วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เอกภพคู่ขนานมีจริงไหม? แล้วอะไรที่คู่ขนานกับเอกภพของเรากันแน่?

วันนี้พี่ชายรักชาติได้ดูสารคดีท่องโลกกว้าง ตอนอะไรนะ? เกี่ยวกับสตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง ที่ใครๆ ก็ว่าเป็นอัจฉริยะของโลกยุคใหม่น่ะ เขาบอกว่าเขาไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าสร้างจักรวาล เขาบอกว่าัจักรวาลเกิดขึ้นเองตามสมการวิทยาศาสตร์ และจักรวาลเริ่มแรกมีลักษณะเป็นโดม ไม่ใช่จุด ซึ่งพี่ชายไม่เชื่อสตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง พี่ชายก็มีทฤษฎีของพี่ชายเองละ ฮ่าๆๆ เอาอีกแล้ว คราวก่อนก็มีทฤษฎีวิวัฒนาการแบบของตัวเองที่ไม่เหมือนของชาลล์ ดาร์วิน คราวนี้ไม่เหมือนของสตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง อีกละ อย่างแรก จักรวาลไม่มีจุดเริ่มต้นครับ ที่มันมีจุดเริ่มต้น ก็เพราะเราไปกำหนดมันให้มันเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับเรา ในกรณีนั้นๆ เท่านั้นเอง เ่ช่น ถ้าเราไปกำหนดจุดเริ่มต้นตอนมันเป็นรูปโดม สมมุติว่ามันมีจริงๆ มันก็จะเป็นเช่นนั้น แต่ก่อนนั้นละ? มันเป็นโดมหรือไม่? พี่ชายว่ามันมีก่อนหน้านั้นอีกครับ แนวคิดแบบนี้ ยังไม่พ้นมิติที่สามครับ คือ ยังยึดติดในกับดักของกาลเวลาอยู่ คือ ไปกำหนดเวลา ณ จุดหนึ่งขึ้นมาว่ามันเป็นจุดเริ่มต้น แล้วเห็นอะไรตรงนั้น ก็ว่ามันเป็นอย่างนั้น ณ จุดเริ่มต้น ทั้งที่จริง มันไม่มีจุดเริ่มต้นที่แท้จริงหรอกครับ มันมีแต่จุดเริ่มต้นที่เราทำขึ้นมา ในแต่ละกรณี เพื่อเหตุผลใดก็แล้วแต่ เท่านั้นเอง เอาละ เืพื่อไม่ให้ออกนอกเรื่องไปไกล พี่ชายของเข้าเรื่องของเราเลยก็แล้วกัน


มีทฤษฎีหนึ่งเืชื่อว่ามีเอกภพคู่ขนานกับเอกภพของเรา เหมือนฝาแฝดหรือภาพสะท้อนในกระจกเงาฉะนั้ัน ทฤษฎีนี้น่่าสนใจครับ และมีมุมมองรากฐานที่ดีมากทีเดียว กล่าวคือ ถ้าเอกภพของเราเกิดขึ้นเองโดยตัวมันเองโดดๆ แล้วอะไรละจะคานดุลยภาพกับมันได้? แล้วเช่นนี้ การระเบิดครั้งแรก (ซุปเปอร์โนวา) มันจะเกิดได้จากอะไร? อยู่ๆ ก็ระเบิดหรือ? ซึ่งมันไม่น่าจะเป็นไปได้ ดังนั้นมันจึงน่าจะมีอะไรสักอย่างที่ควบคุมกระบวนการของเอกภพของเราอยู่เหมือนสิ่งที่คานดุลยภาพอำนาจกันอย่างนั้น ในขณะที่นักฟิสิกส์สมัยใหม่ชื่อดังอย่าง สตีเฟน ฮอว์กิ้ง กลับมองว่าจักรวาลเกิดได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องมีอะไรมาทำให้มันเกิดขึ้น คือ มันอยากเกิดจู่ๆ ก็เกิดอะไรอย่างนั้นหรือ? แล้วเขาก็เลยตอบว่ามันเกิดขึ้นเพราะสมการคณิตศาสตร์อะไรแบบนั้น หมายความว่าถ้าเราตั้งสมการหนึ่งได้ แล้วทุกอย่างจะเกิดเองอย่างนั้นหรือ? เช่น ถ้าเรารู้สมการการเกิดของนิวเคลียร์ แค่เราเขียนสมการนั้น มันก็จะเป็นระเบิดนิวเคลียร์ได้ โดยไม่ต้องมีใครไปทำให้มันเกิดขึ้น อย่างนั้นหรือ แปลกดีแต่สตีเฟ่น ฮอว์กิ้งเชื่ออย่างนี้ว่ามันเกิดได้เองด้วยสมการโดยไม่ต้องมีอะไรไปทำให้มันเกิดขึ้น? นั่นคือ เหตุผลที่เขาค้านเรื่องพระเจ้าสร้างทุกสิ่งครับ เอาละ ผมยังไม่อยากจุดฉนวนการขัดแย้งในความเชื่อที่ว่าพระเจ้ามีจริงไหม? สร้างทุกสิ่งจริงหรือเปล่า? ผมขอให้่มองในมุมวิทยาศาสตร์ก่อนก็แล้วกัน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลังครับ


อย่างแรก ผมอยากบอกว่าระบบใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าใหญ่ขนาดไหน มันย่อมไม่คงที่ เปลี่ยนแปลงได้เสมอตามเหตุปัจจัยครับ นั่นหมายความว่าถ้ามีสาเหตุ ย่อมมีผลแห่งการเปลี่ยนแปลงตามมา ดังนั้น การเกิดขึ้นของซุปเปอร์โนวา หรือการระเบิดครั้งแรกที่ทำให้เกิดจักรวาลขึ้น มันก็ต้องมีเหตุปัจจัยเช่นกันครับ ซึ่งผมมองว่า เราควรเริ่มจากสมการ 0 = 0 ก่อน แล้วจึงค่อยๆ แยก 0 ออกมาครับ ว่ามันมีตัวแปรอะไรรวมอยู่บ้าง เช่น 0 นั้น = x - x หรือเปล่า? หรือว่าเท่ากับอะไรที่ยุ่งยากมีหลายตัวแปรกว่านี้ แต่ให้ผลออกมาเท่ากับ 0 ? ต่อไป ผมขอใช้ตัวเลขซีกซ้ายของสมการ หมายถึง ผลรวมของการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในจักรวาล ก็แล้วกัน แล้วขอใช้ตัวเลขซีกขวาหมายถึง ผลรวมของการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของสิ่งที่ผมอยากเรียกว่า "จักรวาลคู่ขนาน" ซึ่งผมอยากจะเน้นย้ำว่า ตัวแปรและรูปแบบของสมการทั้งสองข้าง ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน แต่เมื่อหาผลลัพธ์ออกมาแล้ว ก็ได้ผลเท่ากัน เช่น สมการไม่จำเป็นต้องเป็น 5 - 5 = 5 - 5 เสมอไป มันก็อาจจะเป็น 2 - 4 + (1+1) = (7 x 9) - 70 + 7 ก็ได้ เห็นไหมว่าสมการสองข้างเท่ากันได้ โดยที่มันไม่จำเป็นต้องมีหน้าตาเหมือนกันเสมอไป หมายความว่า "จักรวาลคู่ขนานของเรา ไม่จำเป็นต้องมีหน้าตาและองค์ประกอบต่างๆ ที่เหมือนจักรวาลของเราเลยก็ได้" แต่เมื่อรวมผลลัพธ์ทั้งหมดแล้ว มันจะต้องให้ผลออกมาเหมือนกัน หรือเท่ากัน ดังนั้น ขอให้คุณลบลืมความทรงจำที่ถูกยัดเยียดใส่หัวมาตลอดว่าัจักรวาลคู่ขนานของเรา เหมือนเราอย่างกะฝาแฝด หรือเรื่องที่คิดไปว่าเราจะมีคู่แฝดอยู่ในอีกจักรวาลหนึ่ง คือ จักรวาลคู่ขนานนั้น ขอให้ลบลืมไปเสีย แต่เปิดใจให้กว้างว่า "มันอาจจะเ็ป็นอะไรก็ได้ และมีรูปแบบอย่างไรก็ได้" คือ รูปร่าง รูปแบบของจักรวาลคู่ขนานนี้ ไม่จำเป็นต้องมีลักษณะเหมือนจักรวาลเลย อาจจะเป็นเพียงกลุ่มพลังงานในอีกรูปแบบหนึ่ง ก็ได้ หรือกลายเป็นอะไรที่ไม่อาจจินตนาการได้เลย


สุดท้าย ผมอยากขอสมมุติใช้คำเรียกจักรวาลคู่ขนานใหม่ ในฐานะที่มันอาจไม่ได้มีรูปแบบเหมือนจักรวาลเลยนี้ว่า GOD (Galaxy of duality) ก็แล้วกัน หรือถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆ สำหรับท่านที่เคยใช้คำนามเก่าๆ แต่โบราณ จะใช้คำเรียก GOD นี้ว่า "พระ้เจ้า" ก็ได้ หรือก็คือ อะไรก็ตามซึ่งเรายังไม่รู้ ไม่อาจคาดเดา แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดจักรวาลของเราขึ้น ซึ่งมันจะเป็นไปได้ตามหลักการของดุลยภาพในจักรวาล (จักรวาลของเราจะต้องมีสิ่งที่คานดุลยภาพกับมัน ไม่อาจที่มันจะทำตามอำเภอใจ หรือตามสมการใดๆ ได้โดยที่ขาดบางสิ่ง คานดุลยภาพของมันอยู่) คือ ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะเกิดได้เพียงแ่ค่มีสมการ แล้วมันก็เกิดจากสมการนั้น? ไม่หรอก มันต้องมีกระบวนการควบคุมดุลยภาพของทุกกระบวนการ แม้แต่กระบวนการบิกแบงค์หรือซุปเปอร์โนวา ไม่เช่นนั้น ผมคิดว่าจะเกิดปัญหาที่ไม่รู้ทางดำเินินไปของการเกิดขึ้นแห่งจักรวาลนี้แน่ๆ ซึ่ง GOD นี้จะมีรูปลักษณ์รูปแบบ แบบไหน เราไ่ม่อาจคาดคิดได้ อาจจะเล็กมากๆ ยิ่งกว่าหลุมดำที่เกิดใหม่ หรือว่าใหญ่กว่าจักรวาลคู่ของมัน ก็ไม่อาจทราบได้อีกเช่นกัน จะมีรูปร่างเหมือนกับจักรวาลคู่ของมันหรือ? ไม่จำเป็นเลย เพียงแต่มันทำให้เกิดดุลยภาพของจักรวาลนี้ได้ก็พอ มันไม่จำเป็นต้องมีองค์ประกอบหรือตัวแปรที่เหมือนกับจักรวาลคู่ของมันเลยแม้แต่น้อย อาจจะเป็นสิ่งที่พูดและสื่อสารกับเราได้ไหม? ก็ไม่ทราบ และยังไม่ขอสรุปไว้ ณ ที่นี้ ถ้าคุณไม่เข้าใจ นึกภาพง่ายๆ อย่างนี้ ก่อนที่โลกนี้จะมีการใช้ไฟขึ้นมา มันไม่เคยมีมาก่อนเลยใช่ไหม? แล้วมันเกิดมีมนุษย์คนแรกที่ใช้ไฟได้เกิดขึ้นมาก่อน แล้วมนุษย์คนนั้นละ ที่สอนให้คนอื่นๆ ใช้ไฟ เมื่อเขาตายลง ถ้าไม่มีพลังงานของเขาสืบต่อให้มนุษย์ใช้ไฟต่อไป ทุกสิ่งที่เขาสอนและทำไว้ ก็จะจบลง ไม่ต่างอะไรกับรถยนต์ที่วิ่งไปจนหมดน้ำมันอย่างนั้น มันก็ต้องหยุด ต้องจบ ต้องดับไปใ่ช่ไหม? ดังนั้น ถ้ามันยังอยู่ ยังสืบเนื่องต่อมาถึงชาวโลกยุคใหม่ๆ อยู่ ก็แสดงว่ามันยังมี "พลังงานขับเคลื่อนมันอยู่" ในอีกมิติหนึ่ง ที่ไม่ต้องไปสงสัยมากละว่ามันเป็นอย่างไร? และใครดูแลกระบวนการนี้อยู่ เพราะก่อนหน้านี้ ก็ไม่มีใครรู้จักการใช้ไฟ ทั้งจักรวาลไม่มีมาก่อน มนุษย์นั้นคือคนแรกที่รู้ และสอนชาวโลก ดังนั้น พลังงานของมนุษย์ผู้นั้นแหละ ที่ขับเคลื่อนให้มนุษย์โลกคนอื่นๆ รุ่นต่อๆ มาใช้ไฟตามตนต่อไปและนี่คือ จักรวาลคู่ขนาน กับ "การใ้ช้ไฟ" หรือก็คือ GOD แห่งการใช้ไฟ นั่นเอง ไม่ต่างจาก GOD แห่งจักรวาลนี้ ก่อนที่จะมีจักรวาลนี้ อะไรบางอย่างที่มีอยู่ก่อน บางอย่างนั้นจำนวนมากมายที่มีอยู่ก่อนนั้นได้กระทำสิ่งที่ไม่ต่างไปจาก GOD แห่งการใช้ไฟ แต่มันเ็ป็นเรื่องของการสร้างจักรวาล ก็เท่านั้นเอง คราวนี้ ผมหวังว่าคุณจะเ็ห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นของ GOD แล้วนะครับ (GOD ในที่นี้เหมือนน้ำมันในรถยนต์ที่ทำให้รถไปต่อได้)


ท้ายที่สุดของสมการ คือ 0 = 0 ครับ อย่าลืมซะละ หรือกล่าวง่ายๆ ว่า เมื่อใดที่จักรวาลสิ้นสุด นั่นก็คือวันนิพพานของพระเจ้าผู้สร้างจักรวาล หรืิอเมื่อใดที่พระเจ้าผู้สร้างจักรวาลนิพพาน ก็จะถึงจุดจบของจักรวาลนี้ นั่นเอง แต่ก่อนที่มันจะกลายเป็น 0 = 0 มันก็อาจจะเ็ป็นดุลยภาพแบบ   1 = 1 หรือ 1 = 5 - 9 + (10/2) หรืออะไรอย่างอื่นไปก่อนก็ได้ โอเคมั้ยครับ และมันคงยากเหลือเกิน ถ้าจะสืบสาวไปให้ถึงรูปลักษณ์ของพระเ้จ้าผู้สร้างจักรวาล เอาแค่ง่ายๆ พระเจ้าผู้สอนให้มนุษย์ใช้ไฟ อาจเป็นมนุษย์หินยุคโบราณ ที่เราไม่อาจคาดเดารูปลักษณ์ของเขาได้เลย ยิ่งกว่านั้น "ตัวตนหรือรูปลักษณ์เชิงพลังงานที่เหลือหลังจากตายลงแล้ว" ยิ่งเป็นสิ่งที่เราไม่อาจคาดเดาได้ไปใหญ่ เอาละ วันนี้่ ก็เม้าท์มายาวมากและดูจะยากสำหรับคนที่ไม่ได้เรียนสายวิทยาศาสตร์มา ก็ต้องขออภัยด้วย ไม่อาจจะอธิบายให้ง่ายเกินไปกว่านี้จริงๆ มันจะเยิ่นเย้อมากไป เอาเป็นว่าถ้าใครไปได้ก็ไป ใครไม่ไหว ก็นอนหลับไปนะ นี่ก็เริ่มดึกแล้ว อย่าลืมกินนมก่อนนอนละ หลับฝันดีราตรีสวัสดิ์ครับ  




3 ความคิดเห็น:

  1. เรื่องชาวไซย่าของผมละครับ รอนานแล้วนร้าา อิอิ เปิดจักระ 7 สักครั้ง เพื่อเอาข้อมูลได้ไม๊ครับ คุณต้นหลิว นะ นะ นะ

    ตอบลบ
  2. บอกเคล็ดแล้วนะ ระเบิดพลังไปเรื่อยๆ พอระเบิดได้ขั้นหนึ่ง จะเลื่อนขั้นไปขั้นหนึ่ง จะได้แบบทดสอบใหม่ที่ยากขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง พอผ่านได้ก็จะระเบิดพลังไต่ไปได้เรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็ถึงระดับไซย่าเองแหละครับ แต่ก่อนอื่น ควรไต่ระดับให้พ้นโลกให้ได้ก่อน เมื่อพ้นแล้วจึงเลือก "ดาว" ที่เราจะเ่ชื่อมโยงต่อ ได้ครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ระเบิดเข้าระเบิด ระวัง "จิตจะไม่อยู่กับกายเด้อออ 55555"

      ลบ

เม้าท์ด้วยคน