อ๊า ดีใจจังเลย วันนี้ นึกมุขออกแล้ว และไม่ลืมด้วย เอาละน้า เล่นเลย คือ อย่างนี้ ป้าข้างบ้านแกแก่แล้ว อยู่คนเดียวเปลี่ยวใจ มีหมาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน วันหนึ่งๆ ก็เรียกหมาหลายรอบ เรียกไปอย่างนั้นแหละ แกมีหมาสองตัว สมมุติว่าชื่อ สุดยอด กับ เริ่ดค่ะ ก็แล้วกัน พอเห็นเจ้าสุดยอด แต่ไม่เห็นเจ้าเริ่ดค่ะ ก็จะถามเจ้าสุดยอดว่า "เจ้าเริ่ดค่ะ ไปไหน" อ้าว ยัยป้าประหลาด ไปถามหมามันอย่างนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ? แล้วมันจะตอบป้าได้ไหม? มันก็เงียบทุกทีอะ่ค่ะ วันหลังนะ ป้าต้องถามเจ้าตัวมันเอง ถ้าอยากรู้ว่าเจ้าเริ่ดค่ะไปไหน ก็รอให้มันมาก่อนแล้วถามว่า "เจ้าเริ่ดค่ะ ไปไหน?" ถึงจะได้คำตอบ อ่ะป่าวอะคะ? เอาละ ขำมั้ยอ่า? มุขนี้ ให้เวลาหัวเราะงอหายครึ่งชั่วโมง แล้วมาอ่านบทความกันต่อนะครับ เรื่อง "การเดินทางของเมล็ดพันธุ์ดวงดาวบนโลกมนุษย์" มีดังนี้
ทีนี้ เมื่อเมล็ดพันธุ์แห่งดวงดาวเหล่านั้น บ่มเพาะตัวเองจนถึงกาลอันควรแล้ว ก็จะได้รับการพัฒนาในแบบ "ดาวพ่อ" นะครับ ซึ่งจะคนละแบบกับของ "ภาคมืด" ครับ เช่น กระบวนการปลดปล่อย, ชำระล้าง และการสร้างใหม่ เพื่อให้พวกเขาได้รับการชำระล้างตัวเองให้พ้นไปจากพลังภาคมืด และได้กำเนิดใหม่ตามแบบที่ถูกต้อง ตั้งแต่ดั้งเดิมที่พวกเขาเคยเป็นมา ทีนี้พวกเขาก็จะกลับคืนสู่ "ต้นเดิม" ที่เขาเคยเป็น เช่น เมล็ดพันธุ์ดวงดาวที่มาจาก "ต้นกวนอิม" ก็จะกลับไปเหมือนกับพระกวนอิม, เมล็ดพันธุ์ดวงดาวที่มาจาก "ต้นศรีอาร์ฯ" ก็จะกลับไปเหมือนกับพระศรีอาร์ฯ พอเข้าใจนะครับ ไม่ยากแล้ว เห็นภาพแบบนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการปลูกพืช ซึ่งระหว่างทางมีการแปลงสายพันธุ์หรือกลายพันธุ์ไปบ้าง เพราะสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป นั่นเอง แ่ต่ก็จะได้รับการปรับปรุงพันธุ์ให้กลับไปดีเหมือนต้นเดิมใหม่ ในท้ายที่สุด นั่นเอง คนไำหนที่วนเวียนอยู่นานแล้วบนโลกนี้ ก็ใกล้ที่จะถึงฝั่งได้ไปสู่ "ต้นเดิม" แต่เมล็ดพันธุ์ไหนที่เพิ่งมายังโลกใหม่ๆ ก็จะยังห่างไกลและต้องพัฒนาตัวเอง วิวัฒนาการตัวเอง ผ่าน "ร่างสังขาร" อีกมาก หลายๆ ร่างสังขารทีเดียว เพราะอย่างที่บอกแล้วว่า "มนุษย์โลกนั้นมีอายุขัยสั้น" ดังนั้น แค่ ๑ ร่างสังขารจึงไม่พอแก่การเรียนรู้ของเหล่าเมล็ดพันธุ์ดวงดาวเหล่านั้น พวกเขาจึงต้องเรียนรู้ผ่านหลายสังขารมาก นั่นเอง อนึ่ง ในกระบวนการเรียนรู้นี้ ไม่เพียงแต่ "ระบบมืด" ที่มีอยู่เท่านั้น ยังมี "ระบบไกอา" ด้วย ยกตัวอย่างชัดๆ ไปเลยก็ได้ เช่น การเรียนปริญญาตรี (เรียนในห้อง เ้น้นเล็คเชอร์เป็นหลัก) นี่ชัดเลย ก็คือ "ระบบมืด" ส่วนการเรียนรู้แบบนอกห้องเรียน ไปกรีดยางกับพ่อ นี่ ก็คือ "ระบบไกอา" นั่นเอง ส่วนการเรียนรู้เรื่องการกำเนิดใหม่นี่ ของ "ดาวพ่อ" นะครับ (พอจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนไหมครับ?)
เอาละ ฟังนิทานอาหรับราตรีวันละนิด จิตแจ่มใส ฟังไปวันละน้อยก็พอ มากเกินไปเดี๋ยวหมด ไม่มีเล่าต่อ ฮ่าๆๆ ต้องกั๊กไว้เล่าคืนต่อไปให้น้องๆ หนูๆ ได้ฟังกันต่อไป สำหรับเรื่องราวในวันนี้ ขอจบเพียงเท่านี้ นอนหลับฝันดี ฝันเห็นตัวเลขตรงๆ ไม่ต้องตี ราตรีสวัสดิ์ครับ ^_^"
พอจะอธิบายเกี่ยวกับแดนนิพพานได้หรือเปล่าคะ แดนนี้สามารถที่จะสื่อสารได้หรือเปล่าคะ
ตอบลบอธิบายตามความคิดเห็น ก็คงได้นิดหน่อยนะครับ สื่อสารได้ครับ นึกเหมือนเป็นมิติๆ หนึ่ง อาศัย "สิ่งที่เราสมมุตินั้น" เป็นประตูเชื่อมไปก่อน เหมือนเครื่องจูนน่ะครับ แต่ปกติ จะไม่ค่อยพูดเรื่องนี้มากครับ เพราะเป็นหน้าที่ของท่านที่จะเข้านิพพานโดยตรง ก็เลยเกรงใจถ้าจะไปยุ่งกิจของเขาเหล่านั้น เราจูนกับนิพพานยากอยู่ครับ เพราะไม่ใช่พระปัจเจกฯ ลองจูนกับพระพุทธเจ้าก่อนแล้วค่อยเชื่อมถึงนิพพานอีกที จะง่ายขึ้นนะครับ
ลบสาธุ ขอบคุณค่ะ
ลบอยากรู้จังว่าตัวเองมาจากดาวอะไร ต้องสังเกตุยังไงอ่าคับ?
ตอบลบปกติธรรมชาติจะจัดสรรให้เราไปอยู่ใน "ระบบ" แบบใดแบบหนึ่ง ซึ่งจะสอดคล้องกับดาวที่เราเคยจากมาครับ เช่น กลุ่มดาวพุธ ก็อยู่กับการเจรจา, สื่อสาร, ค้าขาย เป็นต้น กลุ่มดาวอังคาร ก็จะอยู่กับการแข่งขัน, กีฬา, การทหาร เป็นต้น ครับ อันนี้ คือ "ระบบแวดล้อม" ที่ตะล่อมเราเป็นพื้นฐานครับ
ลบทำไงดี
ตอบลบเวลาอ่านเรื่องของคุณหลิวทุกที
มักต้องมีอาการง่วง หาว อยากจะหลับ
ทั้งที่ยังไม่จบ
คือ อะไรเนี่ย ไขให้ทีนะ
แสดงว่าคุณเปิดใจและตั้งใจอ่านนะครับ ผมเป็นปกติมาก เวลาผมคุยกับใครแล้วเขาตั้งใจฟังผม เป็นอย่างนี้กันหมดเลยครับ 555 ไม่รู้ว่าทำไม แต่ยังโชคดีกว่าบางช่วง บางช่วงนี่คนที่ตั้งใจฟังผม แข็งทื่อไปเลย ยังกะถูกแช่แข็งแน่ะ ช่วงนั้นละก็ จำต้องระวังมากหน่อยครับ
ตอบลบถ้าให้ผมสัณนิฐาน ก็อาจเป็นไปได้ว่ามีการเชื่อมโยงของพลังงานต่างมิติ ในกลุ่ม "พรหมฤษี" จะมีลักษณะแบบนี้แหละครับ คล้ายคนทรงเวลาใกล้จะ "องค์ลง" ก็จะหาวบ่อยๆ อะไรแบบนั้น แต่ไม่ใช่องค์ลงนะครับ เป็นพลังงานเชื่อมโยงบางส่วนเท่านั้นเอง เพราะถ้าองค์ลงจริงๆ คงมีอาเจียนคล้ายๆ คนทรงด้วยละครับ
เราก็อ่านอย่างตั้งใจเหมือนกัน แต่ไม่มีอาการง่วงเลย รู้สึกชอบอ่านบทความทุกตอนมาก ไม่รู้เป็นไงรู้สึกติดใจที่จะต้องมาอ่านทุกวัน ทั้งๆ ที่บางครั้งไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ค่ะ
ลบคงสัณนิฐานได้ว่า ไม่ไ่ด้เชื่อมโยงกับพลังสายพรหมฤษี หรืออาจเป็นกลุ่มของสายพลังประเภทอื่น เช่น พลังสายเทพ ก็แตกต่างจากพลังงานสายพรหมฤษีครับ
ลบอ่อ นึกออกล่ะ พระอาจารย์ที่สอนกรรมฐาน ท่านเป็นพระป่า ทักว่าต้นกำเนิดเป็นเทพ เราคิดว่าคงหมดอายุขัยจากเทพแล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็ฝันเห็นเทพบ่อยมากค่ะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเทพชั้นไหน เครื่องแต่งกายอลังการมาก มีแต่เพชรระยิบระยับไปทั้งตัว แล้วพลังสายเทพ แตกต่างจากพลังงานสายพรหมฤษียังไงคะ รบกวนถามค่ะ
ลบนิยามที่ง่ายและชัดที่สุด คือ เทพมีหน้าที่ มีกิจทำตลอด, ฤษี ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ เข้าฌาน ทำสมาธิไปวันๆ ฝึกจิตไปเรื่อยๆ, มาร ไม่มีงานทำ นั่งนึกคิดเนรมิตเอาไม่ต้องทำอะไร วันๆ จับผิดชาวบ้าน บ้าง ทำเป็นครูไปทดสอบคนอื่นเข้าบ้าง อะไรแบบนั้น
ลบพลังสายเทพปกติจะอุ่นหรือร้อน ทำให้มักมีไฟทำงานเรื่อยๆ ยกเว้นเทพนอกคอกบางประเภทก็มีพลังสายเย็นได้ ส่วนฤษี ปกติ ไม่ร้อน ไม่เย็น แต่สงบนิ่ง ฤษีสัมมาทิฐิจะสงบนิ่งและโปร่งโล่ง เบาสบายกว่า (ขาว) ส่วนฤษีมิจฉาทิฐิื ก็มี จะขุ่นมัว หมองหนัก ทึบ (ดำ)
ฉันง่วงและหาว all the time 55555555555555555
ตอบลบอืมมม การตกลงสู่โลก มันก็ไม่้ใช่เรื่องที่แย่ซะทีเดียวนิเน๊าะะะ.....งึม งึม งึม
ตอบลบเข้าใจแล้ว🧿
ตอบลบทุกคืนเวลามองไปที่ดวงดาว จะรู้สึกดีงับ
ตอบลบ