วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นภาคมืดได้ แล้วกลายเป็นไปได้อย่างไร?

โอ้ย วันนี้ นึกมุขได้อย่างหนึ่ง แ่ต่ืลืมไปหมดแระ "แป๊ก" งั้นก็เข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน เป็นเรื่องเล็กๆ เหมือนเดิม แต่อยากเน้นย้ำเพราะสำคัญมากครับ คือ เรื่องการพลาดท่าเข้าสู่ภาคมืด ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 


ตอนแรกผมก็ิคิดว่าพระโพธิสัตว์คงไม่เป็นพวกภาึคมืด ทว่า แล้วผมก็ต้องคิดใหม่ครับ เมื่อค้นพบว่ามันไม่จริงเสมอไปยังมีพระโพธิสัตว์บางกลุ่มที่กลายเป็นภาคมืดด้วยครับ บางครั้ง ถ้าคุณติดต่อสื่อสารกับมิติทิพย์ได้ หรือเห็นกายทิพย์ของพระโพธิสัตว์ คุณก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปไปว่าเขาเป็นภาึคสว่างละ เพราะบางครั้ง เขาอาจทำงานให้ภาคมืดก็ได้ เรื่องนี้ เกิดขึ้นกับตัวผมเอง กล่าวคือ ผมสูญเสียจิตวิญญาณโพธิสัตว์ไปเพราะักรรมตัดรอน (ทำกรรมผิดประเวณีครับ) แล้วผมก็สูญเสียไป ทำให้สภาพผมในตอนหลังจากที่สูญเสียจิตวิญญาณโพธิสัตว์ไปนั้น มีสภาพคล้ายซอมบี้มากๆ (เสียจิตวิญญาณที่ดีไป แล้วได้แบบที่ห่วยมาแทน) ชีวิตผมถูกต้อนเข้าระบบของภาคมืด ได้มีชีวิตเหมือนคนกรุงทุกอย่าง ไ้ด้เรียนปริญญาตรี, ได้ทุน, จบมาก็มีงานทำ ฯลฯ แต่ชีวิตผมไม่มีความสุขที่แท้จริงเลย จนเมื่อผมรับวิบากกรรมอันแสนทรมานมานานเป็น ๑๐ ปี ก็หมดสิ้นลง ผมถูกกลั่นแกล้งให้ต้องออกจากงาน แต่เจ้านายไม่ต้องการให้ออก เขายื่นเงื่อนไข ให้ผมปรับตัวเองก็ทำงานต่อได้ แต่ผมไม่เอา ยอมรับกรรม ลาออกครับ แล้วผมก็มาปฏิบัติธรรมให้พ้นทุกข์ ตอนนั้นผมตกต่ำถึงขีดสุด เกือบจะเป็นขอทานเชียวละ ก็ผ่านไป ๕ ปี เห็นจะได้ ผมก็หลุดออกจากชีวิตที่มืดมนนั้นครับ แล้วมันก็เกิดปรากฏการณ์ประหลาดคือผมสัมผัสได้ถึง "จิตวิญญาณโพธิสัตว์ที่ผมสูญเสียไป" เขากลับมาแต่ไม่อาจประสานร่างผมได้ เขาพยายามกลับคืนร่างสังขารของผมแต่ใจผมปฏิเสธด้วย (ปฏิเสธความรู้สึกเดิมๆ อันเกี่ยวเนื่องพัวพันกันจิตวิญญาณดวงนั้น) บางครั้ง เขาก็ประสานกับคนรอบข้าง หรือคนที่ผมคุยด้วยครับ ผมรู้สึกได้ทันทีเพราะจำเขาได้แม่น (เขาก็คือ ผมในภาควิญญาณนี่นา) จนในที่สุด มันก็มีช่องทางที่เขาประสานกับผมได้ (เวลาจะประสานกันได้ ต้องมีใจสอดคล้องร่วมกันในเรื่องหนึ่งเรื่องใดมากพอ) เขาก็กลับคืนมาแต่ผมสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เปลี่ยนไป คือ "พลังมืด" ครอบงำเต็มจิตวิญญาณดวงนี้ และผมต้องชำระล้างเขานานพอควรเลย กว่าเขาจะหลุดพ้นจากความมืดมนนั้นๆ ได้ ข้อแตกต่างจากการชำระล้างจิตวิญญาณโพธิสัตว์กับจิตวิญญาณอื่นๆ คือ "จิตวิญญาณโพธิสัตว์ไม่ต้องกำเนิดใหม่ ก็ได้" แค่ชำระล้างก็พอครับ แล้วผมก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเดิมๆ ที่กลับมาอีกครั้ง


นอกจากนี้ มันยังทำให้ผมรู้ว่ายังมีจิตวิญญาณโพธิสัตว์อีกมาก ที่้ต้องเข้าไปอยู่ในภพมืดและเป็นพวกภาคมืดยกตัวอย่างง่ายๆ ครับ เช่น ในยามที่คุณบำเพ็ญบารมีมากๆ เกือบจะเต็มแล้ว มันก็ท้อแท้ มันเห็นคนอื่นเขาได้อะไรมากมาย แต่เรากลับถูกหลงลืมบ้าง ถูกกลั่นแกล้งบ้าง ทำให้ไม่ได้อะไรเลย ถ้าเรายอมรับชะตากรรมแล้วทำดีต่อไป เราก็จะได้บารมีเต็มครับ แต่เหตุการณ์ไม่เป็นเช่นนั้น ภาคมืดจะหล่อเลี้่ยงให้คนได้มีจิตวิญญาณโพธิสัตว์ก่อนแล้วบีบให้อยากได้เหมือนคนอื่นเขา บีบให้เราไปร้องขอ, เรียกร้อง หรือแม้แต่เดินขบวนเรียกร้องสิ่งต่างๆ ก็จะเข้าทางเขา แล้วเขาก็จะใช้ร่างมนุษย์ที่เป็นพวกของเขา มาให้เราได้สิ่งที่เรา้ต้่องการ แต่นั่นคือ วิถีของการแลกเปลี่ยนครับ เราจะต้องจ่ายไม่ใช่ได้มาฟรีๆ แต่จ่ายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เงินทอง (ซาตานไม่ไ่ด้นิยมเงินทองแบบมนุษย์นะครับ) พอเราถลำลึกเข้าไปมากๆ เข้า เราก็จะมีหนี้ติดตัวมากมาย จนถอนตัวไม่ขึ้น สุดท้าย เราก็จะต้องจ่ายเป็นจิตวิญญาณให้แก่ภาคมืด (หรือซาตาน นั่นเอง) นั่นแหละ วิธีที่ภาคมืดได้ิจิตวิญญาณพระโพธิสัตว์ไป ซึ่งตอนนี้ "โดนกันเยอะมากครับ" เพราะว่าพระโพธิสัตว์ลงมาเกิดเพื่อทำกิจค้ำจุนพระศาสนาที่จะหักกลางนั้นมีจำนวนมาก และมีบางส่วนที่ตกเป็นเหยื่อของภาคมืด ไม่ทันเล่ห์กลอันนี้ครับ ถามว่าทำไม ภาคมืดนิยมจิตวิญญาณของพระโพธิสัตว์? ก็เพราะเวลาใช้จิตวิญญาณของพระโพธิสัตว์ทำงาน มันจะได้ผลมากๆ ต่อปวงสัตว์ทั้งหลายครับ เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาโปรดสัตว์อะไรแบบนั้น ปวงสัตว์ก็จะไม่รู้ว่านี่คือเล่ห์กลของภาคมืด เขาก็จะเชื่อและยอมโดยง่าย สุดท้าย ปวงสัตว์มากมายก็ถูกต้อนเข้าสู่ภพมืดครับ ไม่ได้ไปผุดไปเกิดเลย ทว่า เปลือกนอกในระดับโลกสมมุติ มันจะดูเหมือนว่าคนเหล่านี้ประสบความสำเร็จในชีวิตมากครับทำให้คนอื่นๆ ต้องอยากได้ตามบ้าง ก็จะหลงแห่ตามๆ กันไป ในที่สุด มันก็เป็นวงจรอุบาทว์ที่ร้ายกาจที่สุดเลย (เอาพวกภาคมืด มาทำให้ดัง คนอยากได้อย่างนั้นก็ถลำตัวเข้ามา แล้วก็เอาคนที่ถลำตัวเข้ามานี่แหละ ทำให้ดังเพื่อดึงคนต่อๆ ไปอีก เป็นห่วงโซ่ ที่หมุนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นั่นเอง)


สิ่งสำคัญที่สุดที่จะหลุดพ้นจากเงื้อมมือของภาคมืดได้ก็คือ การที่เรา "อดทนรอบุญที่แท้จริงของเรา" ไม่ไปคาดหวัง, ตรึกในใจถึงเจตนาที่จะรับ, ร้องขอหรือก่อกรรมใดๆ ให้ได้มาซึ่งสิ่งใดๆ ครับ อันนี้ ต้องระวังให้มากเพราะแค่คิดภาคมืดก็รู้ความคิดเราและพร้อมเอาสิ่งที่เรา้อยากได้มาให้เราครับ เื่มื่อใดที่เรายอมรับ นั่นหมายความว่า "เจตนาจะเอา" ของเราได้สมบูรณ์ใน มโนกรรมและกายกรรมแล้ว มันก็เข้าเงื่อนไขที่เราแลกกับเขาทันที ของบางอย่างมาถึงเราด้วยการให้ก็จริง แต่มันก็อาจมาจากการที่เรานึกคิดอยากได้ก่อน ภาคมืดเขาก็สนองตอบให้เรา อย่างนี้ เราต้องหลีกเลี่ยง อย่าเพิ่งรับครับ จนกว่ามันจะกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า "วิบากกรรม" คือ เราหนีไม่พ้นจริงๆ ต้องรับแล้ว ต้องยอมรับสิ่งนั้นๆ ก็ค่อยรับได้ ไม่เป็นอะไรแล้ว (รับในตอนนั้น รับแบบไม่มีความอยากได้แล้ว) อันนี้ มาเตือนด้วยความปรารถนาดีครับ แต่คงไม่ทันละ เพราะโดนกันไปเยอะเหลือหลายทีเดียว เอ้า นึกว่าฟังนิทานอาหรับราตรีกันอีกเช่นเคยละกันไม่มีอะไรมาก จบเท่านี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ! 




4 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ21 ธันวาคม 2555 เวลา 22:00

    การที่จะเป็นพระพุทธเจ้า พุทธบิดา พุทธมารดา เหล่านี้ สามารถที่จะอธิษฐานขอเป็นได้ทุกคนหรือเปล่าคะ สมมุติว่าถ้าเราอยากเป็นพุทธมารดา ทำบุญทุกครั้งก็อธิษฐาน อย่างนี้จะได้ไหมคะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. อธิษฐานได้ แต่อาจจะไม่ได้ ก็ได้นะครับ อธิษฐานกันเยอะครับ แต่คนที่ได้ น้อย ทีนี้ ตำแหน่งเหล่านั้น ในคนที่ตั้งใจเป็นพุทธมารดา เลย ส่วนใหญ่ นิพพานก่อนจะได้เป็นครับ คนที่ได้จริงๆ จะหลงกว่านี้ ส่วนใหญ่มักอยากเป็นพระพุทธเจ้าครับ แย่งกัน แต่บำเพ็ญพลาด แล้วเบี่ยงทางไป อะไรแบบนั้น

      ลบ
  2. ทำงานที่บ้าน ค่าจ้างวันละไม่กี่ร้อย คงไม่เป็นไรเนาะ

    ตอบลบ
  3. ภาคมืดมีอำนาจมากซะขนาดนี้ ชักจะไม่แน่ใจแล้วแหละว่า "ภาคสว่าง จะมีอำนาจอะไรไปต่อกรกับภาคมืดได้"

    ตอบลบ

เม้าท์ด้วยคน