วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เคล็ดลับสัมผัส "ดินแดนมหัศจรรย์" ได้โดยไม่ต้อง "เปิดตาทิพย์" !

มีเรื่องเม้าวันนี้คุณแม่แสนฉลาดไปซื้อนมมาขวดเบ่อเริ่ม ถามว่าเอามาทำไม แม่บอกว่า "ต้นไม้เฉา รดแล้วจะฟื้น" ผมก็ว่า "บ้าอ่ะสิ ใครเขาทำกัน" แม่บอกว่า "เขาทำกันทั้งนั้นแหละ นี่แม่ทำตามเขาละ" ผมคิดในใจ แม่เรานี่ไม่รู้อะไรเลย ใครเขาเอาน้ำนมรดต้นไม้กัน ทำไมไม่เอาขนมปังทาเนย, ราดแยม ฯลฯ ให้มันกินด้วยอ่ะ ถึงจะครบรสนะคุณแม่! เอาละ พี่ชายออกจะมีอายุแล้วแต่ไปไหนคนชอบทักเหมือนเด็ก อาจเพราะพี่ชาย "น่าดูเอ็น" เอ้ย พูดผิด "เอ็นน่าดู" เย้ย ไม่ช่าย น่าเอ็นดูกระมัง คราวไปเที่ยวเกาะกระดานมีผู้หญิงคนหนึ่งถูกล้อ เพราะหน้า อกเธอพิเศษมากๆ สงสัยละสิว่าคงสะละบึ้มฮึ้มแน่ๆ ป่าวหรอก เธอก็ปรับตัวได้ดี เข้ากับเกาะกระดาน มีหน้าอกไซส์พิเศษแบบ "ไข่ดาว" เท่านั้นเอง อ้าว แล้วไหนบอกว่าเํธอมีหน้าอกไซส์พิเศษไง ไหงเป็นไข่ดาวไปได้ อ้อ ไม่เคยได้ยินหรือไง "พิเศษ ไข่ดาวด้วย" อ๊ะ เพื่อนเลยว่าอย่าดูถูกผู้หญิงไป "ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะยันฮี" นะจะบอกให้ เอาละ พอขำๆ นะ วกเข้าเรื่องของเราวันนี้ดีกว่า เรื่อง "อลิซ ในแดนมหัศจรรย์" แบบฉบับของพี่ชาย รักชาติ เลยละ อั๊ยย่ะ แล้วมันเหมือนหรือต่่างกับของฝรั่งเขาอย่างไร? เอ้า ก็ลองอ่านดูเลยละกัน!


อย่างแรก พี่ชายอยากปูพื้นฐานก่อนว่า คนเราทุกคนมีอวัยวะรับสัมผัสหลายอย่าง ในการรับรู้สิ่งต่างๆ อย่างบางคน ตาบอดยังใช้ชีวิตร่วมกับคนในโลกแห่งแสงสว่างได้เลย นั่นแสดงถึง ความสามารถในการรับรู้ของคนเราที่มีมากกว่า "ดวงตา" ไงครับ และอีกประการหนึ่งคือ โลกที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ด้วยตาเนื้อของเรา เป็นโลกแห่งวัตถุสสารที่เรามองเห็นได้เมื่อมีแสงสว่าง ทว่า มันมีหลากหลายมิติมากกว่าที่เราเห็นด้วยตาเนื้อ ด้วยแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ครับ เช่น โลกในมิติทิพย์ที่ซ้อนอยู่ เชื่อมโยงอยู่กับโลกของเรา ทว่า เราไม่อาจมองเห็นมันได้ด้วยตาเนื้อปกติ หลายคนพยายามเปิดตาทิพย์ บ้างอยากได้ตาทิพย์ เพื่อที่จะได้เห็นโลกทิพย์ที่แท้จริง เห็นสวรรค์นรกจริงๆ ว่าเป็นอย่างไร  ทว่า พี่ชายกำลังจะบอกว่า เราไม่มีความจำเป็นต้องเปิดตาทิพย์เพื่อให้ได้เห็นโลกในมิติทิพย์หรอก หากเราเลื่อนระัดับไปอยู่ในมิติที่สูงขึ้น จนถึงขั้นไม่มีมิติ คือ ภาวะหนึ่งเดียวกันของทั้งหมด ได้แล้ว เราก็จะรู้สึกสัมผัสได้ถึงมิิติอื่นๆ ได้ราวกับว่ามันเ็ป็นชีวิตปกติของเรานี่เอง เพราะอะำไร? เพราะว่าแท้จริงแล้ว มันไม่มีการแบ่งแยกมิติอะไรหรอก ทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว นั่นเอง แต่ที่เราเข้าใจว่ามันมีมิติต่างๆ ก็เพราะความเข้าใจของเราที่คับแคบและรับรู้ได้เท่านั้น เช่น มนุษย์ปกติจะรับรู้ได้สามมิติ เขาจึงอยู่ในระดับมิติที่สามเท่านั้น ไม่อาจเข้าถึงโลกในมิติที่สูงขึ้นกว่ามิติที่สามได้ มีมนุษย์บางคนพยายามเปิดตาทิพย์ เขาเห็นโลกทิพย์ได้ ก็จริง แต่หลายคนก็ยังไม่ผ่านการเลื่อนระดับไปสู่มิติที่สูงขึ้นได้ เช่น บ้างเห็นสวรรค์แล้วเอาภาพที่เห็นนั้นมาสร้างวัด จำลองเป็นเจดีย์ ฯลฯ เพราะพวกเขายังยึดติดอยู่กับการมีวัตถุสสารที่มองเห็นได้ สัมผัสจับต้องได้ แบบมิติที่สามอยู่ นั่นเอง ทีนี้ ถ้าเราสามารถเลื่อนระดับไปสู่มิติที่สูงขึ้นได้แล้ว เราจะรับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในระดับมิติที่สูงขึ้นได้เอง โดยไม่ต้องมีตาทิพย์ ไม่ต่างอะไรกับคนตาบอดที่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับโลกที่สว่างไสวของคนตาดีได้นั่นเอง


อย่างที่สอง พี่ชายอยากแนะนำเคล็ดลับในการสัมผัสรับรู้ถึงโลกในมิติที่สูงขึ้นซึ่งซ้อนทับและเชื่อมโยงอยู่กับโลกของเรานี่แหละ ไม่้ต้องไปหาที่ไหน เมื่อเราผ่านด่านที่ขวางกั้นการรับรู้และเข้าใจในมิติที่สูงขึ้นได้ เราจะมีชีวิตไม่ต่างจาก "อลิซในแดนมหัศจรรย์" ชีวิตของเราจะเหมือนมหัศจรรย์และเต็มไปด้วยการผจญภัยที่แสนสนุกสนาน ไม่ต่างจากอลิซเลย เพราะเวลานี้ โลกของเรากำลังปรับตัวครั้งใหญ่ มีอะไรต่อมิอะไร มาเยือนเต็มไปหมด ในมิติที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเนื้อนั้น มันยิ่งกว่านิทานผจญภัยเรื่องใดๆ จะอธิบายได้เลย ซึ่งเคล็ดลับที่สำคัญที่จะทำให้เรารับรู้ได้ึถึงมิติอัศจรรย์ที่สูงขึ้นเหล่านั้น มีดังนี้

๑. การก้าวข้ามกำแพงแห่งกาลเวลา คือ การที่เราพ้นแล้วจากภาวะเก่าๆ ที่เึคยถูกกักขังด้วยกำแพงแ่ห่งกาลเวลา เช่น การที่เรายึดสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบันมากเกินไปจนไม่เห็นความเป็นหนึ่งเดียวกันที่ปรากฏอยู่ อันเป็นสิ่งที่มาจากอดีต ก็ดี, อนาคต ก็ดี เมื่อเราก้าวข้ามกำแพงนี้ไปได้ เราก็จะเห็นอดีตและอนาคตที่ปรากฏอยู่ ณ ปัจจุบัน

๒. การก้าวข้ามกำแพงแห่งความจริง คือ การที่เราพ้นแล้วจากภาวะเก่าๆ ที่เึคยถูกกักขังด้วยกำแพงแ่ห่งความจริง เช่น การที่เรายึดสิ่งที่เราคิดว่าเป็นความจริงมากเกินไปจนไม่เห็นความเป็นจริงที่นอกเหนือจาก "ความจริงในโลกทัศน์เดิมของเรา" เมื่อเราก้าวข้ามกำแพงนี้ไปได้ เราก็จะเห็น "ความจริงที่เราไม่เคยเห็น" จาก "ความไม่จริงอื่นๆ"

๓. การก้าวข้ามกำแพงแห่งเหตุผล คือ การที่เราพ้นแล้วจากภาวะเก่าๆ ที่เึคยถูกกักขังด้วยกำแพงแ่ห่งเหตุผล เช่น การที่เรายึดสิ่งที่มีเหตุผล เป็นตรรกะน่าเชื่อถือมากเกินไป จนไม่เห็นโลกในมิติอื่นๆ ที่นอกเหนือจากมิติแห่งเหตุผล เมื่อเราก้าวข้ามกำแพงนี้ไปได้ เราก็จะเห็นโลกในมิติอื่นๆ ที่นอกเหนือจากโลกในมิติแห่งเหตุผลเดิมๆ นั้น

๔. การก้าวข้ามกำแพงแห่งความถูกผิด คือ การที่เราพ้นแล้วจากภาวะเก่าๆ ที่เึคยถูกกักขังด้วยกำแพงแ่ห่งความถูกผิด เช่น การที่เรายึดสิ่งที่เป็นความถูกและผิดในความคิด, ความเชื่อของเรา มากเกินไปจนไม่เห็นโลกในมิติอื่นๆ ที่ปรากฏอยู่ เช่น โลกแห่งความจริงในความเท็จ และโลกแห่งความเท็จในความจริง เมื่อเราก้าวข้ามกำแพงนี้ไปได้ เราก็จะเห็นโลกในมิติที่กว้างขึ้นกว่าเดิม จนเราเลิกขังตัวเองในกำแพงนี้

๕. การก้าวข้ามกำแพงแห่งความดีชั่ว คือ การที่เราพ้นแล้วจากภาวะเก่าๆ ที่เึคยถูกกักขังด้วยกำแพงแ่ห่งดีชั่ว เช่น การที่เรายึดสิ่งที่เราคิดหรือเชื่อว่าเป็นความดีหรือชั่ว มากจนเกินไป จนไม่เห็นโลกในมิติที่อยู่นอกเหนือจากกำแพงแห่งความดี-ชั่วเดิม ของเรานั้น เมื่อเราก้าวข้ามกำแพงนี้ไปได้ เราก็จะเห็นโลกที่กว้างกว่าโลกแห่งความดี-ชั่วเดิมนั้น

๖. การก้าวข้ามกำแพงแห่งความรู้ คือ การที่เราพ้นแล้วจากภาวะเก่าๆ ที่เึคยถูกกักขังด้วยกำแพงแ่ห่งความรู้ เช่น การที่เรายึดสิ่งที่เราได้รับรู้มา หรือมาจากความรู้ของเรามากเกินไป จนไม่เห็นโลกในมิติที่กว้างกว่านี้ กว่าิสิ่งที่เรารู้อยู่นี้ได้ เมื่อเราก้าวข้ามกำแพงนี้ไปได้ เราก็จะเห็นโลกในมิติอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือความรู้เก่าก่อนที่เราเคยมี เคยรับรู้มา 

๗. การก้าวข้ามกำแพงแ่ห่งความเชื่อ คือ การที่เราพ้นแล้วจากภาวะเก่าๆ ที่เึคยถูกกักขังด้วยกำแพงแ่ห่งความเชื่อ เช่น การที่เรายึดสิ่งที่เราเชื่อมากเกินไป จนไม่เห็นโลกในมิติที่อยู่นอกเหนือจากความเชื่อของเรา เมื่อเราก้าวข้ามกำแพงแห่งความเชื่อนี้ไปได้ เราก็จะเห็นโลกในมิติอื่นๆ ที่กว้างกว่าโลกในมิติแห่งความเชื่อของเราแต่เดิมนั้น 

๘. การก้าวข้ามกำแพงแ่ห่งตัวตน คือ การที่เราพ้นแล้วจากภาวะเก่าๆ ที่เึคยถูกกักขังด้วยกำแพงแ่ห่งตัวตน เช่น การที่เรายึดสิ่งที่เรายึดเป็นตัวตนของตนมากเกินไป จนไม่เห็นโลกที่อยู่นอกเหนือจากกำแพงแห่งตัวตนที่เราสร้างขึ้นมาเองนั้น เมื่อเราก้าวข้ามกำแพงนี้ไปได้ เราก็จะเห็นโลกในมิติอื่นๆ ที่กว้างกว่าโลกในมิติแห่งตัวตนของเรานั้น


เอาละ วันนี้ พี่ชายเม้าท์ยาวมากเลย เดี๋ยวเด็กๆ จะเครียดไปเสียก่อน เอาเป็นว่าพี่ชายจะสรุปง่ายๆ เลยนะ "โลกนี้มีอะไรที่เราไม่รู้ คาดไม่ึถึงอีกมาก" เราจะเห็นหรือเข้าใจโลก จนนำไปสู่การหลุดพ้นโลก ได้จริง เราจำต้องหลุดพ้นจาก "กำแพงต่างๆ ที่เราสร้างขึ้นมากักขังตัวเอง" ให้ได้ก่อน เราก็จะเห็นโลกที่กว้างขึ้น และกว้างขึ้นได้ครับ เอาละ คืนนี้ พี่ชายขอจบลงง่ายๆ แค่นี้ก่อนนะ เด็กๆ จะได้รีบนอน ราตรีสวัสดิ์จ๊ะ




1 ความคิดเห็น:

เม้าท์ด้วยคน