วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2556

มนุษย์คือชุมสายเชื่อมโยง "ตัวตนหลากมิติ" ที่เราจะเลือกเป็นตัวตนใดก็ได้?

บางคนอาจสงสัยว่าทำไมพี่ชายรักชาติ ชอบเล่นมุขเห่ยๆ ที่จริงพี่ชายก็ไม่ได้อยากเล่นมุขเห่ยๆ หรอก แต่มันเป็น "ฟีลว์ลิ่ง อ่ะ" ก็เลยๆ เถิดออกมาบ้างนิดส์นึงค์ เวลามีใครถามว่า "เธอมาจากดาวไหน" ก็ตอบไปแบบภาคภูมิใจเลยนะว่า "ดาวยอ" ฮั่นแน่ รู้นะ คิด "อ๊ะ รูใหญ่" เอ้ย คิดอะไรอยู๋ .. เอาละ พอหอมปากหอมคอ เดี๋ยวจะเลยเถิดหอมกันมากเกินไป ขำๆ วันละนิดจิตบ๊องแบ๋ว มาเข้าเรื่องของเราวันนี้ดีกว่า นั่นก็คือเรื่อง "มนุษย์" ในฐานะที่เป็นชุมสายเชื่อมโยงตัวตนได้ทุกมิติ และทำให้เราสามารถที่จะเลือกได้ครับว่าเราจะไปสู่ตัวตนไหน ในชาติภพต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์เท่านั้น จะทำได้ อย่างอื่นทำไม่ได้ ดังนี้ครับ


อย่างแรก เราควรเริ่มต้นด้วยคำถามพื้นฐานที่สุดก่อนว่า "ตัวตนที่แท้ของเราคือตัวไหนกันแน่?" เป็นตัวตนที่เป็นสังขารนี้ไหม? หรือตัวตนที่เป็นจิตวิญญาณในสังขารนี้? หรือตัวตนที่อยู่ในมิติที่สูงขึ้นกันแน่? ก็เยอะแยะมากเลย เมื่อก่อนพี่ชายเคยคิดว่าตัวตนที่แท้จริงของเราก็น่าจะเป็น "จิตวิญญาณในร่างเรา" นี่สิ เพราะถ้าเราตายสังขารก็เน่าเปื่อยไปเหลือแต่จิตจุติไปยังชาติภพใหม่แต่ภายหลังพี่ชายได้รู้มาว่าแม้แต่จิตของเราก็ยึดเป็น "ตัวตนของตน" ไม่ได้ กล่าวคือ บางครั้ง จิตของเราก็จรจุติออกจากร่างสังขารนี้ไปได้ ก่อนที่สังขารจะตายลงครับ ทั้งยังมีจิตวิญญาณดวงอื่นๆ ในมิติอื่นๆ ประสานเข้ามาในร่างสังขารของเราได้อีก กลายเป็น "เราคนใหม่" ไปซะอย่างนั้น ซึ่งผมคิดว่าคนเราทุกคนก็เป็นครับ ลองไปนึกย้อนดูตัวเองนะครับว่าเราในอดีตที่เป็นเด็ก, เป็นวัยรุ่น, เป็นผู้ใหญ่ ฯลฯ นั้น เหมือนกันหรือไม่? ผมคิดว่ามันมีอะไรที่ต่างกันอยู่นะครับ เหมือนเป็นตัวตนคนละตัวตนเลย อย่างผมก็มีตัวตนในวัยรุ่นตอนต้นที่ใสซื่อมากๆ เหมือนกัน และตัวตนในวัยรุ่นตอนปลายที่มืดมัวเหมือนกันกับวัยรุ่นยุคนี้ที่เจอกับอะไรต่อมิอะไรยั่วยุมากมายนั่นแหละผมมองย้อนกลับไปดูแล้ว มันช่างแตกต่างกันราวกับเป็นคนละคน กันเลยทีเดียว แถมตอนนี้ ผมก็เหมือนเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่เหมือนสองคนนั้นเลยแหละ อ้าว เป็นอย่างนั้นไปเสียได้? เคยได้อ่านไตรปิฎกบางส่วน พระพุทธเจ้ากล่าวประมาณว่าระหว่างกายกับจิต ท่านว่าเอากายไว้ก่อนยังดีกว่าจิตเลย แปลกไหม แต่ถ้าคุณเข้าใจสภาวะที่จิตวิญญาณจรจุติออกจากร่างเราได้ก่อนสังขารตายลง คุณก็จะเข้าใจความหมายนี้ได้ไม่ยากครับ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าคุณเคยประสบเหตุการณ์ที่ "กายและจิต" ขัดแย้งกันเอง เหมือนอย่างพระราชาองค์หนึ่งในไตรปิฎกที่ตื่นมาพบ "จิตวิญญาณดวงหนึ่งของตนเอง" ซึ่งอยู่ในฐานะภูติ ต่อว่าตนเอง ท่านก็จะยิ่งเข้าใจความหมายนี้มากยิ่งขึ้น


อย่างที่สอง ในเมื่อเราไม่อาจยึดมั่นถือมันตัวตนตัวหนึ่งตัวใดในมิติใดเลยว่าเป็น "ตัวตนของตน" หรือ "อัตตาอันแท้ของเรา" ได้ ดังนั้น เราจึงต้องใช้ "ปัญญา เพื่อเท่าทัน มายาหลอกหลอนของตัวตนทุกๆ มิติ" นั้นครับ ไม่ใช่ว่ามันไม่มีอยู่จริงนะครับ นั่นก็ปฏิเสธตัวตนอย่างสุดโต่งเกินไป มันมีอยู่แหละ แต่ไม่เที่ยง และไม่อาจยึดมั่นเป็นอัตตาหรือตัวตนของตนได้อย่างแท้จริง ก็เท่านั้น ดังนั้น เมื่อเราเข้าใจตรงนี้ เราก็จะใช้ปัญญาเพื่ออยู่กับตัวตนทั้งหลาย ในทุกๆ มิติได้อย่างชาญฉลาด ก็จะเลือกใช้ตัวตนทุกๆ ตัวตนในทุกๆ มิติได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น เราอาจไม่ได้ยึดจิตดวงใดดวงหนึ่งในร่างกายเราแต่เราใช้เขาแค่ชั่วขณะที่เราและเขาร่วมบารมีกันได้ เมื่อเขาถึงวาระจรจากเราแล้วเราก็ไม่ท้อถอย ใช้สังขารที่มีอยู่เดิมบำเพ็ญบารมีต่อไป เราก็จะได้จิตดวงที่กล้าแข็งหรือมีบาีีรมีมากยิ่งๆ ขึ้นไป แต่ในทางตรงข้าม ถ้าเรามัวแต่เสวยผลบุญ หลงเหลิงมากเกินไป ขณะที่สังขารของเราเสวยผลบุญนี้ ก็จะมีจิตแต่ละดวงมาเสวยร่วมด้วย ชั่วขณะหนึ่งแล้วจรจากไป ไม่อาจยึดมั่นดวงจิตนั้นได้ จากนั้น สังขารที่เสวยผลบุญมากเกินไป แต่ไม่ได้สร้างบุญบารมีเสริมต่อให้มากไว้ สุดท้าย เราอาจเหลือดวงจิตที่กำลังอ่อน, บารมีน้อย, ผลบุญต่ำ ก็ได้ครับ นี่คือ ความไม่เที่ยงอย่างแท้จริง  


อย่างที่สาม สุดท้ายแล้วจึงขึ้นอยู่กับว่าเราทำอะไรในแต่ละวัน จนเราได้จากโลกนี้ไป ถ้าวันหนึ่งๆ เราหมดเวลาไปกับการรักษาโรคให้คน ก็อาจได้ตัวตนที่เป็นหมออะไรแบบนั้น แต่ถ้าเราหมดเวลาไปกับการให้ธรรมะรักษาโรคหลงของคนละ เราอาจได้มากกว่าหมอธรรมดาใช่มั้ย ละครับ ลองนึกภาพง่ายๆ อย่างนี้ครับ ในอดีตชาติเราผ่านมาเป็นล้านชาติ เราทำอะไรมามากมาย เรามีหลายตัวตน หลายบทบาท และ ณ เวลาปัจจุบันนี้ เราสามารถที่จะเลือกทางเดินให้ตัวเองในแบบเดิมตามตัวตนเก่า ตัวตนใดตัวตนหนึ่ง ก็ได้ หรือจะเลือกตัวตนใหม่ ที่ไม่เคยมีมาก่อน แล้วทำให้มันดีขึ้น ก็ได้ หรือบางทีเราอาจทำได้แย่ลงกว่าตัวตนในอดีตของเราก็ได้ ฯลฯ ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา ณ ปัจจุบันนี่ เอง ซึ่งเป็นปัจจุบันที่ไม่ได้เป็นเอกเทศน์หรือแยกขาดจาก อดีต และอนาคตเลย มันเชื่อมโยงถึงกันทั้งหมด เราไม่อาจจะยึดเอาแต่ปัจจุบันได้นะครับ บางครั้ง อนาคตเราอาจแย่ลง มีความเสี่ยงมากขึ้น เราก็หนีมันไม่ได้หรอก จะยึดเอาแต่ภาพมายาที่ดีงามที่เรามี-เป็นอยู่ ปัจจุบันก็ไม่ได้ครับ ดังนั้น คำว่า "ปัจุบันของผม" จึงไม่ใช่แค่ปัจจุบัน แต่เป็นทั้งอดีตและอนาคตในตัวด้วย แต่มันก็ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง มันจะอยู่เหนือกว่ากาลทั้งสามทั้งหมดครับ เช่น เราอาจทำณ เวลา ปัจจุบัน แต่นี่มันอาจเป็นเรื่องของอดีตควบคุมให้มันเ็ป็นเช่นนี้ อดีตมีอิทธิพลมาก กว่าที่เราจะเปลี่ยนตามใจเราในปัจจุบันทันด่วนตามใจเราได้ หรือเราทำ ณ ปัจจุบันก็จริง แต่แท้แล้วเราทำเพื่ออนาคตมากกว่า มันไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันนี้จริงๆ มันจึงเป็นเรื่อง "ทำเพื่ออนาคต" มากกว่า เห็นมั้ย ว่า ณ ปัจจุบันที่ผมกล่าวถึงนี้ มันไม่ได้หมายถึงแต่ปัจจุบันเท่านั้นจริงๆ 


เอาละ เม้าท์มามาก เริ่มจะมึนๆ กันใหญ่แล้ว สรุปง่ายๆ ก่อนครับว่าตัวตนของเราทั้งหลายในทุกมิตินั้น เราเลือกได้ ณ เวลาที่เราเ็ป็นมนุษย์ว่าเราจะดำเนินต่อไปข้างหน้าอย่างไร เหมือนตัวตนในอดีตไหม หรือว่าเหมือนตัวตนในอนาคต? หรือว่าสร้างอนาคตใหม่ ตัวตนใหม่ ที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย อะไรแบบนั้น ซึ่งเราทำได้ ณ เวลาปัจจุบัน โดยไม่มีการแยกขาดจากอดีตและอนาคตไปได้เลย ดังนั้น เราจึงควรอยู่เหนือกาลเวลาไงครับ ไม่เช่นนั้นเราก็จะตกอยู่ใต้อิทธิพลของตัวตนของเราในมิติแห่งอดีต, ปัจจุบัน หรืออนาคตได้ครับ เอาละ ยิ่งเม้าท์ก็ยิ่งมึนพี่ชายเม้าท์เองยังงงเองเลย ถ้าใครอ่านแล้วเข้าใจก็โทรจิตมาบอกกันได้นะ พี่ชายไม่มีเงินเติมค่าโทร ฮ่าๆๆ เอาละ เม้าท์มากเปลืองค่าเน็ตอีกต่างหาก ไปดีกว่า จบบทความเพียงเท่านี้ ฝันดี ราตรีสวัสดิ์ครับ



5 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ27 มกราคม 2556 เวลา 20:34

    บทเกริ่นของพี่ชายรักชาติ เล่นเอาข้าพเจ้าหัวร่อจนหยุดไม่ได้ขำตรง ดาวยอ 555555

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. แล้วดาวยอ "มันหมายถึงอะไรเหรอ"

      ลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ27 มกราคม 2556 เวลา 22:08

    ก็ลองผวนคำดูสิ นี่ข้าพเจ้าไม่ได้คิดไปเองนะคำมันพาไป

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ28 มกราคม 2556 เวลา 01:20

    โคตรรักพี่ชายเลยอ่ะ เข้ามาอ่านทุกวันเลย
    แต่เวลาจะเอาไปโพสต์ให้คนอื่นอ่าน ต้องตัดย่อหน้าแรกออกทุกที 555

    ตอบลบ

เม้าท์ด้วยคน