วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2556

เทวดาหมดบุญ มาร่วมบารมีกับมนุษย์อย่างไร?

ก่อนอื่น ผมจำต้องอธิบายถึงเรื่อง "อายุขัยของเทวดา" และ "บุญของเทวดา" ซึ่งไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้ว่าจะต้องเท่ากันนะครับ เทวดาอาจมีอายุขัยมากกว่าบุญที่เสวย ก็ได้ ทำให้เขาต้องอยู่ต่อไปอีกยาวโดยไม่มีบุญเสวยแล้ว เหมือนคนแก่ที่อยู่อย่างลำบากในช่วงบั้นปลายของชีวิตนะครับ ไม่ใช่แค่เทวดา มนุษย์ก็อาจมีสภาพเช่นนี้ได้เช่นกัน หมด บุญก่อนหมดอายุขัย นั่นเอง ทีนี้ ถ้าหมดบุญแล้วแต่มีบารมีละ อยู่ได้ไหม คำตอบคือ อยู่ได้ด้วยการทำกรรมปัจจุบันครับ เพราะไม่มีบุญเก่าให้เสวยแล้ว ก็เลยต้องก่อกรรมปัจจุบันเพื่อให้อยู่รอดต่อไปได้ครับ ซึ่งผู้มีบารมีรองรับนั้น สามารถก่อกรรมได้ ไม่มีปัญหาอะไรนะครับ ส่วนผู้ที่หมดบุญแล้วทั้งยังไม่มีบารมีพอจะอยู่แบบนั้นได้ เขาก็ต้องเข้าหาผู้มีบุญหรือมีบารมีมาก พอให้อาศัยได้ครับ เรียกว่า พึ่งพาอาศัยกัน ดังที่เราเห็นบ่อยๆ ว่ามักจะมี "เจ้าพ่อเ้จ้าแม่" หรือ เทวดาที่มีฤทธิ์ แสดงฤทธิ์เดชให้เห็นเพื่อให้ได้ลาภสักการะหรือเพื่อดำรงอยู่ร่วมกับมนุษย์ ดังนั้น เรื่องนี้จึงเ็ป็นเรื่องปกติ, ธรรมดามาก และมีมานานแ้ล้วนะครับ


ต่อไป สิ่งที่เราควรเข้าใจก็คือ พวกเขาปรับตัวอยู่ต่อไปอย่างไรบ้าง? หลังจากที่หมดบุญแล้ว แต่ยังไม่หมดอายุขัย ผมขอยกตัวอย่างดังนี้

๑. อยู่ร่วมกับผู้มีกรรม คือ อาศัยว่ามนุษย์มีกรรม ทำให้สามารถกระทำหรืออยู่ร่วมในร่างสังขารของมนุษย์ผู้นั้นได้ เช่น คนที่เสื่อมจากธรรม และกลายเป็นปอบ นี่แหละ ตัวอย่างของการอยู่ร่วมกันของชีวิตต่างมิติและมนุษย์ที่มีกรรม ทั้งสองก็จะร่วมกันทำกรรมเื่พื่อดำรงอยู่ต่อไป

๒. อยู่ร่วมกับผู้มีบุญ คือ อาศัยผู้มีบุญมากในการดำรงอยู่้ด้วย เช่น ผีลูกกรอก, ผีเด็กที่ถูกทำแท้ง อาจไปอาศัยคนที่มีบุญมากๆ ที่ไปทำบุญแล้วรับเอาของขลังประเภทกุมารไป ก็จะได้อาศัยผู้มีบุญคนนั้น เพื่อดำรงอยู่ต่อไปจนกว่าจะสิ้นอายุขั้ยในภพนั้นๆ ซึ่งดีกว่าในกรณีแรก

๓. อยู่ร่วมกับผู้มีบารมี คือ ร่วมอาศัยกับผู้มีบารมี และอาจร่วมสร้างบุญบารมีร่วมกันไปด้วย ไม่ว่าผู้มีบารมีผู้นั้น จะยังมีบุญเหลืออยู่หรือหมด บุญแล้วก็ตาม กรณีที่มีบุญอยู่ ก็ไม่ต้องทำกรรมมาก กรณีที่หมดบุญแล้ว อาจจำเป็นต้องทำกรรม เพื่อให้สามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ นั่นเอง


การดำรงอยู่้ร่วมกันของ "รูปธรรมชีวิตต่างมิิติ" เช่นนี้ เริ่มพบเห็นมากขึ้น จนกลายเป็น "เรื่องสากล" ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมชีวิตต่างมิติที่อยู่ในโลกนี้ หรือรูปธรรมชีวิตต่่างมิติที่มาจากต่่างดาวก็ตาม อันเป็นวิถีการดำรงอยู่ของสัตว์โลกอย่างหนึ่งคือ วิถีแ่่ห่งการพึ่งพาอาศัยกันและเมื่อเหล่ารูปธรรมชีวิตต่างมิติมาอาศัยร่วมกับมนุษย์แล้ว ทำให้มนุษย์มีหลายมิติมากขึ้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา มีได้หลายประการ ดังนี้

๑. การดำรงอยู่แบบแยกตัวตน คือ ต่างตนต่างอยู่ คนที่มีรูปธรรมชีวิตเหล่านี้มาอยู่ด้วย จะไม่้ได้ประสานตัวตนกัน ย่อมไม่มีภาวะของตัวตนเชิงซ้อนหลากหลายมิติขึ้น มนุษย์ก็เป็นมนุษย์ปกติ ไม่มีพลังพิเศษ

๒. การดำรงอยู่แบบประสานตัวตนชั่วคราว คือ รูปธรรมชีวิตต่างมิติก็อาจจะประสานตัวตนเข้ากับมนุษย์ู้ผู้นั้นชั่วคราวก็ได้ ทำให้มนุษย์นั้นกลายเป็นตัวตนเชิงซ้อนหลายมิิติชั่วคราว มีพลังพิเศษชั่วคราวได้

๓. การดำีรงอยู่แบบประสานตัวตนถาวร คือ รูปธรรมชีวิตต่างมิตินั้นมีการประสานตัวตนแบบถาวร ทำให้มนุษย์ผู้นั้นกลายเป็นผู้มีตัวตนเชิง ซ้อนหลายมิติ จะมีพลังพิเศษอันเกิดจากรูปธรรมชีวิตต่างมิตินั้นๆ ได้

๔. การดำีรงอยู่แบบประสานตัวตนแบบพิเศษ คือ รูปธรรมชีวิตต่่างมิตินอกจาก ประสานตัวตนกับมนุษย์แล้ว ยังมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ อีก เช่น กระบวนการเกิดใหม่ ทำให้รูปธรรมชีวิตต่างมิติ สามารถเป็นมนุษย์โลกที่สมบูรณ์ได้ พลังพิเศษจะเปลี่ยนไปหลังจากเกิดใหม่

เอาละ ผมไม่ได้ตัดสินว่าการดำีรงอยู่ร่วมกันของ "รูปธรรมชีวิตต่างมิติทั้งหลาย" ดีหรือไม่ดี, ถูกหรือผิด อย่างไร และมันก็เป็นไปได้ทั้งหมด ทุกแบบนะครับ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปธรรมชีวิตต่างมิติอย่างเดียว ทั้งคู่นั้นอาจจะนำพากันไปในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ ดังนั้น ผู้ที่ได้รับพลังพิเศษจาก "รูปธรรมชีวิตต่างมิิติ" จึงมีทั้งที่เจริญมากขึ้นและที่เสื่อมลง ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของพวกเขาเอง นั่นแหละครับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มันจะถูกจัดสรรไปเองตามธรรมะ ธรรมชาติ ตามบุญตามกรรม ของแต่ละคน ใครที่ต้องอยู่แบบรวมร่างหลากมิติ ก็หนีไม่พ้น ส่วนใครที่ไม่ต้องอยู่แบบนั้น ต่อให้พยายามให้ได้ ให้มี ให้เป็นอย่างเขา ก็ไม่อาจจะมีได้ นะครับ เราเพียงแต่ศึกษาไว้เพื่อทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ก็พอ


เอาละ เม้าท์มาไม่น้อยแล้ว หวังว่าเด็กๆ คงเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมจึงมีรูปธรรมชีวิตต่างมิติมาอยู่่ร่วมหรือเกี่ยวข้องกับพวกเรา ก็เป็นเรื่องปกติอย่า่งหนึ่งของโลกนี้ครับ คือ "หลักการพึ่งพาอาศัยกัน" นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ด้วยกัน, มนุษย์กับสัตว์ หรือมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตต่างมิิติ ก็ตาม สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ีตรงที่ สิ่งนี้ดีหรือเลว, ถูกหรือผิด, ควรมีหรือไม่ควรมี ฯลฯ แต่มันอยู่ที่ "ทำอย่างไร" ต่างหากละครับ ถ้ามีการกระทำร่วมกันที่ดี มันก็ออกมาดี แต่ถ้ามีการกระทำที่ไม่ดี ผลออกมา มันก็ไม่้ดีนั่นแหละครับ ง่ายๆ เม้าท์มาเยอะแล้ว วันนี้ ง่วงมากๆ น้ำลายไหลด้วย ยังกะเด็กเอ๋ออ่า อยู่ๆ ก็ฟุบหลับไปยังกะสลบเลย ใครมาตีหัวฉันเนี่ย? อ๊ะ ล้อเล่น แค่วูบหลับเฉยๆ (เป็นบ่อยอ่ะ ฟุบหลับไปเฉยเลย ไม่มีปี่มีขลุ่ยยังกะคนตายแน๊ะ) วันนี้ ก็ลาก่อนนะเด็กๆ อย่าลืมกินนมก่อนนอน หน้าจะได้ไม่เหี่ยว ลาละ นอนหลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์ครับ 



7 ความคิดเห็น:

  1. แล้วเค้า ง่า แบบไหนง่า

    บอกด้วยยยยยยยย แง๊ว แง๊วว

    ตอบลบ
  2. แล้วบุญเราหมดไปตั้งแต่เมื่อไหร่

    ตอบลบ
  3. ปอบนิจัดเป็นสรรพสัตว์ในกลุ่มไหน และมีกรรมอย่างไร ถึงได้กลายเป็นปอบ

    ตอบลบ
  4. เครียดด คิดมากเหมือนกันนะเนี่ยย

    ตอบลบ
  5. บางทีก็อยากไปปลดปล่อยพวกผีๆพวกนี้ ตามสุสานต่างๆเหมือนกันเนาะ ผีสัมภเวสีก็ดี ผีเร่ร่อนก็ดี เหมือนกับว่า จิตวิญญาณพวกนี้ ตกค้างอยู่ในภพมนุษย์เยอะมาก จะช่วยยังไงดี

    ตอบลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ10 มกราคม 2556 เวลา 10:58

    คุณหลิวทำนายฝันให้หน่อย ฝันปลายปีที่แล้ว โพสต์มาถามคุณหลิวแล้วโดนลบออก
    ในฝันไปที่แห่งหนึ่ง น่าจะเป็นสาลเจ้าหรือดรงเจ เจอรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมใส่ชุดเกราะออกรบ
    อย่างแม่ทัพ เจียงกุนทั้งหลาย ปั้นชุดเป็นเกล็ดแผ่นสีทอง กลางหน้าอกเป็นแผ่นเป็นแผ่นใหญ่สีทอง
    มันแปลกตรงที่ ไม่เห็นหน้ารูปปั้น แล้วทำไมจิตในฝันของเราถึงรู้ว่าเป็นท่าน แปลก?
    ที่โน่นได้เจอผู้หญิงคนหนึ่งและได้ช่วยเขาพาหนีผู้ชายและลิ่วล้อของเขาเข้ามาในห้องหนึ่ง แล้วปิดประตู
    ยังไม่ทันตัดสินใจว่า จะทำอย่างไรต่อไป (ประตูของห้องนี้อีกด้านเปิดไป จะเจอรูปปั้นท่าน)
    ผู้ชายคนนั้นก็เปิดประตูได้ แล้วทั้งคู่ก็ได้เผชิญหน้ากัน ตื่น ...........แปลให้หน่อย

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. คิดว่าไม่ใช่ฝันประเภทที่ต้องแปลนิมิตนะครับ ไม่ต้องตีปริศนามั้ง


      ฝันมีหลายแบบ แบบที่เกิดจากความไม่มีสาระอะไร ก็อย่างหนึ่ง
      แบบที่เกิดจากเทพดลใจ บ่งบอกอะไรบางอย่าง แต่ต้องตีปริศนา
      ก็อย่างหนึ่ง แต่ดูแล้ว ไม่น่าจะเข้าข่ายทั้งสองอย่างเลยนะครับ


      บอกได้เท่านี้แหละครับ ...

      ลบ

เม้าท์ด้วยคน