วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ยุค "พันมือ" กับบารมีในการถือครองของทิพย์วิเศษพันชนิด!

อ๊ะ วันนี้ ไม่มีมุขจะเล่นอีกตามเคย บวกกับหัวข้อก็ยากน่าดู ผมเองยังงงเลย แต่จะพยายามค่อยๆ ถ่ายทอดทีละน้อยเป็นลำดับไป เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจนะครับ ซึ่งหัวข้อของเราในวันนี้ ก็คือ เรื่องยุคพันมือกับบารมีการถือครองของทิพย์ต่างๆ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


อย่างแรก ผมอยากอธิบายคำว่า "บารมีในการถือครองหรือใช้สิ่งของ" ก่อนนะึีครับ อย่างแรกอยากให้ท่านทราบว่า "ของทุกอย่างบนโลกนั้น ศักดิสิทธิ์" เพราะทุกชิ้น, ทุกชนิด "มีพระผู้สร้าง" สร้างมันขึ้นมา และท่านเหล่านั้นก็ยังดูแลอยู่ครับเช่น ช้อนซ่อม, ปากกาหรือแม้แต่ไม้แคะหู ฯลฯ ทุกอย่างมีความศักดิสิทธิ์เพราะมีผู้สร้างและผู้สร้างก็เ็ป็นพระผู้สร้างอยู่ในอีกมิติหนึ่งคอยดูแลสิ่งนั้นๆ อยู่ จวบจนกว่าจะถึงกาลสิ้นลงของสิ่งนั้นๆ ผ่านการส่งทอดมอบสิ่งนั้นๆ ให้แก่ "ผู้รักษา" หรือ "ผู้รับมอบแล้วนำไปใช้" นั่นเอง (คนที่ไม่ได้คิดหรือสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา แต่ได้รับสิ่งนั้นเพื่อนำไปใช้ทำกิจ) ทั้งนี้ "ผู้รับสืบทอดเพื่อนำไปใช้" จำต้องมี "พลังเกี่ยวพันกับสิ่งนั้น" อย่างใดอย่างหนึ่งก่อน เช่น ๑. มีกรรมต้องรับไปใช้ ๒. มีบุญจึงได้รับไปใช้ ๓. มีบารมี สามารถใช้สิ่งนั้นได้ ซึ่งในสองข้อแรกนั้นจะไม่ถาวรจะเป็นแค่ระยะบุญหรือกรรมสนองผลเท่านั้น    ซึ่งปกติจะไม่นานเลย ไม่มากพอที่จะเป็นอาชีพทั้งชีวิตได้เช่น บางคนต้องทำงานใช้เครื่องไถนาสัก ๒ ปี แล้วกลายเป็นแรงงานไปใช้เกรียงแทน อันนี้ ก็เป็นไปตามผลบุญหรือกรรมนั่นเอง แต่ถ้าผู้ใดได้ถือครองด้วยบารมีแล้ว สามารถถือครองได้ยาวนานทีเดียว บางท่านก็ชั่วชีวิตเลย เช่น บางท่านทำงานโดยใช้ปากกาได้ทั้งชีวิต (เซ็นต์อย่างเดียว)   ในประเทศญี่่ปุ่นพุทธศาสนานิกายชินโต เชื่อว่าทุกสิ่งล้วนมีวิญญาณ ก็มาจากไตรปิฎกแหละครับ เพราะมี "สังขาร" (ธรรมจากการปรุงแต่ง) จึงมี "วิญญาณ" และสมมุติใดๆ ในโลกนี้เกือบทั้งหมดก็มี "สังขาร" ทั้งนั้นแหละ (ยกเว้นก็แต่นิพพาน, จิตประภัสสร* และอวิชชา เท่านั้นเอง) ดังนั้น ทุกสิ่งจึงมีวิญญาณไงครับ แต่ว่ามันไม่ได้มี ในแบบที่เราเข้าใจในทางโลกๆ นะครับ ไม่ใช่มีวิญญาณไปสิง หรือไปครองแล้วก็กลายเป็นผีขึ้นมา อะไรแบบนั้น สรุป ก็คือ "สองมิติเชื่อมโยงกัน" ถ้าคุณถือครองวัตถุสิ่งของใดก็ตาม อีกมิติหนึ่ง ก็ต้องมีพลังรองรับไม่ว่าจะเป็นพลังงานเชื่อมโยงในรูป กรรม, บุญ หรือบารมี ก็ตาม เอาละ ถ้าคุณมีบารมีถือครองมันได้ ก็ไม่มีปัญหา แต่ที่ผมต้องการเน้นก็คือ ถ้าคุณไม่มีบุญหรือบารมีจะถือครองมันละ? ที่คุณถือครองมันอยู่ ไม่ใช่ด้วยพลังแห่งกรรมดอกหรือ? เช่น การถือครองเงิน ของคนจำนวนมากในโลกนี้ ก็ถือครองด้วยกรรมทั้งสิ้น (ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงให้ศีลไว้เพื่อให้ภิกษุละเว้นจากการถือครองเงินเสีย เพราะไม่มีบาีรมีจะได้) 


ต่อมาขออธิบายคำว่า "ยุคพันมือ" อีกนิดหนึ่ง มันก็คือ การที่บำเพ็ญบารมีมากพอจนถึงโพธิสัตว์ มีบารมีมาก มีกรเป็นพันกร ในแต่ละหนึ่งกรจะมีบารมีถือครองอาวุธทิพย์หนึ่งอย่างรวมแล้วทั้งสิ้น ๑,๐๐๐ อย่างพอดี พอเข้าใจเรื่องพลังงานเชื่อมโยงสองมิติออกนะครับ ถ้าคุณถือปากกาเป็นเครื่องมือ ๑ ชิ้น คุณก็ต้องมี "ของทิพย์" ในกรทิพย์ ๑ กร จึงจะใช้ปากกานั้นได้ด้วย "บารมี" เซ็นต์อนุมัติอะไรให้ใคร ก็ไม่ต้องกังวลมากครับ "เพราะมีบารมีพอรองรับผลมันได้" แต่คนส่วนใหญ่ในโลกยุคนี้ "ถือครองโดยไม่มีบารมีพอ" พวกเขาถือครองได้ด้วยพลังแห่ง "บุญหรือกรรม" ต่างหาก โดยช่วงแรกพวกเขามักถือครองด้วยพลังแห่งบุญก่อน พอสิ้นพลังบุญไปแล้ว ด้วยใจที่ยึดติด, ใจอยากได้ อยากถือครองต่อไป ก็จะต้องถือครองด้วย "พลังแห่งกรรม" นั่นเอง และจุดเปลี่ยนนี่แหละ ที่ "พลังภาึคมืด-พลังซาตาน" เข้ามาสนองให้ ด้วยการแลกเปลี่ยน หลายคนจึงได้อะไรมากมายมาโดยง่ายกว่าที่มันควรจะเป็น และต้องสูญเสียอะไรบางอย่างไปในภายหลังโดยไม่รู้ว่านี่คือการแลกเปลี่ยน ทว่า คุณลองดูโลกในยุคนี้สิ จะให้เรากลับไปอยู่แบบมนุษย์ถ้ำหรือ? เป็นฤษีหรือ? คงไม่ได้ใช่ไหมละครับ เมื่อเราก้าวมาถึงขนาดนี้แล้ว เราก็ต้องก้่าวหน้าต่อไป ให้ถึง "แสงสว่าง" ให้ได้ กล่าวคือ เราก็ควรไปให้ถึงจุดที่เราจะถือครองสิ่งต่างๆ ได้ด้วยบารมี และชีวิตเราทุกวันนี้ เราต้องใช้ "ของใช้" กี่อย่างละครับ? ลองนับดูเล่นๆ ง่ายๆ ก็ได้นะครับ เช่น เครื่องแต่งหน้า ๑๐ ชิ้น, เครื่องชำระล้างร่างกาย ๑๐ ชิ้น, เครื่องแต่งกาย ๑๐ ชิ้น, เครื่องมือสื่อสารฯ ๑๐ ชิ้น, เครื่องมือทำครัว ๑๐ ชิ้น ฯลฯ โอ้ย ผมว่ามันน่าจะถึง ๑,๐๐๐ ชิ้น ได้ในที่สุดนะ ดังนั้น ผมจึงบอกว่าเราจึงต้องบำเพ็ญ "พันกร" ไงละครับ ในเมื่อเราต้องบำเพ็ญพันกรพร้อมๆ กัน มันก็ทำให้โลกต้องเข้าสู่ยุคพันมืออย่างไรละครับ ไม่เช่นนั้น จะต้องมีการทำลายล้างกันขนาดใหญ่ เพื่อให้สิ่งที่ไม่ควรมี, ไม่ควรได้, ไม่ควรเกิด ต้องสิ้นสุดลงไป และเราก็จะปรับเข้าสู่ยุคฤษี อยู่แบบนั้น มีของใช้นิดๆ หน่อยๆ อยู่แบบสมถะก็พอแล้ว อะไรอย่างนั้น ซึ่งผมคิดว่า ท่านทั้งหลายคงไม่ต้องการแน่ๆ


เอาละ หัวข้อนี้ "ยากส์" ครับ มันยากและอาจทำให้มึนได้ ถ้าพูดต่อไป  ฮ่าๆๆ เอาเป็นว่าทีละน้อย วันละนิด ค่อยๆ เป็นค่อยไป ก็แล้วกัน แบ่งไว้วันหลังบ้าง จะได้มีเรื่องไว้เม้าท์กันต่อ สำหรับบทความฉบับนี้ ผมขอจบเพียงเท่านี้ก่อน ไว้พบกันใหม่ในบทความหน้า ราตรีสวัสดิ์ครับ 


* หมายเหตุ ในปฏิจสมุปบาทนั้น ไม่มีปรากฏก็เีพียง "นิพพาน" ส่วน "จิตประภัสสร" นั้น ย่อมหมายรวมเป็นส่วนหนึ่งของ "อวิชชา" ด้วย นั่นคือ ต่อให้จิตนั้นบริสุทธิ์ แต่ก็เต็มไปด้วยความไม่รู้อยู่ดี เหมือนคนที่ใสซื่อ, โง่ และยังไม่รู้แจ้ง นั่นเอง 



3 ความคิดเห็น:

  1. ธรรมบริสุทธิ์ก็คือ "อวิชชา"
    อวิชชา ก็คือ "ธรรมบริสุทธิ์"


    นิพพาน พ้นแล้วทั้งจากธรรม
    อันบริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์ ?

    ตอบลบ
  2. นอกจาก "อวิชชา" แล้ว ใดๆ ในโลกก็ล้วนปรุงแต่งทั้งสิ้น (สังขาร)
    สิ่งที่ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ นอกจากนิพพาน ก็มีแต่เพียง "อวิชชา"
    เท่านั้นเอง (จากวงจรปฏิจสมุปบาท เพราะมีอวิชชา จึงมีสังขาร ดัง
    นั้น อวิชชาจึงเป็นธรรมที่เกิดก่อนมีสังขาร นั่นคือ อวิชชาย่อมไม่มี
    การปรุงแต่งมาก่อน คือ บริสุทธิ์มาก่อน แล้วเมื่อมีการปรุงแต่งจึงมี
    สังขารมาภายหลัง จิตประภัสสรอัีนบริสุทธิ์ก็เป็นเช่นนี้ ต่อเมื่อมีการ
    ปรุงแต่งจึงมีสังขาร หรือ "จิตเดิมนั้นบริสุทธิ์ แต่เำพราะ บาปกำเนิด"
    (สังขาร) จึงมีการเกิดขึ้น นั่นเอง)


    เพียงแค่ใช้คำศัพท์ต่าง เท่านั้น ...

    ตอบลบ
  3. หลายคนชอบคิดอะไรเอาง่ายๆ่ว่า พระโพธิสัตว์พันกรนั้น อาวุธแต่ละอย่างในพันกรนั้น ต้องวิเศษวิโสไปต่างๆนานาๆ

    ความจริงแล้วก็คือ ความสามารถใช้ข้าวของอุปโภคบริโภคต่างๆ อย่างมีสติ โดยไม่หลงโลกมากนั่นเอง ถึงจะเรียกได้ว่า "มีบารมีในการใช้สิ่งต่างๆ"

    ตอบลบ

เม้าท์ด้วยคน