วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

"ของทิพย์วิเศษ" ฝ่ายมาร เหมือนหรือต่างกันไฉน?

ผมเคยได้เล่าเรื่อง "ของทิพย์วิเศษที่ได้จากการบำเพ็ญบารมี" มาบ้างแล้ว ซึ่งของทิพย์วิเศษเหล่านี้ เป็นของฝ่ายสัมมาทิฐิทั้งสิ้น ทว่า ก็ยังมีของทิพย์วิเศษอีกแบบที่มาจากสายมิจฉาทิฐิเหมือนกัน ดังนั้น ผมก็เลยเอามาเมา้ท์ในบทความนี้เสียเลย จะได้เป็นข้อมูลเบื้องต้นให้ท่านทั้งหลาย ไม่ว่าจะปฏิบัติจิตไปแล้วพบเจอ หรือว่าพบเจอด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม เมื่อถึงเวลานั้น (ไม่ว่านานเท่าไร? รุ่นลูกหรือรุ่นหลาน ฯลฯ) ถ้าไม่อาจจะหาข้อมูลใดช่วยประกอบการศึกษาได้ ก็ลองมาดูข้อมูลของผมได้ครับ อาจไม่ได้ดีนัก หรือถูกต้องไปหมดทุกอย่าง แต่มันจำเป็นต้องทำ ต้องเริ่มต้นครับ เอาละ เข้าสู่เนื้อหารายละเอียดกันเลยครับ


กำเนิดของทิพย์วิเศษฝ่ายมารและฝ่ายมิจฉาทิฐิ ไม่ได้เกิดจากการบำเพ็ญจิตหรือบำเพ็ญบารมียิ่งยวดแบบสายเทพหรือฝ่ายสัมมาทิฐินะครับ สำหรับฝ่าย "มิจฉาทิฐิ" แล้ว วันๆ เขาจะมีบุญเสวยและไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น อยากได้อะไรก็ให้นึกเอา, คิดเอา, จินตนาการเอา ก็ได้ดั่งใจต้องการ เรียกว่า "การเนรมิต" ครับ ไม่ว่าจะเนรมิตเองหรือได้รับจากผู้อื่นเนรมิตให้ก็ตาม ก็เข้าข่ายเป็นแบบสายมารทั้งหมด โดยเขาจะมีหลักการสำคัญที่สุดข้อเดียวเลยว่า "สายเทพมีอะไร สายมารก็ต้องมีบ้างด้วย" เรียกว่า เธอมีได้ ฉันก็ต้องมี ต้องได้อย่างเธอ ไม่ว่าสายเทพจะไม่ได้อยากได้แต่เพราะผลแห่งการบำเพ็ญบารมีทำให้มีมาเองหรือว่าอย่างก็ตาม มารก็ไม่สนใจนะครับ เขาสนแค่ว่า อะไรที่ฝ่ายเทพมีได้ เขาก็ต้องมีบ้าง (ถ้าไม่มี ไม่ได้ จะเกิดความริษยาอย่างรุนแรงนะครับ เขาเลยต้องมี เพื่อให้ไม่ร้อนรนกับเพลิงริษยาครับ) ทีนี้ เขาจะไม่ทำอะไร ไม่บำเพ็ญบารมีอะไร ไม่มีกิจอะไรเลยในวันหนึ่งๆ ก็นั่งเนรมิตเอาอย่างเดียว ไปดูว่าฝ่ายเทพมีอะไร ได้อะไร ก็เอาบ้าง คิดเอาตามนั้นเลย แล้วพลังบุญ, พลังจิต ฯลฯ ที่มากมายของพวกเขานั้น ก็ก่อให้เกิด "ของทิพย์วิเศษฝ่ายมารหรือฝ่ายมิจฉาทิฐิ" ขึ้นมาได้เลยครับ (ใครเป็นแบบนี้อยู่บ้างครับ ไม่มีกิจอะไรทำในแต่ละวัน วันๆ ได้แต่นั่งคิดเอา, นึกเอา, ฝันเอา, จินตนาการเอา ฯลฯ ถ้ามีละก็ ใช่เลย!) ทั้งนี้ ฝ่ายมารก็มีหมดครบทุกอย่างที่ฝ่ายเทพมีนะครับ ไม่เว้นแม้แต่พระพุทธเจ้า, พระเจ้า ฯลฯ อะไร มีหมดเลยครับ แต่ไม่ได้มีจากบารมี มีจากการเนรมิตเอาครับ นี่คือ ข้อแตกต่างที่สำคัญอย่างยิ่งข้อที่หนึ่ง


ต่อไปคือ ถ้ามันเหมือนกันอย่างนี้แล้ว "อานุภาพจะเท่าเทียมกันหรือไม่?" ถ้าพูดถึงระดับพลังงาน ก็เท่ากันได้ครับ เช่น สมมุติตรีทิพย์ของฝ่ายเทพ มีอานุภาพทำลายล้างได้สามภพ ฝ่ายมารก็จะทำให้มันได้ไม่ต่างกัน แต่ไม่ใช่ด้วยพลังของการบำเพ็ญบารมีนะครับ เป็นพลังจิตที่เกิดจาก "ความริษยาอาฆาต" ซึ่งมันปรับระดับเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ ครับ คือ ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องบำเพ็ญบารมีอะไรเลย เห็นของเขาดีกว่าของเรา ก็นั่งเพิ่มแรงริษยา, แรงอาฆาตไปเรื่อยๆ ครับ อาวุธทิพย์นั้นก็จะมีพลังซึ่งเป็นพลังสายมาร เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนทัดเทียมกันได้ครับ นี่คือเทียบกันในเรื่อง "ระดับพลังงาน" แต่ถ้าเทียบกันในเรื่องคุณภาพละก็ ต่างกันครับ ใช้งานคนละอย่างกันเลย ถ้าใช้ในการต่อสู้นั้น มันก็ไม่ต่างกันมาก ถ้าพลังงานเท่าๆ กันนะครับ แต่ถ้าใช้ทำงานจริง ละก็ ของทิพย์วิเศษของฝ่ายมาร ใช้งานไม่ได้จริงเลยสักอย่างครับ เช่น ถ้าจะใช้จักรทิพย์เพื่อการปกครอง ของเทพสามารถใช้่ขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาประเทศก้าวไปข้างหน้าได้ครับ แต่ของฝ่ายมาร ไม่ได้เลย ก็ทำได้อย่างเดียว เอาไว้เล่นงานคนอื่น ทำงานไม่ไ่ด้ ก็แผลงฤทธิ์ ก็ขวางเขาเสียเลย ทำให้ระบบรวน กวนงานของเขาเสียเลยครับ นั่นละ พลังของอาวุธทิพย์ฝ่ายมาร ดังนั้น ฝ่ายเทพจะต้องระวังให้ดี ไม่หลงภาคมาร ถูกมารหลอกล่อให้นำอาวุธทิพย์ไปใช้ตีรันฟันแทงกัน แต่จะต้องใช้อาวุธทิพย์ในการทำกิจของเทพอย่างถูกต้องตรงทางครับ เช่น ถ้าเทพองค์ใดมีหน้าที่สร้างสายฟ้า และทำให้เกิดฝน ให้ตกต้องตามฤดูกาล ก็อย่ามัวเอาอาวุธทิพย์ไปทำสายฟ้าต่อสู้กับใคร เอามาใช้ทำกิจให้ตรงทาง อย่าให้เขายั่วยุเรา ชวนเราทะเลาะได้ ทำงานไปครับ


สำหรับการสังเกตุว่าท่านมี "ของทิพย์วิเศษฝ่ายมาร" อยู่หรือไม่ ก็ไม่ยากครับ อย่างแรก "ท่านมีพลังหรือความสามารถอะไรพิเศษบ้างมั้ย" เช่น ดูเหมือนไม่มีอะไรเลย แต่ทั้งๆ ที่ทำผิดพลาดมากมาย แต่กลับไม่มีใครกล้าหือกับท่านเลย แปลกดี? ทั้งๆ ที่มันน่าจะโดนหนัก หรือโดนมากกว่านั้น ถ้าเป็นคนอื่นก็คงโดนเล่นงานหนักไปแล้ว นี่แหละ เข้าข่าย "มีอะไรพิเศษในตัวเองแล้ว" ซึ่งจะเป็นพลังพิเศษ หรือของทิพย์วิเศษ ก็ว่ากันไปอีกที ทีนี้ ก็ตรวจเช็คต่อไปครับว่าของทิพย์ที่มีนั้น ท่านสามารถใช้ทำกิจได้ตรงทาง ได้จริงไหม? เช่น หวังจะทำให้ชาวนาขายข้าวได้กำไรดีๆ หวังดีเต็มที่ ทว่า กลับให้ผลตรงข้ามหรือยิ่งทำให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายไปกันใหญ่ ไม่เวิร์กเลย ใช้ทำกิจก็ไม่ได้ (แต่มีอะไรพิเศษในตัวแท้ๆ นะ) อันนั้นแหละ ทำให้ตั้งสมมุติฐานได้ว่า "มีของทิพย์วิเศษฝ่ายมาร" อยู่ แ่ต่ถ้าท่านใช้งานได้เวิร์กจริง เช่น ใช้เครื่องมือสื่อสารเล็กๆ แต่กลับสร้างคลื่นกระทบที่ขยายวงกว้างได้อย่างไม่น่าเชื่อ เกินกว่าที่คนอื่นใช้การสื่อสารแบบเดียวกันนี้ จะทำสำเร็จแบบท่านได้ เออ แปลกดีละ เห็นมั้ยละ ทางโลกเขาอาจจะเรียกว่า "ความสามารถพิเศษ, ความชำนาญ, ความเก่งเฉพาะตัว" หรืออะไรก็ช่างแต่สิ่งนั้นจะไม่อาจอยู่อย่างไร้ความสัมพันธ์กับมิติทิพย์ได้ มันจะเชื่อมโยงกับของทิพย์ในมิติทิพย์เสมอครับ ทุกมิติไม่อาจจะแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจน (โอเค นะครับ) ทีนี้ ก็มีข้อควรระวังอีกว่า "ของทิพย์ฝ่ายเทพ" บางอย่าง อาจถูกใช้ไปในกิจของ "เทพภาคมืด" ก็มีได้ครับ คือ เทพเหล่านี้มีของทิพย์ฝ่ายเทพอยู่แล้ว แต่พอไปเป็นภาคมืด ของทิพย์ของเขาก็ยังมีอยู่ ก็ทำให้ใช้ไปทางภาคมืดครับ ดังนั้น คนเก่งๆ ที่มีความสามารถพิเศษ แต่ทำงานให้ภาคมืด ก็มีครับ  


เอาละ สรุปง่ายๆ มากเลยคือ ของในโลกนี้มันมีสมดุลของมัน มันมีคู่ตรงข้ามของมันอยู่ เวลาเราได้, เรามี, เราเป็น, เราใช้ ฯลฯ ของทิพย์ชนิดใดอยู่ แน่นอนอย่างยิ่งว่าจะมี "ภาคมาร" ใช้อาวุธทิพย์แบบเดียวกัน แต่เขาไม่ได้เอามาใช้ทำกิจนะครับ เขาใช้มาเล่นงานเรา ชวนให้เราทะเลาะด้วย มาป่วนงานเรา เสียอย่างนั้นครับ ดังนั้น ง่ายๆ ครับ ทำตามหน้าที่ของเราให้ดี ถ้าให้ใครดึงเราให้เป๋ออกจากหน้าที่ของเราไปได้ ใครจะชวนทะเลาะอะไรก็พยายามไม่ต้องไปสนใจ ให้ทำหน้าที่ตรงทางต่อไปเรื่อยๆ ครับ เช่นนี้ มารก็จะไม่สามารถหลอกล่อเราได้ เอาละ บทความคืนนี้ เป็นเรื่องพื้นฐาน ง่ายๆ นะ แต่เวลาทำจริงก็ไม่ง่ายเท่าไร เพราะมารมักมาทดสอบว่าเราทำได้จริงไหม? และการทดสอบของภาคมาร ก็ไม่ใช่ธรรมดาเสียด้วยสิ สู้ต่อไป ทาเคชิ! ยืดอกขึ้น ทำหน้ามั่นๆ ไว้ แล้วกำหมัดแน่นๆ ด้วยความมั่นใจ ชกขึ้นฟ้า แล้วศอกลงมาแน่นๆ "Yes!" นายทำได้ บอกตัวเองดังๆ แล้วไปกินนมนอนซะ ฮ่าๆๆ เพราะใกล้ถึงเวลานอนแล้ว พรุ่งนี้เช้าก็จะได้ตื่นเช้าๆ ไปลุยในหน้าที่ของตนให้ดีต่อไป สำหรับนิทานอาหรับราตรีในคืนนี้ ขอจบง่ายๆ เท่านี้ พบกันใหม่บทความหน้า ราตรีสวัสดิ์ครับ ...




6 ความคิดเห็น:

  1. แอะ แฮ๊

    แล้วจะบอกให้นะ ของฝ่ายมารอ่านะ ในที่สุด จุดจบ "โดนของเข้าตัวกันทั้งน้านนน" จบแบบอนาถทุกราย 55555

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. สุดท้ายแล้ว ก็ตายไปด้วยความ "โง่ง่ง่ง่" ของตัวเอง โอ๊ยยยย ช้านนนนนนนนนนนนกามมมมลางงงงงงงงงงงงงงรอระยะเวลาน้านนนนนนนนนนนน 5555555555555555555

      (แล้วฉันจะคอยดู หึ หึ)

      ลบ
    2. ฉันเองก็ไม่ได้มีดีอะไรหรอก แต่ความ "ริษยาของแก" มันจะทำลายตัวแกเอง

      หึ คอยดูนะ (หุ๊ สมเพชว่ะ)

      ลบ
  2. คุณต้นหลิวครับ ผมอยากรู้เรื่องการฝึกพลัง "คิ" น่ะครับ สื่อสารมาให้ด้วยนะครับ ถึงคุณต้นหลิวจะทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ สื่อสารมาให้ผมก็พอครับ เพราะผมจะต้องเก่งขึ้นให้ได้!!!

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ความพยายามมี ความตั้งใจมี แต่ความไอ้ความรู้และความเข้าใจในการทำแบบนั้น "ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เข้าใจได้น่ะ"

      มันสลับซับซ้อน และมันก็เป็นอะไรที่พื้นฐานมากๆ คือ "คุณต้องมีพื้นฐานที่แน่นมากกก" ไม่ต้องไปมองหาวิธีการชั้นสูงอะไร

      เหมือนกับทีมฟุตบอลไง "ถึงโค้ชจะเก่งแค่ไหน แต่มันอยู่ที่ตัวนักฟุตบอลว่า...พื้นฐานมันแน่นแค่ไหนน่ะ"

      ลบ
    2. คุณต้องมีปฏิธานที่ดีงามสักอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ว่า "อยากจะเก่ง"

      อะไรก็ได้ เช่นทำเพื่อโลกจริงๆ ทำเพื่อชาติจริงๆ

      ไอ้ที่ว่าอยากจะเก่งน่ะ "สุดท้ายยย..เดี้ยงทุกรายย"

      อย่าไปอยากเก่งมาก อะไรมาก ที่สำคัญ จะเป็นจุดเด่น เป็นที่อิจฉาของคนอื่นอีก นำภัยมาสู่ตัวเองได้อีก

      ลบ

เม้าท์ด้วยคน