วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556

สืบสาวเผ่าวงศ์ยักษ์และพลัง "สายฟ้า" ที่จะมาค้ำจุนพระพุทธศาสนาหลังกึ่งพุทธกาล

อย่างแรกต้องบอกก่อนครับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่สำหรับผม และผมก็ไม่ค่อยสนิทชิดเชื้อกับเผ่าวงศ์ยักษ์มากนัก (จะสนิทกับสายพรหมกับเทพมากกว่า) ทำให้ผมอาจจะสื่อสารได้ไม่ดีนักแต่ขอให้คิดเสียว่ามาศึกษาพร้อมๆ กันไปเลย ก็แ้ล้วกันนะครับ กล่าวคือ เรื่องมันเริ่มต้นจากการที่พระพุทธศาสนาจะมีการเปลี่ยนแปลงหลังกึ่งกลางยุคพุทธกาล จะมีเหล่า ยักษ์, มาร, เทพ, พรหม มาช่วยดูแลแทน "พุทธบริษัทสี่" ที่มีอยู่ในชุดเดิม (พุทธบริษัทสี่ได้แก่ อุบาสก, อุบาสีกา, ภิกษุ, ภิกษุณี ซึ่งปัจจุบันภิกษุณีผู้สืบสายดั้งเดิมก็ไม่มีเหลือแล้ว) มันหมายความว่าอะไร? อาจจะหมายถึง คนอีกกลุ่มที่ประสานพลังกับจิตวิญญาณต่างมิติเพื่อค้ำจุนพระพุทธศาสนาแทน "มนุษย์ธรรมดา" หรือไม่? เช่น คนที่เข้าทรง ทรงเทพ, ทรงพรหม, ทรงมาร อะไรก็ไม่รู้ละ จะเป็นไปได้มั้ย ก็ยังไม่ขอสรุปหรือตัดสินถูก-ผิด, ดี-ชั่วอะไร เอาเป็นว่าเราจะวิเคราะห์ข้อมูลไว้เป็นเบื้องต้นก่อน ก็แล้วกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้ครับ


ยักษ์ที่น่าสนใจและเป็น "ตัวเต็ง" ที่จะมาเป็น "อธิบดีฝ่ายยักษ์" ดูแลพระพุทธศาสนาเห็นจะไม่มีใครเด่นไปกว่า "รามสูร" นะครับ เนื่องจากรามสูรก็คือ "ภาคหนึ่งของพระนารายณ์" มหาเทพแ่ห่งการรักษา แน๊ะ ช่างเหมาะเจาะเหมาะสมกับการดูแลรักษาพระพุทธศาสนาจริงๆ และถ้าเทียบกับ "ยุคของพระนารายณ์" ก็จะเทียบได้กับนารายณ์ปางที่หก คือ "ปรศุราม" ก็คือ รามสูร นั่นเองครับ (ตนเดียวกัน) จะเห็นว่าไม่ใช่นารายณ์ปางที่สิบ (กัลกี) นะครับ เอาละ ผมจะไม่ตัดสินว่าใครถูก-ผิดอะไร ตำนานเองก็มีแบ่งสองฝ่าย ไม่ทราบว่าอันไหนถูกนะครับ มีทั้งที่บอกว่าพระพุทธเจ้าคือนารายณ์ปางที่เก้า ยุคนี้่ก็เลยเ้ข้ายุคนารายณ์ปางที่สิบ และแบบที่ไม่มีพระพุทธเจ้าอยู่เป็นหนึ่งในสิบปางของพระนารายณ์ครับ ในที่นี้ ผมจะขอใช้ตำรับที่ไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นหนึ่งในสิบปางนะครับ เอาเป็นว่าถ้าใช่ปรศุราม ก็จะมี "ขวานฟ้า" เป็นอาวุธคู่กาย ขวานฟ้านี้ไม่ใช่ใช้ขว้างนะครับ เขาแค่ทำเหมือนจะขว้าง แล้วจะมีพลังสายฟ้าประกายออกมา เหมือนเราเหยาะขวดน้ำปลาก็มีน้ำปลาออกมาไง ไม่ใช่เขวี้ยงไปทั้งขวดนะครับ คือ ถ้าใช้ขวานสับเลยมันก็มีอานุภาพแรงมากๆ มันเป็นขวานเพชรครับ ของมันแรงมาก เลยใช้แค่สะบัดๆ พลังสายฟ้าก็ออกมา เพียงแค่นี้ก็เล่นงานศัตรูได้แล้วครับ 


ทีนี้ ไปดูตำนานของเทพปกรณ์นัมของชาวนอร์สกันบ้าง ก็มี "ธอร์" ที่ติดโผมาครับ เทพธอร์จะมี "ค้อน" เป็นอาวุธคู่กาย ช่างคล้ายกันมากๆ เวลาใช้ จะใช้ตีแล้วจะมีสายฟ้าแลบประกายออกมาครับ (ทำให้นึกถึงภาพของศาลที่ใช้ค้อนเคาะหรือประธานสภาที่ใช้ค้อนทุบให้คนเงียบ)  ซึ่งธอร์และเทพปกรณ์นัมทั้งหมดของชาวนอร์ส มีเชื่อสายมาทางพวก "ยักษ์" ครับ ตามตำนานจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ ๑. กลุ่มยักษ์เต็มตัว ๒. กลุ่มลูกครึ่งยักษ์ (แม่เป็นยักษ์ พ่อเป็นมนุษย์น้ำแข็ง) ส่วนธอร์ก็เป็นกลุ่ม "ลูกครึ่งยักษ์" ครับ มีพ่อคือ "โอดิน" ผู้ได้ดื่มน้ำพุแห่งการหยั่งรู้เข้าไป ทำให้รู้อะไรมากมายเลยครับ อันนี้ไม่ทราบว่าจะเทียบกับพลังการหยั่งรู้ของลูซิเฟอร์ได้ไหม (ที่ได้กินผลแอปเปิ้ลแห่งการหยั่งรู้เข้าไป) ทางฝั่งตะวันตกก็ทำหนังออกมา เรื่องราวกล่าวถึง "ธอร์" ซึ่งกำลังจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นใหญ่ต่อจากบิดา ทว่า เขาหุนหันพลันแล่นไปรบกับศัตรูโดยไม่ได้รับอนุญาติก่อน ก็เลยถูกลงทัณฑ์ให้ต้องเกิดเป็นมนุษย์ ทั้งหมดนี้ มีพลังน้ำแข็งเป็นรากฐานและเกิดในแดนที่มีน้ำแข็งทั้งนั้นเลยครับ เรียกว่าพวก "ยักษ์น้ำแข็ง" แถมยังมีจิตชอบทำสงครามกันด้วยครับ สงสัยว่าจะทำสงครามเย็นได้เก่งแน่ๆ เลย


ทีนี้ไปดูตำนานของเทพกรีกกันบ้าง เห็นท่าท่านที่น่าจับตามองและมีแววจะเข้าวินคงจะเป็น "เทพซูส" ละมังครับ ทว่า เทพสายกรีกนี้่ เขามีเชื้อสายของเทพโดยตรง ไม่ใช่เชื้อสายยักษ์นะครับ ทว่า พลังของเทพซูสก็เป็นพลังสายฟ้าเช่นกัน (มีแต่พลังสายฟ้าเยอะจริงๆ สงสัยจะเหมาะสมกับยุคที่ต้องการใช้พลังไฟฟ้าสูง) ทว่า อาวุธคู่กายของเทพซูสจะเป็น "หอก" ซึ่งมีลักษณะพิเศษกว่าหอกทั่วไปนิดหน่อย ก็เท่านั้น อ้อลืมบอกไปว่า "กลุ่มสายพลังธาตุไฟ" ยังแบ่งแยกย่อยได้อีกเป็น ๑. ไฟร้อน เช่น ไฟจากดวงตะวัน, ไฟจากการเผาไหม้ต่างๆ ๒. ไฟเย็นเช่น ไฟฟ้า, สายฟ้าหรือฟ้าผ่า ซึ่งพลังของเทพซูสจัดเป็นพลังไฟเย็นครับ เวลาบำเพ็ญหรือฝึกนี่ยากกว่าไฟสายร้อนเยอะ คือ แทนที่เราจะร้อนแล้วร้อนไปเลยตรงๆ กลับต้องฝึกความอดทน (ขันติบารมี) ให้มากเพื่อคุมพลังธาตุไฟที่ร้อนแรงนั้น จนภายนอกเหมือนเป็นพลังน้ำแข็งเย็นเยือกห่อหุ้มซ่อนไว้ก่อน จากนั้น พลังไฟก็ไม่ยอมดับ ดับไม่ได้จะบำเพ็ญไม่สำเร็จครับ (เหมือนไฟที่ถูกห่อด้วยน้ำแข็ง) ทำไปเรื่อยๆ หลายๆ ชั้น ไฟที่เดิมร้อนแค่ ๑๐๐ องศา มันก็ร้อนขึ้นกว่าหลายเท่าเพราะมันสู้กับพลังธาตุน้ำแข็ง จนเมื่อมันถึงที่สุดมันก็จะกลายเป็นไฟเย็น เหมือนไฟฟ้าหรือฟ้าผ่า นั่นแหละ พวกนี้ ทางพุทธมหายานจะเรียกว่า "วัชรยาน" นะครับ สายนี้ถ้าฝึกสำเร็จจะมีพลังสายฟ้าทั้งสิ้น


เอาละ เม้าท์เรื่องยักษ์และพลังสายฟ้ามามากแล้ว ก็ยังไม่ได้ตัดสินอะไรทั้งสิ้น ประมวลเป็นข้อมูลมาให้ศึกษาพร้อมๆ กันเฉยๆ ครับ ทีนี้ ก็มาดูว่าถ้าพวกเขาเหล่านี้มาดูแลพระัพุทธศาสนาจริงๆ จะ่ส่งผลต่อเราอย่างไรดีกว่าเอาแบบที่ "ตาเปล่ามองเห็นได้ในปัจจุบัน" นะครับ ก็คือ  เราจะมีีชีวิตที่คล้ายพวกวัชรยานมากขึ้น คือ ไม่ต้องฝึกสมาธิ, ไม่ต้องนั่งสมาธิ ทำงานไปวันๆ และทำงานหนักด้วย มีไฟทำงานมากๆ แทบจะต้องแข่งขันกันแบบเอาเป็นเอาตายเลย เมื่อก่อนทำเช้าชามเย็นชามก็อยู่ได้ แต่หลังๆ ต้องสู้กับต่างประเทศ ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว ก็เลยต้องทำงานหนักมากขึ้นเหมือนตายพร้อมไปกับการทำงานเลยละ นี่แหละ แนวของวัชรยาน เขาใช้การทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม แล้วก็จะไม่ค่อยอยู่ติดกับที่นะครับคล้ายๆ ธุดงค์หรือย้ายไปเรื่อยๆ นั่นแหละ แล้วยังมี "ข่าวน่าตกใจแบบฉับพลัน" ให้เราตกใจเล่น เหมือนโดนฟ้า ผ่ากลางวันแสกๆ เลยละครับ นั่นแหละ วิถีธรรมสายวัชรยาน พอโดนเข้าไปทีเดียว มันตาแจ้งโจ้งโล่ง จางปางเลย ตาสว่างทันทีเลยครับ เช่น รักคนๆ หนึ่ง ทุกอย่างดีหมดมาตลอด ถึงวันนี้ ก็พบว่า "เธอเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ .." ช็อคไปเลยครับ หรือทำงานดีอยู่ตลอดจู่ๆ บริษัทให้ออกเฉยเลย ปลดสายฟ้าฟาดเหตุผลง่ายๆ "ประหยัด" ก็แค่นั้นเองครับแต่เราจะโชคดีที่จะไม่ตายในภัยพิบัติแรงๆ แล้วครับ อ้อ   แล้วยังมีการกระทบกระทั่งกันเยอะครับ เขาเรียกว่าวิถีเพชรตัดเพชร ก็เพื่อให้ทลายอัตตา สักกายทิฐิของแต่ละคน อย่างไรละครับ สำหรับบทความวันนี้ ขอจบลงก่อนนะครับ เดี๋ยวจะยาวเกินไป เด็กๆ ไม่ได้หลับได้นอนกันพอดี พบกันใหม่บทความหน้า วันนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ!



19 ความคิดเห็น:

  1. ตำนานยักษ์วัดโพธิ์-ตำนานกำเนิดท่าเตียน

    สำหรับยักษ์ประจำวัดโพธิ์ หลายคนคงเคยได้ยินตำนานกำเนิดท่าเตียน
    ที่เล่าปากต่อปากกันมาว่า บริเวณท่าเตียนอันเป็นพื้นที่โล่งเตียนนั้น
    เป็นผลจากการต่อสู้ของ “ยักษ์วัดแจ้ง” กับ “ยักษ์วัดโพธิ์”
    โดยมี “ยักษ์วัดพระแก้ว” เป็นผู้ห้ามทัพ

    ตำนานกำเนิดท่าเตียน มีว่า ยักษ์วัดโพธิ์ซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดโพธิ์
    และยักษ์วัดแจ้งซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดแจ้งหรือวัดอรุณฯ ฝั่งตรงข้ามนั้น
    ทั้ง ๒ ตนเป็นเพื่อนรักกัน วันหนึ่งทางฝ่ายยักษ์วัดโพธิ์ไม่มีเงิน
    จึงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปขอยืมเงินจากยักษ์วัดแจ้ง
    พร้อมทั้งนัดวันที่จะนำเงินไปส่งคืน
    เมื่อถึงกำหนดส่งเงินคืน ยักษ์วัดโพธิ์กลับไม่ยอมจ่าย เบี้ยวเอาเสียดื้อๆ
    ยักษ์วัดแจ้งเมื่อรอแล้วรอเล่าจนทนไม่ไหว
    จึงตัดสินใจข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาทวงเงินคืนแต่ยักษ์วัดโพธิ์ไม่ยอมให้
    ดังนั้น ในที่สุดยักษ์ทั้ง ๒ ตนจึงเกิดการทะเลาะถึงขั้นต่อสู้กัน
    แต่เพราะรูปร่างที่ใหญ่โตมหึมาและมีกำลังมหาศาลของยักษ์ทั้ง ๒ ตน
    เมื่อต่อสู้กันจึงทำให้ต้นไม้ในบริเวณนั้นถูกยักษ์ทั้งสองเหยียบย่ำจนล้มตายลงหมด
    หลังจากที่เลิกต่อสู้กันแล้วบริเวณที่ทั้งสองประลองกำลังกันนั้น
    จึงราบเรียบกลายเป็นสถานที่ที่โล่งเตียนไปหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย

    ครั้นเมื่อพระอิศวร (พระศิวะ) ได้ทราบเรื่องราวการต่อสู้กัน
    ทำให้บรรดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายในบริเวณนั้นเดือดร้อน
    จึงได้ลงโทษโดยการสาปให้ยักษ์ทั้ง ๒ กลายเป็นหิน
    แล้วให้ยักษ์วัดโพธิ์ทำหน้าที่ยืนเฝ้าหน้าพระอุโบสถ
    และให้ยักษ์วัดแจ้งทำหน้าที่ยืนเฝ้าพระวิหารวัดแจ้งเรื่อยมา

    ส่วนฤทธิ์จากการสู้รบของยักษ์ทั้งคู่ที่ทำชุมชนละแวกนี้ราบเรียบเป็นหน้ากลอง
    ทำให้ชาวบ้านพากันเรียกว่า “ท่าเตียน” เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้


    เครดิต http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=26201

    ตอบลบ
  2. พ.ศ. 2533 – 2563 : ช่วงในระยะ ๓๐ ปี สิ่งที่ศาสนิกชนไม่เคยพบเห็น ยักษ์หิน ถูกสาป (คนไม่ดี มีจิตใจเช่นยักษ์) ให้หลับก็กลับตื่นขึ้นมาอาละวาดยิ่งหนัก เมื่อใกล้กึ่งศาสนาของตถาคต ก็ทวีภัยใหญ่ขึ้นทุกทิพาราตรี และมนุษย์นอกศาสนาก็จะรบราฆ่าฟัน กันถึงเลือดนองแผ่นดินและแผ่นน้ำ แม้ในอากาศก็มี อำนาจภัยจากฟ้าทุกทิศานุทิศ ไฟจะลุกลามเผาผลาญมนุษย์ไม่ขาดระยะต่างฝ่ายต่างทำลายกันย่อยยับเหมือนยักษ์ กระหายเลือด แผ่นดินแผ่นน้ำจะเดือดเป็นไฟ และตายกันไปฝ่ายละครึ่งจึงเลิกรา ต่างฝ่ายต่างหมดกำลังด้วยกันตามวิสัยของยักษ์ร้ายนอกศาสนา (อธิบาย : ผูู้้มีพระภาคตรัสเกี่ยวกับก่อนกึ่งพุทธกาล หรือปี 2500 หรือ ก่อน พ.ศ. 2548 ว่า ก่อนกึ่งพุทธกาลนั้น ผู้คนนอกศาสนาพุทธ ได้สู้รบกัน และที่รู้จักดีคือทั้ง สงครามโลกครั้งที่ 1 และที่ 2 ทำให้มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก แม้การต่อสู้ทางอากาศ มีลูกระเบิดจากเครื่องบินทำให้เกิดเป็นเพลิงเผาพลานไปทั่ว ทางพื้นน้ำก็มีการสู้รบกันทางเรือ ทั้งสองฝ่ายต่างเสียชีวิตเป็นอันมาก และแล้วก็เลิกรากัน )


    เครดิต http://www.metteya.org/sriann/Buddha%20Prophecies%20TL.html

    ตอบลบ
  3. นี่ๆ มีวิธีทำผลไม้ธรรมดาให้กลายเป็นผลปีศาจนอกจากการไหว้ปะครับ แบบว่า อัญเชิญเทพไฟสถิตนะผลไม้ อะไรประมาณนี้อะ อิอิ เห็นข้อความนี้เลยคิดออก http://www.thaionepiece.com/board/viewtopic.php?f=6&t=5768&start=10#p106781

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. งั้นแสดงว่าตอนแรก มันไม่ใช่ผลปีศาจมาก่อน แล้ว "เรา" เป็นผู้ทำกรรมให้กลายเป็นผลปีศาจละสิ ถ้ามันจริง เป็นไปได้ด้วยอำนาจแห่งฤทธิ์หรืออะไรก็แล้วแต่ มันหมายความว่า เราทำกรรมให้เกิดผลปีศาจเชียวนะ เหมือนกับเอาเทพแห่งไฟมาทำเป็นผลปีศาจ แล้วเราจะเป็นอะไรละ? ไม่ยิ่งกว่าซาตานเลยหรือ? (ลูซิเฟอร์เป็นซาตานเพราะกินผลปีศาจ - แอปเปิ้ลแห่งการหยั่งรู้ แต่เราจะสร้างผลปีศาจ เราไม่กลายเป็น "ปู่ทวดโคตรซาตาน" เลยหรือ?)


      ไอ้คิด มันก็คิดได้ ไอ้ทำ บางคนอาจทำได้ ก็ได้นะ ไม่รู้สิ แต่ผมไม่อยากเสี่ยงหรอก อยู่แบบนี้ ชีวิตก็โอเคแล้ว จะแกว่งเท้าไปหาเสี้ยนทำไมกัน? ทำแล้วได้อะไร คุ้มหรือเปล่าละ? ถ้าได้เยอะเหลือหลาย บริโภคหมดหรือเปล่าละ? ถ้าเสพทั้งชาติก็ไม่หมด แล้วจะมีทรัำพย์สมบัติมากมายไปทำหยั๋ง? หือ? บักหำน้อย?

      ลบ
  4. ไม่ต้องใช้พลังของจิตวิญญาณเต็มๆ ดวงหรอก ใช้พลังเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณที่มีฤทธิ์มากๆ ก็พอแ้ล้ว เหมือนตอนที่พระวิษณุสร้างอาวุธทิพย์ ท่านใช้พลังส่วนเกินที่มาจากการบำเพ็ญพลังธาตุไฟของ "พระสุริยเทพ" เหมือนกับโพรมีธุอุส ก็ขโมยไฟ เศษเสี้ยวส่วนหนึ่งมาจากของพระสุริยเทพเหมือนกัน (ที่เอามาให้คน)

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ3 มกราคม 2556 เวลา 20:02

    แล้วเทพที่มีพลังทางสายตา มีแสงพุ่งออกจากดวงตาทั้งสองข้างเป็นแสงสีเขียวเรืองๆ พวกปีศาจเห็นจะกลัวหนีไปหมด แบบนี้มีหรือเปล่า เคยฝันเห็นอ่ะนะ...

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ผมก็ไม่ทราบหรอกนะ แต่การฝึกฤทธิ์ เป็นไปได้ไม่จำกัด แล้วแต่เราจะฝึกอะไร พลังงานมันเป็นของพื้นฐาน เหมือนดินเหนียว เราจะปั้นเ็ป็นอะไรละ? ถ้าเราเข้าใจอรูปฌาน พลังงานไร้รูป ย้อนถอยกลับหลังมานิด มันก็เกิดมีรูปได้แล้ว (อุปมาเหมือนเดินฌานถอยหลัง) แล้วแต่จะฝึกกันไปครับ มีทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ ก็เท่านั้นเอง

      ลบ
  6. ผลปีศาจ เป็นของภาคมืด เกิดจาก "ส่วนมืด" ของจิตใจมนุษย์ ที่ถูกแบ่งแยกออกมา เช่น ในช่วงที่ปฏิบัติธรรมยิ่งยวด พลังภายในจากฌานมีมากล้นเกินกว่าสมดุลปกติของร่างกายจะทรงไว้ จนถึงจุดหนึ่ง เกิดการปฏิืเสธภาคส่วนมืดในตัวเอง เช่น ปฏิเสธกิเลสอันเป็นธรรมชาติเดิมของตน ทำให้เกิดการ "แบ่งแยก" ของพลังงานภายใน "บางส่วนที่เป็นส่วนมืด" จะถูกแบ่งแยกออกมา แล้วช่วงนั้นเอง ที่พลังมืดดำในจิตใจคนเหล่านั้น ถูกจัดการออกมา ก็สามารถก่อให้เกิดผลปีศาจได้ มันจึงมาพร้อมคำสาป และคนที่กินมันเข้าไป ก็ต้องรับคำสาปนั้นไปส่วนหนึ่ง


    บางคนคิดตัดกิเลส, ปฏิเสธธรรมชาติด้านมืดของตนเอง นั่นแหละๆ ...

    ตอบลบ
  7. มีเทพที่มีฤทธานุภาพมากซะยิ่งกว่า "พระสุริยเทพ" อีกแน่ะ เค้าเรียกว่าอะไรนะ

    "ดาวเทพนภเคราะห์" ที่ควบคุมดวงดาวทั้ง "ระบบสุริยจักรวาล"

    ตำแหน่งนี้น่าสนใจดีแฮะ อิอิ

    ตอบลบ
  8. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  9. ครับผม! คุณต้นหลิวช่วยเล่าเรื่องผลปีศาจแบบทีเดียวละเอียดไปเลยทีเดียวได้มั้ยครับ ผมจะได้ไม่ต้องถามให้คุณต้นหลิวรำคาญอีก อิอิ เท่าที่อยากรู้ตอนนี้ผลปีศาจที่ไม่ได้อยู่ในมิติทิพย์แต่อยู่บนโลกมีไม๊ครับ นี่ครับ http://www.youtube.com/watch?v=aDrh7YI0jnQ ตั้งแต่นาทีที่ 10:15 ขึ้นไปมันจะมีเกี่ยวกับผลปีศาจและลักษณะของผลไม้ครับ คราวนี้ขอแบบละเอียดด้วยนะครับ!!! อิอิ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. มันยังไม่ตกผลึก ยังกระท่อนกระแท่น ไว้รอให้มันเรียบเรียงได้พอควร ค่อยว่ากันนะ อนึ่ง มิติต่างๆ แท้แล้วไม่เคยแยกจากกัน เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งสิ้่น แต่เพราะขีดจำกัดต่างๆ ทำให้การเข้าถึง, เข้าใจ ฯลฯ อาจเป็นไปทีละมิติ ไม่อาจเข้าถึง, เข้าใจ ฯลฯ พร้อมกันทุกมิติเท่านั้นเอง หมายความว่า "ผลไม้บนโลก" ที่มีพลังเชื่อมโยงกับผลปีศาจ กินแล้วให้ผลไม่ต่างจากกินผลปีศาจ ก็อาจมีได้ แต่ไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆ ก็เท่านั้นเอง

      ลบ
  10. ผมอยากรู้แค่ว่า ผลไม้มันเป็นยังไง เกิดขึ้นมายังไง และให้พลังพิเศษอะไรบ้างเท่านั้นเองครับ แล้วผมจะเลือกผลไม้ที่คู่ควรกับผมครับ แต่ผมตอนนี้หวังอยากได้ ผลสายฟ้า แล้วที่ว่า แอปเปิ้ล เกี่ยวข้องกับ ผลแห่งการหยั่งรู้ แล้วผลไม้อะไรที่จะเกี่ยวข้องกับผลสายฟ้าล่ะครับ มะละกอ หรือว่าอย่างอื่นครับ!

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. มีดีพอจะได้รับรึเปล่าล่ะ ม่ะ เดี๋ยวจะห้ายยยยยยยยยยยยย 555555555555

      ต้องเข้าตาแมวมองด้วยน๊าาาาาา

      ลบ
    2. ของภาคมืด ภาคมาร มันไม่ได้ยากหรอก คนบางคนแค่อยากมีอำนาจแล้วกล้าทำชั่วเท่านั้น ก็ได้เลย ที่สำคัญคือ "มันกล้าทำัชั่ว" ยิ่งกล้าได้ กล้าเสีย กล้าทำชั่วมากๆ มันก็เข้าทางมืดได้มาก บางคนก็จับทางได้ ถึงขนาดเอาลูกเมียแลกกะซาตานก็มี


      ของที่มีพลังสายฟ้า แต่ไม่ใช่ภาคมืดก็มี บำเพ็ญบารมีเอา ถ้าไม่ใจร้อน ของภาคมืด มันเหมาะกับคนใจร้อน อยากได้ อยากมี อยากเป็น อย่างเก่ง เร็วๆ ดังใจ ถ้าเราไม่รีบร้อนเกินไป บำเพ็ญเอาก็ได้

      ลบ
    3. ขวานฟ้าคงหายไปแล้ว ก็ดีเหมือนกัน พลังแรงไป "คงไม่เหมาะกับบุคลิกสักเท่าไหร่" สร้างได้ แต่ไม่เหมาะที่จะใช้ ต้องเลือกคนด้วย"

      เอาพลังที่นุ่มๆดีกว่า ไม่ค่อยชอบของแรงสักเท่าไหร่ มีผลกระทบต่อบุคคลในวงกว้างเยอะ

      ลบ
  11. แต่ผมไม่รู้วิธีเลยนี่นา แล้วจะทำยังไงละครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ตั้งใจทำงานที่ทำอยู่ให้ดีเหอะ เช่น ถ้าเป็นงานบริการลูกค้า ก็เอาใจลูกค้าให้ดีๆ จริงใจกับลูกค้า ฯลฯ เดี๋ยวก็ได้เองแหละ

      ลบ

เม้าท์ด้วยคน