วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มหัศจรรย์พลัง "กระจกทิพย์" เหนือล้ำ เกินคำบรรยาย!

โอว นี่ผมเป็นอะไรเนี่ย? บางช่วงเวลาก็ไม่มีอะไรจะทำเล้ย ได้แต่ง่วงเอาง่วงเอา แถมหลับกลางวันแบบหลับลึุกโคตรๆ เลย ยังกะตายแล้วฟื้นเลยอ่ะ (หลับกลางคืนก็ปกติ เหมือนหลับธรรมดาไม่เป็นแบบนี้) ในบางช่วงเวลาก็มีงานยัดเยียดพร้อมๆ กันมา ๓ - ๕ อย่าง ยังกะจะแยกร่างเราให้ได้ กลายเป็นคนๆ เดียวเหมือนคนหลายคนไปเลย งงที่สุด หลังๆ ผมคงจะได้ชื่อเรียกเวลาพวกนี้แล้วว่า "เวลาไสยาสน์" บ้าง, "เวลาแยกร่าง" บ้าง, "เวลาแปลงร่าง" บ้าง ฯลฯ เอ้า ใครเป็นแบบนี้บ้างเอ่ย ยกมือขึ้น (พรึ้บพรั้บๆๆ เต็มไปหมดเลย) แสดงว่าเราไม่ได้มีคนเดียว โฮ่ๆๆ (คิดเอง เออเอง อ่า คนอะไร หล่อเป็นบ้าเลย) เอ้า ไร้สาระไปได้ เข้าเรื่องของเราในวันนี้ กันดีกว่านะครับ เรื่องของเราในวันนี้ ยังไม่ไปไหนไกล ยังเป็นเรื่องของทิพย์วิเศษทั้ง ๕ ตอนจบครับ คือ เื่รื่องของกระจกทิพย์ ซึ่งเป็นของทิพย์ชนิดสุดท้ายแล้ว ดังนี้ครับ


กระจกทิพย์ เป็นของทิพย์วิเศษที่มีพลังแตกต่างจากพลังอื่นๆ อย่างมากคือ มันไม่ได้ใช้พลังของตัวเองหรือพลังของร่างสังขารเ็ป็นสำคัญ  แต่มันสามารถ "สะท้อนพลัง" ของคนอื่นๆ ออกไปได้หรือใช้พลังของผู้ที่จู่โจม เล่นงานตัวเขาเองได้ ซึ่งมันมีอานุภาพมากๆ ครับ ไม่ว่าพลังอะไรมันก็สะท้อนได้หมดเลย เวลาเราที่เจอใครที่มีกระจกทิพย์นะครับ ก็จะน่ารำคาญมากเลย เพราะเขาไม่ยอมใช้พลังตัวเองแถมยังสะท้อนพลังเรากลับมาได้อีกด้วยแก้ยังไงก็แก้ไม่หายครับ สุดท้ายเลยต้องใช้การบำเพ็ญบารมีให้เหนือกว่าแล้วเอามาเป็นของเราเสียเลย มันถึงจะจบ แล้วมันก็จะเอากระจกทิพย์มาเล่นงานเราไม่ได้อีกอย่างไรละครับ 


ถ้าเราจะสังเกตให้ดีนะครับ คนที่มีกระจกทิพย์นี่ ไม่ค่อยออกความคิดเห็นของตัวเองด้วย คือ ไม่แชร์ ไม่บอก ไม่ให้อะไรใครเลย แถมคอยแต่จะเอาความคิดคนอื่นไปใช้ได้ด้วย (โคตรขี้โกงเลยไหมละ) ทว่า คนเราถ้าทำอย่างนั้นบ่อยๆ ประจำๆ สุดท้าย ก็จะไม่ได้บุญบารมีให้ตัวเขาเองนะครับ เขาก็จะค่อยๆ ตกต่ำลงได้ เพราะเป็นผู้รับแต่ของเขาอย่างเดียว พอเขาตกต่ำลงแล้ว ถ้าเขายังทำวิสัยเดิมๆ ทำตัวแบบเดิม ก็จะถูกพลังมารแทรกได้ครับ เสี่ยงมากเลย บางคน ไม่ได้มีของทิพย์แบบนี้ เวลาเขาเสื่อมลง เขาจะตกระดับมาทีละขั้นๆ ยังไม่ลงพรวดไปถึงมารนะครับ แต่คนที่ติดนิสัยใช้ของทิพย์แบบนี้ มีโอกาสสูงทีเดียวที่จะกลายเป็นมาร ถ้าหมดสิ้นวาระบุญที่ไ่ด้ครองกระจกทิพย์นี้ครับ


ดังนั้น ผู้ที่จะถืิอครองกระจกทิพย์ อันเป็นของทิพย์วิเศษชนิดนี้จึงต้องมีบุญบารมีหนุนหลังไว้มาก ไม่เช่นนั้น ก็เสียไปได้เมื่อหมดวาระบุญนะครับ และมันไม่ค่อยอยู่ที่ใครนานๆ มันจะเปลี่ยนมือไปได้เรื่อยๆ ครับ ดังนั้น การได้มันมา จึงอาจจะไม่ยาก ถ้าคุณมีบุญถึงและมีจิตใจคล้ายกับของชนิดนี้ (เช่น ในกลุ่มคนที่ฝึกไทเก็ก) แต่การรักษาไว้ ยากมาก กว่าครับ นอกจากนี้ การใช้่ของทิพย์ชนิดนี้นานๆ ทำให้คุณมีนิสัยเป็น "ผู้รับ" ไม่ใช่เชิงรุก เพราะจะรับพลังจากผู้อื่นก่อนตลอดเวลา และจะไม่มีการชิงรุกใช้พลังของตัวเองเลย นานวันเข้า ก็จะติดนิสัยชอบรอที่จะรับอย่างเดียวได้ ซึ่งถ้าคุณพร้อมเข้านิพพานแล้ว และพร้อมรับได้ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหาอะไรนะครับ แต่ถ้าคุณยังไม่ถึงเวลาที่จะนิพพาน  การอยู่อย่างผู้รับแบบนี้ อาจส่งผลให้คุณมีปัญหาในการเวียนว่ายตายเกิดไปข้างหน้าได้เช่นกัน ดังนั้น กระจกทิพย์ึจึงไม่อาจอยู่กับใครได้นานไงครับ มันจึงเปลี่ยนมือได้ง่ายๆ ถ้าเทียบกับของทิพย์ชนิดอื่นๆ แล้ว เช่น เกราะเำพชร เป็นของที่บำเพ็ญได้ยากมากๆ ใครได้ไปแล้วก็ไม่ค่อยเปลี่ยนมือ หาคนรับช่วงต่อได้ยาก เพราะบำเพ็ญได้ยากครับ


นอกจากนี้ เมื่อใดที่มีผู้ใช้กระจกทิพย์ "ปีศาจกระต่าย" ก็จะเริ่มทำกิจของมันด้วยเช่นกัน คือ "การทำยาเสพติด" (ของทิพย์นะครับ) ทำให้ผู้คนทั้งหลายต้องกลายเป็นผู้ติดสิ่งเสพติดกันมากมาย ทั้งยาเสพติดตามกฏหมายและที่ไม่ได้ระบุไว้ตามกฏหมาย ก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น เช่น การเสพติดสื่อ, เสพติดเน็ต, เสพติดมือถือ ฯลฯ ได้ทั้งหมดเลย ดังนั้น ถ้าผู้ถือกระจกทิพย์ ไม่ได้นำกระจกทิพย์มาส่องแสงสว่างให้ผู้คนได้พ้นไปจากความลุ่มหลง, การเสพติดแล้วละก็ มันก็จะกลายเป็นภัยต่อคนมากมายได้อย่างน่ากลัวทีเดียว อย่างในประเทศไทยตอนนี้ก็มีการแพร่ระบาดของยาเสพติดอย่างหนัก และไม่มีวี่แววว่าจะหาทางแก้ไขได้ แม้จะมีการจับกุมไปเท่าไรก็ตาม เพราะแม้เราจะจับคนขายได้ แต่ถ้าคนซื้อยังต้องการไม่เลิก ก็จะมี "คนขายหน้าใหม่ๆ" เข้าสู่วังวนของการค้ายาเสพติดนี้ ทั้งหมด ก็ล้วนมาจากพลังปราณเสพติดของปีศาจกระต่าย นั่นเอง (ลองคิดดูสิครับ ขนาดออกข่าวว่ามีกระเทยเอายาบ้ายัดใส่รูทวารหนักมาเพื่อส่งขาย คนซื้อยังเอาไปซื้อดมกันได้อ่า?)


มาเล่าถึงประวัติของ "กระจกทิพย์" นี้หน่อยนะครับเรื่องมันเกิดมานานแต่ครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงเป็นพระบรมโพธิสัตว์อยู่เลย ในชาติที่ท่านได้เกิดเป็นกระต่ายและได้ถวายเนื้อให้มนุษย์กิน พระอินทร์ได้สลักรูปกระต่ายไว้บนดวงจันทร์ ในชาตินั้นเองที่ท่านบำเพ็ญบารมีแก่กล้าจนเกิดเป็น "กระจกทิพย์" ขึ้นมาด้วย กระจกทิพย์อันนี้ ได้รับการรักษาไว้โดยเทพพระจันทร์ และใช้สะท้อนพลังแสงของพระสุริยเทพ ให้เข้าสู่โลกในยามค่ำคืน เพื่อใ้่ช้เป็นแสงสว่างให้สัตว์ทั้งหลายในเวลากลางคืนครับ ดังนั้น กระจกทิพย์นี้ จึงเป็นของพระพุทธเ้จ้าซึ่งกระจกทิพย์นี้จะยังไม่นิพพาน จนกว่าจะทำหน้าที่เสร็จก็จะนิพพาน จะไม่มีให้ใครเอาไปใ้่ช้ก่อกรรมหรือสร้างบุญบารมีได้อีกครับ เฉกเช่นเดียวกันกับของทิพย์วิเศษอีกหลายชนิด เช่น "พระขรรค์หัวใจคาวี" ซึ่งเกิดเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้ายังบำเพ็ญบารมีเป็นพระโคที่ชื่อ "คาวี" และมีพระศรีอาร์ฯ บำเพ็ญบารมีเป็นเสือที่ชื่อ "หลวิชัย" (พระศรีอาร์ฯ ได้ดาบหัวใจเสือด้วยในชาตินั้น) ดังนี้ ธรรมของพระพุทธเจ้าจึงคล้ายกับเชิงรับมากกว่าเชิงรุก, คล้ายแสงจันทร์มากกว่าแสงอาทิตย์ และวันที่ท่านเกิด, ตรัสรู้, นิพพาน ล้วนสอดคล้องกับพระจันทร์เต็มดวงทั้งสิ้น


เอาละ วันนี้ ก็เม้าท์นิทานอาหรับราตรีมาไม่น้อยทีเดียวเป็นตัวสุดท้ายของหมวด "ของทิพย์วิเศษทั้งห้า" แล้ว จะได้จบๆ เรื่องของทิพย์ทั้งห้านี้เสียที จะได้ไม่เป็นมหากาพย์ยาวยืดเยื้อไปเสียก่อน ซึ่งผมคิดว่าคงมีน้อยท่านมากๆ ที่จะได้สัมผัสของแบบนี้ แ่ต่ถ้ามีบุญวาสนาได้มัน สัมผัสมันก็จะได้มีข้อมูลเบื้องต้น อย่างที่ผมได้บอกไว้น่ะครับ รู้ไว้ก่อนเวลาเจอจริงจะได้มีสติ รู้เท่าัทัน สำหรับวันนี้ ผมขอจบเพียงเท่านี้ครับ ไว้พบกันใหม่ในบทความฉบับหน้า นอนหลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์ครับ ...




5 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ21 ธันวาคม 2555 เวลา 07:13

    อยากทราบว่า เวลาใส่บาตรเรานำเงินใส่ซองถวายพระด้วย เป็นการสมควรหรือเปล่าคะ มีคนทักว่าไม่สมควร เราเพียงแต่มีเจตนาดี เผื่อว่าท่านจำเป็นต้องใช้จ่ายในเรื่องของจำเป็นส่วนตัวที่คนไม่ค่อยถวายกัน เช่น ยารักษาเฉพาะโรค อะไรแบบนี้น่ะค่ะ ใส่บาตรทุกวันพระ จะถวายเงินท่านครั้งละ 100 บาท ช่วยแนะนำด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่ต้องคิดมากครับ ทำใจเบาๆ สบายๆ แต่ไม่ประมาทก็ดีแล้วครับ


      ทำกรรมอย่างไร ก็ได้อย่างนั้นครับ ถ้าเราเอาธรรมวินัยเป็นตัวตั้ง
      เราไม่ทำบุญด้วยเิงิน เวลาเรารับผลบุญ มันก็เป็นบุญสมถะ ใกล้
      ธรรมมากหน่อย ส่วนเวลาเราทำบุญโดยเอาความจำเป็นของคน
      เป็นที่ตั้ง เวลาเราเสวยผลบุญ เราอาจได้ผลบุญที่สนองตอบต่อ
      การดำรงชีพมากกว่า แต่เราจะถูกลากไปไกลธรรมได้ครับ


      ถ้าเราไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายพระพุทธศาสนาจริงๆ เราไม่ได้หวัง
      ให้พระผิดศีล ก็โอเคครับ ยกเว้นว่าเราตั้งใจให้เงินพระ เพื่อให้เขา
      ทำผิด หรือเป๋ออกไป (คนแบบนี้ก็มีนะครับ แต่กรณีคุณ ไม่ใช่น่ะ)


      กรรมดี กรรมชั่ว ไม่ใช่แก่นสารนะครับ มันก็แค่เปลือก ปรุงแต่ง
      ชีวิตเราไป ตะล่อมให้เราเข้าใกล้หรือออกห่างจากนิพพาน ก็แค่
      นั้นครับ ถ้าคุณทำบุญละเอียด ไม่ใ้ช้เงิน แต่ก็คงต้องเป็นอุปถัมภ์
      หรืออุปัฏฐากแล้วครับ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นไม่ได้ ก็อาจมีเศษกรรม
      บ้าง ติดไปนิดหน่อย ทำให้เราเป๋ออกไกลจากธรรมได้ (เช่น รวย
      เกินจนหลงผิด อะไรแบบนั้น) หรือถ้าจะเอาหลักง่ายๆ คือ เราทำ
      ในฐานะหน้าที่อะไร? ถ้าหน้าที่ชาวพุทธ ก็ทำแต่เท่าที่ธรรมวินัยมี
      ให้ อันนั้นดีเลย ถ้าจะทำมากกว่านั้น ก็ต้องหน้าที่อุปถัมภ์-อุปัฐาก

      ลบ
  2. อะไรมันจะมะรุมมะตุ้มกันขนาดนี้ มันมาได้ยังไง

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ21 ธันวาคม 2555 เวลา 22:37

    ขอเข้าโหราศาสตร์นีสนึงนะ


    คนที่มีดาวเจ้าเรือนภพอริ ไปอยู่ในภพวิบัติ แบบนี้เรียกว่ามีกระจกทิพย์ เปล่าครับ
    มันมีความหมายว่า ถ้าใครคิดไปเป็นศัตรูกับคนที่มีดวงแบบนี้ ซวยแน่ๆ เพราะจะพบ
    กับความวิบัติไปเอง โดยที่เจ้าตัวไม่ไม่ต้องทำอะไรเลย

    ตอบลบ
  4. ดวงมันเปลี่ยนได้อยู่ตลอดเวลาแหละคุณ ตำราดูดวงไม่ช่วยอะไรเลย และมีหลายเหตุปัจจัยหลายๆอย่างมากๆๆ ที่ทำให้ดวงเปลี่ยน

    ตอบลบ

เม้าท์ด้วยคน