วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การเป็นลูกน้องคนอื่นให้มาก คือ พลังสั่งสมประสบการณ์การเป็นผู้นำที่ดี ???

มีคนสงสัยฝากคำถามมาถามพี่ชายรักชาติว่า ทำไมนะ เดี๋ยวนี้คนเราชอบไปปกป้องคนเลว คนทำความผิด ทำไม คนดีไม่รู้จักไปปกป้องบ้าง แหม คำถามนี้ ตอบไม่ยากเลยว่า ทำไม คนจึงชอบปกป้องคนเลว คนไม่ดี ก็เพราะว่า "คนดี ผีคุ้ม" ไงละ คน ก็เลยต้องคุ้ม คนเลว  เป็นขุนพลอยพยัคฆ์ หรือไม่ก็อยากเป็นคน ไม่อยากเป็นผี เลยไม่ไปปกป้องคนดีๆ ซะอย่างนั้น เีรียกว่าไม่อยากอายุสั้น กลายเ็ป็นผีเร็วก็เลยปกป้องคนเลวอ่ะ โฮ่ๆๆ เอาละ มาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่า วันนี้เป็นเรื่องของ "การเป็นลูกน้องคนอื่น" มันดีอย่างไร? และเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ล้วนบำเพ็ญมาทั้งสิ้น (หลายคนมักคิดว่าจะต้องเป็นหัวหน้า หรือผู้นำคนอื่นเสมอ จึงจะได้เป็นพระพุทธเจ้าละมัง) เพื่อแก้ทัศนคติของบางคนที่ไม่นิยมการเป็นลูกน้องใคร ทำอะำไรก็จะเอาแต่ตำแหน่งหัวหน้าคนอื่นอย่างเดียว ก็ลองดูรายละเอียดนี้ครับ


อย่างที่แรก พระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ท่านมีบริวารมาก มีพระโพธิสัตว์มาช่วยกิจมากได้นั้น เพราะบุญบารมีท่านทำไว้อย่างนั้นแต่หนหลัง ถามว่าทำอย่างไร? ตอบง่ายๆ ครับ อยากได้บริวารมากๆ ก็ต้องเริ่มจากเป็นบริวารคนอื่นๆ ให้มากก่อน ในพระไตรปิฎกกล่าวว่าพระศรีอาริยเมตตรัยนั้น ท่านสร้างบารมีร่วมกันมากับพระโพธิสัตว์ทั้งหลายมากมายเหลือเิกิน มากกว่าพระสมณโคดมเป็นร้อยๆ เท่าเลยมั้ง ผมจำตัวเลขที่แน่นอนไม่ได้ แต่สรุปคร่าวได้อย่างนี้ครับว่า พระพุทธเจ้าที่มีบริวาร มีพระโพธิสัตว์มาช่วยกิจมากๆ ก็ต้องสร้างบารมีด้วยการช่วยเหลือกิจผู้อื่นให้มากเหมือนกัน เหมือนชาวนานะครับ เราไปทำงานช่วยคนอื่นไว้มากเท่าไร เขาก็จะมาช่วยเรามากเท่านั้น เป็นการเอาแรงกันไงครับ มันไม่มีใครเป็นทาสใครไปตลอดเวลาหรอกครับ มีแต่เราและเขาที่ช่วยเหลือกันไปมา เรียกว่า "เอาแรงกัน" ก็เท่านั้น ดังนั้น ถ้าพระโพธิสัตว์องค์ไหน เกิดมาหลายชาติ ไม่ได้เป็นลูกน้องใครเลย ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้พระโพธิสัตว์ไปช่วยงานเป็นบริวารให้ครับ นี่ไม่ใช่คำประชดนะ แ่ต่เป็นไปตาม "กฏแห่งกรรม" ครับ ปัจจุบัน พวกเรามักถูกสอนว่าให้เป็น "ผู้นำ" บ้าง เป็นผู้บริหารบ้าง แต่ละคนแย่งกันที่จะเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้า แต่ไม่ค่อยมีใครอยากเป็นลูกน้องใคร อันที่จริงความเป็นผู้นำที่ดี ก็เกิดจากประสบการณ์การเป็นลูกน้องมามากนี่แหละครับ ยิ่งเป็นลูกน้องเขามาก ก็ยิ่งเข้าใจอะไรมาก เห็นตัวอย่างของผู้นำที่หลากหลาย เวลาเป็นผู้นำเองบ้าง ก็เลยเป็นได้ดี แต่ถ้าไม่เคยเป็นลูกน้องใครเลย ก็จะไม่มีตัวอย่างผู้นำให้เห็น เวลาเป็นผู้นำกับเขาบ้าง ก็เป็นได้ตามกรอบความคิดแคบๆ และประสบการณ์น้อยๆ ในตัวเองเท่านั้น อันนี้เกิดผลในชาตินั้นเลย ไม่ต้องรอผลชาติหน้าครับ นี่สรุปง่ายๆ สั้นว่า ถ้าอยากเป็นผู้นำที่ดี ก็ต้องเป็นผู้ตามที่ดีให้มากครับ


อย่างที่สอง จิตวิญญาณทั้งหลายทั้งปวงนั้น ล้วนมาจาก "พุทธะ" ทั้งนั้นครับ จะอธิบายอย่างไรดี ตัวตนหลากหลายมิติของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ มิได้เข้านิพพานพร้อมกันหมดนะครับ ตัวตนที่ทำหน้าที่เป็นพระพุทธเจ้าก็นำพาปวงสัตว์เข้านิพพานไป แต่ตัวตนอื่นๆ ที่ทำหน้าที่อื่นๆ ก็มีเหลืออยู่อีกมากมายครับ โดยเฉพาะตัวตนที่ตามมาช่วยกิจให้พระพุทธเจ้าองค์ต่อๆ ไป ในฐานะที่ตัวตนที่เป็นพระพุทธเจ้านั้น ได้รับการช่วยเหลือจากตัวตนที่เป็นพระโพธิสัตว์ (คนอื่นช่วยมาก่อน) ไงละครับ ดังนั้นท่านจึงต้องมีตัวตนที่เหลืออยู่ไปช่วยกิจของคนอื่นเขาบ้าง (พระพุทธเจ้าองค์ต่อๆ ไป) มนุษย์ทุกคนก็มาจากพุทธะครับ บางคนที่ดูไม่ได้เรื่องเลย อาจเพราะตัวตนที่เป็นพระพุทธเจ้าของเขา นิพพานไปตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์มากๆ แล้ว สมัยนั้นอาจไม่ค่อยมีอะไรแปลกเลย ท่านก็เลยดูไม่ค่อยได้เรื่อง เคยเห็นชาวนาโง่ๆ ไม่ได้เก่งอะไรเลย โดนใครเขาหลอกง่ายๆ ไหมครับ? นั่นแหละ ตัวตนที่เหลืออยู่ของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ แบบดึกดำบรรพ์มากๆ ทำให้ตัวตนเหล่านี้ ดูไม่ทันสมัย ไม่พัฒนาก็เท่านั้นเอง ตัวตนที่เหลืออยู่เหล่านี้ ไม่ได้มาทำหน้าที่เป็นพระำุพุทธเจ้าแห่งยุคนี้หรือยุคต่อๆ ไปอีกแล้วครับเพราะมีตัวตนที่ทำหน้าที่เป็นพระพุทธเจ้าทำหน้าที่นั้นไปแล้ว นิพพานไปแล้ว จบกิจแห่งการเป็นพระพุทธเจ้าไปแล้ว ตัวตนที่เหลือๆ อยู่ในมิติอื่นๆ จึงต้องมาทำหน้าที่อื่นๆ ต่อไปครับ โดยเฉพาะกิจช่วยเหลือพระโพธิสัตว์องค์ต่อๆ ไป นั่นเอง ดังนั้น ถ้าท่านอยากได้ธรรมะแบบง่ายๆ พื้นๆ บ้านๆ โคตรง่ายเลย ก็หาเอาจากคนรอบข้าง คนที่โง่ๆ หรือคนขอทานยังได้เลยครับ มันซ้อนอยู่ในอีกมิติหนึ่ง ที่ตัวตนที่นิพพานแล้วของเขา (ที่เคยเป็นพระพุทธเจ้า) สามารถเชื่อมโยงธรรมให้แก่ท่านได้ ฟังแล้วก็มึนๆ งงๆ เนอะ เอาเป็นว่าคนทุกคนมาจากพุทธะ ถ้าคุณอยากได้ธรรมะจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ที่นิพพานไปแล้ว ก็ให้ลองดูจากตัวตนคนธรรมดาที่ยังมีชีวิตอยู่นี่ละ เชื่อมโยงทะลุมิติไปถึงตัวตนที่นิพพานแล้วของเขาให้ได้ อย่าไปติดอยู่กับตัวตนที่ท่านเห็น



ดังนั้น หากท่านต้องไปเป็นลูกน้องของเจ้านายที่ไม่ไ่ด้เรื่อง ดูห่วยแตก ก็อย่าเพิ่งมองเป็นอคติครับ ให้มองทะลุมิติไปให้ถึงตัวตนที่ได้นิพพานแล้วของเขาให้ได้ (ตัวตนแห่งพุทธะ) คุณก็จะเห็นแนวคิดในการเป็นผู้นำ ผู้ปกครอง ในแบบของเขาที่ซ้อนอยู่อีกมิติหนึ่ง ที่เหมาะกับยุคสมัยโบราณมากๆ แบบหนึ่ง แต่ก็ยังใช้การได้ดีกับคนกลุ่มหนึ่ง ที่อาจตกค้างตามเข้ามา เป็นบริวารในชาตินี้ ซึ่งยังไม่ไ่ด้นิพพานเช่นกันครับ ด้วยเหตุนี้ผมจึงบอกว่าการเป็นลูกน้องคนอื่น ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป ตรงกันข้าม มันคือหนทางในการเป็นผู้นำที่ดีครับ เพียงแต่คุณต้องไม่หลงไปกับตัวตนแห่งความเป็นลูกน้องหรือขี้ข้ามากจนเกินไป คุณต้องเข้าใจตัวเองให้ชัดว่าคุณเป็นลูกน้องเืพื่อให้ความเป็นผู้นำของคุณได้รับการเติมเต็มอย่างที่สุด และสมบูรณ์มากขึ้น ก็เท่านั้นเอง เอาละ เม้าท์มายาวทีเดียว เริ่มมึนๆ นิดหน่อยแล้ว เห็นทีว่าควรจะต้องจบลงเสียก่อนนะบัดนี้ พบกันใหม่ฉบับหน้าก็แล้วกันครับ ราตรีสวัสดิ์



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เม้าท์ด้วยคน