ่งไร้คุณค่า ก็ให้คุณค่าเป็นตัวขับดันแทน

๑๒. เปลี่ยนจากชาตินิยมเป็นสากลนิยมแทน คือ แทนที่จะบ้าคลั่งในชาติของตนเองมาก ก็หันมานิยมความเป็นสากลอันเป็นรากเหง้าแทน

๑๓. เปลี่ยนจากรักสบายเป็นรักความท้าทายแทน คือ แทนที่จะนิยมแต่อะไรที่ทำให้สบาย ก็มานิยมอะไรที่ท้าทายแม้ว่ามันจะยากก็ตาม

๑๔. เปลี่ยนจากรักความวุ่นวายซับซ้อนเป็นรักความเรียบง่ายแทนคือ นิยมความเรียบง่าย มากกว่าความยุ่งยากซับซ้อน ที่ต้องคิดเยอะๆ

๑๕. เปลี่ยนจากรักการแบ่งแยกเป็นรักการหลอมรวมแทน คือ ใครที่ไม่เป็นพวกก็ไม่ต้องไปไล่เขา หาทางจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไรให้ได้ดีกว่่า

๑๖. เปลี่ยนจากรักผลประโยชน์เป็นรักภารกิจแทน คือ แทนที่จะมีค่านิยมชอบอะไรที่ให้ผลประโยชน์, เงิน, ตำแหน่ง ก็นิยมที่ตัวงานแทน

๑๗. เปลี่ยนจากนิยมให้่ตัวเองเก่งเป็นนิยมสนับสนุนคนเก่งแทน คือ แทนที่จะแย่งคนอื่นทำงานให้ตัวเองดูเก่ง ก็สนับสนุนคนเก่งทำแทน

๑๘. เปลี่ยนจากรักสรรเสริญบูชาเป็นรักปฏิบัติบูชาแทน คือ แทนที่จะนิยมสรรเสริญเจ้านายให้เว่อร์เกิน ก็ให้เปลี่ยนเป็น "ปฏิบัติบูชา" แทน

๑๙. เปลี่ยนจากรักเข้าข้างตัวเองเป็นรักเปลี่ยนแปลงตัวเองแทน คือ แทนที่เขาติ ก็เข้าข้างตัวเอง-พรรคพวก ก็หันมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง

๒๐. เปลี่ยนจากนิยมพอเพียงมาเป็นนิยมสุดๆ ไปเลยแทน คือ แทนที่ทำอะไรจะคิดว่าพอดีตรงไหน แล้ววางแผนทำ ก็ทำให้มันสุดๆ เลย จบตรงไหน สุดตรงไหน ก็พอดีตรงนั้นครับ ไม่ต้องไปกำหนดมันก่อนว่ามันพอดีตรงไหน เราไม่ทราบหรอกครับ เลยทำให้สุดๆ ไปก่อนเลย


เอาละ อันนี้เป็นแค่ "ตัวอย่าง" เคล็ดลับในการสร้างค่านิยมเพื่อทำให้ประเทศกลายเป็นมหาเศรษฐีทั้งประเทศไปพร้อมๆ กันนะครับ ถ้าเราสามารถเปลี่ยนค่านิยมเก่าๆ ให้เป็นค่านิยมที่ดีกว่าได้ ประเทศก็จะมีพลังขับดันไปถูกทิศถูกทางครับ ซึ่งการสร้างค่านิยมนี้ ไม่ได้กระทบอะไรมากต่อวัฒนธรรมประเพณีนะครับ เพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดระดับตื้นกว่าประเพณีครับ ประเพณีและวัฒนธรรมก็ได้ีัรับการอนุรักษ์ไว้คงเดิม นั่นแหละ เราไมไ่ด้เอามาเปลี่ยนแปลงหรือเอามาเล่นอะไรมาก แต่เราจะใช้ตัว "ค่านิยม" นี่่ต่างหากในการขับเคลื่อนให้ประชาชนของเราไปยังทิศทางที่ถูกที่ควรครับ ซึ่งปัจจุบัน เรามี "เครื่องมือสื่อสารต่างๆ" ที่ก้าวหน้ามากครับ แต่เรามักเอาไปใช้่ผิดทาง คือ นำไปใช้เพื่อโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ตัวบุคคล, นักการเมือง, ตัวสินค้า ฯลฯ มากกว่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนไม่มีประโยชน์ต่อสังคมโดยตรงนัก เพราะเป็นการเื้อื้อประโยชน์ให้แก่เจ้าของเงินผู้โฆษณามากกว่า เช่น รัฐบาลอาจเอางบของประเทศไปทำประชาสัมพันธ์เพื่อโปรโมทตัวเอง ก็ได้ ซึ่งมันไม่ใช่ผลประโยชน์ของประเทศเลย แต่เป็นของกลุ่มนักการเมืองกลุ่มเดียวก็เท่านั้น อันนี้ สมมุตินะครับ อย่าคิดมาก แค่สมมุติเท่านั้นเอง เอาละ นี่ก็เม้า้ท์มาไม่ใช่น้อยแล้ว เคล็ดลับเหล่านี้ ใช้ได้ทั้งในระดับตัวเองและในระดับประเทศหรือโลกเลยก็ว่าได้ หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อท่านผู้ชมไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ โทรจิตมาบอกผลการทดลองกันก็ได้นะจ๊ะ อ๊ะ ถึงเวลากล่าวลา พบกันใหม่บทความหน้า สำหรับวันนี้ ราตรีสวัสดิ์จ้า



6 ความคิดเห็น:

  1. อนุโมทนาการสาธุ พระอนาคตวงศ์ ความรู้และปัญญาของท่านตั้งมากมาย นำไปสู่การจัดประกายความคิดให้แก่สังคมมาเยอะแยะมากมาย แต่อนิจจา คนไทยเราเอง ชอบที่จะอิจฉาริษยากันเอง เห็นใครดีกว่าเป็นไม่ได้ ชอบดูถูกกันและกันเป็นที่ยิ่ง

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ9 มกราคม 2556 เวลา 13:26

    เคยอ่านเจอว่า คุณหลิวบอก การคิดบวกเป็นวิธีการของพวกปรนิมฯ

    ตอนนี้มีผุ้ออกมาบอกว่า ปีนี้ คือปีแห่งการคิดบวก

    หรือว่า หัวหน้าใหญ่พวกปรนิมฯ จะปรากฏตัวแล้วนี่

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. คิดบวก กับ พลังบวก ต่างกันนิดหน่อย แต่ส่งผลให้เป็นคนละกลุ่มกัน
      การใช้แ่ต่ความคิด เนรมิตเอาดั่งใจ เข้าทางปรนิมฯ พวกฝรั่งก็มีเช่นกัน
      ผมเลยเสนอให้ใช้่พลังไซย่า มันไม่ไ่ด้ใช้การคิดนะครับ เหมือนคนโง่
      คิดไม่เป็น เอ๋อแดก เลยละ แต่เขามีพลังบวกจริงๆ อันนี้ ไม่ใช่มารครับ


      บอกแล้วว่าให้ใช้พลังไซย่าอ่า ...

      ลบ
    2. คนที่พยายามคิดบวกๆ คิดบวกๆ มากๆเข้า เพราะเค้ารู้ตัวว่า "ถ้าไม่คิดบวก ก็ไม่อาจจะมีชีวิตที่เปี่ยมสุข ตามความเข้าใจของเค้า จะประสบพบทุกข์ไปต่างๆนานา เพราะเหตุนี้ พวกนี้ก็เลยคิดบวก ติดคิดบวก" พอคิดบวกมากๆเข้า เืมื่อถึงจุดหนึ่ง มันก็จะเดี้ยงได้เหมือนกันนะ "คิดบวกแบบชาวไซย่าจะดีกว่ามาก"

      ลบ
  3. เอิ่ม... ตอนที่คุณต้นหลิวกินแอปเปิ้ลกินทั้งผลเลยรึเปล่าครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่ครับ แบ่งครึ่งแช่เย็นไว้ แ้ล้วพ่อก็มากินไปหน่อยหนึ่ง แล้วผมถึงกินต่อ

      ลบ

เม้าท์ด้วยคน