วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ซาตานครอบงำโลกและบงการมนุษย์อย่างไร? ตอน Mass domination

โอ้ย วันนี้หนืด เอ้ย เน็ตฯ พี่ชายอืดมาก กลายสภาพเป็นหอยทากไปแล้ว พอเอียงหูฟังดู มันร้องดัง "คล้ากกกก คล้ากกก" นึกว่ามันกำลังไถนาบนภูเขาหินปูนอยู่อ่ะ เออนี่ ตอนเจอเื่พื่อนเก่านะ ให้ทักมันว่า "เอ็งมัน ว้อน บิน มากๆ เลยว่ะ" เพื่อนจะสงสัยถามว่า "เฮ้ย กูหล่อขึ้นเหมือน วอน บิน เลยหรือว่ะ?" ก็ค่อยบอกมันว่า "เปล่า เหมือนไอ้ตัวที่ตะกายถังขยะหากินอ่ะ นั่นแหละ Want bin" ฮ่าๆๆ เป็นมุขนะครับ เอาไว้เล่นกับคนกันเอง ถ้าไม่กันเอง เดี๋ยวโดนชกสลบเอา ไม่รู้ด้วยอ่า เอาละ มาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่่า วันนี้ เป็นซี่รี่ย์ตอนที่สาม ภาคต่อจากเมื่อวานเรื่องตัวแทนซาตาน วันนี้่ก็ต่อเรื่องการครอบงำมวชน เลยก็แล้วกัน ซึ่งมันมักจะมาควบคู่กันด้วยครับ ดังรายละเอียดต่อไปนี้


อย่างแรก พี่ชายอยากปูพื้นให้น้องๆ ก่อนเรื่อง การครอบงำมวลชนของภาคมืดครับ ซึ่งภาคมืดนั้นอาจใช้องค์กรต่างๆ ได้ทุกองค์กร หลังได้ครอบครององค์กรเหล่านั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นองค์กรลับหรือเปิดเผย องค์กรการเมือง หรือองค์กรธุรกิจ ได้หมดครับ เมื่อพวกเขาครอบครองได้แล้ว เขาก็จะขยายอิทธิพล โดยการครอบงำคนจำนวนมากๆ ที่พี่ชายอยากเรียกว่าเป็นการทำ Mass domination หรือการครอบงำมวลชนให้ตกอยู่ภายใต้การบงการของพวกเขา ซึ่งพวกเขามีเทคนิคหลายประการเชียวครับ ทั้งซับซ้อนและแนบเนียนมาก ไม่อาจจะเม้า์ท์ได้หมด พี่ชายเลยขอยกตัวอย่างแค่บางเรื่อง ให้สังเกตุดู ดังนี้ครับ

๑. เทคนิคแห่ตามๆ กัน คือ การใช้ "หน้าม้า" หรือคนของพวกเขาเอง เป็นตัวล่อ ดึงดูดคนอื่นๆ ให้รู้สึกคล้อยตาม หรือเชื่อได้ง่ายๆ เ่ช่น การเอาคนจำนวนมากๆ มาเออออ คล้อยตามๆ กัน คนที่เข้าไปไม่มีพวก ก็จะคล้อยตามคนส่วนใหญ่ได้ง่ายๆ เช่น การทำโพล ทำให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่เลือกใคร คนส่วนน้อยที่อีเดียด ก็จะไม่มีความเป็นตัวของตัวเองก็จะเลือกตามคนส่วนใหญ่ ตามโพล ตามกระแส แห่ตามกันครับ

๒. ทำเรื่องเล็กเป็นเรืื่องใหญ่ คือ การทำให้เรื่องเล็กกลายเ็ป็นเรื่องที่สำคัญจนเกินเหตุ เพื่อบิดเบือนหรือเบี่ยงเบน เรื่องใหญ่ หรือเรื่องที่สำคัญกว่าเอาไว้ เบี่ยงเบนให้คนสนใจเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง แทนที่จะไปสนใจเรื่องสำคัญที่มีสาระแก่นสารมากกว่า เช่น ข่าวหมาในอเมริกานอนหนาวข้างถนน อะไรแบบนั้น เมื่อก่อนข่าวงี่เง่าแบบนี้ ออกมาจากอเมริกาเยอะมากหรือแม้แต่ปัจจุบันก็ยังมีอยู่ ซึ่งมันไม่ควรเป็นข่าวเลย

๓. สื่อสารแต่เรื่องโง่ๆ คือ การสื่อสารที่ครอบงำคนให้อยู่แต่เรื่องโง่ๆ ที่ไม่ทำให้มีปัญญา หรือฉลาดเท่าทันอะไรเลย แม้แต่น้อย เพื่อจะได้ครอบงำ, บงการ, ควบคุมมวลชนได้ง่ายๆ หรือสื่อสารให้เห็นแต่ด้านใดด้านหนึ่งอย่างเดียว เช่น ด้านที่ตัวเองดี หรือด้านที่ศัตรูทางการเมืองของตัวเองไม่ดี เป็นต้น เช่น ข่าว ปธน. เต้นกังนัมสไตล์ เป็นต้น แทนที่จะสื่อสารล้วงลึกว่า ปธน. ทำอะำไรที่แก้ไขปัญหาประเทศบ้าง?

๔. ยิ่งรู้ยิ่งเป็นขี้ข้าชั้นดี คืิอ การอัดข้อมูลมากๆ ให้ดูเยอะมากๆ แล้วทำให้คนที่ไม่รู้ เหมือนคนโง่ จนต้องรีบตามข่าวสารให้ทัน ให้รู้ไม่ต่างจากคนอื่น ทว่า ยิ่งรับข้อมูล ยิ่งเสพข่าวสาร ยิ่งกลายเป็นขี้ข้าชั้นดี เช่น สื่อต่างๆ ในอเมริกา ล้วนเป็นไปแบบนี้ คนอเมริกานั้นล้วนรู้อะไรเยอะมากๆ แต่จะรู้แต่เฉพาะ "สิ่งที่ขี้ข้าชั้นดีควรจะต้องรู้" เท่านั้นเอง

๕. การทำลายแสงสว่าง คือ ใครก็ตามที่ให้ปัญญาแก่มวลชน ทำให้คนมีปัญญาเท่าทันผู้มีอำนาจ, นักการเมือง ฯลฯ มากขึ้น คนๆ นั้นจะถูกกระทำ โดนเล่นงาน ไม่ต่างจากยุคลัทธิล่าแม่มด เรืองอำนาจ คือ จะถูกเล่นงานสารพัดวิธี เหมือนที่พระเยซูก็โดนใส่ร้ายและต้องทัณฑ์ขึ้นไม้่กางเขนฉะนั้น สิ่งนี้ยังมีอยู่ และคนส่วนใหญ่ก็ตกเป็นเหยื่อด้วย

๖. การหยั่งเชิงความงี่เง่า คือ ก่อนที่พวกเขาจะบงการให้คนหันซ้าย หันขวา หรือทำอะไรก็ตาม เขาจะมีการหยั่งเชิงดูความโง่ก่อน ถ้าคนส่วนใหญ่มีความโง่มากพอแล้ว เขาก็ลงมือได้ไม่ยาก เช่น ปั้นเรื่องว่าดารานำเรื่องคนเหล็ก เป็นฮีโร่ พอคนเชื่อจริงๆ ก็ปั้นให้เป็น สส. ไปได้ จากนั้นก็จะปั้นดาราคนอื่นได้อีก ถ้าไม่ถูกเปิดโปงหรือเล่นงานไปก่อน

๗. ตัวแพร่โรคงี่เง่า คือ มนุษย์คนหนึ่งที่เป็นร่างของภาคมืด ระดับตัวพญา จะเข้ามาจูนกับคนจำนวนมากๆ ทำให้คนจำนวนมากๆ เปิดใจรับ พอใจ หรือนิยมในตัวเขา พอคนเปิดใจรับเท่านั้นเอง ผีมืด หรือบริวารซาตานที่เป็นภาึคมืด ก็จะแทรกเข้าร่างของคนเหล่านั้นทันที เช่น ให้ฝรั่งคนดังมาไทย คนไทยคนไหนชอบเขา จะถูกภาคมืดแทรกทันที

เอาละ พี่ชายขอยกตัวอย่างเท่านี้ก่อน เพราะเทคนิคของภาคมืด นั้น มากมายเหลือเกินจะนับ และคนส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ "โดนของ" เขาไปแล้ว ไม่ต่ำกว่า ๑๐ ครั้งต่อวัน ผ่านสื่อต่างๆ ครับ การโดนของบ่อยๆ เช่นนี้ สุดท้าย ก็เสี่ยงที่จะไม่รอดครับ โดยเฉพาะคนไทย เป็นโรคที่รักษาไม่หายขาดอย่างหนึ่งคือ "โรคแ่ห่ตามๆ กัน" ลองก็ได้ครับ เอาคนเยอะๆ ไปไหว้อะไรสักอย่างแบบมั่วๆ เช่น ไหว้ก้อนหินประหลาดๆ แล้วพอมีคนหน้าใหม่เดินเข้ามา โอกาสตกเป็นเหยื่อสูงมากครับ ถ้าครั้งแรกยังไม่โดน ก็มีนัดต่อไป เช่น เอาไปออกข่าวก่อน พอเป็นข่าวแล้วทีนี้ เชื่อเลย ไม่คิดอะไรกันละ แห่ตามๆ กันไปแบบงี่เง่า ไร้สมอง จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องสมองครับ มันเป็นไปด้วยอำนาจของจิตมืดแค่นั้น มันมืดมน มืดมิด ไม่มีความสว่างแห่งปัญญา เลยเป็นไปเช่นนั้นครับ


อย่างที่สอง พี่ชายจะเม้าท์ต่อว่า หลังจากพวกเขาได้ครอบงำมวลชนแล้ว เขาจะทำอย่างไรต่อไป? เยอะแยะครับ เช่น ทำให้คนส่วนใหญ่ไปเลือกตั้งเอา "ตัวแทน-ร่างซาตาน" ขึ้นไปเป็น ส.ส. ก็ดี, เป็นนายก ก็ดี เป็นต้น ทีนี้ละ อำนาจทางโลกก็ตกแก่ภาคมืดต่อไป อย่างไรละครับ บางครั้งก็จูนคนจำนวนมากออกไปประท้วง ก็มีครับ เพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม เพื่อแย่งชิงอำนาจกันอย่างไรละครับ ดังนั้น ระบบคนส่วนใหญ่และพวกมากลากไปนี้ จึงมีความเสี่ยงต่อการเปิดช่องให้พวกภาคมืดใช้เทคนิคนี้ ในการ "สร้างความชอบธรรม" ให้กับตัวเองในการครองอำนาจทางโลกครับ เพราะพวกเขามีบริวารภาคมืดอยู่มาก เพียงแทรกเข้าร่างคนจำนวนมากๆ เท่านั้น ก็จะเปลี่ยนให้โลกมนุษย์กลายเป็นโลกของภาคมืด ไปได้เลยครับ ด้วยเทคนิคที่เรียกว่า Mass domination นี้เอง ซึ่งซาตานทำเช่นนี้กับหลายประเทศทั่วโลกมานานแล้ว โดยเฉพาะประเทศที่มีความเจริญทางวัตถุมากๆ นะครับ ส่วนประเทศที่ล้าหลังด้อยพัฒนา ก็ยังไม่ค่อยถูกครอบงำมากนัก ซึ่งบางครั้งเทคนิคในการครอบงำมวลชน (Mass domination) นี้ มักใช้คู่กับการทำ Satan agency ครับ เช่น ถ้าต้องการปั้นใครสักคนให้มีอำนาจในตำแหน่งทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่ง เขาก็จะทำให้เกิดการครอบงำมวลชนควบคู่ไปด้วยครับ แล้วลองสังเกตุดูนะครับ อย่างในกรณีการเลือกตั้งต่างๆ มันจะมีอะไรที่ "งี่เง่า" ออกมาเยอะ เช่น คนหนึ่งบอกว่าจะให้รถเมล์ฟรี, อีกคนว่าจะให้ฟรีทุกสาย, อีกคนก็ว่าจะให้ฟรีพร้อมปรับอากาศ อะไรแบบนี้ พี่ชายว่ามันงี่เง่ามากเลย เอาเด็กประถมมาคิด มันก็คิดไำด้ พี่ชายแอบเห็นครับ เด็กอนุบาลเถียงกัน คนหนึ่งว่า ฉันขึ้นรถเมล์ฟรี อีกคนว่า ฉันฟรีทุกวันอ่ะ อีกคนก็ว่า ฉันฟรีพร้อมปรับอากาศด้วย ห่วยว่ะ ฮ่าๆๆ เอาชนะกันด้วยสมองแค่เนี้ย? ยังกะเด็กอนุบาลอ่ะ พูดตรงๆ นะ ไม่ต้องมีผู้ว่าฯ หรอก ให้ข้าราชการที่เขาทำงานอยู่เขาึคิด เขาก็คิดได้ครับ เขาขาดแค่ "แรงสนับสนุนทางการเมือง" เท่านั้น คือ เขาต้องการผู้ว่าที่จริงใจต่อทุกคนจริงๆ ที่จะยอมเสียสละตัวเองไปเสี่ยง เอาหน้าไปรับแทน หรือยอมออกตัวไปร้องขอให้ได้อะไรๆ มาอย่างที่คนกรุงเทพต้องการ (ยกตัวอย่างกรณีเลือกตั้งผู้ว่า กทม. นะ) เพราะว่าคนกรุงฯ รู้อยู่แล้วครับว่าพวกเขานั้น ต้องการอะไร, ข้าราชการประจำ รู้อยู่แล้วครับว่าเขาต้องทำอะไรบ้าง ที่เหลือก็แค่ รอให้ผู้ว่าฯ เดินหน้า เปิดทาง ทางการเมือง ทำให้เรื่องต่างๆ ได้รับการอนุมัติตามเวลาอันควร ตามลำดับสำคัญก่อนหลังจนนำไปสู่การปฏิบัติอย่างมีระบบ, ระเบียบ ฯลฯ ก็จะทำให้งานต่างๆ ซึ่ง กทม. ต้องแบกรับอยู่ เป็นประจำอยู่แล้วนั้น ได้รับการดูแลจัดการอย่างมีระบบ ระเบียบ ตรงนี้สำคัญมากกว่าจะมาอวดเบ่งกันครับว่า "ใครให้โปรโมชั้่นเยอะกว่า" เพราะอะไร? เพราะกรุงเทพฯ ไม่ใช่ของซื้อของขายที่จะตัดสินใจกันเพียงเพราะโปรโมชั้นหรอกนะครับ กรุงเทพฯ นี้ เป็นเมืองใหญ่ มีงานเยอะต้องทำหนักทุกวัน เพราะมันมีอะไรเยอะมาก ดังนั้น ต้องการคนที่ทำงานอย่างเข้าใจในระบบ และระเบียบครับ เมื่อเข้าใจแล้วก็รู้หน้าที่ตัวเองว่าจะต้องไปเดินหน้า, นำทาง และเปิดทาง ทางการเมือง เพื่อให้งานต่างๆ ลุล่วงไปตามเวลาอย่างเหมาะสม คนทำงานก็จะได้ทำงานได้สะดวก รวดเร็ว และงานไม่มากล้นเกินมือจนทำไม่ได้ดี มากเกินไปครับ เอาละ นี่แค่ยกตัวอย่างนะครับ อย่าคิดมาก


เอาละ เม้าท์มายาวเยอะเลยวันนี้ เดี๋ยวจะเครียดกันไปเสียก่อน เพราะคนอ่านไม่ชอบเรื่องการเมือง พี่ชายรู้อ่ะ ฮ่าๆๆ อย่าคิดมากครับ มองดูโลกให้ดีๆ การเมืองก็เป็น "ดินแดนมหัศจรรย์ สำหรับอลิซ" ได้ แล้วเราก็จะไม่ต้องเบื่อหน่าย แถมสนุกกับทุกสิ่งอีกด้วย โอเค วันนี้ เห็นทีว่าจะต้องพักผ่อนซะหน่อยเพราะงัดข้อกับเน็ตมานาน ราตรีสวัสดิ์ครับ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เม้าท์ด้วยคน