วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มหัศจรรย์พลัง "เกราะเพชร" คู่ปรับ "ดาบเพชรเจ็ดสี" ???

เอาละ เห็นหัวข้อวันนี้ อย่าเพิ่งคิดไปว่าผมจะเอานิทานพื้นบ้านไทยมายำมั่ว ผสมกันเสียก่อนละ (แต่ถ้าจะคิดอย่างนั้น ใครจะไปห้ามได้ละ) ไม่ได้มีเจตนาจะเอานิทานพื้นบ้านไทยมายำผสมกันเป็นเรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่ว่ามันเกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง แล้วก็อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ได้หลายอย่าง ก็เท่านั้นเอง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมก็ขอเชิญท่านเข้าสู่เรื่อง "เกราะเพชรเจ็ดสี" เลยก็แล้วกันนะครับ


เกราะเพชร มักจะตกอยู่แก่ท่านที่บำเพ็ญบารมีมากจนพลังงานภายในเกิดการแยกตัวออกหลายๆ ชั้นหลายๆ กายทิพย์ไม่อาจประสานกันได้  เมื่อบุญบารมีถึงก็จะไม่ตายชะตายังไม่ถึงฆาตแต่จะกลับมาเป็นมนุษย์สมบูรณ์ได้ จะต้องได้รับ "เกราะเพชร" เมื่อสวมเกราะเพชรแล้ว จึงจะมีความเป็นมนุษย์สมบูรณ์ คือ ประสานเอาพลังงานหลายๆ ชั้นที่แยกตัวออกกลับมาดังเดิมได้หรือกายทิพย์หลายๆ กายที่แยกกระจายไปกลับเข้าที่ได้หรือ "จิตวิญญาณ" หลายดวงที่อาจจรออกจากร่างให้กลับมา ยังร่างสังขารเดิมได้ ไม่เช่นนั้น ตัวตนหลายๆ ตัว หรือพลังงานหลายๆ ระดับชั้น หรือจิตวิญญาณหลายๆ ดวงก็จะแยกกันอยู่ ไม่ทราบว่าจะไปอยู่ภพไหนหรือมิติใดตามแต่เหตุปัจจัยของแต่ละภาคส่วน เกราะเพชรจึงแก้ปัญหานี้ได้ และเมื่อได้เกราะเพชรแล้ว กลับทำให้การใช้พลังในสังขารที่มีหลายตัวตน, หลายกายทิพย์, หลายชั้น ทำได้ดียิ่งขึ้น ราว กับเป็นคนหลายๆ คน ในคนเดียวกัน เมื่อใช้พลังของตัวตน ตัวหนึ่งก็จะเป็นแบบหนึ่ง มีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง แต่พอเปลี่ยนไปใช้อีกแบบ ก็กลายเป็นมีความสามารถอีกแบบไปทั้งหมดรวมเป็น ๗ แบบ เหมือนวันทั้งเจ็ด หรือรุ้งเจ็ดสี เกราะเพชรเป็นสิ่งที่ไม่มีอาวุธทิพย์ใดที่จะทำลายได้ จำต้องมีอาวุธทิพย์ระดับเพชรเหมือนกัน จึงจะต่อกรกันได้ เช่น "ดาบเพชร" ซึ่งผู้ที่มีดาบเพชร จะสามารถตัดเอาส่วนใดๆ ในร่างสังขารของคนไปก็ได้เช่น เอาเฉพาะ "ตัวตนหรือพลังงานบางชั้น" ไป (ไม่รู้ว่าตัดได้ยังไง?) สมมุติ คุณมีจิตวิญญาณ ๓ ดวงในร่างหนึ่งๆ เวลาเขาตัดไป เขาจะเอาไปอันหนึ่งหรือสองอันก็ได้ ทำให้คุณเหลือเพียงหนึ่งหรือสองจิตวิญญาณ (เดิมมีสามนี่?) คุณก็จะเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม บางสิ่งหายไปได้ เช่น เหมือนเป็นคนไม่มีความโลภก็ได้ ตรงนี้ละ "พระอรหันต์ปลอม" โดยหลอกกันเยอะมาก โดนหลอกจนไม่เป็นมนุษย์ไปแล้ว สูญเสียความเป็นมนุษย์ไป นึกว่าขจัดกิเลสได้ด้วยปัญญาสว่างไสว แท้แล้วไม่ใช่ แท้แล้วไม่แจ้งในธรรม ตามืดบอด ยังไม่เห็นกิเลสเป็นธรรมกลางๆ แล้วมีปัญญาอยู่เหนือกิเลสให้ได้ แต่ไปมี "อคติ" หรือ "ความคิดเชิงลบ" กับกิเลสไปเลย บ้างไม่จบเท่านี้ ยังเอาทัศนติเิชิงลบที่มีต่อกิเลส ไปไล่จับผิดคนอื่น ทำให้เขากลัว และจิตตก บ้างก็ห่อเหี่ยวไปเลย ยอมจำนนว่าท่านเยี่ยมจัง เรามีกิเลสมาก ซึ่งอันนี้ ทำให้เกิด "การแพร่ระบาดของอคติที่มีต่อกิเลส" ไปในที่สุด


ด้วยเหตุนี้ "เกราะเพชร" จึงเป็นอาวุธทิพย์ปราบ "ดาบเพชร" และเป็นสิ่งตรงข้ามกัน ในขณะที่เกราะเพชรกำลังทำหน้าที่ ประสานให้คนได้กลับเป็นมนุษย์สมบูรณ์ครบทุกภาคส่วน, ตัวตน, ชั้นพลังงาน ฯลฯ แต่ดาบเพชรจะทำหน้าที่ "ตัด" ไปเรื่อยๆ เรียกว่า "ตัดกิเลส" บ้าง "ตัดสังโยชน์" บ้าง พอมันช่วยให้คนที่อยากเป็นพระอรหันต์ ตัดได้ดังใจแล้ว มันก็เอาส่วนที่เขาตัดออก ไปเป็นบริวารของมัน (จิตวิญญาณในส่วนที่ถูกตัดออกจะถูกจับไปเป็นทาสของซาตานที่ครองดาบเพชร) นี่ จึงเกิดอรหันต์ปลอมเต็มบ้าน เต็มเมือง ถ้าเกิดปัญญาแจ้งในนิพพานจริง, แจ้งในธรรมจริง, แจ้งในกิเลสจริง ไม่ต้องตัดอะไรหรอกครับ ไม่มีอะไรจะให้ตัดเพราะมีแต่ธรรมล้วนๆ จะตัดธรรมะอะไรไปทำไมกัน? แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น เพราะตอนนี้ "โรคอคติต่อกิเลส" กำลังระบาด มันก็มีอำนาจมาก ครอบงำให้คนมีอคติ มีความคิดเชิงลบต่ออะไรก็ได้ ที่มีในตน ธรรมชาติในตัวเราเอง เพื่อให้เราัตัดเอาส่วนนั้นออกมา (จริงๆ ไม่ต้องไปตัดมันครับ ยอมรับมันซะ อย่างที่มันเป็นทั้งหมด ยอมรับว่าทุกอย่าง คือ ความจริง คือ ธรรมะ คือ ธรรมชาติ คือ ชีวิต) เช่น ถ้าเราเห็นว่าการมีครอบครัว ลุ่มหลงรักใคร่ เป็นความหลง ความทุกข์ เราก็ไม่ต้องไปตัดหรอก เราก็พิจารณาว่า "อ้อ ก็สัตว์มีกรรม ถึงได้เป็นเช่นนี้เอง" ถ้าเราบ้างละ มีบ้าง อยู่ๆ ก็มีมาให้เรา เราก็ปล่อยไปตามกรรม ไม่ได้มีเจตนาจะเอา หรืออยากอะไร แต่เข้าใจในเรื่องกรรม ก็แค่นั้นเอง ไม่ไ่ด้ตัดอะไร แต่มีปัญญาแจ้งในสิ่งนั้นๆ แล้ว ก็ไม่้ต้องตัด ไม่ต้องปฏิเสธอะไร ยอมรับทุกอย่าง ก็ทุกสรรพสิ่ง คือ ธรรมะอยู่แล้ว ถ้าเรามีปัญญาแ้จ้งจริง เราไม่ต้องกลัวกิเลส หรืออะไร มันก็ทำอะไรเราไม่ไ่ด้ เราอยู่เหนือมันอยู่แล้ว แล้วเราจะต้องไปตัดหรือปฏิเสธทำไม?


เอาละ นิทานอาหรับราตรีก่อนนอนวันนี้ เม้าท์มาไม่น้อย ยาวพอควรเลย ผมขอจบเพียงเท่านี้ ก็แล้วกัน นอนหลับฝันดี ราตรีสวัสดีครับ



8 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ18 ธันวาคม 2555 เวลา 10:05

    การไม่คิดบวก ไม่คิดลบ คืออย่างไร คือการวางจิตให้เป็นอุเบกขาใช่หรือเปล่า แล้วการวางจิตเป็นอุเบกขา นี่จะเป็นพลังงานแบบไหนคะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ครับ การเข้าถึงธรรมด้วยอุเบกขาก็มีอยู่ คือ เข้าถึงด้วยพรหมวิหารนั่นเอง
      แต่เมื่อถึงที่สุดแห่งธรรมแล้ว ก็ไม่มีสาระจะยึดว่าจะต้องกลางเสมอไปครับ
      ผู้มีปัญญาปรับตามความไม่เที่ยงได้ ถ้าเห็นว่าเอนเอียงแล้วไม่เวิร์ก ก็ปรับ
      ที่ตัวเองได้ครับ แต่ใช่ว่าจะต้องกลางตลอด คือ ธรรมะแบบไม่ได้ยึด มันก็
      เกิดพลวัตร ปรับไปได้ตามเหมาะสม การมีพลังเชิงบวก ก็เป็นเพียงเปลือก
      นอกครับ ผมพยายามอธิบายเสมอว่า "ใสหุ้มเกราะ" บางคน บรรลุธรรมแต่
      มีชีิวิตแย่มาก โดนวิบากกรรมโหมเข้ามาตลอดก็มี เหมาะกับจะนิพพานเร็วๆ
      แต่บางท่านยังไม่รีบนิพพาน ไม่จำเป็นต้องรับกรรมขนาดนั้นก็ได้ ดังนี้ เกราะ
      พลังบวก จึงช่วยได้ครับ (เป็นแค่เปลือกนอกเท่านั้นเอง)

      ลบ
    2. ไม่ระบุชื่อ18 ธันวาคม 2555 เวลา 21:22

      โมทนาสาธุ....

      ลบ
  2. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขายน้ำ ไม่ใช่ขายตัวครับ ขายตัวเมื่อไร พลังของ "พระสุรัสวดี" จะประสานให้แทน
      (พระสุรัสวดีท่านโปรด ช่วยหญิงขายบริการครับ) พลังของเทพราศีกุมภ์เกี่ยวข้องกับน้ำ

      ลบ
    2. พระสุรัสวดีท่านมีเมตตาโปรดที่จะฉุดช่วยคนพวกนี้ที่ทำอาชีพขายบริการทั้งชายและหญิงน่ะ

      (คำว่า "โปรด" ในที่นี้หมายถึง "การโปรดสัตว์" ไม่ใช่หมายถึง "ชอบ พอใจ หรือ โปรดปราน" หมายถึงว่า "พระสุรัสวดี ท่านมีเมตตาต่อผู้ที่ทำอาชีพนี้น่ะ ไม่ได้คิดรังเกียจบุคคลที่ทำอาชีพนี้")

      ทั้งนี้ องค์พระโพธิสัตว์และองค์ทางพรหมโลก ท่านก็มีปณิธานที่แตกต่างกันไป

      ลบ
  3. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เดี๋ยวนี้ก็มีเวทีประกวดเยอะ บางเวทีก็คัดคนเข้าแสดงละคร
      ถ้าสนใจละครแบบ "ตบจูบ" ก็ลองไปสมัครแข่งกับเขาดูสิครับ

      ลบ

เม้าท์ด้วยคน