วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เมื่อพระอรหันต์มหายานจะไปนิพพานในภพมืด เพราะสุขาวดีปิดรับแล้ว?

มีเรื่องหนึ่งทางสายพุทธศาสนาฝากมาให้ช่วยอธิบายหน่อย คือ เรื่องพระอรหันต์แบบมหายานที่ไม่เหมือนกับแบบเถรวาท มันเป็นยังไง คือ อย่างนี้ครับ มีลัทธิสุขาวดีอยู่ที่เขาจะันับอรหันต์ให้โดยดูจากจิต ครับ ซึ่งบางครั้ง จิตวิญญาณที่บริสุทธิ์เหมือนพระอรหันต์เลย แต่อยู่ในร่างสังขารที่ยังไม่บรรลุธรรมครับ อย่างที่ผมบอกว่าเป็นดอกบัวบานแล้วรอแต่พระพุทธเจ้ามาโปรดก็เท่านั้น นั่นเอง ซึ่งเหล่าบัวบานแล้วเหล่านี้ ถ้าละสังขารเมื่อไร จุติที่สุขาวดีก็จะไปเกิดเป็นพระอรหันต์ได้ครับ นี่ไม่ใช่พระอรหันต์ในความหมาย ในระบบของพระพุทธเจ้า หรือแบบเถรวาทนะครับ เป็นแบบมหายาน เขาดูที่จิตวิญญาณครับ ถ้าจิตวิญญาณบริสุทธิ์ถึงระดับพระอรหันต์ เขาก็ให้เป็นอรหันต์เลย แต่ไม่ใช่พระอรหันต์แบบเถรวาทก็เท่านั้น ทีนี้เรื่องไม่จบแค่นี้ เพราะความต่างนี้เองทำเรื่องเอาครับคือ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดสับสนมากมาย เช่น  การรับเงินทองและก่อสร้างวัดวาตามๆ กันไปหมดเรียกว่าอรหันต์แล้วทำอะไรก็ได้ ไม่ผิด (แต่ท่าทางจะเป็นแนวมหายานเสียแล้ว) สุดท้าย ชาวบ้านก็สับสนว่าแนวทางไหนปฏิบัติได้ถูกต้องตรงทาง ในเมื่อไม่รู้ ก็ไม่ถึงนิพพานได้แล้วครับ จบเห่เลย นี่แหละ มันจึงควรมีการทำอะไรบางอย่างบ้าง เืพื่อแก้ไขปัญหานี้ครับ ดังที่ผมจะเม้าท์ให้ฟังต่อไปนี้


อย่างแรก มาเข้าใจความหมายของคำว่า "พระอรหันต์" แบบมหายานและแบบเถรวาทกันก่อน ในแบบเถรวาทและพุทธศาสนาดั้งเดิมนั้น ก็นับพระอรหันต์เต็มตัว ถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา แต่สายมหายานจะไม่เป็นเช่นนั้น เขาจะดูแค่ "จิตวิญญาณ" ก็พอครับ ก็นับให้ได้แล้ว อนึ่ง อันนี้จำต้องแยกกันนะครับระหว่างเซนและมหายาน ไม่เหมือนกันอีก แบบเซนก็นับพระอรหันต์ตามแบบเถรวาทนั่นแหละ แต่เมื่อได้อรหันต์แล้วจะทำอย่างไรต่อไป? จะบำเพ็ญโพธิสัตว์ต่อไป เข้าสู่ทางมหายานอีกก็ได้ อันนี้แบบเซน แต่ถ้าเป็นเถรวาท ไม่ได้เลย เขาจะอยู่ในธรรมวินัยไม่ยุ่งกับระบบกรรมของใคร ปล่อยวาง อุเบกขา ช่วยใครไม่ได้แล้ว กรรมใครกรรมมัน เตรียมตัวเข้านิพพานไปอย่างเดียวก็พอ ส่วนมหายานนี่ แ่ค่ "จิตวิญญาณ" ทัดเทียมกับพระอรหันต์ เขาก็พอ ก็หยุดปฏิบัติเลยก็ได้ครับ เขาไม่เน้นให้ทำเกินไป สังขารจะทรงยาก ก็จะส่งผลต่อการทำกิจโปรดสัตว์ เช่น ทำให้ปลงมากไป อุเบกขามากไป เขาเลยบอกว่าพอแล้ว ไม่ต้องปฏิบัติมากแล้ว ถ้าจิตวิญญาณได้ก็ให้ิอรหันต์ได้เลย รอละสังขารก็จะไปจุติสุขาวดีเป็นพระอรหันต์ได้ละ อันนี้ แตกต่างกันชัดเจนนะครับ (ยังมีลัทธินิกายอื่นๆ อีก เช่น ตันตระ, วัชรยาน จะนับความเป็นพระอรหันต์เหมือนเซน คือ นับแบบเถรวาทแต่ถ้าจะบำเพ็ญโพธิญาณ ก็เข้าสู่แนวทางมหายานได้อีกครับ) ทีนี้ก็มีคำถามครับ บางคนสงสัยว่า อ้าวแล้วมีหรือที่คนเราจิตวิญญาณที่เป็นพระอรหันต์แต่ร่างกายกลับไม่ใช่พระอรหันต์? ตอบได้ว่า แท้จริงถ้าใช้หลักของเถรวาท แบบนี้ไม่มีครับ จะได้อรหันต์ก็ต้องเต็มตัว ทั้งตัว แต่ในทางมหายานจะมีได้ครับ แค่จิตวิญญาณถึงระดับอรหันต์ก็พอแล้วก็หยุดได้แล้ว (ซึ่งก็ไม่ผิดอะไรนะครับ เขามีเหตุผลเพื่อการทรงขันธ์ทำกิจโปรดสัตว์แต่ขอให้เข้าใจว่าใช้่ความหมายต่างกัน ก็เท่านั้น) นั่นคือ  จิตวิญญาณของคนบางคนจะบริสุทธิ์เทียบเท่าพระอรหันต์ก่อน เพราะได้รับการโปรดแบบจิตสู่จิต เป็นต้น แต่สังขารร่างกายยังไม่ได้รับการโปรด พวกเขาเหมือนบัวบานแล้ว มีปัญญาแจ้งได้เอง แต่มีสักกายทิฐิอยู่ รอเพียงแต่ใครสักคนมาโปรด ทำลายสักกายทิฐิให้ ก็เท่านั้นเอง


อย่างที่สอง มาเข้าใจเรื่อง "ภาคมืด" กันบ้าง เพื่อขจัดความสับสนในพระพุทธศาสนาที่มีมานานแล้ว ในที่สุดถึงกึ่งกลางพุทธกาล ภาคมืดก็เลยใช้วิธี "แลกวิญญาณของพระอรหันต์แบบมหายาน" ไปสู่ภาคมืดเสียเลย กล่าวคือ ถ้าไม่ทำเช่นนี้ พระอรหันต์สองแบบอยู่ปนกัน คนจะไม่รู้ว่าท่านไหนโปรดสัตว์ถึงนิพพานได้จริงในชาติภพนี้ แต่ท่านไหน ไปนิพพานที่สุขาวดี? (มหายาน) ดังนั้น จึงต้่องทำให้แตกต่างกันไงครับ โดยเอาพระอรหันต์แบบมหายานเข้าภาคมืดหมดเลย ไม่ได้ไปสู่สุขาวดีกันแล้ว ถ้าอยากจะหลุดพ้นจากภาคมืดก็ต้องปฏิบัติให้ได้จริง แบบเถรวาท ไม่ใช่ได้แต่จิตวิญญาณ แต่ร่างกายยังมีสักกายทิฐิอยู่ นี่เขาจะไ่ม่ให้มีเหลือแล้ว เขามีวิธีหลอกล่อเข้าภาคมืดสารพัดครับเช่น ให้คนมารุมล้อมยกย่องเป็นพระอรหันต์ เขาเงินทองมาให้มากมาย ได้ลาภสักการะ ฯลฯ ลดทอนบุญบารมีไปเรื่อยๆ ดึงไปทางหลง ทางมืดเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ถลำลึก ถอนตัวไม่ขึ้น ส่วนที่ทำบุญ สร้างความดีก็ต้องไปรอรับชาติหน้า (เช่น เอาเงินไปสร้างวัด) ส่วนที่รับบุญเก่ามาก็หมดไป เมื่อบุญหมดแล้วกรรมก็เข้าถึงตัว ทีนี้ ก็ได้นอนป่วยยาวเลยก็ไม่ตายเสียที แบบว่ากรรมเข้าตัวเยอะ ส่วนกรรมดี (เช่น ลาภสักการะ) ก็รับไปแล้ว ส่วนกรรมไม่ดี ก็ทยอยมาทีหลังตอนแก่ ใกล้จะตายนี่หละ จนกว่าจิตจะหม่นหมองเพราะทุกข์ทรมานจากการป่วยยาวนาน ก็จะตายแล้วไปสู่ภพมืดได้ในที่สุด แต่ถ้าไหวตัวทัน ก็ขอให้ใครสักคนมาช่วยทำลายสักกายทิฐิให้ บรรลุแค่ "โสดาบัน" ก็หลุดพ้นภาคมืดได้


เรื่องนี้กำลังเกิดขึ้นจริงครับและเกิดมากด้วย ไม่เชื่อลองไปดูึครับ พระที่ดังๆ ทั้งหลาย เมื่อก่อนดังๆ ก็รับลาภสักการะเยอะ ไปสร้างบารมี ไปสร้างวัดวาได้ตามที่ใจต้องการ แต่พอท่านชราแล้ว ท่านต้องรับกรรม ต้องป่วยหนักยาวนาน มากแค่ไหน? (แต่ไม่ตายครับ ตายไม่ได้ เขาไม่ให้ตาย จะทรมานเรื่ือยๆ จนจิตอ่อนกำลังและกลายเป็นภาคมืดไป)  ไม่ไ่ด้ว่าอะไรท่านนะครับ เพียงแต่บอกคนอื่นๆ ว่า ถ้าจะเดินตามรอยก็ขอให้ลองคิดดูให้ดีๆ ก่อน เพราะมันอาจเป็นหลุมพรางที่สร้างไว้ดักให้คนที่อยากเป็นพระอรหันต์ ไปไม่ถึงดวงดาว ไม่ถึงสุขาวดี แต่ต้องตกสู่ภพมืดก็ได้ ซึ่งถ้าท่านเหล่านั้นหมดสักกายทิฐิแล้วก็จะไม่หลงตัวเอง จะไม่เพลินไปกับการรับเงินทอง และถ่อมตัวว่าเราเป็นแต่ผู้น้อย ไม่อาจมีบุญบารมีอะไรไปรับเงินทอง อันเกินกว่าศีลที่พระพุทธองค์ให้ไว้ได้ ก็จะไม่รับดีกว่า ก็รอดตัวไปครับ นั่นมีได้ในพระโสดาบันขึ้นไป แต่ท่านที่เป็นอรหันต์มหายานก็จะไม่ใช่แบบนี้ จะไม่มีถ่อมตัวอะไรในลักษณะนี้ครับ เอาละ เม้าท์มามาก เดี๋ยวเด็กๆ จะเครียดกันมากไป ก็ขอพักดีกว่า วันนี้ วันหยุดแล้ว จะได้พักผ่อนนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ




3 ความคิดเห็น:

  1. อ๋อ จะมาไกด์ไลน์งานใหม่นี่เอง ขายของโปรดพระก็คงจะได้แหละอ่าเนาะ 555

    ตอบลบ
  2. ที่แดนสุขาวดี หรือสวรรค์ ปิดรับพระพวกนี้ ก็เพราะว่า "พระพวกนี้ ไม่อยู่ในกลุ่มบริวารของพระยูไล ณ สวรรค์เบื้องบน แต่เป็นบริวารของพระพุทธเจ้า และเป็นธรรมดาที่บริวารของพระพุทธเจ้าเมื่อท่านนิพพาน บริวารก็ย่อมจะนิพพานไปด้วย"

    เป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาในพระพุทธเ้จ้าและบริวารทุกๆพระองค์ มันมักเป็นเ่ช่นนี้เสมอ ใช่ป่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ใช่ละ แต่บริวารเหล่านั้นจะไปเรียนรู้ทุกข์ในภพมืดก่อน จึงเห็นทุกข์ เห็นอนิจจังจริง เรียกว่าพาไปดูโลกศพก่อน ค่อยหลั่งน้ำตา สำนึกได้ สุดท้าย จึงยอมจำนนละความถือตัว พระพุทธเจ้าจึงโปรดภายหลัง แต่ไม่ใช่วิธีแบบมนุษย์อีกแล้ว เพราะไม่มีโอกาสได้เกิดอีกแล้ว จะผ่านร่างมนุษย์มากำเนิดใหม่ แล้วจึงนิพพานไปหลังอาศัยร่างมนุษย์บำเพ็ญธรรม


      ซึ่งแบบวิธีการที่แตกต่างจากครึ่งแีรกของพุทธกาล

      ลบ

เม้าท์ด้วยคน