วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ลูซิเฟอร์พลังงานใหม่ที่จะมาทำหน้าที่แทนพลังงานเก่าที่หมดวาระไปจะเป็นใคร?

งานเข้าแล้วสิครับ เมื่อภาคมืดพยายามมาดึงผมเข้าไปสู่ภาคมืดให้ได้ หลากหลายวิธีจริงๆ เชียว ล่าสุด ก็มีมุขเด็ด คือ หลอกให้ผมกินผลไม้แห่งการหยั่งรู้ เหมือนลูซิเฟอร์ จะได้เป็นร่างและลูซิเฟอร์ตัวใหม่ ไปเสียเลย อ้าวเฮ้ย เล่นกันง่ายๆ อย่างนี้เลยหรือ? แหมนะ เอาละ นี่ก็เป็นประสบการณ์ในมิติลี้ลับที่ผมเจอมากับตัวของตัวเองเลย จะเอามาเล่าให้ฟังกันยามดึกเป็นนิทานก่อนนอน ในวันนี้ก็แล้วกันนะครับท่านผู้ชม


ช่วงเวลาแห่งการปรับเปลี่ยนพลังงาน แม้แต่ลูซิเฟอร์ซึ่งเป็นพลังงานเก่าก็จะเปลี่ยนด้วย กล่าวคือ จิตวิญญาณดวงหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นลูซิเฟอร์ ก็จะหมดวาระลง เขาจะตายในสงครามศักดิิสิทธิ์ในอีกไม่นานนี้ (ผมคิดว่าภายในปีนี้ครับ เขาส่งสัญญาณมาแล้ว ลูซิเฟอร์รู้ทุกอย่าง ก็รู้แม้แต่ว่าตัวเองจะตายอย่างไร และเมื่อไรด้วยครับ) จากนั้น เขาจะได้กำเินิดใหม่ หลุดพ้นไปจากภาคมืดและสภาพที่เป็นอยู่คือ ซาตาน นั้น แต่ก่อนที่เขาจะไป เขาจะหา "ตัวตายตัวแทน" เหมือนทายาทกระสือ น่ะแหละครับ ให้มาเป็นอย่างเขา แทนที่เขา ซึ่งเขาจะต้องหาคนที่ได้บารมีไม่น้อย และมีอะไรๆ ที่คล้ายๆ เขาด้วยครับ คนๆ นั้น ที่ถูกเลือกก็จะต้องทำกรรมคล้ายๆ เขาด้วย จึงจะมาแทนที่เขาได้ และเมื่อได้เป็นแล้วก็จะทำหน้าที่เป็น "อัศวินผู้ดูแลพระพุทธศาสนา" ด้วยครับ คือว่า พระพุทธศาสนานี้ แท้แล้วไม่ได้มีบุญอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปีได้ แต่ที่อยู่ได้ ก็ด้วยความช่วยเหลือกันของหลายท่าน พระพุทธเ้จ้าสร้างให้เราได้ แต่ถ้าท่านดับขันธปรินิพพานแล้ว มันก็จะต้องจบ จะไม่จบไม่ไ่ด้ เพราะผู้ที่ไม่ยอมให้มันจบ จะทำหน้าที่ดูแลมันต่อไป ผู้นั้นย่อมไม่ได้นิพพาน ก็หมายถึงว่าพระพุทธเจ้าจะทำหน้าที่นี้ไม่ไ่ด้ครับ ถ้าทำแล้วจะไม่ได้นิพพาน และเมื่อพระพุทธเจ้าไม่ได้นิพพาน สัตว์ทั้งหลายที่เดินตามท่านก็จะพลอยไม่ไ่ด้นิพพานกันไปทั้งหมดเลย ดังนั้น ท่านจึงทำกิจนี้ไม่ได้ ไม่ใช่กิจของพระพุทธเจ้า แ่ต่เป็นกิจของพระโพธิสัตว์และเหล่าสัตว์ทั้งสี่เหล่า ได้แก่ ยักษ์, มาร, เทพ, พรหม ครับ ส่วนลูซิเฟอร์นี่ เขาก็อยูในกลุ่ม "เทพและพรหม" นะครับ เขาได้ญาณหยั่งรู้ได้ทุกสิ่ง อันเป็นสิ่งที่ทำให้องค์ประกอบของความเป็นพระุพุทธเจ้าสมบูรณ์ ดังนั้น จึงต้องมีเขาครับ ซึ่งความจริงไอ้ความรู้มากนี่ มันไม่ได้จำเป็นต่อการที่ใครสักคนจะได้นิพพานเลย แต่บังเอิญว่ามันเป็นเรื่องของสัตว์โลกที่เขาอยากจะเห็นพระพุทธเจ้ารู้ทุกอย่าง และแสดงธรรมมากมายแค่นั้นแหละครับ จริงๆ แล้วแค่ใบไม้กำมือเดียวที่พระพุทธเจ้ามอบให้ ก็ถึงนิพพานแล้ว พอแล้วครับ แต่ทำอย่างไรได้ละ สัตว์ทั้งหลายเขาก็ทำกันมาแบบนี้ จึงค่อยเข้านิพพาน มันก็เลยต้องมีแบบนี้อย่างไรครับ


อีกประการ เขาไม่ต้องการให้มี "ผู้รู้มาก" สองคน เขาจะให้มีแ่ค่ ๑ คน เท่านั้นเป็นตำแหน่งนี้ ดังนั้น ใครที่รู้มากเกินไป เขาก็จะให้ไปเกิดเป็นลูซิเฟอร์ตัวใหม่เสียเลย ง่ายดี เขาว่างั้น คิดสั้นๆ ประจำแหละ แต่เราเป็นมนุษย์ ลงมาทำงานหน้างานจริง อยู่ในสถานการณ์จริง ไม่ได้สั่งการมาจากสวรรค์ ดังนั้น เราต้องทำให้ได้ดีกว่านั้นครับ ไม่เช่นนั้น ก็ไม่ต้องมีเราลงมาเกิดสิ ใ่ช่ไหมครับ? เอาเทพลงมาทำหน้าที่ตามกฏ ตามบัญชาสวรรค์ จบ แค่นั้นพอจะมี "มนุษย์" ขึ้นมาบนโลกเท่าไมละ?  เอาละ ในเมื่อมีมนุษย์ขึ้นมาบนโลกแล้ว มนุษย์ก็ขอทำหน้าที่อย่างที่เป็นมนุษย์ละนะ ไม่ใช่เทพสวรรค์นี่นา เราไม่เหมือนกัน หน้าที่ต่างกัน ทำงานต่างสไตล์กันนะครับ ดังนั้น ใครกันหนอที่จะกลายเป็นลูซิเฟอร์ตัวใหม่ ผมคงไม่เอาละครับ ขอบายคนแรก เพราะผมเกิดมาจนถึงทุกวันนี อยู่ได้ด้วยสมถะจริง ไม่ได้สร้างภาพ (ไม่ได้สอนคนอื่น แต่ทำไปอีกอย่าง) วันๆ หนึ่งผมใช้เงินไม่ถึง ๑๐๐ บาท จะให้ผมมีจุดจบต้องมาเป็นลูซิเฟอร์หรือ? เฮ้ ไม่ยุติธรรมเลยครับ คนที่สมควรจะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ไม่ควรเป็นเช่นนี้ ควรเป็นคนที่ได้เผาผลาญ และเขมือบกินสิ่งต่างๆ ในโลกนี้มากกว่าผม คนที่มีเงินมากกว่าผมเป็น ร้อยล้าน, พันล้านเท่า บนโลกนี้ก็มี ไปลงทัณฑ์เขาสิ มาเลือกผมทำไมกันละ ใช่มั้ย เออ หรือคุณผู้อ่านยินดีจะอาสาเป็นลูซิเฟอร์ซะเลย ก็ลองติดต่อเขาดูนะ บางทีเขาอาจสนใจก็ได้ ส่วนผมไม่เอาละ ขอสละสิทธิ์ตรงนี้เลยก็แล้วกัน มีบางเสียงจากต่างมิติก็ตัดพ้อผมว่า "ช่วยพระำุพุทธศาสนาก็ไม่ไ่ด้หรือไง?" ได้ ผมยินดีช่วยแต่ในแบบของผมนะ ไม่ใช่ ไปปั้นให้คนๆ หนึ่งเป็นเทพเ้จ้า แล้วเอาผมเป็นปีศาจร้าย ให้ผมทำงานมากมาย สุดท้าย เป็นได้แค่ปีศาจ โอ้ว เมตตาหรือนั่น? ไม่เลย เห็นแก่ตัวมากๆ ถ้าความเ็ป็นพระพุทธเจ้าและการได้มีศาสนา มันแลกมาด้วยความเห็นแก่ตัวอย่างนั้น เอาแต่ดีไป เอาร้ายให้คนอื่นรับแทนอย่างนั้น ผมว่า มันไม่ใช่พระพุทธศาสนาแน่นอน ผิดทางแล้วตั้งแต่ต้นคิดเลยละ 


เอาละ ผมจะหาวิธีของผมเองก็แล้วกัน ที่ไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่เกลียดตัวเอง ต้องเริ่มต้นที่เมตตาตัวเองก่อน เอาตัวเองเป็นหนูทดลอง ทำ ให้ดีให้ได้ แล้วจึงเป็นแบบอย่าง ทำเพื่อผู้อื่นเขาได้ ใช่ไหมละครับ นี่ผมก็ช่วยสุดๆ แล้ว ที่เหลือก็งานใครงานมัน อย่าทุ่มให้เรารับผิดชอบคนเดียว มันเป็นไปไม่ได้ ต้องรับผิดชอบร่วมกัน คนละส่วนไป เราทำในหน้าที่ของเรา ตามสมควรตามยุค, ตามสมัย, ตามสถานการณ์ของโลกที่เรามาเกิด ผมเห็นแล้วบางคนศรัทธาสิ่งศักดิสิทธิ์มาก จนยอมเป็นผู้ก่อความไม่สงบ ยอมฆ่าพระ ตัดเศียรพระเลย เพื่อบีบให้สัตว์ในโลกเข้าสู่นิพพาน ไม่หลงออกนอกทาง โอเค พวกเขาเสียสละจริงๆ แต่ผมไม่เสียสละถึงขนาดเป็นปีศาจร้ายเพื่อให้คนอื่นเป็นพระเจ้าได้หรอกนะ ถ้าท่านจะเป็นพระเจ้า ก็ควรมีศักดิศรีที่จะเป็นให้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เป็นได้ด้วยการมีเบื้องหลังให้คนมาเป็นปีศาจร้าย ให้แก่ตัวท่านอย่างนี้ ผมไม่ได้หลงดี ติดดี บ้าดี อยากเป็นคนดี มีภาพลักษณ์ที่ดีอะไรหรอก ผมทำเลวได้ ยอมรับกรรมเลวได้ แต่ขอโทษนะ มันก็ควรมีเหตุผลในแบบของผมเหมือนกัน ไม่ใช่ อะไรวะ? กูไปยิงใครตาย ไปฆ่าตัดคอพระตาย กูไม่ได้อะไรเลย แล้วต้องมาเสี่ยงชีวิต โดนคนเขาสาปแช่งภายหลัง เวรกรรมมาตามทันอีก ถึงเวลานั้น ใครจะช่วยเรารึ? ไม่หรอก "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" ทั้งนั้น ทำเอง รับกรรมเองทั้งนั้น หรือจะให้เรายอมเป็นอรหันตสาวก เพื่อต่อสายศาสนาที่ขาดสิ้นไปนั้น ก็คงไม่ละคับ ผมไม่ไ่ด้อยู่ในโผอันเหมาะควรแก่ฐานะพระอรหันตสาวก ผมถูกเล่นงานจนต้องออกจากผ้าเหลืองมาแล้ว ส่วนคนที่มีกรรม แต่ไม่ยอมถอดผ้าเหลืองก็มี นั่น เลือกเขาสิครับ เอาเขาคนนั้นที่ยังอยู่ในผ้าเหลืองไปเป็นอรหันตสาวก เขาอยากเป็นจะตาย ส่วนผมมีกรรมไม่ได้อยู่ในผ้าเหลือง ขอโทษเถอะครับ ผมไม่อยู่ในข่ายนั้น โอเคมั้ย?


โอ้ย บ่นเสียยาวเลย วันนี้แก่ไปมาก ฮ่าๆๆ ไม่มีอะไรหรอก เป็นแค่ิวิธีสื่อสารแบบพิเศษ เผื่อใครที่กำลัง "ถูกหลอกให้เป็นปีศาจร้าย" อาจจะได้มุมมองที่แตกต่างบ้างก็เท่านั้นเองครับ อย่าคิดมาก ผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร ผมก็ได้รับข้อมูลติดต่อสื่อสารไม่ต่างกับใครหลายคน ที่ได้รับแล้วสั่งการณ์ให้มีการก่อความไม่สงบหรอกครับ ผมเชื่อว่าเขาก็ทำเพื่อพระเจ้าจริงๆ เขาได้ยินเสียงนั้นจริงๆ เพราะผมก็ได้ยินครับ แต่ผมอาจไม่เสียสละตัวเองมากพอที่จะยอมเป็นปีศาจร้าย เพื่อให้ใครได้เป็นพระเจ้ากระมังครับ ผมอยากให้ท่านผู้นั้นได้เป็นสิ่งศักดิสิทธิ์อย่างที่ท่านปรารถนา "ด้วยศักดิ์ศรีของท่านผู้นั้นเอง อย่างเต็มภาคภูมิ" ไม่ ใช่ด้วยวิธีสกปรกไร้เกียรติ์ ไร้ศักดิ์ศรีด้วยการให้คนอื่นกลายเป็นปีศาจ เพื่อให้ตัวเองได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เ่ช่นนี้ ผมพร้อมสนับสนุนและทำให้ท่านเต็มที่เมื่อท่านพร้อมด้วยศักดิ์ศรีของตนเองไม่ใช้วิธีสกปรกครับ 




8 ความคิดเห็น:

  1. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  2. ไว้วันหลังผมจะไปเยี่ยมท่านนะ

    ตอบลบ
  3. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

      ลบ
  4. ผมตัดสินใจแล้วครับ ผมจะลองดู เอ่อการไหว้ผลไม้นี่ต้องทำพิธีอัไรหรือเปล่าครับ เพราะผมไม่เคยไหว้มาก่อน และเวลากินผลไม้เข้าไปแล้วเนี่ยจะรู้ได้ยังไงครับว่าเราได้พลังแบบไหนมา?

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. คุณอยู่ L.A. เหรอ ผมกำลังสงสัยว่า "คุณเคยแฮ็คเข้าเฟสบุคของผมเมื่อปีก่อน (เฟสเก่า)"

      ใช่ป่ ?

      ลบ
  5. ถ้าอยากจะลองจริงๆ ก็ลองทำการทดลองแบบนี้นะ


    ๑. ให้หาผู้ช่วยที่มีตาทิพย์ ไว้ใจได้ว่าไม่โกหกเรา มาช่วยเพ่งดู โดยเฉพาะผลไม้ที่เราคิดว่าจะเป็นผลปีศาจ ถ้าจริงตามข้อมูลที่เราได้รับมา ก็น่าจะเห็นผลปีศาจที่มีลักษณะมีลวดลายอะไรแบบนั้นบ้าง (เราไม่ควรบอกคนที่มีตาทิพย์เรื่องรายละเอียดของผลปีศาจ เราแค่ถามเขาเอาข้อมูลเฉยๆ ที่เหลือเราจะคิดเอง)

    ๒. เนื่องจากผลปีศาจ ที่มีข้อมูลทั้งหมดมา "จะกินได้เพียงลูกเดียว" ดังนั้น สำคัญอย่างยิ่งครับ ถ้าคุณกินผิดไป ก็จะไม่มีทางกินผลที่สองได้อีก ดังนั้น ควรให้แน่ใจก่อนว่าผลปีศาจนั้น มีคุณสมบัติอย่างไร อย่างที่คุณต้องการจริงๆ หรือไม่ เมื่อแน่ใจแล้ว ชัดเจน ก็ค่อยทดลองขั้นสุดท้าย คือ "กิน" เท่านั้นเองครับ

    ๓. การไหว้ ไม่มีอะไรถูกผิดหรอก มันเป็นแค่ "พิธีการสมมุติ" ที่คนมีความรู้ เขาทำกันมาตามความรู้ที่เขามีจะไหว้แบบประเพณีจีน หรือแบบประเพณีอินเดีย หรือแบบฝรั่ง หรือแบบเผ่ามายันเลยละ? ลองหาข้อมูล จากกูเกิ้ลได้ ผมคิดว่าไม่ยาก สำหรับผม เอาแค่เรียบง่าย สมถะ เท่าที่ไม่ลำบากในการจัดหาครับ

    ๔. ชนิดของผลไม้ที่ไหว้ เพื่อให้ได้เป็น "ผลปีศาจ" ผมสงสัยว่าเกี่ยวข้องกัน เช่น ถ้าเอาผลแอปเปิ้ลไปไหว้ ผมสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับพลังในการหยั่งรู้ได้ทุกสิ่ง แบบผลแอปเปิ้ลที่ลูซิเฟอร์กิน ยังมีซาตานอีกหลายตนที่เคยเป็นเทพสวรรค์แล้วคงถูกลูซิเฟอร์หลอกให้กิน ทำให้ได้พลังพิเศษ ๑ อย่างที่ต่างกันครับ


    ควรมีผู้รู้หรือผู้ช่วยที่คอยให้คำแนะนำในการทดลองนะครับ เมื่อกินเข้าไปแล้ว ก็ดู "ผลการทดลอง" จากชีวิตจริงว่าเราได้พลังพิเศษอย่างนั้น เพิ่มขึ้นมาหรือไม่? เพราะอะไร? ตามกระบวนการทดลองฯ แหละครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ถ้าเรามีความปรารถนาอย่างนี้ แล้วเราจะรู้ได้ไงว่า "แต่ละลูก มีความปรารถนาอะไรในนั้นบ้าง"

      ลบ

เม้าท์ด้วยคน