วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สิทธิพิเศษในการก่อกรรมทำชั่วของ "เ้จ้ากรรมนายเวร" ที่เหนือเรา?

อ่า วันนี้พี่ชายเห็นข่าวเด็กถูกลูกหลงช่างกลไร้ความรับผิดชอบต่อสังคม ทำเอาเกือบตาย จนต้องพิการนิ้วขาด ๖ นิ้ว พี่ชายเองก็เคยโดนเด็กช่างกลจี้ครับ เขาอ้างว่าเป็นพี่ใหญ่ของสถานบันฯ แล้วมาล็อกคอผม เอาปืนปากกาจี้ แล้วเอาเงินไปครับ (โจรหรือนักศึกษา?) พี่ชายโดนมากะตัวละ อย่างนี้จริงๆ แต่เขาก็คงมีเหตุผลของเขาอ่ะนะ ว่าทำเพื่อสถาบัน เป็นพี่สถาบัน แต่ผมก็บอกแล้วว่าผมไม่ได้เรียนที่เดียวกับคุณนะ ผมเอาหัวเข็มขัดให้ดู เขาก็เห็น แต่ก็ยังทำครับ เลยกลายเป็น "ข้อสงสัยของพี่ชาย" และแล้ว สัญญาณตอบรับจากต่างมิติก็ต่อตรงมาบอกเรื่องราวเฉลยให้เราฟังว่าเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนี้ กลายเป็นบทความพิเศษในวันนี้คือเรื่อง "สิทธิพิเศษของเจ้ากรรมนายเวร" ในการทำสิ่งผิด หรือทำชั่วได้ครับ อ่ะ เป็นยังไง? (ขอโทษที่้ต้องใช้คำว่าทำผิด ทำชั่วนะครับ เพราะมันเป็นภาษาที่ชาวบ้านเข้าใจ แต่ระดับลึกซึ้งแล้ว ไม่ได้มีใครทำผิด หรือถูก ดีหรือชั่วนะครับ) เรื่องเป็นอย่างไร? แล้วทำไมจึงทำได้อย่างนั้น เชิญอ่านรายละเอียดดังนี้


อย่างแรก พี่ชายอยากบอกก่อนว่าโลกของเราช่วงกึ่งกลางพุทธกาลนี้ จะมีช่วงเวลาช่วงหนึ่งที่เขาเรียกว่า "ช่วงแห่งการพิพากษา" หรือถ้าจะใช้ภาษาพุทธ ก็คือ "ช่วงเวลาแห่งการชำระวิบากกรรม" ซึ่งมันได้รับการเตรียมมาอย่างเป็นพิเศษยาวนานแล้ว กล่าวคือ ปกติ การชำระวิบากกรรมนั้น จะมีในแต่ละคน ในช่วงเวลาที่ต่างกันออกไป แต่ยุคนี้ ในช่วงเวลานี้เท่านั้นที่พิเศษมาก เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เบื้องบนได้กำหนดไว้ว่าเป็น "ช่วงเวลาแห่งการพิพากษา" โดยตรง หมายความว่า เขาจะเปิดให้เจ้ากรรมนายเวรสามารถเล่นงานจำเลยที่เคยทำร้ายตนเองในอดีตได้ เป็นการเปิดเสรีครับ ให้เต็มที่เลย ใครอยากเอาคืนใคร เอาเลย แค่ช่วงเวลาช่วงหนึ่งเท่านั้น ไม่มากไปกว่านี้ เมื่อหมดช่วงเวลานี้่ เขาจะไม่เปิดเสรีแล้วครับ หมายความว่าอย่างไร เอาง่ายๆ เคยเห็นไหมที่บ้านเมืองเหมือนไม่มีขื่อมีแปร ใครจะทำความผิดอะไรก็ทำได้โดยง่าย แล้วไม่ค่อยถูกจับ ช่างกลตีกัน หรือยิงลูกหลงไปโดนใคร ตำรวจก็จับตัวไม่ได้ กลายเป็นอภิสิทธิชน ใช้พวกมากลากไป ในวงการเมืองก็มีคนที่ทำผิดแล้วไม่้ได้รับโทษ คนเสื้อแดงแห่กันไปเต็มบ้านเต็มเมือง พอผิดร่วมกันมากๆ ก็กลายเป็นลงโทษไม่ได้ไปในที่สุด  ซึ่งเมื่อก่อนไม่เป็นเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าใครอยากจะทำผิด ทำเลว ทำอะไรก็ทำได้ ใช่ไหม? น่านละ ที่พี่ชายจะบอกว่า "มันเป็นช่วงเวลาแห่งการพิพากษา" นั่นเอง ใครอยากเอาคืนใครที่เคยทำกรรมไว้กับตน เขาก็เปิดให้ทำช่วงนี้แหละเต็มที่เลย ถ้าหมดช่วงเวลานี้ไปแล้ว เทพเขาก็จะมาคุ้มครอง ทำให้เจ้ากรรมนายเวรเล่นงานคู่แค้นของตน ไม่ได้ นี่เราจึงเห็นโลกปั่นป่วน และบ้านเมืองคล้ายๆ จะเข้ากลียุคอะไรแบบนี้ ทีนี้ พอเข้าใจแล้วนะ ถ้าพี่ชายบอกว่า "ช่วงเวลาแห่งการพิพากษา" มันคืออย่างนี้ ไม่ใช่ว่าเราจะต้องขึ้นศาลหรอก แต่มันเปิดเสรีให้คนที่มีเวรกรรมต่อกัน จัดการกันเองเลย นั่นแหละ พิพากษากันเองเลย ง่ายดี เพราะมันเยอะจัด ใครจะไปเปิดศาลไหว ต่อให้ ๑๐ ท่านเปาฯ ก็ตรวจคดีได้ไม่หมดหรอกครับ จะเคลียร์กรรมให้ปวงสัตว์จำนวนมากๆ ให้ได้ในเวลาจำกัด ก็เลยต้องใช้วิธีเปิดเสรีทางการชำระกรรม โฮ่ๆๆ คล้ายๆ กับการเปิดเสรีการค้าและเปิดเสรีทางเพศหรือเปล่า? คงไม่ใช่อ่ะนะ


อย่างที่สอง พี่ชายจะพูดถึงเรื่อง "อภิสิทธิชน" และ "สิทธิพิเศษ" ของเจ้ากรรมนายเวร ที่ลงมาทำกิจในการณ์นี้โดยเฉพาะอย่างที่เราเห็นละครับ พวกเขาดูเหมือนเหิมเกริมและได้ใจ เพราะเบื้องบนเปิดให้เขานะ เต็มที่เลย แต่เราก็ต้องเข้าใจด้วยว่า อดีตชาติ เหล่าเจ้ากรรมนายเวรเขาก็โดนเล่นงานมามาก ไม่ใช่น้อยๆ เขาเลยตามมาทำหน้าที่ เอาคืน อย่างนี้ พอหมดช่วงเวลานี้ไป หมดยุคนี้ไป มันก็จะกลายเป็นยุคของคนอื่นๆ ออกมาสร้างสรรค์สิ่งดีงามครับ เรียกว่า "ชาวศรีวิลัย" ก็ได้อ่ะ ใครที่หลบๆ เก็บตัวไว้ก่อน หมั่นพากเพียรบำเพ็ญเต็มที่รอเวลาเหมาะควรแล้ว ก็จะออกมาทำหน้าที่ในช่วงต่อไป ซึ่งจะไม่ต้องทำหน้าที่ในด้านการชำระวิบากกรรมแล้วครับ หมายความอย่างไร? หมายความว่าจะมี "ปวงสัตว์หลายชุด" ชุดที่ทำหน้าที่ "พิพากษา" จะเคลียร์กรรมกัน จนหมดไป ก็จะหมดยุคของพวกเขา พวกเขาจะหมดอำนาจแล้วจากไปในแบบต่างๆ เองครับ ต่อมา ก็จะเข้าสู่ยุค "ชาวศรีวิลัย" ซึ่งก็จะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เก็บตัว เพียรบำเพ็ญมานานแล้ว ออกมาสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามครับ เรียกว่า "ยุคชาวศรีวิลัย" เหมือนรุ่งอรุณยามเช้า ที่ปรากฏขึ้นหลังคืนอันมืดมิด อย่างไรอย่างนั้นเลยละ ดังนั้น เมื่อเราเห็นคนในยุค "พิพากษา" เขาทำอะไรกัน ผิดบ้าง ชั่วบ้าง ไม่ดีบ้าง ก็ไม่ต้องไปสนใจ ปล่อยเขาไปครับ เขาทำหน้าที่ตามยุคสมัยของเขา เคลียร์กันไปให้จบ เราก็ไม่ต้องไปยุ่ง พวกเขาเคลียร์กันหมดแล้ว เราก็ค่อยออกมาทำหน้าที่ของเราต่อไป ส่วนคนยุคก่อนเรา อาจจะตายไปเยอะครับ ค่อยๆ ตายไปบ้าง เหมือนผู้ก่อการร้ายน่ะแหละ ที่ค่อยๆ ทำหน้าที่เล่นงานคน ตามใจพวกเขา ได้สมใจแล้ว แก้แค้นแล้ว ชำระวิบากกรรมหมดแล้ว เขาก็อาจตายไปครับ หมดยุคไป เหมือนเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้คนสุดท้ายอ่ะ มันมีอยู่ยุคหนึ่ง เหมือนยุึคทมิฬ มันจะเป็นไปอย่างนั้น สักช่วงหนึ่งครับ ช่วงที่ "เทพจันทรา" ผู้ปกครองโลกยุคมืดทำหน้าที่อยู่ (สตรีเพศเป็นผู้นำ) แล้วมันก็จะผ่านไป ฟ้าสว่างไสว พระอาทิตย์จะกลับมาส่องสว่างครับ แล้ววันนั้น ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง


เอาละ พี่ชายพูดเรื่องนี้ เพื่อให้พวกเราเข้าใจว่าทำไม เราจึงเห็นคนทำสิ่งไม่ดีบ้าง ความชั่วบ้าง ทำผิดบ้าง เยอะแยะ เกลื่อนบ้านเมืองแต่ไม่เห็นจะถูกลงโทษเลย อะไรแบบนั้น แถมมันช่างยั่วยุให้เราอยากทำตามบ้างจัง อะไรอย่างนั้น ก็ให้รู้ไว้ครับว่าเป็นยุคของเขา ช่วงเวลาแห่งการพิพากษาเท่านั้นเอง หมดช่วงเวลานี้เมื่อไร ทุกอย่างก็จะไม่เหมือนเดิมครับ ดังนั้น แม้น้องเนยรักษ์โลก จะไม่ทน แต่พี่ชายรักชาติ จะอดทนต่อไปครับ แหะๆๆ มันไม่ใช่ฟีลลิ่งของพี่ชายรักชาติอ่ะ เลยมามุกนี้ เอาละ เม้าท์มายาวพอสมควรแล้ว เด็กๆ จะง่วงนอน คุณผู้ชายก็จะถูกคุณภรรยาเกาหลังแกร๊กๆ "นอนๆๆๆ" พี่ชายมาแย่งเวลา "Have Py เอ้ย Happy" ของครอบครัว มากไปไม่ดี ราตรีสวัสดิ์ครับ




1 ความคิดเห็น:

  1. ต้องเรียกว่า "เหล่าเทพจันทรา" เพราะมัน "มีเยอะจริงๆ"

    ทั้งจันทร์เสี้ยว จันทร์ครึ่งดวง จันทร์เกือบเต็มดวง และ จันทร์เต็มดวง 555

    (ตอนนี้เค้ากลายเป็น อุกกาบาตไปแย๊วววว 55555)

    ตอบลบ

เม้าท์ด้วยคน