วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

พลังผูกเชื่อมเชิงลบ เพื่อยกระดับตัวเองแบบลัดสั้น เป็นอย่างไร?

"เลิกแล้วคร่ะ หนูเลิกกับเขาแล้วคร่ะ อ๋อยังหรอกคร่ะ ไม่คิดม็อบใหม่หรอกค่ะ" ร้องนะ ร้องดังๆ แล้วก็เอากระโปรงแดงครึ่ง เหลืองครึ่งมาใส่ เตะขาซ้ายไปทางขวา แล้วเตะขาขวาไปทางซ้าย อ่ะ นั่นละ หนูเยี่ยมมาก "เต้นได้หล่อมากค่ะ" มาเป็นแดนซ์เซ่อร์กันนะคะ เราจะได้มาแดนซ์กันให้เซ่อร์ไปเลย ฮ่าๆๆ ตกลงว่า "เลิกแล้วเนอะ" คิดว่าบางคนคงโล่งอกโล่งใจไปได้เสียที นึกว่าจะกลายเป็น "มหากาพย์ภารตะยุทธ์" ที่ยืดเยื้อยาวนาน จนเรื้อรังน่ารำคาญ สร้างผลกระทบทางธุรกิจและการประกอบกิจวัตรประจำวันของท่านทั้งหลายไปซะแล้ว แต่จบไปแบบนี้ก็ Happy ending สำหรับบางคนเหมือนกัน (ในขณะที่บางคนบางฝ่ายกลับกลายเป็น Sad ending) เอาละ เม้าท์เรื่องคนอื่นเขาก็ พอประมาณ ตามนิสัยเสียๆ สันดานคนไทยขี้เม้าท์ โฮ่ๆๆ แล้วเราก็เข้ากันได้ใช่ไหมค่ะ (คนดีเกินไปมันไม่เหมาะกับคนไทยหรอกค่ะ) วกมาเรื่องของเราดีกว่า วันนี้มาเรื่องคล้ายเหมือนเดิม แต่ดูดีๆ นะคะ มันมีสาระที่ค่อนข้างตอบอะไรบางอย่างที่ค้างคาใจเรา เวลาเราถูกเล่นงานค่ะ  


คุณเคยสังเกตุไหมว่า บางคนชอบมายุ่งเรื่องของคุณหรือชอบหาเรื่อง คุณอยู่เรื่อย เคยเป็นไหม? ไม่หรอกน่า เป็นไปไม่ได้ถ้าคุณจะไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้ ทีนี้ ผมจึงจะมาเม้าท์ให้ฟังว่า "ปรากฏการณ์แบบนี้" ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ นี่ มันคืออะไรกันแน่? คำตอบง่ายๆ ครับ มันก็คือวิถีที่ทำให้สัตว์เป็นสัตว์สังคม ไม่ใช่กลายเป็นปัจเจกชนไปหมด ด้วยการเอา "พลังกรรมมาผูกเงื่อนเชื่อมโยงกันไป" ก็เท่านั้นเอง เช่น บางคนอาจเลี้ยงสัตว์ไม่ดูแล ปล่อยให้สัตว์มาทำร้ายเรา ทำลายของๆ เรา มีเรื่องเกิดแล้วกลับไม่เห็นตรงชัดเจนว่าอะไรผิดอะไรถูก ไม่สนใจแยก แยะ เข้าข้างสัตว์เลี้ยงของตัวเอง ไม่สนใจรับผิดชอบ พอเราไปโวยก็หาว่าเราผิดอย่างนั้นอย่างนี้ สัตว์มันไม่ผิดก็จริงอยู่ สัตว์มันไม่รู้เรื่องอะไร มันไม่ผิด แต่จะมาโทษคนว่าผิด ทั้งๆ ที่คนได้รับผลกระทบกับสัตว์เลี้ยงที่ถูกปล่อยปละละเลยนั้นไม่ได้ ผู้ที่ผิดก็คือ "คนเลี้ยง" ไม่ ใช่สัตว์ที่ถูกเลี้ยง แต่ถ้าคนเลี้ยงสัตว์ไม่ยอมรับผิดชอบอะไรเลย แถมยังป้ายความผิดไปให้คนที่ได้รับผลกระทบอีก อันนี้แหละ "กรรมที่เขาใช้ผูกมัดพัวพันกัน" นั่นเอง มันเป็นพลังงานแห่งการผูกเชื่อมในเชิงลบ ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่เยอะมาก จนกลายเป็นว่าคนที่ทำกรรมเ็ป็นคนทำถูกไปเลย ส่วนผู้ที่ได้รับความเสียหายกลายเป็นคนผิดไปก็มี 


อันนั้น แค่ตัวอย่างนะครับอย่าเพิ่งคิดมากมันเกิดขึ้นได้หลายแบบครับ บางครั้งเกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผลมากๆ และอยุติธรรมสุดๆ คนผิดได้รับการยอมรับว่าถูก ผู้เสียหายกลายเป็นคนผิดไปเสียเอง อะไรแบบนั้น นี่ละ กรรมผูกโยง เป็นพลังงานเชิงลบที่ผูกโยงคนให้เกี่ยวเนื่องเชื่อมกันไป คือ ถ้าเราไม่ทำกรรมอะไรบ้างเลย ให้มันมีกรรมผูกโยงกับคนอื่นเขา คนอื่นเขาก็จะทำกับเราเองครับ เราอยู่เฉยๆ แท้ๆ ไม่ได้คิดไม่ดีอะไรกับใคร แต่เขาก็ชอบมาทำร้าย หรือเล่นงานเราประำจำ นั่นหละ อย่าไปคิดมาก มองให้ทะลุแล้วจะเข้าใจครับว่า "ธรรมชาติเขาแค่จัด สรรให้คนเรามีกรรมผูกกัน" จะได้เป็นสัตว์สังคม ก็เท่านั้นเองครับ ถ้าเราไม่ทำกรรมผูกกับใครเลย แต่เรายังไม่จบ ยังไปต่อชาติหน้าอีกมาก มันก็จะมาผูกกับเราเองครับ ดังนั้น ถ้าเราไม่อยากตกเป็นเหยื่ออยู่ฝ่ายเดียวซ้ำๆ เราก็ต้องเปลี่ยนบทบาทเป็น "นักล่า" เสียบ้าง ถ้าทำตัวเป็นกระต่ายเชื่องให้เขาล่าอยู่ตลอด แล้วมันไม่ได้ความ ก็ต้องเปลี่ยนไปเป็น "เสือ" บ้างก็ได้ อย่าลืมนะครับว่า "สัตว์เดรัจฉานทุกชนิด หรือแม้แต่คนทุกประเภท" มันไม่ได้มีความผิดอะไรเลยครับ จะเป็นเสือหรือกวาง ก็ไม่มีใครผิด ทุกตัวตนมีบทบาทหน้าที่ของตัวเองแตกต่างกันไปก็เท่านั้น แล้วแต่เราจะเลือกเล่นบทไหนครับ ถึงบอกไงครับว่าถ้าเราเป็นเหยื่อมามากแล้ว จะกลับบทบาทลองเป็นผู้ล่าเสียบ้างก็ได้ (ถ้าเรามีบารมีพอรองรับผลกรรมที่เกิดขึ้นนะครับ) นี่แหละ คือ วิถีของการเวียนว่ายในสังสารวัฏ สำหรับผู้ที่ยอมรับความจริงและไม่หลงตัวเองจนเกินไป รู้จัักสำเหนียกตนเอง ไม่ประมาท และประมาณตนว่าตนนี้ยังไม่นิพพานหรอก แต่สำหรับคนที่ไม่เข้าข่ายนี้ และคิดว่าตนเองไม่ทำกรรมอะไรเลย บริสุทธิ์มาก นิพพานแน่นอน อันนั้น ก็ว่ากันไปอีกสูตร คนละเรื่องกันครับ ใช้คำอธิบายแบบที่ผมใช้อยู่นี้ไม่ได้แล้วครับ  


เอาละ สุดท้ายผมขอสรุปสั้นๆ ง่ายๆ ว่า ตราบใดยังไม่ถึงวาระนิพพาน ท่านก็ยังต้องเวียนว่ายในสังสารวัฎ ยังมีตัวตนอีกมากมายรออยู่ข้างหน้า ดังนั้น ท่านหนีกรรมและการกระำทำกรรมไม่พ้นหรอกครับ เหมือนสัตว์ในป่า ต่อให้นุ่งขาวห่มขาว ก็หนีการเป็น "ผู้กินและผู้ถูกกิน" ไปไม่ได้ ถ้าไม่เป็นผู้กิน ก็ต้องเป็นผู้ถูกกินครับ และกรรมทั้งหลายเหล่านี้ ก็ไม่ได้ผิดอะไร มันมีเหตุผล มันจึงต้องเป็นเช่นนี้ นั่นคือเป็นไปเพื่อให้สัตว์ทั้งหลายผูกโยงกันเป็นสัตว์สังคม อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม นั่นเองครับ อ้อ แล้วที่บอกว่ามันเป็นวิธียกระดับตัวเองแบบ "ลัดสั้น" ก็เพราะแบบนี้เองครับ คือ การทำความดี, สร้างบุญบารมี ผูกโยงกัน มันยาก ทำได้ยากใช่ไหมครับ (ลองนึกถึงเวลาเดินผ่านขอทานสิ แหม คิดว่าจะทำทานนะ มันคิดมาก ยากจริงๆ เลยละ!) ก็เลยใช้บาปกรรมผูกมัดกันไปก่อนเลย ง่ายดี สั้นดี สิ้นคิดดี (แต่ถ้าเลือกได้ ทำดีได้ ก็ทำเถอะครับ) ดังนั้น มันก็แล้วแต่บทบาทว่าคุณจะเลือกเป็นผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำ ตราบเท่าที่ยังไม่นิพพาน ยังเวียนว่ายในสังสารวัฏนี้ต่อไปครับ สวัสดี!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เม้าท์ด้วยคน