วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2556

"โดเรม่อน" (แหล่งผู้ผลิตของทิพย์วิเศษ) มีทั้งสายมาร, เทพ, พรหม ยักษ์ ฯลฯ

อ้าววันนี้เราจะพาท่านไปชมโรงงานผลิตของทิพย์วิเศษกันนะครับ อ่ะ ไม่ช่ายละ ไม่ใช่โรงงาน แต่เป็น "ตัวตน"  ที่มีหน้าที่, มีกิจ ทำให้เกิดของทิพย์วิเศษต่างๆ มา่กมายครับ ซึ่งท่านเหล่านี้จะเป็น "ผู้สร้าง" ซะส่วนใหญ่ กล่าวคือ สร้างแล้ว, ทำแล้วก็จะแจกจ่ายไปไม่ได้เก็บเอาไว้ใช้เอง เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะใช้กระมังครับ ซึ่งท่านเหล่านี้ก็มีทั้งสายยักษ์, มาร, เทพ, พรหม ฯลฯ เลยครับ ผมขอเรียกเป็นภาษาฮิบๆ ว่า "โดเรม่อน" ก็แล้วกัน อันหมายถึง "ท่านผู้สร้างของทิพย์วิเศษเพื่อแจกจ่ายไปยังสัตว์เหล่าต่างๆ" ก็แล้วกันนะครับ ซึ่งจะได้อธิบายต่อไป


เริ่มจากของทิพย์วิเศษฝ่ายยักษ์ ทายสิว่าน่าจะมาจากแหล่งใดเอ่ย เอ คลองถมหรือพันธ์ทิพย์อ่ะป่าว อ่ะม่ายช่ายยังงั้น มาจาก "พระศิวะ" ไงครับ ท่านผู้นี้ ตามประวัติเท่าที่พอจะหาอ่านตามตำรับตำรากันได้ ก็จะเห็นว่าท่านมักบำเพ็ญฤทธิ์ได้มาก แล้วบังเกิดเป็นอาวุธทิพย์มากมายเลย สุดท้าย ท่านมักจะประทานให้แก่ฝ่ายยักษ์ที่บูชาหรือศรัทธาท่านนะครับ พวกยักษ์นี่ ถึงแม้ว่าเขาจะดูร้ายเพราะเกิดมาเป็นยักษ์ ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่กินสัตว์ ย่อมต้องดุร้ายกว่าสัตว์กินพืช ใช่ไหมละครับ? แต่ข้อดีที่สุดของพวกยักษ์ก็คือ "รู้ตัวว่าต้อยต่ำและรู้จักเลือกศรัทธาสิ่งศักิดสิทธิ์ที่ควรศรัทธา" ครับ ดังนั้น แม้ยักษ์จะร้าย แต่ก็มักจะได้ของทิพย์วิเศษจากสิ่งศักดิสิทธิ์คือ "พระศิวะ" อยู่ประจำเลยละครับ แต่ปัญหาหรือข้อเสียของยักษ์คือ เวลาได้ฤทธิ์ไปแล้วก็หลงลืมตัวนะครับ ก็เลยมักเอาของทิพย์วิเศษไปก่อเรื่อง ทำให้เกิดความวุ่นวายไปหมด (นี่แค่อาวุธบางชนิดของพระศิวะที่ยักษ์ได้เอาไปใช้่นะ ถ้าท่านลงมือจะเป็นอย่างไร แต่บังเอิญท่านเป็นมหาเทพที่รักสันติจึงไม่ทำเช่นนั้น) ผมเลยเรียกเล่นๆ ว่า "โดเรม่อนยักษ์" ก็แล้วกันครับ ซึ่งในโลกมนุษย์ก็มีคนหลายคนที่ชอบไปกราบไปไหว้บูชาและอาศัยความศรัทธาพระบางรูป ก็มักจะได้ "ของดี" ติดมือมา ให้เข้าใจไว้นะครับว่า "เอ็งน่ะ มันเชื้อสายยักษ์" มาทางยักษ์ เน้นศรัทธา เน้นสรรเสริญบูชา!


ต่อไป ก็คือ "โดเรม่อนฝ่ายเทพ" ก็คงจะเป็นท่านใดไปไม่ได้ นอกจาก "พระวิษณุและพระสุริยเทพ" ครับ สองท่านนี้เองที่ทำให้เกิดของทิพย์วิเศษฝ่ายเทพ โดยพระสุริยเทพจะบำเพ็ญฤทธิ์จนมีพลังร้อนแรงเกินไป พลังส่วนเกินนั้นเองที่พระวิษณุเทพจะนำเอามาใช้ในการผลิตเป็นของทิพย์วิเศษทั้งหลาย ตามที่ท่านก็สามารถหาอ่านในตำรับตำราที่มีอยู่ได้ครับ เมื่อใดก็ตามที่มีผู้บำเพ็ญบารมีเป็นพระสุริยเทพ ก็จะมีอีกท่านหนึ่งบำเ้พ็ญบารมีตามๆ กันมา คือ พระวิษณุเทพ เพื่อที่จะนำเอาพลังส่วนเกินของพระสุริยเทพที่อาจเป็นภัยต่อปวงสัตว์ได้ ไปใช้ผลิตเป็นของทิพย์วิเศษทั้งหลาย แจกจ่ายแก่ชาวเทพเสียเลย ซึ่งในการแจกจ่ายนี้ ก็คงแตกต่างจาก "สายยักษ์" นะครับ ต่างกันสิ้นเชิง อย่างที่ผมบอกแล้วว่าสายยักษ์ได้มาจากการบูชาพระศิวะมหาเทพด้วยใจที่ศรัทธาอย่างแท้จริง ก็ได้รับของทิพย์วิเศษที่เหมาะสมกับตัวเอง ตามที่ตัวเองได้ทำตัวมาครับ แต่สายเทพนี่ต่างกันมาก ไม่ต้องบูชาหรอกครับ ขอเพียงทำหน้าที่อย่างดี ทำตามหน้าที่ของตนให้ดี แน่วแน่ในปณิธานของการทำเพื่อส่วนรวม จนบารมีกล้าแกร่งถึงจุดหนึ่ง ก็จะได้ของทิพย์วิเศษที่ควรได้ ที่เหมาะสมกับสิ่งที่ตัวเองทำมา บุญบารมีที่ตนได้สร้างมาครับ ดังนั้น ของทิพย์วิเศษสายเ้ทพนั้น จึงมีพื้นฐานมาจากพลัง "ธาตุไฟ" สายร้อน มีแล้วจะทำให้คนๆ นั้นมีไฟในการทำกิจ ทำหน้าที่ของตนครับ ทุกท่านเลย ถ้าได้รับแล้วจะรู้สึกได้ถึงการมีไฟในการทำหน้าที่ทำกิจของตน มีจิตใจฮึกเหิมที่จะทำกิืจอย่างมีสุขครับให้สังเกตุคนพวกนี้นะครับ แรกๆ จะแทบไม่มีอะไรเลย แต่พวกเขาจะทำกิจไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งก็จะได้ "เครื่องมือทำกิจ" ของตนครับ


ต่อไปก็เป็น ของทิพย์วิเศษสายมารกันบ้าง อันนี้ ผมไม่ค่อยทราบสักเท่าไร ไม่สันทัดนัก แต่พอจะเข้าใจตามตำราไตรปิฎกได้กล่าวไว้ว่า ที่สวรรค์ชั้นมารนั้นจะมีัทั้ง "ผู้ที่เนรมิตให้ผู้อื่น" และ "ผู้ที่รับของที่เขาเนรมิตมาให้" ซึ่งผมคิดว่าใน "โลกมาร" นั้น ก็น่าจะมีมารที่ทำหน้าที่ในการผลิตของทิพย์วิเศษให้แก่พวกมารด้วยเช่นกัน แต่ดูแล้วไม่น่าจะเหมือนสายเทพ ดูเหมือนของปลอม ของ Flake มากกว่า เช่น ของอะไรดีๆ ที่เทพมี มารก็ริษยาอยากมีบ้าง ก็เนรมิตเอาให้เหมือน ทว่า ก็ไม่อาจทำงานได้ดีเท่านะครับ เพราะมันเหมือนของปลอม, ของก้อปปี้ อะไรแบบนั้นมั้งครับ แต่ว่ามันก็มีฤทธิ์ทำให้ของจริงต้องถูกเล่นงานได้ เช่นกันครับ คงเทียบได้กับ "ของปลอม-ของก้อปปี้บนโลกมนุษย์" ละมังครับ เช่น เวลาเราอยากได้อะไร แล้วเราไม่มีเงินพอ บำเพ็ญบารมีไมุ่ถึง เราก็ไปซื้อหาของปลอมมาแทน ใช้ได้เหมือนกันแต่ได้ไม่ดีเท่า ทว่าก็ส่งผลให้ของจริงได้รับผลกระทบไปเหมือนกัน ทำให้การค้าขายตามปกติถูกแย่งตลาดไปด้วยของปลอม, ของก้อปปี้ทั้งหลาย ซึ่งก็มีคนบนโลกมากมายนะครับ ที่ชอบของปลอม, ยอมรับของปลอม และใช้ของปลอมได้ อันนี้ก็ต้องแยกแยะด้วยนะครับระหว่าง "ของที่ทำไว้เพื่อจำลอง" อันนั้น ไม่ใ่ช่ของปลอมนะครับ เ่ช่น สร้อยทองเค ไม่ใช่ทองแท้ และไม่ได้โกหกหลอกลวง เขาผลิตจากวัสดุอีกแบบ หรือไม่ก็พวกเพชรรัสเซีัยซึ่งผลิตจากวิทยาศาสตร์ อันนี้ ผมไม่ได้มองว่าเป็นของปลอมนะั มันจริงในตัวมันเองคือ "เป็นเพชรรัสเซีย, เพชรวิทยาศาสตรแท้ๆ" แต่ไม่ใช่เพชรจากธรรมชาิติ ยกเว้น ว่าจะมีคนไปย้อมแมวขายหรือหลอกลวงคนอื่นว่าเป็นของจริง เวลาคนเอาไปใช้ เขาก็อาจไปใช้งานคนละแบบก็ได้ เช่น แทนที่จะเอาพลอยหรือทองจริงไปตกแต่งพระธาตุแล้วต้องนั่งเฝ้ากลัวขโมยลักเอาไป ก็ใช้เพชรรัสเซียก็ได้ครับ คือ เราใช้ในวัตถุประสงค์เพื่อการตกแต่ง จำลอง ก็เท่านั้น


เอาละ สามตัวอย่าง ผมว่าไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ส่วนสายพรหมฤษี อันนี้ก็เป็นสายที่มีฤทธิ์ มีพลังในตัวเองมากพอ ที่จะทำให้เกิดอาวุธทิพย์ในตัวเองได้ครับ เคยเห็นพราหมณ์ฤษีไหมครับ ก็ทำของขลังกันได้เองทั้งนั้นแหละครับ คงไม่ต้องไปขอจากใครก็ได้ แต่อาจแลกกันได้บ้าง ส่วนสาย "ซาตาน" ก็คงได้มาจากการแลกบ้าง, ของเก่าที่เคยมีตอนเป็นเทพภาคสว่างบ้าง ก็ยังอยู่ แต่เวลาเอามาใช้ อาจจะนำไปใช้ในทางที่ต่างกัน นั่นคือ ภาคที่ปรากฏในมิติทิพย์ ที่นี้ ก็ลองดูภาพที่เห็นจากมิติเนื้อหนังกันบ้าง ก็มีเยอะ ถมเถไป ดูไม่ยากครับ คนเราในยุคนี้ แหม มีดี ในตัวกันทั้งนั้น มีพลังพิเศษกันทั้งนั้นแหละ ไม่เชื่อหรือ? ก็ลองไปสมัครขายแมเวย์ดูก็ำได้ แล้วจะเห็นว่า "มันแตกต่างกันว่ะ ในคนที่ขายได้ ขายเก่ง กับคนที่ขายไม่ได้" หรือไม่ก็ไปทำงานโรงแรม ดูสิ ว่าทำไมคนบางคนบุคลิกดี, สยบลูกค้า, ควบคุมอารมณ์ลูกค้าได้ แต่ว่าทำไมบางคน มันทำไม่ได้อย่างนั้นละครับ? น่านละ มันมีอะไรในตัวเองที่เป็น "พิเศษ" ต่างกันไปอย่างไรละครับ ใครว่าไม่มีเล่า? ใครว่ามันเป็นไปได้ยาก หรือเห็นได้ยากเล่า? ลองสังเกตุกันดูดีๆ ครับ ว่าเขาเอาพลังพิเศษเหล่านั้นไปใช้ทำอะไร? หาเงินให้ตัวเอง อ้างว่าทำเพื่อครอบครัว ทั้งๆ ที่ครอบครัวก็มีเงินแยะแล้วอ่ะปล่าว? ถ้าใช่ละก็ นี่จัดว่าเข้าทางภาคมืดแล้วนะครับ แต่ถ้าทำเืพื่อหน้าที่ ไม่รวยอะไรนะ แต่ก็พออยู่ได้ละ อ๊ะ มันอาจเข้าทางสายเทพบ้างก็ได้ เอาละ วันนี้ ก็เม้าท์นิทานอาหรับราตรีให้เด็กๆ ฟังมากพอแล้ว เช่นเคย กินนมก่อนแล้วนะจ๊ะเด็กๆ ตื่นเช้ามาจะได้แจ่มใส สำหรับวันนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ!



10 ความคิดเห็น:

  1. พระวิษณุกรรมไม่ใช่เหรอ ที่ขูดผิวพระอาทิตย์มาทำอาวุธน่ะ

    แล้วพระวิษณุกรรมก็เป็นภาคแบ่งของพระศิวะไม่ใช่เหรอ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. แล้วแต่ตำรานะ ความจริงคงเป็นไปได้ทั้งสองน่ะละ
      เพราะการเวียนว่ายตายเกิดนั้น เป็นสากล
      ใครทำกรรมใดก็ไปเกิดได้อย่างนั้น

      ลบ
  2. คุณต้นหลิว ผลไม้ชมพู้เนี่ยคิดว่าถ้านำไปไหว้จะเกี่ยวข้องกับพลังอะไรหรอครับ?

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่ทราบจริงๆ ครับ ยังไม่ได้ศึกษาลึกซึ้งเลย

      ลบ
  3. ต้นหลิว : ผมสัมผัสได้ว่าคนที่เข้ามาอ่านบทความของผม มีคนที่ได้ "เทพสุริยะ" แล้ว เขามีแสงสว่างในตัว แต่เป็นคนพูดไม่เก่ง ผมได้อาศัยเขานี่แหละ ผมดูเขา สังเกตุเขา ถึงได้รับข้อมูลอะไรมากมาย ผมจึงแน่ใจว่าเขาได้ขั้นเทพสุริยะแน่นอนแล้ว จริงๆ แล้ว อะไรหลายอย่าง "ไม่ใช่ความคิดของผมเองเลย" ผมเอามาจากท่านผู้นี้โดยเฉพาะ ท่านผู้นี้มาอ่านบทความของผมคงแปลกใจ "เอ๊ะ ตรงกะที่ชั้นคิดเลยว่ะ" ฮ่าๆๆๆ อะไรแบบนั้น เพราะมันอยู่ในตัวเขาเองนั่นแหละ แต่เขาเป็นคนอธิบายไม่เก่งเท่านั้นเอง แล้วก็มีคนหลงคิดว่าผมมีพลังสุริยะ เลยตามมาเลียนแบบทุกอย่างจากผม ทว่า เขาเลียนแบบผิดคน โฮ่ๆๆๆ เพราะผมไม่ใช่สุริยเทพแล้ว แม้ว่าจะเคยได้รับพลังจากท่านบ้างก็ตาม คนที่จะบำเพ็ญขึ้นชั้น "เทพพระจันทร์" เขาจะต้องมารับพลังของสุริยะเทพ ขโมยความคิดไปเป็นของตัวเองครับ เพราะเขาไม่มีแสงในตัวเอง ไม่มีปัญญาได้ด้วยตัวเอง และเขาก็คิดว่าผมเป็น เลยมาเลียนแบบใหญ่ ทว่า เขาพลาดไปแล้วครับ เพราะสุริยเทพที่ผมสัมผัสได้นี้ "สุดยอด" คนตาถั่ว มองไม่ออกแน่นอน ว่ะ ฮ่าๆๆๆ


    ผม : ใครหรอครับ สุดยอดจริงๆ แล้วช่วยสัมผัสผมให้หน่อยได้ไม๊ครับว่าผมอยู่มิติที่เท่าไร อิอิ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. มีตำแหน่งเทพที่ "เริ่ดกว่า พระสุริยเทพอีกน๊าาาาาาา"

      คือ "ดาวเทพนพเคราะห์ ประจำระบบสุริยจักรวาล" ไม่สนใจบ้างเหรอ

      ลบ
    2. พระอาทิตย์มี 2 แบบนะ มีพระอาทิตย์ภาคมืด กับพระอาทิตย์จริงๆ ภาคสว่าง

      แต่คุณคงแยกออกแล้ว ว่า "ไหนพระอาทิตย์ภาคมืด กับพระอาทิตย์ภาคสว่าง"

      พระอาทิตย์ภาคมืด = เซเลอร์ซัน หรือ กาแล็คเซีย ในเซเลอร์มูน

      ลบ
    3. อืม ช่างเถอะ ท่าทางจะไม่เที่ยง
      ส่วนมิติที่คุณอยู่หรือ? น่าจะเข้า
      มิติที่ ๕ ได้แล้วมั้ง มิตินี้ ก็จะมีึ
      การเรียนรู้ทั้งพลังด้านมืด และ
      พลังด้านสว่าง คู่กัน

      ลบ
    4. แล้ว 6 เป็นยังไง 7 เป็นยังไง

      ลบ
  4. คุณวรพนธ์ แอลเอ คงจะเป็นผู้หญิงสะน่ะ คุณน่ะ เพราะถ้าปกติเป็นผู้ชาย(จริงๆ) จะไม่..............แบบนี้หรอก

    ตอบลบ

เม้าท์ด้วยคน