วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เคล็ดลับ ๔ ประการ ที่จะทำให้คุณครอบครองพลังพิเศษจากชุดเกราะอัศวินแห่งแสงสว่าง!

มีเรื่องประหลาดมาเม้าท์ให้ฟังครับ เมื่อวานแมวพี่ชายหายไปตัวหนึ่ง แล้วอีกตัวมันก็ไปหาเพื่อนมันในตู้เก่าๆ จนพี่ชายสงสัยเลยตามไปหาบ้าง มันก็ตามพี่ชายไปหาเพื่อนมันครับ แล้วก็พบว่ามันถูกกักตัวอยู่ที่บ้านของเพื่อนบ้าน (คงอยากเลี้ยงมัน แต่ไม่รู้ว่าแมวมีเจ้าของมังอ่ะ) สุดท้าย เขาก็ยอมคืนแมวมาครับ ต่อมาวันนี้ เงินพี่ชายหายไปอีก มันอยู่บนบ้านซึ่งมีคนขึ้นบ้านพี่ชายแค่สามคนในวันนี้ ก็พอเดาไม่ยากอ่ะ เลยสรุปได้ว่าพี่ชายมีวาระต้องถูกขโมยอะไรบางอย่าง ดีแล้ว เงินแค่ห้าร้อยบาทครับ หายไปเท่านั้น ดีกว่าแมวหาย ฮ่าๆๆ ทำให้พี่ชายถูกจูนด้วยพลังสามแบบ คือ ๑. พระนารายณ์องค์ปราบราหู ๒. พระสุริยเทพองค์โปรดราหู ๓. พระศิวะองค์ใช้ราหูทำลายล้าง พี่ชายเฉยๆ กับพลังสามแบบนั้น รู้สึกเฉยๆ ที่เงินหายครับ ไม่โกรธ ไม่อะไรทั้งนั้นอ่ะ เข้าใจแบบใสๆ สว่างๆ เลย ตกเย็นเลยทำ "แกงมัสมั่นไก่" ครั้งแรกในชีวิต โอ้ว้าว อร่อยว่ะ ฮ่าๆๆ ผีแขกสิงกรูแล้วมึงเอ้ย (ขำๆ นะครับ) มะมาเข้าเรื่องของเราดีกว่า วันนี้ เรื่องของพลังงานชั้นนอกที่ครอบคลุมตัวเราหลังจากเราใสมากๆ แล้ว ซึ่งพี่ชายขอเรียกว่า "พลังชุดเกราะอัศวินแห่งแสงสว่าง" มันมาได้อย่างไร? เอาละ ลองอ่านดูละกันนะ 


อย่างแรก พี่ชายอยากจะปูพื้นฐานก่อนว่าคนเราทุกคน มีจิตที่บริสุทธิ์ และธรรมอันบริสุทธิ์ประกอบกันขึ้นมาเป็นตัวตน เมื่อมันประกอบด้วยธรรมหลายๆ อย่าง มันเลยกลายเป็นไม่บริสุทธิ์ไป เ่ช่น เมื่อเรามีจิตที่บริสุทธิ์ และมีิกิเลสจรด้วย ผสมกัน ออกมาเลยดูเหมือนว่าไม่บริสุทธิ์ แท้แล้ว มันเป็นเรื่องของความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์น่ะหรือ? มันอาจจะใช่ถ้าเราตัดสินมันด้วยการมองแบบผิวเผินเช่นนี้ คือ พอมันไม่ผสมกับอะไร เราก็ว่ามันบริสุทธิ์ แต่พอมันผสมกับอะไรๆ มันก็กลายเป็นไม่บริสุทธิ์ อันนี้เป็นเพียงเรื่องความเข้าใจตื้นๆ ทางโลกเท่านั้นเองครับ ซึ่งก็ใช้ได้ระดับหนึ่ง ระดับปุถุชนครับ เอาเป็นว่าผมจะพูดจากระดับนี้แล้วค่อยๆ ไต่ไประดับที่สูงขึ้น ละเอียดขึ้นก็แล้วกัน ทีนี้ พอแยกส่วนดูแล้ว แต่ละส่วนล้วนบริสุทธิ์ในตัวมันเอง แต่พอรวมกัน ก็กลายเป็นมันไม่บริสุทธิ์ไป นี่คือ มุมมองจากตื้นๆ ก่อนนะครับ ทำให้เราได้คนสองแบบ คือ ๑. คนที่มีส่วนผสมออกมาแล้วบริสุทธิ์ ใสๆ ซึ่งเราจะนับเอาจากการที่กิเลสของเขา ดับลง หมดลง ชั่วระยะหนึ่งนั้น ๒. คนที่มีส่วนผสมออกมาแล้วไม่บริสุทธิ์ ไม่ใส ซึ่งเราจะนับเอาจากที่เขายังมีกิเลสอยู่นะครับ โอเค? เอาอย่างนี้ก่อนเป็นพื้นๆ นะครับ ทีนี้ ผมจะเล่าถึงคนที่ใสมากๆ บริสุทธิ์มากๆ ซึ่งมีได้ เกิดได้ครับ ผมจะไม่เรียกว่าเขาบรรลุธรรมอะไรหรือไม่นะครับ เอาเป็นว่าใสพอที่จะบรรลุธรรมพร้อมรับธรรมเต็มที่ก็แล้วกัน ช่วงเวลานี้เอง ผมอยากเรียกว่า "ช่วงแห่งการรับเกราะอัศวิน" ก็แล้วกัน ถ้าสมมุติ คุณใสมากแล้วได้รับธรรมจากพระพุทธเจ้า คุณก็จะมีโอกาสบรรลุธรรม ผมเรียกว่า "ใสห่มเหลือง" แล้วกันครับ ถ้าคุณไม่ได้รับธรรมตรงจากพระพุทธเจ้าละ? คุณอาจรับอย่างอื่นแทน ก็เพราะว่าภาวะใสแบบนี้ ไม่จีรัง เป็นอนิจจัง ไม่อาจยึดนั่นเองครับ เช่น คุณอาจได้รับธรรมจากสายอื่นๆ แทน สายพรหมฤษีไหม? สายเซียนไหม? ได้ทั้งนั้นแหละครับ ซึ่งมันไม่เหมือนกัน ผมขอเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าการรับ "ชุดเกราะอัศวินแห่งแสงสว่าง" ก็แล้วกันครับ อย่าไปเรียกว่าการบรรลุธรรมอะไรเลย มันจะทำให้เราหลงตัวเอง แล้วไปทะเลาะกับชาวบ้านเขาเสียเปล่าๆ ฮ่าๆๆ นี่แหละ เรื่องที่ผมจะมาเม้า้ท์ให้ผู้ชมได้ฟังกันในวันนี้ ว่าถ้าเราใสมากๆ แล้ว เราไม่ได้ตรงสู่นิพพาน ไม่รับธรรมจากพระพุทธเจ้า เราจะรับ "ชุดเกราะ" อะไร อย่างไรได้บ้าง?


อย่างที่สอง ต่อไป ผมจะเม้าท์ว่าเมื่อเราใสบริสุทธิ์มากๆ แล้วเรายังไม่ภึงวาระนิพพาน ไม่ได้รับธรรมจากพระพุทธเจ้า ไม่ได้เป็นอริยบุคคล ก็สามารถรับธรรมสายอื่่นได้ พลังธรรมนั้นจะปกคลุมอยู่ชั้นนอกสุดของกายเราอีกที ผมจึงเรียกว่า "ชุดเกราะ" นั่นเอง (เป็นการอุปมา ไงครับ)  ทีนี้ ชุดเกราะนี้ มีพลังพิเศษครับ มีคุณสมบัติพิเศษด้วย แต่มันมีหลายอย่างจริงๆ อย่่างที่ผมจะนำมาเม้าท์ให้ผู้ชมฟังกันทั้งสิ้น ๔ แบบดังนี้

๑. แบบถูกแทรก คือ การที่เราใสบริสุทธิ์มากๆ แล้วเราไม่ทันทำอะไร ก็โดนบางสิ่งแทรกหรือครอบงำเราอีกที อันนี้ เข้าข่ายวิบากกรรม ให้เราต้องรับ มักมาเล่นงานเรา ส่งผลด้านลบ เช่น เจ้ากรรมนายเวรครับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพลังมาร เนื่องจากมีพลังอำนาจมากพอแทรกได้

๒. แบบทำเอง คือ การที่เราใสบริสุทธิ์มากๆ แล้วเราทำกิจแบบพระปัจเจกฯ ไปเลย คือ คิดเอง ทำเอง รู้เอง แล้วไม่ตรงนิพพาน เช่น พอจิตใสมากๆ แล้วคิดว่าบรรลุอรหันต์แล้วก็คิดสร้างวัด แบบนี้ จะได้รับพลังจากชุดเกราะ "สายพรหมฤษี" ที่ส่งมาจากพระผู้สร้าง เช่น พรหม

๓. แบบปัจเจกฯ คือ การที่เราใสบริสุทธิ์มากๆ แล้วเราทำกิจแบบพระปัจเจกฯ ไปเลย คือ คิดเอง ทำเอง รู้เอง แล้วตรงนิพพานเฉยเลย ซึ่งเกิดขึ้นได้ครับ แต่เราไม่ใช่พระปัจเจกฯ นะครับ เราจะได้พลังเซียน เช่น การที่ใสมากๆ แล้วเขียนธรรมทิ้งไว้ คล้ายท่านเล่าจื้อ เช่นนั้น

๔. แบบรับวิบาก การที่เราใสบริสุทธิ์มากๆ แล้วเราปล่อยวางทุกๆ กิจแบบพระอรหันต์แท้ๆ ไปเลย ไม่คิดเอง ไม่ทำเอง แล้วปล่อยให้เป็นไปตามอำนาจแห่งวิบากกรรม รอวิบากกรรมมาซัดพาไปว่าเราจะทำกิจอะไร ก็จะได้รับพลังนั้นเป็นชุดเกราะหุ้มอยู่ภายนอก เช่น พระอรหันต์

ซึ่งทั้งสี่แบบนี้ สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้นครับ มันมักมาทำให้เราหลงไปว่าเราใสแล้ว บรรลุธรรมแล้ว จากนั้นพอเราหลง เราก็เผลอรับพลังไปครอบคลุมเปลือกนอกเอาครับแบบใดแบบหนึ่งใน ๔ แบบนี้ ถ้าเป็นไปตามแบบที่ ๔ ก็ตรงทางพระพุทธศาสนาตรงนิพพานครับ ซึ่งพระพุทธองค์และพระอรหันต์ทั้งหลาย ล้วนเป็นเช่นนี้ไม่ต่างกัน บรรลุธรรมแล้ว ย่อมปล่อยวางทุกกิจจนกว่าจะมีผู้มานิมนต์เชิญให้ไปทำกิจอันควรทำครับ ทว่า หลายท่านใสมากๆ แล้ว ไปไม่ถึงดวงดาว ยังไม่บรรลุธรรมจริงๆ ยังไม่ได้ต่อสายธรรมจากพระพุทธศาสนาจริงๆ แต่โดนไอ้สามแบบแรกครอบงำไปก่อน แบบที่โดนแทรกเพราะวิบากกรรมนั้น ยังไม่มาก ยกตัวอย่างเช่น ท่านที่สอนแนวธรรมกายแต่หลายท่านบอกว่านี่คือหลงทางนั่นแหละ ท่านนี้จิตใสมากเกือบถึงแล้ว แต่ัยังไม่ทันจะได้ต่อสายธรรม "มาร" ก็เข้าแทรกก่อน ขวางไว้ ไม่ให้ได้บรรลุธรรม ส่วนท่านอื่นๆ อีกหลายท่านโดยเฉพาะ "สายพระป่า" จะหลงไปเป็นแบบที่สอง คือ "แบบทำเอง" ยังไม่ทันบรรลุธรรมจริงๆ ใสมากๆ แล้ว ยังไม่ได้ต่อสายธรรมจากพระพุทธเจ้า ถูกหลอกให้หลงว่าบรรลุธรรมแล้ว ก็เลยคิดเองทำเอง ส่วนใหญ่ก็ชอบสร้างวัดครับ (คิดเอง ไม่ได้ถูกเชิญให้ทำนะ) ลองสังเกตุดีๆ มีพลังพรหม พลังฤษีอยู่เพี้ยบเลย วันๆ เอา แต่นั่งสมาธิเพลินเชียว ส่วนผมก็ไม่รีบนิพพานเหมือนกันแต่เป็นแบบที่สามครับ ผมเลยเข้าใจว่าใครไปไม่ถึงดวงดาวบ้าง อย่างไรละครับ


เอาละ การที่เราจะได้รับ "พลังชุดเกราะอัศวิน" มันอยู่ที่เราใสบริสุทธิ์ทั้งตัวใหม? ไม่ใช่แค่มีจิตประภัสสรนะครับ อันนี้ มีอยู่แล้วทุกคนแหละ แต่ถ้าเราใสทั้งตัวได้ ก็พร้อมรับพลังชุดเกราะอัศวิน แบบใดแบบหนึ่งในสี่แบบดังกล่าวนั้น ทั้งนี้จะไ้ด้รับแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าเราทำตัวไปทางไหนดังที่ได้อธิบายไว้ข้างต้นครับ โอเคนะ? ไม่ยากใช่ไหม? ทีนี้ ก็แล้วแต่ทางใครทางมันแล้วละครับว่าจะเลือกชุดเกราะอัศวินแบบใด สำหรับวันนี้พี่ชายเม้าท์มายาวพอควรแล้ว ขอจบก่อน ราตรีสวัสดิ์ครับ




3 ความคิดเห็น:

  1. พอกันทีกับการปราบ อยากจะลองโปรดดูบ้างอ่ะ

    ตอบลบ
  2. ทำยังไงถึงจะทำให้มิติทุกมิติหลอมเป็นหนึ่งเดียวกันอ่าครับ

    ตอบลบ
  3. ทุกมิติเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้วครับ
    เพียงแต่ความสามารถในการรับรู้ของเรา
    รับรู้ได้ไม่หมดทุกมิติ เท่านั้นเอง จึงมีการพัฒนา
    การรับรู้ในมิติที่สูงขึ้น ที่เรียกว่า "การเลื่อนขั้น" นั่นเอง

    ตอบลบ

เม้าท์ด้วยคน