วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วิถีทางแห่งการบรรลุธรรมก็ง่่ายๆ "บริโภคนิยม" นี่แหละ!

พี่ชายไปอ่านเจอกระทู้หนึ่งเขาพูดถึง "หลวงปู่ .." ซึ่งอายุน้อยมากแต่คนเชื่อว่าเป็นหลวงปู่มาเกิด เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้มีบุญบารมี คนเชื่อว่าท่านเข้านิโรธสมาบัติและจะนิพพานในชาตินี้ แล้วก็มีภาพตอนไปนอนกับผู้หญิงมาโชว์ อืม เป็นสิ่งศักดิสิทธิ์สูงส่งของพวกชาวบ้านเขา เป็นเทพเจ้าของชาวบ้านเขาน่ะครับ อย่าไปลบหลู่เชียว เพราะขนาดตอไม้, จอมปลวก, ก้อนอึแมว ฯลฯ ชาวบ้านไทยๆ เราก็ไหว้ขอหวยมานักหนาแล้ว นี่ออกจะดีเริ่ดกว่าเยอะ เพราะกราบปางเสพเมถุน ก็ัยังดีกว่ากราบก้อนอึแมว ใ่ช่ไหมละครับ? น่าชื่นชมในภูมิปัญญาของชาวไทยแลนด์โอนลี่จริงๆ เอาละ มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า เรื่องของการเข้านิพพานด้วย "บริโภคนิยม" เป็นไปได้อย่างไร? บ้าหรือ ก็ดูเอาครับ


อย่างแรกที่อยากจะอธิบายก่อนคือ ชาติข้างหน้า, เวลาข้างหน้า หรือว่าอนาคตนั้ัน ไม่มีสั้น ไม่มียาว สั้นก็ได้ ยาวก็ได้ ทุกอย่างไม่มีกำหนด แล้วแต่เราจะไปกำหนดมันเองแหละครับ สัจธรรมนั้นอยู่เหนือกาล แต่ที่เรามีกาล, มีวาระ, มีอนาคต, มีชาติข้างหน้า ก็ด้วยเราเองนี่แหละ ไปก่อเหตุปัจจัยเอง ก่อเหตุปัจจัยอย่างไรก็ส่งผลอย่างนั้น ก่อเหตุปัจจัยให้ไปยาว ก็ไปยาว ก่อเหตุปัจจัยให้ไปสั้นก็ไปสั้น ดังนั้น คนเราทุกคน จะนิพพานเร็วหรือช้า, สั้นหรือยาว ก็ขึ้นกับเราก่อเหตุปัจจัยเองแหละครับ แล้วก่อเหตุปัจจัยอย่างไรหรือ? ง่ายๆ ครับ ถ้าเราเสวยผลกรรมให้หมดได้เร็วทั้งวิบากกรรมดีและวิบากกรรมชั่ว เราก็นิพพานเร็วครับเช่น เกิดมาเป็นพระ ยังไม่ไ่ด้อรหันต์ แต่มีคนมายกย่องว่าอรหันต์แล้ว บวกกับทุกอย่างก็แวดล้อมอย่างนั้น เลยหลงว่าตัวเองอรหันต์ พอประกาศตัวออกไปว่าตนได้อรหันต์ เงินทองก็ไหลมาเทมา ตามระเบียบว่าด้วยความเป็นอรหันต์แห่งไทยแลนด์โอนลี่ เข้าสู่กระบวนการเสวยผลบุญให้หมดๆ ไปอย่างรวดเร็วราวไฟใหม้เผาผลาญคลังบุญ หรือเหมือนพม่าเผาเมืองอโยธยาอย่างนั้น (หรือคนไทยเผากันเองก็ไม่รู้นะ) เลยต้องมารับเงินจากผีพม่าที่มาเกิดเป็นคนไทย รวมเงินกันได้แล้วก็ไปสร้างวัด ใช้หนี้สงฆ์ บริโภคผลบุญร่วมกันจนหมดแล้ว ก็ไม่ได้ผุดได้เกิด เพราะเริ่มต้นก็มาจาก "อรหันต์ปลอม" เสียแล้ว และมักจบลงด้วย "ข่าวใหญ่" พระดังมั่วสีกาบ้าง, มั่วยาบ้าบ้าง, มั่วอะไรต่อมิอะไรบ้าง ก็อีหรอบเดิม และเดิมๆ เหมือนที่ชาวไทยเรา ไทยแลนด์โอนลี่ ยังนิยมหนังน้ำเน่า เมียหลวง, เมียน้อยตีกันแย่งผัวเหมือนเดิม คลาสสิคจริงๆ หลังจากหมดบุญแล้ว เสวยผลบุญจนเกลี้ยงแล้วทีนี้ก็มีแต่วิบากกรรมเข้าตัวเต็มๆ พระบางรูปก็เข้าซังเต บางรูปก็แค่สึกก็จบแล้ว แต่จบแบบดังออกข่าวหน้าหนึ่งหน่อย ก็เท่านั้นเอง ก็เลยไม่ไ่ด้ผุดได้เกิด ด้วยไม่เหลือบุญจะได้เกิดเป็นคนอีกแล้ว กลายเป็นผีในภพมืด เร่ร่อนแฝงร่างมนุษย์ไปจนกว่าจะหลุดพ้นนิพพานกับเขา นี่เรียกว่าแบบเร่งรัดนั่นเอง


อย่างที่สอง หลังจากที่เราทราบแล้วว่าวาระนิพพานนั้น ช้าเร็ว ก็ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับเราเท่านั้นที่ก่อเหตุปัจจัยส่งผลไปเอง สัจธรรมนั้นเหนือกาลเวลา ไม่อาจกำหนดวาระที่แน่นอนให้ยึดมั่นได้ ดังนั้น คนที่เสวยผลบุญช้าหรือน้อย ก็หมดช้า ยังไปข้างหน้าอีกยาว ยังไม่นิพพานเร็วในยุคนี้ คนไหนที่เสวยผลบุญมาก ก็หมดบุญเร็ว ที่เหลือก็ต้องรับแต่กรรม จนทุกข์แล้วทุกข์อีก เห็นโลงศพจนหลั่งน้ำตา ก็เกิดความอยา่กหลุดพ้น มีจิตตรงนิพพานได้ เห็นไหม? มันก็ต่างกันแบบนี้ ไม่มีใครถูกหรือผิด ผมจึงบอกว่า "บริโภคนิยม" นี่แหละ คือ วิถีแห่งการบรรลุธรรม แต่ไม่ใช่ด้วยตัวมันเองหรอก มันเป็นแค่ "ทางส่งไป" ก็เหมือนเวลาที่ทหารไม่กล้ากระโดดหอคอย แล้วต้องมีคน "คอยถีบส่ง" นั่นแหละ ก็ไม่ต่างกัน เพราะบอกให้ไปดีๆ ไม่มีใครอยากจะไป เล่นตัวมาก เรื่องเยอะ เลยต้องถีบส่งแบบนี้ คือ ให้เป็นเหยื่อของบริโภคนิยมไปซะ จนไม่เหลือบุญแล้ว หมดตัวแล้ว มีแต่กรรมรุมๆ ให้ต้องทุกข์แล้วทุกข์อีก จนเข็ดหลาบแล้ว จิตตรงนิพพานเอง แล้วมันก็เข้าทางเอง ถึงจะทันนิพพานใน ๕,๐๐๐ ปีนี้ จึงไม่แปลกถ้าเห็นชาวพุทธในประเทศไทยที่หลง "พระอรหันต์เทียม" ที่อดีตชาติอาจเคยเป็นนายกองทัพพม่ามาทำศึกแล้วตายลงในแผ่นดินนี้ ก็เลยยกย่องนายทัพของตัวเองอย่างนั้น ให้เป็นอรหันต์แบบแต่งตั้งกันเอง แล้วก็สวาปาม เสวยบุญเกินตัว ตามแบบบริโภคนิยม สร้างวัดใช้หนี้สงฆ์ (ผลกรรมที่เคยเผาวัดไทย) หมดหนี้กรรมกันแล้ว หมดบุญแล้ว หมดตัวแล้ว ก็รอลงภพมืดอย่างเดียว ไม่แปลกอีกเช่นกัน ถ้าเราได้เห็น "ข่าวพระดังทำศาสนาเสียๆ หายๆ" ปรากฏเรื่อยๆ ไม่ขาดระยะ (ถ้าสื่อไม่ถูกปิดกั้นนะ) เกิดแล้วก็เกิดอีกซ้ำๆ เหมือนหนังน้ำเน่าหลังข่าว ที่คนก็นิยมแล้วนิยมอีก ไม่มีจบสิ้น นั่นแหละ พอกัน เป็นยุคสมัยของเขาครับ เป็นของร่วมกันมา นี่จึงสรุปง่ายๆ สั้นๆ ว่า "บริโภคนิยม" นี่แหละ ธรรมชาติเขาจัดสรรมาให้แล้วว่าจะเป็นตัว "ถีบส่ง" ให้สัตว์ดื้อด้านสอนยาก "ลงนิพพานไปซะ" ก็หลังกึ่งกลางพุทธกาลนี่คุณอย่าลืมว่า "พุทธบริษัทสี่" หมดสิ้นแล้ว ก็มีแต่ยักษ์, มาร, เทพ, พรหม สี่เหล่าใหญ่ มาดูแลพระพุทธศาสนากัน


และด้วยเป็น ยักษ์, มาร, เทพ, พรหม ไม่ใช่พุทธบริษัทสี่ ก็เลยว่ายาก สอนยาก ดื้อด้าน ไม่รู้จะใช้วิธีไหนสอนดี พระพุทธเจ้าก็ปรินิพพานไปแล้ว ไม่มีขันธ์ห้าใช้โปรดสัตว์ให้ละพยศ ความดื้อด้าน และสักกายทิฐิได้ ก็เอาไงละ "ถีบส่งด้วยบริโภคนิยม" นี่แหละ เหมาะสมที่สุดแล้ว ก็แดกๆๆ กันไปเถอะนะ ใครอยากแดกอะไรก็แดกกันไป จะโกงกินบ้านเมือง แบ่งกันแดก ทั้งพรรคพวก, เครือข่าย, ญาติโกโหติกา ทั้งหลาย ยังไำง ก็ทำไป เดี๋ยวเข้าทางนิพพานเอง ไปรอในภพมืดหลังที่เสวยผลบุญจนหมดแล้ว มีแต่ความทุกข์หม่นหมองมืดมนบ้างแล้ว เดี๋ยวก็จะมีสติ คิดขึ้นได้เองบ้างละนะ เพราะนรกก็ไม่รับ สามภพนี้ไม่มีที่ให้พวกเขาแล้ว เขาก็ต้องหลุดออกนอกระบบสามภพ แม้แต่นรกก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะลง ไม่ได้ผุดได้เกิดกันเลย รอแต่นิพพานอย่างเดียว เขาบีบให้ตรงต่อนิพพานอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีทางรอดทางอื่นแล้ว นั่นแหละ ใครที่ชอบบริโภคนิยมก็คงจะได้สมใจกันเสียที เอ้า เม้าท์เรื่องเครียดมากไป เดี๋ยวเด็กๆ จะรับไม่ไ่ด้เอา ไม่ต้องคิดมากนะ ก็แค่นิทานเท่านั้น ก็ต้องมีนิทานแบบตื่นเต้น ระทึกขวัญกันบ้าง เอาละ วันนี้ ก็ขอจบลงแต่เพียงเท่านี้ ไว้พบกันใหม่บทความหน้า กินนมซะ แล้วราตรีสวัสดิ์ครับ  




1 ความคิดเห็น:

เม้าท์ด้วยคน