อย่างแรก พี่ชายอยากปูพื้นฐานก่อนว่า คนเราทุกคนมีอวัยวะรับสัมผัสหลายอย่าง ในการรับรู้สิ่งต่างๆ อย่างบางคน ตาบอดยังใช้ชีวิตร่วมกับคนในโลกแห่งแสงสว่างได้เลย นั่นแสดงถึง ความสามารถในการรับรู้ของคนเราที่มีมากกว่า "ดวงตา" ไงครับ และอีกประการหนึ่งคือ โลกที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ด้วยตาเนื้อของเรา เป็นโลกแห่งวัตถุสสารที่เรามองเห็นได้เมื่อมีแสงสว่าง ทว่า มันมีหลากหลายมิติมากกว่าที่เราเห็นด้วยตาเนื้อ ด้วยแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ครับ เช่น โลกในมิติทิพย์ที่ซ้อนอยู่ เชื่อมโยงอยู่กับโลกของเรา ทว่า เราไม่อาจมองเห็นมันได้ด้วยตาเนื้อปกติ หลายคนพยายามเปิดตาทิพย์ บ้างอยากได้ตาทิพย์ เพื่อที่จะได้เห็นโลกทิพย์ที่แท้จริง เห็นสวรรค์นรกจริงๆ ว่าเป็นอย่างไร ทว่า พี่ชายกำลังจะบอกว่า เราไม่มีความจำเป็นต้องเปิดตาทิพย์เพื่อให้ได้เห็นโลกในมิติทิพย์หรอก หากเราเลื่อนระัดับไปอยู่ในมิติที่สูงขึ้น จนถึงขั้นไม่มีมิติ คือ ภาวะหนึ่งเดียวกันของทั้งหมด ได้แล้ว เราก็จะรู้สึกสัมผัสได้ถึงมิิติอื่นๆ ได้ราวกับว่ามันเ็ป็นชีวิตปกติของเรานี่เอง เพราะอะำไร? เพราะว่าแท้จริงแล้ว มันไม่มีการแบ่งแยกมิติอะไรหรอก ทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว นั่นเอง แต่ที่เราเข้าใจว่ามันมีมิติต่างๆ ก็เพราะความเข้าใจของเราที่คับแคบและรับรู้ได้เท่านั้น เช่น มนุษย์ปกติจะรับรู้ได้สามมิติ เขาจึงอยู่ในระดับมิติที่สามเท่านั้น ไม่อาจเข้าถึงโลกในมิติที่สูงขึ้นกว่ามิติที่สามได้ มีมนุษย์บางคนพยายามเปิดตาทิพย์ เขาเห็นโลกทิพย์ได้ ก็จริง แต่หลายคนก็ยังไม่ผ่านการเลื่อนระดับไปสู่มิติที่สูงขึ้นได้ เช่น บ้างเห็นสวรรค์แล้วเอาภาพที่เห็นนั้นมาสร้างวัด จำลองเป็นเจดีย์ ฯลฯ เพราะพวกเขายังยึดติดอยู่กับการมีวัตถุสสารที่มองเห็นได้ สัมผัสจับต้องได้ แบบมิติที่สามอยู่ นั่นเอง ทีนี้ ถ้าเราสามารถเลื่อนระดับไปสู่มิติที่สูงขึ้นได้แล้ว เราจะรับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในระดับมิติที่สูงขึ้นได้เอง โดยไม่ต้องมีตาทิพย์ ไม่ต่างอะไรกับคนตาบอดที่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับโลกที่สว่างไสวของคนตาดีได้นั่นเอง
อย่างที่สอง พี่ชายอยากแนะนำเคล็ดลับในการสัมผัสรับรู้ถึงโลกในมิติที่สูงขึ้นซึ่งซ้อนทับและเชื่อมโยงอยู่กับโลกของเรานี่แหละ ไม่้ต้องไปหาที่ไหน เมื่อเราผ่านด่านที่ขวางกั้นการรับรู้และเข้าใจในมิติที่สูงขึ้นได้ เราจะมีชีวิตไม่ต่างจาก "อลิซในแดนมหัศจรรย์" ชีวิตของเราจะเหมือนมหัศจรรย์และเต็มไปด้วยการผจญภัยที่แสนสนุกสนาน ไม่ต่างจากอลิซเลย เพราะเวลานี้ โลกของเรากำลังปรับตัวครั้งใหญ่ มีอะไรต่อมิอะไร มาเยือนเต็มไปหมด ในมิติที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเนื้อนั้น มันยิ่งกว่านิทานผจญภัยเรื่องใดๆ จะอธิบายได้เลย ซึ่งเคล็ดลับที่สำคัญที่จะทำให้เรารับรู้ได้ึถึงมิติอัศจรรย์ที่สูงขึ้นเหล่านั้น มีดังนี้
๑. การก้าวข้ามกำแพงแห่งกาลเวลา คือ การที่เราพ้นแล้วจากภาวะเก่าๆ ที่เึคยถูกกักขังด้วยกำแพงแ่ห่งกาลเวลา เช่น การที่เรายึดสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบันมากเกินไปจนไม่เห็นความเป็นหนึ่งเดียวกันที่ปรากฏอยู่ อันเป็นสิ่งที่มาจากอดีต ก็ดี, อนาคต ก็ดี เมื่อเราก้าวข้ามกำแพงนี้ไปได้ เราก็จะเห็นอดีตและอนาคตที่ปรากฏอยู่ ณ ปัจจุบัน
๒. การก้าวข้ามกำแพงแห่งความจริง คือ การที่เราพ้นแล้วจากภาวะเก่าๆ ที่เึคยถูกกักขังด้วยกำแพงแ่ห่งความจริง เช่น การที่เรายึดสิ่งที่เราคิดว่าเป็นความจริงมากเกินไปจนไม่เห็นความเป็นจริงที่นอกเหนือจาก "ความจริงในโลกทัศน์เดิมของเรา" เมื่อเราก้าวข้ามกำแพงนี้ไปได้ เราก็จะเห็น "ความจริงที่เราไม่เคยเห็น" จาก "ความไม่จริงอื่นๆ"
เอาละ วันนี้ พี่ชายเม้าท์ยาวมากเลย เดี๋ยวเด็กๆ จะเครียดไปเสียก่อน เอาเป็นว่าพี่ชายจะสรุปง่ายๆ เลยนะ "โลกนี้มีอะไรที่เราไม่รู้ คาดไม่ึถึงอีกมาก" เราจะเห็นหรือเข้าใจโลก จนนำไปสู่การหลุดพ้นโลก ได้จริง เราจำต้องหลุดพ้นจาก "กำแพงต่างๆ ที่เราสร้างขึ้นมากักขังตัวเอง" ให้ได้ก่อน เราก็จะเห็นโลกที่กว้างขึ้น และกว้างขึ้นได้ครับ เอาละ คืนนี้ พี่ชายขอจบลงง่ายๆ แค่นี้ก่อนนะ เด็กๆ จะได้รีบนอน ราตรีสวัสดิ์จ๊ะ
ทำไมผ่านกันยากจัง 555
ตอบลบ:)